“...”
“ จ๊อบ”
“ หืม”
“ พอเถอะจ๊อบ”
“ ไม่เป็นไร”
“ พอแล้ว”
“....”
“ หยุด”
คราวนี้ผมใช้เสียงเรียบแต่ดูดุดันขึ้นพร้อมกับเท้าสะเอวมองมันอย่างเอาเรื่อง มันจึงยิ้มแหยก่อนจะรีบปล่อยมือจากชายผ้าปูเตียงอีกฝั่งหนึ่ง
“ ก็อยากช่วยอ่ะ”
มันพ่นลมหายใจก่อนจะเบ้หน้าเหมือนจะไม่ยอมรับกลายๆ ผมจึงวางผ้าปูลงก่อนจะคลึงขมับตัวเอง
“ มานั่งนี่”
“....” มันค่อยๆเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาใกล้ๆ เห็นท่าทางที่มันนอบน้อมให้แล้วผมก็อดขำไม่ได้ แต่เพราะอยากรักษาฟอร์มผมจึงทำหน้านิ่งก่อนจะหันไปสนใจกับการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้มัน คงจำกันได้ว่าก่อนหน้าที่ผมเคยรับจ้างมันทำความสะอาดห้องชุดคอนโดสุดหรูให้มันทุกเสาร์อาทิตย์ แต่เพราะเรื่องราวหลากหลายที่ประดังประเดเข้ามาช่วงนั้นทำให้ผมอยากจะหายไปจากมัน ดังนั้นช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาผมเลยไม่ได้มาเหยียบคอนโดมันเลยจนกระทั่งบัดนี้
แต่เมื่อเช้ามันไปคะยั้นคะยอผมตั้งแต่เช้าที่หอในเพื่อให้มาช่วยมันหน่อย มันสารภาพเสียงอ่อยๆว่าที่นอนคันมากนอนแล้วผื่นขึ้น ก็จะไม่ให้ขึ้นยังไงไหวในเมื่อผ้าปูที่นอนไม่ได้เปลี่ยนเลยตั้งแต่ผมมาเปลี่ยนให้ก่อนเกิดเรื่อง บอกให้จ้างแม่บ้านมันก็บอกว่าไม่อยากให้ใครเข้าห้อง ไม่สะดวกต่างๆนานา แต่ผมอดคิดไม่ได้ว่ามันจงใจหาเรื่องให้ผมเหนื่อยแรงมากกว่า
ผมส่ายหัวกับความพยายามของมันที่ช่วยรื้อและงัดที่นอนอีกด้าน แต่ดูยังไงๆก็เหมือนทำให้วุ่นวายมากกว่า
“ เฮ้ย”
“....”
“ ฉิบหาย”
ผมยืนอึ้งมองถุงอย่างว่ากว่าครึ่งโหลที่หล่นร่วงมาจากซอกหนึ่งในผ้าปูเตียง ไม่ต่างจากมันที่ตาเหลือกรีบทะยานมาคว้าของดังกล่าวไปซุกหลังไว้ทันที
“ คือ..”
“ เอ่อ”
ผมยิ้มแหยๆก่อนจะกระแอมเบาๆ “...เก็บให้เป็นที่เป็นทางสิคราวหลัง”
“ คือกู..” มันทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “...กู เอ่อ กูไม่เคยได้ใช้อีกเลยนะ”
“.....”
“ กูไม่มีใคร ไม่ได้พาใครมานอนที่นี่อีกแล้ว ตั้งแต่คราวนั้น”
คราวนั้นที่ว่าคือตอนที่ผมเก็บห้องแล้วเห็นซากถุงยาง คิดมาถึงตรงนี้ก็อดโหวงๆในใจไม่ได้ซึ่งสีหน้าผมคงออกชัดมันถึงละล้ำละลักบอกเสียงแผ่ว “...เต้ย”
“ ...”
“ ขอโทษ กูขอโทษ...” มันทำหน้าร้อนรน “...จะไม่ทำอีกแล้ว”
“ เชื่อกูรึเปล่า”
ผมถอนหายใจพยายามปรับสีหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าปูผืนใหม่เตรียมใส่แทนอันเก่า
“ มันเรื่องของมึงจ๊อบ...” เหมือนเสียงมันอยู่ในลำคอแปลกๆ “...มึงจะพาใครมานอนด้วยก็แล้วแต่มึง”
“ ไม่ใช่..” มันถอนใจแรงๆ
“ ไม่ใช่เรื่องของกูอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของมึงด้วย กูจะยอมให้มึงเข้าใจผิดๆแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อตอนนี้คนที่กูแคร์ที่สุดก็คือมึง” “....”
ชิบหายแล้ว
ผมหลบสายตามัน และที่ทุเรศไปกว่านั้นผมว่าหน้าตัวเองคงแดงมากเพราะรู้สึกได้ถึงอาการร้อนๆบริเวณแก้มทั้งสองข้าง
“ พูด พูด บ้าอะไรวะ”
มันหัวเราะ “ ถ้ามึงยังไม่รู้ว่าตัวเองสำคัญยังไงก็ควรรู้ได้แล้วนะ...
ว่าตอนนี้กูกำลังจีบมึงอยู่”
“ มึง”
“....” ผมอ้าปากพะงาบๆนึกอยากจะเอาคืนมันแรงๆ
“ หึ”
“ อะไร”
“ แก้มแม่งแดงจนน่า...”
น่าอะไรหล่ะ
น่าอะไรพูดดีๆนะ
“ น่าฟัดชิบหาย”
เหี้ย
แล้วมึงจะมากระซิบข้างหูทำไมเล่า
……….
……….
“ แดกๆไปเลย”
ผมทำเสียงเข้มก่อนจะเสหน้าหลบมาสนใจอาหารตรงหน้า หลังจากจัดการห้องมันจนเสร็จเรียบร้อยโดยมีเจ้าของห้องทั้งช่วยและเพิ่มภาระไปในตัว สุดท้ายผมก็หมดแรงข้าวต้มจนมันต้องอาสาพามันกินข้าวที่ห้างใกล้ๆคอนโดมันแบบนี้และมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดูขัดเขินแปลกตาถ้าหากว่ามันจะไม่กินไปยิ้มไปท่าทางกวนอารมณ์ใช่ย่อย
“ ยิ้มอะไรนักหนา”
“ เอ้า” มันทำหน้าเหรอหรอ “...แค่ยิ้มก็ผิดเหรอวะ”
“ เออ”
“ โหดไปป่าวยิ้มแค่นี้ต้องดุด้วย”
ผมหรี่ตามองมัน “...ถ้ายังไม่หุบยิ้ม กูกลับ”
“ เฮ้ย”
มันสะดุ้งรีบหุบปากฉับพร้อมกับทำหน้ามุ่ยทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้า แต่ถึงยังไงผมก็แอบเห็นมุมปากมันกดรอยยิ้มนิดๆ
ชิ อารมณ์ดีอะไรนักหนาวะ
ผมทำปากขมุบขมิบมันเบาๆ ยิ่งนึกถึงวันที่มันพาไปกินข้าวไกลถึงนอกเมืองแล้วพามาส่งที่หอและยังบังอาจขโมยจูบผมเต็มๆ บอกเลยว่าผมทั้งตกใจและคาดไม่ถึง ผมหรี่ตามองมันอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ คงยังไม่มีใครลืมไปใช่มั้ยว่านิสัยปกติมันเป็นคนชอบอำมากแค่ไหน ก่อนหน้านี้ที่เราสนิทกันมากมันก็ชอบแหย่ชอบแกล้ง หวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรที่จะเหนือความคาดหมายต่อจากนี้หรอกนะ
“....”
“ เป็นอะไร”
“ เปล่า”
มันอมยิ้มก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ “...มึงนี่เป็นยังไงก็ไม่มีทางโกหกคนได้เลยเนอะ”
“ อะไรหล่ะ”
เรายืนจ้องตากันก่อนที่ผมจะยอมแพ้และหันหน้าหนี
หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็มาเดินเตร็ดเตร่ดูรอบหนังซึ่งมันนั่นแหล่ะที่ขอร้องแกมบังคับให้มาจบรอบบ่ายด้วยหนังสักเรื่อง
“ จ๊อบ”
“....”
“ ตาล”
ผมยืนนิ่งก่อนจะยิ้มตอบผู้หญิงท่าทางน่ารักอดีตแฟนสาวของมันซึ่งโบกมือทักทายและยิ้มบางๆให้ ถึงแม้แวบแรกที่สบตากันเธอจะมีแววตาไหววูบสั่นระริกเจือไปด้วยความเจ็บปวด แต่เพียงแวบเดียวใบหน้างดงามนั่นก็กลับมายิ้มสดใส แววตาเต็มไปด้วยความจริงใจ
“ สบายดีนะตาล”
“ สบายดีจ๊ะ...” เธอยิ้มกว้าง “...แล้วจ๊อบหล่ะ”
“ ครับ”
“ แล้วหอบอะไรมาเยอะแยะเนี่ย” มันรีบเดินเข้าไปช่วยอดีตแฟนสาวถือของตามนิสัยสุภาพบุรุษเป็นปกติของมัน
“ มาซื้อของกับแม่หน่ะ”
“ เหรอของเยอะมาเลยนะ มาจ๊อบช่วย”
“ งั้นขอบใจนะ”
“ เต้ย..”
มันหันมามองด้วยรอยยิ้มกว้าง “...เดี๋ยวกูช่วยตาลถือของไปส่งที่รถแป๊บนึงนะเดี๋ยวกลับมา มึงรออยู่นี่ก่อนนะ”
ผมยิ้มรับตอนที่เธอหันมาโบกมือลา
ผมอดคิดไม่ได้ว่าแผ่นหลังของคนทั้งคู่ช่างดูเหมาะสมเวลาเดินเคียงข้างกัน บางทีมันก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง
ผมยิ้มแต่รู้สึกโหวงในใจเพราะมันปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาช่างเหมาะสมกันจริงๆ
นี่ผมกลายเป็นคนคิดมากตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้แต่ว่าความคิดมากนี้กำลังทำให้หัวใจผมสั่นไหว
.
.
.
“ จ๊อบ”
“ หืม”
“ มึงไม่คิดเหรอว่าบางทีผู้หญิงกับผู้ชายมันควรคู่กัน” ผมลองถามมันตอนที่มันเดินกลับมาแล้ว มันทำหน้าสงสัยก่อนจะคลี่ยิ้มนิดๆ
“ ไม่เสมอไปหรอก” มันพูดยิ้มๆ “ มึงไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนคนอื่นหรอกว่าใครสมควรหรือไม่สมควรคู่กับใคร เพราะสิทธิ์ในใจการตัดสินใจมันเป็นหัวใจของคนๆนั้น”
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ
“ และถ้าหากว่าสิทธิ์ของหัวใจกูซึ่งมีกูเป็นเจ้าของ กูย่อมเข้าข้างตัวเองว่า ‘มึง’ เท่านั้นที่คู่ควร” “.....”
ผมยืนอึ้งหัวใจเต้นระรัว ลืมทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งจะปัดป้องมือหนาที่กุมมือของผมไว้ มันชัดเจนจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทั่วฝ่ามือ
“ กูไม่เคยคิดหวนหาอดีต เพราะกูรู้ว่าปัจจุบันมันสำคัญสำหรับกูมากแค่ไหน ฉะนั้นกูไม่อยากให้มึงจดจำอดีตของกูนักหรอก แต่อยากให้จดจำปัจจุบันตอนนี้ของกูไว้ให้ดีว่า ‘กูมีแค่มึง’”**** มาแล้วๆ อิอิ ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะ คิดถึงนักอ่านทุกท่านนะค่ะ
เห้ยบ่องตงว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าจะสงสารใครดี หน่วงเนอะ 555

แอบมีมาให้หวานกันหน่อยจะได้มีแรง กลัวคนอ่านจะช้ำในตายซะก่อน อิอิ
เค้ามีโครงการจะเปิดเรื่องใหม่เร็วๆนี้ยังไงฝากติดตามด้วยค่ะ
ในรอยรัก 
และ
พราน ‘ล่อ’ เนื้อ

เจอกันตอนหน้าค่ะ
