ตอนที่ 21
ตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก เมฆาไม่เคยรู้เลยว่าช่วงเวลาในยามเช้าจะวุ่นวายได้ขนาดนี้
เช้านี้เมฆารับผิดชอบหน้าที่ทำอาหารเช้า เนื่องจากเด็กๆต้องกินข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน จงรักเองก็ต้องดูแลให้หลานๆอาบน้ำแต่งตัว เขาจึงต้องช่วยแบ่งเบาภาระคนรักตัวเล็กด้วย ทว่าตั้งแต่เริ่มลงมือทำจนกระทั่งจัดอาหารลงบนจาน เมฆากลับได้ยินเสียงของจงรักตะโกนโหวกเหวกอยู่กับหลานชายทั้งสองอยู่ตลอดเวลา แค่ฟังก็รู้ว่าจงรักนั้นรับศึกหนักมากกว่าเขาหลายเท่า
“น้องหยางจะวิ่งไปไหน มาใส่ถุงเท้าก่อนสิลูก”
“น้ารักต้องจับหยางให้ได้ก่อน หยางถึงจะใส่ถุงเท้า”
“เราจะไม่เล่นวิ่งไล่จับตอนนี้ เพราะเดี๋ยวหนูไปโรงเรียนสายนะครับ”
“แต่หนูอยากเล่นนี่นา~ แน่จริงก็จับให้ได้สิครับ ฮ่าๆๆ” เสียงเจ้าตัวแสบหัวเราะร่วน ในขณะที่จงรักทำหน้าที่กลัดกระดุมให้แฝดคนพี่อยู่
“น้ารักเร็วๆ หยินก็อยากเล่นไล่จับ” หยินจับจ้องมองตามน้องชายของตัวเองทุกการเคลื่อนไหว ดวงตาคู่ใสพราวระยับราวกับคอยจังหวะเวลาให้แต่งตัวเสร็จแล้วตั้งใจจะไปวิ่งเล่นกับน้องด้วยอีกคน
“ไม่เล่นครับ พอแต่งตัวเสร็จเราต้องไปกินข้าวแล้วน้องหยิน”
“แต่หยางยังเล่นได้เลยนี่ครับ”
“เดี๋ยวหยางก็ไม่ได้เล่นแล้วครับ” ปากพูดไป มือก็จับปลายเสื้อใส่ในกางเกง จากนั้นก็หมุนตัวหลานเพื่อติดสายคาดเอี้ยมทั้งสองข้างให้เรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จ ก่อนพลิกตัวหยินกลับมาแล้วบอก “เอาล่ะ เสร็จแล้วครับ น้องหยินเข้าไปหาน้าเมฆในครัวนะ เดี๋ยวน้าไปจับน้องหยางมาใส่ถุงเท้าก่อน”
“ครับ” หยินพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้เจ้าตัวจะนึกขัดใจที่ไม่ได้วิ่งเล่นกับน้องก็ตาม ทว่าขณะที่แฝดคนพี่กำลังจะเดินเข้าไปในครัว แฝดคนน้องกลับร้องเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือจนเสียงหลง
“พี่หยิน!!!! ช่วยหยางด้วย หยางกำลังจะโดนจับแล้ว~”
“พี่มาแล้วหยาง!!” ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นพี่ เมื่อได้ยินเสียงน้องเรียกหา ผู้เป็นพี่จึงลืมเลือนซึ่งคำสั่งของน้าที่กำชับให้เข้าไปรอทานอาหารเช้าในครัว
“อย่าดิ้นนะเจ้าตัวแสบ” หนุ่มตัวเล็กฮึมฮัมในลำคอ ขณะพยายามปล้ำจับแฝดคนน้องใส่ถุงเท้า แต่เมื่อหันมาเจอแฝดพี่ที่เพิ่งสั่งให้เข้าไปรอในครัวเข้ามาช่วยน้องชายโดยรั้งขากางเกงของเขาเอาไว้ จงรักก็ถึงกับครางออกมาด้วยความอ่อนใจ “น้องหยิน น้ารักบอกให้ไปรอในครัวไงครับ แล้วมาดึงขากางเกงน้าทำไม”
“ก็น้องหยางบอกให้หยินช่วย” หยินว่า
“โอ้ย…น้าปวดหัว” เกือบจะยกมือขึ้นมากุมขมับเสียแล้ว หากไม่ติดว่ามือสองข้างกำลังใส่ถุงเท้าให้เจ้าตัวแสบอยู่ “หยางอยู่นิ่งๆสิครับ”
“ฮ่าๆๆ น้ารักตลกจังเลย” เจ้าหยางหัวเราะชอบใจที่ตัวเองทำให้คุณน้าปั่นป่วนได้
“
ทำอะไรอยู่จนป่านนี้ถึงแต่งตัวไม่เสร็จสักที”
ทันทีที่ได้ยินเมฆาดุเสียงดังบรรยากาศรอบกายก็ดูคล้ายมีสายฟ้าฟาดลงมา ความวุ่นวายกับเสียงโหวกเหวกของน้าหลานสงบลงในพริบตาเดียว เจ้าหยินเปลี่ยนจากขยุ้มกางเกงมาเป็นกอดขาของน้าแน่น ส่วนเจ้าหยางนั้นทำตัวแข็งทื่อราวถูกสาปให้เป็นหิน ยอมให้จงรักที่หน้าจืดเจื่อนใส่ถุงเท้าได้อย่างง่ายดายทั้งสองข้าง
เมฆายืนกอดอกทอดสายตาดุๆมองกราดน้าหลานทั้งสามคนทั้งที่ยังไม่ได้ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วถอนหายใจออกมา ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะออกมาดุ ทว่าฟังจากเสียงก็รู้ว่าหลานจอมแสบไม่ฟังจงรักเลย หากเขาไม่พูดอะไรสักหน่อยคงไปสายกันทั้งบ้านแน่ๆ
“หยินแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลุกมานี่ครับ อย่ากอดขาน้ารักแบบนั้น เห็นไหมว่ากางเกงทำงานของน้ารักยับหมดแล้ว” แฝดพี่เป็นคนแรกที่โดนจัดการ
“ครับ” เด็กชายหยินลุกขึ้นยืนตัวตรงแหน่วก่อนเดินมาหาเมฆาด้วยท่าทางหวาดระแวงปนสลด
“ส่วนหยาง ใส่ถุงเท้าเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นครับ นอนเกลือกไปบนพื้นแบบนั้นได้ยังไง เสื้อนักเรียนหลุดออกมาจากกางเกงแล้วเห็นไหม ลุกขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อยครับ” เหมือนโดนคลายสะกด หยางรีบกระเด้งผลุดลุกอย่างรวดเร็ว มือเล็กป้อมจับชายเสื้อยัดเข้าไปในกางเกงโดยที่จงรักไม่ต้องช่วย
“ส…เสร็จแล้วครับน้าเมฆ”
“ดีครับ แต่พรุ่งนี้จะไม่มีการมางอแงแบบนี้อีกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นเราจะไปโรงเรียนสาย เวลาไหนควรเล่นก็เล่นน้าไม่ว่า แต่เวลาไหนรีบเราก็ต้องทำตามที่น้ารักบอกเข้าใจไหม”
“…” ทั้งน้ำเสียง คำพูด รวมถึงท่าทางขึงขังของเมฆาทำให้หยางถึงกับน้ำตาคลอ ไม่กล้าพูดโต้ตอบอะไรทั้งสิ้น
“น้าถามว่าเข้าใจไหมหยาง เวลาผู้ใหญ่ถามต้องตอบสิครับ” คนหน้าดุถามย้ำ
“เข้าใจครับ” เด็กแก้มกลมตอบกลับเบาๆ ตั้งท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“ดีมาก มากินข้าวได้แล้วครับ น้าทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว”
“ครับ” หยางเดินตัวลีบผ่านเมฆาเข้าไปหาพี่ชายในครัวด้วยท่าทางสลด
เด็กสองคนขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งบนเก้าอี้ที่เมฆาจัดไว้อย่างรู้งาน ก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารเช้าโดยไม่ต้องให้สั่งซ้ำสอง เมฆามองดูจนวางใจแล้วจึงหันมาหาจงรักที่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าจืดเจื่อนยิ่งกว่าหลานๆหลายเท่า เห็นดังนั้นคนหน้าดุจึงถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่แล้วเดินเข้าไปหาคนรักตัวเล็กเสียเอง ก่อนจะเริ่มต้นพูด
“ยืนนิ่งทำไม ไปกินข้าวเช้าสิครับ เดี๋ยวไปทำงานสายนะ” แม้เมฆาจะปรับโทนเสียงให้อ่อนโยนลงกว่าเดิม แต่จงรักที่กำลังรู้สึกผิดจึงไม่ได้สังเกตเห็นมัน
“ผมขอโทษนะครับ ที่ดูแลพวกเด็กๆไม่ได้”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้ว่าอะไรเราเลยนะ”
“แต่ผมเป็นผู้ใหญ่ ผมต้องเป็นคนควบคุมพวกแกให้อยู่ ไม่ใช่ปล่อยให้วุ่นวายแบบนี้”
“พี่เข้าใจว่ารักเป็นคนแบบนี้ รักน่ะใจดีเกินไปแถมไม่กล้าดุหลานๆด้วย เจ้าพวกตัวป่วนก็เลยยิ่งได้ใจ คราวหลังเราก็ลองใหม่ บางอย่างที่ทำไม่ได้ เราต้องแสดงให้เขารู้ว่าไม่ได้จริงๆ ต้องฝึกให้พวกเขารู้จักวินัย เชื่อฟังผู้ใหญ่ ค่อยๆสอนกันไปเดี๋ยวก็ดีเอง ไม่ต้องคิดมากหรอก” เมฆามองจงรักอย่างเข้าใจ ทั้งยังอธิบายอย่างใจเย็น
“แต่พี่เมฆเก่งนะครับ ดุทีเดียวเจ้าแฝดสั่นไปหมด ผมเองยังกลัวเลย” ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจงรักรู้สึกกลัวจริงๆตอนที่ถูกดุ ก็คนรักของเขาน่ะ น่ากลัวน้อยเสียที่ไหนกัน
“บ๊องจริง เราจะกลัวทำไม พี่ดุเด็กๆต่างหาก” เมฆาว่าอย่างนึกขำ
“ก็น่ากลัวจริงๆนี่ครับ ใครจะคิดว่าพี่เมฆดุเด็กๆอย่างเดียวกันล่ะ” เมฆามองจงรักเถียงปากยื่นคล้ายกับเจ้าแฝดคนเล็กไม่มีผิด
“พี่เองก็รู้ว่าตัวเองออกจะดุเสียงดังเกินไปหน่อยเหมือนกัน แต่คงไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกมั้ง”
“น่ากลัวขนาดหนักเลยต่างหาก ผมนึกว่าพี่จะโกรธผมแล้วเสียอีก ตกใจหมดเลย”
“โอ๋ๆ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” อยู่ๆเมฆาก็รวบจงรักเข้ามากอดแล้วปลอบเสียน่ารัก จนคนถูกปลอบอดแปลกใจไม่ได้
“หืม?” พอจงรักเผลอส่งเสียงท้วงด้วยความแปลกใจ เมฆาก็ผละกอด จากนั้นก็กระแอมในลำคอนิดหน่อย ก่อนชวนจงรักเข้าไปในครัว
“ไปกินข้าวเถอะ”
“พี่เมฆน่ารักจัง เขินเหรอครับ” จะปฏิเสธก็คงไม่ทันเสียแล้ว เพราะจงรักแอบเห็นริ้วแดงที่ใบหูของคนหน้าดุ
“รีบมาเถอะ เดี๋ยวสาย” เมฆาพูดต่อแค่นั้นก็เดินหนีเข้าไปในครัว ทิ้งให้จงรักมองตามแล้วนึกในใจว่าแฟนหน้าดุของเขาจริงๆแล้วน่ารักที่สุด
หลังผ่านความวุ่นวายในยามเช้ามาได้เมฆาก็ขับรถพาสองแฝดไปเรียน โชคดีที่โรงเรียนนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของเขาและร้านของจงรักเท่าไหร่ อีกทั้งการจราจรก็โล่งมากกว่าที่เคยเป็นเช่นทุกที จึงทำให้เด็กๆไม่เข้าเรียนสาย
ในทีแรกจงรักตกลงกับเมฆาว่าจะไปรับหลานชายหลังเลิกเรียนเองเพราะคิดว่าเด็กๆคงเลิกเรียนเร็ว แต่กว่าเมฆาจะเลิกงานก็ห้าโมงเย็น จงรักจึงกลัวว่าเด็กๆจะรอนาน ทว่าตอนมาถึงโรงเรียนจงรักได้รู้ว่าน้องหยินเรียนวาดรูปเพิ่มเติม ส่วนน้องหยางมีเรียนคีย์บอร์ด ดูจากตารางเวลาเลิกเรียนเห็นว่าพอๆกับที่เมฆาเลิกงาน ดังนั้นคนหน้าดุจึงตัดสินใจว่าจะมารับจงรักที่ร้านก่อนเข้าไปรับเด็กๆที่โรงเรียนด้วยกัน
“เด็กๆอาจจะต้องรอนิดหน่อย” จงรักว่า
“แต่ไม่น่าเกิน 20 นาที พี่ว่าให้เด็กๆรอนิดหน่อยดีกว่าให้รักมารับเอง ไหนจะต้องดูสองแสบ ไหนจะต้องช่วยหิ้วกระเป๋า แล้วยังต้องพากันออกมาโบกรถแท็กซี่อีก ไม่ไหวหรอกแบบนั้น พี่เป็นห่วง”
“เอาตามที่พี่เมฆว่าก็ได้ครับ” แม้ไม่อยากให้หยินกับหยางรอนาน แต่ด้วยจนกับเหตุผลของคนรักทำให้จงรักจำใจยอมรับโดยดี “สงสัยคงต้องหาเวลาไปดูรถจริงๆแล้วนะครับคราวนี้”
“อืม รอวันหยุดครั้งหน้าเราค่อยไปดูกัน”
“ครับ พี่ไปทำงานเถอะครับ เดี๋ยวสายนะ” จงรักเอ่ยเตือนเพราะกลัวเมฆาจะเข้างานสาย เนื่องจากพวกเขาจอดรถคุยกันนานมากแล้ว
“อืม เดี๋ยวเที่ยงพี่โทรหา”
“ครับผมจะรอ งั้นตั้งใจทำงานนะครับ” แม้จะไม่บอกแต่จงรักก็รู้อยู่แล้วเพราะเมฆาจะโทรหาทุกๆพักกลางวันจนกลายเป็นกิจวัตร
“เราด้วย” เมฆายิ้มรับ ก่อนน้องจะลงจากรถไปยืนโบกมือหยอยๆส่งเขาอยู่ตรงทางเข้าร้าน
เมฆาเคลื่อนรถออกมามุ่งไปที่ทำงานของตนเองสักที แต่ยังไม่วายที่จะเหลือบมองกระจกส่องหลังเพื่อดูว่าเจ้าของร้านดอกไม้เดินกลับเข้าร้านไปแล้วหรือยัง แต่ทุกครั้งเขาก็ไม่เคยได้เห็นภาพนั้นเลยเพราะจงรักจะยืนอยู่ตรงที่เดิมจนกว่ารถของเขาจะลับสายตากระทั่งมองไม่เห็น
ความจริงตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มีคำพูดอะไรมาสนทนากันมากนัก หลายๆครั้งแม้นั่งอยู่บนรถคันเดียวกันเป็นชั่วโมงในรถก็จะมีเพียงเสียงเพลงหรือข่าวตามสายวิทยุเท่านั้น ถึงแม้จงรักและเขาไม่ใช่คนพูดเก่งอะไร แต่เมฆากลับชอบช่วงเวลาแบบที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ที่สุด เวลาที่ได้เอาใจใส่และถูกเอาใจใส่จากคนที่เรียกได้เต็มปากว่า ‘คนรัก’
ยังไม่ทันถึงห้าโมงเย็นรถของเมฆาก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าร้าน จงรักรู้สึกแปลกใจมากเมื่อเห็นคนรักหน้าดุเดินเปิดประตูเข้ามา ตาคมโตมองนาฬิกาอีกครั้งให้แน่ใจก่อนจะหันมายิ้มให้เมฆา แล้วถาม
“พี่เมฆ! ทำไมมาเร็วจังครับ เพิ่งห้าโมงเองนี่นา”
“พอดีงานไม่เร่งมาก ก็เลยขอออกมาก่อนเวลานิดหน่อย” เมฆาตอบเรียบๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้สองสาวมิ้นและขิงที่ยืนส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอยู่ไม่ไกล
“จะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ” จงรักถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ดีเลยครับ เด็กๆจะได้ไม่ต้องคอยนาน”
“อืม” ความจริงที่เมฆาออกจากที่ทำงานเร็วก็เพราะเกรงว่าเด็กๆจะรอนาน อีกอย่างเขาก็ไม่อยากให้จงรักกระวนกระวายเรื่องเด็กๆด้วย
“พี่เมฆนั่งรอแปบนึงนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปหยิบของ แล้วก็ปิดร้านก่อน”
“ไปเถอะ ไม่ต้องรีบ ค่อยๆดูปิดร้านดีๆ”
“ครับ”
พอจงรักเดินเข้าไปข้างในห้องล็อคเกอร์ด้านหลัง มิ้นกับขิงก็เดินตามไปด้วย เธอทั้งสองคนเก็บของเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่รอช่วยเจ้าของร้านหนุ่มปิดร้านเท่านั้น
“น้องจงรักคะ”
“ครับพี่มิ้น”
“ถ้าน้องจงรักมีธุระ น้องจงรักกลับก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวพี่สองคนปิดร้านให้เอง” เธอเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวพวกพี่ปิดร้านให้” ขิงเสริมขึ้นอีกคน
“ไม่เป็นไรครับ ผมช่วยพวกพี่ดีกว่าจะได้เสร็จเร็วๆ” จงรักว่าอย่างเกรงใจ เขาเป็นเจ้าของร้านแท้ๆ ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดี
“แต่เขาจะรอนานนะคะ ทุกทีเห็นรอแต่ในรถ คราวนี้เข้ามาตามถึงในร้าน อย่าให้เขาต้องรอเลยค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการกันเอง” พอโดนเกลี่ยกล่อมมากเข้า ในที่สุดจงรักก็ยอม อีกอย่างเขาก็ไม่อยากให้เด็กๆต้องรอนานด้วย ขนาดพี่เมฆยังยอมออกจากออฟฟิศเร็วกว่าปรกติเพื่อสองแฝดเลย
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ ถ้าพี่มิ้นปิดร้านแล้ว เอากุญแจติดตัวไปได้เลยนะครับ ไม่ต้องเอาซ่อนใต้กระถางกุหลาบข้างนอก พอดีผมไปปั้มเพิ่มมาอีกดอกหนึ่งแล้ว”
“ได้เลยค่ะ” หญิงสาวรับคำ
“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อน ขอบคุณมากนะครับ” แม้จงรักจะเป็นเจ้าของร้านแต่ด้วยความที่มิ้นกับขิงมีอายุมากกว่า จงรักจึงค่อนข้างจะนอบน้อมและเคารพเธอทั้งสองคนพอควร
“ไปเถอะค่ะ”
“เจอกันพรุ่งนี้ครับ พี่มิ้น พี่ขิง”
“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะน้องรัก”
“เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” มิ้นกับขิงเอ่ยลาเกือบพร้อมๆกัน จงรักผงกหัวรับอีกครั้งก่อนออกมาหาเมฆาข้างนอก
จงรักจำได้ว่าก่อนเดินเข้าหลังร้านไปคนหน้าดุนั่งรอที่โซฟา หากแต่ตอนออกคนรักของเขากลับกำลังยืนดูดอกไม้ในตู้แช่เย็นอยู่อย่างสนใจ
“ไปกันเถอะครับพี่เมฆ”
“เสร็จแล้วเหรอ” วงหน้าคมดุหันมาถาม
“ครับ” จงรักพยักหน้ารับ
“แล้วร้านล่ะ”
“พี่มิ้นกับพี่ขิงเป็นคนปิดร้านให้ครับ”
“อืม ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
คนหน้าดุไม่ได้ติดใจอะไร เขาเดินนำจงรักออกจากร้านดอกไม้แล้วตรงไปลานด้านข้างของร้านที่ที่เขาจอดรถเอาไว้ เมฆากดปลดล็อคแล้วทั้งคู่ก็แยกกันขึ้นคนละฝั่งประจำตำแหน่ง ตาดุเหลือบมองคนข้างๆ รอให้จงรักคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยเขาจึงออกรถ
การจราจรในช่วงเย็นติดขัดนิดหน่อย โดยเฉพาะบริเวณหน้าโรงเรียนของน้องหยินและน้องหยาง เนื่องจากโรงเรียนนี้มีเด็กนักเรียนหลายระดับชั้นตั้งแต่อนุบาลจนถึงเด็กมัธยม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หน้าโรงเรียนมีจำนวนรถของผู้ปกครองมากมายที่มาคอยรับบุตรหลาน จากหน้าโรงเรียนจนกระทั่งวนหาที่จอดรถสำเร็จเมฆาเสียเวลาไปกว่า 15 นาที โชคดีที่พวกเขาออกมารับเด็กสองคนเร็วกว่าที่กำหนดไว้ ถ้าทำตามกำหนดเดิมหยินกับหยางคงรอนานกว่านี้แน่ๆ
พอลงจากรถ จงรักก็เป็นคนเดินนำเมฆาไปยังอาคารที่หลานๆเรียนพิเศษอยู่ เมื่อไปถึงห้องที่คุณครูจัดไว้ให้เด็กๆรอผู้ปกครอง ดวงตาคมโตก็เริ่มกวาดมองไปรอบๆ
“น้องหยินกับน้องหยางไปไหนนะ ป่านนี้น่าจะเลิกเรียนแล้วนี่นา” จงรักบ่นพึมพำ
“ไปถามคุณครูที่ดูแลกันเถอะ” เมฆาเสนอ
“ครับ”
จงรักทำตามที่เมฆาบอก เขาเดินไปหาคุณครูสาวหน้าตาใจดีที่ยืนคุยกับเด็กน้อยอยู่หน้าในห้อง ทว่ายังไม่ทันได้ถามอะไร เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่จงรักคิดว่าน่าจะเป็นคุณครูอีกคนก็ดังขึ้น เธอเรียกความสนใจของทุกคนรวมทั้งจงรักกับเมฆาไปจนหมด
“ครูพลอยแย่แล้วค่ะ! เด็กแฝดห้องครูพลอยทะเลาะกับเด็กห้องครูไอริน ไปดูหน่อยเถอะค่ะ เจี๊ยบกับครูไอรินสองคนเอาไม่ไหวแล้ว”
“อะไรนะคะ! ค่ะๆ พลอยจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะครูเจี๊ยบ” ครูพลอยลุกพรวดพราดขึ้นมาตั้งท่าจะวิ่งตามครูเจี๊ยบออกจากห้อง แต่ก็ยังไม่ลืมหันมาสั่งให้ครูผู้ช่วยอีกคนดูแลเด็กๆที่เหลือในห้องนี้ให้ด้วย
“พี่เมฆ เด็กแฝดที่ว่าจะใช่น้องหยินน้องหยางหรือเปล่า” จงรักหันมาถามคนรักด้วยความร้อนใจ
“พี่ไม่รู้ แต่เรารีบไปดูกันเถอะ เพราะอาจจะใช่ก็ได้ เด็กอนุบาลที่นี่จะมีฝาแฝดสักกี่คนกันเชียว” เมฆารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ได้แต่ขออย่าให้อะไรๆเป็นไปอย่างที่เขากลัวเลย
แต่ดูเหมือนคำขอของเมฆาจะไม่เป็นจริง เนื่องจากพอมาถึงหน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง ภาพของเด็กที่กำลังทะเลาะต่อยตีกันอยู่กับคู่กรณีที่เป็นเด็กผู้ชายตัวโตกว่ามากอีกคนคือหลานชายฝาแฝดคนโตของจงรัก แม้จะมีคุณครูช่วยกันจับแยก แต่เพราะรอบๆมีเด็กมากเกินไปทำให้คุณครูควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ทั้งๆที่เด็กเหล่านี้เป็นเพียงเด็กอนุบาลเท่านั้น
“โอ้ยๆๆๆ ปล่อยฉันนะ ไอ้เด็กไม่มีพ่อ!!” เด็กชายตัวโตตะโกนลั่น มือสองข้างพยายามผลักหัวเล็กๆของหยินออก ขณะที่โดนหยินกัดแขนเสียจมเขี้ยว
“น้องหยินหยุดนะครับ!” จงรักถลาเข้าไปหาหลาน
“น้ารัก!!”
น้องหยางที่กำลังต่อยอยู่กับเด็กชายอีกคนผละออกมาจากการทะเลาะง่ายๆ เมื่อเห็นว่าจงรักเข้ามา ทั้งที่คุณครูเจี๊ยบกับคุณครูไอรินช่วยกันจับแยกแทบตาย จงรักที่กำลังจะเข้าไปช่วยคุณพลอยห้ามทัพระหว่างหยินกับเพื่อนตัวโตจึงถูกขัดขวางเอาไว้ก่อน
“น้องหยาง” เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มากับแก้มบวมช้ำของหยาง จงรักก็ต้องครางออกมาด้วยความตกใจ “มันเกิดอะไรกันลูก…”
“อย่าตีกันนะคะ หยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี้” ครูสาวตัวเล็กเพียงคนเดียวเอาชนะเด็กชายสองคนไม่ได้ เพราะเมื่อเธอจับคนหนึ่ง อีกคนก็เข้ามาตะลุมบอลทันที
“
ยืนบื้ออะไรกันอยู่! เข้าไปช่วยกันจับเด็กสิ” เมฆาตะโกนใส่ครูสองคนที่เพิ่งปล่อยน้องหยางให้หลุดมาเมื่อกี้ เธอคงทำอะไรไม่ถูกเพราะเธอยืนตะลึงมองดูคุณครูพลอยแยกเด็กๆโดยไม่เข้ามาช่วย
หลังจากส่งเสียงดังออกไป ชายหนุ่มก็เดินปราดเข้ามาอุ้มหยินจนตัวลอย แล้วก้าวห่างออกมา พอเด็กตัวโตที่ทะเลาะกับน้องหยินเห็นเมฆาก็ผงะไปนิด ก่อนจะโดนคุณครูสองคนจับเอาไว้ได้ แล้วในที่สุดทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ เด็กแต่ละคนถูกควบคุมไม่ให้อาละวาดได้อีก
“ทะเลาะอะไรกันหื้อ!? ทำไมต้องรุนแรงขนาดนี้” เมฆาถามขึ้น เมื่อมองสำรวจใบหน้ากลมๆ แล้วพบว่าที่ริมฝีปากแตกจนเลือดออกซิบๆ เขาอุ้มประคองแล้วลูบหลังปลอบแฝดคนพี่ และเหมือนกับความเข้มแข็งที่สร้างขึ้นเมื่อครู่พังทลาย หยินร้องไห้ออกมาแขนสองข้างกอดคอเมฆาแน่น
“พวกจอมพลเริ่มก่อน” หยางเป็นคนบอกแทนทั้งน้ำตา
“พวกนายนั่นแหละเริ่มก่อน” เด็กชายตัวโตที่ตีกับน้องหยินเมื่อครู่เถียงออกมา
“ก็นายกับโฟนว่าเรากับพี่หยินก่อนทำไมล่ะ” หยางเถียงกลับอย่างไม่ลดละ
“หยุดนะคะเด็กๆ ถ้าไม่หยุดครูจะตีแล้วนะ” ครูพลอยว่า แต่เด็กๆไม่ฟังคุณครูสาวเอาเสียเลย
“ก็เราพูดเรื่องจริงนี่” จอมพลว่าอีกคำ
“ไม่จริงสักหน่อย!!”
“
เงียบเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยินที่คุณครูพูดหรือไง” เมฆาดุเสียงดังจนเกือบทำเด็กคนอื่นที่ยืนดูอยู่รอบๆร้องไห้ด้วยความกลัว
คุณครูสาวทั้งสามคนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา ในที่สุดเด็กๆก็ยอมเงียบ ในที่สุดก็มีใครสักคนที่เด็กดื้อทั้งหลายจะยอมฟัง แล้วทุกคนก็เคลื่อนตัวไปที่ห้องพยาบาล ไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่ของเด็กอีกสองคนก็ตามมา ทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็ต้องเข้าไปที่ห้องพักครูฝั่งเด็กเล็ก เพื่อสรุปกันว่าจะเอายังไง
คุณครูให้เด็กๆเริ่มต้นเล่าทีละคนว่าเกิดอะไรขึ้น สรุปได้ว่า ตอนเย็นหยางเรียนคีย์บอร์ดเสร็จเร็ว เด็กชายจึงไปรอหยินที่หน้าห้องสอนศิลปะ แต่หยางกลับไปเจอจอมพลและโฟน จอมพลเป็นคนเริ่มโดยการถามถึงพ่อของหยางกับหยิน เด็กตัวโตตั้งแง่ว่าไม่เคยเห็นหยินกับหยางมีพ่อมารับเลย จอมพลกับเพื่อนจึงล้อเลียนว่าหยินกับหยางไม่มีพ่อ หยางจึงผลักจอมพล แล้วทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกัน หยินออกมาจากห้องเรียนเจอน้องโดนต่อยแก้มพอดีจึงเข้าไปช่วย แล้วครูไอรินกับครูเจี๊ยบก็มาเจอจึงเข้าไปแยกเด็ก ทว่าเด็กสี่คนไม่สนใจครูเลย ครูเจี๊ยบจึงวิ่งไปตามครูพลอยที่ห้องข้างๆมาช่วย ต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่เมฆากับจงรักเห็นเหตุการณ์
พ่อแม่ของจอมทัพกับโฟนไม่เอาเรื่องอะไร อีกทั้งสองครอบครัวยังดุลูกชายตัวเองพร้อมกับให้มาขอโทษหยินและหยางด้วย จงรักเองก็ไม่ได้เอาเรื่องกับโฟนและจอมพล เนื่องจากเด็กในปกครองเป็นคนเริ่มทำร้ายร่างกายเขาก่อน พอจอมพลกับโฟนขอโทษหยินและหยางตามที่ถูกพ่อแม่บังคับแล้ว หยินกับหยางเองก็ขอโทษเด็กสองคนนั้นเหมือนกัน ทุกเรื่องดูเหมือนจะจบลงด้วยดี แต่ก่อนออกจากห้อง เมฆาได้ตำหนิคุณครูไปนิดหน่อย
“ผมรู้ว่าเด็กๆผิดที่เกเรจนมีเรื่อง แต่ในฐานะของครูกับเด็กอายุหกขวบ คุณควรดูแลพวกเขาและจัดการกับสถานการณ์ให้ดีกว่าที่เป็น เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายจนได้กันคนละหลายแผลแบบนี้ อยู่ในโรงเรียนถ้าแม้แต่ครูยังทำให้เด็กฟังไม่ได้ ทีนี้พวกเขาจะฟังใคร ยังไงช่วยปรับปรุงตรงนี้ด้วยนะครับ”
“พี่เมฆพอเถอะครับ” จงรักปรามเบาๆ เพราะสงสารคุณครูสาวทุกคน พวกเธอดูเหมือนครูจบใหม่ ประสบการณ์ในการรับมือกับเด็กคงมีไม่มาก
“ขอโทษด้วยนะคะ ทางเราจะปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ” ครูพลอยเป็นตัวแทนคุณครูอีกสองคนในการกล่าวคำขอโทษ
จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ก่อนหยินและหยางขึ้นรถเด็กชายจอมพลก็วิ่งมาหา พร้อมกับพูดบางอย่างที่ทำเอาผู้ใหญ่ที่ได้ฟังนึกแปลกใจ
“เราขอโทษนะหยิน หยาง ที่ว่านายไม่มีพ่อ ทั้งๆที่พ่อของพวกนายเท่ขนาดนี้ พรุ่งนี้เรามาเล่นด้วยกันนะ” เด็กตัวโตบอกด้วยท่าทางเสียใจจริงๆ ก่อนจะเหลือบมองเมฆาด้วยสายตาชื่นชม
“แต่นั่นไม่---“ หยางไม่ทันได้พูด หยินก็แทรกขึ้นก่อน
“ใช่ พ่อเมฆของเราเท่ที่สุด เราไม่โกรธพวกนายแล้ว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปเล่นด้วยกัน”
“อื้ม” จอมพลยิ้มกว้างออกมาก่อนวิ่งกลับไปหาพ่อแม่ที่ยืนรออยู่ด้านหลัง พ่อแม่ของจอมพลยิ้มให้จงรักกับเมฆาบางๆ จากนั้นก็พาลูกชายคนเดียวขึ้นรถไป จงรักเองก็พาเด็กๆขึ้นรถเช่นกัน
“พี่หยิน แต่น้าเมฆไม่ใช่พ่อพวกเรานะ” หยางท้วงขึ้นหลังจากน้าเมฆออกรถมาได้สักพักแล้ว
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” หยินบอก
“แล้วทำไมพี่หยินบอกจอมพลอย่างนั้น” หยางยังคงสงสัย เมฆากับจงรักเองก็สงสัยเหมือนกัน
“เพราะว่าจอมพลจะได้ไม่ล้อหยางกับพี่อีกไง”
“แล้วถ้าจอมพลรู้ว่าน้าเมฆไม่ใช่พ่อเรา จอมพลก็จะหาว่าเราโกหกน่ะสิพี่หยิน” หยางแย้งพลางทำปากยื่น
“จอมพลไม่รู้หรอก”
“ทำไมล่ะ”
“จอมพลไม่มีทางเจอพ่อเราหรอก เพราะขนาดพวกเราพ่อยังไม่มาหาเลย” หยินบอกด้วยเสียงเรียบๆ คล้ายกับเด็กคนนี้ไม่มีความรู้สึกอะไร แต่ผู้ใหญ่ที่ฟังถึงกับสะท้อนในอก
“นั่นสิ” หยางเห็นด้วย “แล้วทำไมพ่อถึงไม่มาหาเราบ้างล่ะพี่หยิน”
“แม่อ้ายบอกพ่อทำงาน”
“เมื่อไหร่พ่อจะทำงานเสร็จน้อ หยางอยากเจอพ่อจัง หยางไม่เคยเจอพ่อสักที เห็นแต่ในรูป”
“ถึงหยางกับหยินจะไม่ได้เจอพ่อ แต่หยางกับหยินก็ยังได้เจอแม่อ้าย ลุงไอ น้ารัก แล้วก็น้าเมฆนะครับ” จงรักหันมาบอกหลานด้วยเสียงอ่อนโยน หนุ่มตัวเล็กใช้ความพยายามอย่างมากในการข่มไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“จริงสิครับ หยางอยากเจอแม่อ้ายกับลุงไอแล้ว เมื่อไหร่แม่อ้ายกับลุงไอจะกลับมาสักที หยางคิดถึ้ง คิดถึง” หยางบ่นกระเง้ากระงอดก่อนจะหันไปเห็นรถบรรทุกคันใหญ่วิ่งผ่าน เจ้าตัวจึงชี้ชวนให้พี่ชายดูรถคันนั้นคันนี้แล้วหัวเราะกันสนุกสนาน
จงรักลอบมองหลานแล้วหันกลับมาถอนหายใจ รู้สึกดีที่อย่างน้อยความเป็นเด็กทำให้พวกฝาแฝดไม่เก็บเรื่องราวเหล่านั้นมาคิดอะไรมาก เหมือนกับที่เด็กๆทะเลาะกันแปบๆก็ลืม แต่เขาก็อดห่วงไม่ได้ว่าเรื่องของพ่อที่ทิ้งไปแต่งงานใหม่ตั้งแต่พวกเขายังไม่คลอด จะกลายเป็นปมชิ้นใหญ่ที่อาจถูกสะกิดให้รู้สึกเจ็บได้ทุกเมื่อ
“อย่าคิดมาก เด็กๆยังมีแม่กับลุงที่รักพวกเขามาก พวกเราก็ยังอยู่ ทุกๆอย่างจะผ่านไปด้วยดี เชื่อพี่สิ” เมฆายื่นมือมากุมมือเล็กกว่าของจงรักเอาไว้ แล้วพูดขึ้นขณะรถติดไฟแดง
“นั่นสินะครับ” ได้ยินสิ่งที่เมฆาพูด มันทำให้จงรักคิดได้ขึ้นมา ว่าถึงแม้เด็กๆจะขาดพ่อ แต่พวกเขาก็ยังมีคนที่พร้อมจะมอบความรักให้พวกเขา และอยู่ข้างๆพวกเขาอีกมากมาย “เหมือนกับผมที่ถึงขาดแม่แต่ก็ยังมีพ่อ มีพี่สาวสองคน รวมทั้งยังมีพี่เมฆอยู่ด้วยใช่ไหมครับ”
“อืม” เมฆาตอบรับ ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกประโยค “
ก็เหมือนกับพี่ที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีตากับยายที่รักอยู่บนโลกแล้ว แต่พี่ก็ยังมีเรา มีจงรักอยู่ด้วยกัน เท่านี้พี่ก็พอใจแล้วล่ะ”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
ตอนใหม่มาแล้วค่าาาาาาา
ตอนนี้ไม่ตลก แอบดราม่านิดหน่อยด้วย
แต่เด็กๆก็อาจสนิทกับน้าเมฆขึ้นอีกนิดนะ(?) 555555
เห็นมีนักอ่านหน้าใหม่หลงเข้ามาอ่านด้วย ยินดีต้อนรับนะคะ
กำลังพยายามเร่งเขียนค่ะ ไม่อยากหายไปนานๆ เดี๋ยวคนอ่านลืม อิอิ
เจอกันตอนหน้านะคะ
ละอองฝน
[12/03/2558 ,23:21]