{CH 42 อดีตของครอบครัวปัง}
หิวข้าวจังเลย … อาจารย์จะได้ยินเสียงท้องร้องของผมไหมนะว่าตอนนี้มันครวญครางหนักแค่ไหน ผมเคยสงสัยนะว่าตอนที่ผมหิวทำไมน้ำย่อยมันไม่กินไขมันผมไปบ้างจะได้อิ่มๆนี้พอหิวผมก็กิน กินเสร็จก็พองอยู่แบบนั้นละเฮ้อ … เมื่อเช้าผมตื่นสายไปหน่อยจะไม่สายถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่คนขี้เซ้าไม่ยอมตื่นสักที บอกแล้วว่าผมมีเรียนเช้าก็รั้นจะมาด้วย พอจะมาก็ตื่นสาย จะมาก่อนก็ไม่ได้ คนอะไรเอาแต่ใจชะมัด ไม่อย่างงั้นผมก็ไม่ต้องอดข้าวเช้ามื้อหลักมื้อสำคัญแบบนี้หรอก … หิวจังเลย
“ปังเสร็จแล้วไปห้องปั้นกันนะ ชินโดจะสอนปั้นขึ้นรูป เห็นปังบ่นมายาก นี้ใกล้สอบปั้นแล้วด้วย”
ชินโดที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของผมกระซิบบอกมา ทำให้ตัวเล็กที่นั่งขนาบอยู่ด้านขวาพลอยเอียงคอฟังไปด้วย นายเสาร์เองก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนทฤษฎีตรงหน้าแม้แต่น้อยเอาหูฟังเสียบและฟุบหลับไป จริงอยู่ที่วิชานี้เน้นทฤษฎีและอาจารย์ไม่ดุเลยแต่เวลาสอบทีนรกก็มีเยือนเหมือนกัน เพราะไม่มีคะแนนเข้าห้อง ไม่มีคะแนนงาน มีแต่สอบล้วนๆ ภาษาชาวคณะเรียกวิชาประมานนี้ว่า ฉิบหาย …
“อือ … แต่ปังขอกินข้าวก่อนนะ หิวมากกกกก”
ผมลากเสียงทำให้ตัวเล็กหัวเราะคิกออกมาซุกแก้มเย็นๆลงกับแขนข้างนั้นของผม ก่อนที่เราสามคนจะสงบลงอีกครั้ง พยายามข่มสติอารมณ์หิวของตัวเองฟังและจดตามอาจารย์ให้เข้าใจ ผมไม่ใช่คนเก่งหรอก ออกไปทางโง่ด้วยซ้ำ เพราะแบบนี้ผมจึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นยังไงละ
แกร๊ก ปัง! ผมสะดุ้งเสียงประตูกระจกของห้องกระทบกันเสียงดังลั่นจนเหมือนประตูจะหลุดออกมาก่อนจะหันไปมองจากด้านหลังเห็นผู้หญิงคนนึงถือของพะรุงพะรังเต็มสองไม้สองมือ มันเป็นจำพวกหนังสือเล่มหน้าๆ กับชีทกระดาษอีกถุงใหญ่ๆ หน้าตาเธอไม่คุ้นแต่ผมว่าผิวของเธอสวยมากเลยนะ อมชมพูขาวเหมือนลูกครึ่ง ตากลมโตนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวด้วย จมูกโด่งแต่พองามรับกับปากที่เป็นกระจับ ผมยาวสีฟางข้าวถูกมัดรวบเอาไว้ลวกๆ กับการแต่งตัวที่ชุดกระโปรงยีนต์สั้นเหนือเข่ากับรองเท้าผ้าใบ ดูโดยรวมแล้วเธอเป็นคนเรียบร้อยน่ารักเลยทีเดียว ผมไม่รู้จักเธอและไม่เคยเห็นเธอในคณะมาก่อน
“ขะ ขอโทษคะ พะ พอดีมิ้นต์เป็นนักศึกษาใหม่เพิ่งเข้ามากลางเทอมอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์คะ” มิ้นต์ก้มหน้าผงกๆ ถ้ามือว่างคงยกไหว้ไปแล้ว หน้าตาเหมือนต่างชาติ แต่พูดไทยชัดแจ๋วเลย
“วิ้ววว …โอ้ย!” นายเสาร์โดนเล็กตบหัวทิ่มเพราะบังอาจไปผิวปากใส่มิ้นต์ซะอย่างงั้น ดีเหมือนกันคนอะไรหยาบคายและได้ข่าวว่าเมื่อกี้หลับอยู่ไม่ใช่เหรอ เรด้ากับของสวยงามนี้แม่นจังนะ
“เชิญๆ” อาจารย์โบกมือให้ มิ้นต์ ก่อนที่เธอจะก้มหัวลงเชิงรับและเดินก้าวเข้ามาวางของลงข้างๆชินโดแทรกตัวเข้ามานั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ และยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตรให้พวกผม
“มิ้นต์ชื่อมิ้นต์นะ ย้ายมาจากฝรั่งเศส เรียนเอกภาษาไทยมาเลยทำให้พูดคล่องแล้วอีกอย่างมิ้นต์ก็เป็นลูกครึ่งคุณพ่อมิ้นต์เป็นคนไทย ไม่ต้องแปลกใจนะ” มิ้นต์พูดเป็นต่อยหอย ผมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้าให้ ชินโด แนะนำตัวเองและพวกเราทีละคนอย่างเป็นกันเอง มิ้นต์ยิ้มแป้นจนแก้มแดงและเอียงคอมองหน้าพวกเราสี่คนยิ้มๆ
“หน้าตาดีกันทุกคนเลย แต่ขนมปังหุ่นแบบนี้กำลังฮิตที่ฝรั่งเศสนะ รับรองไปที่โน้น ฮอตๆเลย” จากยิ้มๆอยู่ผมหุบยิ้มอย่างไม่รู้ตัว … เอ่อ …
“ใช่ไหมละ เล็กก็ว่างั้น” ตัวเล็กรีบพูดขึ้นมา ทำให้ผมที่เขินอยู่แล้วแทบมุดแผ่นดินหนี ทำไมพุ่งมาที่ผมคนเดียวละ ทั้งชินโดทั้งตัวเล็กก็ต่างหน้าตาดีกว่าผมตั้งเยอะนี้
“ใช่ๆตัวเล็ก มิ้นต์มีเพื่อนที่โน้นหุ่นแบบนี้เลยแต่เป็นผู้หญิง มีแฟนหล่อมว๊ากกกกกกกกกกกกกกกก” ดูเหมือนเล็กกับมิ้นต์จะสนิทกันอย่างรวดเร็วทันทีที่มีเรื่องของผมเป็นตัวสื่อ ชินโดเองก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย
“ปังปังก็มีแฟนหล่อไม่แพ้ใครนะ”
“ตัวเล็ก!” ผมเอ็ดตัวเล็กขึ้นเจ้าตัวหันมามองหน้าผมอ้าปากหวอแบบทึ้งๆและหัวเราะแห้งๆใส่ผมเอาหัวถูกับแขนเหมือนเจ้าแมวที่คอยเอาใจ ตัวเล็กนะตัวเล็กเป็นแบบนี้ตลอดเลย อยากจะโกรธจะงอนก็ทำไม่ลง ผมเคยงอนใครที่ไหนละนอกจากพี่ใหญ่ที่งอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็แกล้งบังคับจนผมต้องหายงอนเองโดยอัตโนมัติ
“จริงเหรอ เล่าให้มิ้นต์ฟังบ้างสิ”
มิ้นต์ลืมตาโตสีเขียวอมฟ้านั้นจ้องมองมาที่ผมอย่างหมายหมั่นและอยากรู้ราวกับว่าสนิทกันว่านับ 10 ปี ความจริงแล้วเราเพิ่งรู้จักกันเมื่อ 10 นาทีที่แล้วเอง แต่ผมก็มองเธออย่างเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธเคืองอะไร คิดว่ามิ้นต์คงเป็นคนที่เฟรนลี่ขี้เล่นมากๆเท่านั้นเอง
“ไม่มีอะไรหรอก ตัวเล็กก็พูดไปงั้นแหละ ว่าแต่หนังสือกองโตนี้อะไรเหรอ”
“อ่อ วรรณกรรมประวัติศาสตร์น่ะ มิ้นต์ชอบอ่าน ส่วนชีทกระดาษที่เห็นเป็นชีทวิชาทฤษฎีการสร้างผลงานศิลป์น่ะ” เธอพูดไปพร้อมกับวางมือขาวลงบนหนังสือกองโตเคาะเสียงดังปุ๊บๆ และหันมายิ้มแก้มใสให้พวกเราอีกครั้ง ดูท่าเธอจะเป็นคนชอบอ่านอยู่นะ
“โห … แล้วทำไมย้ายมากลางเทอมละ”
“ฮิฮิ … มิ้นต์โอนหน่วยกิตมาและ ….อย่าไปบอกใครนะ พ่อมิ้นต์ก็อธิบดีมหาลัยนี้แหละ” เธอกระซิบตอบชินโดพอให้เราได้ยิน จากนั้นผมก็ไม่คิดสงสัยอะไรอีกเลย
จากนั้นไม่นานคาบเรียนก็จบลง ผม 4 คน บวกกับมิ้นต์เพื่อนใหม่ฝรั่งเศสก็พากันมาที่โรงอาหารที่ใกล้ที่สุดผมยังไม่ทันวางกระเป๋าได้ก็พุ่งเข้าหาร้านข้าวมันไก่ แต่ไม่สั่งข้าวมันไก่หรอกนะ เพราะถ้าผมสั่งตัวเล็กตีผมตายแน่ๆ รอเพียงไม่นานผมก็ถือจานข้างกล้องกับอกไก่ไม่ติดมันเดินไปซื้อน้ำเปล่ามา 1 ขวด ก่อนจะมานั่งที่โต๊ะที่มีมิ้นต์นั่งอยู่ แกะกล้องข้าวที่อัดแน่นไปด้วยแซนวิชขนาดจิ๋วอยู่และนมกล่องโตอีกกล่องที่เอาออกมาจากกระเป๋าผ้าใบโตของเธอ
“เค้ายังปรับตัวไม่ค่อยได้น่ะ อยู่ฝรั่งเศสมาจะครึ่งชีวิตนี้เนอะ แต่แซนวิชนี้มิ้นต์ทำเองนะกินไหมๆ” มิ้นต์พูดขึ้นเมื่อเห็นผมเอียงคอมองเธออยู่อย่างยิ้มๆ ผมไม่ว่าอะไรหรอก แค่เห็นว่ามันน่ารักดี เธอดูเรียบร้อยไร้เดียงสา ออกแนวโก๊ะๆหน่อยด้วย
พรึบ ผมตกใจเมื่ออยู่ๆร่างสูงใหญ่ของคนที่ผมรู้จักและใกล้ชิดอยู่ทุกวันก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมอย่างไม่มีปรี่มีขลุ่ย มาจากไหนไม่รู้ด้วย เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นตาเย็นชาเซมองไปที่มิ้นต์เพื่อนใหม่ของผม และก้มลงมามองผมสลับกัน จากนั้นเสียงเฮฮะโลของพวก พี่โย่ง พี่ซิ่ง พี่แน็ต พี่แนน เดอะแก็งค์พี่ใหญ่ก็ดังขึ้นตามมาติดๆและความสงบก็จบสิ้นลงในทันที
“น้องป๊างงงงงงงงงงง เจ้คิดถึง อ่ะ ใครจ้ะเนี้ยกิ๊กเหรออออออออ ไอ้ใหญ่ดูแลเมียยังไงให้เมียมีกิ๊กเนี้ย !”
พี่แนนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพุ่งเข้ามาหาผมได้ก็หยิกแก้มผมหมับใหญ่และหยอกผมเล่นเป็นการทักทายมิ้นต์ไปในตัวด้วยป่วนจนพี่ใหญ่ต้องเดือดร้อนแกะพี่แนนออกจากผมเพราะเขากอดผมซะเหมือนผมเป็นตุ๊กตายัดนุ่นเลย ไม่มีนุ่นฮะน้องมีแต่ไขมันนุ่มนิ่มไม่แพ้กันอีกด้วย
“ โห แย่งที่เล็กทำไมอ่ะ”ตัวเล็กโวยวายนิดๆ และก็ไม่ยอมเสียสิทธิ หาที่แทรกจนตัวเองเข้ามานั่งข้างๆผมได้โดยมีมิ้นต์นั่งงับแซนวิชมองตาแป๋ว
ส่วนเสาร์กับชินโดดูเหมือนจะยอมแพ้ ไปนั่งโต๊ะข้างๆ แต่กินอย่างเงียบๆไม่มีปากมีเสียงอะไร นายเสาร์เป็นคนดีได้เพราะเล็บของตัวเล็กสินะ คราวก่อนที่ได้ยินเสียงตัวเล็กด่าลั่นห้อง สรุปผมก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องเป็นไงมาไง แต่เช้าขึ้นมาหลังจากนั้นก็เห็นเสาร์อยู่ในโอวาทตามปกติและหลังจากนั้นเสาร์ก็ลดละเลิกเหล้าไปได้เยอะ ให้เวลาตัวเล็กและการเรียนมากขึ้น สงสัยจะเคลียกันลงตัวแล้วละ ดีแล้วละ ที่คนนึงล้มอีกคนช่วยพยุง ไม่อย่างงั้นคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกเนอะ
“คนนี้ใคร” เสียงพี่ใหญ่ตามขึ้นท่ามกลางเสียงคุยกันของพี่ๆ ที่กำลังให้ความสนใจกับเพื่อนตานัยน์ตาเขียวของผมและดูท่ามิ้นต์เองก็เข้ากันได้ดีซะด้วยดีอาจจะเป็นเพราะว่ามิ้นต์เป็นคนที่ค่อนข้างหัวนอกก็เป็นได้ละ
“มิ้นต์ครับ เพื่อนใหม่โอนหน่วยกิตมาจากฝรั่งเศส เพิ่งรู้จักกันวันนี้” พี่ใหญ่ไม่ได้มีท่าทีสนใจนัก แต่พยักหน้ารับและหันมาจ้องกับอาหารตรงหน้าของผมมากกว่า พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่และเดินไปซื้อข้าวมานั่งกินข้างๆผมบ้าง แต่ของพี่ใหญ่เป็นผัดกระเพราไข่เจียวน้ำมันเยิ้มๆ ไม่วายตักไข่เจียวมาไว้ในจานผมอีก จะไม่กินก็ไม่ได้ เสียดายของ
“มิ้นต์รู้จักทุกคนแล้ว คนนี้มิ้นต์ยังไม่รู้จักเลย พี่ชายปังปังเหรอ”
“ดูยังไงพี่ชายปังละมิ้นต์ นี้พี่ใหญ่แฟนปังเค้าละ รู้แล้วก็ห้ามส่งสายตาแบบนั้นให้พี่ใหญ่อีก ไม่งั้นอย่าหาว่าเล็กไม่เตือนนะ”
ตัวเล็กพูดน้ำเสียงนิ่งแกมดุ จนผมชะงักหันไปมองตาโตได้ยินเสียงพี่แนนอุทานออกมาเสียงดังหันไปจ้องมิ้นต์ตาเขม็งๆ ต่างจากพี่พวกพี่ๆผู้ชายที่นิ่งเงียบและหัวเราะออกมาอย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก อะไรกันเมื่อกี้เล็กทำท่าจะเป็นมิตรกับมิ้นต์อยู่แท้ๆ อยู่ๆทำไมถึงเป็นแบบนี้ละ
“ตัวเล็กกกกกกกกกก”
ผมเอ็ดตัวเล็กขื้นอีกครั้งแต่รอบนี้ตัวเล็กยักไหล่และยกจานข้าวตัวเองไปกินกับเสาร์และชินโดอีกโต๊ะ ผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆนั้นไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาและเงยหน้าขึ้นไปยิ้มให้กับมิ้นต์ที่ทำหน้าเหว่ออยู่พูดออกมาให้น้ำเสียงอ่อนโยนที่สุด เพราะยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง
“อย่าคิดมากเลยนะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่ๆมิ้นต์ไม่เป็นไร ดีแล้วละที่เล็กพูดแบบนั้น มิ้นต์จะได้รู้เอาไว้และไม่ยุ่งกับพี่ใหญ่ของปังปัง”
“เอ๊ะ! นี้สรุปน้องเป็นคนยังไงกันแน่คะ” พี่แนนขึ้นเสียงแว๊ดขึ้น จนผมที่อยู่ใกล้ๆสะดุ้งพี่ซิ่งแตะแขนพี่แนนแต่เขาก็สะบัดออก ผมเลยต้องกุลิวกุจอหาทางออกสุดท้ายก็คว้าเอาชีทที่อยู่ข้างๆขึ้นหายื่นไปให้พี่แนนทันที
“พี่แนนครับ ปังสงสัยเรื่องออกแบบโครงสร้างหุ่นขี้ผึ้งจังเลย พี่แนน อธิบายให้ปังฟังหน่อยสิฮะ”
“ยังไม่ใช่เวลานี้คะลูก”
พี่แนนหันมาพูดกับผมก่อนจะหันไปจ้องมิ้นต์ที่ยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้แต่ใบหน้ายิ้มๆเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลก ผมว่าไม่ตลกนะ ผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มผู้ชายล้วนได้ ต้องแมนพอตัวเลยละ ถึงผมจะไม่ค่อยรู้ความสัมผัสมากนักเพราะผมเคยถาม ผมก็พอมองออกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างพี่แนน แมนกว่าผู้ชายบางคนซะอีกอย่างน้อยก็คงเข้มแข็งมากกว่าผมละ แหง่ละ ผมน่ะใหญ่แต่ตัวใจเล็กจี๊ดเดียว
“แต่ว่าปัง … ไม่เข้าใจจริงๆนี้ฮะ”
ผมรั้นขึ้นมาอีกด้วยน้ำเสียงที่ชอบใช้กับพี่ใหญ่เวลาอยากให้ตามใจ พี่แนนเลยยอมอ่อนลงละสายตามาจ้องผมอย่างอ่อนใจและหยิบเอาชีทในมือผมไปมอง จากนั้นผมก็กินข้าวไปนั่งฟังพี่แนนสอนไป ท่ามกลางความอึดอัดของบรรยากาศ ดีหน่อยที่พวกพี่โย่งพอจะผ่อนคลายบรรยากาศได้บ้าง ผมไม่ชอบแบบนี้เลย ไม่อยากให้มีเรื่องเพราะเรื่องไร้สาระ ยังไงมิ้นต์ก็พูดไม่ได้คิดอยู่แล้ว เล็กกับพี่แนนก็ใจร้อนเกินไป คนที่ซวยเป็นผมเองเพราะพี่ใหญ่ย่อมไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้วนี้นะ
จนแล้วจนรอด ผมก็สามารถนำพาทุกคนออกมาจากความเครียดได้ เพราะหลังจากที่ผมกินข้าวกันเสร็จ มิ้นต์ก็ขอตัวไปหาคุณพ่อที่ห้องอธิการก่อนเพราะเห็นว่ามีธุระต้องคุยกัน ส่วนผมกับเพื่อนก็แยกมาที่ห้องปั้นเพื่อทำงานและชินโดก็ติวเข้มเรื่องการปั้นให้ผมด้วย ส่วนพวกพี่ใหญ่ เขาก็เลยไปหลังช็อปเพื่อทำชิ้นงานโปรเจคจบกันต่อไป ต่างคนต่างแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเอง โดยที่ผมไม่ทันได้คุยอะไรกับพี่ใหญ่มากนัก เอาไว้กลับไปห้องค่อยคุยก็ได้ เป็นแบบนี้ผมชินแล้วละ ก็ดีนะ จะได้มีช่องว่างต่อกันบ้างพี่ใหญ่จะได้ไม่เบื่อผม ที่ผมงี่เง่าแบบนี้ ดีแล้วละที่ความรักของเราเดินไปในทางเรียบๆง่ายๆไม่หวือหวา เพราะผมกลัวเหลือเกินที่จะต้องมานั่งตกอกตกใจกับความเปลี่ยนแปลงและสูญเสีย
แต่ถ้าหากวันนั้นมาถึงจริงๆผมก็คงต้องยอมรับมันให้ได้ ถึงจะยากไปหน่อย ผมก็คงต้องทำให้ได้ … ถึงรู้ตัวว่าคงไม่มีวันนั้นเพราะไม่ใช่ผมแน่ที่เป็นคนบอกเลิก และพี่ใหญ่ก็ไม่ใช่คนที่บอกเลิกใครได้ง่ายๆ แต่ก็แค่คิดเผื่อเอาไว้ถ้าวันนึงพี่ใหญ่เจอคนที่ใช่กว่า ผมก็คงต้องถอยไปเอง เพราะอะไรไม่แน่นอนแบบนี้ไง ผมถึงอยากให้พ่อผมออกมาอยู่ที่อื่น เผื่อวันนั้นมาถึง พวกเขาจะได้ไม่ลำบากใจ … แค่เผื่อใจเอาไว้บ้าง แค่นั้นเอง
“คิดอะไรนักหนา คิ้วขมวดเชียว” ผมสะดุ้งเพราะอยู่ๆภวังค์ก็ถูกมือสากอบอุ่นของพี่ใหญ่ที่มาจากไหนไม่รู้ ทำไมเขาชอบมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงนะ แต่จากมืออุ่นๆที่ละไปตามหน้าผากผมเขาก็ยังอุ่นอยู่นะ ยังไม่ใช่ผีหรอก แว่!
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“เห็นมีคนคิดมาเลยอยากมาเห็น ชินโดสอนนี้เข้าใจบ้างไหม หรือต้องให้สอนเอง”
“ผมพี่ใหญ่ยาวแล้ว” ผมชิงเปลี่ยนเรื่องซะก่อนที่พี่ใหญ่จะแกล้งผม มองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครแล้ว ทั้งห้องปั่นมีแค่ผมกับพี่ใหญ่
หายไปไหนกันนะ ผมเผลอนั่งพักเหม่อแปปเดียวเอง
“ตัดดีไหม” ผมหันมาจ้องตาคมนั้นก่อนจะยิ้มและมองไปที่ผมของเขาที่ผมหาเรื่องเฉไฉไป แต่ตอนนี้จริงๆมันก็ยาวขึ้นเยอะแล้วนะ ผมว่าพี่ใหญ่ดูสุภาพขึ้น ไม่รู้สิ สกินเฮดก็หล่อดี แต่ออกแนวเถื่อนๆ ทรงผมสูงของเขาตอนนี้ก็น่ารักดีนะ
“ไถ่ข้างเลยสิครับ ผมเคยเห็นคนในมหาลัยทำกันเยอะเลย” ผมพูดและผละออกมายืนที่เคาเตอร์สี ก่อนจะเลือกหยิบสีทองขึ้นมาเดินไปที่ภาพวาดที่วาดค้างเอาไว้ และเริ่มผสมสีแต่งแต้มมันเพิ่มเติมลงไปตามจินตนาการทีวาดเอาไว้ตั้งแต่ต้น
“ชอบงั้นดิทรงนั้นอ่ะ ไปเห็นใครมาละถึงบอกว่าหล่อ” คนป่วนเดินถือถาดสีตามมาและจรดปลายพู่กันกับแผ่นกระดาษว่างเปล่าข้างๆผม
“ผมพูดคำว่าหล่อสักคำแล้วเหรอ” ผมพูดกลับไปยิ้มๆ ก่อนที่พู่กันเปื้อนสีแทนที่จะระบายลงบนกระดาษจะมาระบายผมหน้าผมซะเอง
“พี่ใหญ่ มันไม่ใช่ของเล่นนะ” ผมดุพี่ใหญ่แต่ดูหน้าคนที่เอาสีมาระบายหน้าผมจะไม่สะทกสะท้านแถมทำท่าจะรังแกผมอีกรอบ ผมเลยเอียงตัวหลบและวางกระบอกสีลงวิ่งหนีคนขี้แกล้งออกมาหวังจะไปเข้าห้องน้ำล้างสีออก ฮึ้ย ถ้าสิวผมขึ้นขึ้นมาจะทำยังไงนะ
“อ่ะ ปังจะไปไหนเหรอ” ในระหว่างที่วิ่งสวนออกไปจากห้องมิ้นต์ก็เดินสวนเข้ามาในห้องปั้น ผมเอามือกุมแก้มข้างที่ถูกวาดเอาไว้แล้วตอบส่งๆก่อนจะเดินจ้ำไปที่ห้องน้ำทันที
พอมาเจอกระจกในห้องน้ำได้ ก็ต้องหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อที่แก้มข้างขวาที่พี่ใหญ่วาดเอาไว้มันน่ารักมากกว่าน่าโกรธ เพราะสีดำที่วาดเกิดเป็นรูปหัวใจ วาดซะจุ๊งจิ๊งน่ารักเชียวนะ แต่ยังไงก็ต้องลบออกละนะ ผมจะออกไปทำงานโดยมีหัวใจแปะอยู่ที่แก้มแบบนี้ไม่ได้หรอก จะว่าไปพวกตัวเล็กไปอยู่ซะที่ไหนนะ
ผมเดินกลับมาที่ห้องปั้นอีกครั้งหลังจากที่ล้างสีออกจนหน้าแดงเป็นปื้นปรากฏว่าพี่ใหญ่ไม่อยู่แล้วอยู่แต่เพื่อนตาสีเขียวของผมที่เงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองผมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผมยิ้มตอบแต่ไม่พูดอะไรเดินไปหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเป้เพื่อที่จะโทรหาตัวเล็ก
“ปังคบกับพี่ใหญ่มานานหรือยัง”
“เอ่อ … จะ 2 ปีแล้วละ” ผมตอบมิ้นต์ที่อยู่ๆก็ถามขึ้นเสียงเบา และหยิบโทรศัพท์ออกมาจะกดเบอร์โทรหาเพื่อนสนิทที่พากันหายออกไปไหนกันหมดไม่รู้พี่ใหญ่ก็เหมือนกันอยู่ๆก็หายไป ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมดเนี้ย
“คบกันได้ยังไงเหรอ พี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นคนที่จีบคนเป็นเลยนะ”
“… ก็ไม่รู้สิ” ผมพูดไปหัวเราะไป
ยกโทรศัพท์ขึ้นทาบหู จากนั้นห้องก็เงียบไปอีก ผมมองไปทางมิ้นต์ก็เห็นเธอลุกขึ้นและเดินมายืนข้างๆผมเอามือท้าวคางเอียงคอมองยิ้มๆอยู่ในที บางทีผมก็เริ่มไม่เข้าใจว่ามิ้นต์คิดอะไรอยู่แต่ก็คงไม่มีพิษที่ภัยอะไรกับใครหรอก ผมเชื่อแบบนั้นนะ
“ว่ายังไงปังปัง” เสียงเล็กตอบกลับมาใสก้องเหมือนเดิม ผมเลยหมดห่วงกังวนไปว่าพวกเขาจะโกรธผม
“ตัวเล็กอยู่ไหน”
“หน้า มหาลัยน่ะ พอดีดินปั้นหมด เลยให้เสาร์พาออกมาซื้อ ชินโดไปส่งงานที่ห้องคณะน่ะ พวกเราเห็นปังกำลังตั้งใจทำงานปั้นอยู่เลยไม่อยากรบกวนน่ะ เดี๋ยวสักพักเล็กก็กลับเข้าไปแล้ว เดี๋ยวซื้อผลไม้ไปฝากนะ”
“อื้อ รีบๆมานะ” ตัวเล็กรับคำก่อนจะวางสายไป ผมหันมาเจอกันสายตาของมิ้นต์ที่ยังจ้องอยู่อย่างยิ้มๆ และก็ต้องเซหลบเพราะเริ่มไม่ชอบดวงตาสีเขียวที่จับจ้องอยู่ตลอดเวลาคู่กัน เดินไปที่รูปปั้นดินของตัวเองเอามือจุ่มน้ำและเริ่มปั้นขึ้นรูปต่อ
“ปังรู้ไหม พี่ใหญ่มีเสน่ห์มากเลยนะ นายไม่คิดเหรอว่าเขาจะมีกิ๊กน่ะ”
“เอ่อ … ก็ไม่รู้สิ เราเคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะพูดความจริงต่อกัน”
“แล้วถ้าพี่ใหญ่ของปังผิดสัญญาละ”
“ไม่หรอก พี่ใหญ่ไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“แล้วถ้าทำละ พูดถึงในกรณีที่พี่ใหญ่ทำน่ะนะ”
“ก็คงต้องแล้วแต่พี่ใหญ่…ละมั้ง”
ผมตอบหน้าไม่ค่อยจะเต็มปากนัก เพราะเหมือนมิ้นต์จะรู้ในความคิดมากอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไง ผมก็ไม่เชื่อมั่นใครทำพี่ใหญ่หรอกนะ เพราะสิ่งที่พวกเราสร้างกันมาผมว่ามันเยอะและเหนียวแน่นพอสมควร แต่ถ้าหากถึงวันนั้นจริงๆ ก็คงต้องปล่อยไปตามโชคชะตากำหนด และผมยังคงเชื่อในสิ่งที่พี่ใหญ่พรำบอกว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น
“ซื่อจังเลย เพื่อนๆมิ้นต์ที่ฝรั่งเศสไม่เห็นซื่อแบบนี้เลย ซนกันสุดๆ พวกเขาน่ะแลกแฟนเมคเลิฟกันก็มีนะ”
“ที่นี้ไม่ทำแบบนั้นหรอก” ผมว่าและเริ่มไม่ถือสากับคำพูดของมิ้นต์ เพราะเริ่มเข้าใจว่าเธอคงเป็นเด็กหัวนอกอยู่เมืองนอกเมืองนาที่มีเสรีภาพมามาก พอมาอยู่เมืองไทยที่มีประเพณีเป็นที่ตั้ง เลยอึดอัดไปบ้างละนะ
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรถึงย้ายมาที่ไทยเหรอ?” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมาคุไปมากกว่านี้
“มีปัญหานิดหน่อยน่ะ เอ้อ มิ้นต์ชอบปังนะอยากรู้จักมากกว่านี้หวังว่าปังจะไม่เกลียดมิ้นต์นะ”
“ไม่หรอก ปังไม่เกลียดใครเลย”
ผมว่าและหันไปยิ้มให้เพื่อนตาสีเขียวที่กำลังยิ้มจนแก้มแทบปริหลังจากที่พอใจในคำตอบของผม หลังจากนั้นเราสองคนก็แยกย้ายกันทำงานกันไปคุยกันไปในเรื่องต่างๆ ส่วนมากมิ้นต์จะเล่าให้ฟังซะส่วนใหญ่ สักพักเดียวตัวเล็กกับเสาร์ก็กลับมา พร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆในคณะทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องก็ทยอยกันเข้ามาทำงานของตัวเอง ถึงเราจะมีกันน้อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็อบอุ่นและรู้จักกันทั่วถึง ทำให้บรรยากาศการทำงานไม่น่าเบื่อมีเรื่องให้ตลกอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพิ่มมิ้นต์มาอีกคน ก็ทำให้ครึกครื้นขึ้นเป็นเท่าตัว แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เจอพี่ใหญ่อีกเลยคงจะไปทำงานที่หลังชอปละมั้ง
“ปังกลับกันเถอะเล็กง่วงแล้ว”
เสียงแมลงง๊องแง๊งเอาหัวมาถูไถกับแขนของผมหลังจากที่เวลาล่วงเลยไป 3 ทุ่มกว่าๆ เพื่อนคนอื่นก็ทยอยกลับกันหมดเหลือแต่ผม ตัวเล็ก ชินโด นายเสาร์ เบียร์กับคิวเพื่อนขาเหล้านายเสาร์ แล้วก็มิ้นต์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆมุมนึง พอเห็นว่าผมมองไปเธอก็ผงกหัวขึ้นมายิ้มรับ เก็บของใส่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ทันที
“งั้นเก็บของก่อน เล็กเห็นพี่ใหญ่บ้างไหม ปังไม่เห็นตั้งแต่บ่ายแล้ว” อยากจะบอกว่าโทรไปก็ไม่รับแล้วก็ไม่โทรกลับด้วย เป็นอะไรของเขานะชักเริ่มจะเป็นห่วงแล้วสิ ปกติต้องมาป่วยชั่วโมงละ 10 นาที แต่นี้ไม่เห็นมาเลย โกรธอะไรผมหรือเปล่านะ
“ไม่เห็นเลย สงสัยจะทำงานอยู่หลังชอป ปังไปหาไหมเดี๋ยวเล็กไปเป็นเพื่อน”
“เดี๋ยวปังไปเองก็ได้ ตัวเล็กเก็บของไปก่อนนะ”
“มิ้นต์ไปด้วย”
“ไม่ต้องหรอกอยู่กับเล็กเก็บของไปก่อน เดี๋ยวไปกินข้าวกันนะ”
“ก็ได้” มิ้นต์พยักหน้ารับก่อนจะหันไปหาตัวเล็กยิ้มให้
แต่ตัวเล็กเมินเดินไปหาเสาร์ซะก่อน ผมมองก่อนจะส่ายหน้าไปมา และจูงแขนมิ้นต์ที่ทำหน้าเสียเดินออกมาด้วยกัน ตัวเล็กเป็นอะไรนะ ผมไม่ชอบให้เล็กเป็นแบบนี้เลย มิ้นต์เองก็ไม่ใช่คนแย่ขนาดนั้นไปพาลโกรธกันทำไม ทำไมไม่พูดกันดีๆ
ผมพามิ้นต์เดินมาที่หลังชอปได้ยินเสียงเครื่องตะไบไม้เสียงตอกตำปูดังอยู่อย่างต่อเนื่อง แสดงว่าพวกพี่เขาทำงานอยู่ที่นี้จริงๆ ผมเดินเข้าไปเงียบๆ ก่อนที่พี่โย่งจะหันมาเห็นและสะกิดให้พี่ใหญ่ที่นั่งทาสีอยู่ข้างๆหันมามอง เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบก่อนจะคล้อยหลังหันมามองผมที่ยืนอยู่กับมิ้นต์เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ว่าผมของเขาสามารถใช้ที่คาดผมได้แล้ว แสดงว่ายาวขึ้นจริงๆ ก่อนที่พี่ใหญ่จะพยักหน้าให้เข้าไปหาได้ กินเหล้าย้อมใจทำงานแบบนี้แสดงว่าทั้งคืนแน่ๆ
“มีอะไร” เขาหันมาถามผมหลังจากที่ผมเข้าไปนั่งแทนที่พี่โย่งที่เขยิบให้ผมและมิ้นต์นั่ง พี่แนนที่กำลังเหลาไม้อยู่กันมามองผมยิ้มๆ
“เปล่าครับแค่มาบอกว่าผมจะกลับแล้ว”
“กลับไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้งานเยอะต้องทำให้เสร็จ” พูดไม่พูดเปล่ายกเหล้าขึ้นมาดื่มอีกอึกใหญ่มองผมตาเยิ้มอีกต่างหาก ขี้เมามากคนๆนี้
“แล้วพี่ใหญ่จะกลับกี่โมง” ผมถามต่อ
“เช้ามั้ง ไม่รู้สิ” เป็นอันเข้าใจและผมก็เลิกเซ้าซี้เพราะรู้ดีว่าแผลที่หลังของพี่ใหญ่ดีขึ้นมากแล้วและเขาก็ดีแลตัวเองได้ ถ้าผมเซ้าซี้มากๆพี่ใหญ่คงไม่ชอบ เลยเลือกที่จะพยักหน้ารับและยกมือไหว้พี่ๆทุกคนก่อนจะพามิ้นต์เดินกลับออกมา
“ปังรักพี่ใหญ่มากไหม” อยู่ๆมิ้นต์ที่เดินอยู่ข้างๆผมก็ถามขึ้น ผมหันไปมองแล้วก็ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร
“ถ้าวันไหนพี่ใหญ่มีคนอื่นปังจะเสียใจไหม” ผมหยุดเดินและหันมาสบตาตรงกับมิ้นต์ที่จ้องมาที่ผมนิ่งเหมือนต้องการคำตอบที่มากกว่านี้
“เสียใจน่ะคงเสียใจแน่ แต่ปังจะไม่รั้งหรอก ถ้าพี่ใหญ่ไม่รักปังแล้วปังก็จะไปเอง แต่พี่ใหญ่ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”
“ทำไมละ” ตาสีเขียวนั้นมีแววหยอกล้อผมขึ้นทันทีที่ผมพูดออกไป แต่พยายามจะไม่สนใจมันมองข้ามไปและยิ้มออกมาพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดที่ตัวเองเป็น
“ก็เพราะปังรักพี่ใหญ่ไง”
.
.
.
ต่อด้านล่าง