ยกที่ 17 : โอกาสครั้งสุดท้าย ผมรู้สึกเหมือนว่ามีมือของใครบางคนเกลี่ยไปทั่วใบหน้า มือคู่นั้นสัมผัสหน้าผมด้วยความอ่อนโยนและทุกสัมผัสแผ่วเบาชวนสั่นไหว ผมกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับความอ่อนโยนนั่นเพราะเมื่อมือคู่นั้นกำลังห่างหายไปกลับเป็นผมเองที่ไขว่คว้าเพื่อจะยึดกุมไว้
ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังพุ่งทะยานเข้าไปซุกซบกับแผ่นอกใครสักคน ผมรู้สึกว่ามือหนาอีกข้างลูบไล้แผ่นหลังผมชวนให้รู้สึกถึงความอ่อนโยนและปลอดภัย ผมรู้สึกได้ถึงรอยอุ่นๆที่บรรจงกวาดไล่ตั้งแต่หน้าผาก คิ้ว ปลายจมูก คางและแก้มทั้งสองข้าง มันแผ่วเบาราวกับขนนก เพียงไม่นานก็จางหายไปกับอากาศและความมืดมิด
สัมผัสนั้นเพียงไม่นานก็ล่าถอยไป
ราวกับนิมิตฝันที่อันตรธานหายไป
คงเป็นแค่ฝัน
“......”
ผมสะดุ้งตื่น
ผมกระพริบตาแล้วมองไปรอบๆเพื่อหาโฟกัสของภาพ เพราะเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมามโนภาพเบื้องหน้าจึงดูเลือนรางไม่มีความชัดเจนจนต้องขยี้ตาอีกสองสามครั้งแล้วเพ่งพิจารณาภาพเบื้องหน้าอีกครั้ง
คอนโดไอ้แท็ค
ผมจำได้ว่าเมื่อวานหลังจากที่มันพาไปทำแผลหลังจากนั้นมันก็พามาที่คอนโดมันโดยมีว่านคอยท่าอยู่แล้ว เมื่อวานผมร้องไห้หนักมาก ร้องจนรู้สึกปวดหัว ร้องโดยมีอ้อมกอดของว่านกับแท็คที่โอบล้อมให้ความอบอุ่นใจและสุดท้ายผมก็หลับไปพร้อมกับน้ำตา
และพอตื่นขึ้นมาก็เห็นเพียงผนังสีขาวนวลตาโดยปราศจากเพื่อนทั้งสอง ผมห่อตัวในผ้าห่มผืนหนาเพื่อซึมซับความอบอุ่น ผมรู้สึกตัวไปเองรึเปล่าที่รู้สึกว่าตลอดค่ำคืนที่ผ่านมามีอ้อมกอดของใครบางคนโอบประคองอยู่นาน ผมแอบหวังมากไปรึเปล่าที่ขอให้เจ้าของอ้อมกอดนั้นเป็นมัน
...แต่คงไม่ใช่...
ผมถอนหายใจก่อนจะพยายามทรงตัวลุกขึ้นยืน ผมเวียนหัวเล็กน้อยเพราะรู้สึกได้ว่าตัวเองนอนเป็นเวลาหลายชั่วโมงมากเกินไป พอเปิดประตูห้องนอนมันออกมาเสียงของวัตถุกระทบกันดังมาจากโซนห้องครัวทำเอาผมขมวดคิ้วก่อนจะฝืนใจเดินเรื่อยไปจนเห็นแผ่นหลังของใครบางคนกำลังพุ่งความสนใจไปที่หม้อเล็กๆซึ่งกำลังเดือดและมีกลิ่นหอมฉุย
แผ่นหลังคุ้นตาใส่ชุดผ้ากันเปื้อน
คุ้นจน
“ ....”
“ ตื่นแล้วเหรอ”
ผมยืนอึ้งเบิกตากว้างมองมันซึ่งหันมายิ้มน้อยๆให้ “มึง”
“ หืม”
“ มา มาได้ยังไง” หลังจากนิ่งอยู่นานผมก็เพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ
“ มาเถอะ”
“.....”
“ ข้าวต้มกำลังร้อนๆเลย”
มันหันไปปิดเตาก่อนจะเดินไปกระตุกมือผมให้เดินมาทรุดตัวลงนั่งอยู่โต๊ะอาหารแบบชุดตรงมุมหนึ่งของห้อง ผมนิ่งเงียบลอบสังเกตอาการของมันไปเรื่อยเพราะมันดูจะหยิบจับอะไรก็คล่องไปหมดราวกับเป็นเจ้าของห้องเอง
ว่าแต่มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแล้วเพื่อนผมสองคนนั้นไปไหน
ใบหน้าผมเต็มไปด้วยคำถามจนมันเอ่ยขึ้นราวกับรู้ใจ “...แท็คไปส่งว่านทำธุระตั้งแต่เช้าแล้ว บ่ายๆคงกลับ”
“....”
“ แล้วมึง..” ผมก้มหน้านิ่ง “...มาได้ยังไง”
“ อย่าเพิ่งถามอะไรเลยกินข้าวก่อน”
มันวางชามข้าวต้มหอมฉุยไว้เบื้องหน้าก่อนจะพยักเพยิบเป็นการเชิญชวนให้ลิ้มลอง
“ ทำเองเหรอ”
“.....” มันส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะศีรษะแก้เก้อ “...ว่านทำไว้ให้เมื่อเช้าหน่ะ เห็นว่าสายแล้วถ้ามึงตื่นคงจะหิวกูเลยอุ่นให้ใหม่”
“ อืม”
“ ...”
“ เฮ้ย” เป็นเสียงอุทานของผมเองที่เห็นผ้าก็อชพันนิ้วมือทั้งห้าของมันเป็นทางยาว และยังมีเลือดสีแดงซึมออกมาจากผ้าพันสีขาวนั้นโดยที่เจ้าตัวไม่อนาทรร้อนใจเลย
“ ไปทำอะไรมา” ผมผวาคว้ามือข้างนั้นมาดูใกล้ๆ “...มือเป็นอะไรจ๊อบ ทำไมเป็นแบบนี้ ไปทำอะไรมา” ละล้ำละลักถามมันแต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงรอยยิ้มตรงมุมปาก
“ อุบัติเหตุนิดหน่อย”
“ ....”
ผมถอนหายใจเพราะรู้ดีว่ามันกำลังโกหกผมอยู่ แต่ไม่อยากซักไซร้ให้มันลำบากใจไปมากกว่านี้เพราะถ้าหากว่ามันไม่อยากบอกจริงๆ ง้างปากให้ตายก็ไม่มีวันพูด เลยเบี่ยงตัวเดินไปหยิบกล่องยาปฐมพยาบาลที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์มาทำแผลให้มันเงียบๆ
บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ผมก้มหน้าก้มตาแกะผ้าพันแผลที่เริ่มเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเข้มลงและยังมีร่องรอยสกปรก พอเปิดบาดแผลออกมาก็เห็นรอยเหวอะหวะ กำลังเขียวช้ำ สภาพดูน่ากลัวราวกับว่านิ้วไปกระแทกกับอะไรมาอย่างรุนแรง
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากันมัน มันเบือนหน้าไปทางอื่นและพยายามแกะมือผมออก “ ไม่เป็นไรกูทำแผลเองได้”
“....”
ผมไม่ตอบแต่ยึดข้อมือมันไว้ แล้วเริ่มลงมือทำความสะอาดแผลให้มัน ตอนที่ชุบแอลกอฮอลแล้วจิ้มใส่แผลแม้เพียงแผ่วเบาแต่ก็รู้สึกได้ถึงอาการสะดุ้งของอีกฝ่าย
“ เจ็บเหรอ”
“ อืม นิดหน่อย”
“ ทนหน่อยนะ”
ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำเสียงแบบไหน แต่มันคงจะสะดุดตาคนฟังจนต้องเงยหน้าขึ้นมองผมตรงๆ แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะสมาธิกำลังจดจ่ออยู่กับบาดแผลตรงหน้าเลยไม่รู้เลยว่ามันลอบสังเกตใบหน้าผมอยู่และใบหน้ามันก็โน้มลงมาใกล้ๆกัน
“ เจ็บมากมั้ย”
“ หืม”
นิ้วมือด้านที่ไม่มีบาดแผลของมันกำลังลูบไล้ผ้าก็อชที่แปะอยู่ตรงหางคิ้วของผม แรงสัมผัสแผ่วเบาแต่ก็ร้อนวูบวาบไปทุกที่ที่นิ้วเลื่อนไปถึง
“ เจ็บมั้ย”
มันถามย้ำอีกครั้ง ทำให้มือผมที่ใช้สำลีชุบล้างแผลให้มันอยู่หยุดชะงัก
ผมก้มหน้าหลบตามัน
แต่มือข้างนั้นดันปลายคางมันขึ้นเบาๆ
“ เจ็บมากมั้ยเต้ย เจ็บมั้ย กูขอโทษนะ”
คำขอโทษของมันที่เปล่งออกมาเรียกให้อะไรสักอย่างจุกอยู่ในลำคอของผม ขอบตาผมร้อนผ่าวอีกครั้ง ยิ่งเสียงกระซิบคำขอโทษดังขึ้นข้างๆหูถึงจะแผ่วเบาแต่หนักแน่นเหลือเกิน
“ ฮึก...” ผมเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “ ขอโทษ ขอโทษเหมือนกัน”
“ หืม ขอโทษกูทำไม”
ผมเม้มปากหลบตามัน
ถ้าจะถามหาคนผิดสำหรับเรื่องเมื่อวาน ผมคงมีส่วนผิดไม่น้อย จริงอยู่มันโมโหจนขาดสติเผลอทำร้ายผม แต่สาเหตุของอาการขาดสติของมันก็คือผม เพราะมันเห็น เห็นว่า...
“.....” มือหนาของมันกำลังคลึงเบาๆตรงมุมปากด้านหนึ่งของผม ก่อนที่มือข้างนั้นจะลูบไล้ไปทั่วริมฝีปากของผม ไล่เลื้อยอยู่นาน
เราสบตากัน
ใบหน้ามันเครียดขมึงแวบนึง ก่อนที่แววตาคู่นั้นจะอ่อนลง ริมฝีปากมันเม้มแน่นเป็นเส้นตรง กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆตามร่างกายก็เกร็งเครียดไปต่างกันและราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อวานก็สว่างวาบในหัวเราทั้งคู่ ผมจูบกับพี่ที มันผ่านมาเห็นพอดี มันขาดสติและทำร้ายผม
น้ำตาผมร่วงหล่นลงบนมือมันที่เกลี่ยขอบปากผมอยู่
“ มึงรู้มั้ย..” เสียงมันแหบห้าว
“...ตอนที่กูเห็นมึงจูบกับพี่รหัสมึง กูเหมือนจะตาย อยากจะกระชากมึงออกมาแล้วชกหน้าพี่รหัสมึงให้สมกับความคับแค้นของกู” “ แต่กูไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น” “จ๊อบ คือ” ผมสั่นหน้าและพยายามจะพูดแต่มันเริ่มลูบไล้ริมฝีปากหนักขึ้นจนไม่สามารถพูดอะไรได้
“ แม่งโครตทรมานเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำไม่ได้เลย” “ จ๊อบ”
“.....”
“ เต้ย” ใบหน้าของมันเลื่อนให้มาอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
“ มึงเจ็บมากมั้ย...เจ็บมั้ยขนาดกูแค่เห็นว่ามึงกับพี่รหัสจูบกันแค่ครั้งเดียวกูยังทรมานแทบตาย แต่กับมึง มึงซึ่งทนเห็นกูอยู่กับคนอื่นมาตลอดเวลาสี่ปี มึงจะเจ็บแค่ไหน...” มันค่อยๆบรรจงเกลี่ยน้ำตาที่ไหลเอ่อขอบตาผมอย่างแผ่วเบา
...เจ็บสิ เจ็บมาก...
...เจ็บมาตลอดสี่ปี... “ ทรมานมากใช่มั้ย ทุกข์ใจมากรึเปล่า...” เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างๆหู “ แค่คำว่าขอโทษมันคงไม่สามารถชดใช้หัวใจที่เจ็บช้ำของมึงเลยใช่มั้ย”
“.......” ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลริน
“ จะโกรธกูมั้ย จะโกรธมั้ย” แววตาของมันเต็มไปด้วยคำถาม จนผมนึกประหลาดใจกับถ้อยคำที่มันกำลังเอ่ยขอ
พูดอะไร มันกำลังพูดเรื่องอะไร
“ ถ้ากูจะขอโอกาส” แววตาคู่คมเต็มไปด้วยความแน่วแน่
“...กูรู้ว่าอดีตที่ผ่านมากูไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ แต่ขอได้มั้ย กูขอโอกาสที่จะทำปัจจุบันให้ดี เพื่ออนาคตที่ก็ไม่อาจรู้แน่ว่ามันจะเป็นยังไง แต่สัญญา...กูสัญญาว่ากูจะทำมันให้ดีที่สุด” “......”
ผมเม้มปากแน่น แววตาไหวระริก หัวใจสั่นระรัว ใบหน้าร้อนวูบวาบ
แข้งขาอ่อนแรงลงทันทีเมื่อเห็นแววตาของมัน แววตาคู่คมที่หนักแน่นมั่นคง ใบหน้ามันกำลังโน้มลงมาทันทีโดยที่ผมไม่มีโอกาสคิด ผมลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งต้องปัดป้องตัวเองจากริมฝีปากหนาที่กำลังจะบดคลึงปากของตัวเอง
...Rrrrrrrrrr...
เสียงแผดร้องของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในจังหวะที่ริมฝีปากของมันกำลังจะทาบทับปากของผมพอดี
ผมเบือนหนีด้วยใบหน้าที่ร้อนวูบวาบ
มันถอนใจอย่างเซ็งๆตอนที่เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์
เราสบตากัน
มันยิ้มมุมปากนิดๆ ส่วนผมรีบก้มหน้าหลบแทบไม่ทัน
“ ว่าไง” มันกรอกเสียงไปตามสาย
“....”
“ อืม ตื่นแล้ว” มันเหลือบสายตามามองผมแล้วยิ้มอ่อนๆให้ “...ใช่กำลังจะกินข้าว”
“.....”
ผมเม้มปากแน่นและนิ่งฟังมันคุยโทรศัพท์กับปลายสายด้วยใจจดจ่อ เพราะดูท่าทางแล้วมันกับปลายสายคนจะคุ้นเคยกันดีและดูเหมือนว่าพวกมันกำลังพูดเรื่องของผมอยู่
“ อ่ะ...” มันยื่นเครื่องมือสื่อสารยี่ห้อดังมาให้ผม “ ไอ้แท็คโทรมา”
...ถึงว่า...
ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือไปเอาโทรศัพท์มาแนบหูตัวเอง
“ เต้ย มึงเป็นยังไงบ้าง” ปลายสายถามน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ อื้ม ดีขึ้นแล้ว”
“ มึงโอเคใช่มั้ย...” มันพ่นลมหายใจเบาๆ “...ที่กูปล่อยให้มึงอยู่กับไอ้จ็อบตามลำพัง”
“.....”
“ ไม่เป็นไร กู เอ่อ..” ผมเองหน้าขึ้นเห็นจึงมันกำลังจ้องมองผมอยู่ ท่าทางแบบนี้ของมันทำเอาผมหูอื้อตาลายไปหมด เกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไรขึ้นกับผม
ิ “ เต้ย ฟังกูอยู่รึเปล่า เป็นอะไรวะเงียบไป”
“ เปล่าๆ แค่เอ่อ กูโอเค”
“ งั้นดีแล้ว กินข้าวกินยาแล้วนอนพักนะ เดี๋ยวบ่ายๆกูกับว่านก็กลับแล้ว”
“ เดี๋ยวซื้อขนมไปฝากนะเต้ย นอนพักเยอะๆนะ” เสียงเล็กๆของว่านดังมาตามสายจนผมอดยิ้มตามไม่ได้
ผมคืนโทรศัพท์ให้มันก่อนจะก้มหน้าจัดการกับข้าวต้มตรงหน้า ผมรู้ว่ามันกำลังจ้องมองผมอยู่แต่ผมก็ไม่อาจแสดงท่าทีอะไรออกไปได้ว่าผมกำลังมีอาการแปลกๆกับมัน
........
........
ผมถอนใจหลังจากวางสายโทรศัพท์
ผมกำลังมองแผ่นหลังมันซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับรายการโทรทัศน์ตรงหน้า มันนอนเอกเขนกเอนหัวซบหมอนรองหนุน ศีรษะเอียงชิดกับโซฟาหน้าทีวี ท่าทางเหมือนจดจ่อกับรายการตรงหน้าซะเหลือเกิน ผมว่ามันมีอาการแปลกๆ มันหลบหน้าหลบตาผมทั้งยังสะดุ้งทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้
รึว่ามันกำลังกลัวผมอยู่
กลัวงั้นเหรอ กลัวเรื่องอะไรกัน
หลังจากกินข้าวเสร็จเราต่างคนก็ต่างเงียบจนมันทนไม่ไหวเดินไปเปิดโทรทัศน์กลบความเงียบ ผมรู้ว่ามันกำลังอึดอัด มันเม้มปากน้อยๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำคล้ายกับคนมีไข้หรือว่ามันจะมีไข้จริงๆ คงเพราะติดจากผมเมื่อคืนรึเปล่า ก็เมื่อคืนผมนอนกอดมันอยู่พักนึงสงสัยว่าผมคงจะเอาหวัดไปติดมันแหงๆ เพราะตื่นขึ้นมาอาการไข้ของผมก็หายเป็นปลิดทิ้งคงเพราะได้นอนเต็มอิ่มทั้งคืน
แต่กว่าจะฝ่าด่านไอ้แท็คให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับมันขนาดนี้ก็หนักเอาการ งานนี้ต้องขอบคุณว่านที่ช่วยพูดอยู่นานสองนานถึง
แม้เมื่อคืนนั้นผมจะได้สิทธิ์แค่นอนพื้นและเฝ้ามองแผ่นหลังมันซึ่งหลับสนิทอยู่บนเตียงกับว่าน โดยมีผมกับไอ้แท็คนอนพื้นคนละฝั่งของเตียง
มันเหลือบตามามองผมก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะชะงักและหลุบลงโดยมีใบหน้าที่แดงก่ำ
สงสัยมันจะเป็นไข้จริงๆ ไม่งั้นแก้มคงไม่แดงขนาดนั้น
ติ๊ดๆๆๆ
ผมก้มมองเครื่องมือสื่อสารซึ่งมีข้อความเข้า ผมกดเข้าไปอ่านข้อความดังกล่าวด้วยความประหลาดใจยิ่งฉงนนักเมื่อเห็นรายชื่อของเจ้าของข้อความ
...กูไปถ่ายรูปที่เชียงใหม่สองอาทิตย์นะ คงกลับมาทันเปิดสายรหัส
โชคดีนะมึง กูเอาใจช่วยเรื่องน้องเต้ย ...‘พี่เบียร์’ ผมขมวดคิ้วมองข้อความนั้นอย่างแปลกใจ
ปกติลุงรหัสผมมีอะไรแกจะโทรมาบอกมากกว่าน้อยครั้งที่จะส่งข้อความมาบอกแบบนี้ นี่แสดงว่าคงเป็นงานพาร์ทไทม์แบบด่วนจริงๆ สงสัยรีบไป แต่ทำไมถึงรีบไปขนาดนั้นนี่สิ ยิ่งคิดยิ่งแปลกใจเพราะเมื่อวานก็เงียบหายไปทั้งวัน ผมโทรไปหาตั้งหลายรอบก็ปิดเครื่องราวกับจงใจให้ติดต่อไม่ได้
คงไม่มีอะไรมั้ง
ปกติพี่แกก็อินดี้แบบนี้อยู่แล้ว นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา
ผมส่ายหน้าก่อนจะยิ้มอ่อนๆให้เจ้าข้อความ
ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ก็พอดีกับที่มันเบือนหน้าจากทีวีมองมายังผมพอดี มันสะดุ้งใบหน้าขาวดูซีดเผือด ริมฝีปากเม้มแน่นแรงๆจนกลัวว่าจะช้ำ ก่อนจะรีบหันหนีแล้วเอาหมอนรองหนุนมาปิดหน้าจะแทบจะปิดตาไม่ให้มองเห็น
...เฮือก...
ผมได้ยินเสียงลมหายใจมันสะดุดกึกตอนที่มันทรุดตัวลงนั่งโซฟาตัวเดียวกันแต่อยู่คนละฝั่งเท่านั้นเอง มันหันรีหันขวางเตรียมจะลุกหนีไปที่อื่น
ผมผุดลุกขึ้น
มันสะดุ้งอีกครั้ง
บรรยากาศรอบตัวของเราชวนอึดอัด และเต็มไปด้วยความเกร็งแข็งมันเหมือนว่าเราไม่ใช่คนคุ้นเคย เราไม่สนิทสนมกัน เราคล้ายกับคนแปลกหน้า ยิ่งเวลาผมสบตากับมันแล้วมันเป็นฝ่ายที่เบือนหน้าหนีไปก่อน
ผมถอนหายใจ
มันหยุดชะงักเพราะมือของผมรั้งข้อมือมันไว้อยู่ มันเบ้หน้าน้อยๆก่อนจะพยายามแกะมือของผมออก
“ เต้ย...”
“.....”
“ อึดอัดมากเหรอที่อยู่กับกูแบบนี้” มันเงยหน้าขึ้นอย่างเร็วก่อนจะก้มหน้าหลบอีกครั้งจนผมทำอะไรแทบไม่ถูก ผมจึงเกลี่ยหลังมือมันเบาๆ เพื่อรวบรวมสติก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ถักทอออกมาจากใจ
“ กูไม่อยากให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกแบบนี้ กูไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ กูไม่อยากให้มึงต้องลำบากใจเวลาอยู่กับกู” “ กูต้องทำยังไงวะ”
“.....”
“ กูไม่รู้ว่าจีบผู้ชายมันต้องทำยังไง กูไม่รู้จีบผู้ชายต้องแสดงออกแบบไหน กูไม่รู้ว่าจีบผู้ชายแบบมึงต้องเทคแคร์เรื่องอะไร กูไม่รู้จริงๆว่าถ้าอยากให้มึงยิ้มต้องพยายามแค่ไหนกัน” “.....”
“ กูไม่รู้อะไรเลย ทุกเรื่องสับสนไปหมดในหัวกู ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของมึงทำกูร้อนรนจนจะบ้า”
“.....”
“ ทุกเรื่องของมึงทำกูอยู่ไม่สุขเลยเต้ย”
“.....”
“ ต้องทำยังไง ทำยังไงดีวะ...” ผมเลื่อนมืออีกข้างไปเกลี่ยแก้มมันจนอีกฝ่ายนิ่งชะงักแต่มันก็ไม่ได้เบี่ยงหน้าหลบซึ่งทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“ ต้องทำยังไงดีเต้ย ที่จะทำให้มึงพอใจ”
“....” มันจะก้มหน้าหลบแต่นิ้วมือดันปลายคางมันไว้อยู่ “...ทำยังไงดีที่จะมึงจะยิ้มให้กูอีกครั้ง”
“ เอ่อ..” มันกรอกตาไปมาใบหน้ายังขึ้นสีราวกับมีไข้เช่นเดิม “ คือจ๊อบ คือกู”
“ หืม”
“ เอ่อ”
มันหันรีหันขวางอีกครั้งมือใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ
“ เต้ย”
“....”
“ กูพอจะมีโอกาสทำให้มึงยิ้มได้อีกครั้งรึเปล่า” “....” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมอยากจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆมันแบบนี้ ผมแค่อยากเห็นใบหน้ามันชัดๆ อยากเห็นแววตาของมันให้ชัดๆ ผมอยากเห็นเงาของตัวเองในแววตาคู่นี้ของมัน
แค่เพียงนิดก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมา
แค่เพียงนิดก็เหมือนมีเรี่ยวแรงจะก้าวเดินต่อ
แค่เพียงนิด
“ ดูหนังมั้ย”
ห่ะ
มันพูดกับผมเสียงรัวก่อนจะก้มหน้าหอบน้อยๆ มือทั้งสองข้างของมันยังดันแผ่นอกผมเอาไว้ถึงไม่แรงนักแต่ก็ทำให้หยุดชะงัก
“ ว่าไงนะ”
“....” มันเกาแก้มตัวเองเบาๆ ก่อนจะพยักเพยิบไปกองดีวีดีหนังที่วางอยู่ใต้เคาน์เตอร์ทีวี “ ดู ดูหนังกันมั้ย” มันเงยหน้าขึ้นมาถาม แต่มันคงไม่รู้ว่ากิริยาที่มันพยักหน้าน้อยๆเชิญชวนให้ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นมันน่ามอง
ใช่น่ามอง
ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันมีหน้าตาที่น่ามองมากแค่ไหน แต่เพราะเราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิท และความรู้สึกตอนนั้นคือแค่คำว่าเพื่อนทำให้ผมไม่เคยมองมันด้วยความรู้สึกเช่นอื่นเลย
มันน่ามอง
ตอนนั้นผมก็แค่มอง
แต่วันนี้ผมจะต้องทำมากกว่าแค่มอง
เพราะแค่มองคงได้เป็นแค่เพื่อน
ถ้าไม่อยากเป็นแค่เพื่อน...ผมต้องแสดงออกมากกว่าคำว่า “มอง”
มันเดินไปเปิดดีวีดีหนังฝรั่งแนวตลกขบขันเรื่องหนึ่ง ก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาอันเดียวกัน แต่ระยะห่างระหว่างเรายังห่างไกลเช่นเดิม
หนังเรื่องดังกล่าวกำลังเริ่มอินโทรของเรื่องราว
มันนั่งกอดหมอนรองหนุนพิงหลังกับพนักโซฟา สายตาจับจ้องมองภาพในจอโทรทัศน์
ผมนั่งกอดอกหลังพิงกับพนักโซฟา สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้ามัน
เรื่องราวของหนังกำลังดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากเรื่องราวของชีวิตมนุษย์ที่ต้องก้าวเดินกันไป เช่นเดียวกับเข็มนาฬิกาที่ก้าวเดินไปข้างหน้าไม่มีวันนับถอยหลัง ในเมื่อเป็นมนุษย์ย่อมต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงและทำใจยอมรับให้ได้กับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา
และเช่นกันถ้าหากคนเรามีโอกาสต้องเรียนรู้ที่จะไขว่คว้าเพื่อให้เกิดประโยชน์
โอกาสสำหรับคนเรามีไม่มากนัก เมื่อมีโอกาสต้องใช้โอกาสนั้นให้ดีที่สุด
สำหรับผมเองก็เช่นกัน...ผมจะไม่ปล่อยให้ความไม่รู้ทำลายหัวใจผมอีกเด็ดขาด
เนื้อหาเรื่องดำเนินไปสู่กลางเรื่อง มันสนุกสนานจนเราทั้งสองมุ่งจดจ่ออยู่ที่หน้าจอ แต่ที่เราไม่รู้คือระยะห่างจากตอนแรกคนละฝั่งของโซฟาบัดนี้มันลดลงเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้จนไหล่ของทั้งคู่ชนกันในที่สุด
ผมสบตากับมัน
มันละสายตาจากจอเพื่อมองผม
ผมไม่รู้ว่าบทสรุปของหนังมันจบลงยังไง
ผมรู้แค่ว่าแก้มมันหอมจนอยากจะสูดดมอยู่อย่างนั้น****มาแล้วๆๆๆ

เป็นไงบ้างจ้า มีหลายคนบ่นว่าหน่วงเหลือเกิน เลยจัดให้กินน้ำหวานซะหน่อย
ไม่รู้ว่ามันหวานหรือขม ฮ่าๆๆๆ ไปมโนกันเอาเองเนอะ

อีกเรื่องจ้า มีหลายคนอ่านแล้วอินมากถึงขนาดแบ่งเป็นทีมจ๊อบ ทีมเต้ย 5555
เข้าใจว่ามันอินจริงๆ แต่ยังไงก็แล้วแต่อ่านเพื่อความบันเทิงเนอะ เสพความดื่มด่ำ
ไปพร้อมกัน อย่าเอามาคิดเป็นประเด็นเลยจ้า อ่านเพื่อความสนุกสนาน # คือเข้าใจว่า
อิคนเขียนมันเขียนเก่ง

คนเลยอินกันเป็นทิวแถว กร้ากกกกกกกก

อีกเรื่อง (หลายเรื่องแล้วนะยะ) เรื่องราวมันไม่สนุกแล้วเหรอค่ะ ยังไงติชมกันได้นะ
เพราะไม่เห็นคอมเม้นท์กันเลย ยังไงบอกเล่าเก้าสิบกันสักนิดสักหน่อยเพื่อเป็นกำลังใจ
ให้อิคนเขียนด้วยนะ
รักคนอ่านทุกคนนะจ๊ะ...เจอกันตอนหน้าจ้า
