ยกที่ 8 : นมหรือยาคูลย์ ...มึนหัว ปวดหัว อยากอ้วก... เป็นความรู้สึกหลังจากที่ผ่านพ้นช่วงมรสุมแห่งการสอบในวิชาสุดท้ายของการสอบครั้งนี้ สภาพของเพื่อนผมแต่ละเรียกได้ว่าวิญญาณคล้ายจะออกร่าง ทุกคนทำหน้าเหมือนกันคือเพลียสุดหลังจากเปิดประตูห้องสอบออกมาแล้วตะโกนโหวกเหวกโวยลั่นด้วยความดีใจ
...เอาน่าถือว่าสอบเสร็จแล้วผลจะออกมาเป็นยังไงค่อยว่ากันอีกที... ไอ้แท็คมันกระซิบบอกด้วยใบหน้าสบายอกสบายใจราวกับคนที่ไม่เคยมีความเครียดใดๆในชีวิตจนผมอดจะยิ้มตามได้ แต่เพราะอาการหนักหัวมาตั้งแต่เช้า ทำยังอาการโรคกระเพาะกำเริบอีกแล้วเพราะมัวแต่อ่านหนังสือจนลืมหาอะไรกินให้เป็นปกติ ผมเลยบุ้ยปากบอกมันก่อนจะเดินบ่ายหน้าไปทางร้านกาแฟมีซึ่งตัวอักษรภาษาอังกฤษสีแดงเหมือนกับชื่อเครือข่ายโทรศัพท์ แถวๆหน้าคณะวิศวะฯ อยากจะหาอะไรกินให้สดชื่นสักหน่อย มันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปพูดอะไรกับว่านก็ไม่รู้เห็นแต่อีกฝ่ายหน้าแดงก่อนจะบ่นอุบอิบเบาๆก้มมองแต่พื้นส่วนไอ้เพื่อนตัวดีก็ได้แต่หัวเราะ ผมจึงอดยิ้มบางๆกับภาพตรงหน้าไม่ได้
สุดท้ายผมมายืนคลึงขมับหรี่ตามองเมนูที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์แล้วเลือกชี้นิ้วไปยังกาแฟปั่นแล้วพาตัวเองไปนั่งไปตรงมุมหนึ่งของร้าน ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกกระจกใสที่สะท้อนให้เห็นบรรยากาศภายในซึ่งมีนิสิตเดินกันควักไขว่ไปมา ผมนั่งนิ่งมองไปเบื้องหน้าอยู่อย่างนั้นและรอไม่นานพนักงานร้านก็นำเอาเครื่องดื่มที่ผมสั่งมาส่งให้ ผมพึมพำขอบคุณก็พอดีกับที่สายตาผมมองเรื่อยไปเห็นอะไรบางอย่าง
...ผมชะงักค้างกับภาพที่เห็น...
ผมรู้สึกหายใจขัดๆ เหมือนมีอะไรติดอยู่ตรงลำคอ เวลากลืนน้ำลายมันถึงขมปากขนาดนี้ ผมหลับตาลงแล้วกำหมัดแน่นจนอาจจะเผลอบีบเครื่องดื่มที่ยังไม่ได้แตะนั่น ทั้งๆที่ภาพที่เห็นเป็นเรื่องปกติของคนรักเขาทำกัน แต่ทำไม ทั้งๆที่บอกหัวใจให้เข้มแข็งแต่จริงๆแล้วมันอดเจ็บแปลบไม่ได้ ถึงมันจะไม่เจ็บปวดเท่าเดิมอีกแล้ว เพราะผมเพียรพยายามบอกหัวใจของตัวเองมาตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
...แต่ถึงยังไงมันก็เจ็บอยู่ดี... ผมฝืนยิ้มอีกครั้งแล้วเพ่งมองภาพตรงหน้าให้เต็มตา พอดีกับที่ฝ่ายนั้นคงจะเห็นผมเหมือนกัน มันทำหน้าตกใจ ทำให้ผมต้องส่งรอยยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดให้มันไปพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย
ผมไม่รู้ว่ารวบรวมสติและใช้ความเข้มแข็งขนาดไหนตอนที่เดินผละหนีมา ความเย็นของกาแฟปั่นไม่ได้ทำให้สติที่หลุดลอยไปกลับคืนมาได้รวดเร็ว
หึ ภาพนั้น ภาพอะไรหน่ะเหรอ
...ภาพลูกตาลหอมแก้มไอ้จ๊อบไง... ....เอี๊ยด... “ เฮ้ย”
“ เดินภาษาอะไรวะ”
“..น้องเดินระวังๆหน่อย”
...อะไร... ...เกิดอะไรขึ้น...
ผมยืนอึ้งโดยมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นด้านหลัง จนต้องเอี้ยวตัวหันกลับไปมองเห็นไอ้เพื่อนสนิทของผมมันเกิดบ้าอะไรไม่รู้วิ่งข้ามถนนในมหาลัยซึ่งไม่แคบไม่กว้างแต่รถก็วิ่งผ่านไปมาเรื่อยๆ แต่ความกล้าของมันคือวิ่งตัดหน้ารถโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ก่อนเถล่อถล่าจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
มันก้มตัวหอบก่อนจะเอื้อมมือมาเกลี่ยดวงตาของผมเบาๆ
“ มึงร้องไห้ทำไม” “.....”
ห่ะ ร้องไห้ ร้องไห้ อีกแล้วเหรอ ถึงว่ามองทางไม่ค่อยเห็นเลย
“ เปล่า..” เสียงผมแหบพร่า “..กูเปล่า”
“ มึงโกหก”
“ กูไม่....”
“ เป็นอะไรเต้ย...บอกกูมา”
“......”
“ ไม่เป็นไร”
“ เฮ้ย...ทำไมถึงทำให้กูห่วงจังวะ” มันทำหน้าเคร่งเครียดมือล้วงไปในกางเกงเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้
“ มึงร้องไห้ทำไม ใครทำอะไร” “ ปะ เปล่า”
“ เต้ย”
“ กูไม่เป็นไร”
”....”
มันถอนใจเบาๆก่อนจะหรี่ตามองข้ามไหล่ผมไปเพื่อประสานตากับใครบางคน
“ เต้ย”
“....”
“ เป็นอะไร” ผมทำหน้าอ้ำอึ้งจนพี่รหัสที่วิ่งไปจากไหนไม่รู้มายืนซ้อนหลังผม พี่ทีจับข้อมือผมแล้วเขย่าเบาๆใบหน้าอ่อนโยนของรุ่นพี่หนุ่มเรียกความรู้สึกสบายใจ “ ไม่เป็นไรนะ”
“ ครับ”
“ พี่ทีคือผม...”
พี่ทีลูบหัวผมเบาๆ “...พี่รู้ๆ”
“ กลับหอมั้ยเดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมส่งยิ้มบางๆให้พี่แก จนลืมว่ามีใครอีกคนที่ยืนกำผ้าเช็ดหน้าอยู่ข้างๆ พอรู้ตัวผมจึงหันไปหามันที่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ จ๊อบ...” มันมองผมนิ่งๆ “ กูไปก่อนนะ”
“ อืม...”
ผมยิ้มบางๆให้มันอีกครั้งก่อนจะเดินไปตามแรงจูงของพี่รหัส ถ้าไม่ติดว่ามืออีกข้างนั้นมันดึงไว้อยู่ ภาพตอนนี้เหมือนผมอยู่ตรงกลางมือขวามีพี่ทีกุมไว้ ส่วนข้อมือซ้ายไอ้จ๊อบมันจับไว้เบาๆ
“.....”
“ กูไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ”
“ อืม”
ตอนที่ผมเดินออกมานั้นผมได้มีโอกาสมองสบตากับลูกตาลแฟนสาวของไอ้จ๊อบ ไม่รู้ว่าหญิงสาวมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน เธอยิ้มบางๆสบสายตากับผมแต่ทำไมแววตาของเธอถึงเศร้าแปลกๆ
*****************************************
“ จะอ้วกหว่ะพี่”
ผมพูดขึ้นตอนที่นั่งหลับตานิ่งอยู่ในรถป๊อบคันสีชมพู (รถโดยสารภายในมหาวิทยาลัย) สาย2 ซึ่งมีระยะทางจากมหาวิทยาลัยฝั่งนี้ไปยังหอในและคณะโซนวิทยาศาสตร์สุขภาพ หลังจากคำบอกเล่าของผม พี่ทีแกก็ทำอะไรไม่รู้ได้ยินแต่เสียงเปิดฝาขวดน้ำ ก่อนจะรับรู้ถึงผ้าเช็ดหน้าที่เปียกหน่อยๆมาวางไว้ตรงหน้าผาก ผมจึงเปิดเปลือกตาเพื่อหรี่มองใบหน้าคมคายของรุ่นพี่หนุ่ม
“ ขอบคุณนะพี่”
“ อืม”
“ แต่ว่า...” ตาที่ขยับจะปิดลงจึงลืมขึ้นอีกครั้ง “...เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้มั้ยวะ”
“ อะไรครับ”
“ ไว้พร้อมแล้วกูจะบอก” พี่แกยิ้มกว้างๆจนผมต้องยิ้มตามอีกแล้ว
“ ผมจะรอนะพี่”
..........
..........
“ ไหวแน่เหรอเต้ย”
คนพูดคือไอ้แฮมรูมเมทซึ่งมันกำลังเตรียมตัวออกไปฉลองที่สอบเสร็จกับกลุ่มเพื่อนแถวสวนหลวง มันกำลังทำหน้าครุ่นคิดเพราะเห็นอาการผมตั้งแต่กลับมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนซึ่งพอถึงห้องผมก็นอนหลับตานิ่งด้วยใบหน้าซีดเซียว
“ อืม”
“ หน้ามึงซีดมากเลยหว่ะ”
“ .....”
“ กูว่ากูโทรไปยกเลิกกับพวกนั้นดีกว่า จะได้อยู่เฝ้ามึง” พอได้ยินว่ามันจะต้องยกเลิกนัดเพราะผม ผมเลยรีบลืมตาขึ้นทันที
“..ไม่เป็นไร กูไหว มึงไปเถอะ”
“ แต่ว่า..”
“ ไหวจริงๆ เดี๋ยวได้หลับสักตื่นคงดีขึ้น”
“ เอางั้นเหรอ”
“ เออ”
แฮมมองภาพรูมเมทที่หน้าขาวซีดแทบจะเป็นกระดาษอย่างเห็นใจ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเห็นว่าโหมอ่านหนังสือหนัก โดยเฉพาะช่วงสองสามวันที่ผ่านมาที่หามรุ่งห้ามค่ำดึกดื่น จนบางครั้งก็ไม่เห็นว่ามันได้กินข้าวกินปลา เมื่อวานก่อนก็บ่นปวดหัวและอาเจียนเพราะโรคกระเพาะ ครันจะพาไปหาหมอมันก็ดึงดันว่ามียาเดี๋ยวกินแล้วก็หาย
..เฮ้ย หัวดื้อชะมัด..
แฮมถอนหายใจตอนที่มันยังอุตส่าห์ส่งยิ้มให้ตอนที่เปิดประตูห้องออกไปมา รูทเมทวิศวะหน้าขาวจึงทำหน้าครุ่นคิดอีกครั้งก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมือถือขึ้นมา
“ เชี่ยเต็ป..” อดหงุดหงิดกับปลายสายไม่ได้ที่พอกดรับแล้วเอ่ยคำทักที่ชวนสยอง
...ว่าไงจ๊ะคนสวย... สวยพ่อง แฮมนึกอยากให้ไอ้จอมทะเล้นนั่นอยู่ใกล้ๆมือซะจริงจะตบให้หัวหลุดเชียว
“ ฮ่าๆๆ” ปลายสายหัวเราะขำ
“ เชี่ย ขอให้กรามค้าง”
“ สวย เผ็ด ดุ....” ไอ้เต็ปยิ่งขำหนัก
“...สเป็คกูเลยดิ” “ แม่ง พอๆไอ้หมาเต็ป ที่กูโทรหาเพราะอยากให้มึงช่วยไปบอกไอ้เจ้าเพื่อนโง่ๆของมึงด้วยว่า น้องยาคูลย์ไม่สบาย มาดูใจด่วน ไม่งั้นกูจะโทรหาพี่รหัสมันนะ”
“ อ้าวนึกว่าโทรหากูเพราะคิดถึง” “ ไปตายซะ ไอ้หมาเต็ป”
เสียงที่ตอบกลับมายังคงเป็นเสียงขำขัน ก่อนจะเป็นงานเป็นการไถ่ถามถึงอาหารรูมเมทเขาแล้วรับปากว่าจะโทรบอกเรื่องนี้ให้ไอ้เดือนวิศวะปีนี้ได้รับรู้
........
“ อืม”
“....”
“ แหวะ”
ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่มองไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มคงเป็นเวลาเย็นพอสมควรแล้ว ผมลุกขึ้นขยี้ตาแล้วรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายกับจะอ้วกแต่พอถลาไปโก่งคอตรงชักโครกก็ไม่มีสิ่งใดไหลออกจากคอนอกจากน้ำลายที่เปรี้ยวคอจนต้องเบ้หน้า ก็จะให้มีเศษอาหารอะไรออกมาได้ในเมื่อวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้แตะอาหารเลยด้วยซ้ำ พอคิดว่าควรต้องหาอะไรใส่ท้องให้ตัวเอง ผมเลยตัดสินใจล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะคว้ากระเป๋าตังค์และกุญแจห้องติดมือมาเพื่อไปหาอะไรกินที่โรงอาหารหอใน
ตอนที่ออกจากลิฟท์นี่แหละทำเอาหัวหมุนแทบจะทรงตัวไม่ได้ต้องยึดจับราวบันไดทางลงจากอาคารหอพักประคองตัวไว้ได้ ผมรู้ทันทีว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออาการหน้ามืด และยังไม่ทันที่ผมจะหงายหลังเอาหัวโหม่งพื้นดิน ก็มีมือใครบางคนรวบเอวผมไว้พร้อมกับโวยวายดังลั่น
ภาพตรงหน้าเบลอจนแทบมองไม่เห็นทุกอย่างดูเลือนรางไปหมด แต่ในความมืดย่อมมีแสงสว่างที่ทอดส่องมา ผมเลยเห็นใบหน้าแบบนี้ ดวงตาคู่นี้ รอยยิ้มที่สว่างเจิดจ้าเช่นนี้ ดูคุ้นเคยจนต้องเอื้อมมือไปคว้าปลายคางของอีกฝ่ายก่อนที่ผมจะไม่รู้รู้ความรู้สึกใดๆ เสียงๆหนึ่งกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา
“ เต้ย”
....พี่ทีเหรอ พี่ทีงั้นเหรอครับ...***สวัสดีวันพ่อค่ะ หวังว่านักอ่านคงมีความสุขกันในวันนี้เนอะ อิอิ
วันนี้เอามาเสริ์ฟให้จิ๊ดนึงก่อนเนอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่ำๆมาต่อละกัน
แอบมีเต็ปแฮมให้คลายเครียดจากอิจ๊อบซะหน่อย อิอิ
เอาใจช่วยน้องเต้ยด้วย ว่าจะนมหรือยาคูลย์ดี ลุ้นๆๆๆ
แต่กระซิบนิดนึงว่าเรื่องนี้วางพล็อตพระเอกไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว และ
ไม่มีทางเปลี่ยนแน่นอนค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ชอบความคิดเห็นที่ว่าอยากให้เปลี่ยนชื่อจาก "เล่นเพื่อน"เป็น "เล่นพี่"
อิอิ ส่วนตัวชอบนะชอบ เป็นความคิดที่ดีค่ะ ฮ่าๆๆ
