ต่อ ต่อ ต่อ ต่อ ต่อ
“คุณหนูครับผมมาตามคุณหนูกลับ” ไม่ต้องบอกก็รู้ มากันสี่ห้าคนขนาดนี้ ผมยังไม่อยากกลับไปเผชิญความจริง คืนนี้ผมกำลังจะ
ได้ไปนอนห้องเด็กเตี้ยนะเว่ย เรื่องอะไรผมจะยอมล่ะ ผมจับข้อมือของเด็กนาวาไม่ยอมให้หลุดไปไหน แล้วเอนตัวก้มไปกระซิบกับเด็กเอ๋อที่ยืนงงกับบอดี้การ์ดที่อาม่าส่งมา
“นับถึงสามแล้ววิ่งนะ” ผมกระซิบที่ข้างหูนาวา แอบได้กลิ่นอะไรหอมๆจากมันด้วยนะ
“จะบ้าเรอะ ล้อมหน้าล้อมหลังอย่างนี้จะหนีได้ไง” ไอ้เตี้ยกะซิบกลับมา
“เถอะน่า”
“ไอ้ตี๋มะ…”
“สาม!” ผมนับออกมาดังๆ แล้วออกวิ่งโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือจากได้เด็กขี้โวยวายเด็ดขาด
“ไหนบอกจะนับถึงสามไงไอ้กะล่อน!” เด็กขี้โวยวายแหกปากลั่น ขณะเดียวกันชายชุดดำก็วิ่งตามเรามาอย่างไม่ลดละ ผมวิ่งเข้า
โซนเสื้อผ้า แล้วสมองอันชาญฉลาดของผมก็คิดอะไรดีๆได้ ผมผลักหุ่นแถวโซนเสื้อผ้าให้ล้มลง เอาให้ล้มทุกตัวที่ผมวิ่งผ่านแหละอย่างน้อยพวกนั้นจะได้มีอะไรไปกีดขวางทางบ้าง ไล่ตามกันเกินไปแล้ว หนักเข้าผมก็หยิบผ้าปาใส่หน้าพวกนั้น แอบได้ยินไอ้ตัวแสบหัวเราะด้วย คนยิ่งต้องรีบหนีอยู่ มันตลกอะไรนักหนา
ผมหนีพวกนั้นมาได้ก็เจอกับร้านเสื้อผ้าร้านใหญ่ ผมรีบลากนาวาให้วิ่งตามมา คว้าเสื้ออะไรก็ได้แล้วหนีเข้าห้องลองเสื้อไป ทันที
ที่ปิดประตูห้องลองเสื้อ ผมเห็นไอ้คนตัวเล็กหอบตัวโยน ก็วิ่งซะขนาดนั้น ขายาวไม่เท่าผมก็ต้องรีบวิ่งเป็นธรรมดา ได้ยินเสียงพวกนั้นวิ่งตามมา แล้วก็วิ่งเลยไป ผมนี่ลุ้นใจแทบหลุดออกมากองตรงหน้าไอ้เตี้ย
“พวกนั้นไปยัง” นาวาถามกับอกผม
“ไม่รู้ ต้องแอบอยู่ซักพัก”
“เฮ้อออออ เหนื่อยชะมัด จะวิ่งก็ให้ตั้งหลักมั่งสิ” คนตัวเล็กบ่น
“ใครจะไปรู้ว่านายวิ่งไม่ทัน ลืมไปว่านายขาสั้น”
“ไอ้ตี๋! เดี๋ยวก็เรียกพวกนั้นมาลากคอไปหรอก”
“ครับๆ” ผมยกมือทำท่ายอมแพ้ “ยอมแล้วครับ ล้อเล่นแค่นั้นเอง”
“เล่นอีกทีแกตาย”
“ขู่จริง” ผมบ่นเบ่าๆ ก่อนความเงียบจะโปรยตัวลงมา
มันเป็นช่วงที่เราสองคนกำลังหอบ และเราสองคนก็กำลังมองตากัน ทั้งผมทั้งเขา เรากำลังจ้องหน้ากัน หอบโยนไปกับความเหนื่อย ใจเราแอบตื่นเต้นไปกับการวิ่งหนี
แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน…
เราต่างขำให้กับตัวเอง ขำให้กับเหตุการณ์ประหลาดๆที่เกิดขึ้น ขำให้กับชัยชนะที่เราคิดว่าเราคว้ามาได้ ผมส่งยิ้มให้กับเด็กแว่นที่
กำลังหัวเราะสนุกสนาน ผมเริ่มมองเด็กคนนี้ตั้งแต่ตอนไหนผมไม่รู้ รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นใบหน้านั้นใกล้เพียงนิดเดียว ตอนนี้เราสองคนอยู่ในห้องลองเสื้อผ้าแคบๆ เด็กน้อยคนนั้นอยู่ห่างจากผมเพียงแค่ระยะลมหายใจ ผมเห็นเม็ดเหงื่อบนหน้าของอีกฝ่ายเลยทำให้เผลอดึงผ้าเช็ดหน้าออกไปซับเหงื่อให้อย่างไม่รู้ตัว
“นายคงเหนื่อย” ผมกระซิบ ไม่รู้ทำไมผมต้องกระซิบ “ขอโทษนะ”
“มะ… ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” แก้มของนาวาแดงเรื่อเมื่อผมเบียดตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น ไม่รู้เพราะเหนื่อยหรือเพราะอะไรกันแน่
ผมค่อยๆซับเหงื่อตรงซอกคอของอีกฝ่าย ตาผมไม่ละจากริมฝีปากหยักสวยตรงหน้า ใจผมเต้นเหมือนเสียงรัวกลองก่อนที่ผมจะ
ก้มลงไปสัมผัสริมฝีปากนั้น
“อื้อ…” เสียงทักท้วงจากไอ้ตัวเล็กถูกเรียวลิ้นผมปิดกั้นเอาไว้ ผมสัมผัสความอุ่นร้อนและความละมุนหวานจากช่องปากนั้น ผมกำลังเผลอไผล มือข้างหนึ่งของผมกำลังเชยคางเด็กคนนั้นอย่างอ่อนโยน แขนอีกข้างที่ยันกำแพงเปลี่ยนมาไล้ลูบแผ่นหลังบางของเด็กน้อย ผมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายตัวสั่น นาวาจับชายเสื้อของผมแน่น
เราจูบกันอีกแล้ว
ผมไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่เราจูบกัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงอยากลิ้มรสความหวานละมุนนั่น สิ่งเดียวที่ผมรู้คือผมอยาก
สัมผัสเรียวปากนั่นเหลือเกิน ทุกครั้งที่เราใกล้กันผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดผมให้เข้าใกล้ จนผมต้องเผลอตัวเผลอใจ คุณเข้าใจผมใช่ไหมสายลม
มือของผมเลื่อนต่ำลงไป มันอ้อยอิ่งอยู่ตรงบั้นเอวของนาวา ริมฝีปากผมยังคงมอบความรุ่มร้อนให้กับคนตัวเล็กไม่หยุดหย่อน ใจ
ผมเต้นไม่เป็นส่ำ แล้วผมก็เผลอ… มือของผมเลื่อนลงไปจับสะโพกกลมกลึงของเขา ไม่คิดมาก่อนว่าก้นของเด็กคนนี้จะเต็มไม้เต็มมือขนาดนี้ ผมลูบไล้มันแผ่วเบา ผมรู้ว่าคนที่ผมกำลังจูบอยู่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกถึงมือของผมที่แอบล่วงเกินเขาอยู่ บางทีผมก็โง่ไปที่เผลอบีบก้นของเด็กน้อยอย่างเมามันจนนาวารู้สึกตัว (เสียดายจัง)
“โอ๊ย” ผมจุกโคตรๆ ไอ้ตัวแสบมันใช้เข่ากระแทกกล่องดวงใจผม “จุก”
“ไอ้ตี๋ ไอ้บ้ากาม” นาวาเอาไม้แขวนเสื้อที่หยิบติดมาฟาดผมไม่ยั้ง
“โอ๊ยๆ เบาๆเจ็บๆ” ผมได้แต่โอดครวญแหละ จะทำไงได้ล่ะ โดนจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้
“ไอ้โรคจิต!” นาวารีบเปิดประตูห้องลองเสื้อแล้วเดินลิ่วๆไป
ต่อให้จุกผมก็ต้องฝืนตามไป เพราะถ้าคลาดสายตาละก็ผมรับรองเด็กคนนี้หนีผมหลุดมือแน่ๆ ผมไม่ยอมหรอกนะได้โอกาสไป
นอนด้วยทั้งที ผมจะปล่อยหลุดมือไปได้ยังไงกัน
“เดี๋ยวสิรอก่อน เตี้ยคร้าบบบบ”
“มึงไม่ต้องตามมา ไอ้หื่นกาม” เชื่อไหมผมอายแทบตาย ผมไม่น่าตบะแตกแบบนั้นเลย ให้ตายสิเด็กมันจะคิดกับผมยังไงเนี่ย
ผมเดินตัวงอตามไอ้เด็กขาสั้นไปจนมันไปถึงที่จอดจักรยานของมันนั่นแหละ
“เตี้ยเดี๋ยวสิฟังก่อน” ผมรั้งแขนมันไว้
“ปล่อยเลยไอ้ลามก คราวที่แล้วยังไม่ชำระความนะ ยังจะก่อคดีเพิ่มอีก”
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ จริงๆนะ” ผมบอกมันไป ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆนั่นแหละ ไม่ได้ตั้งใจให้มันรู้สึกตัวเลย ถามว่ารู้สึกผิดไหมเหรอ
สายลมก็น่าจะรู้ ผมไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด กำไรล้วนๆนะนั่น อย่าเพิ่งคิดว่าผมร้ายนะ ผมแค่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเองก็เท่านั้น
“มึงไม่ตั้งใจแต่บีบซะแรงเลยนะ” นาวาหน้าแดงอย่างกับผลตำลึงสุก
“ก็คนมันเผลอ… เฮ้ยระวัง!!!”
อิฐบล็อกหล่นลงมาจากไหนไม่รู้ ผมเห็นคนใส่สูทดำที่อำพรางใบหน้าด้วยแว่นตาสีดำแวบเดียวก่อนที่อิฐใหญ่ก้อนนั้นจะหล่นลง
มาจาชั้นบน อิฐนั่นเกือบจะหล่นใส่หัวของไอ้คนที่กำลังโกรธผมอยู่ ผมคว้าตัวนาวาไว้ได้เฉียดฉิว แต่เพราะจังหวะมันพลาดเล็กน้อยผมเลยล้มไม่เป็นท่า
“โอ๊ย” ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บเพราะแขนขวาถลอกเป็นทางยาวจังหวะเดียวกับอิฐบล็อกหล่นพื้นแตกกระจาย
“ตี๋! เป็นอะไรหรือเปล่า” นาวาเข้ามาพยุงผมให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ไม่โดนอิฐนั่นใช่ไหม” ผมถามคนที่กำลังพยุงผมอยู่
“นายเลือดไหล”
“ฉันไม่เป็นไร” ผมตอบ
“จะทำกันเกินไปแล้วนะ ลอบกัดกันอยู่ได้!” นาวาตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ใช่ ผมว่านี่มันเกินไปแล้วจริงๆ อาม่าทำกับผม
ขนาดนี้เลยเหรอ ใจร้ายไปหน่อยแล้วนะผมว่า
“ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าพานายมาเดือดร้อนด้วยเลย” ผมบอกคนที่กำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ
“รีบกลับกันเถอะ ตามมานี่” ผมแปลกใจ เด็กคนนี้เป็นฝ่ายฉุดข้อมือให้ผมรีบเดินตามเขาไป เขากำลังโมโหจนผมรู้สึกได้ว่าผมไม่
ควรขัดคำสั่งของเด็กนี่ในตอนนี้ และไม่ควรตั้งคำถามใดๆแม้เขาจะทิ้งจักรยานไว้ที่นี่แล้วรีบโบกแท๊กซี่กลับหอพักโดยด่วน
ตลอดทางจนเข้ามาถึงในห้อง เราไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว ผมรู้สึกได้อย่างเดียวว่านาวากำลังโกรธ แม้สีหน้าท่าทางของเด็กแสบจะไม่แสดงออกมากนักแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามีคลื่นใต้น้ำที่กำลังจะโหมซัดให้ทุกอย่างพังราบเป็นหน้ากลอง ผมนั่งลงตรงปลายเตียงสีฟ้าอ่อน เด็กน้อยคนนั้นเปิดตู้เสื้อผ้าค้นอะไรอยู่เพียงครู่แล้วเขาก็มาพร้อมกับกล่องพยาบาล
เด็กน้อยคุกเข่าลงด้านล่าง เขาจับแขนขวาของผมแผ่วเบาแล้วลงมือเช็ดแผล
“โอ๊ย” เหมือนเสียงผมจะเรียกสายตาที่เลื่อนลอยของเขาให้กลับมาหันมอง
“โทษทีแสบไปเหรอ”
“อืม”
“…ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไม” ผมงง
“นายเจ็บตัวเพราะฉัน” นาวาบอก
“ฉันต่างหาก คนพวกนั้นต้องการจะทำร้ายฉัน อาม่าทำเกินไปจริงๆ”
“ไม่ใช่อาม่านายหรอก”
“รู้ได้ไง”
“เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกัน”
เรานั่งทำแผลกันไปเงียบๆ ต่างคนต่างจมไปกับความคิดของตัวเอง สักพักนาวาก็คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ผมถอน
หายใจพลางมองแผลของตัวเอง ผมกำลังจมดิ่งลงไปในความคิดความสงสัยของตัวเอง ถ้าไม่ใช่อาม่าแล้วเป็นคนของใคร คนพวกนั้นต้องการอะไร ที่สำคัญใครคือเป้าหมาย?
ถ้าไม่ใช่ผม เด็กคนนี้เหรอ? เด็กใสซื่อคนนี้เนี่ยนะ? ไม่จริงหรอก
เด็กคนนี้ถึงจะปากร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะมีศัตรูที่คิดจะหมายเอาชีวิตกันขนาดนี้ เรื่องนี้มันต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ผมเชื่อลาง
สังหรณ์ของตัวเอง
ผมสะบัดความคิดของตัวเองออกไปจากสมอง พร้อมกับเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ตี๋ ไปอาบน้ำได้แล้ว”
ใจผมแทบหยุดอยู่ตรงนั้น ใช่ว่าผมจะไม่เคยเห็น (ก็ตอนนั้นผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเองกับมือ) เรือนกายผุดผาดที่มีหยดน้ำเกาะ
เล็กน้อย ผมเปียกพอหมาดกับแววตางามที่ไร้แว่นคอยบดบัง ใจผมแทบทะลุออกมาจากทรวงอก
“จะไม่อาบ? งั้นไปนอนตรงระเบียงนะ”
“ฮะ… เฮ้ย อาบสิ”
“ไปอาบดิ ผ้าขนหนูอยู่ในห้องน้ำแล้ว เดี๋ยวจะหาผ้าให้ ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่านะ ดูก่อน”
ผมรีบเข้าห้องน้ำตามที่เด็กมันว่า ไม่ได้กลัวที่ต้องโดนไล่ไปนอนนอกระเบียงหรอก แต่ผมขอหนีมาทำใจสักพักนึง ผมใจเต้น
เพราะเด็กคนนี้บ่อยเกินไปแล้วทำไงได้ผมมันภูมิคุ้มกันไอ้เด็กเฉิ่มนี่น้อยนัก
“ไหนเสื้อผ้า” ผมถามเมื่ออาบน้ำเสร็จ นาวายื่นเสื้อกับกางเกงบอลที่คิดว่าใหญ่สุดให้ผม
“ใหญ่สุดแล้ว ของไอ้เก้ามัน” นาวาบอก
“เก้า? อ๋อเพื่อน?”
“อื้ม” ผมสำรวจเสื้อผ้าดู “เล็กไปว่ะ”
“ใส่ไปดิอย่าบ่น มีแค่นั้นแหละ”
“ไม่ใส่ได้ไหม” ผมถาม
“ไอ้ลามก อีกแล้วนะ” นาวาเหว
“ไม่ใช่ๆ คือหมายความว่า ใส่บ๊อกเซอร์ของตัวเองก็ได้ ไม่ใส่หรอกเสื้อกับกางเกงบอลตัวนี้ มันเล็กไปหน่อย อึดอัด”
“ตามใจ”
ผมจัดการเช็ดตัวเช็ดผมจนแห้งใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวเดินชมห้องไอ้เตี้ยอย่างสบายใจ ห้องมันหนังสือเยอะมาก ทั้งหนังสือเรียน
หนังสืออ่านเล่นมีการ์ตูนด้วยนะ ผมล่ะสงสัยมันจะอ่านหมดหรือยังไงกัน
“นอนได้ยัง” ไอ้เตี้ยถาม มันนอนห่มผ้าโผล่ออกมาแค่ตา จ้องผมไม่ลดละ
“อื้ม นอนเลยก็ได้ แต่จะเปิดเพลงไว้งั้นอะนะ” มันกำลังเปิดเพลงฟังจากมือถือ
“เปิดกล่อมให้หลับ ปิดไฟด้วย” เด็กจริงๆคนอะไร
ผมเดินไปปิดไฟ “ขอผ้าห่มด้วยสิ แอร์เย็น”
“ชิ แล้วไม่ต้องเบียดมานะ”
“ไม่เบียดหรอก” ผมแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่ม แทรกไปแทรกมาดันไปอยู่ใกล้ไอ้ตัวเล็กซะงั้น
“ไหนบอกไม่เบียดไง” นาวาบ่นผมอีกแล้ว
“ก็มันหนาว”
“ใครใช้ให้ไม่ใส่เสื้อเล่า หุ่นดีนักเหรอโชว์อยู่ได้”
“ฮ่าๆ แล้วชอบไหม”
“ไม่เว่ย”
“ชอบก็บอก” ผมแหย่
“กวนละ”
เรามองหน้ากัน นอนเถียงกันอยู่ เด็กคนนี้กำลังมองมาที่ผม ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในความสนใจของเขาสินะ รอยยิ้มบางๆของผมส่ง
ให้กับคนที่มองมา
“เพชร…” เขาเรียกชื่อผมเป็นครั้งแรก
“ครับ?” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องตื่นเต้นกับแค่ถูกคนคนนี้เรียกชื่อ
“ขอบคุณนะ ที่ช่วยผมไว้”
“ไม่เป็นไร…”
เงียบ… ทั้งเขาและผม เราต่างจมไปกับความคิดของตัวเอง มีเพียงเสียงเพลงที่เปิดจากมือถือที่ทำให้บรรยากาศไม่เงียบเชียบนัก
“นาวา…”ผมเรียกชื่อเขาครั้งแรก
“อืม…” เด็กน้อยขานตอบ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะระบายบางอย่างออกไปให้คนที่ทอดสายตามาทางผมให้ผมรับรู้
“พี่ไม่อยากหมั้นเลย” ผมแทนตัวเองว่าพี่เป็นครั้งแรก
“ถ้าไม่อยากก็บอกผู้ใหญ่ไปสิว่าไม่อยากหมั้น”
“เขาไม่ยอมฟังน่ะสิ”
“แล้วทำไมถึงไม่อยากหมั้นล่ะ”
“พี่…”
“… มีใครที่ชอบแล้วเหรอ?” เสียงแผ่วเบานั้นถามออกมา
“มีคนที่คิดถึง … คิดถึงตลอดเวลา” ผมเลื่อนมือผมไปจับมือของคนที่นอนใกล้ๆ ผมบีบมือนั้นแผ่วเบา
“หมายความว่า…”
“… เพราะงั้นแหละพี่ถึงไม่อยากหมั้น” ผมลูบแก้มของเด็กน้อยแผ่วเบา ตัวเราอยู่แนบชิดกัน
ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม… ริมฝีปากนั่น ทาบทับลงมาบนริมฝีปากผม
ใจผมเต้นราวมันจะทะลุออกมาจากทรวงอก ผมหลับตาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่โดนอีกฝ่ายเป็นผู้บุกรุก
This is my heartbeat song and I'm gonna play it
Been so long I forgot how to turn it up up up up all night long
Oh up up all night long
นี่คือบทเพลงจากจังหวะใจ และฉันจะบรรเลงมันออกไป
นานเหลือเกินที่ลบลืมไปจากใจ เปิดเสียงเพลงกระหึ่มดังได้อย่างไร …ให้หัวใจเต้นรัวดังไปทั้งคืน…
ผมบดเบียดริมฝีปากนั้นตอบกลับไป ผมดันตัวขึ้นคร่อมเด็กน้อยให้อยู่ภายใต้เรือนร่างของตัวเองแล้วโถมจูบหวานละมุนให้กับคนคนนั้น ร่างกายเราสองคนเบียดเสียดกันภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ความรู้สึกบางอย่างลุกโชนขึ้นในใจผม สาบานได้ว่าผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลย ความรู้สึกโหยหาเช่นนี้มันเกิดขึ้นโดยที่ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามีที่มาจากสิ่งใด รู้แต่ว่าผมตามหาสิ่งนี้มาเนิ่นนาน ผมรอคอยมาแรมปี เหมือนชีวิตนี้ผมเฝ้าคอยแต่เขาคนเดียว
You, where the hell did you come from?
You're a different, different kind of fun
And I'm so used to feeling numb
Now, I got pins and needles on my tongue
Anticipating what's to come
Like a finger on a loaded gun
เธอ เธอหายไปอยู่ที่ไหนมา
เธอคือความสนุกประหลาดที่ฉันตามหา
จากความรู้สึกที่เคยชินเคยด้านชา
กลับแวบวาบราวเข็มปักลิ้นตลอดเวลา
คอยลุ้นว่าสิ่งใดจะเกิดจะตามมา
ราวกับว่าปลายนิ้วเกี่ยวที่ไกปืน
เมื่อผมถอนริมฝีปากออก คนภายใต้เรือนร่างของผมรีบโกยเอาอากาศเข้าปอดอย่างไม่ลดละ ริมฝีปากบางเจ่อคู่นั้นดูเย้ายวนจนผมอดใจไม่ไหว ต้องสัมผัสต้องลิ้มลองอีกครั้ง มือผมเริ่มปัดป่ายไปตามลำตัวของนาวา เสียงครางแผ่วเบาของเขาเหมือนชนวนที่โยนสุมกองไฟให้ลุกโหม ผมแทบจะแดดิ้นตายด้วยความร้อนรุ่มที่แผดเผากาย
I can feel it rising
Temperature inside me
Haven't felt it for a long time
สัมผัสถึงความร้อนรุ่มในเรือนกาย
ที่ไม่ได้ระอุขึ้นมาเนิ่นนาน
This is my heartbeat song and I'm gonna play it
Been so long I forgot how to turn it up up up up all night long
Oh up up all night long
This is my heartbeat song and I'm gonna play it
Turned it on
But I know you can take it up up up up all night long
Oh up up all night long (all night long)
นี่คือบทเพลงจากจังหวะใจ และฉันจะบรรเลงมันออกไป
นานเหลือเกินที่ลบลืมไปจากใจ เปิดเสียงเพลงกระหึ่มดังได้อย่างไร …ให้หัวใจเต้นรัวดังไปทั้งคืน…
นี่คือท่วงทำนองจากเสียงหัวใจ ที่ฉันจะบรรเลงส่งเสียงมันออกไป
แต่ฉันรู้เธอจะเพิ่มมันได้อย่างไร ให้เสียงใจกระหึ่มดังไปทั้งคืน
ผมหักห้ามใจไม่อยู่ จนผมต้องปลดกระดุมเสื้อนอนของเด็กน้อย แม้เขาจะขัดขืนไปบ้างแต่เสียงประท้วงนั้นก็โดนเรียวลิ้นผมตวัดกลับไปอย่างไม่ใยดี ผมดูดและจูบไปทั่วเรือนร่างของเด็กน้อยคนนี้ ผมแทบคลั่งกับความใกล้ชิดที่เรามี
I, I wasn't even gonna go out
But I never would have had a doubt
If I have known where I'd be now
ฉัน ฉันไม่ค่อยจะออกไปเปิดดูเปิดตา
แต่คงไม่เหลือคำตอบให้เสาะแสวงหา
หากรู้ว่าวันนี้ฉันจะอยู่ตรงหน้าเธอ
Your (my) hands on my (your) hips
My (your) kiss on your (my) lips
Oh, I could do this for a long time
มือฉันจรดสะโพกเธอแนบชิด
ริมฝีปากฉันเธอนั้นจรดจุมพิต
โอ ฉันจะทำให้เราใกล้ชิดไปเนิ่นนาน
ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมคิดถึงแต่เด็กคนนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพร่ำเพ้อถึงคนนี้บ่อยครั้ง ผมเป็นเพียงผู้ชายโง่ๆที่ไม่รู้ใจตัวเอง ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้มันถูกหรือผิด แต่เพื่อแลกกับสัมผัสจากคนคนนี้ ผมยอมแลกกับทุกสิ่ง มือผมปัดป่ายไล้ลูบอยู่ตรงขาอ่อนและสะโพกของเด็กน้อย ผมอยากครอบครองเขาเหลือเกิน มือของผมสอดเข้าไปใต้กางเกงขาสั้นที่นาวากำลังสวมอยู่ ใจผมสั่นเป็นระวิง ขณะเดียวกัน สามัญสำนึกของผมก็เฝ้าถามว่าผมควรจะหยุดเสียก่อนตั้งแต่ตอนนี้ หรือผมควรเดินหน้าไปต่อ แต่เขาเป็นฝ่ายจูบผมก่อนนะ เขาเริ่มจูบผมก่อน แสดงว่าเขายินยอมผมใช่ไหม จิตใจของผมตอนนี้มันลิงโลด ผมมีความสุขจนหน้ามืดตามัว
Until tonight I only dreamed about you
I can't believe I ever breathed without you
Baby, you make me feel alive and brand new
Bring it one more time, one more time
ตั้งแต่นั้นจนคืนนี้ฉันเฝ้าฝันถึงเพียงเธอ
ไม่อยากเชื่อเคยใช้ชีวิตหายใจโดยไร้เธอ
ที่รัก เธอทำฉันสดใสชื่นใจอยู่เสมอ
ขอเพียงเธอทำแบบนี้อีกสักครา
ตั้งจูบแรกของเราจนถึงตอนนี้ ไม่มีสักวันที่ผมไม่โหยหาสัมผัสจากเขา ขอเพียงผมได้ครอบครองเขาหมดทั้งตัว จะทำอย่างไรต้องแลกด้วยสิ่งไหนผมก็ยอม มือผมเลยดึงกางเกงที่เด็กน้อยใส่ติดมือออกมาอย่างง่ายดาย ผมสัมผัสบั้นท้ายเปลือยเปล่าของเด็กน้อย ก่อนจะเอาส่วนกลางของร่างกายไปถูไถกับร่องตรงหน้า
หน้าท้องผมสัมผัสกับวัตถุสีขาวเรียวรีเมื่อเด็กน้อยของผมรับรู้ถึงแก่นกายอุ่นร้อนของผมกำลังหยอกล้อกับร่องก้นของเขา
ใช่ครับ ผมโดนถีบ
“ไอ้ลามก!!!”
แล้วคืนนั้นทั้งคืนผมก็ได้แต่นอนหนาวข้างเตียงเพียงเพื่อตื่นขึ้นมาได้ยินประโยคหนึ่งจากคนที่ผมโหยหา
“ตี๋ หมั้นกันเถอะ”