:: CHAPTER 4 :: หลังจากเมื่อวันก่อนผมก็ได้เรียนรู้และสำนึกแล้วว่าพี่พรตไม่ใช่อย่างที่ผมรู้จักตอนแรก แถมยังโคตรขี้แกล้ง เอาเป็นว่าผมจะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาในสถานการณ์รุ่นพี่ล้อมวงแกล้งแบบนั้นแล้วกัน
วันนี้เป็นวันรับน้องวันที่สามในคณะถ้านับจากวันสอบสัมภาษณ์และยังมีหลายวันต่อจนถึงเปิดเทอม ถึงจะดูเหนื่อยแต่ต้องยอมรับว่าเหตุผลหนึ่งของการเลือกเข้าคณะนี้คือการรับน้องนี่แหละ ดังนั้นผมจะพยายามมาให้ครบวันเท่าที่จะทำได้
“เฮ้ย พี่เรียกรวมแล้วว่ะ”
“มึงไปก่อน เดี๋ยวกูตามไป”
ผมหันไปหยักหน้าให้โอมก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นดื่มอีกรอบแล้วรีบวิ่งไปนั่งข้างๆ ไอ้โอม ก่อนพี่จะเริ่มให้นับจำนวน แน่นอนว่าวันนี้คนมาน้อยกว่าเมื่อวานหลายสิบ แต่ก็ยังถือว่าส่วนใหญ่อยู่ดี วันนี้เป็นอีกวันที่ชื่อกิจกรรมแปลกจนผมเดาไม่ถูกว่าพี่จะให้ทำอะไร
“เชิญพี่ไลน์น้องครับ”
พอพี่เดินเข้ามาประจำแต่ละแถวแล้วก็พาพวกเราเดินออกนอกอาคารไปยังสนามหญ้าใหญ่หน้าคณะก่อนจะให้นั่งลงเหมือนเดิม และหลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มได้ยินเสียงตีกลองเป็นจังหวะค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดกลายเป็นเสียงดังพร้อมเพรียงจากทั่วทิศรอบตัว ถึงตอนนี้ทุกคนพากันเหลือบมองหาที่มาของเสียง
ทันทีที่เห็นน้องปีหนึ่งเริ่มหันซ้ายหันขวา อยู่ๆ เสียงกลองก็หยุดลงกระทันหัน ก่อนรุ่นพี่หกคนจะเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ซึ่งปลูกล้อมสนามที่พวกเรานั่งพร้อมไม้กลองอยู่ในมือ ทำให้ทุกคนถึงกับอุทานขึ้นมาเบาๆ
“ขอต้อนรับพี่กลองครับ!!”
เสียงกรี๊ดพร้อมปรบมือของปีหนึ่งดังขึ้น ก่อนพี่ตีกลองจะเดินกลับไปหลังต้นไว้แล้วย้ายกลองจากหลังต้นไม้ออกมาเรียงกันด้านหน้าแทน พี่กลองคนแรกที่อยู่ริมสุดดูจากทรงผมแล้วออกแนวเถื่อน แต่ด้วยความที่หน้าตาโดดเด่นผิวขาวตาคมเลยทำให้ความเถื่อนนั้นกลายเป็นเท่ทันที เพื่อนผู้หญิงหลายคนถึงกับกรี๊ดกันดังลั่น เรียกได้ว่าพี่คนนี้กลบรัศมีของพี่กลองคนอื่นไปหมด
และไม่รู้เขาจงใจหรือเปล่า แต่เขาวางกลองทับเท้าพี่หัวหน้ากิจกรรมที่ยืนอยู่ด้วยซึ่งถ้าไม่ตั้งใจแล้วคงไม่วางพอดีขนาดนั้นได้ เล่นเอาพี่หัวหน้าที่กำลังยืนมองน้องอยู่รีบก้มลงมองเท้าตัวเองแล้วชักเท้าหนีทันที
“อะไรของมึงวะ”
พอพี่หัวหน้าหันไปด่าให้ทุกคนได้ยิน พี่กลองก็กลับหันมามองปีหนึ่งพร้อมกระตุกยิ้มนิดๆ แล้วยกกลองไปวางทับเท้าพี่หัวหน้าอีกรอบ
“ไอ้จักรมึงต้องการไร”
“กลองทับ”
...
ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่เขาต้องการจะสื่อ...พี่ครับ กล้าเล่นนะ ไอ้กลองทับ-กองทัพเนี่ย ปีหนึ่งทุกคนเงียบไปนิดนึงก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมา แต่ผมเชื่อว่าความฝันของผู้หญิงหลายคนดับไปแล้วล่ะ หน้าอย่างหล่อแต่มุกที่เล่นนี่ควายโคตรๆ
“ใครก็ได้เอามันออกไปที”
“อ้าว มาถึงก็ไล่กูเลยเหรอ”
พี่จักรทำหน้าตาน่าสงสารแล้วหันกลับมามองน้องที่นั่งอยู่เหมือนขอความเห็นใจจนทุกคนอดโห่ไม่ได้
“เดี๋ยวนี้มึงใช้หน้าตาหากินขนาดนี้เลยเหรอวะ”
พี่กิจกรรมทำท่าเหมือนบ่นกับตัวเองแต่เรียกเสียงฮาได้อีกระลอก
“กูเปล่า! วันนี้นะครับ พี่จะมาแนะนำ...กลองทัด!!”
“กลองทับ!”
“ทัด!!”
“ทับ!”
“เออ! กองทัพโว้ย ไอ้กันต์มึงหยุด”
ผมหัวเราะการเถียงกันไปเถียงกันมาของพี่สองคน คนเรียนคณะนี้แค่มายืนคุยกันผมก็ว่าฮาแล้วล่ะ ยิ่งเป็นพี่ที่มุกเยอะๆ แล้วยิ่งไปกันใหญ่ พี่จักรเลยรีบตัดบทแล้วจะเลื่อนกลองทัดที่วางอยู่ข้างๆ ออกมาไว้ตรงกลางให้ทุกคนได้เห็น
“อย่าเอามาทับตีนกูอีกนะ”
พอเหมือนจะมีสาระขึ้นมาทีนึงพี่กันต์ก็รีบพูดแทรกก่อนกระโดดหลบซึ่งมันดูเกินจริงจนทุกคนขำ ตั้งแต่มานั่งตรงนี้ฮาไปไม่รู้กี่รอบแล้วล่ะ
“เอ้า! น้องครับ ขอสาระสักหนึ่งนาที พี่จะเล่าอะไรให้ฟัง”
พี่จักรทำหน้าจริงจังแล้วหยิบไม้กลองยกขึ้นสุดแขนเหมือนเป็นสัญญาณให้เงียบ ซึ่งมันดูเป็นเรื่องใหญ่จนทุกคนต้องหยุดหัวเราะแล้วเงยหน้ามองตามไม้กลองนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ขอให้ตั้งฟังใจนะครับ สาม...สอง...หนึ่ง...”
“ไปคาบมา!”
“เฮ้ย!!/เฮ้ยย!”
...เออะ
จนถึงตอนนี้ทุกคนเลิกสนใจไม้กลองแล้วก้มหน้าก้มตาหัวเราะกันแล้วล่ะ บทจะจริงจังก็จริงจังจนน้องตั้งใจแล้วหักมุมซะอย่างนี้ พี่เล่นอะไรกันวะเนี่ย
“ไอ้กันต์มึงหุบปากไปเลย กูจะเล่าเรื่องกลองให้น้องฟัง”
“เออๆๆๆ ครับๆ”
สุดท้ายพี่กันต์เลยยอมหลบกลับไปยืนด้านหลัง ปล่อยให้พี่จักรอยู่ตรงกลางคนเดียว คราวนี้เลยได้ฤกษ์มีสาระสักที
“กลองประจำคณะเราคือกลองทัด เป็นกลองพระราชทาน เป็นเอกลักษณ์ของคณะเรา ขอให้ภูมิใจไว้นะครับ...จบแล้วสาระ”
เอ่อ...สาระ ‘หนึ่งนาที’ ของจริงว่ะ
“เอาเป็นว่า ใครอยากตีกลองหลังรับน้องเจอกันครับ!”
พี่จักรตั้งใจส่งยิ้มให้น้องแล้วเดินกลับไปในแถวเหมือนเดิม ตามด้วยเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดจากเพื่อนผู้หญิง เชื่อว่าตอนนี้ทุกคนแทบจะอยากตีกลองกันทั้งคณะแล้วล่ะ
“โอเค ได้ยินกันแล้วนะ ใครอยากตีกลองมาได้เลย ใครอยากได้ไลน์ไอ้จักรก็มาได้”
“วู้ววว”
เอาแล้วครับ เย็นนี้ผู้หญิงทุกคนคงอยู่กันพร้อมหน้า
“ไอ้พราน”
ระหว่างที่เพื่อนหลายคนยังเคลิบเคลิ้มกับรอยยิ้มพี่จักร อยู่ๆ โอมที่นั่งอยู่ด้านหลังก็สะกิดเรียกแรงๆ ผมจนต้องหันหน้ากลับไปหา
“มีไร”
“จะลงกลองป่ะ”
ตอนแรกผมว่าจะไม่ลงนะ แต่พอไอ้โอมพูดแบบนี้ผมเลยเริ่มคิดตาม จริงๆ มันก็น่าลองเล่นอยู่หรอกเพราะที่ผ่านมาตอนม.ปลายเคยตีแต่กลองยาว เลยยังไม่เคยรู้ว่ากลองทัดเป็นยังไง ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีและจะได้ทำมีส่วนร่วมกับกิจกรรมคณะมากขึ้น
“มึงอยากได้ไลน์พี่จักรก็ขอตรงๆ ดิวะ”
“ไอ้เชี่ยพราน!”
ผมแกล้งหัวเราะใส่ไอ้โอมดังๆ รู้หรอกว่ามันแค่อยากตีกลองแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแซว ส่วนถ้ามันอยากได้ขึ้นมาจริงๆ นี่ผมคงหมดคำพูด และสุดท้ายผมเลยรีบสร้างเงื่อนไขกับไอ้โอมทันที
“โอเค ถ้ามึงลงกูจะลง”
หลังจากรับน้องเสร็จ คนที่สนใจจะเป็นมือกลองของคณะก็มารวมตัวกันที่กลางลานกิจกรรม ส่วนคนที่ไม่สนใจก็กลับบ้านได้ และปรากฏว่าคนส่วนใหญ่ดูจะไม่สนใจกันเท่าไหร่โดยเฉพาะผู้หญิง ถึงจะมีพี่จักรออกมาโปรโมตด้วยตัวเองแต่ผมว่าแบบนี้มันถูกแล้วเพราะการตีกลองต้องใช้แรงเยอะในการตีต่อเนื่อง ให้ผู้ชายตีคงจะเหมาะกว่า
“ไอ้จักร ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่มีใครอยากได้ไลน์มึง ให้กูขอก็ได้...”
“ไอ้เชี่ยกันต์เลิกไร้สาระ...เอ้า น้องครับเดี๋ยวพี่จะสอนตีเลยนะ”
คำพูดของพี่กันต์เรียกเสียงหัวเราะจากน้องได้เหมือนเดิม ก่อนจะพี่จักรจะตัดบทแล้วเริ่มตีกลองเป็นจังหวะเพลงเชียร์ของคณะด้วยท่าทางเชี่ยวชาญจนทุกคนอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้
“วันนี้จะให้ลองตีตามจังหวะก่อน ขยับมือเฉยๆ หรือตีกับพื้นก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยเอาไม้กลองมา”
เมื่อทุกคนวางมือกับพื้นเตรียมจะตีแล้ว พี่จักรเลยเริ่มตีจังหวะชุดแรกให้ฟังช้าๆ พร้อมค่อยๆ ท่องจังหวะให้ฟังตามลำดับ พี่เขาตีพลางท่องจังหวะให้ฟังซ้ำไปซ้ำมาอยู่สามสี่รอบจนทุกคนเริ่มจำได้ และเริ่มขยับมือตีตามไปเรื่อยๆ
ตอนแรกๆ ที่ตีกลองผมก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่หรอก เหมือนต้องใช้สมาธิเยอะตั้งใจมากเพื่อตีตามจังหวะ แต่เมื่อได้ตีซ้ำไปซ้ำมาเหมือนมือมันจะจำได้และขยับไปโดยอัตโนมัติเองโดยไม่ต้องใช้สมาธิมากเท่าครั้งแรกๆ แล้ว ทำให้ผมสามารถร้องเพลงเชียร์เบาๆ ตามจังหวะไปได้
“เมื่อกี้มึงบอกถ้ากูลงมึงจะลง แล้วนี่อะไร ท่าทางฟินขนาดนี้”
ผมหันไปมองไอ้โอมที่เริ่มตีจังหวะคล่องพอจะตีไปหันมาแซวผมได้ ก่อนจะตอบแบบกวนๆ กลับไป
“อ้าว ก็ชอบได้ป่ะล่ะ”
“เออดิ ก็แค่คิดว่าถ้ากูไม่ลงมึงจะลงรึเปล่า”
...จริงของมัน ถ้ามันไม่ลงผมคงไม่ยอมมาตีกลองคนเดียวหรอก นี่ขนาดตีกับพื้นยังรู้สึกสนุก ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าได้ตีกลองทัดของจริงจะมันส์ขนาดไหน
“เอ้า! น้องครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้อย่าลืมไม้กลองนะ”
หลังจากผ่านการตีจนพี่เห็นว่าท่องจังหวะได้กันหมดแล้วเลยปล่อยทุกคนกลับบ้าน แต่ไอ้โอมดันบอกพ่อให้มารับที่คณะตอนทุ่มนึง ผมเลยตัดสินใจอยู่รอเป็นเพื่อนมันเพราะยังไงกลับรถไฟฟ้าเองจะกลับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ระหว่างที่ผมกำลังนั่งตอบไลน์ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นข้างๆ
“อ้าวไอ้พรต น้องมึงมาทำอะไรตรงนี้”
ผมสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองอย่างเร็ว เลยได้เห็นรุ่นพี่ในกลุ่มพี่พรตที่นั่งอยู่ด้วยกันตอนนั้นเดินเข้ามาหาก่อนจะหันไปเรียกเจ้าตัวที่กำลังเดินผ่านมาทางนี้พอดี พี่พรตพอเห็นผมเท่านั้นแหละ เขาก็หัวเราะทันที...อะไรวะ ผมไปทำอะไรให้
“ไง ‘นาย’ ”
“เรียก ‘พราน’ ก็ได้ครับ”
ไม่รู้พี่พรตแม่งจะแกล้งเหมือนตอนเขียนป้ายชื่อรึเปล่า แต่คำว่า ‘นายพราน’ นี่ ถ้าตัดให้เหลือพยางค์เดียวผมว่ายังไงก็ไม่ใช่ ‘นาย’ ว่ะ
“นาย ตีกลองเหรอ”
“... ‘พราน’ ครับ ไอ้โอมก็ตีด้วย”
ผมพยายามแก้ชื่อตัวเองอีกครั้งเผื่อพี่พรตจะเปลี่ยนความคิด
“คนชื่อโอมนี่เพื่อนนายเหรอ”
...โอเค ผมยอมแพ้ เพราะนอกจากจะเรียกคำเดิมแล้วยังพาดพิงไอ้โอมโดยไม่สนใจเลยว่ามันจะนั่งอยู่ไกลจากผมไม่ถึงหนึ่งเมตร ทำเอาไอ้โอมหัวเราะออกมาทันที
“พรานกูไปแล้วนะ...พี่พรตหวัดดีครับ”
...อ้าวเชี่ย ทิ้งกู
ไอ้โอมรีบคว้ากระเป๋าแล้วยกมือไหว้พี่พรตซึ่งพี่พรตก็รับไหว้ยิ้มๆ เหมือนรู้ทัน คือนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วมันยังรีบชิ่งออกไปก่อนด้วยสีหน้าที่ต่อให้ใครมาเห็นก็ต้องรู้ว่าแม่งตั้งใจจะทิ้งผมเอาไว้ในสภาพนี้
“เฮ้ย!!! ไอ้พรตแกล้งน้องอีกแล้วเหรอวะ”
และคนที่เข้ามาช่วยผมไว้จริงๆ คือพี่จักรซึ่งเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะหลังจากเก็บกลองเรียบร้อยแล้ว รวมถึงพี่กันต์ที่เดินตามมาสมทบทีหลัง ก่อนจะทักทายพี่พรตด้วยประโยคที่ฟังแล้วผมถึงกับสะดุ้ง
“นี่น้องคนที่มึงชอบแกล้งป่ะ”
นี่กลายเป็นว่าผมเป็นที่รู้จักในนามคนถูกแกล้งไปแล้วเหรอวะ
“ถามน้องหน่อยมั้ยว่าชอบรึเปล่า”
“ไม่/ชอบ!!!!”
ผมตอบกลับไปเสียงดังว่า ‘ไม่’ แต่พี่พรตแม่งแย่งตอบด้วยเสียงที่ดังกว่า ทำเอาพี่ทั้งกลุ่มส่งเสียงโห่ดังลั่นเหมือนจะแซว นี่ดีแค่ไหนที่ทุกคนกลับบ้านไปสักพักแล้วเลยไม่มีใครเดินผ่านแถวนี้อีก
“โว้ย น้องยังไม่ได้ตอบเลยไอ้พรต”
พี่พรตหันไปยักคิ้วกับเพื่อน แล้วปีนขึ้นมานั่งลงบนโต๊ะเหมือนจงใจขวางหน้าผมซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ก่อนหันกลับมามองผมอีกรอบด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้
“เฮ้ย ไปกินข้าวกันป่ะนาย”
ผมอึ้งไปนิดนึงกับคำถามเพราะไม่รู้ว่ามันเป็นเจตนาที่ดีจริงๆ หรือต้องการอะไร แต่ก่อนที่จะได้ตอบอะไรออกมา พวกพี่คนอื่นๆ กลับแย่งตะโกนขึ้นมาเหมือนอดอยากกันมานาน
“ไป!! กูรีเควสก๋วยเตี๋ยว”
“มึงอยากชวนกูก็ไม่บอก”
“เอาร้านใกล้ๆ นะเว้ย กูรีบ”
พี่ทุกคนดูเอาจริงเอาจังกับอาหารมื้อนี้มากจนพูดแข่งกันไม่หยุด แต่พี่พรตกลับส่งเสียงชู่วยาวๆ ออกมาให้ทุกคนเงียบก่อนพูดขึ้นกลางวง
“โว้ย น้องมันยังไม่ตอบเลยไอ้พวกตะกละ”
“มึงอ่ะเงียบไอ้ห่าพรต...เอ้า! น้องตามมาดิ”
สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าผมเดินตามกลุ่มพี่ปีสามไปโดยไม่ทันได้ตอบตกลงอะไรไปเลย ส่วนไอ้คนชวนก็พูดคุยเฮฮากับเพื่อนเสียงดังตลอดทาง ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยผมจะไม่ต้องต่อกรกับพี่พรตจนถึงร้าน แต่ขอโทษนะ...จะชวนกูทำไม
ร้านก๋วยเตี๋ยวตอนสามทุ่มไม่ได้คึกคักน้อยกว่าช่วงหกโมงเย็นเลยสักนิด เพราะทั้งร้านเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่น่าจะเป็นนักศึกษาที่กำลังอยู่ในช่วงรับน้องเหมือนผมกับพวกพี่พรต พวกเราเดินผ่านลูกค้าคนอื่นอยู่หลายโต๊ะ จนในที่สุดเมื่อหาที่นั่งได้แล้วพี่กันต์ก็หยิบกระดาษมาเขียนสั่งอาหารให้ทุกคน
“ไอ้เป้เส้นอะไร”
“เล็กน้ำ”
“ไอ้พรตอ่ะ”
“เล็กต้มยำน้ำข้น ไม่เผ็ด”
พอได้ยินคำตอบของพี่พรต พี่กันต์ก็ถึงกับหยุดจดแล้วเงยขึ้นมามองหน้าคนสั่งทันที...เออ ผมก็ว่ามันดูขัดๆ กันยังไงไม่รู้
“ต้มยำน้ำข้นไม่เผ็ด สั่งอะไรของมึงวะพรต”
“ตามนั้น”
พี่พรตพูดส่งๆ โดยสายตายังจ้องอยู่ที่หน้าจอมือถือ พี่กันต์เลยหันมามองผมพร้อมทำหน้าประมาณว่าช่างหัวแม่งแล้วเขียนลงไปตามนั้น ก่อนจะจดของคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ต่อจนเสร็จ จากนั้นก็เอาไปยื่นให้คนรับออเดอร์หน้าร้าน
พอสั่งอาหารเสร็จผมก็หยิบมือถือขึ้นมาเช็คไลน์ไปพลางๆ ระหว่างรอ และก็เห็นว่าใบพลูเพิ่งทักมาหาไม่นาน ผมเลยรีบกดเข้าไปอ่านทันที
‘รู้ป่ะว่าพี่พรตชอบกินอะไร’
ผมใช้เวลาคิดไม่ถึงหนึ่งนาทีสำหรับคำถามนี้และพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
‘เส้นเล็กต้มยำน้ำข้น’
เมื่อพิมพ์เสร็จผมก็ละสายตาจากมือถือขึ้นมาเพื่อมองว่าก๋วยเตี๋ยวได้รึยัง แต่ก่อนจะได้รู้อะไรก็ดันสบตากับพี่พรตเสียก่อน และทันใดนั้นผมก็รีบหยิบมือถือเปิดไลน์ขึ้นมาใหม่ พิมพ์ต่ออีกข้อความส่งให้พลูด้วยความไวแสง
‘เผ็ดมาก’----------------------------------------------------------------------------------------------------
โฮฮฮฮ ไม่อยากจะพรรณนาเลยว่าคิดถึงขนาดไหน
วันนี้เป็น 'วันแรก' ตั้งแต่เปิดเทอมที่ไม่มีงานค่ะ เลยได้โผล่มาอัพ อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ
และเข้ามาคอนเฟิร์มอีกเสียงว่าเรียนคณะนี้หนักจริง อดนอนเป็นปกติจริง (โดยเฉพาะช่วงรับน้องเหนื่อยมากก)
...แต่ถึงจะหนักขนาดไหน อยากคอนเฟิร์มว่าสังคมดีจริงค่ะ ใครอยากเข้าก็ลองคิดดีๆ 55555
ปล. ตอน4นี่คือวันไหนพอมีเวลาก็เข้ามาเขียนเติมทีละห้าบรรทัด สิบบรรทัด จนได้มาตอนนึงอย่างที่เห็น
ปล2.หวังว่าคงจะได้เจอกันอีกในเร็ววันนะคะ