ยกที่ 10 : ใจความสำคัญ **** คำเตือน !!!! ตอนนี้โปรดฟังเพลงที่แชร์ประกอบการอ่านไปด้วยเพื่อความอินและหน่วง ฮ่าๆๆๆๆ “ เต้ยตื่นได้แล้วลูก”
“อื้ม”
“ เต้ยลูก ตื่นเถอะ”
“....”
ฝ่ามืออ่อนโยนกำลังลูบศีรษะผมเบาๆความอ่อนนุ่มที่ได้รับทำให้ในห้วงแห่งความฝันของผมดูสวยงามและเต็มไปด้วยความสุข น้ำเสียงอ่อนหวานแต่แฝงไปด้วยความแข็งแรงของผู้หญิงที่ยืดหยัดเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เกิดเป็นเหมือนน้ำทิพย์ที่ช่วยชะโลมหัวใจที่กำลังเหนื่อยล้าของผม
“ แม่ครับ”
“ ตื่นได้แล้วลูก”
คราวนี้ผมตื่นเต็มตาก่อนจะขยี้ดวงตาที่ปรือปรอยให้เปิดกว้าง แม่ผมหัวเราะเสียงแผ่วในลำคอตอนที่ผมผงกหัวขึ้นแล้วเลื้อยตัวเองไปซบอยู่ตรงตักของมารดา มือนุ่มของคุณนายสารภีลูบไล้ไปตามเส้นผมอย่างแผ่วเบา ส่วนมืออีกข้างผมกำลังยึดจับอยู่กำลังเกลี่ยแก้มผมเบาๆ
“ อะไรกันลูกคนนี้”
“ ก็ตักแม่นุ่มนิครับ”
“ หึ ไม่ต้องปากหวาน เดี๋ยวมีแฟนก็ลืมแม่แล้วมั้ง...” ผมยิ้มตามคำเอ่ยแซวของแม่ ก่อนนิ่งซบตักอยู่อย่างนั้น หึ มีแฟนงั้นเหรอ แค่ทำให้เขารักยังยากคงไม่ต้องฝันถึงเรื่องที่ไกลไปกว่านั้นหรอก ผมยิ้มเหนื่อยๆสูดดมกลิ่นกายประจำตัวของมารดาที่ได้กลิ่นทีไรพาให้บังเกิดความสงบในใจ
“ ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาเถอะลูก นอนตอนหัวค่ำมันจะปวดหัวเอานะ”
“ ครับแม่”
ผมลุกขึ้นหอมแก้มมารดาเบาๆ ก่อนที่คุณนายเธอจะหยิกแก้มผมคืน ผมมองตามแผ่นหลังบอบบางที่เดินส่ายหน้าหัวเราะในความไม่รู้จักโตของผม แม่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งเพราะเลี้ยงดูผมมาเพียงลำพัง เนื่องจากพ่อของผมเสียชีวิตตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิงซึ่งประกอบไปด้วยแม่ ยาย และน้าสาว หญิงต่างวัยทั้งสามเป็นคนที่ให้ความรักและฟูมฟักผมมาตลอด มันเลยทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ขาดความรักเหมือนเด็กที่เติบโตมาโดยมีแม่เลี้ยงเพียงลำพัง ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่จากคนในครอบครัว
“ นอนอิ่มเลยมั้ยลูก”
“ ครับน้าพร”
น้าสาวผมเอ่ยแซวตอนที่ผมเดินหัวยุ่ง เกาพุง ทำหน้ามึนงงอยู่กลางบ้าน
“ วันนี้คนงานในสวนขึ้นมะพร้าวน้ำหอมให้ตั้งทลายแหนะ เอาซะหน่อยมั้ยลูก”
มีหรือจะปฏิเสธ ผมพยักหน้ารับอย่างเร็วพอดีกับที่น้าสาวเดินไปเอามะพร้าวน้ำหอมที่แช่จนเย็นชื่นใจ กลิ่นหอมและรสชาตินุ่มลิ้นทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ น้าสาวผมเห็นดังนั้นจึงเพลินมือตักเนื้อมะพร้าวเนื้ออ่อนกำลังกินใส่ชามเล็กๆให้ผมหยิบกินอย่างสบาย
“ สบายไปมั้ยจ๊ะพ่อคุณ”
“ ก็นิดนึงครับแม่”
คุณนายสารภียืนพิงขอบประตูห้องครัวชั้นล่างของบ้านเรือนไทยสองชั้นพิจารณาใบหน้าที่ดูดีผิดจากสองวันก่อนที่ลูกชายเดินทางกลับบ้านอย่างกะทันหัน
“ เต้ย”
“ ครับแม่”
ผมเงยหน้าจากของกินในมือแล้วสบตากับมารดา หรือคุณนายสารภีที่ชาวบ้านแถวนี้ต่างเรียกขานกัน แม่ผมเป็นเจ้าของสวนผลไม้เกือบร้อยไร่ที่มีผลผลิตเลื่องชื่อในแถบจังหวัดทางภาคตะวันออก เลยกลายเป็นที่นับหน้าถือตาจากชาวบ้านในแถบนี้ แม่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมากครับเพราะอย่างที่บอก พ่อผมซึ่งเป็นทหารเสียชีวิตในหน้าที่ตั้งแต่ผมยังเล็กมาก ผมจึงเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของผู้หญิงแกร่งคนนี้ ผู้หญิงที่ยอมรับผมทั้งหัวใจไม่ว่าผมจะเป็นยังไง หรือผมจะมีความผิดปกติจากธรรมชาติที่ควรจะเป็นเช่นไร
“ ชาร์ตแบดบ้างรึเปล่าเรา”
หา...แบดเหรอ นั่นสินะ ตั้งแต่วันที่สอบมิดเทอมซึ่งผมมีอาการประหลาดอ้วกจนเป็นเหตุให้ตัวเองต้องไปฟื้นที่ห้องของเพื่อนสนิท รุ่งขึ้นต่อมาผมก็ตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน ทั้งๆที่ปกติสอบมิดเทอมเสร็จก็มีเรียนกันตามปกติเพราะไม่ใช่การสอบไฟนอลที่มีการหยุดยาว แต่ผมรู้ดีว่าถ้าขืนยังฝีนตัวเองให้ทนอยู่ในสภาพแบบนั้น คงทนต่อไปไม่ไหว ผมเลยตัดสินใจกลับบ้านเรียกได้ว่ากลับมาตั้งหลักก็ได้ และพอได้กลับบ้านนี่แหละที่ผมทำตัวตัดตัวเองจากโลกภายนอกทั้งไม่เช็คเฟส ปิดเสียงโทรศัพท์พร้อมกับเก็บเข้ากระเป๋าอย่างไม่คิดสนใจ และงดโซเชียลทุกวิถีทาง
...เพราะบางครั้งการได้อยู่กับตัวอย่าง ก็ดีไปอีกแบบ อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้มีเวลาพิจารณาอะไรได้รอบด้าน... “ ทำไมเหรอครับ”
“ ...”
แม่ผมไม่พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มๆ ก่อนจะเดินลับไปจนผมต้องรีบวางชามของกินในมือลงฝากน้าพรไว้แล้วเดินตามมารดาไปติดๆ
“ แม่ครับ”
“ เต้ย”
“ ครับแม่”
“ เพื่อนเค้าเป็นห่วง เค้าติดต่อลูกไม่ได้ เลยโทรหาแม่”
โทรหาแม่ ถ้าโทรหาแม่ ก็มีคนเดียวเท่านั้นแหละ
“ ทะเลาะกับจ๊อบรึเปล่าลูก”
“ ผม..”
แค่ได้ยินชื่อมัน แค่ได้ยิน ทำไมปฏิกิริยาร่างกายถึงรุนแรงขนาดนี้ ผมเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาตรงๆกับแม่ คุณนายเธอจึงเพียงเลื่อนมือมากุมบ่าผมไว้
“ เปล่านิครับ เราไม่ได้ทะเลาะกัน” เสียงของผมแผ่วอยู่ในลำคอ
“ เด็กน้อย”
แม่ผมพูดพร้อมกับกลั้วหัวเราะแล้วดึงผมไปกอดแล้วโยกตัวเบาๆ “...มีอะไรก็พูดกันดีๆสิลูก เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“ บางที..” ผมก้มหน้าลง “..มันอาจจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมแล้วก็ได้”
“ ทำไมหล่ะ”
“ ผม..” ตอนที่สบสายตากับมารดานั่นแหละที่ผมนึกละอายใจ แม่รู้ว่าผมชอบผู้ชายแต่แม่ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่แววตาของแม่เหมือนมองแล้วพิจารณาอะไรบางอย่าง เหมือนท่านจะรู้
“ ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้หรอก ลองถ้ามันได้เกิดขึ้นแล้ว ยังไงมันก็จะติดตรึงอยู่ในใจนั่นแหละ...” แม่ผมยิ้มๆตอนที่มองไปยังรูปของพ่อที่ติดอยู่ผนังเหนือศีรษะเรา “..อยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับความรู้สึกนั้นยังไง”
“ แต่เรื่องของผมมันอาจจะผิด”
“ ความรักไม่มีผิด ไม่มีถูกหรอก เพราะรักยังไงคือรัก” “ แม่” ผมสบตากับแม่อีกครั้งทันได้เห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน และแข็งแกร่งจนผมอดที่จะอบอุ่นใจไม่ได้ทุกครั้งที่ได้สวมกอดกับอ้อมแขนนี้
“ ไม่ว่าเต้ยจะคิดตัดสินใจยังไง จำไว้ว่าลูกคือลูกของแม่เสมอ”
“ ผมรักแม่ครับ”
“ เช่นกันเจ้าหนูเต้ย”
“ แม่อ่ะ”
ผมทำหน้ายู่เมื่อได้ยินคำว่า
‘เจ้าหนูเต้ย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่มารดาและคนในครอบครัวใช้เรียกมาตั้งแต่เด็ก จะด้วยความเอ็นดูหรือเพราะความที่เกิดมาขาวผ่องซึ่งมันคงจะน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับพวกญาติๆ
..........
..........
หลังจากอ้อนแม่อ้อนน้าสาวจนอิ่มแปล้ด้วยมะพร้าวน้ำหอม ผมจึงตัดสินใจกลับขึ้นห้องไปค้นหาโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกละเลยมาตลอดสองวัน ตอนนี้หน้าจอมันดับสนิทชนิดที่ว่าเปิดให้ตายก็ไม่มีทางติดจนต้องหยิบเอาที่ชาร์ตมาเสียบ ผมวางเครื่องมือสื่อสารไว้ตรงหัวเตียงก่อนจะตัดสินใจไปเปิดคอมพิวเตอร์แบบพกพาซึ่งวางอย่างสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะเครื่องเขียนตรงมุมหนึ่งของห้อง
แค่เปิดโปรแกรมโซเชียลอย่างเฟสบุ๊คก็มีรายการแจ้งเตือนเกือบยี่สิบรายการจนอดแปลกใจไม่ได้ หึ นี่ผมฮอทขนาดนี้เลยหรือนี่ ผมส่ายหน้าอ่อนๆกดเข้าไปในแชทเฟสซึ่งมีข้อความจากทั้งไอ้แท็ค ว่าน และเพื่อนๆพิมพ์ทิ้งไว้ประมาณสิบกว่าข้อความ
...มึงอยู่ไหน...
...หายหัวไปเลยนะ รู้มั้ยเนี่ยว่าพวกกูเป็นห่วง...
...ตอบสิวะ...
...เชี่ย อย่าให้กูเจอนะ จะตบให้หัวหลุดเลยแม่ง...
...หายไปไหนวะ มึงไม่อยู่ รู้มั้ยว่าหวานใจกู (น้องว่าน) เป็นห่วงแค่ไหน... ขนาดไม่เห็นหน้าผมยังอดนึกจินตนาการใบหน้าไอ้แท็คไม่ได้ว่า มันคงหงุดหงิดงุ่นง่านขนาดไหน ถึงถ้อยคำจะดูหยาบๆไปบ้างแต่ความหมายในเนื้อความยังแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่มีให้ ผมพูดได้เลยว่าไอ้แท็คมันเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งจริงๆ
...เต้ย ถ้าเห็นข้อความแล้วตอบด้วยนะ ว่านห่วง... ส่วนคนนี้ก็ยังน่ารักเช่นเคย ผมอมยิ้มนึกถึงใบหน้าที่คงกังวลหน่อยๆ ขมวดคิ้วนิดๆ ดูแล้วคงน่ารักน่าชังไม่หยอก ยิ่งท่าทางเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นแบบนี้เสมอ ทำให้เพื่อนร่างเล็กคนนี้เป็นขวัญใจของเพื่อนทั้งรุ่น
ผมเลื่อนๆอ่านข้อความที่พิมพ์ทิ้งไว้ก็ปรากฏข้อความข้องสองสาวพิมพ์กับดาวอีกสองสามข้อความซึ่งเนื้อความดูไม่ต่างจากเพื่อนสองคนก่อนหน้านี้ ...อดละอายใจไม่ได้ที่ทำให้เพื่อนเป็นห่วงขนาดนี้...
แต่มีความความหนึ่งที่สะดุดใจผม
...สบายใจแล้วรีบกลับมานะ พี่รออยู่... “ พี่จะรอ”
แล้วคำพูดและเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นก็ฉายซ้ำในหัวผมอีกครั้ง ผมอดประหลาดใจและแปลกใจไม่ได้ว่าจะยินคำๆนั้นจากปากของพี่ที
“ คบกับกูมั้ย”
ผมตกใจ
ผมคาดไม่ถึง
ผมเห็นสายตาที่เจ็บปวดเป็นครั้งแรกของมัน
ผมเห็นแผ่นหลังที่งองุ้มลู่ลงของมันตอนที่หันหลังกลับทันที
“ ไปแล้วใช่มั้ย”
ห่ะ
“ เพื่อนมึงมันล่าถอยไปแล้วเหรอ”
“ พี่รู้”
ผมอดจะอึ้งไม่ได้ที่ว่าพี่ทีแกรู้ว่าไอ้จ๊อบยืนอยู่ข้างหลังทั้งๆที่แกไม่ได้เห็นไปมองสักหน่อย แต่พี่รหัสผมเพียงแต่ยักไหล่พูดเรื่อยๆ “ กูเห็นตั้งแต่มันวิ่งตามมึงมาจากคอนโดแล้ว”
“....”
“ พี่ที คือผม”
“ เต้ย”
“....”
“ เรื่องที่กูพูดไปเมื่อกี้...” พี่แกสบสายตากับมองตรงๆ แววตาคู่คมเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงจัง “ กูพูดจริงนะ”
“ พี่”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ ผมไม่รังเกียจในสิ่งที่ได้ยินหรอก ผมไม่เคยรังเกียจพี่ที แต่ผมอดประหลาดใจไม่ได้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนผมคาดไม่ถึง ส่วนหนึ่งในอกผมมันกำลังฟูฟ่อง เย็นฉ่ำ แต่อีกส่วนก็เย็นเฉียบ หนักหน่วง และจุกเสียด ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับพี่ทีกันแน่ ผมไม่แน่ใจตัวเอง ผมรู้แค่ว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้ๆพี่ที ผมสบายใจ และเต็มไปด้วยความไว้วางใจ ถ้าเปรียบพี่ทีเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนคงเต็มไปด้วยหมู่ดาวที่รายล้อมซึ่งระยิบระยิบส่องแสงสวยงามและให้ความอ่อนโยน ส่วนความรู้สึกเวลาที่ผมอยู่ใกล้ๆไอ้จ๊อบเหมือนผมอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่ร้องแรง และอาจแผดเผาเวลาเข้าใกล้ แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสั่นไหวหัวใจทุกครั้งที่ได้สัมผัส
“ เป็นกูไม่ได้เหรอ”
“....”
“ พี่ชอบผมเหรอ” ผมกลั้นใจถามออกไป
“ คงงั้นมั้ง”
“ จริงเหรอพี่”
พี่ทีสบตากับผมตรงๆ แววตาคู่คมเต็มไปด้วยเสน่ห์คู่นี้ด้วยแน่วแน่มั่นคงจนผมอดสะท้อนในใจไม่ได้ “ กูไม่เคยขอคบกับคนที่กูไม่ได้ชอบ”
“ ผม..”
“ ไม่รู้เหมือนกันว่ากูรู้สึกตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าอยู่ใกล้ๆกับมึงมันสบายใจ”
“..ผม ก็ สบายใจเวลาอยู่ใกล้กับพี่”
“ สบายใจพอที่จะรักรึเปล่าวะ”
“ผม...”
“ อย่าเพิ่งตอบตอนนี้เลย มึงอาจจะกำลังสับสน” พี่ทียิ้มเรื่อยๆลูบบ่าผมเบาๆ “...เพราะมึงเองก็ไม่ควรตอบรับกับคนที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ”
“ พี่”
“ เต้ย” พี่ทีถอนใจแรงๆ แล้วโน้มใบหน้ามาใกล้ๆกับใบหน้าผม “...อย่าคิดว่ามึงถูกบังคับให้ต้องเลือก เพราะแท้จริงแล้วมึงคือคนที่สามารถเลือกได้ต่างหาก”
“....”
“ ครับ”
“ ถ้าจะดีนะ...” พี่แกอมยิ้มนิดๆ “...ให้กูเป็นตัวเลือกแรกก็ดี”
“ พี่ที”
อดหน้าแดงไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นตรงปลายจมูกตัวเอง
“ พี่จะรอ”
ผมยิ้มน้อยๆตอนที่พี่แกทำหน้าล้อเลียนผม บอกแล้วไงว่า เวลาอยู่ใกล้พี่รหัสทีไรผมสบายใจทุกที ....Rrrrrrrrrrr....
เสียงโทรศัพท์ที่เพิ่งเปิดเครื่องแล้วชาร์ตแบดดังขึ้นเรียกครั้งแรกตั้งแต่กลับบ้านในครั้งนี้ ผมค่อยๆเคลื่อนตัวไปรับสายแล้วต้องแปลกใจเมื่อสายเรียกเข้าเป็นคนที่ไม่คาดว่าจะโทรมา
“ ฮัลโหล”
“ เต้ย”
“ อืม”
“ มึงติดต่อไอ้จ๊อบได้มั้ย” ผมขมวดคิ้วๆให้กับปลายสายซึ่งคือไอ้เต็ปเพื่อนสนิทของไอ้จ๊อบ จะไม่ให้แปลกใจยังไงไหวในเมื่อคนที่มันถามหา ป่านนี้ก็น่าจะเรียนอยู่ด้วยกัน แต่ทำไมถึงโทรมาถามแบบนี้
“ มีอะไรหว่ะ”
ปลายสายถอนหายใจ “...มันไม่มาเรียนสองวันแล้ว” คงเป็นสองวันที่ผมกลับบ้านสินะ
“ แล้ว..” ผมกลั้นใจถามต่อ
“ พวกกูติดต่อมันไม่ได้ โทรไปไม่รับ สุดท้ายแม่งปิดเครื่อง ไปหาที่คอนโดก็ไม่มีคนอยู่ นึกว่ามันอยู่กับมึง”
“ เปล่านี่”
“ พวกกูไม่เห็นมันตั้งแต่วันที่มึงป่วยไปนอนตอนโดมันแล้ว”
“ อืม”
...แค่อืม... ผมตอบไปอย่างนั้นเพราะจนด้วยคำพูด ทุกอย่างมันอัดแน่นอยู่ในอก ผมอยากถาม อยากรู้ว่าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง แต่ก็แค่นั้นเพราะน้ำเสียงที่ออกจากลำคอมันเปล่งได้แค่นั้นจริงๆ
“ อืม แค่อืมเหรอวะ โอ้ย พวกมึงเป็นเพื่อนกันประสาอะไรวะ กูนี่ไม่เข้าใจพวกมึงจริงๆ”
หลังจากนั้นไอ้เต็ปก็พูดบ่นเกี่ยวกับเพื่อนมันไปเรื่อย ส่วนผมแค่นิ่งฟังเฉยๆ จริงๆผมไม่ได้ฟังด้วยซ้ำมือที่กำโทรศัพท์ผมเย็นเฉียบ ใจผมกำลังเต้นรัว
มันไปไหน
มันเป็นอะไร
เกิดอะไรขึ้นกับมัน
คำถามเหล่านี้ดังขึ้นในหัว แต่ไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้
“ มึงรู้มั้ย..” ผมนิ่งฟังเงียบๆ
“ ไอ้จ๊อบมันเลิกกับลูกตาลแล้วนะ” เลิกกัน
เลิกคบกัน
จ๊อบเลิกกับลูกตาล
ผมปล่อยให้ปลายสายเงียบไปในที่สุด ในหัวมีแต่ความอื้ออึ้ง ไม่ได้ยินดี ไม่ได้ดีใจ แต่กำลังเจ็บแปลบ ทั้งๆที่เขาเลิกกัน ทำไมผมถึงไม่ดีใจเลยสักนิด
นิวฟีดในเฟสบุ๊คเด้งขึ้นนั่นทำให้ผมต้องขมวดคิ้วจ้องมองจอคอมฯด้วยหัวใจที่เต้นแรง มันอัพสเตตัสเป็นเนื้อเพลงๆหนึ่ง เป็นสเตตัสที่เพิ่งอัพขึ้นไม่กี่นาที ผมจ้องมองเนื้อหาบนสเตตัสมันด้วยความประหลาดใจ
มันเหมือนมีอะไรดึงดูดผมให้กดเข้าไปฟังเพลงที่มันเอามาแชร์ แค่เพียงดนตรีที่ดังขึ้นก็ทำให้ผมนิ่งงัน เนื้อหาในเพลงทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของผมกับมันที่เกิดขึ้นมาอดีต เหตุการณ์แรกที่สร้างความประทับใจ และก่อให้เกิดความรู้สึกของผมที่เปลี่ยนไป ผมไม่รู้ว่าอนาคตในตอนนี้มันจะเป็นยังไง ผมรู้แค่ว่าในวันนั้นมีแค่ผมกับมัน ...มีแค่เรา...
https://www.youtube.com/watch/v/dl54P7DmEi8 ฟังเพลงใจความสำคัญ เรื่องราวในวันนั้น ความฝันของเธอและฉัน
ยังไม่คิดจะผูกพัน แค่มีกันมันไปอย่างนั้น
[/b]
“ อย่าทำแบบนี้อีก ถ้ามึงเป็นอะไรไปกูจะทำยังไง”
“ มึงห่วงกูเหรอ”
“..อืม กูห่วงมึง ห่วงมาก เพราะมึงเป็นเพื่อนรักของกู”เมื่อเรานั้นคิดจะปิด ทุกความสัมพันธ์ใด ๆ
ร่างกายมีเพียงแค่ฉันและเธอ
และในวันที่มันเปิด ยอมรับเรื่องราวไม่ได้
สุดท้ายว่าเรามีกันเสมอ
[/b][/i]
ผมเคยถามมันว่าทำไมมันถึงมาขลุกอยู่แต่กับผมทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นสาเหตุให้มันต้องเลิกกับแฟน ทำให้มันต้องอึดอัดกับสายตาบรรดาเพื่อนผู้หญิงเวลาเราสองคนอยู่ด้วยกัน
“ มึงไม่เบื่อเหรอที่วันๆซ้อมบาสอยู่แต่กับกู”
“ ไม่นิ”
“ มึงชอบเล่นบาสเหรอจ๊อบ”
“ เปล่า”
“....”
“ กูชอบที่จะเล่นกับมึง” มันยิ้มบางๆพูดไปเรื่อย “...มึงกับกู”เมื่อก่อนเราไม่คิดจะรัก เเละเรายังไม่เข้าใจ
ว่าอะไรที่โยงใยความผูกพัน
[/i]
ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องบ้าที่อยู่ๆก็ทำเรื่องโง่ๆด้วยการตั้งสเตตัสแปลกๆ ทำได้แค่เพ้อเจ้อไปเรื่อย คงมีคนสมเพชผมที่อ่อนแอจนไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรได้ หึ ผมมันแย่ แต่ผมไม่อยากจะก้าวเข้าไปหามันในวันที่มันกำลังต้องการเวลา และมันอาจไม่ต้องการคนอย่างผมแล้ว
“ กูชอบมึงหว่ะ”
“ เต้ยอย่าล้อกูเล่น”
“ กูพูดจริง...” มันทำหน้าจริงจังจนผมนิ่งอึ้ง “...กูชอบมึงหว่ะชอบมานานแล้ว ชอบตั้งแต่ม.สาม กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้กับมึง แค่มึงคนเดียว กูก็คิดนะโว้ยว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองตลอดไปแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหว่ะ กูต้องบอกอะไรมึงสักอย่างไม่งั้นมันคงค้างคาแบบนี้ตลอดไป”
“ กูไม่รู้มาก่อน..” ผมถอนใจ ผมไม่รู้มาก่อนจริงๆ ไม่เคยรู้เลย
“...ไม่รู้จริงๆหว่ะ ว่ามึงรู้สึกแบบนี้ แต่กูเป็นผู้ชายและกูไม่เคยชอบผู้ชาย”
นั่นเป็นสิ่งที่ผมพูดในตอนนั้น เป็นสิ่งที่คิดได้ในตอนนั้น ทั้งๆมันต่างจากความเป็นจริงในตอนนี้
“...แต่กูไม่ได้เป็นเกย์และคงไม่มีทางชอบผู้ชาย”
หึ ไม่ได้เป็นเกย์เหรอ ไม่ได้ชอบผู้ชายงั้นเหรอ เหอะ แม่งเอ้ย
“ กูชอบมึงเต้ย กูชอบมึงได้ยินมั้ยเต้ย”
เติบโตแล้วได้เรียนรู้ ในวันที่สายเกินไป
ว่าอะไรมันคือใจความสำคัญ
[/i]
“ คบกับกูมั้ย” สายเกินไปงั้นเหรอ
สายเกินไปรึเปล่า
เต้ยมันตอบตกลงกับพี่รหัสมันรึเปล่า
หึ ผมมันขี้ขลาดจริงๆ ที่ไม่ยืนรอฟังคำตอบของมัน คำคอบซึ่งเป็นทั้งจุดเริ่มต้น หรือ จุดสิ้นสุดระหว่างมันกับผม
ฉันและเธอ
มึง และ กู
[/i][/b] [/color=blue]
มันต้องเป็นเรื่องบ้าๆ ถ้าอยู่ผมจะฟังเพลงแล้วนั่งปาดน้ำตาไปด้วย แต่มันเป็นเรื่องจริงเพราะผมปล่อยน้ำตาให้ไหลเมื่อฟังเพลงจบ สุดท้ายผมเองก็กลั้นสะอื้นไว้ไม่ไหวคราวนี้ทั้งน้ำหูน้ำตาไหลพรากๆราวกับเขื่อนแตก สุดท้ายผมคว้ามือถือขึ้นมาแล้วกดสายไปยังปลายสายที่เพิ่งวางไปได้ไม่นาน
“ เต็ป” เสียงผมสั่น
“ ว่าไงมึง”
“ ไปดู..ให้กูหน่อย”
“ อะไรนะ”
“ จ๊อบมันอยู่ที่คอนโด ไปดูมันให้กูหน่อย”
...ตู๊ดๆๆๆๆๆ... .........
.........
“ อะไรของพวกมันวะ”
เต็ปส่ายหัวกับปลายสายที่วางไปโดยที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง
“ แปลกๆ ไอ้พวกนี้”
“ แปลกอะไรหมาเต็ป”
หึ หมาเต็ป คนเดียวที่เรียกคงมีคนเดียว ผมเงยหน้าจอจากโทรศัพท์ทันเห็นใบหน้าขาวพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ ปลายจมูกมันแดงกล่ำเพราะอากาศที่ร้อน หน้าตามันน่ามองไม่หยอก
“ มองเหี้ยไร”
ยกเว้นปาก แม่ง ความน่ารักน่ามองดับวูบทันทีที่ลิ้นมันกระทบฟันจนเกิดเสียง เสียงมันก็น่าฟังไม่น้อยจะต้องกลับคำพูดก็ตรงถ้อยคำที่เปล่งออกมานั่นแหละ มันยักคิ้วมองกวนๆก่อนจะแกะกระดุมเสื้อนิสิตที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะก่อนหน้านี้เราเล่นบาสกันหลังเลือกเรียน
“ ทำเหี้ยไรแฮม”
ผมรีบตะครุบมือมันที่กำลังจะถลกเสื้อนิสิตออกด้วยความร้อนในที่สาธารณะกลางลานบาสแบบนี้
“ กูร้อน”
“ ห้ามถอด”
“ เรื่อง..” มันแบะปากใส่ผมก่อนจะปัดมือผมแรงๆแล้วเตรียมแกะกระดุมเม็ดสุดท้ายออก
“ กูบอกห้ามถอด” ผมบอกมันอย่างหัวเสียและเริ่มรู้สึกหงุดหงิด มันไม่รู้เลยรึไงว่ากำลังเป็นที่จับตามองยิ่งตัวขาวๆ บางๆอย่างงี้มาถอดเสื้อโชว์ พวกเสือหิวทั้งหลายไปกระโจนตะครุบให้มันรู้ไป
“ เป็นพ่อกูไง”
“ หึ”
...ฟอด...
“ มึง”
ไอ้แฮมทำตาโตยืนกุมแก้มหน้าดำหน้าแดง อีกมือนึงทุบอกผมเต็มแรง
“ เล่นเหี้ยไรนี่ย”
“ แฟนเซอร์วิสไง” อ่านะ พอดีทุกครั้งที่พวกผมรวมตัวเล่นบาสด้วยกันก็มักจะมีสาวๆจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผมกับไอ้แฮมมีโอกาสได้ลูกแล้วต้องแย่งกันเพราะมักเล่นอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน สาวๆอีกได้ใจ ได้ใจอะไรหน่ะเหรอ ก็จังหวะคลุกวงในกันอย่างใกล้ชิดไง
“ เซอร์วิสพ่อง”
มันหัวเสียก่อนจะคว้าเอาผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ใกล้มึงฟาดใส่ผมเต็มๆ
“ หึ”
"หัวเราะอะไร” มันทำเสียงเขียวใส่หน้าตาเอาเรื่อง ท่าทางเหมือนลูกแมวกำลังขู่อะไรบางอย่างจนผมอดปากดีใส่ไม่ได้
“เรื่องของกู”
“ ชิ”
“ หรืออยากให้เป็นเรื่องของเรา” คราวนี้ยักคิ้วใส่มันหน่อย
“เชี่ย” มันทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะเหวี่ยงค้อนให้ผมอีกที ผมจึงอดจะแหย่มันต่อไม่ได้ “ เขินกูเหรอ”
แก้มมันแดงก่อนจะโต้กลับด้วยการตะโกนใส่หูผมเต็มๆ “ พ่องงงงงง”
ไม่ใช่ความรักที่เราฝันใฝ่ มันคือความรักที่เราเข้าใจ
ฉันและเธอ ฉันและเธอ ฉันและเธอ
ผมไม่โกรธมันหรอกครับ หึ ส่ายหัวมองตามแผ่นหลังที่วิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำในตึกเรียน
บางครั้งเรื่องความรักก็ไม่ยากอย่างที่คิดมั้ง
...เพราะมันเป็นเรื่องของเรา เรื่องของฉันและเธอ มึงและกู...
**** ให้เครดิตกับ (เพลงใจความสำคัญ ของศิลปิน Musketeer)

อย่างที่บอกถ้าอยากอินและหน่วงต้องฟังเพลงประกอบการอ่านด้วยนะเออ 555
ตอนนี้อ่านรู้เรื่องกันมั้ยจ๊ะ แบบอาจจะงงๆเนอะ คนแต่งเพิ่งฟื้นไข้ อิอิ
ส่วนตัวชอบเพลงนี้ค่ะมันทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตเลยนำมาผูกเป็นเรื่องราว
อิอิ เค้าอ่านคอนเม้นท์ทุกคนนะ หึ ขอโทษด้วยจ๊ะที่ทำให้บางคนค้างคา
จนแอบคลั่งในความหน่วง

ขอบคุณทุกความคิดเห็นและทุกกำลังใจเจอกันตอนหน้าจ๊ะ