Embrasse-moi the Series
Mon Fiancé
Chapter 6 มีคู่ตุนาหงัน (1/3)
เหมยฮวา ชื่อของหล่อนแปลว่าดอกเหมยดอกเหมยหรือดอกบ๊วยเป็นดอกไม้ที่มีกลีบขาวพิสุทธิ์ประดุจหิมะแห่งเหมันต์ฤดู ก้านของดอกเหมยมีสีเขียวสดคล้ายสีหยก ความหอมของดอกเหมยกรุ่นกลิ่นกำจายจนได้สมญาว่าเป็นยอดแห่งดอกไม้หอมทั้งมวล สิ่งที่คุณนายใหญ่และดอกบ๊วยมีเหมือนกันคือความทรนง ในเหมันต์ฤดูที่แสนหนาวเหน็บดอกไม้และต้นไม้อื่นๆพากันเหนี่ยวเฉาสลัดทิ้งใบจนหมดสิ้นแต่ดอกเหมยกลับบานเบ่งต่อสู้กับหิมะที่โปรยปราย ดอกเหมยยืนหยัดท้าทายความหนาวเหน็บ เบ่งบานตลอดจนฤดูหนาวผ่านพ้นไป
เหมยฮวามองชีวิตตัวเองเหมือนดอกบ๊วยชูช่อในฤดูหนาว
‘หกล้มแค่นี้ไม่เจ็บหรอก’ หล่อนยังจำคำปลอบประโลมของพี่ชายคนรองตอนหล่อนหกล้มได้ คำพูดของพี่ชายอบอุ่นพอๆกับฝ่ามือที่คอยลูบหัวเธอเบาๆ ‘ต่อไปลื้อต้องเจอปัญหาที่หนักหนาเกินแบกรับจนทำให้ลื้อมองการหกล้มในวันนี้เป็นเรื่องเล็กไปเลย’
‘แล้วอั้วจะผ่านเรื่องใหญ่ขนาดนั้นไปได้ยังไงล่ะเฮีย’
‘ผ่านได้สิถ้าลื้ออดทนและยืนหยัดด้วยความแข็งแกร่ง อั้วเชื่อว่าลื้อทำได้เหมยฮวา’
ดอกบ๊วยของเฮียฟงได้ชูช่อต้านลมหนาวและเผชิญพายุหิมะมานักต่อนัก เหมยฮวาจึงกลายเป็นหญิงเหล็กแห่งวงการธุรกิจที่ใครๆต่างยอมรับนับหน้าถือตา ทุกปัญหาทุกอุปสรรค์หล่อนก้าวข้ามมาได้อย่างสง่างาม หากในวันนี้หล่อนรู้สึกราวกับว่าพายุลูกใหม่กำลังจะก่อตัว ความหนาวเหน็บแฝงเร้นในซอกหลืบเหลี่ยมเขา อันตราย… แต่เร้นลอดจากคลองสายตา
“มีคนอื่นเข้ามาแทรกแซงครับ” ชายหนุ่มร่างกายกำยำในสูทดำยื่นซองรูปภาพให้หญิงสูงวัย “คาดว่าตั้งใจทำให้ถึงขั้นเลือดตก
ยางออก”
เหมยฮวามองรูปที่หลานชายตัวเองเอาตัวบังเด็กหนุ่มร่างบางเอาไว้ขณะหลบอิฐบล็อกที่มีคนทุ่มลงมาจากชั้นบน “ไม่ใช่แค่จะ
ทำให้บาดเจ็บหรอกนายชาติ นี่มันตั้งใจเอาชีวิตกันต่างหาก”
“พวกเราตามไปไม่ทัน แต่นักสืบทันเห็นเหตุการณ์พอดีครับคุณนายใหญ่”
“งานนี้อันตราย เราต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย”
“ครับ” นายชาติโค้งคำนับก่อนจะออกไป ทิ้งให้หญิงสูงวัยจมอยู่กับความคิด
ภายในห้องทำงานที่เงียบเชียบจึงมีเพียงเสียงความคิดของหล่อนที่ดังก้องอยู่ในใจ หล่อนจะรักษาสัญญา… ไม่ใช่แค่เพียงคำพูดที่ให้ไว้กับเพื่อนรัก แต่ลึกๆเหมือนหล่อนกำลังทำเพื่อพี่รอง พี่ชายที่มีนามว่าสายลม… ฟง…
ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน แสงจันทร์นวลเล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาร่างบางค่อยๆห่มผ้านวมผืนหนาให้กับชายหนุ่มที่เขาไล่ลงจากเตียง นาวามองตรีเพชรนอนหลับอยู่บนถุงนอนที่เขาปูไว้ อกหนาของชายหนุ่มกระเพื่อมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดวงตาเรียวรีคู่นั้นปิดสนิท นาวาแอบมองเสี้ยวหน้าของตรีเพชรที่อาบไล้แสงจันทร์
“นายน่ะอยู่เฉยๆเงียบๆแบบนี้ก็น่าเอ็นดูดีอยู่หรอก” นาวาเหมือนบ่นกับตัวเองก่อนจะปีนขึ้นเตียง ทิ้งตัวลง และหลับตา
ความเงียบโปรยตัวลงมาอีกครั้งหลังจากเสียงนาวาพลิกตัวห่มผ้า ทั้งห้องเงียบเชียบ ทว่าเป็นความเงียบที่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัด คล้ายว่าความเงียบของรัตติกาลเป็นเสียงเพลงขับกล่อมให้ทั้งสองหลับฝันดี แสงจันทร์สาดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เห็นร่างบางนอนตะแคงไปทางด้านที่มีคนนอนอยู่ข้างเตียง ลมหายใจของหนุ่มน้อยสม่ำเสมอ ดวงตาที่มีแพขนตายาวปิดสนิท ผ้าห่มคลุมร่างบางแค่เพียงช่วงเอว
ตลอดเวลาตรีเพชรยังไม่หลับ
ดวงตาเรียวรีคู่นั้นลืมขึ้นเมื่อความเงียบคืบคลาน นัยน์ตาสีนิลมองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียง แววตาซื่อใสของชายหนุ่มทอดมองเรือนร่างแบบบางภายใต้เสื้อยืดตัวโคร่งที่ทำให้ไหล่มนเกือบโผล่ออกมาจากคอเสื้อ ตรงลาดไหล่ตรีเพชรเห็นรอยจ้ำที่ตัวเองทำเครื่องหมายไว้ แววตาของชายหนุ่มทอดมองห่วงใย นัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้นกำลังพูดกับคนที่นอนอยู่บนเตียง แม้รู้ดีว่าคำพูดจากสายตาของเขาไม่มีทางไปถึงเด็กน้อยคนนั้น
มือหนาของชายหนุ่มก่ายหน้าฝากก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
‘คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว’ ตรีเพชรคิดในใจ ‘ไม่อยากล่วงเกินให้นายต้องเสียหาย สัญญาจะควบคุมตัวเองให้ได้…’
คุณเพชรคิดถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองโดนเด็กน้อยลงโทษให้นอนเฝ้าเตียง กลิ่นพวงแก้มและเรือนกายของนาวายังคงติดจมูก มันเป็นกลิ่นหอมบางๆที่หวานคล้ายกลิ่นขนมเค้ก หากให้แจกแจงว่าเป็นกลิ่นแบบใดตรีเพชรก็คงจนปัญญาที่จะพรรณนา ทว่าความหอมหวานนั่นเองที่ทำให้เขาหยุดยั้งความต้องการของตัวเองไม่ได้
‘สองครั้งแล้วที่เกือบหยุดตัวเองไม่ได้ ถ้าฉันยั้งตัวเองไม่อยู่คนที่จะเสียใจคือฉันเองสินะ… ดู ดูสินั่น ขนาดนอนยังจะหันหน้ามาทางนี้อีก ไหล่นั่นก็ตั้งใจให้เห็นใช่ไหม เด็กอะไรทำตัวน่าตีชะมัด หัดระแวดระวัง หัดหวงเนื้อหวงตัวเสียมั่ง ฉันเป็นผู้ชายมีเลือดมีเนื้อนะ จะมานอนโชว์รอยจูบอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ เฮ้อ….. ดื้อ พูดแล้วยังไม่ฟัง!’ ชายหนุ่มยังคงมองมาทางนาวา สายตาของเขาเอื้อนเอ่ยคำพูดที่เด็กน้อยไม่มีทางได้ยิน
‘ฉันไม่ปลื้มนักหรอกนะที่มัวแต่หนีงานหมั้นน่ะ แต่เพราะนายคนเดียวรู้ไหม…
ในหัวฉันมีแต่นายเต็มไปหมด…
เพราะคิดถึงแต่นายมากเกินไป
…ฉันเลยหมั้นกับใครไม่ได้’
ตรีเพชรถอนหายใจอีกครั้ง ร่างสูงยันตัวขึ้นนั่ง สายตาของเขายังคงทอดมองไปที่นาวาไม่มีเปลี่ยน แล้วน้ำเสียงอบอุ่นไพเราะของเขากระซิบออกมาเบาๆ
“เวลานายหลับก็น่ารักดีเหมือนกันนะ เพราะน่ารักแบบนี้ใช่ไหมฉันถึงมีแต่เรื่องของนายอยู่ในหัวตลอดเวลา…”
มือหนาของตรีเพชรเอื้อมไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้านาวาอย่างแผ่วเบา แล้วดึงผ้าห่มคลุมร่างแบบบางนั้นให้มิดชิด
“ขอโทษที่ล่วงเกิน ขอบใจที่ทำแผลให้” ตรีเพชรโน้มตัวไปหานาวาที่นอนอยู่บนเตียง จมูกคมสันของเขาจรดเส้นผมหอมอ่อนๆของนาวา ริมฝีปากอุ่นของตรีเพชรสัมผัสหน้าฝากนาวาอย่างแผ่วเบา
“…ฝันดีนะตัวยุ่ง”
ตรีเพชรทิ้งตัวลงนอน ห่มผ้า และหลับตา ชายหนุ่มคิดว่าคืนนี้เขาคงฝันดี ฝันเห็นผีเสื้อน้อยกระพือปีก
แล้วความเงียบก็โปรยตัวลงมาอีกครั้ง
ร่างบางลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลทองทอดมองคนที่กำลังหลับพริ้มอยู่ข้างเตียง ท่ามกลางความเงียบยามค่ำคืนเสียงความคิดของร่างบางกำลังกู่ก้อง ทว่าคำพูดจากสายตาของนาวาก็ไม่สามารถส่งไปถึงตรีเพชรได้เช่นกัน…
ตลอดเวลานาวาไม่ได้หลับ
เด็กน้อยมองชายหนุ่มที่ระบายรอยยิ้มยามหลับฝัน รอยยิ้มอาบแสงจันทร์และสัมผัสของตรีเพชรกล่อมให้นาวาเข้าสู่ห้วงนิทราโดยพลัน
คืนนี้ทั้งสองฝันเห็นผีเสื้อสองตัวกระพือปีกบินล่องไปตามสายลม
We were flying in our dreams
Like butterflies beneath the moonbeam
Velvet wings of love spread widely
Like a song played, tuned in harmony ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตน้ำเงินเข้มอัดคนตรงข้ามอย่างไม่ยั้งมือหมัดหนักๆของเขาทำให้เหยื่อคิ้วแตก ปากแตก ใบหน้าโชกเลือด และล้มกองอยู่กับพื้น ชายหนุ่มแกะกระดุมเสื้อสามเม็ดบน
อย่างรำคาญ ทำให้เห็นแผงอกเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระเพื่อมขึ้นลงอย่างคนเดือดดาลด้วยความโมโห มือหนาพับแขนเสื้อขึ้นอย่างวางท่า คิ้วคมเข้มของชายหนุ่มรับกับไรหนวดเขียว สายตาเยือกเย็นภายใต้คิ้วหนาที่ขมวดมุ่นคู่นั้น ยิ่งขับให้ชายคนนี้ดูดุดัน ใบหน้าฉลักเสลาคมสันของเขางดงามราวภาพเขียน แต่ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้กลับน่ากลัวราวซาตานจากห้วงอเวจี เมื่อสายตาเยือกเย็นเหลือบเห็นเหยื่อพยายามลุกขึ้น ชายหนุ่มใช้เท้าถีบหน้าท้องจนผู้โชคร้ายคนนั้นล้มลงไปคลุกฝุ่นอีกครั้ง มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังตามไปกระทืบจนอีกฝ่ายร้องครวญขอชีวิต
“พอก่อนเถอะครับคุณเติร์ก” ชายในสูทดำที่ยืนอยู่ด้านหลังร้องห้าม
“มึงไม่ต้องมาห้าม” นายเติร์กหันมาชี้หน้ามือขวาคนสนิท “เรื่องนี้มึงมีส่วนทำพลาด”
“เอ่อ..ผม” คนที่เป็นเหมือนมือขวาของชายหนุ่มมีท่าทีกระอักกระอ่วน
“แค่เด็กคนเดียวยังจัดการไม่ได้ ปล่อยให้คนอื่นมายุ่งจนเป็นเรื่อง”
“ต่อไปผมจะกำชับคนของเรา ถ่ายทอดคำสั่งจากผมโดยตรง”
“แล้วห้ามพวกแกทำงานพลาดอีก!” คำสั่งของชายหนุ่มกู่ก้องให้ลูกน้องได้ยินทั่วๆกัน…