Chapter 8 : “เขารักคุณมากใช่มั้ย”
“ทำไมถึงไม่โทรบอกผม!”
คาร์เรย์ถามเสียงเครียดหลังผมถูกแพทย์ตรวจทั้งตัวราวกลัวว่าจะมีรอยช้ำที่มองไม่เห็น และยืนยันให้นอนพักดูอาการที่โรงพยาบาล หากไม่ติดว่าผมที่เริ่มพูดเป็นประโยคได้ร้องห้ามแบบหัวเด็ดตีนขาด คาร์เรย์คงเป็นเอามากถึงขนาดให้ผมแสกนสมองด้วย
“คุณเรียกเลียมมาใช่มั้ย...ทำไมถึงเป็นเขา ไม่ใช่ผม”
คนรักพูดอย่างจริงจัง ไม่ใช่ความน้อยใจ แต่เป็นความโมโหที่พยายามกักเก็บอยู่ลึกๆ ผมซึ่งนอนบนเตียงคนไข้เอื้อมมือแตะริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา หวังบรรเทาอารมณ์ขุ่นมัวไม่ให้ระเบิดตูมออกมา
“นายติดประชุมอยู่...”
คาร์เรย์กัดนิ้วผมเบาๆ แต่เล่นเอาเลือดซึม บ่งบอกว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ
“เลียมตามคดีนี้ เขารู้ดีว่าควรจะจัดการยังไง”
คาร์เรย์กุมมือแน่น ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
“คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง ที่รัก” คาร์เรย์ประกบจูบก่อนจะขบกัดเบาๆ ที่หลังมือของผม “ผมรู้ดีว่า ‘ต้อง’ จัดการยังไง”
ใช่...ผมรู้ดี ถึงได้ไม่เรียกเขา
เพราะฆาตกรคนนั้นจะกลายเป็นของเหยื่อของจริง!
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะคาร์เรย์ ฉันไม่อยากให้นายต้องลงมือ...แบบนั้น”
ถึงจะพยายามหลับหูหลับตามาตลอด แต่ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องเปื้อนเลือดคนอื่นไปมากกว่านี้
ไม่อยากเห็นกับตาซะด้วยซ้ำ...
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ หึ!” คนรักแค่นหัวเราะเย้ยหยัน มองผมวูบหนึ่งราวกับย้ำเตือนว่าผมไม่ควรพูดคำนั้นออกมา “สุดท้ายคุณต้องเจ็บตัวเกือบตายแบบนี้น่ะเหรอ ถ้าผมกลับมาไม่ทันจะเป็นยังไง...ถ้าผมไม่ให้คนเฝ้าคุณเอาไว้...จะเป็นยังไง เจย์เดน!”
ครั้งนี้คาร์เรย์โมโหมากจริงๆ
แต่พอคิดในแง่ของเขา ผมก็เข้าใจ...เขาตามหาผมมาเจ็ดปี ทำเพื่อผมทุกอย่าง เฝ้าประคบประหงมผมในทุกเรื่อง ห่วงใยแม้กระทั่งอดีตของผม แต่กลับ...เกือบจะสูญเสียผมไปทั้งที่เพิ่งรักกันได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
“ผมอยากฆ่าเลียม”
วูบหนึ่ง ดวงตาของคาร์เรย์กลับเป็นความเย็นชาไร้ก้นบึ้งอีกครั้ง ราวผืนน้ำเงียบสงบที่แฝงความคลุ้มคลั่งไว้ภายใน
“อย่าทำแบบนั้น”
“คุณห่วงเขา!” ความนิ่งสงบแปรเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด คาร์เรย์กุมมือผมแน่นจนเจ็บ อีกฝ่ายเองก็รู้แต่ไม่ยอมผ่อนแรง ราวกับว่าถ้าผมยอมรับ เขาจะเป็นฝ่ายฆ่าผมก่อนที่จะจัดการกับเลียม
“ฉันห่วงนาย...”
ผมพยายามใช้ไม้อ่อนเพื่อปลอบประโลม
“เลียมเป็นลูกชายของผู้บัญชาการเมืองนี้ ถ้านายฆ่าเขาตอนนี้ต้องโดนตามล่าแน่ มันไม่เหมือนกับที่ผ่านมานะคาร์เรย์...คดีที่ผ่านมาไม่มีใครรู้จักนาย คนที่ตายก็ไม่รู้จักนาย จึงไม่มีใครโยงมาได้ แต่ว่า...ครั้งนี้เลียมรู้จักนาย และจากวันนี้ทุกคนในกรมก็คงรู้จักนาย มันเสี่ยงเกินไป...”
ผมพูดช้าๆ เพราะยังเจ็บคอ และต้องการให้คาร์เรย์ฟังเหตุผลอย่างใจเย็น
“ฉันห่วงนาย ได้ยินมั้ย”
คนรักพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะแนบแก้มลงกับฝ่ามือผมอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษที่ขึ้นเสียงนะครับ”
“ไม่เป็นไร” ผมโล่งอกเมื่อคาร์เรย์กลายเป็นเด็กน้อยขี้อ้อนอีกครั้ง เด็กหนุ่มประทับจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนมือผม ก่อนจะเลียเลือดที่ปลายนิ้วซึ่งเจ้าตัวกัดจนเลือดออก
“ขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บ”
“ไม่เป็นไร...” ผมหรี่ตาน้อยๆ เมื่อคาร์เรย์ใช้ลิ้นดุนดันอย่างวาบหวาม ลากไล้จากนิ้วชี้ตัวปัญหาไปยังนิ้วอื่นๆ อย่างเป็นธรรมชาติอย่างไม่เน่าเชื่อว่าเขากำลังปลุกปั้นอารมณ์กับคนเจ็บอย่างผม
“ที่นี่โรงพยาบาลนะคาร์เรย์”
ผมหอบหายใจน้อยๆ เมื่อปลายลิ้นอุ่นเริ่มไล่ลงมาถึงข้อมือ
“จริงสิ คุณไม่ชอบเซ็กส์แบบเอ้าท์ดอร์สินะ”
ผมหน้าแดงวาบเมื่อคนเด็กกว่าพูดเรื่องน่าอายอย่างจริงจัง คงเพราะเมื่อวันก่อนผมกับเขามีอะไรกันบนโซฟา และร่างกายผมก็ตอบสนองเขาไม่ได้อย่างที่ควร เด็กหนุ่มจึงสันนิษฐานว่าผมคงไม่ชินกับการร่วมรักนอกเตียง
“นอนหลับฝันดีนะครับ” คาร์เรย์ยอมปล่อยมือผมในที่สุด ก่อนจะโน้มตัวมาจูบหน้าผาก
“นายจะไปไหน” ผมถามเมื่อคนรักผุดลุกจากเก้าอี้ข้างเตียง ทำเอาใจโหวงเหวงชอบกล
“ผมต้องไปให้ปากคำแทนคุณนะ อย่าลืมสิ” คาร์เรย์ยิ้มอย่างไม่ถือสา ก่อนจะก้มมาจูบปากผมเบาๆ อย่างอดใจไม่ไหว “เดี๋ยวจะรีบกลับมาครับ ที่รัก”
“อืม...” ผมครางรับในลำคอ พลางหลับตาลงเมื่อฝ่ามืออุ่นที่ช่วยปิดเปลือกตาเชื่องช้าอย่างเอาใจใส่
เพิ่งนึกได้ว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรรองท้องซะด้วยซ้ำ หิวแทบขาดใจ แต่ความเหนื่อยล้าและอาการปวดหนึบๆ ที่ลำคอนั้นมีมากกว่า
ขอพัก...สักงีบเถอะ
“รับปากสิ...”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในความมืด ผมรู้ดีว่านี่เป็นความฝัน เพราะในความจริงเจ้าของเสียงนั้นตายไปแล้ว
“รับปาก...ว่าจะไสหัวไปจากที่นี่ จะไม่ยุ่งเรื่องนี้ และจะไม่ให้ฉันเห็นหน้าเธออีก รับปากสิ!”
แม้จะเป็นความฝัน แต่ความรู้สึกอึดอัดของสองมือที่บีบคอผมแน่นจนได้แต่ดิ้นทุรนทุรายนั้นยังคงสร้างความเจ็บปวดไม่เสื่อมคลาย...ผมปัดป่ายมือไปทั่ว พยายามดิ้นรั้น ทั้งข่วนใบหน้านั้น จิกนิ้วใส่ข้อมืออีกฝ่าย ฝังเล็บลึกจนกลิ่นเลือดโชย แต่กลับยิ่งทำให้แรงบีบนั้นทวีมากขึ้นไปอีก
“รับปาก!!”
ตัวผมเกร็ง ใบหน้าแหงนขึ้น ปากอ้ากว้างพยายามหาลมหายใจ ดวงตาเหลือกถลน เสี้ยวนาทีนั้นคิดว่าตัวเองคงต้องตายจริงๆ...ไม่เหมือนกับที่ถูกขู่สามครั้งก่อนหน้านี้
แต่แล้วในเสี้ยวนาทีที่ภาพเบื้องหน้าแทบจะกลายเป็นสีดำ แรงที่กดทับลำคอพลันคลายออก ผมสำลัก เกร็งตัวไออย่างทรมาน ไม่แม้แต่จะงอตัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เพราะกอบโกยลมหายใจได้ไม่ถึงหนึ่งนาที คอของผมก็ถูกกอบกุมอีกครั้ง
แรงขึ้น...แรงขึ้นทุกที กดทับตำแหน่งเดิมที่แดงจนขึ้นเป็นรอยนิ้ว กดทับหลอดลมที่ผมจดจำได้ว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหน มันแย่จนผมคิดว่าคอผมคงจะถูกบีบจนขาด ทั้งที่ไม่มีวันเป็นจริง
แต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันยิ่งกว่า!
หนีไม่พ้น! ทำอะไรไม่ได้! เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกด้อยกว่าโดยสิ้นเชิง มันทำให้น้ำตาไหลทะลักไม่หยุด คนที่เคยรักผมเหมือนลูกกำลังจะฆ่าผม เหมือนที่บีบให้พ่อฆ่าตัวตาย แค่นึกความกลัวพลันแล่นริ้วจนสติกระเจิดกระเจิง ผมกรีดร้อง ร้องออกมาสุดเสียงแม้จะฟังไม่เป็นคำ เสี้ยวนาทีนั้นลมหายใจที่เกือบถูกพรากไปอีกทำให้ผมเลือกจะวางทุกอย่างทิ้งแลกกับชีวิตของตัวเอง
ได้โปรด...พอสักทีเถอะ!
“ผมรับปาก...รับปากแล้ว ฮึก”
เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระ ผมก็ได้แต่คู้ตัวร้องไห้จะเป็นจะตาย ทั้งไอทั้งสำลัก หมดเรี่ยวแรงจนแทบไม่อาจบังคับร่างกายซึ่งสั่นระริกราวกลับไม่ใช่อวัยวะของตัวเอง
แต่เขาไม่ให้ผมมีสติมากนัก เพื่อนรักพ่อลากผมออกมา ออกจากห้องที่พ่อเคยฆ่าตัวตาย โยนกระเป๋าที่มีแค่เสื้อผ้าสองสามชิ้นและเงินอีกปึกหนึ่งเพื่อการหลบหนี
“ไปซะ แล้วอย่ากลับมาอีก”
ผมแทบจะคลานไปหยิบ กว่าจะพาร่างตัวเองวิ่งออกมาได้ก็ล้มลุกหลายต่อหลายครั้ง เจ็บไปทั้งตัวแต่ยังไม่เท่ารอยแดงตรงลำคอซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ดี
อ่า...พอเถอะ พอสักที ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้
ทำไม...ทำไม!
“ตายก็ดีน่ะสิ”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ภาพถูกเปลี่ยนเป็นห้องสีดำทึบ ผมถูกจับนอนหงาย ดวงตาเหม่อลอยมองเพดานสีขาวสว่างด้วยเสียงหอบหายใจโรยริน
เสียงโซ่ดังทุกครั้งที่ขยับตัว
“นี่เพิ่งผ่านไปแค่สี่สิบแปดชั่วโมงเท่านั้นนะ ทำท่าจะไม่ไหวซะแล้วเหรอ”
ทำไม...ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้
ทำไมต้องเป็นผม
ทั้งที่...ทั้งที่...
“ให้ฉันสนุกกว่านี้อีกหน่อยสิ เจย์เดน”
ผมรักอย่างหมดหัวใจ“คาร์เรย์...”
ผมกรีดร้อง พยายามหลุดจากความฝันอันทรมาน ความทรงจำที่พยายามปิดกั้นนั้นกำลังฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดกรีดหัวใจทั้งเป็น
พอสักทีเถอะ! พอได้แล้ว! ปล่อยผมออกไปจากตรงนี้สักที!!
“คาร์เรย์...”
ผมร้องเรียกคนที่รักผมทั้งใจ รักผมยิ่งกว่าที่ผมเคยรักใคร รักและหลงใหลในตัวผมอย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
ปล่อยให้ผมไปหาคนที่ต้องการผมจริงๆ...
“คาร์เรย์!!”
ไปหาคนคนนั้น!!
“เจย์เดน!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อของผมทำให้เปลือกตาลืมตื่นในที่สุด ผมเบิกตากว้าง รู้สึกถึงความชื้นแฉะเพราะร้องไห้จนใบหน้านองน้ำตา เบื้องหน้าของผมคือชายหนุ่มสองคน...คนทางขวากุมมือผมแน่น ช่วยปัดเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อของผมอย่างอ่อนโยน และเอ่ยเรียกซ้ำๆ ด้วยความห่วงใย
“ที่รัก...”
คาร์เรย์...คาร์เรย์ที่รักผม คนที่รักผม ‘มาก’ คนนั้น
ผมหลับตานิ่ง พยายามปรับลมหายใจ หัวยังปวดตุบๆ ที่คอเองก็ยังเจ็บหนึบๆ แต่ดูเหมือนจะมีไอร้อนเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย สงสัยผมจะไข้ขึ้น ทำให้เพ้ออกมาได้ขนาดนี้
อ่า...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงทำให้ผมนึกถึงอดีตจน ‘กลัวขึ้นสมอง’ สินะ
“ที่รัก” คาร์เรย์เอ่ยเรียกอีกครั้งอย่างกังวล ผมจึงลืมตาอีกครั้งแล้วส่งยิ้มอ่อน คนทางซ้ายซึ่งยังหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยยอมผ่อนอารมณ์ได้บ้าง
คนคนนั้นคือเลียม...เขามองผม เป็นห่วงผม แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมอง
“คาร์เรย์...” ผมซุกหน้ากับมืออุ่นของคนรัก รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที ด้วยความเชื่อมั่นว่ามือนี้จะไม่มีทางทำร้ายผมอย่างเด็ดขาด
“ชู่...มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น” คาร์เรย์จูบเปลือกตาผมอย่างรักใคร่ “ผมอยู่กับคุณตรงนี้ จะไม่มีใครทำอะไรคุณได้อีก”
เขาทำให้ผมเชื่ออย่างที่ไม่เคยเชื่อใครคนไหนทำได้หลัง ‘เหตุการณ์นั้น’ แม้กระทั่งเลียมที่ยอมทำผิดเพื่อผม ยอมปกปิดคดีเพื่อผม...ก็ไม่เคยทำให้ผมเชื่อได้เท่านี้
และนั่นคือสาเหตุที่ผมปฏิเสธเลียมมาตลอด
“กลับบ้านเรา...”
ผมเอ่ยเสียงแผ่ว ยังคงสั่นเครือเพราะก้อนสะอื้นยังจุกที่ลำคอ แม้คาร์เรย์จะช่วยจูบซับน้ำตา แต่ความรู้สึกนั้นยังคงหน่วงในอกจนผมแทบอาเจียนออกมา
“ครับ กลับบ้านเรา ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด” คาร์เรย์รับปากอย่างว่าง่าย ทั้งที่เมื่อคืนวานยืนยันให้ผมนอนดูอาการจนกว่าเขาจะวางใจ “ถ้ามีอะไรเรียกผมดังๆ นะครับ ที่รัก”
คาร์เรย์จูบปากผมเบาๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะผละออก ทำเหมือนกับว่าเลียมนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ และก็จริงซะด้วยเพราะเขาเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองไอ้เด็กเวร
พอคนรักออกไป ผมที่เริ่มปรับสติสตางค์ให้เข้าที่ก็ยันตัวนั่งช้าๆ เลียมรีบเข้ามาช่วย แต่ไม่วายมองผมอย่างตัดพ้อน่าสงสาร
“เจ็บชะมัดเลย”
ข้างขมับของไอ้เด็กเวรมีผ้าพันแผลแปะเอาไว้จนเหมือนคนหัวปูด
“เจ็บที่ใจ...เจย์เดน คุณเล่นพลอดรักต่อหน้าผมแบบนี้จะใจดำเกินไปแล้ว”
“ก็นายอยู่เองนี่” ผมว่าอย่างใจดำยิ่งกว่า ถ้าเมื่อครู่ไม่ใช่คาร์เรย์...ไม่ได้หรอกนะ ผมคงไม่สงบเร็วขนาดนี้ เหมือนตอนที่รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นลูกบุญธรรมของพ่อ หากไม่ได้คาร์เรย์เคียงข้าง ผมก็คงไม่สามารถมาทำงานเหมือนไม่รู้สาได้ถึงขนาดนั้น
ราวรู้ดีว่าความสำคัญต่างกันแค่ไหน ไอ้เด็กเวรจึงยิ้มเจื่อนอย่างรวดร้าว แต่เพียงพริบตาก็กลับมายิ้มกวนอย่างใจกล้าหน้าด้านเหมือนเดิม
“ผมรายงานเบื้องบนไปว่าผมเป็นคนยิงฆาตกรโรคจิตนั่นเอง” เลียมเอ่ย และนั่นคงเป็นสาเหตุที่คาร์เรย์ยอมให้ไอ้เด็กเวรนั่งเป็นอากาศในห้องนี้อยู่นานสองนาน “ไม่ใช่เพราะปกป้องเขา แต่เพราะชดเชยให้คุณ...ผมมันไร้ความสามารถเลยทำให้ทุกอย่างลงเอยแบบนี้ ทำให้คุณต้องเจ็บตัว...เจย์เดน ผมขอโทษ”
“แล้วรอยนิ้วมือล่ะ”
ผมไม่ยอมรับคำนั้น ถึงไอ้เด็กเวรจะไม่ตั้งใจ แต่การที่ความทรงจำในอดีตกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งทำให้ผมรู้สึกแย่มากจริงๆ หากไม่ติดว่าต้องนอนซมเพราะไข้ขึ้น ผมคงกระทืบไอ้เด็กเวรสักทีให้หายแค้น
“ผมเช็ดออกแล้วค่อยจับปืนอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมายอมรับเองโดยมีพยานทั้งหมู่บ้านของคุณเลยล่ะมั้ง” เลียมว่าพลางยิ้มขื่นๆ “เมื่อคืนวานก่อนสอบปากคำผมก็โทรไปตกลงกับเขาเพื่อคำให้การที่ตรงกัน เรื่องจะสรุปที่ว่าผมวิ่งไปหยิบปืนมายิงคนร้ายเพื่อช่วยคุณ ขณะที่เขากลับมาพอดี”
ทั้งที่รู้ชื่อแล้วแต่ไอ้เด็กเวรกลับไม่ยอมเรียก ‘คาร์เรย์’ สักคำ
“เจย์เดน...”
มาถึงตอนนี้ผมก็เริ่มเบื่อที่จะแก้คำเรียกแล้ว ปล่อยให้เลียมทำตามใจชอบเถอะ
“เขารักคุณมากใช่มั้ย”
“ใช่” ผมตอบทันที ก่อนจะมองหน้าเลียมนิ่งๆ เมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีลังเลเหมือนมีบางอย่างในใจ
“ผมพยายามคิดหลายครั้ง ทำไมเขาถึงยิงปืนแม่นขนาดนั้น คุณอาจไม่เห็นเพราะหันหลัง แต่ผมเห็นทุกอย่าง ‘เขา’ กลับมาแล้วก้มลงเก็บปืน เล็งยิงอย่างไม่ลังเล กระสุนทะลุข้างขมับ ตายคาที่” เลียมพูดเสียงเครียด “ไม่มีกระทั่งอาการตื่นกลัว เจย์เดน...คุณรู้ใช่มั้ยว่าต่อให้เป็นตำรวจที่ฝึกยิงปืนมานาน แต่เมื่อลงภาคสนามจริงๆ คนที่จะทำได้แม่นยำเท่าที่ฝึกมานั้นยากแค่ไหน”
แน่สิ เพราะไอ้คนที่ได้คะแนนการต่อสู้เต็ม ยังถูกคนร้ายเตะหน้าทิ่มได้เลยนี่
แน่นอนว่าผมไม่พูดออกไป ข้อสงสัยของเลียมผมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
เพราะคาร์เรย์ฆ่าคนเยอะจนชินชา
“เขารักฉัน เลียม รักมาก...รักยิ่งกว่าที่นายรักฉันซะอีก” ผมพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ “ถ้าคนที่รักมากขนาดนั้นกำลังจะตาย นายจะยังลังเลได้อีกรึไง อีกอย่าง...คาร์เรย์เคยฝึกยิงปืนมาก่อน เขาเรียนเพื่อหวังมาปกป้องฉันอยู่แล้ว กับอีแค่เรื่องนี้ไม่เห็นจะน่าสงสัยเลย”
“แต่...” ไอ้เด็กเวรยังไม่เลิกเป็นเจ้าหนูจำไม “เรื่องที่ปกป้องคุณผมเข้าใจ แต่หลังจากนั้นที่เขาเล็งปืนมาทางผม คุณจะอธิบายว่ายังไง เจย์เดน คุณน่าจะรู้จักคนของตัวเองดีว่าตอนนั้นเขาคิดจะฆ่าผมจริงๆ...ไม่มีความลังเลเหมือนกับที่เพิ่งยิงคนตายไปนั่นแหละ”
“คาร์เรย์เข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ” แล้วทำไมผมต้องมานั่งอธิบายเรื่องพวกนี้ด้วยนะ “แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ยิงนายนี่”
“หึ...” เลียมแค่นยิ้ม ยังคงมองตาผมราวพยายามเค้นเอาความจริง “เอาเถอะ ผมยอมแพ้ ผมคงรักคุณไม่เท่าเขาถึงได้ไม่เข้าใจ อีกอย่าง...ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายผิด จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีกครั้งก็แล้วกัน”
ไอ้เด็กเวรว่าพลางผุดลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะส่งกระเช้าเยี่ยมคนป่วยขนาดใหญ่ซึ่งแนบการ์ดเขียนสั้นๆ ว่าหายเร็วๆ ให้จนผมได้แต่รับมากอดไว้ทั้งตัว
“ผมจะทำเป็นไม่เห็น...ดวงตา ‘ฆาตกร’ ก็แล้วกัน เจย์เดน”
ไอ้เด็กเวรเดินออกไป สวนกับคาร์เรย์ที่เดินเข้ามาพร้อมหมอเจ้าของไข้
“เขาพูดอะไรกับคุณรึเปล่า”
คาร์เรย์เหลือบตามองไปทางประตูอย่างสื่อความหมาย หลังรับกระเช้าไปถือไว้เองเพื่อให้หมอตรวจร่างกายผมสะดวกๆ นี่เป็นการเช็คครั้งสุดท้ายก่อนจะอนุญาตให้กลับบ้าน
“เรื่องคดีนิดหน่อยน่ะ” ผมบอกใบ้เป็นเชิงรู้เรื่องว่าทั้งคู่แอบตกลงลับหลังอย่างไร “กลับบ้านกันเถอะ คาร์เรย์”
“ครับ ที่รัก”
หลังจากวันนั้นผมก็ลาหยุดอย่างไม่มีกำหนด เลียมช่วยอ้างว่าเพราะจิตใจผมได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ว่าอะไรได้หรอก ในเมื่อผมจะไปทำงานหรือไม่ก็แทบมีค่าไม่ต่างกัน
“ต่างสิ”
มีเพียงคนเดียวที่หมั่นมาเยี่ยมผมอย่าสม่ำเสมอ
“ผมคิดถึงจะแย่ วันนี้ก็เผลอเดินไปโต๊ะคุณตั้งสามรอบ เหมือนคนบ้าเลยรู้มั้ย” ไอ้เด็กเวรพูดเว่อร์เกินจริง วันนี้เอาช่อดอกไม้มาฝาก แถมยังจัดใส่แจกันเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร ต้องบอกว่าโชคดีเพราะคาร์เรย์กำลังติดประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนท์อีกห้องหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเลียมคงไม่พูดจาถือดีแบบนี้ได้
เพราะเวลาสองคนนั้นอยู่ด้วยกันทีไร...เลียมจะนิ่งเงียบ เฝ้ามองคาร์เรย์ที่ช่วยดูแลผมเหมือนอากาศธาตุ ไม่ยักจะปากดีแบบนี้สิน่า
ตอนแรกคาร์เรย์พยายามจะไล่ไอ้เด็กเวรกลับบ้าน ไม่อนุญาตให้มาเยี่ยมผม แต่เลียมมันฉลาด มันอ้างเรื่องคดีทำเป็นปรึกษา หาว่ามีคนสงสัยบ้างล่ะ ไม่ก็ทำเป็นหาเหตุผลเพื่ออุดช่องว่างบ้างล่ะ ซึ่งของแบบนี้คงไปคุยที่อื่นไม่ได้ พอย้ายตัวเองเข้าบ้านสำเร็จ การมาเยี่ยมผมเลยกลายเป็นผลพลอยได้
ทั้งที่เป็นจุดประสงค์หลัก
มีหรือคาร์เรย์จะไม่รู้ ตอนไอ้เด็กเวรกลับไป เขาต้องทำหน้าบูดไม่พอใจทุกที แต่พอผมกล่อมว่าการที่เขาแสดงความรักผมต่อหน้าเลียมทุกวันอาจทำให้ไอ้เด็กเวรตัดใจได้ หลังๆ จึงกลายเป็นการเชื้อเชิญซะแทน เพราะเขาแทบทนรำคาญเลียมไม่ไหว กำจัดไปได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
เสียแต่...ไอ้เด็กเวรก็ยังเวรไม่เปลี่ยน ทั้งที่เจ็บปวดแทบตาย แต่ก็ยังไม่ตัดใจ
“นายชอบฉันตรงไหน”
ผมเลยถือโอกาสถามในวันนี้ซะเลย คนอย่างเลียมใช่ว่าจะเลวร้าย ถึงจะเวรไปนิดแต่ก็นับเป็นคนดีคนหนึ่ง มีน้ำใจ กล้าได้กล้าเสีย เป็นลูกผู้ชายที่ผู้หญิงชื่นชม แล้วทำไมถึงได้ตามตื้อผมขนาดนี้กันนะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย
“นั่นสินะ” ไอ้เด็กเวรโคลงศีรษะขณะจัดดอกไม้ ฮัมเพลงอารมณ์อย่างกับคนละคนตอนเจอหน้าคาร์เรย์ “รู้ตัวอีกทีก็ชอบซะแล้ว เลยไม่รู้จะอธิบายยังไง เวลาจะตัดใจก็เลยไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผมถึงได้แต่ต้องเทียวไปเทียวมาแบบนี้ไงล่ะ”
เลียมว่าพลางวางแจกันบนโต๊ะโซฟา
“หอมมั้ย ดอกกุหลาบสีขาวที่ผมเลือกเองกับมือ แถมยังจัดเองกับมือ”
“ห่วยแตกสุดๆ” ผมตอบตามจริง ไอ้เด็กเวรมันคงตกศิลปะ เพราะแจกันสวยที่เจ้าตัวไปหามาได้ในบ้านนั้นถูกกุหลาบขาวยัดๆ อย่างตั้งใจแต่ไร้ความสวยสิ้นดี
“โธ่ ผมอุตส่าห์ตั้งใจเอามาเยี่ยมคนป่วยเลยนะ”
“ฉันไม่ได้ป่วยสักหน่อย” นี่ก็ความจริงอีกเหมือนกัน แม้ผมจะไข้ขึ้นแต่ก็หายไปตั้งแต่วันแรกๆ เพราะได้คาร์เรย์ดูแลดี อันที่จริงอาการผมไม่ได้หนักหนาอะไรเลย ที่ป่วยก็เพราะกลัวขึ้นสมองไปเอง พอได้คนปลอบประโลมก็หายแค่ข้ามคืน แต่เพราะยังอยากอู้ คาร์เรย์จึงให้เลขาเอางานมาทำที่บ้าน เวลามีประชุมก็ต่อเข้าคอมพิวเตอร์ตลอด
ส่วนสาเหตุที่ผมไม่ยอมไปทำงาน เป็นเพราะรอยแผลจากสายโซ่ไม่หายสักที ถ้าพันผ้าเอาไว้จะเป็นจุดเด่น ต่อให้ใส่ผ้าพันคอคนที่รู้ข่าวก็จะชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ผมไม่ชอบ...เลยตั้งใจว่าจะรอให้หายแล้วค่อยเชิดหน้าชูคอไปทำงานแบบน่ารังเกียจเหมือนเดิม ไม่ใช่ให้มาเห็นใจ
“รอยแผลใกล้จะหายแล้วสินะ”
เลียมว่าพลางชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ อันที่จริงมันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนักหรอก เพราะแค่ถูกเสียดสีจนเป็นรอยถลอกก็เท่านั้น นี่ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว รอยเริ่มเลือนเต็มที
“ขอผมดูชัดๆ หน่อย...”
“ที่รัก”
ไอ้เด็กเวรที่เข้าใกล้จนแทบจะจูบคอผมรีบกลับไปนั่งนิ่งทันที ทำเอาต้องกลั้นขำแทบแย่ ดูเหมือนการถูกมองด้วยดวงตา ‘ฆาตกร’ ในวันนั้นจะทำให้เลียมสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าคาร์เรย์ จะเพราะอะไรไม่ทราบแต่ผมคิดว่ามันตลกดี
ไอ้เด็กเวรเคยพึมพำตอนอยู่กันสองคนว่า
‘ผมเหมือนตายไปแล้วครั้งหนึ่งแน่ะ’
“เร็วจัง” ผมมองตามคนรักที่เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆ ผิดกับเลียมที่ได้สิทธิ์แค่เก้าอี้เดี่ยววางถัดออกไปเกือบช่วงตัว
“ผมอยากรีบมาอยู่กับคุณนี่นา” คาร์เรย์ว่าพลางเหลือบมองไอ้เด็กเวรที่ยังเสนอหน้า แสร้งทำเป็นเปลี่ยนช่องโทรทัศน์อย่างไม่คิดกลับไปง่ายๆ แบบสื่อความนัย
“หิวรึยังครับ”
ก่อนจะทำให้อีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุโดยการจูบขมับผมเบาๆ อย่างรักใคร่
“อยากกินสปาเก็ตตี้ฝีมือนายจัง”
นี่เรียกว่าอ้อนรึเปล่านะ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะผมอยากกินจริงๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำมื้อแรกที่คาร์เรย์ทำอาหารให้ผมได้ แม้มันจะไม่อร่อยเท่าร้านอาหารหรู แต่ความใส่ใจนั้นเกินร้อย
“ไปทำด้วยกันมั้ย”
“เอาสิ” ผมผุดลุก เดินตามคาร์เรย์ที่จูงมือเข้าห้องครัว เมื่อชะโงกหน้าออกมาอีกทีเลียมก็กลับไปแล้ว
“เขาจะทำแบบนี้ถึงเมื่อไหร่ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครเข้าบ้านของ ‘เรา’”
คาร์เรย์พึมพำเมื่อผมเดินเข้ามาบอก ไอ้เด็กเวรมักจะหายไปเงียบๆ ทุกครั้ง ทั้งที่ไม่ว่าจะมองไล่ หรือพูดอ้อมค้อมยังไงก็ไม่ไป
“เอาน่า” ผมหอมแก้มคนรักอย่างเอาใจ ไม่อยากให้เขาอารมณ์เสียเพราะเรื่องแค่นี้ จริงอยู่ ว่าผมแอบรำคาญเลียมบ้าง แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ สำหรับผมคงถือว่าเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญไปแล้ว
หลายครั้งไอ้เด็กเวรเผยสีหน้าเจ็บปวด บางครั้งถึงกับทดท้อ แต่การที่ยังปรากฏตัวให้เห็นทุกวัน กลับเป็นข้อพิสูจน์ที่ทำให้ผมยอมรับนับถือ และเปิดใจยิ่งกว่าเดิมว่าเขาคิดกับผมแบบไม่หวังผลตอบแทนจริงๆ
แต่ก็ยังไม่เชื่อใจ
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...” คาร์เรย์เอ่ยเสียงอ่อน “อย่างน้อยเขาก็พอวางใจได้”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” กลายเป็นผมซะอีกที่ระแวงเมื่อคนรักพูดแปลกๆ ทั้งที่ปกติเกลียดเลียมเข้ากระดูกดำ
“ผมจะไม่อยู่สักสองสามวันนะที่รัก” คาร์เรย์รั้งเอวผมไปจูบปากหลังทำสปาเก็ตตี้เสร็จ แน่นอนว่าผมเป็นแค่ลูกมือคอยหยิบโน่นหยิบนี่เท่านั้น “ผมต้องขึ้นไปดูสาขาใหญ่ เป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ”
“วันพรุ่งนี้เลยเหรอ”
“ครับ” คาร์เรย์จูบข้างแก้ม แอบงับเบาๆ “เมื่อกี้ที่ประชุมลงมติแล้วว่าจะให้ผมขึ้นเป็นประธานคนต่อไป ผมต้องขึ้นไปรับตำแหน่งที่สาขาใหญ่ แนะนำตัวกับหุ้นส่วนคนอื่นๆ ถึงจะกลับมาบริหารต่อที่นี่ได้”
“ยินดีด้วยนะคาร์เรย์!” ผมกอดเขาทั้งตัว ดีใจที่ในที่สุดเขาก็ได้รับความไว้วางใจจากแม่บุญธรรมและคนอื่นๆ สักที “ให้ฉันไปส่งมั้ย”
“ผมไปไฟลท์เช้า ไม่ต้องหรอกครับ” คาร์เรย์กอดตอบพลางหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข “แต่ผมเป็นห่วงคุณ...ที่รัก ถ้าเหงาจะให้เลียมมาค้างก็ได้นะ”
“นายยอมด้วยเหรอ”
ผมถามอย่างแปลกใจ คนขี้หึงแทบบ้าขนาดจะฆ่าไอ้เด็กเวรให้ตายเนี่ยนะ
“ผมเชื่อใจคุณ” คาร์เรย์จูบปากผมอีกครั้ง “อีกอย่าง ถ้าผมไม่อยู่ไอ้หมอนั่นต้องฉวยโอกาสอยู่แล้ว สู้บอกว่าผมอนุญาตจะสบายใจกว่า และผมเองก็ยังไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว...ในช่วงนี้ด้วย”
ผมหลุบตาพลางซุกหน้ากับอ้อมกอดอุ่นๆ เพราะหลายคืนมานี้ผมยังฝันร้ายติดต่อกัน แม้จะไม่เพ้อออกมาเท่าตอนอยู่โรงพยาบาล แต่คาร์เรย์ที่นอนกอดผมมาตลอดย่อมรู้สึกว่าผมนอนหลับไม่สนิท บางคืนถึงกับตัวสั่น ร้องไห้ออกมาเงียบๆ ทำให้เขาพลอยไม่ได้นอนไปด้วย
“ขอบคุณนะ”
...ขอบคุณที่เชื่อใจ ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณ ขอบคุณเหลือเกิน
คาร์เรย์คลายอ้อมกอด ก้มหน้ากระซิบข้างหูพลางกดริมฝีปากจุ๊บเบาๆ
“ก็ผมรักคุณนี่ครับ”
และขอบคุณ...ที่รักผมมากขนาดนี้
---------------------
จะปล่อยปลาย่างไว้กับแมวรึเปล่านะคาร์เรย์ อ่ะแฮ่ม กลับมากับหนุ่มฆาตกรกันอีกครั้งค่ะ
อดีตของเจย์เดนเริ่มเผย "คนคนนั้น" ใกล้จะมีบทออกในไม่ช้าแล้ว