...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...[แจ้งข่าว หน้า๒๒ ค่ะ]  (อ่าน 308831 ครั้ง)

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การ สนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้าง ความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่อง เล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้ เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ใน ความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกัน สร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็น ทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวด เล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกัน โดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ด อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่า เป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะ แม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูด คุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่าง ของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้ เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


ฮัลโหลๆ...หลังจากสิงสถิตย์ในเล้าเป็ดมาน้าน...นานนนนน ก็ได้ฤกษ์ลงนิยายเรื่องแรก(ในเล้าเป็ด)เสียที 555
เป็นพีเรียดเน่าๆสนองนี๊ดของคนแต่งเองนะเจ้าคะ...สาระอย่าไปถามถึงมาก แต่จะพยายามเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ (รู้งี้ตอนมหาลัยเรียนเอกประวัติศาสตร์เสียก็ดีมั้ยตรูวววว =_=")

เกริ่นก่อนนะคร๊าาาา...

ขึ้นชื่อว่าพีเรียด พล๊อตคงไม่หนีพีเรียดทั่วไปมากนัก แต่คนแต่งก็พยายามสุดความสามารถที่จะทำออกมาให้มันพอไปวัดไปวาได้(สาธุ)...ส่วนจะถูกใจหรือไม่ก็สุดแท้แต่ผู้อ่านจะเมตตา กรุณา ข้าน้อยด้วยเด้อออค่ะ ><"
หากมีอะไรติชมให้ปรับปรุงก็ยินดีรับไว้และจะแก้ไขนะเจ้าคะ

ปล.มือใหม่หัดเขียน เมตตาข้าน้อยด้วยนะเจ้าาาา
ปล.2 จะพยายามทำให้มันจบบริบูรณ์ให้ได้นะเจ้าคะ (สัญญาลูกผู้หญิง ><")

ฝากเพจนิยายด้วยนะคะ จะพยายามอัพเดทเรื่อยๆค่ะ :)




[/color]


:::The Timeless Tide...หากแม้นสายนธีร์จะย้อนกลับ...:::


ตอนที่ ๑...ปฐมบท...
 
ตอนที่ ๒...เสียงเพรียกจากกาลเวลา...
 
ตอนที่ ๓...เมื่อหัวใจเพรียกหา...
 
ตอนที่ ๔...เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง...
 
ตอนที่ ๕...เมื่อแรกพบ...
 
ตอนที่ ๖...แรกพบสบตา...(Champ's Vision)
 
ตอนที่ ๗...เหตุบังเอิญหรือจงใจ...
 
ตอนที่ ๘...แรกเริ่มของความรู้สึก...
 
ตอนที่ ๙...เมื่อสายนธีร์ย้อนกลับ...
 
ตอนที่ ๑๐...หัวใจที่กระซิบบอก...
 
ตอนที่ ๑๑...ห้วงนธีร์ไหลวน...
 
:::: Author's Talk :::::
 
ตอนที่ ๑๒...เมื่อได้ยินเสียงหัวใจ...
 
ตอนที่ ๑๓...โอ้เจ้าจอมขวัญ...(Champ's Vision)
 
ตอนที่ ๑๔...บุคคลอันตรายและความหมายที่ซ่อนเร้น...
 
ตอนที่ ๑๕...คำสารภาพ...
 
ตอนที่ ๑๖...ค้นหาความจริง...

ตอนที่ ๑๗...สองสิ่งที่เหมือนกัน...

ตอนที่ ๑๘...เวลาที่หมุนวนและการค้นพบความจริง...

ตอนที่ ๑๙...อดีตที่ตามหา...

ตอนที่ ๒๐...กาลเวลาหวนคืน...

ตอนที่ ๒๑...เวลาที่แตกต่าง...

ตอนที่ ๒๒...ท่าทีที่เปลี่ยนไป...

ตอนที่ ๒๒.๕...หนักใจ...

ตอนที่ ๒๓...พบกันอีกครั้ง...

ตอนที่ ๒๔...คำมั่นสัญญา (Champ's Vision)...

ตอนที่ ๒๕...กลิ่นดอกแก้ว...

ตอนที่ ๒๖...ธาราไหลริน...

ตอนที่ ๒๗...แก้วกลางนธีร์...

ตอนที่ ๒๗.๕...รัศมีจันทร์เจ้า(ครึ่งแรก)...

ตอนที่ ๒๗.๕...พิสิษฐวรเวทย์(ครึ่งหลัง)...

ตอนที่ ๒๘...เส้นขนานของกาลเวลา...

ตอนที่ ๒๙...สิ่งที่ค้างในใจ...

ตอนที่ ๓๐...งานเลี้ยง...

ตอนที่ ๓๑...ภาวนา...

ตอนที่ ๓๒...สับสน...

...ตอนพิเศษวันปีใหม่...

ตอนที่ ๓๓...เอาคืน (Champ's Vision)...

ตอนที่ ๓๔...โอกาส...

ตอนที่ ๓๕...วิกฤต...

ตอนที่ ๓๖...ผิดที่ใคร...

ตอนที่ ๓๗...การจากลา (๑)...

ตอนที่ ๓๗...การจากลา (๒)...

ตอนที่ ๓๘...ปัจฉิมบท...


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2016 11:03:12 โดย Novemberist »

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
The timeless tide


Chapter I...ปฐมบท


หากแม้นเบื้องบนกำหนดให้เกิดมาคู่เคียง...เพียงกาลเวลาคงมิอาจกั้น
หากแม้นเจ้าเอ่ยคำรักให้พี่ได้ยินสักครา...พี่จักตามหาเจ้าจนพบ
แม้นกาลเวลากั้นกลาง...แต่มิอาจกั้นหัวใจของพี่ที่มีเพียงเจ้า

...สายน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจของพี่...
...สายนทีเพียงหนึ่งเดียวที่พี่จักตามหา...



"พ่อธีร์..."


"พ่อธีร์..."


"กลับมาหาเราเถิด"


"เราคิดถึงพ่อธีร์เหลือเกิน"


...เสียงทุ้มกังวานในความมืด...เสียงอันคุ้นเคย หากแต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร...คุ้น...คุ้นมาก เหมือนมีใครเคยเรียกผมแบบนี้...แต่ใครล่ะ...เขาเป็นใครกัน?...
 .
.
.
.
"ธีร์..."เสียงหวานเจื้อยแจ้วเรียกชื่อผมพร้อมมือที่เกาะเกี่ยวราวกับว่าผมจะหายตัวไปต่อหน้า

"แพม..."ใช่ครับ...แพม...แฟนสาวร่วมมหาวิทยาลัยของผมเอง...ผมหันไปมองร่างเล็กที่ยังเกาะเกี่ยวแขนผมเอาไว้แน่น...ผมยาวถึงกลางหลัง ดัดลอนสีน้ำตาลอ่อนตามสมัยนิยมของวัยรุ่นไทยในศตวรรษที่21...ดวงตากลมโตเพราะคอนแทคเลนส์สีน้ำตาล ก็ตามที่วัยรุุ่นสมัยนี้เขานิยมกันนั่นล่ะ...ถ้าถามผม แพมก็นับเป็นหนึ่งในสาวสวยหน้าตาดีในมหาวิทยาลัยนี้อีกคน...อันที่จริงผมว่าสาวสวยในมหาวิทยาลัยผมนี่ก็เยอะแยะไปหมด เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ผู้หญิงหน้าตาเหมือนๆกัน แต่งตัวเหมือนๆกัน ทำผมทรงเดียวกัน แถมยังตัวเท่าๆกันอีกต่างหาก ไม่รู้พ่อแม่เขาเลี้ยงกันด้วยอะไรนะ สาวๆสมัยนี้ถึงได้เอวบางร่างน้อย ตัวสูงเท่าไหล่ผมกันทั้งนั้น

"วันนี้ธีร์เลิกกี่โมง...แพมอยากดูหนัง"เสียงเจื้อยแจ้วของแพมยังย้ำต่อ รวมถึงมือที่เกาะเกี่ยวแขนผมก็กระตุกเบาๆเป็นจังหวะ...นี่สินะ เขาเรียกว่าผู้หญิงเวลาอ้อน

"โอ้ย! ไอ้ธีร์อ่ะนะ เพื่อแพมต่อให้มันมีสอบมันก็โดดได้!"เสียงไอ้แชมป์เพื่อนสนิทผมที่นั่งอยู่ข้างๆขัดขึ้น...ตอนนี้พวกผมกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย ช่วงเที่ยงนี่คนแน่นจริงๆ แต่แพมก็ยังหาผมเจอจนได้...เขาถึงว่า อย่าได้ประมาทผู้หญิงเชียว เพราะพวกหล่อนน่ะสัญชาติญาณดีเป็นเลิศครับ

"ตีนเถอะครับเชี่ยแชมป์...บ่ายธีร์มีควิซนะแพม คงเลิกเย็นๆเลยครับ ไว้พรุ่งนี้ได้ไหม ธีร์เลิกเที่ยงแล้วจะไปหาที่คณะ"ผมหันไปด่าไอ้แชมป์ก่อนแล้วค่อยหันมาบอกคนตัวเล็กที่ยังเกาะแขนผมไม่ปล่อย เอ้อ ผมไม่ได้หายไปไหนหรอกแพม ไม่ต้องเกาะแน่นขนาดนี้ก็ได้

"แต่แพมอยากดูวันนี้นิ่ พรุ่งนี้แพมเลิกเย็นแถมคุณพ่อให้รีบกลับอีก ไปวันนี้ไม่ได้เหรอธีร์"เสียงอ้อนของแพมทำเอาผมไปไม่เป็นเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าแพมเข้าใจความหมายของควิซรึเปล่าวว่ามันสำคัญ =_="

"วันนี้ไม่ได้จริงๆครับ ให้ธีร์สอบเสร็จก่อนนะ มะรืนก็ได้ หรือแพมว่างวันไหนแพมบอกธีร์นะ"

"ก็แพมว่างวันนี้..."เสียงแข็งพร้อมแก้มป่องๆ เอาแล้วไงครับ ผู้หญิงเวลางอนยิ่งกว่าพายุทะเลทราย ไม่รู้จะเอาอะไรมาหยุดดี

"แต่ธีร์ไม่ว่างนี่ครับแพม แพมเข้าใจธีร์นะ"ผมไม่ค่อยชอบเถียงแพม จริงๆแล้วผมไม่ค่อยชอบเถียงผู้หญิงเลยต่างหาก เพราะผมไม่เคยเถียงชนะพวกหล่อนนั่นแหละ...แต่ถ้าเป็นพวกเพื่อนผู้ชายน่ะ ถึงไหนถึงกันครับ เถื่อน ดิบ เป็นเรื่องธรรมชาติ

"ธีร์มันไม่ว่าง ไปกับต่อก็ได้นะคร้าบบบบบ"เสียงไอ้ต่อ เพื่อนร่วมแก๊งค์อีกคนแทรกขึ้นมา...ไอ้นี่มันตัวกวนครับ เห็นผู้หญิงสวยๆไม่ได้เป็นต้องแถเข้าไปหา แม้แต่กับแพมก็ไม่เว้น...แต่ผมไม่เคยหึงมันหรอก เพราะพวกผมรู้กันว่าของๆเพื่อนเราจะไม่ยุ่งกันเด็ดขาด มันไม่คุ้มที่จะมาเสียเพื่อนเพราะผู้หญิงคนเดียว

"ไอ้นี่ เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา ผัวเมียเค้างอนกันอยู่มึงเห็นมั้ย!"ไอ้โจ๊กรีบโบกหัวเพื่อนก่อนที่มันจะปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่านอีกรอบ ทำเอาแพมที่แก้มป่องเพราะงอนผมอยู่หลุดอมยิ้มนิดๆ...เอาวะ อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว

"เอาไว้ธีร์ว่างแล้วธีร์ค่อยพาไปดูหนังนะครับ เดี๋ยวธีร์พาไปกินข้าวชดเชยด้วยเอ้า ธีร์เลี้ยงเอง"ได้ทีผมเลยรีบง้อใหญ่ กลัวแพมจะไม่หายงอนแล้วผมจะไม่ได้ไปสอบกันพอดี...แพมยังหันมาทำแก้มป่องใส่ผมแต่ไม่ป่องเท่าตอนแรกแล้ว แสดงว่าอารมณ์ดีขึ้นมาขีดนึง...แหม่ ต้องขอบคุณไอ้โจ๊กที่ช่วยสาระแนให้แฟนผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้

"ก็ด้ะ! แต่คราวหน้าห้ามเบี้ยวแพมแล้วนะ ต้องเลี้ยงแพมตามสัญญาด้วย"พูดจบก็คลี่ยิ้มออกมาได้บ้าง ทำเอาผมแอบถอนหายใจ สงสัยกูต้องเลี้ยงข้าวไอ้โจ๊กก่อนแพมแล้วมั้งเนี่ย

"โอเคค่ะ งั้นธีร์ไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้าสายอาจารย์ไม่ให้สอบอีก ซวยเลยนะครับ"ผมรีบขอตัวเมื่อมองเวลาเห็นว่าใกล้ต้องเข้าห้องเรียนเต็มทีแล้ว...แพมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ...รอดตัวไปอีกวันครับไอ้ธีร์ นี่ถ้าเจอลูกตื๊อหนักกว่านี้สงสัยผมคงไม่ได้สอบแล้วพาแพมไปดูหนังอย่างที่แพมต้องการแน่ๆ




"ควายเอ๊ย! กะเพื่อนล่ะปากดี ทีกะแฟนล่ะทำเป็นหงิม"เสียงไอ้แชมป์ตะโกนไล่หลังตอนที่พวกเรากำลังเดินไปตึกเรียน ผมเลยหันไปชูนิ้วกลางให้มันเป็นการขอบคุณ

"หู้ยยยย มึงก็ไปว่ามัน พี่ธีร์เขาเป็นสุภาพบุรุษคร้าบบบบ"ไอ้โจ๊กครับ รีบต่อมุขเป็นลูกคู่ไอ้แชมป์ทันที...เหมือนจะชมกูนะ แต่น้ำเสียงมึงกระแดะพิกล

"มึงก็นะ สุภาพบุรุษเกิ๊นนนนน ผู้หญิงบางทีเขาก็ชอบผู้ชายเถื่อนๆนะเว้ย แบบตบจูบๆไรงี้"ไอ้แชมป์รีบเดินตามมาเกาะไหล่ผมแน่น แล้วดูมันพูด กูไม่ใช่พระเอกละครอาพิศาลครับจะได้มาตบจูบๆ

"เถื่อนเหมือนมึงอ่ะนะ ไม่ไหวว่ะ เสื่อม!"ผมรีบหันไปส่ายหน้าใส่คนข้างๆ เรียกเสียงฮาจากเพื่อนร่วมแกงค์ได้อีกรอบ

"หู้ยยยย ไอ้คุณชายชลนธีร์ เป็นสุภาพบุรุษให้ได้ตลอดนะครับมึง"ไม่พูดเปล่าล้อชื่อจริงผมอีก...ชื่อผมก็แปลตรงตัวนั่นแหละครับ..."สายน้ำ"...แต่ที่เขียนแบบนี้เพราะแม่เคยบอกว่าตอนเกิดพระท่านทักว่าควรตั้งชื่อผมให้มีตัวการันต์ด้วย แม่ก็เลยเขียนชื่อผมออกมาเป็นแบบนี้แต่ความหมายเหมือนเดิม...งงไหมครับ...ผมยังงงเลย แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมว่าชื่อผมมันก็แปลกดี...

แต่ตอนนี้คนที่ตั้งชื่อให้ผมเขาไม่อยู่แล้วครับ...พ่อกับแม่เสียตั้งแต่ผมอายุ14ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์...ตอนนั้นผมที่เพิ่งเข้าสู่วัยรุ่นแล้วยังต้องมาได้ยินข่าวร้ายเรื่องพ่อกับแม่ทำเอาผมแทบเสียคน ผมหนีออกจากบ้านอาที่รับผมไปอยู่ด้วยแทนพ่อที่เพิ่งเสียไป...อาตามหาผมอยู่3วันกว่าจะเจอผมที่ยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่กลางสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา...หยุดครับ! ผมไม่ได้คิดสั้นแบบที่พวกคุณคิด...ผมแค่อยากอยู่คนเดียว...สำหรับผม การสูญเสียพ่อแม่ทำเอาผมเสียหลักครั้งใหญ่...ผมรักพ่อกับแม่มาก ถึงพ่อจะงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลา แต่ผมก็รับรู้ได้เสมอว่าพ่อรักผม...ไม่ใช่เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียว แต่พ่อชอบพูดกกับผมเสมอว่า...ผมคือสมบัติอันล้ำค่าของพ่อกับแม่...สมบัติที่ใครบางคนมอบให้ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคือใคร

ส่วนแม่...แม่เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวในชีวิตที่ผมรักหมดหัวใจ...รักโดยไม่มีเงื่อนไข...ผมติดแม่ตั้งแต่เด็กเพราะพ่องานยุ่ง แม่ใจดีกับผมเสมอแต่ก็พร้อมจะเป็นนางยักษ์เมื่อผมทำผิด...ตั้งแต่จำความได้จนอายุ14 ผมเป็นเด็กดีมาตลอดเพื่อตอบแทนบุญคุณพวกท่าน...แต่เมื่อท่านจากไป ผมกลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ยอมไปเรียน ไม่สุงสิงกับใคร เพราะทุกครั้งที่ผมไปโรงเรียนผมมักได้ยินคำปลอบใจไร้สาระจากคนรอบตัวเสมอ...ทุกคนเสียใจต่อการจากไปของท่านฑูตธีรวัฒน์และคุณหญิงนาฎลดา เตชะวณิช แต่ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าการสูญเสียคนที่เรียกว่าพ่อกับแม่ จริงๆแล้วมันรู้สึกอย่างไร...

'กูรู้นะว่ามึงเสียใจ...ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักจากไปหรอก แต่มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าพ่อแม่มึงจะรู้สึกยังไงที่ต้องมาเห็นลูกตัวเองในสภาพนี้...ไหนมึงบอกมึงรักพวกท่านมาก ทำไมมึงทำให้พวกท่านเสียใจวะ' นั่นเป็นประโยคเดียวที่ผมจำได้แม่นจากไอ้แชมป์ คำพูดที่ไม่ได้ปั้นแต่งให้สวยหรู ไม่ใช่การแสดงความเสียใจจอมปลอม...นั่นทำให้ผมฉุกคิด...แชมป์เป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ป.4 บ้านอยู่ใกล้กัน แถมบ้านผมกับบ้านมันก็ยังสนิทกันอีก...ตอนนั้นแชมป์เลยเป็นคนเดียวที่ผมรับฟัง มันมักจะมานั่งเป็นเพื่อนผมหลังเลิกเรียนเวลาที่ผมไม่อยากกลับบ้าน...เพราะนั่นไม่ใช่บ้านผม...นั่นคือบ้านของอา...ผมอยู่บ้านเดิมไม่ได้เพราะอาเห็นว่าผมยังเด็กเกินกว่าจะใช้ชีวิตคนเดียว ต่อให้มีคนรับใช้ของพ่อกับแม่อยู่เต็มบ้านแต่อาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีเลยคิดจะรับผมไปอยู่ด้วยจนกว่าผมจะโตจนดูแลตัวเองได้ท่านถึงจะอนุญาตให้ผมกลับไปอยู่บ้านเดิม...บ้านที่พ่อระบุไว้ในพินัยกรรมพร้อมทรัพย์สินอีกมหาศาล ทั้งหมดจะตกเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียวเมื่อผมอายุครบ22ปี ในวันที่ผมจบการศึกษา...

'ทำไมมึงไม่อยากอยู่กับอานิด เขาก็ดีกับมึง'แชมป์มักจะถามผมด้วยคำถามเดิมๆทุกครั้งที่มันมานั่งเป็นเพื่อนผมข้างสนามฟุตบอลที่โรงเรียน

'แต่เขาไม่ใช่แม่กู'ใช่ครับ อานิดดีกับผมมาก อารักผมเหมือนลูกแท้ๆเพราะอายังไม่มีลูก ท่านเคยอยากรับผมเป็นลูกบุญธรรมหลังจากที่พ่อกับแม่เสีย แต่ผมไม่ยอมกลับหนีออกจากบ้านไปเกือบอาทิตย์ จนสุดท้ายแกก็ล้มเลิกความคิด

'ไม่ต้องเป็นลูก เป็นหลานเหมือนเดิมก็ได้ แค่ขอให้อาได้ดูแลธีร์เหมือนที่พ่อกับแม่ธีร์รักและดูแลธีร์ได้ไหม...ธีร์ก็เหมือนลูกอาคนหนึ่ง อาเห็นธีร์มาตั้งแต่เกิด พ่อกับแม่รักธีร์ยังไง อาก็รักธีร์อย่างนั้น'อานิดพูดทั้งน้ำตาพลางโผเข้ามากอดผมแน่นหลังตามตัวผมเจอ...ไม่ใช่ว่าผมไม่รักอานิด แต่ด้วยความเสียใจในการสูญเสีย...ผมต่อต้าน...ไม่มีใครแทนที่พ่อกับแม่ผมได้...ไม่ว่าใคร...ไม่ว่าเขาจะดีกับผมแค่ไหน...และไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นอานิดก็ตาม

'ถ้ามึงไม่สงสารอานิด ก็คิดซะว่าทำเพื่อพ่อกับแม่มึงเถอะ ท่านจะได้ไปสบายไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงมึง' และก็เป็นไอ้แชมป์อีกนั่นแหละที่ดึงสติผมกลับมา หลังจากที่ผมต่อต้านอานิดอยู่เกือบปี แต่ได้ไอ้แชมป์คอยพูดกรอกหูทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น จนสุดท้ายผมก็ใจอ่อน ยอมย้ายไปอยู่กับอานิดและสามี...ผมไม่เคยปฏิเสธว่าอาทั้งสองดีกับผมมากแค่ไหน ท่านรักผมเหมือนลูกแท้ๆ...แต่ก็อย่างที่เคยพูดไป...ผมต่อต้าน...ถึงผมจะยอมย้ายไปอยู่ด้วยแต่ไม่ได้หมายความว่าผมยอมให้ท่านมาแทนพ่อกับแม่ของผมได้...ผมรู้สึกแบบนี้ตลอดเวลาที่อยู่บ้านหลังนั้น...ผมคิดถึงพ่อกับแม่...ยิ่งอาทั้งสองดีกับผมมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งคิดถึงพ่อกับแม่มากเท่านั้น...จนสุดท้ายผมก็ได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง...ในวันที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้ได้

'อานิด...ธีร์จะไปอยู่หอ'นั่นคือคำพูดของผมหลังจากที่บอกข่าวดีกับอาทั้งสอง...หลานชายสอบติดคณะรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของประเทศ...ท่านดีใจถึงกับประกาศจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ผม แต่ผมปฏิเสธ...ผมไม่อยากรบกวนอาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

'ธีร์...คิดดีแล้วเหรอลูก'อานิดเรียกผมว่าลูกเสมอ หยาดน้ำตาใสๆเริ่มเอ่อล้นดวงตาทั้งสองของอา...ใช่ ผมรู้ว่าอาเสียใจ เพราะอาพยายามทำดีกับผมตั้งแต่ผมยอมย้ายมาอยู่ด้วย รักผมเหมือนลูกแท้ๆ แต่ผมกลับทำทุกวิธีที่จะไปจากบ้านหลังนี้

'ธีร์ตัดสินใจแล้วครับ...อยู่หอมันสบายกว่า ไม่ต้องเดินทางไกลๆ'ผมยกเหตุผลเรื่องการเดินทางมาอ้าง แต่เราต่างรู้ดีถึงเหตุผลที่ผมตัดสินใจแบบนี้ และครั้งนี้อาก็ห้ามผมไม่ได้ เพราะผมมีเหตุผลมากพอ และผมก็โตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว

'ถ้าธีร์คิดดีแล้ว อาก็ไม่ห้ามหรอกจ้ะ'นั่นคือคำตอบของอา แต่ผมก็ยังเห็นคราบน้ำตาและรอยช้ำรอบๆที่บ่งบอกได้ว่าผมกำลังทำให้อาเสียใจ

'อานิดไม่ต้องส่งเงินมาให้ธีร์นะ เดี๋ยวธีร์จะทำงานหาเอง'ดวงตาบอบช้ำของอานิดที่แดงอยู่แล้วเริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง

'อารู้ว่าธีร์ไม่อยากรบกวน แต่นั่นไม่ใช่เงินอาหรอก...นั่นเงินของพ่อกับแม่ธีร์ที่ทิ้งไว้ให้ ท่านตั้งใจยกทุกอย่างให้ธีร์ อาเคยบอกธีร์แล้วไม่ใช่เหรอลูก'เสียงของอานิดยังอ่อนโยนเสมอแม้จะมีเสียงสะอื้นเจืออยู่ในประโยคนั้น

'ไว้รอให้ธีร์ตอนเรียนจบทีเดียวก็ได้ครับ'ผมตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ ผมไม่อยากรบกวนใคร แม้แต่เงินของพ่อกับแม่ก็ตาม เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะได้ใช้มัน

'ธีร์...อาเข้าใจธีร์นะ แต่เรื่องนี้อาขอ ไม่เห็นแก่อาก็เห็นแก่พ่อกับแม่ที่เสียไปแล้วเถอะ ท่านคงไม่อยากเห็นธีร์ออกไปใช้ชีวิตลำบากคนเดียวหรอกนะลูก'

'แต่ธีร์...'ผมกำลังจะเถียงกลับ พอดีกับที่อาผู้ชายเดินเข้ามา

'แค่ธีร์ไม่อยากอยู่ที่นี่ก็ทำให้อาเสียใจมากพอแล้ว ธีร์อย่าทำให้อานิดเสียใจไปมากกว่านี้เลย เงินนั่นวันนึงมันก็ต้องเป็นของธีร์ เงินของพ่อของแม่ธีร์ พวกอามีหน้าที่แค่ดูแลให้ธีร์ได้ใช้มันในทางที่เหมาะสม'อาผู้ชายรีบเสริม ก็จริงที่เงินนั่นจะถูกใช้ในทางที่เหมาะสมเพราะมันจะกลายมาเป็นค่าเทอมของผมจนกว่าจะเรียนจบ

'เพราะฉะนั้นไม่มีแต่...แลกกับการที่พวกอายอมให้ธีร์ออกไปอยู่หอ ธีร์ต้องยอมให้อาจ่ายค่าเทอมพวกนี้จนกว่าธีร์จะเรียนจบ'เป็นอันว่าผมต้องยอมรับข้อเสนอของอาทั้งสองคนแลกกับชีวิตเด็กหออันอิสระเสรี


...นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อน...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2014 23:13:01 โดย Vivid_Vuitton »

meili run

  • บุคคลทั่วไป
เจิมนะคะ :mc4: อยากอ่านต่อคะ ได้โปรดสนองนีสสสสสสสสสสสสสสสคนอ่านตาดำๆ  :katai1:

อิอิสู้ๆคะ




meili run

  • บุคคลทั่วไป
ลืม+1 มากดแล้วปายยยยยยยย

 :bye2:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
Chapter II...เสียงเพรียกจากกาลเวลา



"เทสย่อยเป็นไงวะมึง"ไอ้แชมป์หันมาถามผมที่นั่งเรียบเรียงเลคเชอร์ที่เพิ่งจดไปเมื่อคาบที่แล้ว มันไม่ได้เรียนคณะเดียวกับผมหรอกครับ มันเรียนศิลปกรรม เพราะมันออกจะติสต์ไม่เหมือนคนอื่นเขา...ดีนะที่มันยังไม่ถึงขั้นลุกขึ้นมาแต่งตัวทำผมเหมือนพวกเด็กศิลปกรรมคนอื่นๆ ไม่งั้นผมคงเครียดหนักกว่าเดิม...ใครๆเขาก็อยากมีเพื่อนเป็นผู้เป็นคนนะครับคุณผู้อ่าน

"ก็ไม่ไง ผ่านปกติ"ผมตอบแต่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือเรียนตรงหน้า

"เหอะ ผ่านปกตินี่คือเต็มสินะไอ้คุณชาย"มาแล้วครับ สรรพนามที่มันชอบเรียกเวลาจะแดกดันผม เพราะมันรู้ว่าผมไม่ชอบแต่มันก็ยังดันทุรังเรียกมาตั้งแต่ป.4 จนตอนนี้ก็สิบปีเข้าไปแล้วจนผมชินขี้เกียจต่อปากต่อคำกับมัน

"เต็มครึ่งครับสัส!" ผมไม่ใช่คนเรียนเก่งครับ อาศัยลูกขยัน แต่หัวมันก็ตื้อๆเป็นบางเวลา อย่างวันก่อนที่ทำเทสย่อยหัวมันดันพาลคิดเรื่องเก่าๆที่เล่าให้คุณผู้อ่านฟังตอนที่แล้ว ทำเอาไม่มีสมาธิสอบเลยทีเดียว

"โอ๊ะ แสดงว่าวันนั้นผีออก ฮ่าๆๆ"ไอ้แชมป์ยังกวนตีนผมไม่เลิก มันหาเรื่องกวนผมได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ อย่างพอสอบได้คะแนนดีๆมันก็จะหาว่าผีเข้าบ้างล่ะ แต่พอคะแนนแย่ๆแบบคราวนี้มันก็จะหาว่าผีออก สรุปคือผมจะทำอะไรมันก็หาเรื่องแดกดันได้ทุกที

"อย่าไปเครียดครับคุณชาย เอางี้! เดี๋ยววันนี้กระผมพาไปแดกเหล้า ถือซะว่าเลี้ยงปลอบใจที่คุณชายเสือกสอบได้เต็มครึ่งเอามั้ยครับ"เอากับมันสิครับ จะชวนผมไปกินเหล้ายังชวนแบบคนปกติเขาไม่ได้ ต้องหาเรื่องชักแม่น้ำทั้ง84สายมาให้ผมงงได้ตลอดเวลา

"มึงอยากแดกก็บอกมา ไม่ต้องมาอ้าง"ผมตอบมันเสียงเรียบพลางละสายตาจากเล็คเชอร์ตรงหน้าวูบหนึ่ง

"หรือมึงไม่อยาก?"ไอ้แชมป์รีบสวนควับ...จริงๆแล้วนอกจากพวกผู้หญิงที่ผมไม่ชอบต่อปากต่อคำด้วยนักก็จะมีไอ้แชมป์นี่แหละครับที่ผมไม่ค่อยอยากจะเถียงมันสักเท่าไหร่ เพราะมันชอบมีเหตุผลพิสดารมาอ้างจนผมก็จนปัญญาจะเถียงทุกครั้งไป

"เออๆ ไปก็ไป ขับรถไปส่งกูที่หอด้วยอ่ะวันนี้ไม่ได้เอารถมา"ว่าแล้วก็จัดการนัดพวกไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อไปเจอกันที่ร้านประจำตรงทองหล่อ...วันนี้วันศุกร์คนคงเยอะ พวกผมเลยนัดกันตั้งแต่เกือบ3ทุ่มเพราะกลัวจะไม่มีโต๊ะให้นั่ง
.

.

.

.

"เชี่ยโจ๊ก! เสื้อขาว3นาฬิกาครับ"ไอ้ต่อรีบสะกิดแขนไอ้โจ๊กยิกๆพลางส่งโค้ดลับที่เขารู้กันทั่วประเทศ นี่ก็เรื่องปกติของไอ้สองคนนี้เหมือนกัน เวลามันมาเที่ยวทีไรเป็นต้องยืนแอบส่องสาวน่ารักๆในร้านทุกที แต่ผมว่าผู้ชายปกติเขาก็เป็นแบบนี้กันใช่ไหมครับ...แต่ผมไม่เคยนะ เพราะผมถือว่าผมมีแฟนแล้ว ไม่ค่อยอยากหาเรื่องใส่ตัว

"สัส กรีดตายาวไปถึงคิ้ว มึงเอาไปเหอะ นู่นๆ  สายเดี่ยวดำ12นาฬิกาดีกว่า"ไอ้โจ๊กเริ่มสอดสายตาหาเป้าหมายบ้าง

"ควาย! มึงเห็นมั้ยเค้ามากับผัว"ไอ้ต่อไม่พูดเปล่าแถมโบกหัวเพื่อนซักทีโทษฐานส่องสาวไม่ดูตาม้าตาเรือ

"พวกมึงนิ่ กูชวนมาแดกเหล้าไม่ได้ชวนมาส่องสาว"ไอ้แชมป์ส่ายหน้าบ่นเพื่อนอีกสองคนอย่างระอา...ส่วนผมเหรอครับ ก็ทำตัวตามปกติ...นั่งดื่ม...ดื่ม...แล้วก็ดื่ม

"เอ้า ไอ้นี่อีกคน ชวนมาแดกเหล้าแม่งก็แดกแต่เหล้าจริงๆไม่ทำเชี่ยอะไรเลย"ไอ้แชมป์ยังไม่วายหันมาแขวะผมอีกคน

"เสือกกกก"ผมที่เริ่มกึ่มๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หันไปด่ามันซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่จะเริ่มหนักหน่อยเวลาเหล้าเข้าปาก

"แหม๊ เมาแล้วปากดี เดี๋ยวกูโทรตามแพมแม่ง ดูดิ๊ยังจะปากดีอยู่มั้ย"ไอ้แชมป์รีบยกจุดอ่อนผมมาอ้างทำเอาผมเงียบปากลงได้บ้าง มีเพียงแค่นิ้วกลางที่โชว์หราใส่หน้ามัน

"ไอ้ธีร์ มึงเครียดไรป่าววะ กูเห็นตั้งแต่มาถึงมึงก็แดกเอาๆ นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงมึงล่อไปเกือบครึ่งขวดแล้วนะ"ไอ้ต่อหันมาถามผมที่ตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาดื่มไม่สนใจใคร

"ไม่มีไรมึง..."ผมตอบห้วนๆ แต่คนที่รู้จักผมดีอย่างไอ้แชมป์ย่อมรู้เสมอว่านี่แหละ คือ'มีอะไร'ในความหมายของผม


"เป็นเชี่ยไรอีกล่ะ"มันเดินมากอดคอพร้อมกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน...ไอ้แชมป์มันรู้ใจผมดี ถึงผมจะสนิทกับโจ๊กและต่อแต่ก็ไม่เหมือนแชมป์ที่รู้ใจกันมาตั้งแต่เด็ก จะว่ามันเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมไว้ใจเลยก็ว่าได้

"อานิดอยากให้กูกลับไปอยู่บ้าน"นั่นคือคำตอบของผม...สามวันก่อนตอนที่ผมกลับบ้านอาทั้งสองเรียกผมเข้าไปคุยเรื่องนี้ สาเหตุเพราะอาผู้ชายต้องย้ายไปประจำบริษัทสาขาที่เชียงใหม่ ทำให้อานิดต้องอยู่บ้านคนเดียว เลยอยากให้ผมกลับไปอยู่เป็นเพื่อน

"แล้วมึงว่าไง"ไอ้แชมป์ยังถามต่อ

"กูไม่รู้ว่ะ ไม่อยากกลับ แต่ก็เกรงใจแก"ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะอยู่บ้านกับอานิด แต่ถ้าเลือกได้ ผมขออยู่หอคนเดียวดีกว่า มันสบายใจกว่ากันเยอะ

"แต่ถ้าไม่กลับเลยก็สงสารแกป่ะวะ แกอยู่คนเดียวก็คงเหงา"

"กูรู้ แต่กู..."ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ช่วงนี้ผมยิ่งไม่อยากกลับไปอยู่บ้าน จะว่าผมคิดไปเองก็ไม่ใช่ เพราะมันเกิดขึ้นบ่อยเสียจนผมไม่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ

"มีอะไรที่กูควรรู้อีกป่ะ"แม่งทำตัวอย่างกับนักสืบ ถามเลาะเล็มไปเรื่อย

"เมื่อก่อนก็ไม่มีอะไร...แต่เดี๋ยวนี้..."ผมหันไปมองไอ้แชมป์ที่นั่งท้าวโต๊ะมองหน้าผมแบบจริงจัง...นี่มึงอยากรู้เรื่องกูขนาดนั้นเลยเหรอวะ

"กูชอบฝันแปลกๆ...ตอนอยู่หอไม่เคยเป็น เป็นแค่ตอนกลับไปนอนบ้าน"

"แปลกยังไง...เห็นแพมแก้ผ้า?...โอ๊ยยยย!"เสือกกวนตีนผมเลยโบกให้ซักที

"เชี่ยกูล้อเล่น...เอ้าเล่ามา...แปลกยังไงของมึง"ไอ้แชมป์ถามพลางเอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆ

"กูไม่ได้ฝันเห็นอะไรเลย มันมืด..."

"สัส! มึงหลับตามันก็ต้องมืดดิวะ...โอ๊ยยย! หัวคนนะเว้ยไม่ใช่ลูกปิงปอง ตบเอาๆ"มันรีบยกมือขึ้นลูบหัวที่เหมือนลูกปิงปองของตัวเองอีกรอบเมื่อเจอผมโบกเข้าให้

"กูไม่เล่าละ ขัดตลอด..."

"เออๆ เล่ามา...มืดแล้วไงต่อ"สงสัยกลัวโดนรอบที่สาม คราวนี้เลยนั่งเงียบไม่กวนประสาทได้

"มันมืด...แต่กูได้ยินเสียง"ผมเห็นไอ้แชมป์ขมวดคิ้วนิดๆด้วยความสงสัย

"เสียงไรวะ"

"เสียงผู้ชาย...เรียกชื่อกู...แต่...เรียกแปลกๆ"ผมเล่าพลางนึกถึงฝันที่เกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งที่ผมกลับไปนอนที่บ้านอานิด ผมไม่ได้ฝันแบบนี้ตั้งแต่แรก...มันเริ่มเมื่อประมาณ2-3อาทิตย์ก่อน ปกติผมจะกลับบ้านช่วงสุดสัปดาห์ แต่พอผมฝันเห็น...ไม่สิ ได้ยิน...ได้ยินเสียงนั้น...ทำเอาผมไม่อยากกลับไปนอนบ้านเลยแม้แต่วันเดียว

"แปลกยังไง...เค้าเรียกมึงว่าผัวขาาาาา  เหรอ...เชี่ยหยุด! โบกกุอีกทีกุถีบกลับนะมึง"ไอ้คนรู้ตัวรีบยกมือมาบังหัวตัวเองราวกับรู้ว่าผมคิดอะไร...ก็ถ้ามึงไม่อยากโดนก็ช่วยหุบปากแล้วฟังให้จบได้ไหมล่ะเว้ย

"สัส"คำเดียวสั้นๆจากปากผม

"เห้ย ต่อๆ อย่ามาค้างคา"มันจะคาก็เพราะมึงกวนตีนกูไม่เลิกเนี่ยแหละ

"เค้าเรียกกูว่า..."ผมเงียบไปอึดใจพลางนึกถึงเสียงในฝันนั้น


-พ่อธีร์-


ใช่ครับ...เสียงนั้นเรียกผมแบบนี้...มันแปลกมากเพราะไม่เคยมีใครเรียกผมแบบนี้มาก่อน...แล้วที่แปลกไปกว่านั้นคือเสียงนั้นมันช่างคุ้นหูผมเสียเหลือเกิน เหมือนผมเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่แต่ผมกลับนึกไม่ออก...เสียงทุ้มต่ำแต่เจือไปด้วยความอ่อนโยน เหมือนที่พ่อเคยเรียกผมสมัยเด็กๆ...น้ำเสียงฟังดูมีอำนาจแต่กลับนุ่มนวล...


"ไอ้ธีร์!"แต่เสียงตวาดห้วนของไอ้แชมป์ดันเรียกสติผมให้กลับมาสู่โลกความเป็นจริงเสียก่อน

"ห้ะ?"

"เงียบหาพ่องงงง กูถามมึงไม่ได้ยินเหรอไงวะ"มันกอดไหล่ตะโกนกรอกหูเพราะคิดว่าผมไม่ได้ยินจนผมต้องเอามือดันหน้ามันออกห่างก่อนที่หูผมจะแตกเสียก่อน แค่เสียงเพลงในร้านก็กระหึ่มพอแล้วยังเจอเสียงสิบแปดหลอดของไอ้แชมป์อีก พรุ่งนี้ผมได้หูดับแน่

"ถามเชี่ยรายยยย"

"กูถามว่ามึงฝันเห็น เอ้ย! ได้ยินแค่นั้นเหรอ"ไอ้แชมป์ถามต่อ อยากรู้เต็มที่ตามนิสัยของมัน

"อ่ะ...เออๆ แค่นั้นแหละ"ผมโกหก...ที่จริงผมได้ยินมากกว่านั้น แต่ผมไม่อยากเล่า...เพราะในฝัน...เสียงนั้นพร่ำบอกเพียงแค่ไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ผมขนลุกได้อย่างประหลาด


-กลับมาหาเราเถิด...เราคิดถึงพ่อธีร์เหลือเกิน-


อยู่ดีๆมีผู้ชายเรียกหาแถมบอกว่าคิดถึง จะไม่ให้ผมขนลุกได้ยังไง แถมผมยังไม่กล้าเล่าให้ไอ้แชมป์ฟังเพราะรู้ว่ามันต้องกวนประสาทผมแน่ๆถ้ารู้ว่าผมได้ยินอะไรบ้าง

"งั้นกูว่าหูมึงแว่วไปเอง ไม่มึงก็คิดมากเวลากลับบ้านมึงเลยฝันอะไรแปลกๆ"ไอ้แชมป์รีบสรุปใจความสำคัญให้ฟัง

"ถ้าแค่นี้ก็กลับไปหาอานิดบ้างเถอะวะ สงสารแก อาเค้ารักมึงเหมือนลูกแท้ๆแต่มึงหาเรื่องออกไปอยู่ข้างนอกตลอด แค่นี้เค้าก็เสียใจจะตายห่าแล้ว"ผมเคยบอกแล้วว่าคำพูดจริงจังของไอ้แชมป์มีอิทธิพลต่อความคิดของผมเสมอ เพราะเวลามันยกเหตุผลมาอ้าง ผมก็จนปัญญาจะเถียงมันจริงๆ

"เออ ก็คงกลับช่วงสุดสัปดาห์เหมือนเดิม แต่จะหาเวลาไปอยู่กับแกก็แล้วกัน แต่จะให้กลับไปอยู่เลยไม่เอาว่ะ กูชอบอยู่หอ อยู่คนเดียวสบายใจดีอยากทำอะไรก็ได้ทำ"ผมขยายความต่อ เคยบอกไปแล้วว่าไม่ได้รังเกียจอะไรน้า แค่อยู่หอมันสบายกว่าเท่านั้นเอง แล้วยิ่งมีเรื่องฝันบ้าๆนั่นอีก

"งั้นวันนี้มึงกลับบ้าน เดี๋ยวกูไปส่ง จะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปหอให้กูเหนื่อย"สรุปที่พูดมาทั้งหมดนี่คือมันขี้เกียจขับรถไปส่งผมที่หอใช่ไหมครับคุณผู้อ่าน?!
.

.

.

.

รถเก๋งสีดำขับมาจอดอยู่หน้ารั้วสีน้ำเงินบานใหญ่ที่คุ้นเคย...บ้านของอานิดอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก นั่นหมายถึงใกล้บ้านไอ้แชมป์เหมือนกัน แชมป์รู้จักอานิดดีเพราะมันมาหาผมบ่อยๆในช่วงแรกที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ สาเหตุก็อย่างที่เล่าไปครับ มันกลัวผมเป็นบ้า เก็บตัวไม่พูดจากับใคร มันเลยคอยหาเวลามาหาผม ชวนผมทำโน่นทำนี่จนผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างหลังจากการสูญเสีย แล้วอานิดเองก็เอ็นดูไอ้แชมป์ใช่ย่อยเพราะมันเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้ผมยอมย้ายมาอยู่บ้านนี้กับแก

"มึงจะเข้าบ้านป่ะ อานิดคงยังไม่หลับ"ผมมองไฟห้องนั่งเล่นที่ยังสว่างอยู่ แสดงว่าอานิดยังไม่นอน ส่วนอาผู้ชายเห็นว่าต้องไปดูงานที่เชียงใหม่ก่อนย้ายไปอยู่จริง อีกสามวันถึงจะกลับ

"คงไม่อ่ะ ป๊ากูโทรตามยิกๆแล้ว ฝากสวัสดีแกด้วยละกัน"ไอ้แชมป์ว่าพลางยกโทรศัพท์ที่โชว์เบอร์ป๊ามันหรา

"เออเดี๋ยวกูบอกให้"ผมร่ำลาไอ้แชมป์ก่อนจะลงจากรถ ยืนมองจนรถเก๋งสีดำของมันลับตาไปก่อนจะเดินเข้าบ้าน





"ธีร์ กลับมาแล้วเหรอลูก"อานิดที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นยิ้มกว้างเมื่อเห็นผม

"หวัดดีครับอา...ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก"ผมมองนาฬิกาบนผนังห้องที่บอกเวลาเที่ยงคืนกว่า นี่ถือว่ากลับเร็วแล้วนะครับสำหรับการไปเที่ยวในคืนวันศุกร์ อย่างพวกผมน่ะ6โมงเช้าก็เคยมาแล้ว

"อานั่งดูอะไรเพลินๆน่ะ แล้วนี่หิวมั้ย อาไม่รู้ว่าวันนี้ธีร์จะกลับเลยไม่ได้ทำกับข้าวไว้"ผมส่ายหน้า หลังจากซัดเหล้าไปเกือบขวดจะให้กินอะไรตอนนี้ก็คงไม่ลงแล้ว จริงๆตอนนี้อยากจะเอาของเก่าออกเสียมากกว่าแต่ยังต้องตั้งสติไว้เพราะไม่อยากให้อานิดเป็นห่วง

"ธีร์ไปนอนก่อนนะอา ฝันดีนะครับ"เมื่อรู้สึกว่าไอ้ที่ซัดเข้าไปเมื่อตอนหัวค่ำมันกำลังวิ่งสี่คูนร้อยขึ้นมาจุกตรงคอหอย ผมเลยต้องรีบร่ำลาอานิดแล้วสาวเท้าขึ้นห้องทันที...ก่อนที่จะ...



"อ้วกกกกกกกกกกก!"เต็มๆครับ ยังดีที่ทนจนมาถึงห้องน้ำได้ ไม่งั้นกูต้องมานั่งถูบ้านตอนเกือบตีหนึ่งแน่ๆ



หลังจากจัดการของเก่าจนท้องไส้โล่งไปหมด ผมก็พาสารร่างโทรมๆมาล้มปุลงบนเตียง...อา...มันช่างสบายจริงๆ เตียงนุ่มกว้างที่ผมจะกลิ้งสักสามสี่ตลบก็ยังได้ แต่ไม่อยากกลิ้งมากครับ กลัวของเก่ามันจะออกมาอีก...ว่าแล้วก็เคลิ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังเอาออกไม่หมด...


ผมนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงที่คุ้นเคย...สติเริ่มล่องลอยไปสู่ช่วงเวลาแห่งการหลับใหล...หลังจากที่เหนื่อยกับการเรียนแถมด้วยสังสรรค์ยามดึก...นี่คงเป็นเวลาที่ผมจะต้องพักผ่อนจริงๆเสียที



'.........'อืมมมมม เสียงอะไรวะ...คนกำลังจะนอนดันมาส่งเสียงแปลกๆ


'...ธีร์.......พ่อธีร์...'เสียงนี้...เสียงนี้อีกแล้ว...ผมมั่นใจว่าผมยังไม่หลับ แค่กำลังเคลิ้ม แต่ตอนนี้ผมได้ยินเสียงนี้เต็มสองหู

'...พ่อธีร์...กลับมาหาเราเถิด'ประโยคเดิมๆพูดซ้ำๆเหมือนทุกครั้งที่ผมฝันถึง

"ใครอ่ะ! คุณเป็นใคร"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมตอบโต้ไป ทุกครั้งผมได้แต่ฝันถึงเสียงนี้ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะสติที่กึ่งหลับกึ่งตื่นของผมมันบอกให้รู้ว่า...นี่ไม่ใช่ฝัน!...เพราะผมไม่ได้หลับ...แล้วผมจะฝันได้ยังไง?!

'พ่อธีร์...ลืมเราแล้วหรือ'เสียงทุ้มนุ่มนวลยังกังวาลในโสตประสาทของผม...เสียงนั้นฟังดูอ้อนวอน...ตัดพ้อ...และเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง

"ผมไม่รู้จักคุณ...คุณเป็นใคร"เอาวะไอ้ธีร์ เมาไม่เมาไม่รู้แต่กูก็บ้าคุยกับเสียงที่ไม่มีตัวตน...ผมอยากลืมตาแต่รู้สึกว่ามันหนักอึ้ง มีแค่เสียงเท่านั้นที่ยังก้องกังวานอย่างต่อเนื่อง

'พ่อธีร์...เราคิดถึงพ่อธีร์เหลือเกิน...'มันไม่ใช่เสียงของผู้หญิงเวลาออดอ้อนเหมือนเสียงของแพมหรือของผู้หญิงคนไหน...นี่มันเสียงผู้ชาย...ผู้ชายแท้ๆที่แม้แต่น้ำเสียงยังฟังดูมีอำนาจหากแต่เจือไปด้วยความเศร้าหมองอย่างน่าประหลาด

"โอ้ย! พูดเป็นอยู่คำเดียวเหรอวะ แล้วกูจะรู้มั้ยว่าคุณมึงเป็นใคร"เอากับผมสิ เมาแล้วเพี้ยนหนักทะเลาะกับอะไรก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือเรื่องบ้าๆนี่มันคืออะไรกัน

'พ่อธีร์...'คือแม่งกวนตีนกูใช่ปะครับ...หรือคิดอีกทีคือผมเมาจนเสียสติ?

"โว้ยยยย เรียกอยู่นั่น! ชื่อเหมือนแม่หรือไงวะ"อาการคนเมา พาลไปทั่ว วูบหนึ่งผมแอบคิดว่าเสียงดังขนาดนี้อานิดจะได้ยินแล้ววิ่งขึ้นมาดูรึเปล่า แต่ผมก็ระลึกได้ว่าอานิดคงไม่มีทางได้ยินแน่ เพราะถึงแม้ว่าผมจะตะโกนจนสุดเสียงหรือด่าจนหมดแรง แต่มันก็แค่ในความคิดเท่านั้น เพราะสติอันเลือนลางได้บอกให้ผมรู้ว่า...ปากของผมไม่ได้ขยับแม้เพียงนิด...




'กลับมาหาพี่...พี่คิดถึง'สิ้นเสียง ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นตรงริมฝีปาก...สัมผัสนุ่มนวล อ่อนโยน...รู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาตรงหน้า อยากลืมตาแต่ก็ทำไม่ได้ มันหนักอึ้งเหมือนมีใครเอาหินมาถ่วงไว้...แต่สัมผัสที่ริมฝีปากนั้นกลับชัดเจน...เพียงแค่แผ่วเบาแต่ผมรับรู้มันได้...วูบเดียวเท่านั้น...เพียงแค่วูบเดียวของความรู้สึก...


...แล้วมันก็หายไป...



ผมลืมตาโพลง...มองไปรอบห้องที่ยังเงียบสงบเหมือนเคย...ไฟยังสว่างจ้าเพราะผมไม่ได้ปิดมัน...ได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆพร้อมกับไอเย็นที่กระทบหน้า...


...แล้วสัมผัสอุ่นที่ริมฝีปากนั่นล่ะ?...



...มันหายไปไหน...


...

meili run

  • บุคคลทั่วไป
พ่อธีร์     ระวังนะ อิอิ มาต่อเยอะนะคะ ติดตามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆคะ


 :z3: :z3:

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
รอจ้าาาาาาาาาาา  :katai2-1:

VampirezBadz

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
แวบเข้ามาเจาะไข่  :z13:

เนื้อเรื่องน่าสนใจดี จริงๆ ก็ชอบแนวพีเรียดๆ แบบนี้อยู่แล้ว
รอติดตามตอนต่อไป สงสัยจริงๆ ว่าใครเรียกธีร์อยู่นะ

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
Chapter III...เมื่อหัวใจเพรียกหา



"ธีร์ ตื่นแล้วเหรอลูก...มาทานข้าวก่อน วันนี้อาให้เพ็ญทำข้าวต้มกุ้งที่ธีร์ชอบเลยนะ"อานิดทักทายผมที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนด้วยเสียงอันสดใส ผิดกับผมที่ยังอยู่ในสภาพเมาค้างไม่ต่างอะไรจากเมื่อคืน...ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับอานิด รอป้าเพ็ญ แม่บ้านคนสนิทของอานิดตักข้าวต้มมาให้...อืมมม หลังจากที่เมาค้าง ตื่นเช้ามาก็ต้องข้าวต้มร้อนๆสินะ...ผมคิดในใจ

"วันนี้ธีร์ไปไหนรึเปล่าลูก"ผมส่ายหน้าตอบอานิดพลางตักกุ้งตัวโตเข้าปาก ฝีมือป้าเพ็ญไม่เคยตกเลยจริงๆ

"อานิดมีอะไรรึเปล่าครับ หรือว่าอยากออกไปไหนมั้ย"ปกติวันหยุดอานิดมักชวนผมออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนแกเสมอ ยิ่งอาผู้ชายทำงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลา อานิดก็เอาแต่อยู่กับบ้านไม่ยอมออกไปไหน ยกเว้นเวลาที่ผมกลับมานอนบ้าน

"อาว่าจะไปดูของขวัญให้คุณหญิงอร อาทิตย์หน้าแกจัดงานวันเกิดที่บ้านน่ะ ธีร์ไปช่วยอาเลือกหน่อยนะลูก"คุณหญิงอรที่ว่าเป็นเพื่อนสนิทแม่ผม เพราะเป็นภริยาของท่านทูตเหมือนกัน ตอนที่พ่อกับแม่ผมเสีย คุณหญิงและท่านทูตยังประจำอยู่ต่างประเทศเลยไม่ได้มาร่วมพิธี แต่ท่านก็ยังมีน้ำใจส่งจดหมายมาแสดงความเสียใจถึงบ้าน

"ไปรถอาก็ได้ ธีร์ไม่ได้เอารถมาจากหอใช่มั้ยลูก"อานิดยังคงถามต่อ เล่นดักคอกันแบบนี้แล้วผมจะหาข้ออ้างอะไรไม่ไปกับแกได้ล่ะ ถึงแม้อยากจะขึ้นไปพักสายตาให้หายแฮงก์อีกซักพักก็เถอะ

"งั้นเดี๋ยวธีร์ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ"ผมขอตัวขึ้นไปจัดการตัวเองหลังกินข้าวเช้าเสร็จ ไม่อยากให้อานิดรอนานเพราะตอนที่ผมลงมาแกก็แต่งหน้าแต่งตัวพร้อมแล้ว ราวกับว่ารู้ว่าผมจะไม่มีทางปฏิเสธคำชวน


...ผมยืนมองตัวเองในกระจกหลังจากอาบน้ำเสร็จ กำลังคิดว่าควรจะตัดผมที่มันเริ่มยาวลงมาปรกหน้า แถมด้านหลังยังยาวละท้ายทอยจนแทบจะผูกเป็นหางม้าได้แล้วดีไหม...ผมมีเชื้อจีนมาจากปู่ครับ เลยได้ผิวขาวของแกมา...ปู่ของผมเป็นนักธุรกิจใหญ่ ส่วนย่าเป็นลูกสาวท่านทูต...พ่อเคยเล่าว่าตอนปู่กับย่ารักกันท่านโดนกีดกันจากคุณทวดฝั่งย่า เพราะท่านเป็นถึงทูตย่อมไม่อยากให้ลูกสาวมาลงเอยกับนักธุรกิจชาวจีน ถึงแม้ตอนนั้นปู่ผมจะมีทรัพย์สินมหาศาลก็เถอะ คุณทวดให้เหตุผลว่า...เกียรติของวงศ์ตระกูลย่อมสำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง...แต่อันที่จริงนามสกุล เตชะวณิชของปู่ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใคร เพราะเป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่6...เรื่องนี้ผมฟังพ่อเล่ามาอีกที เพราะผมโง่ประวัติศาสตร์ครับ บอกกันตรงๆไม่อายเลย

...และสุดท้ายรักแท้ก็ไม่แพ้อุปสรรค...ปู่พิสูจน์ตัวเองกับคุณทวดและได้แต่งงานกับย่าของผมในที่สุด ท่านให้กำเนิดบุตรชาย2คน และบุตรสาวอีก1คน หนึ่งในนั้นคือพ่อของผมที่เลือกเรียนสายการทูตเหมือนกับตระกูลของย่า เลยทำให้คุณทวดเอ็นดูพ่อเป็นพิเศษ...พอเรียนจบคุณทวดก็ฝากเข้าทำงานในสถานทูตและด้วยความตั้งใจบวกกับความสามารถของพ่อเองเลยทำให้พ่อก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งทูตได้ไม่ยากนัก...ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์ตามความต้องการของพ่อ...แต่ถึงพ่อไม่พูด ผมก็ตั้งใจจะเรียนด้วยตัวเองอยู่แล้ว เพราะผมเห็นพ่อทำงานมาตั้งแต่เด็ก ผมเห็นความตั้งใจของพ่อ ถึงแม้จะงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว แต่สิ่งที่พ่อทำก็ทำเพื่อประเทศชาติทั้งนั้น...


"ธีร์...ถ้าเสร็จแล้วอาฝากหยิบกระเป๋าในห้องทำงานด้วยนะลูก"เสียงอานิดตะโกนมาจากชั้นล่างเมื่อผมแต่งตัวเสร็จพอดี...เสื้อเชิ้ตลายสก๊อตขาวดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป...ไม่ต้องจินตนาการว่าผมเป็นพี่ตูนบอดี้สแลมนะครับ อันนั้นมันก็เข้ารูปไป๊ อึดอัดทั้งเวลาใส่เวลาถอด เอาเป็นว่าเข้ารูปแบบพอดีๆก็พอ

"ครับอา"ผมตะโกนตอบเป็นอันว่ารับทราบก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของอาผู้ชาย...ผมไม่ค่อยได้เข้ามาห้องนี้บ่อยนัก เพราะอาผู้ชายมักอยู่ในห้องเวลาที่เอางานกลับมาทำที่บ้าน ส่วนผมก็ขลุกอยู่แต่ห้องนอนตัวเองไม่ก็ห้องนั่งเล่น หรือเวลาเบื่อๆก็ออกไปนั่งเล่นในสวน...ว่าแต่กระเป๋าอานิดอยู่ตรงไหนวะ?

...ผมกวาดสายตาไปทั่วห้อง...แต่ก็ต้องสะดุดตาเข้ากับบางอย่าง...วูบหนึ่งผมรู้สึกถึงหัวใจที่กระตุกเฮือก...มันไม่ใช่ความกลัว...แต่มันเป็นความอบอุ่นอย่างประหลาด...ถึงแม้ผมจะไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้บ่อยนัก...แต่โต๊ะทำงานไม้สักทรงโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้านี่มันไม่ได้มีมาตั้งแต่ผมย้ายมาแน่นอน...

ผมค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้สิ่งนั้น...โต๊ะไม้สักสีเข้มขัดเงามีร่องรอยของการใช้งาน...ผมดูออกว่ามันเป็นของเก่าอย่างแน่นอนถึงแม้จะมีการพ่นเคลือบเงาให้ดูเหมือนใหม่ แต่สภาพที่ถูกใช้งานและร่องรอยของกาลเวลามันบ่งบอกอย่างชัดเจน...บนโต๊ะมีเอกสารงานของอาผู้ชายวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับที่เขี่ยบุหรี่ที่ยังมีก้นบุหรี่ทิ้งไว้ ผมพอจะนึกภาพออกว่าอาคงเครียดเวลาทำงานเลยต้องหาตัวช่วยเพื่อผ่อนคลายบ้าง...นอกจากเอกสารที่วางอยู่...อีกสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาไม่แพ้กัน...ที่ทับกระดาษไม้สักพร้อมแท่นเสียบปากกาขนนก...สีของมันเข้าคู่กับโต๊ะเป็นอย่างดี...ผมเอื้อมมือไปหยิบปากกาขนนกขึ้นมาดู...สมัยนี้ยังมีคนใช้อยู่อีกเหรอวะ? นั่นคือความคิดวูบหนึ่ง แต่แล้วผมก็เสียบมันลงที่เดิมเมื่อของอีกอย่างดึงดูดความสนใจผมได้มากกว่า...ตลกนะครับ แค่ที่ทับกระดาษแต่ทำไมใจผมสั่นพิลึกเวลายื่นมือไปหยิบมัน...น้ำหนักของมันพอดีมือ ไม่หนักเกินไป ทำจากไม้สักแบบเดียวกับโต๊ะทำงาน ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าส่วนด้านบนทำเป็นช่องใส่ของจุกจิกและที่เสียบปากกาขนนก...ผมหยิบมันขึ้นมานั่งพินิจ...อยากจะหัวเราะตัวเองที่มัวแต่จดจ่อกับของโบราณแบบนี้ แต่มือก็ไม่ยอมวางมันลงเสียที...มันก็แค่ที่ทับกระดาษกับโต๊ะทำงาน จะสนใจทำไมนักนะไอ้ธีร์...

...แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็นบางอย่างใต้ที่ทับกระดาษนั้น...บางอย่างที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ...ผมรีบพลิกอีกด้านของมันขึ้นมาดูอย่างไม่ลังเล...เห็นเป็นรอยจางๆเหมือนใครใช้ของแหลมขีดเขียน...แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าสิ่งที่ผมอ่านได้นั้นมันไม่ใช่คำว่า...


'ชลนธีร์'


มือที่ถือสิ่งนั้นอยู่สั่นเล็กน้อยจนเกือบปล่อยให้มันร่วงลงสู่พื้น หากแต่สติที่ยังมีทำให้ผมกำมันเอาไว้แน่น...จะมีสักกี่คนที่มีชื่อเดียวกับผม...และจะมีสักกี่คนที่เขียนชื่อตัวเองแบบนี้?...ที่สำคัญ...ไอ้รอยนี่ มันไม่ใช่รอยที่เพิ่งถูกสลักขึ้น...ดูยังไงมันก็เป็นรอยเก่า ที่ถูกขีดเขียนเหมือนไม่ตั้งใจ ไม่ใช่ตัวพิมพ์ที่สวยงาม แต่เป็นเพียงลายมือของคนๆหนึ่ง...แล้วใครกันล่ะ...ใครกันที่มีชื่อเหมือนกับผมไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่ตัวอักษรเดียว


"ธีร์...เจอมั้ยลูก"อานิดที่เปิดประตูห้องเข้ามาเรียกสติผมให้กลับมาได้แทบทันที ผมหันไปมองหน้าอานิดทั้งๆที่ในมือยังกำที่ทับกระดาษอันนั้นเอาไว้แน่น

"อ้าว เป็นอะไรน่ะ"อานิดมองหน้าผมที่คงทำหน้าประหลาดพิลึกถึงได้โพล่งถามออกมา

"ป่าวครับ...เอ้อ อานิด...ไอ้นี่"ผมยกที่ทับกระดาษในมือให้อาดู

"อ๋อ เห็นแล้วเหรอลูก"อานิดยิ้มบางๆ ยิ่งทำให้ผมงงหนักกว่าเดิม

"ตอนแรกที่อาเห็นก็ตกใจ...มันบังเอิญมากเลยนะธีร์"

"เอ่อ...เดี๋ยวอา...ธีร์ไม่เข้าใจ"ใช่ครับ ผมไม่เข้าใจว่าอานิดกำลังหมายถึงอะไร

"อาหมายถึงโต๊ะกับที่ทับกระดาษนี่ไง...ธีร์เห็นข้างใต้แล้วใช่มั้ยลูก ตอนอาเห็นครั้งแรกยังตกใจเลย"

"แล้วอาได้มันมายังไงอ่ะครับ"นี่ครับประเด็น ผมอยากรู้ว่าไอ้โต๊ะไม้สักกับที่ทับกระดาษชื่อผมมันมาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไรมากกว่า

"ก็เมื่อ3อาทิตย์ก่อนคุณหญิงอรเขาชวนอากับอาผู้ชายไปทานข้าวเย็นที่บ้าน...อาเขาเกิดถูกใจโต๊ะตัวนี้ พอดีกับที่ท่านทูตสามีคุณหญิงเขาคิดจะเอาไปขายให้ร้านขายของเก่าเพราะเขาบอกว่ามันเกะกะ อาเขาก็เลยซื้อต่อมาน่ะ เห็นว่าได้มาถูกด้วยนะ เป็นของสมัยร.5หรือร.6นี่แหละ อาก็จำไม่ค่อยได้"อานิดขยายความยาวเหยียดแต่ไม่ได้ให้ความกระจ่างกับผมเลยแม้แต่น้อย...ของคุณหญิงอร...เพื่อนสนิทแม่...แล้วทำไมมันเป็นชื่อผม?

"ตอนแรกที่อาเขาเอามา อาเห็นรอยข้างใต้ที่ทับกระดาษ พออาพลิกดูเห็นเป็นชื่อธีร์ อาผู้ชายเขายังตกใจเลยนะ เขาบอกตอนแรกที่ตัดสินใจซื้อมาไม่ได้สังเกตเลย แค่รู้สึกชอบ"

"สามอาทิตย์ก่อนเหรอครับอา"ผมถามอานิดพลางมองสิ่งของที่ยังกำอยู่แน่นในมือ รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่ดังตุบๆบนมือที่กำเอาไว้

"ใช่จ้ะ อาเขาเอามาก่อนธีร์กลับบ้านแป๊บเดียว"ผมขมวดคิ้วแน่น...สามอาทิตย์ก่อน...คือช่วงที่ผมเริ่มฝันแปลกๆ...เสียงนั่น...เสียงที่คุ้นหูแต่ผมไม่รู้จัก...ถ้ามันเริ่มเมื่อสามอาทิตย์ก่อน...มันก็เริ่มเมื่อตอนที่...อาเอาโต๊ะกับที่ทับกระดาษนี่เข้าบ้าน!...ใช่แล้ว! มันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ ฝันประหลาดของผม...โต๊ะไม้สัก...กับที่ทับกระดาษที่มีชื่อผม...

"ธีร์...เป็นอะไรรึเปล่าลูก"อานิดเรียกผมอีกครั้ง ทำเอาผมได้แต่ส่ายหน้าไล่ความคิดแปลกๆออกจากหัวเสียก่อน...และคนแรกที่ผมจะเล่าให้ฟังเรื่องนี้...คงไม่ต้องถามนะครับว่าเป็นใคร...
.

.

.

.

.
"สรุปคือมึงฝันแปลกๆตั้งแต่ที่อามึงเอาโต๊ะโบราณนั่นเข้าบ้าน"ไอ้เจ้าของเสียงสรุปเป็นใจความสั้นๆแต่ตรงใจผม

"มึงก็เลยคิดว่าโต๊ะนั่นเกี่ยวกับที่มึงฝันประหลาด"ผมพยักหน้าหงึกหงักไปกับคำพูดของมัน

"แล้ว..."มันทำสีหน้าครุ่นคิด

"มันจะเกี่ยวกันได้ไงวะ?"

"สัส! กูก็นึกว่ามึงจะมีไอเดียอะไรดีๆมั่ง แม่งไม่ต่างจากที่กูคิดเลย"ผมหันไปด่าไอ้แชมป์สักรอบ อุตส่าห์ไว้ใจมาปรึกษาให้ฟังแต่ก็ช่วยกูไม่ได้เล้ย

"โอ็ย แล้วกูจะไปรู้ได้ไงวะ กูเด็กศิลกรรมไม่ใช่ประวัติศาสตร์ศิลป์โว้ย!"มันเอามือขยี้หัวเกรียนๆของตัวเองไปมา

"เอางี้! เสาร์นี้กูไปนอนบ้านมึง จะได้ไปดูโต๊ะนั่น"มันรีบเสนอ เรื่องสอดรู้สอดเห็นล่ะเป็นที่หนึ่งไม่มีใครเกิน แต่ผมก็พยักหน้ารับให้ไอเดียของมัน อย่างน้อยสองหัวก็ยังดีกว่าหัวเดียวใช่ไหมครับ




ตั้งแต่ผมเจอโต๊ะตัวนั้น ผมก็กลับมานอนที่บ้านตลอด ทำเอาอานิดดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทั้งวัน แต่ผมก็ไม่อยากบอกให้แกดีใจเก้อว่าจริงๆแล้วที่ผมกลับมานอนบ้านเพราะอยากรู้เรื่องฝันบ้าๆนั่นต่างหาก

"วันนี้อาผู้ชายไม่กลับเหรอครับ"ผมถามอานิดระหว่างมื้อเย็นที่้บ้าน เป็นเรื่องปกติที่จะมีแค่ผมกับอานิดสองคนเพราะอาผู้ชายงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาได้ทานข้าวพร้อมหน้ากันสักเท่าไหร่

"เห็นว่าจะนอนคอนโดนะเพราะงานยังไม่เสร็จ"

"เอ่อ...ธีร์ขอเข้าไปห้องทำงานอาผู้ชายหน่อยได้มั้ยครับ"ผมขออนุญาตอานิดถึงแม้แกจะค่อยพร่ำบอกเสมอว่าให้คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของผมเอง แต่เรื่องห้องทำงานกับห้องนอนของอาผมก็ยังถือว่าเป็นที่ส่วนตัวอยู่ดี คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะถือวิสาสะเข้าไปโดยไม่บอกเจ้าของห้อง

"ไม่เห็นต้องขออาเลย ธีร์อยากเข้าไปเมื่่อไหร่ก็ได้นะลูก"อานิดยิ้มหวานให้ผมพลางตักแกงจืดไข่น้ำของโปรดอีกอย่างของผมมาใส่จานให้

"ดูท่าธีร์จะติดใจโต๊ะนั้นแล้วสินะ"แกพูดลอยๆแต่กระแทกใจผมเต็มๆ...ผมไม่ได้ติดใจ...แต่ผมแค่อยากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกับโต๊ะตัวนั้นจริงไหม...แล้วฝันประหลาดของผมคืออะไร...ผูู้ชายคนนั้นที่เรียกผมเป็นใคร...ให้ตายสิตอนนี้ผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด




หลังอาหารเย็นผมตรงดิ่งไปที่ห้องทำงาน...ปกติแล้วห้องทำงานของอาผู้ชายดูร่วมสมัยเหมือนห้องทำงานตามบริษัททั่วไป แต่พอมีโต๊ะตัวนี้มาตั้ง ทำเอาบรรยากาศในห้องดูวังเวงไปถนัดตา...โต๊ะไม้สีอึมครึมช่างขัดกับเฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัยในห้องนี้เสียจริง

ผมเดินมาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หนังสีดำ...เก้าอี้ตัวเดิมของอาที่ไม่ได้เข้าชุดกับโต๊ะไม้สัก พลางลูบมือไปกับแผ่นกระจกใสที่ตัดพอดีกับความกว้างของโต๊ะ เจ้าของใหม่คงจ้างช่างตัดกระจกมาวางทับเพื่อกันรอยขีดข่วนเป็นแน่...ผมเอื้อมมือไปหยิบที่ทับกระดาษเจ้าปัญหาขึ้นมาอีกครั้งพลางพลิกดูด้านล่าง... 'ชลนธีร์'...ยังอยู่ที่เดิมไม่จางหาย...เขาเป็นใครนะ คนที่ชื่อเหมือนผมคนนั้น...จะเป็นเจ้าของเสียงนั้นที่ผมฝันถึงหรือเปล่า...มือข้างหนึ่งลูบไล่ไปตามตัวอักษรที่ถูกเขียนไว้หยาบๆด้วยวัสดุปลายแหลม แต่ก็ยังพอรู้ว่าคนเขียนมีลายมือที่วิจิตรบรรจงไม้แพ้ใคร...

"ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...มันก็ตลกร้ายดีๆนี่แหละวะ"ผมพึมพำกับตัวเอง กำลังคิดว่าควรจะไปหาคุณหญิงอรเพื่อถามความเป็นมาของโต๊ะตัวนี้ดีไหม แต่มาคิดอีกที ไว้รอไอ้แชมป์วันเสาร์นี้ก่อนก็แล้วกัน เผื่อมันเห็นของแล้วจะคิดอะไรได้บ้าง


คืนนั้นผมนอนที่บ้านอานิดเหมือนเดิม...ทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างพลางกลิ้งไปมาอย่างครุ่นคิด...เคยเป็นกันใช่ไหมครับ เวลาที่คนเรามีเรื่องอะไรติดค้างในใจ เรามักจะนอนไม่หลับ เหมือนที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้...ผมนอนหลับตามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก นึกไปถึงที่ทับกระดาษในห้องทำงาน...'ชลนธีร์'...ลายมือบรรจงแม้ใช้เพียงวัตถุปลายแหลมขีดเขียนลงบนไม้...ถ้าเป็นการคัดหนังสือบนกระดาษคงจะยิ่งสวยกว่านี้แน่ๆ...แต่เพียงชั่ววูบที่ผมนึกถึงตัวหนังสือใต้ที่ทับกระดาษ...พลันเกิดภาพซ้อนขึ้นในความมืดนั้น...ผมเห็นมือใหญ่...นิ้วเรียวเหมือนลำเทียนกำลังถือวัตถุคล้ายไขควงปลายแหลม...มืออีกข้างจับที่ทับกระดาษคุ้นตาอันเดิม...ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นมือใหญ่นั้นค่อยๆจรดปลายเหล็กแหลมลงบนด้านหลังที่ทับกระดาษ เป็นตัวอักษรที่ผมคุ้นเคยดี...นิ้วเรียวค่อยๆบรรจงสลักตัวอักษรลงบนเนื้อไม้ทีละตัวอย่างปราณีต...แต่แล้วก็ยังพลาดถูกปลายคมนั้นบาดมือจนเลือดไหล...ผมเห็นมือนั้นกระตุกเล็กน้อย เลือดสีแดงสดเริ่มซึมออกมา...ก่อนที่จะมีมือของใครอีกคนยื่นมาจับเอาไว้...มือเรียวเล็กกว่าเจ้าของลายมือที่กำลังสลักตัวอักษร...ผิวขาวกว่า...แต่ไม่ใช่ผู้หญิงแน่ๆ...มือเรียวเล็กนั้นยื่นมาจับพร้อมกดผ้าลงบนนิ้วเรียวของอีกฝ่ายเพื่อห้ามเลือด...ผมเห็นสองมือที่เกาะกุมกันอยู่ แม้จะไม่เห็นหน้าของคนทั้งสอง แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนนั้น...ภาพนั้นมันทำให้หัวใจผมอบอุ่นอย่างประหลาด...


...แล้วผมก็ผลอยหลับไปโดยที่ไม่ฝันเห็นอะไรแปลกๆอีกเลยทั้งคืน...
.

.

.

.

.

.
วันเสาร์...ไอ้แชมป์มาหาผมที่บ้านตามที่รับปากไว้...อานิดเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะไอ้แชมป์ไม่ได้มาเยี่ยมแกนานพอสมควรแล้ว...แต่ยังบ่นทิ้งท้ายไว้อีกว่ามันดันมาผิดวันเพราะวันนี้แกต้องไปประชุมวิชาการที่นครนายกกว่าจะกลับก็อีกสองวัน...อานิดเป็นอาจารย์ครับ แต่ไม่ได้ทำเต็มเวลาแค่รับสอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆบ้าง แกบอกว่าอายุเริ่มมากขึ้นให้สอนทั้งวันไม่ไหว...ส่วนประชุมวิชาการคราวนี้เพื่อนสนิทแกที่เป็นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยชื่อดังเป็นคนเอ่ยปากชวน แกเลยปฏิเสธไม่ได้

"ไว้คราวหน้ามาหาอาใหม่นะแชมป์ อาคิดถึง"อานิดยิ้มหวานก่อนจะยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ

"คร้าบบบบ ขับรถดีๆนะครับอา เอ๊ะ แล้วนี่อาต้นไม่อยู่เหรอครับ"ไอ้แชมป์รีบตอบเสียงหวานพลางถามถึงอาผู้ชาย

"อาต้นไปเชียงใหม่จ้ะ อาทิตย์หน้ากว่าจะกลับ เห็นว่าต้องย้ายไปเดือนหน้าแล้ว เลยต้องไปเตรียมงานบ่อยๆ อาไปก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วยนะลูก"พวกผมยืนส่งจนอานิดขับรถพ้นประตูบ้านก่อนจะเดินเข้ามาข้างใน


"หิวป่ะมึง แดกไรก่อนมะ"ผมหันไปถามไอ้ตัวดีที่จะมานอนบ้านผมสองวันแต่ดันไม่เอาอะไรติดตัวมาเลย นี่แหละนิสัยมัน...ใช้ของผมทุกอย่าง

"ไม่ว่ะ...ไหนๆโต๊ะผีสิงของมึงอ่ะ"แล้วดูมันพูด เอาซะกูหลอนตามเลย

"เชี่ยนิ่ เรียกดีๆเป็นปะวะ นี่มึงกลับไปกูต้องอยู่คนเดียวนะเว้ย"ผมเอามือลูบแขนตัวเอง รู้สึกเย็นวูบเมื่อไอ้แชมป์เรียกโต๊ะตัวนั้นว่า"โต๊ะผีสิง"

"โตเป็นควายเสือกกลัวผีนะมึง ฮ่าๆ"แถมไอ้ตัวดียังกวนประสาทไม่เลิก ผมเลยได้แต่โบกหัวเกรียนๆมันไปทีด้วยความหมั่นไส้ มันเลยยอมเดินตามผมขึ้นมาบนห้องแบบเงียบๆเพราะมันรู้ว่าถ้ากวนผมอีกมันก็จะโดนแบบเดิมอีก

ผมพาแชมป์มาถึงห้องทำงานห้องเดิมก่อนจะผลักประตูไม้เข้าไปด้านใน...ม่านบังแสงถูกเปิดออกให้แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้ามาได้เต็มที่ ห้องทั้งห้องสว่างไสวโดยไม่ต้องอาศัยไฟฟ้าเพราะวันนี้แดดค่อนข้างจัด...โต๊ะไม้สักส่องประกายวิบวับเพราะแผ่นกระจกที่วางทาบด้านบนสะท้อนกับแสงแดด

"นี่เหรอ"ไม่พูดเปล่ามันรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้พลางก้มๆเงยๆพิจารณาโต๊ะตัวนี้อย่างละเอียด

"สวยดีว่ะ ดูขลัง...แต่แม่ง...เหมือนกูเคยเห็นที่ไหน"

"มึงก็เคยเห็นเหรอแชมป์!"ผมไม่รู้ว่ากำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่เอื้อมมือไปกระตุกแขนมัน แต่มันเหมือนกับครั้งแรกที่ผมเห็นโต๊ะตัวนี้...ใช่ ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นมันมาก่อน

"อ๋ออออ แม่งเหมือนโต๊ะที่อาจารย์พาทีให้พวกกูสเก็ตในห้องศิลปะอ่ะ"คำพูดต่อมาทำเอาผมรีบปล่อยมือจากมันทันที...เหมือนโดนลูบหลังแล้วตบหัวดังป้าบ...เข้าใจผมไหมครับคุณผู้อ่าน!

"แล้วไอ้นี่อ่ะ"มันหันไปชี้ที่ทับกระดาษที่วางอยู่มุมโต๊ะ ก่อนจะหยิบขึ้นมาพลิกไปพลิกมา

"เออ มีชื่อมึงจริงด้วย!"

"เฮ้ยยย ชื่อกูจริงป่าวก็ไม่รู้ แม่งเก่าขนาดนี้คงเป็นคนชื่อเหมือนป่าววะ"ผมพยายามอธิบายความน่าจะเป็นให้มันฟัง ความน่าจะเป็นที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

"นอกจากแม่มึงมีใครคิดชื่อมึงได้แบบนี้อีกเหรอวะ"ไม่พูดเปล่ามันดันโยนที่ทับกระดาษขึ้นๆลงๆอย่างสนุกมือ

"เชี่ย ระวัง เดี๋ยวตกขึ้นมาซวยนะมึง!"ผมรีบตะโกนห้าม แต่เหมือนเพราะเสียงที่ดังกว่าปกติของผมทำให้มันตกใจมากกว่า...มือที่คอยจะรับที่ทับกระดาษนั้นกลับชะงักลง...ชั่วขณะหนึ่งที่ผมเห็นภาพทั้งหมดแบบสโลวโมชั่น...ที่ทับกระดาษกำลังลอยละล่องขึ้น แล้วค่อยๆร่วงลงข้างล่างโดยที่ไม่มีมือไอ้แชมป์คอยรองอยู่...



"เชี่ยยยยยยยย!"พร้อมกันทั้งสองคน...มือที่ไวกว่าสมองยื่นไปรองรับด้วยกันทั้งคู่...เสี้ยววินาทีก่อนที่วัตถุนั้นจะตกกระทบกับพื้น ฉับพลันเกิดแสงสว่างจ้าจนทั้งผมและไอ้แชมป์ต้องหลับตาปี๋เพราะไม่อาจสู้แสงสว่างที่อยู่ตรงหน้าได้ ถึงอย่างนั้นมือที่ยื่นออกไปก็ยังคว้าเอาที่ทับกระดาษไว้ได้ก่อนที่มันจะตกลงพื้น...



...นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่ววินาทีเดียว...



"หู้ยยยย ดีนะแม่งไม่ตก ไม่งั้นอาต้นด่ากูตาย"ผมพูดทั้งที่ยังไม่ลืมตา รับรู้ได้ถึงน้ำหนักของวัตถุในมือกับอีกมือของไอ้แชมป์ที่รองอยู่ด้านล่าง

"ธีร์..."ไอ้แชมป์เรียกชื่อผม...แต่น้ำเสียงมันแปลกๆ ผมยังไม่ลืมตาเพราะแสงสว่างเมื่อครู่ทำเอาหัวผมหมุนติ้ว...ตาผมแพ้แสงครับ ทนแสงสว่างมากๆไม่ค่อยได้

"เชี่ยธีร์!"คราวนี้มันตวาดผมลั่นจนผมต้องลืมตาขึ้นมาดู...แต่ก็ต้องกระพริบตาถี่ๆให้ชินกับแสงเสียก่อน...สิ่งแรกที่ผมเห็นคือหน้าไอ้แชมป์ที่ประหลาดพิกล กับที่ทับกระดาษที่ยังอยู่ในมือของเราทั้งสอง...และ...


"เห้ยยยยยย!"ตกใจจนแทบจะปล่อยไอ้สิ่งของต้นเหตุให้ลงไปกองอยู่กับพื้น...ผมหันไปมองรอบๆห้องที่ควรจะเป็นห้องทำงานของอาต้น...ห้องทำงานที่ควรจะเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ร่วมสมัยเว้นแต่โต๊ะไม้สักตัวนี้...



...แต่มันไม่ใช่!...ในเมื่อสิ่งเดียวที่ผมคุ้นตาในห้องๆนี้มีเพียงแค่โต๊ะไม้สักตัวนี้ตัวเดียว...ส่วนที่เหลือ...



"เชี่ยไรวะเนี่ยยย"โต๊ะไม้สักยังตั้งอยู่ที่เดิม แต่มันดูใหม่เหมือนเพิ่งทำเสร็จ...เก้าอี้ไม้สักเข้าชุดกันวางคู่อยู่กับโต๊ะ...ถัดไปเป็นเตียงไม้สี่เสามีผ้าม่านผืนบางผูกเอาไว้ที่แต่ละเสา...ผนังและพื้นห้องเป็นไม้สักเหมือนกับเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ แสงสว่างเพียงแห่งเดียวของห้องนี้มาจากตะเกียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
ผมมองหน้าไอ้แชมป์...และไอ้แชมป์กำลังมองหน้าผมเช่นกัน...แต่ก่อนที่เราจะได้พูดอะไร...ประตูห้องไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดออกเสียก่อน



"พวกเอ็งเป็นใคร! เข้ามาในบ้านข้าได้เยี่ยงไร!?"



...

มาต่อแล้วค่า แอบดีใจมีคนอ่านด้วยวุ้ย ฮ่าๆ...3ตอนแล้ว รอคุณพระเอกนิสนึงนะเจ้าคะ ใกล้มาแล้วๆ  :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






meili run

  • บุคคลทั่วไป
พระเอกเป็นคุณพระหรือคุณหลวงเจ้าคะ อิอิ

รอออออออออออออออออ ค่ะ ชอบจังเลยห่อธีร์


 o13

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
Chapter IV...เมื่อกาลเวลาร่ำร้อง...



"พวกเอ็งเป็นใคร! เข้ามาในบ้านข้าได้เยี่ยงไร!?"เสียงทุ้มต่ำกังวานก้องในห้องนั้น...ผมหันไปมองร่างสูงโปร่งของเจ้าของเสียง...ผมดำขลับเริ่มถูกแซมด้วยสีดอกเลาประปราย คิ้วขมวดแน่นเป็นปม ไว้หนวดเหมือนพวกตัวร้ายในละครที่อานิดชอบดู สวมเสื้อสีขาวตัวบางกับกางเกงผ้าแพรสีน้ำทะเล...ยืนทะมึนอยู่ตรงหน้าประตูห้องจ้องเขม็งมาที่พวกผมสองคนอย่างไม่วางตา

"พวกเอ็งเป็นขโมยรึ!!"เสียงกังวานตวาดลั่นทำเอาผมสองคนสะดุ้งโหยง ผมมองหน้าคนพูดดูแล้วน่าจะอายุสัก40-50ได้ แววตาดูเป็นคนจริงจัง แต่ดุ...อันที่จริงไม่ต้องเห็นหน้าแค่ฟังจากเสียงผมก็รู้แล้ว

"อ้ายพวกบ่าวไพร่ ใครอยู่ข้างนอกนั่น ขึ้นมาจับขโมยให้ข้าที!"

"เห้ยๆ เดี๋ยวครับๆ คือพวกผม...ไม่ใช่!"เป็นไอ้แชมป์ที่ตั้งสติได้ก่อนมันรีบระล่ำระลักคำพูดออกมาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์

"อะไรของพวกเอ็ง! พูดจามิรู้เรื่อง"ร่างสูงใหญ่ยังคงยืนค้ำอยู่อย่างนั้น มือกอดอกวางอำนาจเต็มที่

"คือ...พวกผมไม่ใช่ขโมย!"ไอ้แชมป์รีบคายประโยคสุดท้ายออกมาได้ทัน เจ้าของร่างสูงยังคงยืนกอดอกมองหน้า

"ไม่ใช่ขโมยแล้วเข้ามาในห้องข้าได้เยี่ยงไร!"เสียงดังยังตวาดอย่างต่อเนื่อง

"คือ...เชี่ยธีร์ กูจะอธิบายยังไงดีวะ"ประโยคหลังมันหันมากระซิบกับผมให้พอได้ยินกันแค่สองคน

"ถ้าไม่ตอบจักให้พวกบ่าวมันจับส่งโปลิศเสีย เอ้า! ใครอยู่ข้างนอกน่ะ..."

"เดี๋ยวครับๆ"ผมรีบร้องห้ามเสียงดังก่อนจะโดนลากส่งตำรวจเสียก่อน ไม่ได้นะไอ้ธีร์ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรจะไปลงเอยที่ห้องกรงเสียแล้ว ในใจได้แต่ภาวนาขอให้เขารับฟังคำพูดของพวกผมสักนิดก็ยังดี

"คือ..."แล้วผมจะอธิบายยังไงดี

"อยู่ดีๆพวกผมก็มาโผล่นี่ครับ"ขอบใจครับเชี่ยแชมป์ มึงตอบได้สมเหตุสมผลซะจนกูอยากจะเอามือโบกหัวเกรียนๆของมึงเข้าให้

"วะ! พูดจามิรู้ความ รึพวกเอ็งเป็นบ้า"เออ หรือผมควรจะเนียนเป็นบ้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ

"ไม่ใช่ครับ...คือ ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ขนาดผมเองยังไม่รู้เลย แต่พวกผมไม่ใช่ขโมยนะครับ ให้ผมสาบานก็ได้เอ้า!"ไอ้แชมป์รีบอธิบายยาวเหยียด สีหน้ามันดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดผิดกับปกติที่ดูไม่เคยทุกข์ร้อนกับอะไร

"ไม่ใช่ขโมย แล้วไอ้ที่อยู่ในมือนั่น มิใช่ของข้ารึ!"เจ้าของร่างสูงชี้มาที่'ต้นเหตุ'ในมือของพวกผมสองคน

"ไม่ใช่นะครับ คือมันจะหล่นผมเลยเก็บให้"คราวนี้ถึงทีผมบ้าง ผมหันไปมองหน้าคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของห้อง ก่อนจะวางที่ทับกระดาษอันเดิมแต่ดูใหม่กว่าเดิมกลับลงบนโต๊ะไม้สัก

"แล้วพวกเอ็งมาจากไหน?"เจ้าของห้องยังคงมองพวกผมไม่วางตา...นั่นสิ พวกผมมาจากไหน...แล้วที่นี่มันที่ไหนกันวะ?!



"มีอะไรกันหรือคะเจ้าคุณ"ยังไม่ทันได้ตอบอะไร อีกเสียงหนึ่งก็ขัดขึ้นเสียก่อน...เสียงหวานนุ่มของคนที่เปิดประตูตามมาด้านหลัง...ห่มเพียงผ้าแถบผืนเดียวกับโจงกระเบน...เดี๋ยวนะ...โจงกระเบนเหรอ?!

"อ้ายสองตัวนี้สิแม่สร้อย มิรู้มันเข้ามาในห้องเราได้เยี่ยงไร"เจ้าของห้องหันไปพูดกับหญิงสูงวัยที่เพิ่งเข้ามา แต่ก็ยังดูอายุน้อยกว่าเจ้าของห้องมากนัก

"คุณพระคุณเจ้าช่วย ขโมยหรือเจ้าคะ"ไม่พูดเปล่าเอามือทาบอกอีกต่างหาก...เจ้าคุณกับแม่สร้อยจะรู้ไหมว่าผมกับไอ้แชมป์นี่นั่งงงกันเป็นไก่ตาแตกแล้วนะขอรับ!

"มันว่าไม่ใช่"

"เอ่อ ไม่ใช่จริงๆครับ พวกผมไม่ใช่ขโมยนะครับ"ไอ้แชมป์รีบยกมือปฏิเสธ

"ดูไม่มีพิษมีภัยนะเจ้าคะ แต่พูดจาประหลาดนัก พวกเอ็งมาจากไหนรึ"เจ้าของชื่อแม่สร้อยหันมาถามพวกผม น้ำเสียงของเธอทำให้ผมนึกถึงแม่ อ่อนโยน นุ่มนวล ทั้งๆที่เธอเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกผมเป็นใคร

"แม่สร้อย! หล่อนก็ไว้ใจคนง่ายเสียจริง ถ้ามันไม่ใช่ขโมยแล้วมันจักเข้ามาในห้องเราได้เยี่ยงไร"เจ้าคุณหันไปตวาดคนข้างหลัง ดูก็รู้ว่าดุ

"เชื่อผมเถอะครับ พวกผมไม่ใช่ขโมยจริงๆ จะให้เอาไปสาบานวัดไหนก็ได้"หลักฐานไม่มี เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็แล้วกันนะไอ้ธีร์เอ๋ย

"ส่วนไอ้เรื่องมาที่นี่ได้ยังไง ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงจริงๆ แต่พวกผมไม่ใช่ขโมยจริงๆนะครับ"ไอ้แชมป์รีบเสริม ไม่รู้ว่าคำพูดของพวกผมมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน แต่เจ้าคุณมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

"เอ็งชื่ออะไร?"เจ้าคุณหันมาถามพวกผมสองคนที่ยังนั่งหน้าเหรอหราอยู่

"ผมชื่อธีร์ครับ"

"ผมแชมป์ครับ"

"ชื่ออะไรนะ?"เจ้าคุณขมวดคิ้วแน่น พอๆกับคุณสร้อยที่ยืนอยู่ด้านหลัง

"แชมป์ครับ"ไอ้แชมป์พยายามเน้นเสียงช้าๆชัดๆ แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล

"อ้อ อ้ายแช่มรึ"คุณสร้อยหันมาเสริมอย่างรู้ทัน

"เอ่อ...ครับ แช่มก็แช่ม"ผมแอบหัวเราะหึหึกับอาการของไอ้แชมป์ ดีนะที่พ่อแม่ผมตั้งชื่อมาแบบไทยจ๋าเลยไม่มีปัญหาอะไร แต่ไอ้นี่สิ ขนาดอธิบายแล้วอธิบายอีกก็ยังไม่เข้าใจกันเสียที เลยลงเอยที่'อ้ายแช่ม'เนี่ยล่ะ

"แต่งตัวประหลาดแท้ มิใช่คนแถวนี้สินะ"คุณสร้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย

"ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่คนแถวนี้...เอ้อ ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมสองคนขอพักที่นี่สักระยะได้มั้ยครับ คือ...ช่วงที่พวกผมหาทางกลับบ้านกันน่ะครับ"อ้ายแช่มหรือไอ้แชมป์ที่ดูจะตั้งสติได้ดีกว่าผมรีบเอ่ยขอเจ้าคุณกับคุณสร้อยทันที...เจ้าคุณยังคงมองพวกผมอย่างลังเล เป็นใครจะไว้ใจลงล่ะครับ อยู่ดีๆมีไอ้บ้าสองคนที่ไหนไม่รู้มาโผล่อยู่ในห้อง แต่งตัวก็ประหลาด(ในความคิดของแก) แถมยังพูดจาไม่ชอบมาพากลอีก

"นะครับ ให้พวกเราอยู่ที่นี่ซักพัก เดี๋ยวพอหาทางกลับบ้านได้แล้วเราก็จะไปเองนะครับ"ผมรีบเสริมเมื่อเห็นว่าเจ้าคุณมีสีหน้าลังเล...ผมเห็นคุณสร้อยแตะแขนเจ้าคุณเบาๆเหมือนจะช่วยผมขอร้องอีกแรง จนในที่สุดเจ้าคุณก็ถอนหายใจยาวออกมา

"เอา! อยากอยู่ก็จักให้อยู่ แต่มิใช่กินนอนมิเป็นอันทำงานทำการนะ ถ้าคิดจักอยู่ก็ต้องช่วยงานบ่าวในเรือนมันด้วย"เจ้าคุณอธิบายให้พวกผมสองคนที่ตอนนี้มีเครื่องหมายคำถาม และอัศเจรีย์แปะอยู่กลางหน้าผากคนละอัน

"ขอบคุณครับ!"แต่ตอนนี้อะไรก็ได้ครับ ดีกว่าถูกจับส่งตำรวจ...ตั้งแต่เกิดมาจนจะครบ20ปีผมออกจะเป็นเด็กดีของพ่อแม่และอาทั้งสอง เรื่องสังสรรค์ตามประสาวัยรุ่นน่ะมีบ้าง แต่ให้ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลหรือเป็นคดีผมไม่คิดจะมีหรอกครับ เกรงใจคนที่บ้านเขา

"อ้ายมิ่ง! เอ็งอยู่แถวนั้นหรือเปล่า"เจ้าคุณตะโกนเสียงดังเรียกชื่อบุคคลที่สาม...สักพักเจ้าของชื่อก็มานั่งก้มหน้างุดอยู่หน้าประตู...ร่างกายกำยำที่นุ่งเพียงกางเกงยาวเลยเข่าไม่สวมเสื้อ...ผิวสีเข้มกร้านคงเพราะตากแดดทั้งวัน

"ขอรับท่านเจ้าคุณ"เจ้าของชื่อมิ่งยังก้มหน้างุดไม่มองหน้าเจ้าของบ้าน

"เอ็งพาอ้ายสองคนนี้ไปที่เรือนบ่าว จัดแจงที่หลับที่นอนให้มันเสีย แล้วพรุ่งนี้มีงานกระไรให้มันทำก็บอกมัน"เจ้าคุณสั่งยาวเป็นหางว่าวโดยที่คนบนพื้นได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะหันมามองทางพวกผม

"พวกเอ็งไปกับอ้ายมิ่ง แล้วอย่าก่อเรื่องอันใดอีกล่ะ"ผมรีบยกมือไหว้พร้อมพยักหน้ารับ

"ขอบคุณครับเจ้าคุณ!"พร้อมด้วยเสียงไอ้แชมป์ตามมาติดๆ ก่อนที่ผมกับมันจะเดินตามคนชื่อมิ่งออกไปนอกห้อง



"กูอยากจะบ้า นี่มันที่ไหนวะ"วินาทีที่ก้าวขาออกจากห้องนอนของเจ้าคุณทำเอาทั้งผมและไอ้แชมป์อ้าปากค้าง...ผมกำลังอยู่บนเรือนไทยทรงโบราณที่ทำจากไม้ทั้งหลัง ตรงกลางบ้านยกพื้นขึ้นสูง รอบตัวบ้านด้านบนมีประตูแยกเป็นห้องๆ แจกันลายครามถูกประดับไว้ตามมุมบ้าน เช่นเดียวกับต้นไม้ขนาดกลางที่ปลูกในกระถาง...ผมเดินตามคนชื่อมิ่งลงบันไดไม้มาที่หน้าเรือน หันไปมองด้านหลังเห็นเป็นเรือนไทยงามสง่าโดดเด่นในความมืด...ผมภาวนาในใจขอให้สิ่งที่ผมคิดมันไม่ใช่ความจริง...ผมเคยดูหนัง...อ่านนิยาย...แต่ไอ้ที่จะมาคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองน่ะ...ไม่เคยคิดเลยครับ


"พวกเอ็งนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าข้าจักมาปลุก"ร่างสูงใหญ่ของมิ่งเดินนำมาถึงเรือนเล็กด้านหลัง ที่ดูเหมือนเป็นบ้านพักของพวกคนใช้...ในห้องมีผู้ชายสิบกว่าคนนอนเรียงกันเป็นแถว...ผมมองตามมือของคนชื่อมิ่งไปตรงพื้นที่ว่างตรงมุมห้องก่อนจะเดินนำไอ้แชมป์เข้าไปในเรือน...ทรุดตัวลงบนพื้น มองไปรอบๆ แล้วก็ยังนึกภาวนาขอให้นี่มันเป็นแค่ความฝัน

"มึง..."ไอ้แชมป์สะกิดแขนผมยิกๆเรียกสติผมให้กลับมาได้บ้าง

"บอกกูที กูกำลังฝันใช่มั้ยวะ"แชมป์เอ๊ย กูก็อยากตอบว่าใช่ แต่ตอนนี้กูชักไม่แน่ใจแล้วจริงๆ

"นี่คือเรากำลังเป็นแบบในละครน้ำเน่าหลังข่าวที่ม๊ากูชอบดูเหรอวะ"มันยังถามต่อไม่เลิก

"กูก็มากับมึง จะให้กูตอบยังไง"หน้ามันสลดลงนิดหน่อยกับคำตอบที่ได้รับ ผมเลยยื่นมือไปตบบ่ามันเบาๆเป็นการปลอบใจ

"นอนเหอะมึง เผื่อตื่นมามันจะเป็นแค่ฝันอย่างที่มึงว่า"ผมว่าพลางหลับตาลง...พ่อครับ แม่ครับ...ช่วยธีร์ด้วยนะ ขอให้เรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝัน...ขอให้ธีร์แค่ฝันไปนะครับ...
.

.

.

.

.
"เอ็งสองคนนั่น! จักนอนจนพระนครหายไปครึ่งเลยรึ!"เสียงโหวกเหวกของใครบางคนดังขึ้นปลุกผมให้สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย

"ตะวันสายโด่งจวนจะเลยหัวแล้วนะโว้ย!"อีกเสียงรีบเสริมต่อ...ผมกระพริบตาปริบๆมองเพดานห้องที่ควรจะเป็นคอนกรีตสีขาวเหมือนปกติ...แต่คราวนี้สิ่งที่ผมเห็นมันกลับเป็น...-เพดานไม้- !!

"ขี้เกียจเยี่ยงนี้สงสัยต้องไปรายงานคุณท่าน"เสียงแรกยังตะโกนไม่หยุด ผมที่เริ่มตั้งสติได้หันไปมองไอ้ตัวช่วยข้างๆที่ยังนอนน้ำลายไหลย้อย แถมดูท่าว่ากำลังฝันดีอีกต่างหาก...มึงนี่ไม่ได้รู้เวลากับเขาเลย

"แชมป์...ไอ้แชมป์"ผมยกขาสะกิดมันเบาๆ แต่มันก็ยังนอนหลับตาพริ้มยิ้มหวานเหมือนเดิม

"ไอ้เชี่ยแชมป์!"ไม่พูดเปล่าแถมถีบให้สุดแรงจนเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง

"โอ๊ย คนจะนอนสัส วันนี้วันอาทิตย์จะรีบตื่นไปหาพ่อ..."ได้ทีหันมาด่าผมเป็นชุดก่อนจะตั้งสติได้แล้วหันไปมองรอบๆ...ประโยคสุดท้ายที่มันกำลังจะพูดออกมาถูกกลืนหายไปในลำคอ

"ไอ้ธีร์..."มันหันมามองหน้าผม ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจไม่ต่างจากเมื่อคืน

"เออ.."ผมพยักหน้าให้มันเหมือนเป็นการตอบคำถามที่มันอยากรู้...มันเลยได้แต่ยกมือขึ้นขยี้หัวเกรียนๆของตัวเองอย่างหนัก

"เอ็งสองคนจักคุยกันอีกนานไหมวะ! งานการเต็มเรือนไม่คิดจะช่วยกันบ้างรึ"ผมหันไปมองเจ้าของเสียง เห็นเป็นคนชื่อมิ่งยืนทะมึนอยู่ตรงหน้า

"ครับๆ"ผมรีบหันไปรับคำคนชื่อมิ่ง...ส่วนไอ้คนข้างๆไม่ต้องพูดถึง สติมันหลุดไปไกลแล้วครับ

"ไปล้างหน้าล้างตาเสีย แล้วไปช่วยงานในครัวโน่น ป้าน้อยแกหาคนช่วยแบกฟืนอยู่...ส่วนเอ็งมากับข้า ลานหน้าเรือนใบไม้มันร่วงเสียเต็ม ปล่อยไว้จักยิ่งรกนัก"คนตัวใหญ่สั่งงานรัวเป็นชุด หันไปบอกไอ้แชมป์ให้ตามแกไปกวาดใบไม้หน้าบ้าน ส่วนผมต้องไปแบกฟืนในครัว ทำไมงานมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างนี้วะ

"ไอ้ธีร์..."ไอ้ตัวดีมันยังเรียกผมไม่เลิก ทีเมื่อวานสติดีขอเขานอนค้างที่นี่ ทำไมมันไม่พกสติข้ามคืนมาด้วยนะจะได้ไม่ต้องมาเรียกผมยิกๆแบบนี้

"เออกูรู้แล้ว...ไปๆ ล้างหน้าแล้วไปกวาดบ้านซะ เดี๋ยวจะโดนด่าอีก"กลายเป็นผมเสียอีกที่ตั้งสติได้ก่อนมัน...ผมยันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น มองสภาพตัวเองแล้วก็อนาถใจ...นี่กูต้องใส่เสื้อTopmanตัวโปรดไปแบกฟืนจริงๆใช่ไหม?

"กูนึกว่าฝัน...ทำไมกูไม่ฝันวะ?!"ไอ้คนข้างๆที่ลุกตามผมมาติดๆยังบ่นไม่เลิก...ผมก็อยากให้มันเป็นแค่ความฝัน แต่ในเมื่อตื่นมาแล้วมันเป็นแบบนี้...จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ



พวกผมล้างหน้าล้างตากันเสร็จ...ไม่ต้องสงสัยครับ ที่นี่ไม่มีห้องอาบน้ำ...ต้องไปล้างเอาริมคลองนู่น แต่น้ำในคลองแถวนี้ใสแจ๋วไม่เห็นเหมือนคลองแสนแสบแถวบ้านผมเลย...อันนั้นแค่นั่งเรือโดนน้ำกระเด็นใส่สิวก็ผุดไปสามสี่วันแล้ว...

"เอ็งไปช่วยป้าน้อยแกขนฟืนนอกเรือนโน่น...ส่วนเอ็งมากับข้า"คนชื่อมิ่งออกคำสั่งทันทีที่พวกผมเดินกลับมาที่เรือนคนใช้...ขอเรียกแบบนี้แล้วกันครับ...เพราะเรือนนี้มีแต่คนใช้ในบ้านนอนกันสิบกว่าคนได้ แถมยังมีอีกเรือนถัดไปไกลหน่อยคิดว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง...ใกล้ๆกับเรือนที่ผมนอนเป็นลานกว้างมีเพิงไม้ขนาดใหญ่อยู่ ผมมองแล้วเหมือนจะเป็นโรงครัวเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกของพวกผู้หญิงกับกลิ่นกับข้าวหอมฉุยลอยมาเตะจมูก...


ผมเดินตามกลิ่นไปจนถึงโรงครัวที่มีผู้หญิงเกือบสิบคนแล้วยังมีพวกคนใช้ผู้ชายคอยเป็นลูกมืออีก...สายป่านนี้แล้วแต่บรรยากาศในโรงครัวก็ยังดูวุ่นวาย


"ป้าๆ เค้าให้ผมมาขนฟืนอ่ะ"ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลยหันไปเรียกคุณป้าที่กำลังนั่งตำน้ำพริกอยู่บนแคร่หน้าโรงครัว...แกละมือจากครกกับสากแล้วเงยหน้ามามองผม ในปากเคี้ยวหมากสีแดงจนน้ำหมากไหลย้อยต้องเอาผ้าที่เหน็บไว้กับเอวขึ้นมาซับ

"มาใหม่รึ ไม่เคยเห็นหน้า"ผมพยักหน้ารับ...อยากจะบอกว่ามาเมื่อคืนและอยากกลับแล้วแต่ป้าแกคงไม่เข้าใจ

"ฟืนอยู่นอกเรือนโน่น เดินตรงไปด้านหลัง อ้ายสนมันผ่าไว้แล้วกระมัง"ป้าพูดพลางชี้มือไปด้านหลังโรงครัว ผมเลยพยักหน้ารับอีกทีก่อนจะเดินไป...



กองฟืนที่ถูกผ่าแล้วถูกมัดรวมแล้ววางไว้ด้านหลังโรงครัวไม่ไกลนัก...ระยะทางไม่ใช่ปัญหา แต่ไอ้มัดฟืนนี่สิ มันจะมัดให้มันเล็กกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงวะ ใหญ่อย่างนี้ผมต้องไปฟิตหุ่นสักสามเดือนก่อนแล้วค่อยมาขนยังทันไหม...แต่บ่นไปก็เท่านั้น ยังไงผมก็ต้องขนมันไปอยู่ดี...ว่าแล้วก็...


"เชี่ยเอ๊ยยยย รู้งี้กูไปฟิตเนสทุกวันก็ดี"บ่นพลางแบกมัดฟืนเดินเซไปเซมา เอาวะไอ้ธีร์ คิดเสียว่ากำลังยกดัมเบลในยิมก็แล้วกัน

"ไอ้หนุ่ม! หน่วยก้านก็ดีทำไมแรงไม่มีเสียเลยวะเอ็ง"เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนถือขวานอันใหญ่ ร่างกายกำยำไม่สวมเสื้อ สวมเพียงกางเกงยาวคลุมเข่าสีน้ำเงินเข้ม ผมแสกกลางแบบคนโบราณ

"แบกขึ้นบ่าสิวะ อุ้มแบบนั้นเอ็งจะเดินถนัดรึ"ผมก้มลงมองมัดฟืนที่อุ้มอยู่ด้วยมือทั้งสอง...แค่ยกให้ขึ้นก็เหนื่อยแล้ว นี่พี่แกกะจะให้ผมคลีนแอนด์เจิร์กขึ้นบ่าเลยเรอะ

"ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไหว"ผมกระชับมัดฟืนในมือก่อนจะก้าวขาต่อมุ่งไปทางโรงครัวที่อยู่ไม่ไกล แต่ดันมีอีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นเสียก่อน...

"เฮ้ย เอ็งน่ะ! คุณท่านให้หา"เสียงคนชื่อมิ่งที่ตะโกนเรียกผมจากโรงครัว...ผมพยักหน้ารับพลางคิดว่าควรจะกองไอ้มัดฟืนนี่ไว้ตรงนี้แล้วเดินไปเลยหรือควรจะแบกมันไปให้ถึงโรงครัวก่อนดี

"เอาวางไว้ตรงนั้นล่ะ เดี๋ยวข้าขนไปเอง รอเอ็งขนวันพรุ่งก็คงมิเสร็จ"ขอบคุณเสียงสวรรค์จากพี่คนผ่าฟืน...ผมวางมัดฟืนลงบนพื้นแล้วเดินตามคนชื่อมิ่งไปทางเรือนหลังใหญ่ที่พวกผมโผล่มาเมื่อคืนทันที...เห็นไอ้แชมป์ยืนรออยู่ตรงบันไดทำเอาผมพออุ่นใจได้บ้าง...อย่างน้อยก็ยังมีมันอยู่กับผมในเวลาแบบนี้



"เค้าบอกคุณท่านให้หา...หาอะไรวะมึง"แล้วก็เป็นไอ้แชมป์อีกนั่นแหละที่ถามขึ้นจนผมแทบอยากเอาหัวโขกกับราวบันได้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป...กูขอถอนคำพูดตอนนี้ยังทันไหมครับ

"ให้หา คือให้ไปหาเว้ย...มึงนิ่!"ผมส่ายหน้าอย่างปลงตก ก่อนจะเดินตามคนชื่อมิ่งขึ้นไปบนเรือน...ด้านบนผมเห็นพวกคนใช้ผู้หญิงนับสิบคน บ้างก็ปัดกวาดเช็ดถูเรือน...บ้างก็นั่งแยกดอกมะลิในพานทอง ให้อีกสองสามคนร้อยเป็นมาลัย...คุณท่านที่ว่านั่งอยู่บนพื้นที่ยกสูงกลางบ้าน...ท่านก็คือคุณสร้อยที่ผมเพิ่งพบเมื่อคืน แต่วันนี้คุณสร้อยห่มสไบสีเขียวเข้มไม่เหมือนผ้าแถบที่แกห่มเมื่อคืน...แกหันมามองพวกผมทันทีที่เดินขึ้นบันไดมา

"มาแล้วรึพวกเอ็ง"น้ำเสียงนุ่มอ่อนหวานเหมือนแม่ผมไม่มีผิด แม้คุณสร้อยจะอายุมากพอสมควรแล้วแต่ผมก็ยังพอดูออกว่าสมัยยังสาวแกต้องงามไม่แพ้ใครแน่

"เห็นอ้ายมิ่งมันว่ากว่าจักตื่นกันก็สายโด่งแล้วรึ"มาถึงยังไม่ทันข้ามวันก็โดนฟ้องแล้วครับไอ้ธีร์...ผมหันไปมองคนฟ้องที่นั่งก้มหน้างุดอยู่ตรงบันได...แค่นอนตื่นสายก็ต้องฟ้องนายเลยหรือวะ

"ขอโทษครับคุณสร้อย...คือมันยังไม่ชิน"ไอ้แชมป์หัวเราะแหะๆพลางยกมือขึ้นลูบหัวเกรียนๆของมันแก้เก้อ

"เอ็งนิ่! เรียกชื่อคุณท่านห้วนๆได้เยี่ยงไร"เสียงสาวใช้ที่นั่งอยู่ข้างคุณสร้อยดุเสียงดังจนพวกผมได้แต่มองหน้ากันไปมา

"เอาเถิดนังชด ดูมันจักมิใช่คนแถวนี้ คงมิรู้มารยาท อย่าไปว่ามันเลย"คุณสร้อยหันไปปรามเจ้าของชื่อที่เงียบลงทันที

"แล้วพวกเอ็งมาจากที่ใดกันรึ แต่งตัวประหลาดเยี่ยงนี้ข้ามิเคยเห็น"ผมอยากจะบอกคุณสร้อยเหลือเกินว่าการแต่งตัวอย่างคุณสร้อยผมก็เคยเห็นแต่ในละครเท่านั้นแหละ

"มาจากกรุงเทพครับ"ไอ้แชมป์ครับ มันตอบหน้านิ่ง แต่ผมว่ามันก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่คนอย่างไอ้แชมป์คิดได้แล้วล่ะ

"กรุงเทพรึ? อยู่แถวไหนเล่า"คุณสร้อยยังถามต่อด้วยสีหน้าสงสัย

"เอ้อออ ก็อยู่แถวนี้แหละครับ...แล้วที่นี่ที่ไหนครับคุณสร้อย เอ๊ยยย คุณท่าน!"ผมหันไปถามเจ้าของบ้านอีกทีก่อนจะรีบเปลี่ยนสรรพนามเพราะสายตาของแม่ชดที่นั่งอยู่ด้านหลัง

"ที่นี่ก็พระนครน่ะซี...ประหลาดนักพวกเอ็ง มิรู้จักพระนครรึ?"

"พระนคร!"ผมหันไปมองหน้ากับไอ้แชมป์ กลืนน้ำลายดังเอื้อก...พระนคร...ถึงผมจะโง่ประวัติศาสตร์ชาติตัวเองมากแค่ไหนแต่ผมก็พอจะได้ยินเรื่องพระนครมาบ้าง

"เอ่อ แล้วนี่รัชกาลไหนครับคุณท่าน"ผมถามกลับหน้าตาตื่น

"รัชกาลรึ?"เจ้าของบ้านขมวดคิ้วกับคำถาม

"เราอยู่บนแผ่นดินของพระพุทธเจ้าหลวง พวกเอ็งสองคนนี่อย่างไรนะ มิรู้อันใดเลยรึ"คำตอบของคุณสร้อยช่วยให้ความกระจ่างกับผมเสียจนลมแทบจับ...พระพุทธเจ้าหลวง...รัชกาลที่5...ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสมัยรัชกาลที่5อย่างงั้นหรือ?!....ใครช่วยบอกผมทีว่าผมกำลังแค่ฝันไป...หรืออย่างน้อยจะมีกล้องตัวไหนซ่อนอยู่ตามมุมบ้านให้ผมเห็นก็ยังดี...ผมจะได้รู้ว่ากำลังเข้าฉากถ่ายละครพีเรียดอย่างที่อานิดชอบดูหลังข่าวภาคค่ำ...เสียแต่ว่ามันดันไม่มีทั้งสองอย่าง

"ไหนว่ามาซี ว่าพวกเอ็งไปโผล่อยู่ในห้องเจ้าคุณเมื่อคืนนี้ได้เยี่ยงไร"คุณสร้อยยังคงยิงคำถามต่อ ดูท่าแกอยากรู้ความเป็นมาของพวกผมสองคนเสียจริง...ผมเองก็ไม่อยากให้คุณสร้อยต้องผิดหวัง แต่แม้แต่ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร

"ก็...รู้ตัวอีกที มันก็มาอยู่ที่นี่แล้วล่ะครับ"ไอ้แชมป์ที่ยังเกาหัวเกรียนๆของตัวเองไม่เลิกอธิบายให้ฟังแบบที่ไม่มีใครเข้าใจความ...ถ้าผมเป็นคุณสร้อยผมก็คงไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

"วะ! เอ็งนี่ พูดจาวกไปวนมาเสียจนข้าปวดหัว...จักรู้ความกันไหมวันนี้"คุณสร้อยตบหน้าขาตัวฉาดใหญ่...คิ้วเรียวที่ถูกกันเสียจนเข้ารูปขมวดมุ่นเป็นปม ยังคงมองมาที่พวกผมไม่ละสายตา

"ผมก็อธิบายไม่ได้มาก...เอาเป็นว่าผมจะหาทางกลับบ้านให้เร็วที่สุดครับ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณสร้อย เอ๊ย! คุณท่าน"ไอ้แชมป์รีบขยายความ...ผมหันไปมองหน้ามันเป็นเชิงถามว่ามึงรู้แล้วหรือไงว่าจะกลับบ้านได้ไง...แต่ผมก็เงียบไว้ เพราะขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลย แล้วไอ้แชมป์ที่มากับผมมันจะรู้ไหมล่ะครับ





"คุณท่าน...หลวงพิสิษฐมาขอรับ"เสียงของมิ่งดังขัดวงสนทนาของพวกผมเสียก่อน

"พ่อแก้ว...วันนี้มิไปราชการรึ"คุณสร้อยหันไปทักทายผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ตรงบันได ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู



"ไปมาแล้วขอรับคุณหญิง"เพียงแค่ประโยคเดียวที่ทำให้ผมต้องเหลียวกลับไปมอง...เสียงนุ่มอันคุ้นหูที่กล่าวตอบเจ้าของบ้านอย่างมีมารยาท...เสียงนี้มัน...

......................................................................

คุณหลวงมาแล้วเจ้าค่าาาา  :hao7: แต่จะใช่คุณหลวงคนนี้รึเปล่าน๊าาาา อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ จะพยายามปั่นให้ไว้แล้วรีบเอามาลงค่า  :heaven

meili run

  • บุคคลทั่วไป
คุณหลวงของพ่อธีร์มาแล้วรึ เสียงที่คุณหูนั้น  อ๊ากกกกกกกกกกกก

ตั้งตารอค่ะ



 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
โอ๊ย กรี๊ดค่า ชอบๆๆแนวนี้ ฮือ ขอเมนท์รวบ4ตอนเลยนะคะ แฮ่ คือยังดีนะ ที่หลุดไปพร้อมกับแชมป์น่ะ มีเพื่อนร่วมหัวจมท้าย555 ท่าทางสติและไหวพริบแชมป์จะดีกว่าธีร์นะคะ คุณท่านกับคุณสร้อย ถามไร ตอบได้หมดเลย ถึงจะตอบแบบงงๆบ้างก็เถอะ แต่ตอนถามต้องให้มีสตินะ ไม่งั้นหลุดกระจายเหมือนตอนพึ่งตื่น   ธีร์เจอกับคุณหลวงแล้ว ฮื้อ ตื่นเต้น คุณหลวงจะถูกใจพ่อธีร์แต่แรกไหมหนอ ลุ้นๆๆ แต่แอบคิดว่าพอรักกันแล้ว พ่อธีร์ต้องได้ กลับมายุคปัจจุบันอ่ะ คุณหลวงเลยมาตาม

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
คุณหลวงจะมีเวลาใกล้ชิดธีร์ตอนไหนกันดูท่าแล้วคงจะใช้เวลาน่าดู แล้วจะได้กลับภพเดิมหรือเปล่านะ
ว่าแต่ทำไมต้องพกแชมป์มาด้วย ช่างน่าสงสารอยู่ที่ตัวเองนี่กวนอย่างกับอะไรดี มาอยู่นี่นี่เอ๋อซะแล้ว แล้วทำไมถึงแบ่งงานให้ธีร์กับพ่อแช่ม (55+ ชอบชื่อนี้) ทำงานแตกต่างกันซะเหลือเกิ๊นแบกฟืนกับกวาดใบไม้ ไอ้เราก็นึกว่าธีร์จะแบบบอบบางที่ไหนได้พ่อแช่มบอบบางกว่าอีกรึ กำลังคิดไปไกลว่าน่ารักๆ อย่างพ่อแช่มนี่จะมีหนุ่มคนไหนมาจีบรึเปล่า 55+

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
พระเอกใช่ไหม? พ่อแก้วน่ะ อิอิ

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
Chapter V...เมื่อแรกพบ...


"เจ้าคุณไพศาลเพิ่งกลับจากราชการที่หัวเมือง ได้ส้มพันธุ์ดีกลับมามาก เลยฝากกระผมมามอบให้คุณหญิงขอรับ"ผู้มาเยือนค่อยๆเยื้องย่างมาหาเจ้าของบ้าน...ผมที่นั่งอยู่กับพื้นได้แต่เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงโปร่งที่เดินผ่านหน้า...ใบหน้าคมแบบไทยแท้ แต่ผิวกลับไม่เข้มจัดเหมือนพวกบ่าวผู้ชายในบ้านถึงแม้จะเข้มกว่าผมอยู่บ้าง...ดวงตาคมโตสีดำสนิท คิ้วดกหนาแต่ได้รูป สวมเสื้อคอตั้งแขนยาวสีขาวกับโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม...ในมือถือตะกร้าของฝากที่เจ้าตัวอ้างว่าได้มาจากหัวเมือง

"ฝากขอบคุณเจ้าคุณไพศาลด้วยนะพ่อแก้ว"เจ้าของบ้านยิ้มหวานพลางรับตะกร้าของฝากส่งให้บ่าวด้านหลัง...ผู้มาเยือนนั่งลงข้างๆ...ริมฝีปากหนาได้รูปยกยิ้มบางๆ...ก่อนจะหันมาสะดุดตาเข้ากับพวกผมสองคนที่นั่งอยู่

"ใครหรือขอรับคุณหญิง กระผมไม่เคยเห็นหน้า"เสียงนุ่มคุ้นหูเอ่ยขึ้นอีกครั้ง...ผมมองคนตรงหน้าไม่วางตา...ถึงผมจะไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน แต่ผมจำเสียงนี้ได้แม่นนัก...

"อ้ายสองคนนี่รึ...มันมาโผล่อยู่ที่ห้องเจ้าคุณเมื่อคืนนี้ ถามหาความก็มิรู้เรื่อง สงสัยสติมิค่อยจักเต็ม"ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงรีบเถียงกลับว่าผมไม่ได้บ้า...แต่เวลานี้แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังทำหน้าแบบไหนตอนที่มองผู้มาเยือน...เจ้าของชื่อ'แก้ว'มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังความจากคุณสร้อย

"เอ้อออ ผมมาขออาศัยอยู่สักพักน่ะครับ พอดียังหาทางกลับบ้านไม่ถูก"เป็นไอ้แชมป์ที่สติดีกว่ารีบตอบกลับไป...ส่วนผมยังนั่งเงียบตั้งแต่เห็นคนตรงหน้า...

"ใช่มั้ยไอ้ธีร์..."


"ไอ้ธีร์..."


"เชี่ยธีร์!"กว่าจะรู้ตัวว่าไอ้แชมป์เรียกก็เกือบถูกมันเอาเท้ายันเข้าให้...ผมสะดุ้งเฮือกมองหน้าคุณสร้อยที มองผู้มาเยือนทีก่อนจะพยักหน้ารับ

"ครับๆ...ยังไงผมต้องรบกวนคุณท่านสักระยะนะครับ"ระล่ำระลักตอบแบบไม่ค่อยรู้ความนัก

"เห็นแล้วก็สงสาร มิรู้บ้านช่องอยู่ที่ใด ก็เลยรับไว้เอาบุญน่ะ"คุณสร้อยหันไปบอกผู้มาเยือนอีกครั้ง

"ไหนๆก็มาแล้ว อยู่ทานเย็นกับป้าก่อนเถิดพ่อ เจ้าคุณท่านเข้ากรมเห็นว่าจักกลับวันพรุ่ง"

"ขอรับคุณหญิง"ผู้มาเยือนตอบรับด้วยรอยยิ้มหวานเช่นเคย...จะว่าผมไม่มีมารยาทก็ได้แต่ผมสารภาพว่ากำลังมองคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตาแม้วินาที...ไม่ใช่เพราะบุคคลิกหน้าตา แต่เป็นน้ำเสียงอันคุ้นหูนี่ต่างหาก...

"พวกเอ็งไปบอกนังน้อยให้เตรียมสำรับให้หลวงพิสิษฐด้วย...ส่วนเอ็งสองคนมีงานการใดต้องทำก็ไปเถิด สงสัยอันใดก็ถามอ้ายมิ่งมัน"ประโยคแรกคุณสร้อยหันไปบอกบ่าวผู้หญิงด้านหลังที่รีบรับคำสั่งและเดินลงจากเรือนไปทันที ก่อนจะหันมาบอกพวกผมที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม...ผมกับไอ้แชมป์พยักหน้ารับก่อนจะลุกเดินลงจากเรือนแต่ยังเหลียวไปมองผู้มาเยือนที่นั่งคุยกับคุณสร้อยอย่างออกรส...ไม่ได้มองมาทางนี้แม้เพียงนิด
.

.

.

.

"เดี๋ยวเอ็งไปตักน้ำใส่โอ่งให้คุณท่านเตรียมไว้อาบเย็นนี้...ส่วนเอ็งยังกวาดลานหน้าเรือนมิเสร็จก็ไปทำต่อ สงสัยอันใดก็ให้ถาม หรือจักถามพวกบ่าวที่มันอยู่แถวนี้เอาก็ได้"มิ่งรีบสั่งงานพวกผมสองคนอีกรอบทันทีที่ลงจากเรือน...สงสารตัวเองจริงๆไอ้ธีร์เอ๋ย...เดี๋ยวขนฟืนบ้างล่ะ เดี๋ยวตักน้ำใส่โอ่งบ้างล่ะ...งานสบายๆไม่มีให้กูทำเลยหรือไง...



...ผมเดินแบกถังไม้ไปจนถึงท่าน้ำหน้าเรือน...ก้มลงตักน้ำจนเต็มถังก่อนจะแบกเดินกลับขึ้นไปบนเรือนใหญ่...ทำซ้ำอยู่อย่างนี้เป็นสิบรอบแต่น้ำในโอ่งมันก็ไม่เต็มเสียที...ทำไมผมไม่เลือกเรียนวิศวะนะจะได้ทำเครื่องสูบน้ำจากคลองลงโอ่งให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

"ไอ้แชมป์ กวาดเสร็จยังวะ ช่วยกูหน่อยกูจะเป็นลมแล้ว"ผมหันไปเรียกไอ้แชมป์ที่ยังกวาดลานหน้าเรือนอยู่ มันกวาดมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เสร็จสักที

"เหอะ กูชิลล์ มึงอ่ะเป็นกรรมกรแบกน้ำต่อไปนะ หึหึ"ไม่พูดเปล่าหันมาเยาะเย้ยกูอีก...ฝากไว้ก่อนนะครับมึง
.

.

.

.

.
"โอ๊ยยยย เหนื่อยเชี่ยยยย!"บ่นเสียงดังกับตัวเองพลางทรุดตัวลงที่ท่าน้ำนั่นล่ะ...เดินแบกถังน้ำไม่รู้กี่สิบรอบในที่สุดน้ำมันก็เต็มโอ่งเสียที...ผมเงยหน้ามองพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลง...น่าจะสักบ่ายสองบ่ายสามได้...เห็นไอ้แชมป์ที่กวาดลานหน้าเรือนเสร็จก็เดินไปทางโรงครัว สงสัยจะไปอ้อนพวกแม่ครัวหาอะไรกินแน่ๆ...ไอ้นี่มันช่างปรับตัวเร็วกว่าจิ้งจก ขนาดผมเองยังไม่มีอารมณ์จะกินอะไรเลยตั้งแต่มาถึง...




"เหนื่อยรึ"


"เหนื่อยดิวะถามได้ แม่งไม่ลองมาแบกถังน้ำเดินไปเดินมาเหมือนกูม่ะะ..."ผมหันควับไปด่าเจ้าของเสียงที่คิดว่าเป็นไอ้แชมป์ แล้วก็ต้องเงียบกริบเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง...แขกของเจ้าของบ้านที่ผมเพิ่งได้พบไปเมื่อตอนสาย...เจ้าของร่างโปร่งเหยียดยิ้มเล็กน้อยให้ผมอย่างอารมณ์ดี

"เห้ยยยยย! ขอโทษครับ!"ด้วยความตกใจทำเอาผมแหกปากลั่น จนอีกฝ่ายหลุดขำออกมาเบาๆ

"ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้เอ็งตกใจ...ว่าจักมาหาที่อ่านหนังสือเสียหน่อย...ไม่นึกว่าเอ็งขวัญอ่อนเยี่ยงนี้"ผู้มาเยือนว่าก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นั่งในศาลาตรงท่าน้ำ พลางหยิบหนังสือที่ติดมือมาขึ้นมาเปิดอ่าน ในขณะที่ผมยังนั่งอยู่ริมท่าน้ำเช่นเดิม




"คุณเรียนกฎหมายเหรอ"ปากที่ไวกว่าความคิดโพล่งถามเมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังอ่าน 'ประมวลกฎหมายนานาชาติ' ทำเอาอีกฝ่ายลดหนังสือลงแล้วหันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจ

"ว่ากระไรนะ"ขมวดคิ้วถามพลางจ้องหน้าผมนิ่ง ทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ

"ก็...หนังสือนี่"ผมชี้มือไปที่หนังสือในมืออีกฝ่าย...เจ้าตัวพลิกปกหนังสือขึ้นมาดูก่อนจะหันมามองหน้าผมอีกครั้ง

"รู้หนังสือรึ"ผมพยักหน้ารับ...ขณะที่อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจยิ่งนัก

"ไปเรียนมาจากไหน"เจ้าของร่างสูงยังถามต่อทำเอาผมได้แต่เกาหัวตัวเอง ถ้าตอบว่าเรียนมาตั้งแต่อนุบาลเขาจะหาว่าผมบ้าไหมนี่

"ก็...เอาเป็นว่าอ่านออกก็แล้วกัน"เลยได้แต่สรุปใจความสั้นๆเป็นเชิงว่า 'ไม่ต้องถามกูต่อแล้วนะครับ'ตอบอีกฝ่ายไป

"เอ็งดูไม่เหมือนบ่าว...ผิวก็ขาวเหมือนลูกเจ๊ก...ชื่อกระไรนะ"นี่ผมกำลังขึ้นศาลสอบปากคำพยานอยู่หรือเปล่านะ โดนยิงคำถามรัวๆไม่ได้เว้นช่วงให้หายใจกันบ้างเลย

"ชื่อธีร์..."

"ธีร์รึ?"โอ๊ยพ่อคุณ...จะมีอีกสักกี่คำถามวะเนี่ย

"แล้วนายล่ะ"ได้ทีเลยถามบ้างเดี๋ยวจะเสียเปรียบ

"ข้ารึ?"ก็อยู่กันสองคนจะให้กูถามปลาในน้ำหรือไงวะ

"ชื่อแก้ว"คนอะไรชื่ออย่างกับผู้หญิง...ผมคิด

"ถ้าตำแหน่งในกรมเขาเรียกกันหลวงพิสิษฐวรเวทย์"เจ้าตัวเสริมต่อทำให้ผมนึกถึงคำพูดของมิ่งที่เรียกหมอนี่ว่าหลวงพิสิษฐ คงจะเป็นตำแหน่งทางราชการอย่างที่เจ้าตัวว่า

"แล้วผมต้องเรียกคุณแก้วหรือคุณหลวงล่ะ"สิ้นคำถามเจ้าตัวถึงกับกลั้นหัวเราะ ทำเอาผมได้แต่นั่งนิ่งมองคนตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า


"ฮะๆ เอ็งนี่ตลกนัก คุณหญิงท่านว่าเอ็งแปลก ข้าเชื่อแล้วว่าแปลกเสียจริง"แต่คนที่ทำให้ผมแปลกใจกลับเป็นคนตรงหน้ามากกว่า...โครงหน้าเข้มดูมีอำนาจ หากแต่ตอนนี้เขากำลังยิ้มร่าเพียงเพราะคำพูดเปิ่นๆของผม

"อยากเรียกกระไรก็เรียกเถิด ข้ามิได้เจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนคุณหลวงคนอื่นๆเขาหรอก"แล้วไอ้คุณหลวงนี่มันจะขำอีกนานไหมครับ

"งั้นเรียกคุณหลวง"ผมหันไปตอบ

"แล้วกัน เพิ่งว่าอยู่ว่าข้ามิถือตัว"

"แต่ผมถือ...เรียกชื่อเดี๋ยวจะโดนดุเอาอีก หาว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง"ได้บทเรียนจากตอนเรียกคุณสร้อยมาแล้ว ผมเลยเลือกที่จะเรียกหมอนี่ด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ที่มีก็แล้วกัน

"ใครจักดุเอ็ง...อ้อ กลัวพวกบ่าวไพร่จักว่าเอารึ"ร่างสูงโปร่งยังคงอมยิ้มนิดๆ ไอ้หมอนี่ดูไปดูมาหน้ากวนพิลึกถึงเวลาอยู่นิ่งๆจะดูดุก็ตามที

"ใครจะว่าก็ช่างมันเถอะ...เรียกคุณหลวงน่ะแหละ"ผมยังต่อปากต่อคำไม่เลิก

"ตามใจเอ็ง...คุณหลวงก็คุณหลวง ฮะๆ"เอ้อ ยังขำอีกแน่ะ...ผมไม่ได้เล่นตลกให้ดูสักหน่อย



"คุณหลวงขอรับ...คุณท่านให้มาเรียนว่าสำรับพร้อมแล้วขอรับ"บ่าวผู้ชายที่เพิ่งเดินมาถึงลงไปนั่งคุกเข่าบอกข้อความจากเจ้าของบ้าน...หลวงพิสิษฐหันไปมองพลางพยักหน้าตอบรับ

"เอ้อ คุณหลวง"ผมเรียกขึ้นขณะเจ้าตัวกำลังเก็บหนังสือที่หอบหิ้วมาพลางลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินไปที่เรือนใหญ่...เจ้าของชื่อหันกลับมามองเป็นเชิงถาม




"คุณหลวงเคยเจอผมมาก่อนมั้ย"มันคงเป็นคำถามที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยถามมาในชีวิตนี้เพราะอีกฝ่ายถึงกับหันมามองหน้าผมนิ่งก่อนจะ




"ฮ่าๆๆ เอ็งนี่มีเรื่องให้ข้าประหลาดใจได้อยู่เรื่อยเชียว"มันขำผมครับคุณผู้อ่าน...โอเคผมยอมรับว่าคำถามผมมันช่างโง่เง่าสิ้นดี...แต่ทำไมต้องขำอย่างกับผมกำลังเล่นละครลิงให้ดูอย่างนี้เล่า!
"ไม่เคยหรอก...คนเยี่ยงเอ็งถ้าเคยเจอข้าคงมิลืมง่ายๆ"ประโยคสุดท้ายทำเอาหัวใจผมกระตุกวูบ...พลันนึกถึงคำพูดที่มักได้ยินในฝันนั่นเสมอ...

"แต่ตอนนี้เคยเจอแล้ว...ข้าก็คงมิลืมง่ายๆเช่นกัน"เป็นอีกครั้งที่หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ...ผมมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินขึ้นเรือนไป...ใบหน้าคมเข้มหันมายิ้มบางๆให้ผม จะด้วยเพราะยังขำกับคำถามพิลึกของผมไม่หายหรืออะไรก็ตามแต่...




"หรือจะไม่ใช่เสียงคุณหลวง"ผมพึมพำกับตัวเองอยู่ตรงท่าน้ำนั่นแหละ...เขาไม่เคยเจอผม...แล้วเสียงที่ผมได้ยินนั่่นเสียงใครกันล่ะ?!
.

.

.

.

"โอ๊ยยย เหนื่อยว่ะ!!"เสียงไอ้แชมป์บ่นอิดออดขณะที่พวกผมนั่งอยู่ริมท่าน้ำ...เวลาล่วงเลยมาจนเย็นมากแล้ว ผมสังเกตได้จากดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนต่ำลงจนเกือบลับขอบฟ้า

"แค่กวาดพื้นหน้าบ้านทำเป็นเหนื่อย ดูกูนิ่! ขนน้ำไม่รู้กี่สิบรอบ สาสสสส"ไม่พูดเปล่าแถมเท้ายันหลังมันจนหน้าเกือบทิ่ม

"ก็มึงซวยเอง เดี๋ยวแบกฟืนเดี๋ยวแบกน้ำ แหม่ ใครนะมันช่างกล้าใช้คุณชายชลนธีร์ของกระผมได้"ไอ้ตัวดีหันมาทำหน้าเยาะเย้ย พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"ก็มึงเสือกเกิดมาเตี้ย เค้าก็ยกงานถึกๆให้กูดิวะ"ได้ทีผมรีบทับถมด้วยจุดอ่อนของมัน แชมป์มันเตี้ยกว่าผมครับ ถึงจะไม่มากแต่มันก็ชอบบ่นเรื่องนี้ตลอด...มันบอกว่าเวลาเดินด้วยกันแล้วมันดับ ผมก็ไม่รู้ว่าดับตรงไหนในเมื่อมันขาวโอโม่ออร่ากระจาย ด้วยความที่มันมีเชื้อจีนเกือบ100% แถมความสูงก็170กว่าตามมาตรฐานชายไทย บางทีผมเห็นสาวๆเดินเหลียวหลังมองความขาวของมันก็มี แต่ก็ยังชอบบ่นเรื่องส่วนสูงกับผมเกือบทุกวัน

"เออ กูภูมิใจในความเตี้ยของกูก็ตอนเนี้ย ได้ทำแต่งานสบายๆ หึหึ"ไอ้ตัวดียังหัวเราะเยาะผมไม่เลิก

"เงียบไปเลยมึง มาช่วยกันคิดก่อนว่าจะกลับบ้านยังไง"ผมว่าพลางบิดตัวไปมา...เดินแบกน้ำเป็นสิบๆรอบเล่นเอาล้าไปทั้งตัว สงสัยพรุ่งนี้ตื่นมาเดี้ยงแน่ๆ

"กูยังไม่รู้เลยว่ามาโผล่ที่นี่ได้ไง แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะกลับยังไง"เป็นอีกครั้งที่มันยกมือขยี้หัวเกรียนๆของตัวเอง

"แต่กูว่ามันต้องเกี่ยวกับโต๊ะนั่น"มันรีบหันมาเสริม

"มึงคิดเหมือนกู"ผมพยักหน้ารับกับความคิดของมัน

"เพราะโต๊ะนั่นเป็นอย่างเดียวที่เหมือนกันของที่นี่กับบ้านมึง เอ้อ มีไอ้ที่ทับกระดาษนั่นอีกอย่าง"

"แล้วไงวะ ถึงจะรู้ว่าเกี่ยวกับโต๊ะกับที่ทับกระดาษ แล้วจะรู้ได้ไงว่าจะกลับยังไง"

"โต๊ะแม่งมีลิ้นชักป่าววะ เผื่อจะมุดลงลิ้นชักแล้วไปโผล่บ้านมึงเหมือนในการ์ตูนอ่ะ"ดูความคิดมันครับ ไม่รู้กวาดพื้นมากจนเพี้ยน หรือมันเพี้ยนอย่างนี้มาตั้งแต่แรก

"โอ๊ย! ไม่ใช่ไทม์แมชชีน"ผมว่าพลางเอามือผลักหัวมันสักทีเผื่อจะคิดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวได้บ้าง

"มึงลองคิดดิ ก่อนจะมาที่นี่มึงทำอะไร"ผมหันไปถามมัน เพราะก่อนที่พวกผมจะโผล่มาที่นี่ ผมจำได้ว่ามันนั่งอยู่ที่โต๊ะ...หยิบที่ทับกระดาษ...มาโยนเล่น...


"ที่ทับกระดาษ!!"โพล่งขึ้นมาพร้อมกันทั้งสองคนแล้วหันมามองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย


"ใช่เลยมึง! ที่ทับกระดาษ"มันหันมาชี้หน้าผมที่พยักหน้ารับรัวๆ

"มึงหยิบมาโยนเล่น แล้วมันหล่น...แล้วมันก็มีแสงออกมา"ผมนึกย้อนไปถึงวันเกิดเหตุ เหมือนตัวเองกำลังอยู่ในหนังไซไฟหรือเรื่องจริงเหนือธรรมชาติอะไรสักอย่าง

"แล้วก็ตู้มมมม! มาโผล่นี่"มันทำเสียงเอฟเฟคประกอบเอาผมตกใจ

"เชี่ยย! ไม่ใช่โกโก้ครันช์!"เล่นไม่รู้จักเวลาเลยโดนผมโบกให้อีกรอบ



"แล้วเราจะเข้าไปห้องเจ้าคุณยังไงวะ แค่คราวที่แล้วแกก็ทำท่าจะจับส่งตำรวจละ ถ้าโดนจับได้คราวนี้กูว่าได้ไปนอนห้องกรงแหง"ไอ้แชมป์ที่ลูบหัวตัวเองป้อยๆหันมาถาม

"คุณสร้อยบอกว่าวันนี้เจ้าคุณไม่กลับบ้าน ก็ต้องลองเสี่ยงวันนี้แหละวะ"



"เสี่ยงอะไรรึ"


"ก็เสี่ยงเข้าห้อ....เห้ยยยยยย!"ผมกำลังหันไปตอบไอ้แชมป์แต่นึกขึ้นได้ว่านี่มันไม่ใช่เสียงไอ้แชมป์นี่หว่า...หันไปเจอเจ้าของเสียงยืนประชิดอยู่ด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยง

"คุณหลวง!"ใช่ครับ ไอ้คุณหลวงนี่อีกแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรชอบโผล่มาเงียบๆทุกที

"ว่าอย่างไร"ตอบกลับเสียงเรียบ

"คุณหลวงมาทำไร"

"เอ้า! ก็จักกลับเรือนน่ะซี"เจ้าของร่างสูงอมยิ้มเล็กน้อยพลางหันไปมองเรือที่ผูกอยู่ตรงท่าน้ำ

"แล้วเอ็งสองคนเล่า แอบมาวางแผนอะไรกันตรงนี้"ถามกลับเหมือนรู้ทัน

"เปล่าครับ!"และก็เป็นไอ้แชมป์ที่ร้อนตัวตอบกลับเสียงดังจนอีกฝ่ายหันมามองหน้า

"ไม่มีอะไรก็ดี...คุณหญิงท่านเมตตาให้เอ็งสองคนอยู่ อย่าทำอะไรให้ท่านต้องลำบากใจเสียล่ะ"ท้ายประโยคหันมาจ้องหน้าผมนิ่ง

"ครับ!"ไอ้แชมป์รีบตอบกลับ

"ข้าไปล่ะ"พูดพลางก้าวลงไปนั่งอยู่บนเรือก่อนที่บ่าวอีกคนจะลงเรือตาม

"ฝากเรียนคุณหญิงด้วยว่าจักมาหาใหม่"ผมพยักหน้ารับ มองตามเรือที่ถูกพายออกไป ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีใครมาสะกิดแขนยิกๆ

"อะไรของมึง!"แล้วจะเป็นใครได้นอกจากไอ้ตัวดีข้างๆ

"คุณหลวงแม่งเท่ห์ว่ะ"ไอ้แชมป์มองตามเรือของหลวงพิสิษฐก่อนจะโพล่งขึ้น

"กวนตีนจะตายห่า"ผมสวนขึ้นจนไอ้แชมป์รีบหันกลับมามอง

"มึงรู้ได้ไง"มันหรี่ตามองผมเหมือนจับผิด

"ก็กูเจอตอนมาขนน้ำ"ตอบกลับสั้นๆ

"แล้ว?"ยังไม่เลิกถาม วันนี้เป็นอะไรนะโดนถามทั้งวัน

"แล้วไง ก็กวนตีนกู"

"กวนตีนยังไงวะ"ไอ้นี่ยังถามไม่เลิกจนผมชักรำคาญ

"กวนตีนอย่างที่มึงทำอยู่เนี่ย ไปๆ หิวแล้วไปหาไรแดกกัน แล้วค่อยคิดว่าคืนนี้จะเอาไง"พูดพลางดันหลังมันให้เดินไปทางโรงครัว ขี้เกียจตอบคำถามเพราะวันนี้โดนถามมามากแล้ว
.

.

.

.

.

.
คืนนั้นผมกับแชมป์รอจนทุกคนเข้านอนก่อนจะแอบออกมาจากเรือนบ่าว...จุดหมายก็เรือนใหญ่ที่พวกผมโผล่มานั่นแหละครับ...

"มีคนเฝ้าด้วยว่ะ เอาไงดี" ผมมองตามเสียงไอ้แชมป์ เห็นบ่าวผู้ชายถือคบไฟเดินรอบเรือนอยู่สองสามคน...หนึ่งในนั้นคือมิ่ง

"สงสัยต้องอ้อมไปด้านหลัง...ไปมึง!"ผมสะกิดเรียกพลางดึงแขนคนข้างๆให้อ้อมไปทางหลังเรือน...นับว่าโชคยังเข้าข้างเมื่อด้านหลังเรือนมีต้นมะข้ามต้นใหญ่ขึ้นอยู่ใกล้เรือน...ดูแล้วน่าจะปีนขึ้นได้ไม่ยาก

"จะไหวเหรอวะ กูไม่ได้ปีนต้นไม้มาตั้งแต่8ขวบ"ไอ้แชมป์เงยหน้ามองมะขามต้นใหญ่ตรงหน้า

"ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะวะ"ผมว่าพลางดันหลังมันให้ปีนขึ้นไปก่อน...ใครมาเห็นสภาพพวกผมสองคนตอนนี้ไม่ต้องสืบเลยครับ โดนจับเข้าคุกแน่ เล่นมาปีนบ้านเขาเสียขนาดนี้

"เชี่ยยยย อย่าดัน!"ไอ้แชมป์ที่อยู่ด้านบนตอนนี้ยันเท้ายิกๆใส่ผม...ก็ใครใช้ให้มันปีนช้าเป็นเต่าอย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวก็ได้โดนจับกันก่อนพอดี

"เร็วๆดิวะ! เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"ไม่พูดเปล่าเอามือดันขามันขึ้นไปอีก...สภาพพวกผมทุลักทุเลพอสมควรกว่าจะปีนขึ้นมาถึงขอบหน้าต่างบนเรือน...ไอ้แชมป์ปีนข้ามจากต้นไม้ไปที่หน้าต่างก่อนจะยื่นมามาช่วย...พวกผมปีนเข้ามาอีกห้องหนึ่งที่ไม่ใช่ห้องท่านเจ้าคุณ...ดูแล้วน่าจะเป็นห้องนอนของใครสักคนเพราะมีเตียงสี่เสาตั้งอยู่...ต่างกันตรงที่ห้องนี้ไม่มีชั้นหนังสือเหมือนห้องเจ้าคุณ แต่มีโต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ...เจ้าของห้องคงเป็นผู้หญิงแน่ๆ...

ผมเปิดประตูห้องออกอย่างเบามือ...ด้านนอกเรือนเงียบเชียบ มีเพียงแสงจากตะเกียงที่ถูกจุดแขวนไว้ตามผนัง...พวกบ่าวคงเดินตรวจยามแค่ด้านล่าง ส่วนข้างบนคงไม่มีใครนอกจากคุณสร้อย...ผมมองไปที่ประตูห้องของเจ้าคุณ ค่อยๆเดินนำไอ้แชมป์อย่างเบาที่สุด...พื้นไม้นี่เดินลำบากเป็นบ้าแค่ลงน้ำหนักก็ดังเอี๊ยดอ๊าดเสียแล้ว...ผมได้แต่ภาวนาทุกก้าวที่เดินว่าจะไม่โดนจับได้เสียก่อน...

และคำภาวนาของผมก็เป็นผลเมื่อตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของห้องท่านเจ้าคุณ...กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ดันถูกไอ้แชมป์ขัดขึ้นเสียก่อน

"มึงแน่ใจได้ไงวะว่าเจ้าคุณไม่อยู่"

"มึงก็อยู่กับกูตอนคุณหญิงบอกว่าเจ้าคุณจะกลับพรุ่งนี้"ผมว่าพลางย้อนไปถึงตอนที่คุณสร้อยบอกคุณหลวงผู้มาเยือนเรื่องท่านเจ้าคุณที่ต้องเข้าไปทำงานในกรม...แต่หน้าไอ้คุณหลวงที่กำลังกลั้นหัวเราะอย่างกวนประสาทนั่นดันลอยเข้ามาเสียก่อน

"แล้วถ้าคุณหญิงแกอยู่ในห้องล่ะ...ไอ้ธีร์...ธีร์...ไอ้เชี่ยธีร์!"มันขึ้นเสียงตรงคำหลังจนผมสะดุ้งเฮือก

"เสียงดังทำเชี่ยไร เดี๋ยวใครได้ยินก็โดนจับกันพอดี"ผมหันไปด่ามันโดยพยายามลดเสียงให้เบาที่สุด

"ควาย กูเรียกแล้วมึงไม่ได้ยิน เหม่ออะไรของมึงวะ"ผมส่ายหน้าตอบ จะบอกได้ไงว่านึกถึงหน้าไอ้คุณหลวงนั่น

"ค่อยๆแง้มดูก่อนแล้วกัน"ผมว่าพลางเอื้อมไปผลักประตูไม้ออกอย่างเบามือที่สุด...ด้านในห้องมืดสนิท...ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากตะเกียงเหมือนวันที่ผมมาในวันแรก...ผมย่องไปดูตรงเตียงสี่เสาพบว่ามันว่างเปล่า...โชคดีที่คุณสร้อยไม่ได้นอนห้องนี้...หันไปหาตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะไม้สัก กับกลักไม้ขีดไฟที่วางอยู่ข้างๆก่อนจะจุดมันขึ้น...แสงสว่างจากตะเกียงช่วยให้ผมเห็นบรรยากาศภายในห้องชัดเจนขึ้น...ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม ทั้งโต๊ะไม้สัก...และที่ทับกระดาษเจ้าปัญหา...

"เอาไงมึง"ไอ้แชมป์กระซิบถาม

"ไม่เอาไง ทำเหมือนวันนั้น"ผมว่าพลางหยิบที่ทับกระดาษเจ้าปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง...วันนั้น...ไอ้แชมป์จับมันโยนเล่นไปมา...ก่อนที่จะ...

"มันจะได้ผลมั้ย"มันว่าพลางมองตามที่ทับกระดาษในมือผม...ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลไหม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ลองอะไรเลย

"เอานะ!"ผมมองหน้าอีกฝ่าย...มันพยักหน้ารับ...ก่อนที่ผมจะตัดสินใจโยนที่ทับกระดาษนั่นขึ้น มันลอยเคว้งในอากาศ...เหมือนวันนั้น...ผมเห็นภาพทุกอย่างเป็นภาพสโลวโมชั่น...ก่อนที่ทั้งผมและมันจะพุ่งไปรอรับที่ทับกระดาษนั่น...เหมือนในวันนั้นไม่มีผิด...และ



"โอ๊ยยยยย!"หัวที่กระแทกกันอย่างจังทำให้ทั้งผมและมันเผลอร้องออกมาเสียงดัง...ผมยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ...ส่วนไอ้วัตถุเจ้าปัญหาตอนนี้ลงไปกองอยู่กับพื้นเป็นที่เรียบร้อย


'เฮ้ย เสียงอะไรวะ!?'ได้ยินเสียงของมิ่งแว่วมาจากด้านล่างก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดมา...ผมรีบดับตะเกียงก่อนจะลากไอ้แชมป์ไปมุดหลบตรงใต้เตียง...พอดีกับที่มิ่งเปิดประตูเข้ามา...เจ้าของร่างกำยำสอดสายตาไปทั่วห้อง...ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับที่ทับกระดาษที่ตอนนี้ลงมากลิ้งขลุกขลักอยู่บนพื้น

"ชิบหายแล้วกู"ไอ้แชมป์กระซิบบอกผมก่อนที่ผมจะรีบยกมือขึ้นอุดปากมันเพราะคนตรงประตูห้องหันมาทางนี้พอดี...มันกำลังก้าวเข้ามาในห้องพลางยกตะเกียงสอดส่องไปทั่ว


"เสียงดังโวยวายอะไรกันอ้ายมิ่ง"เสียงคุณหญิงสร้อยแทรกขึ้นเสียก่อน จนเจ้าของชื่อได้แต่ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปทางหน้าห้อง

"กระผมได้ยินเสียงขอรับ แต่พอขึ้นมาดูก็ไม่มีอะไรขอรับ"ร่างกำยำทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นก่อนจะรายงานให้ผู้เป็นนายทราบ...คุณหญิงสร้อยหันมามองในห้อง สะดุดตาเข้ากับที่ทับกระดาษบนพื้น ก่อนจะเดินเข้ามาหยิบมันขึ้นไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม

"แปลกจริงขอรับคุณหญิง มิรู้ตกลงมาได้เยี่ยงไร"มิ่งยังรายงานต่อ...คุณสร้อยมองที่ทับกระดาษบนโต๊ะด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน

"เจ้าคุณคงวางไม่เข้าที่กระมัง วางหมิ่นเหม่มันก็ร่วงเอาเสียได้ ไม่มีกระไรหรอก ไปเถิดอ้ายมิ่ง"คุณหญิงเจ้าของเรือนหันไปบอกบ่าวที่นั่งอยู่ตรงประตู ก่อนจะพากันเดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงตามเดิม ทำเอาพวกผมสองคนได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

"เกือบไปแล้วมั้ยมึง"ไอ้แชมป์ที่มุดออกมาจากใต้เตียงก่อนโพล่งขึ้น

"ทำไมมันไม่ได้ผลวะ"ก่อนที่มันจะหันไปมองโต๊ะไม้สักกับที่ทับกระดาษอีกรอบ

"แล้วอย่างงี้กูจะกลับไปหาป๊ากับม๊ายังไงวะเนี่ย!"มันยังโวยวายไม่เลิก...ผมเดินไปหยิบที่ทับกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง...ก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่างพลางพลิกด้านล่างของมันขึ้นมาดู...ร่องรอยขีดเขียนที่ผมเห็นเมื่อตอนอยู่บ้านอานิด...มันกลับหายไป...

"แชมป์..."ผมยื่นอีกด้านของที่ทับกระดาษให้แชมป์ดู มันรับไปถือพลางมองหน้าผมสลับกันไปมา

"ชื่อมึงหายไปแล้ว"มันพยายามพลิกไปมาหาร่องรอย

"ไม่ใช่...มันยังไม่ได้เขียนต่างหาก"ผมสรุปให้มันฟัง...ในเมื่อสภาพโต๊ะไม้สักที่ผมเห็นตอนนี้มันเหมือนเพิ่งประกอบเสร็จ แสดงว่ามันเพิ่งถูกทำขึ้นเมื่อไม่นานมานี้...เช่นเดียวกับที่ทับกระดาษ

"มันจะเกี่ยวกับชื่อมึงบนนี้ป่าววะ หรือเราต้องเขียนมันให้เหมือนกัน"ไอ้แชมป์ถามต่อ...นั่นสิ...ถ้าผมสลักชื่อตัวเองลงบนนั้นให้เหมือนกันกับของที่บ้านอานิด...มันจะช่วยผมให้กลับไปยังที่ๆผมมาได้ไหม...แต่แล้วผมก็ต้องหยุดความคิดเมื่อนึกไปถึงภาพครั้งก่อนที่ผมเห็นในความฝัน...มือใหญ่ที่สลักชื่อลงบนที่ทับกระดาษนั้นอย่างปราณีตบรรจง...ใครบางคนที่ตั้งใจสลักชื่อที่เหมือนกันกับชื่อของผมลงไป...


"ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวก็มีคนมาเขียนเอง"คำพูดที่ออกมาจากปากของผมทำเอาไอ้แชมป์หันมามอง

"มึงว่าไรนะ"ว่าพลางเขย่าแขนผมเบาๆ...ผมหันกลับไปมองมันเหมือนถูกใครดึงสติกลับมา

"ห๊ะ?"

"เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ"มันยังคำถามย้ำคำเดิม

"ว่าไรวะ กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย"ผมมองมันด้วยสีหน้าสงสัย...เมื่อกี้ผมพูดอะไรกับมันหรือเปล่านะ

"มึงพูด...อะไรคนเขียนๆ"

"กูเปล่า..."ผมไม่รู้ว่าคำพูดที่โพล่งออกมาเมื่อครู่มันมาจากไหน รู้แต่ว่าผมไม่ได้ตั้งใจพูดมันออกมาแน่ๆ

"มึงพูด..."มันยังคงเถียงต่อ

"เออช่างมัน...กลับไปนอนก่อน แล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอาไง"ผมตัดบท...ก่อนจะค่อยๆเดินไปเปิดประตูไม้บานเดิมออก...ด้านนอกเงียบสงัดเหมือนเคย...ผมค่อยๆย่องกลับไปทางเดิมอย่างเบาที่สุด...


...ในที่สุดผมก็กลับมาถึงเรือนบ่าวแบบครบ32และไม่โดนจับส่งตำรวจ...นับว่าบุญยังมี แต่ก็เกือบไปแล้วครับไอ้ธีร์...ถ้าโดนไอ้มิ่งจับได้ป่านนี้พวกผมคงไปลงเอยในห้องขังที่สถานีแล้วมั้ง

"ธีร์...กูอยากกลับบ้านว่ะ"ไอ้แชมป์ที่นอนอยู่ข้างๆพลิกตัวมากระซิบกับผมเสียงเบา...ตอนนี้บ่าวทั้งเรือนหลับหมดแล้ว...ผมหันไปมองหน้า เห็นแววตาเป็นกังวลของมันที่ปกติไม่ค่อยจะได้เห็น

"กูรู้...กูก็อยากกลับ"ถึงบ้านนั้นจะไม่ใช่บ้านของผม...แต่ผมก็ยังอยากกลับไป...ผมอยากกลับไปโลกของผม...โลกที่มีอานิด อาต้น มีไอ้โจ๊กกับไอ้ต่อ...โลกที่มีแพม...ป่านนี้แพมคงหัวเสียไม่น้อยที่ผมหายไปเงียบๆเพราะปกติเราต้องคุยกันทุกวัน

"นอนเหอะมึง...คิดมากไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"ผมตบบ่าคนข้างๆเป็นการปลอบใจ...ทั้งตัวมันและตัวผมเอง...

.................................

มาต่อแล้วนะเจ้าคะ  :hao5:
ตอนหน้าเป็นตอนของแชมป์...พลิกโผนิสนึงแต่เพื่ออรรถรสของเนื้อเรื่องนะเจ้าคะ  :call: :call:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2015 18:32:03 โดย Vivid_Vuitton »

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
กรี๊ดๆ คุณหลวงกับพ่อธีร์เค้ามีเคมีกันน้า ฮิฮิ แอบน่ารักนิดๆ พ่อแช่มของเราชมคุณหลวงแทนเพื่อนเหรอ555 รอดูเผื่อมีตอนทุกคนตะลึงที่พ่อธีร์พ่อแช่มอ่านออกเขียนได้ แต่แหม พ่อธีร์เรียนรัฐศาสตร์ เอาไว้ช่วยคุณหลวงทำงานเหรอจ๊ะพ่อ ฮุฮิ พึ่งรู้ว่าแชมป์นี่ตัวเล็ก ผิวขาวก็ธีร์นะเนี่ย นึกว่าตัวใหญ่กว่า เห็นคอยดูแลธีร์ตลอด

ขอบคุณนะคะที่มาต่อเร็วมาก ชอบๆๆ รออ่านต่ออยู่ค่า

meili run

  • บุคคลทั่วไป
พ่อธีร์ขิงอิชั่น  เอ้ย  ของพ่อแก้ว เราจะรักมั่นแด่เจ้า ก๊ากกกกกกก

รอตอนต่อไปเจ้าค่ะ  รักคนเขียน จิ้มคนเขียน


 :hao5: :hao5: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
แอบมาตอบเล็กน้อยทุกคำถาม 5555

คุณพี่แชมป์เค้าสูงน้อยกว่าพ่อธีร์แต่ล่ำกว่านะเจ้าคะ...จริงๆแล้วก็ไม่ได้สูงต่างกันมาก เดี๋ยวจะมีบอกในตอนต่อไปภาคของแชมป์ อิอิ
ส่วนคาแรคเตอร์ ปกติเวลาอยู่กับคนอื่นธีร์จะนิ่ง ไม่ค่อยเล่นมุขหรือกวนใคร แต่เวลาอยู่กับแชมป์ธีร์จะเป็นตัวของตัวเองมาก ก็เลยออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละค่า ;)

เอาไว้ติดตามตอนหน้าภาคของคุณพี่แชมป์นะเจ้าคะ จะได้เห็นมุมของแชมป์บ้าง ว่าถึงจะเตี้ยแต่พี่ก็แมนนะเอ้ออออ :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: .....The Timeless Tide.....Chapter V เมื่อแรกพบ UP 01/07/14!!
« ตอบ #19 เมื่อ: 01-07-2014 23:37:22 »





ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 o13



ชอบๆๆๆ

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
นี่สินะพระเอก
ไอ้เราก็นึกว่าเป็นคนแรกซะอีก แล้วโต๊ะนี้คุณแก้วจะได้เป็นเจ้าของเหรอ
ทั้งสองคนถ้าได้กลับบ้านแล้วจะกลับไปที่เวลาไหนนะ

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
Chapter VI...แรกพบสบตา...(Champ's Vision)



...ผมชื่อแชมป์...หรืออ้ายแช่ม...อย่างที่คนที่นี่เขาเรียกกัน...ไม่รู้ทำไมแต่ผมเกลียดชื่อนี้เป็นบ้า...เพราะมันไม่ใช่ชื่อผม...ทำไมคนที่นี่เขาเรียกชื่อผมไม่ถูกกันวะ ป๊ากับม๊าก็ไม่ได้ตั้งชื่อให้มันเรียกยากเสียหน่อย...ผมเป็นลูกคนจีน ป๊ากับม๊ามีเชื้อจีนเกือบเต็มร้อย...หน้าผมมันก็เลยออกจีนจ๋า ผิวขาวจั๊วะ...ตาตี่...ส่วนความสูงก็ไม่มาก 174ตามมาตรฐานชายไทย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังชอบบ่นกับไอ้ธีร์บ่อยๆเพราะมันเสือกสูงกว่า...ส่วนเรื่องหน้าตาผมมั่นใจว่ากินขาดครับ หึหึ...ไอ้ธีร์มันก็มีเชื้อจีนเหมือนกัน เพราะปู่มันเป็นคนจีน แต่ย่าเป็นคนไทยแท้ๆ...หน้าตามันเลยไม่ได้บอกสัญชาติชัดเจนเหมือนผม...นอกจากจะได้ผิวขาวๆของปู่มันมา มันยังได้ความคมแบบไทยจากย่ากับแม่มาบ้าง...มันเคยบอกว่าย่ามันเป็นลูกสาวท่านทูต ผมเคยเจอท่านสองสามครั้งก่อนที่ท่านจะเสีย...ท่านงามตามแบบหญิงไทยสมัยโบราณ แถมมารยาทยังงามขัดกับไอ้คุณหลานของท่านเสียเหลือเกิน...ผมกับมันสนิทกันมาตั้งแต่เด็กเพราะบ้านอยู่ใกล้กันแล้วยังเรียนที่เดียวกันตั้งแต่ป.1...ตอนเด็กๆผมชอบไปเล่นบ้านมัน เพราะพ่อกับแม่มันก็รักผมเหมือนลูกเหมือนหลาน...ไปทีก็มีขนมมาเลี้ยงจนผมกินเสียอิ่มแปล้ กลับบ้านมาโดนป๊ากับม๊าดุตลอดเพราะไม่ยอมกินข้าว...ก็กับข้าวบ้านไอ้ธีร์อร่อยจะตายเพราะแม่ครัวมันสืบทอดตำรามาจากในวังเชียว...


ตอนที่พ่อกับแม่มันเสียก็ได้ผมนี่แหละที่คอยอยู่เป็นเพื่อน...ผมสงสารมันในตอนนั้น เพิ่งอายุ14แต่ต้องเสียทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียว ถึงอานิดอยากรับดูแลแต่มันก็ไม่ยอม เอาแต่ดื้อแพ่งจนถึงขั้นหนีออกจากบ้าน...ตอนนั้นผมไม่เป็นอันเรียนต้องออกไปช่วยอานิดตามหามันจนเจอ...แล้วก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่ช่วยเกลี้ยกล่อมจนมันยอมย้ายไปอยู่บ้านอานิด โดยที่ผมสัญญากับมันไว้ว่าจะไปหามันทุกครั้งที่มีโอกาส...แล้วผมก็รักษาสัญญาทุกครั้ง...ธีร์ไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอ...ตรงกันข้าม มันกลับเข้มแข็งเกินไปจนคิดว่าอยู่ตัวคนเดียวได้...ตอนเรียนม.ปลายมันเคยมีเรื่องกับรุ่นพี่ร่วมโรงเรียน โดนเขารุมเสียน่วมแต่ไม่ปริปากขอความช่วยเหลือจากใครสักคน...ผมไปเจอมันนั่งหมดสภาพอยู่ข้างห้องปกครองหลังจากโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองเทศน์ยาวเป็นชั่วโมง...โดนเขาต่อยจนปากแตกแถมเสื้อผ้ายังมอมแมม แต่มันแค่หันมายิ้มบางๆกับผมแล้วบอกว่ามันยังไม่ตาย...เออกูรู้ครับว่ามึงเก่ง...แต่ช่วยสงสารคนรอบตัวมึงบ้างเถอะ...
วันนั้นที่มันบอกผมเรื่องฝันประหลาด...ผมไม่ลังเลเลยที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย เพราะคนอย่างไอ้ธีร์ ถ้าไม่มีปัญหาจริงๆมันคงไม่ยอมเล่าอะไรให้ใครฟัง และผมก็ดีใจที่มันเลือกเล่าให้ผมฟัง...วันที่ผมไปบ้านอานิดและได้เห็นโต๊ะผีสิงตัวนั้น...ผมเรียกอย่างนั้นล่ะ ถึงเจ้าตัวมันจะไม่ชอบเอาเสียเลยก็ตาม หึหึ...ใจหนึ่งผมรู้สึกคุ้นตากับโต๊ะตัวนี้อย่างประหลาด แต่เพราะไม่อยากให้ไอ้ธีร์ไม่สบายใจ ผมเลยแก้เก้อไปด้วยการบอกว่ามันเหมือนกับโต๊ะที่อาจารย์ให้พวกผมสเก็ตในคาบศิลปะ...
ตอนที่ผมหยิบที่ทับกระดาษที่มีชื่อของมันสลักไว้ด้านหลังขึ้นมาดู...ใจหนึ่งผมก็ประหลาดใจกับความบังเอิญที่ได้เห็น แต่อีกใจผมกลับรู้สึกคุ้นเคย...ผมจับมันโยนเล่นไปมาอย่างสนุกมือ...แล้วก็อย่างที่ทุกคนทราบ...ผมกับมันมาโผล่อยู่ที่นี่...รัชสมัยของพระพุทธเจ้าหลวง หรือรัชกาลที่5ที่เรารู้จักกันดี...


อย่าถามว่าผมมาได้อย่างไร...ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าจะกลับไปได้อย่างไรมากกว่า...


"วันนี้เอ็งไปช่วยอ้ายสนมันผ่าฟืน...หน่วยก้านเอ็งดูใช้ได้ถึงจักไม่สูงมากนักก็เถอะ"เสียงไอ้มิ่งครับ...ผมอยากจะกระโดดถีบขาคู่ใส่มันจริงๆมาว่าผมเตี้ยเสียได้...ติดที่ว่าตัวมันสูงใหญ่ แถมร่างกายกำยำคงเพราะทำงานหนัก...ผมมาอยู่ที่นี่ได้เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่ยังหาทางกลับบ้านไม่ถูก ก็ต้องเลยตามเลย อยู่บ้านเขา เขาจะให้ทำอะไรก็ต้องทำ

"ส่วนเอ็งไปรดน้ำต้นไม้หน้าเรือนโน่น"มันหันไปสั่งไอ้ธีร์ที่ยืนอยู่ข้างๆผม...ผมเห็นไอ้ธีร์หันมาหัวเราะเยาะให้ เพราะวันก่อนมันโดนทั้งแบกฟืนทั้งขนน้ำ แต่วันนี้ได้งานสบายหน่อย ส่วนความซวยก็ตกอยู่ที่ผมนี่ล่ะ

"เอนจอยผ่าฟืนนะมึงงงง หึหึ"ยังไม่ทันขาดคำ มันเดินสะบัดตูดไปหน้าเรือนเรียบร้อย...วันนี้ทีมึง กูฝากไว้ก่อนนะครับ


ผมเดินเลยโรงครัวไปทางด้านหลัง...เห็นผู้ชายร่างกำยำไม่แพ้กับไอ้มิ่ง ในมือถือขวานอันใหญ่กำลังตั้งหน้าตั้งตาผ่าฟืนที่กองเรียงรายอยู่ข้างตอไม้

"พี่ๆ เค้าให้ผมมาช่วยผ่าฟืนอ่ะ"ผมร้องเรียกคนตัวใหญ่ที่ละมือจากกองไม้ตรงหน้า

"ดีเทียว ข้าจักได้พักเสียบ้าง หน่วยก้านเอ็งดี ไม่เหมือนอ้ายคนวันก่อน ตัวสูงเสียเปล่าแต่เรี่ยวแรงไม่มี"ผมรู้ว่าเขาหมายถึงไอ้ธีร์...ถึงมันจะสูงกว่าผมอยู่บ้างแต่เรื่องความหนาผมกินขาดเพราะไปฟิตเนสบ่อย...ไม่เหมือนมันที่วันๆเอาแต่อยู่กับแฟน...แต่จะไปว่ามันก็ไม่ได้ครับ ก็แพมเล่นติดมันแจจนมันไม่มีเวลากระดิกตัวไปทำอะไร

"แล้วผ่ายังไงอ่ะพี่"ถึงหน่วยก้านจะดี แต่ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยผ่าฟืนนะครับคุณผู้อ่าน อย่าลืมว่าตั้งแต่ผมลืมตามาดูโลก โลกของผมมันก็มีไฟฟ้าใช้แล้ว...ผมโตมาด้วยเทคโนโลยีล้วนๆ ไอ้เรื่องผ่าไม้ผ่าฟืนนี่ไม่ต้องพูดถึง...ไม่เคยครับ...เคยแต่ผ่าฟัน...เอ้า มันไม่เกี่ยวกันเหรอ?

"วะ! เพิ่งชมไปมิขาดคำ...เอาไม้นี่มาตั้งแล้วเอ็งก็ฟันฉับลงไป...ลงแรงหนักๆล่ะ มันจะได้ขาด"คนชื่อสนอธิบายยาวเหยียด พลางทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง...เอาวะ ไม่น่ายาก...ว่าแล้วผมก็รับขวานจากมืออีกฝ่าย หยิบท่อนฟืนอันใหญ่มาวางตั้งบนตอไม้...เงื้อขวานขึ้นเหนือหัวและฟาดฉับลงสุดแรง...และ...


...แม่งพลาด...ท่อนฟืนยังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม ส่วนขวานผมลงไปปักกับตอไม้ที่ห่างไปเป็นวา...

"เอ็งนี่...ไม่ได้ความ...ลองใหม่อีกทีซิ"คนชื่อสนส่ายหน้าอย่างระอา...เพิ่งรู้ว่าผ่าฟืนมันยากขนาดนี้...เอ้า...ลองอีกทีก็ได้วะ...


-ปึก-...แล้วขวานของผมมันก็ลงไปเจาะอยู่ที่เดิม...ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆที่แทบจะกุมขมับ...หรือผมควรจะเลื่อนไอ้ท่อนฟืนนี่มาไว้ตรงที่ขวานผมชอบจามลงไปดีวะ

"พอๆ ให้เอ็งทำวันนี้ก็คงมิเสร็จ...ไปช่วยป้าน้อยในโรงครัวโน่น เผื่อแกจักมีงานใดให้ทำ"ผมยื่นขวานอันเดิมคืนให้เจ้าของพลางหัวเราะแหะๆ...งานใช้แรงงานผมพอทำได้ แต่เรื่องกะความแม่นยำในการลงขวานนี่ผมยอมแพ้...ก็ผมเรียนศิลปกรรมไม่ใช่วิทยาศาสตร์การผ่านฟืนนี่ครับ


ผมเดินกลับมาทางโรงครัว...ตอนนี้สายมากแล้ว พวกบ่าวในครัวคงกำลังเตรียมมื้อกลางวัน...ผมเห็นบ่าวผู้หญิงนับสิบคนสาละวนกันอยู่ในโรงครัว...บ้างก็ตำเครื่องแกงอยู่บนแคร่...บ้างก็วุ่นวายอยู่หน้าเตาขนาดใหญ่ที่มีทั้งหม้อ ไห กระทะ...กลิ่นหอมของเครื่องแกงคละคลุ้งไปหมดจนท้องผมเริ่มร้อง...แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้...บนเรือนก็เห็นมีแต่เจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อย แต่เวลาทำกับข้าวทีอย่างกับจะไปเลี้ยงพระทั้งวัด

"ป้าๆ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย"ผมหันไปถามบ่าวผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งแกะเม็ดละมุดพลางสลักให้เป็นรูปทรงสวยงาม

"ตอนนี้ยังไม่มี...เอ็งมีกระไรก็ไปทำก่อน เดี๋ยวข้าอยากได้ลูกมือแล้วจักเรียก"ป้าแกว่าแต่ยังไม่ละสายตาจากละมุดในมือ...ผมเลยเดินวนไปเวียนมาอยู่แถวนั้นเผื่อมีใครจะเรียกไปทำอะไรบ้าง...อยู่เฉยๆมันก็น่าเบื่อ...แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นมีใครสนใจผมสักคน...

...วูบหนึ่งผมเหมือนคิดอะไรออกเมื่อเหลือบไปเห็นเศษกระดาษที่หล่นอยู่บนพื้นหน้าโรงครัว...ผมหยิบมันขึ้นมาก่อนจะหันซ้ายหันขวา...ไปเจอถ่านไม้ที่ถูกเผาเสียจนไหม้เหลือเป็นเศษเล็กเศษน้อยอยู่ตรงหน้าเตา เลยเดินไปเก็บมาสองสามแท่ง...ผมเดินเลี่ยงมานั่งอยู่หน้าเรือนนอน...หยิบกระดาษกับเศษถ่านที่เก็บมาก่อนจะจรดมันลงบนเศษกระดาษยับยู่ยี่นั้น...ขีดๆเขียนๆตามประสาเด็กศิลปกรรมที่เรียนมา...ผมมองภาพโรงครัวที่วุ่นวายจอแจ บ่าวไพร่แต่ละคนมัวแต่สาละวนอยู่กับงานของตัวเอง...ก่อนจะบันทึกภาพนั้นลงบนกระดาษในมือ...ผมอยากวาดมันเก็บเอาไว้ เพราะสมัยนี้จะหาดูอะไรแบบนี้คงไม่มีแล้ว...

...ผมนั่งมองภาพตรงหน้า...ในขณะที่มือก็ยังขีดเขียนไปตามสิ่งที่เห็น...ถึงโรงครัวจะดูวุ่นวาย แต่ละคนดูยุ่งกับหน้าที่ของตัวเอง แต่ก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็นเสมอ...นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกกัน 'สยามเมืองยิ้ม' พลางนึกไปถึงสมัยที่ผมจากมา...แค่ขับรถปาดหน้ากันก็ชักปืนมายิงกันตายเสียแล้ว ไม่เหลือเค้าประเทศสยามเหมือนอย่างตอนนี้เลย...

...ผมนั่งขีดเขียนจนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง...ภาพโรงครัวกับบ่าวไพร่นับสิบคนที่กำลังสาละวนกับงานของตัวเอง...ยังไม่ทันจะเสร็จดี...ไอ้ลมบ้าที่ไหนมันดันพัดวูบจนกระดาษปลิวหลุดมือไปเสียฉิบ...ผมวิ่งตามเศษกระดาษที่ปลิวล่องไปตามลมก่อนจะหล่นร่วงลงบนสนามหญ้าหน้าเรือน...เห็นไอ้ธีร์ที่ทำลังรดน้ำต้นไม้อยู่แถวนั้นหันมามองท่าทางประหลาดของผม...แต่ยังไม่ทันจะก้าวไปหยิบผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซที่เพิ่งปลิวไปต่อหน้า กลับมีมือหนึ่งหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาเสียก่อน...

...ผมมองตามเจ้าของมือที่ถือกระดาษผลงานของผม...ผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวยโผล่พ้นแขนเสื้อทรงกระบอกสีขาว ห่มทับด้วยสไบสีชมพูอ่อน...นุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มกับถุงน่องยาวสีขาวทึบ...ดวงตากลมโตหวานฉ่ำแต่คมเข้มตามแบบฉบับไทยแท้...ผมยาวประบ่า...ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองภาพในมือ

"งามแท้ ฝีมือเอ็งรึ"เสียงหวานเอ่ยถามผมที่เพิ่งวิ่งตามไปถึง...ผมได้แต่ยืนนิ่งมองคนตรงหน้า...เธอไม่ได้ผอมแห้งเหมือนสาวๆสมัยผม แต่ดูมีน้ำมีนวล...โครงหน้าหวานฉ่ำเนียนใสโดยธรรมชาติไม่ต้องแต่งแต้มเครื่องสำอางค์ใดๆ...

"แม่พิกุล!"อีกเสียงดังขัดขึ้นจนผมหลุดจากภวังค์...เจ้าของเสียงคือคุณหญิงสร้อยที่กำลังเดินลงมาจากเรือน สีหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความดีใจ

"คุณแม่"เจ้าของชื่อหันไปยิ้มหวานให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะหันมายื่นแผ่นกระดาษแผ่นเดิมให้ผม...ผมรับมันมาถือไว้ในมือแต่ยังมองคนตรงหน้าไม่วางตา

"ไม่เจอเสียนาน คุณแม่สบายดีนะเจ้าคะ"รอยยิ้มหวานพร้อมมือที่ยกไหว้ผู้เป็นแม่อย่างอ่อนช้อย

"แม่สบายดี...มาคราวนี้จักอยู่นานเท่าใดรึ"คุณหญิงสร้อยตอบรับพลางยกมือลูบตัวลูบผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

"คงนานทีเดียวเจ้าค่ะ หม่อมท่านตามเสด็จไปต่างเมือง กว่าจักกลับก็อีกหลายอาทิตย์"

"มาถึงเหนื่อยๆ ขึ้นไปกินน้ำกินท่าเสียก่อน...อ้ายแช่ม ไปบอกนังน้อยให้เตรียมน้ำเตรียมท่าให้คุณพิกุลเสีย"ประโยคหลังหันมาสั่งผมที่ดันยืนอยู่ตรงนั้นพอดี...ผมพยักหน้ารับแต่ยังมองตามคนตัวเล็กจนเดินขึ้นเรือนไป



"พี่แชมป์ครับ..."เสียงไอ้ธีร์ที่มายืนแอบอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ดังขัดขึ้น

"ไรของมึง!"ผมสะดุ้งโหยงพลางหันกลับไปด่า เห็นมันยืนยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี

"เคลิ้มเชียวนะมึง เห็นสาวเป็นไม่ได้...นี่ขนาดสาวสมัยนี้ก็ยังจะเอา"ไม่พูดเปล่าเอาศอกมาถองผมอีกต่างหาก

"เอาเชี่ยไร...กูยังไม่ได้ทำไรเลย"รีบตอบแก้เก้อ...ถ้าผมรู้ใจไอ้ธีร์ดี ก็ไม่แปลกที่มันจะรู้ใจผมดีเช่นกัน

"เออให้มันแน่! นั่นน่ะ ลูกสาวคุณหญิงเชียวนะเว้ย"

"มึงรู้ได้ไง?"

"ควาย เค้าก็เรียกแม่อยู่...จะให้เป็นหลานมั้ย"มันพูดพลางโบกหัวผมสักที...ไอ้นี่ หัวกูไม่ใช่ลูกปิงปองนะครับ เอะอะตบๆ

"เพ้อเจ้อละมึงอ่ะ กูไปบอกป้าน้อยเอาน้ำให้แกก่อน เดี๋ยวโดนด่าอีก"รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเดินหนีมันไปทางโรงครัว...แต่ภาพเมื่อครู่ยังติดตาไม่หาย...สวยจริงๆ
.

.

.

.

.

บ่ายคล้อย...ผมที่เพิ่งช่วยงานในครัวเสร็จปลีกตัวมานั่งเล่นที่ท่าน้ำ...ไอ้ธีร์มันขอตัวไปอาบน้ำที่ท่าน้ำหลังเรือนเพราะถึงวันนี้มันจะได้ทำงานสบายๆแค่รดน้ำต้นไม้แต่มันก็ต้องเดินไปแบกน้ำจากท่าน้ำมารดอยู่ดี...กว่าจะเสร็จผมเห็นมันหน้าแดงเหงื่อซ่ก...กูบอกแล้วให้ไปฟิตเนสบ่อยๆไม่เชื่อ หึหึ

ผมหยิบกระดาษแผ่นเดิมขึ้นมาดู...ภาพโรงครัวที่วาดเอาไว้เสร็จแล้ว แต่ยังมีอีกภาพที่อยากจะวาดเสียเหลือเกิน...ผมพลิกกระดาษอีกด้านที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะเริ่มขีดเขียนด้วยแท่งถ่านอันเดิม...ร่างเค้าโครงเป็นรูปหน้า...ดวงตาคมหวานฉ่ำ...ริมฝีปากบางได้รูป...ทั้งหมดเป็นแค่ภาพในจินตนาการจากการพบกันเพียงชั่วครู่เท่านั้น

"ฝีมือเอ็งดีนัก...นั่นเรารึ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองเห็นคนตัวเล็กคนเดิมยืนอมยิ้มอยู่ไม่ห่างนัก...โอ๊ยไอ้แชมป์...ถ้ากรี๊ดได้กูกรี๊ดไปแล้วครับ

"ขอดูหน่อยได้หรือไม่"ไม่พูดเปล่ายื่นมือเรียวมาตรงหน้าอีก...ผมมองตามก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษยับยู่ยี่ในมือให้อย่างเสียไม่ได้...คนตัวเล็กมองภาพตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย

"ตาเราโตขนาดนี้เชียวรึ"

"เอ้อ ผมแค่...นึกๆแล้วก็วาดออกมาน่ะครับ...จริงๆแล้วคุณ...."เจ้าของแบบในภาพมองหน้าผมเป็นเชิงถาม...ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวเมื่อถูกดวงตาคมนั่นจ้องเขม็ง...เธอมีแววตาคมเหมือนเจ้าคุณผู้เป็นพ่อ หากแต่หวานฉ่ำเหมือนคุณหญิงสร้อย

"คุณ...สวยกว่าในรูปอีก"ผมว่าพลางยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแก้เก้อ...โธ่เอ๋ยไอ้แชมป์...เจอสาวสวยมาไม่รู้กี่คน ทำไมกับคนนี้ไปไม่เป็นเสียเลยวะ

"นอกจากฝีมือดีแล้ว ปากยังหวานเสียด้วย"คนตัวเล็กหัวเราะเบาๆ แต่ผมแอบเห็นพวงแก้มของเธอเริ่มมีสีชมพูระเรื่อ

"เมื่อครู่คุณแม่เรียกเอ็งว่าอ้ายแช่ม...ชื่อเอ็งรึ"ผมพยักหน้ารับ...อยากจะบอกว่าชื่อ'แชมป์'ครับ แต่คงยากเกินไปสำหรับคุณเธอ

"เห็นคุณแม่ว่าเพิ่งมาใหม่...มาจากที่ใดเล่า"

"แถวนี้แหละครับ...เอ้อ คุณไม่ได้อยู่บ้านนี้เหรอครับ ผมเพิ่งเคยเจอ"ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะการอธิบายที่มาที่ไปของผมคงยากจะเข้าใจยิ่งกว่า

"เราเป็นข้าหลวงเรือนในของหม่อมท่าน...ปกติจักถวายงานอยู่ในวัง แต่ตอนนี้หม่อมท่านตามเสด็จ อีกหลายอาทิตย์กว่าจักกลับ"ผมไม่ค่อยเข้าใจที่อีกฝ่ายอธิบายนัก เพราะเด็กศิลปกรรมไม่ถูกกับประวัติศาสตร์ครับ จะให้มานั่งลำดับญาติ ลำดับยศ ผมทำไม่เป็นหรอก...อย่างหม่อมที่คุณเธอพูดถึงผมก็ไม่รู้จัก...เอาเป็นตามความเข้าใจของผมคือตอนนี้เจ้านายไม่อยู่ เธอเลยกลับมาอยู่บ้านนั่นแหละ

"แล้วจะอยู่นานมั้ยครับ"ปากโพล่งออกไปไวกว่าความคิด ทำเอาคนถูกถามชะงักเล็กน้อย

"ก็จนกว่าหม่อมท่านจักกลับวัง...ทำไมรึ"เสียงหวานเอ่ยถามต่อ

"เปล่าครับ...แค่คิดว่า...คุณอยู่นานๆก็คงดี"ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน แต่แอบเห็นอีกฝ่ายยิ้มหวานบางๆ...หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วครับไอ้แชมป์

"เราก็อยากอยู่ให้นาน...กลัวคุณแม่ท่านเหงา"เอาเถอะครับ ถึงจะไม่ได้อยากอยู่เพราะผม แต่อยู่นานๆหน่อยก็ดี...ว่าแต่ผมกำลังคิดอะไรครับเนี่ย...นี่ลูกคุณหญิงกับท่านเจ้าคุณเชียวนะ

"เห็นทีต้องขึ้นเรือนล่ะ คุณแม่ให้คนมาตามโน่นแล้ว"เสียงหวานเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองบ่าวผู้หญิงที่เพิ่งเดินลงมาจากเรือน หันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

"เราขอรูปนี้ได้ไหม เราชอบ"พูดพลางชูกระดาษในมือให้ผมดูพร้อมรอยยิ้มหวานอีกแล้ว...แล้วผมจะไปกล้าปฏิเสธได้อย่างไรเล่า

ผมมองตามคนตัวเล็กที่เดินขึ้นเรือนไปกับบ่าวอีกคน...ในมือถือกระดาษที่มีรูปวาดของผมติดไปด้วย...ถึงจะเสียดายแต่ผมก็ยังยิ้มออกมาได้...อย่างน้อยเจ้าตัวก็ชอบมัน...




"พี่แชมป์ครับ..."ไอ้นี่...จะให้กูอยู่ในภวังค์นานอีกสักหน่อยไม่ได้เลยใช่ไหม

"ครับพี่ธีร์..."ผมหันไปมองหน้ามันที่กวนพิลึก...แล้วนั่น มึงกล้าถอดเสื้อเดินโทงๆในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

"สติครับสติ...ลอยตามขึ้นเรือนไปโน่นแล้วครับ"มันว่าพลางพยักเพยิดไปทางหน้าเรือน

"เชี่ยไรของมึงครับ! แล้วนี่มาท๊อปเลสเดินโทงๆไม่อายคนอื่นเค้ารึไง"รีบเปลี่ยนประเด็นแก้เก้อ...เจ้าตัวมันเลยก้มมองสารรูปตัวเองที่ตอนนี้มีเพียงกางเกงขาสามส่วนยี่ห้อดังที่ใส่มาตั้งแต่วันแรก ส่วนเสื้อยืดตัวโปรดมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

"อายทำไม เค้าท๊อปเลสกันทั้งบ้าน มึงอ่ะ หัดทำตัวกลมกลืนได้แล้ว"จะว่าไปพวกบ่าวผู้ชายที่นี่ก็ไม่มีใครใส่เสื้อทำงานสักคน...มันก็คงสบายกว่าถ้าจะต้องใส่เสื้อทำงานกลางแดดจัดแบบนี้ทุกวัน

"กูล้อเล่น...สยิวจะตายห่า แต่เสื้อมันโสโครกแล้ว ใส่แม่งทุกวันเลยเอาไปซัก"ผมก็ว่า...คนอย่างคุณชายธีร์น่ะเหรอจะกล้าถอดเสื้อเดินโทงๆในบ้าน ถ้าเป็นผมก็ว่าไปอย่าง หึหึ

"ซักแต่เสื้อ ข้างล่างมึงเน่าหมดแล้วมั้งป่านนี้"ผมหันไปเหล่ท่อนล่างมันบ้าง...แค่แซวเล่นครับ อย่าหาว่าผมคิดอกุศลเชียว

"กูซักทุกวันเว้ย...ดีกว่ากางเกงยีนส์มึงอ่ะ เน่ากว่าของกูอีก"ไม่พูดเปล่าแถมเอามือบังส่วนสำคัญอีก...ทำอย่างกับกูไม่เคยเห็นนะ อาบน้ำด้วยกันมาตั้งแต่ป.1

"ว่าแต่มึงเห๊อะ เล่นของสูงนะครับพี่แชมป์"ผมหันไปมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมัน

"สูงเชี่ยไร ตัวเท่าไหล่กู...โอ๊ยยยย!"นั่นไง ไปกวนมัน โดนโบกเข้าให้...ไอ้ธีร์มันประเภทปากว่ามือถึงครับ หรือบางทีปากยังไม่ทันว่าแต่มือถึงก่อนแล้วอย่างคราวนี้เป็นต้น

"อย่ามาแถ...ดีๆนะมึง จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้"ผมเข้าใจความหมายของธีร์ดี...ใช่ ผมจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...วันนึงเรื่องทั้งหมดที่นี่มันก็คงเป็นเหมือนแค่ความฝันของผมกับมัน...แต่อย่างน้อยผมก็ยังได้ฝันดีอยู่บ้างล่ะนะ

"พูดไรเพ้อเจ้อว่ะ หิวแล้ว ไปหาไรกินกัน"ว่าพลางกอดคอมันแล้วกึ่งดึงกึ่งลากเดินไปทางโรงครัว...ขี้เกียจจะเถียงเพราะเรื่องนี้ผมรู้ว่าถึงเถียงไปก็ไม่ชนะ





"ป้าน้อย...คุณหญิงท่านมีลูกสาวคนเดียวเหรอครับ"แล้วก็เป็นไอ้คนข้างๆที่เปิดประเด็นกลางวงกับข้าวที่ตอนนี้มีผม มัน ป้าน้อย ไอ้มิ่ง ไอ้พี่สน และบ่าวผู้หญิงอีกสองสามคนที่ผมยังไม่รู้จักชื่อ

"ท่านมีสองคน...คุณพิกุลแกเป็นคนเล็ก...คนโตชื่อคุณดาวเรือง เพิ่งออกเรือนไปกับพระยาโสภณเมื่อต้นปี"ผมนั่งฟังป้าน้อยเล่าถึงลูกสาวทั้งสองของคุณหญิง ส่วนพระยาอะไรนั่นผมไม่รู้จักหรอกครับ ได้แต่เออออไปตามแกว่า

"แล้วคุณพิกุลแกยังไม่ได้แต่งงาน เอ๊ย! ออกเรือนเหรอป้า"ไอ้ธีร์ครับ มันยังกวนผมไม่เลิก ถามป้าน้อยแต่เหล่มามองผมสีหน้ากวนพิลึก

"ยังหรอก...แกเป็นข้าหลวงเรือนในรับใช้หม่อมท่านในวัง ครานี้ไปก็เกือบครบปีกว่าจักได้กลับมาอยู่เรือน"ป้าน้อยเล่าต่อ

"แต่ฉันได้ยินมาว่าเจ้าคุณกับคุณหญิงท่านหมายจะให้คุณพิกุลออกเรือนกับหลวงพิสิษฐนี่ป้า"เป็นไอ้มิ่งที่เสริมขึ้นมาจนผมแทบสำลักข้าว ลำบากไอ้ธีร์ต้องรีบส่งขันน้ำมาให้

"ข้าก็ได้ยินมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นจักได้ตบได้แต่งเสียที คุณหญิงท่านก็เอ็นดูหลวงพิสิษฐเหมือนลูกเหมือนหลาน แล้วยังเจ้าคุณกับพระยาไพศาลเองก็เป็นสหายกันมาแต่ไหนแต่ไร"ป้าน้อยขยายความต่อ

"แต่คุณพิกุลแกก็เพิ่งย่าง18ปี ถึงไม่แต่งเสียตอนนี้ก็ยังมีเวลานี่ป้า...ไม่เหมือนอ้ายพวกแถวนี้ แก่ทึนทึกแล้วก็ยังมิมีใครเอาทำเมีย ฮ่าๆ"ไอ้พี่สนได้ทีหันไปแขวะพวกบ่าวผู้หญิงที่นั่งร่วมวงอยู่ เลยโดนแจกค้อนเข้าให้

"พวกเอ็งนี่ก็จริงเชียว ชวนข้านินทานาย เดี๋ยวเถอะเหาจักกินกบาลเอา"ป้าน้อยรีบปราม ก่อนจะหันมาสนใจกับข้าวในวงต่อ...ผมเห็นไอ้ธีร์แอบมองผมเงียบๆโดยไม่พูดอะไร
.

.

.

.

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำพอดีกับที่พวกผมกินข้าวกันเสร็จ...ผมชวนไอ้ธีร์ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำหลังเรือนเหมือนเคย แต่คราวนี้มันแค่ไปนั่งเป็นเพื่อนเพราะมันอาบไปแล้วตั้งแต่ตอนทำงานเสร็จ

"ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยนะมึง"มันนั่งห้อยขาแช่น้ำในคลองพลางหันมาแซวผม

"หงอยไรของมึง กูไม่ได้เป็นไรซะหน่อย"

"ปากดี...กูเห็นหน้ามึงสลดตั้งแต่ตอนกินข้าวละ อย่านึกว่ากูไม่รู้"มันยังว่าต่อ

"โถพ่อแช่ม มีรักแรกพบแต่เสือกแห้วแดกตั้งแต่ยังมิได้เริ่ม"แล้วไอ้เสียงล้อเลียนแบบนี้มึงไปจำมาจากไหนวะครับ

"โอ๊ยเชี่ยยย สาดมาได้ กูมานั่งเป็นเพื่อนไม่ได้จะมาอาบด้วยนะเว้ย"ไอ้คนปากดีกระโดดโหยงขึ้นไปริมท่าน้ำทันทีที่ผมสาดน้ำใส่เข้าให้ ดันมากวนไม่รู้จักเวล่ำเวลา

"ดีแล้วแหละมึง อย่างที่มึงว่า เราก็คงอยู่นี่กันไม่นาน เดี๋ยวก็กลับบ้านแล้ว"ผมหันไปตอบมันเสียงเรียบ...รู้สึกถึงฝ่ามือที่กดลงบนไหล่

"พูดแล้วก็ทำให้ได้ กูยังไม่อยากโดนเพื่อนทิ้งแล้วปล่อยกูกลับบ้านคนเดียวนะเว้ย หึหึ"ไอ้นี่เหมือนจะปลอบ แต่น้ำเสียงกวนพิลึก

"กูว่ามึงยังอาบน้ำไม่เกลี้ยงว่ะ ลงมาอาบกับกูอีกรอบละกัน"ไม่พูดเปล่าผมจัดการลากไอ้คนกวนประสาทลงมาอาบน้ำเป็นเพื่อนจนได้...จะสู้แรงพี่แชมป์รอไปอีกสิบปีนะครับน้องธีร์...มันหันมาด่าผมเสียงดังที่ผมทำมันเปียกอีกรอบ...แต่สุดท้ายเราก็ลงเอยกันที่สาดน้ำใส่กันไปมาเหมือนเล่นน้ำสงกรานต์ไม่มีผิด...



ผมไล่ไอ้ธีร์เดินกลับไปที่เรือนก่อน เพราะมันบ่นว่าหนาว ส่วนผมยังแช่น้ำต่ออีกสักพักถึงค่อยขึ้น...พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้เลยต้องอาศัยแสงไฟจากตะเกียงที่ถือติดมือมาด้วย...ผมกำลังเดินกลับไปที่เรือนบ่าว แต่สมองที่สั่งการอีกอย่างทำให้ผมเลือกเดินไปอีกทาง...ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เรือนใหญ่...

"กูจะมาทำไมวะ"บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางมองไปที่หน้าต่างบนเรือนที่เปิดอยู่ เห็นคุณหญิงสร้อยเดินมาผูกผ้าม่านตรงหน้าต่างก่อนจะหันไปหาลูกสาวคนเล็กที่อยู่ในห้องเดียวกัน

...ผมมองเจ้าของแบบในรูปภาพของผมอย่างไม่วางตา...ใบหน้าคมสวย รอยยิ้มหวานชวนให้นึกถึงเสียงหวานๆที่คุยกับผมเมื่อกลางวัน...ผมยืนมองอยู่ที่เดิมจนไฟในห้องถูกดับลง...ได้แต่ถอนหายใจยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกนี้คืออะไร...

"แค่มองคงไม่ผิดหรอกนะไอ้แชมป์"เสียงบ่นกับตัวเองก่อนจะเดินมุ่งหน้ากลับเรือนบ่าวตามปกติ...ต่อให้ในโลกปัจจุบันผมจะเป็นลูกอาเสี่ยมีเงินมาจากไหน...แต่อยู่ที่นี่ผมมันก็แค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ
ไอ้ธีร์หลับไปแล้วตอนที่ผมกลับมาถึง...ผมทรุดตัวลงนอนข้างมันเหมือนเคย...มองแผ่นหลังของมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาว...



...'มึงโชคดีชะมัดที่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเหมือนกูตอนนี้'...

......................................................................

เอาพ่อแช่มมาส่งก่อนนะเจ้าคะ...กลัวไม่มีบท :hao7:
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ (กราบงามๆแทบตัก) :hao5: :hao5: :hao5:

meili run

  • บุคคลทั่วไป
แหม ทั้งสอง แลดูลั้นลา หาทางกลับบ้านไม่ได้ ก็อยู่มันซะเลยยยยยยยยยยยยยยย อิอิ

 :z2: :z2:

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
ดูท่าจะอีรุงตุงนังกันน่าดูเลยนะเนี่ย
ตอนแรกนึกว่าธีร์จะหลุดมาเผชิญโลกกว้างคนเดียวซะอีก แต่พ่วงคุณเพื่อนมาด้วย
ในยุคนั้นคงมีอะไรให้ธีร์ได้แสดงความสามารถอีกเยอะ (?)

นั่งรอตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้คนเขียนฮับ
 :กอด1:

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
พ่อแช่มกำลังมีความรัก วิ้ววว สงสัยคุณพิกุลจะได้ออกเรือนกับอ้ายแช่มผู้ปากหวาน แถมด้วยฝีมือดี เก่งเกินบ่าวไพร่ทั่วไป (อย่าคิดลึก ก็พี่แชมป์เราเรียนมาสูงนะเอ้อ) ไอ้ที่ว่าคุ้นๆ ก็เพราะว่ามาอยู่จนคุ้นน่ะสิ เพียงแต่ว่า โต๊ะกับที่ทับกระดาษเป็นของท่านเจ้าคุณ สงสัยดราม่ามาเต็ม พ่อแก้วอาจแต่งงานกับคุณพิกุล แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ(คุณดาวเรืองออกเรือนไปอยู่กับสามี เหลือคุณพิกุลคนเดียว บ้านจะเงียบเหงา และด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อตาลูกเขย เพราะรับราชการเหมือนกัน) พ่อแก้วเลยย้ายมาอยู่บ้านนี้...จนได้เป็นเจ้าของบ้าน มีสิทธิ์ในของทุกอย่าง แล้วพ่อแก้วก็มาพบรักกับพ่อธีร์ หรืออาจพบรักกันก่อนแต่ง แต่โดนจับแต่ง เพราะท่านเจ้าคุณรู้ว่าคุณพิกุลรักกับพ่อแช่มซึ่งเป็นบ่าวในบ้าน หรืออาจแต่งก่อน พอพ่อแก้วมารักพ่อธีร์ คุณพิกุลก็เลยได้พ่อแช่มมาเยียวยาหัวใจ แต่จะว่าไปคุณพิกุลก็ดูสนใจพ่อแช่มตั้งแต่วันแรกแล้วนา

เดาไปนู่นเลย ขอโทษคนเขียนนะคะที่เรามโนไกลไปนิด555
รออ่านตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
Chapter VII...เหตุบังเอิญหรือจงใจ


...เช้านี้ผมตื่นนอนตามปกติ...เริ่มปรับเวลาได้บ้างแล้วไม่เหมือนสามสี่วันแรกที่นอนตื่นสายโด่งจนถูกมิ่งกับสนผลัดกันด่าเสียจนหูชา...ผมมาอยู่ที่เรือนท่านเจ้าคุณได้อาทิตย์กว่า แต่ก็ยังหาทางกลับไปโลกปัจจุบันของผมไม่ได้เสียที...ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เข้าไปในห้องเจ้าคุณอีกเลยเพราะตั้งแต่แกกลับมาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนั้นตลอด...

วันนี้หน้าที่หลักของผมก็ไม่มีอะไรมากครับ...แค่ล้างท่าน้ำ!...พี่สนบอกว่าท่าน้ำหน้าเรือนก็เหมือนประตูเรือน แขกไปใครมาก็ต้องเห็นก่อน จะปล่อยให้สกปรกไม่ได้...ส่วนไอ้แชมป์พี่สนแกลากไปสอนผ่าฟืนตั้งแต่เช้า แกบอกว่าตอนสายแดดแรงเดี๋ยวจะพาลเป็นลมเอา...ไอ้แชมป์มันหน่วยก้านดีถึงจะสูงน้อยกว่าผมอยู่บ้าง พวกพี่สนกับมิ่งเลยชอบใช้มันทำงานหนักๆ ไม่เหมือนผมที่ตอนแรกถูกให้ขนฟืนบ้าง ตักน้ำใส่โอ่งในห้องอาบน้ำบนเรือนใหญ่บ้าง...แต่ทำได้ไม่ดีสักอย่าง...ก็ชีวิตปกติผมทำอะไรบ้างล่ะนอกจากเรียน กินข้าว ดูหนังกับแพม เพราะแพมเล่นตามติดผมตลอดจนผมไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น...

"อ้ายธีร์...เสร็จแล้วขึ้นไปหาท่านเจ้าคุณ...ท่านให้หา"เสียงของมิ่งตะโกนเรียกผมอยู่ทางหน้าเรือน...จริงๆแล้วมิ่งไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะเป็นคนตรงและซื่อสัตย์ต่อนายเสียมากกว่า วันแรกๆผมไม่ค่อยถูกชะตาเพราะมันเอาแต่สั่งโน่นสั่งนี่เหมือนเป็นนายผมอีกคน...แต่พอเอาเข้าจริงๆผมกับมันก็คุยกันถูกคอไม่ใช่น้อย ยิ่งกับไอ้แชมป์นี่ไม่ต้องพูดถึง แทบจะเปิดคณะตลกกันได้เลยทีเดียว

ผมจัดการงานตรงหน้าจนเสร็จ...ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเรือนใหญ่ที่บรรยากาศยังคงเหมือนเดิม หากแต่วันนี้ดูเงียบเชียบลงไปบ้างเพราะเจ้าคุณผู้เป็นเจ้าของบ้านนั่งสง่าอยู่กลางเรือน

มิ่งเคยบอกว่า เจ้าคุณหรือพระยาจิตรานุวัตร ท่านเป็นขุนนางในกรมการต่างประเทศและยังเป็นคนสนิทของเอกอัคราชทูตไทยท่านหนึ่ง แต่ผมจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว บอกแล้วว่าผมโง่ประวัติศาสตร์ -_-"

"มิ่งบอกเจ้าคุณให้หาเหรอครับ"ผมนั่งพับเพียบกับพื้นมองเจ้าของเรือนที่นั่งอยู่บนพื้นยกกลางเรือน มีคุณหญิงสร้อยนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมด้วยคุณพิกุลลูกสาวที่ผมเพิ่งได้เจอเมื่อสามสี่วันก่อน...

"อยู่สุขสบายดีไหมเอ็ง"เจ้าคุณเอ่ยถามก่อน ท่านคงเห็นว่าผมปรับตัวได้บ้างแล้ว...เสื้อผ้าที่ใส่มาตอนนี้ผมก็เปลี่ยนเป็นแบบที่พวกบ่าวเขาใส่กัน...กางเกงขาสามส่วนสีกรมท่า แต่ยังไม่วายขอเสื้อจากมิ่งเพราะผมรู้สึกแปลกๆที่ต้องนุ่งกางเกงตัวเดียวเดินโทงๆทั่วบ้าน...ส่วนไอ้แชมป์ไม่ต้องพูดถึงครับ กางเกงยีนส์ที่มันใส่มาไม่รู้มันเอาไปกองไว้ตรงไหนแล้ว ตอนนี้มันกลายร่างเป็นบ่าวเรือนเจ้าคุณโดยสมบูรณ์แบบ จะมีก็แต่ผิวขาวๆของมันนี่แหละที่ผิดแปลกจากคนอื่น...ขนาดมันถอดเสื้อทำงานกลางแดดสามสี่วันติดกันมันยังไม่ดำเลยครับ

"สบายดีครับ"ผมพยักหน้ารับ...ตอนแรกที่มายอมรับเลยว่าลำบากเหมือนกันที่ต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้...ผมโตมาพร้อมเทคโนโลยี...ไฟฟ้า...โทรศัพท์มือถือ...หรือแม้แต่รถยนต์...แต่ที่นี่ไม่มีอะไรสักอย่าง...เวลาจะไปไหนทีก็อาศัยพายเรือไป หรือไม่ก็นั่งเกวียน...ยังคิดไม่ออกว่าถ้าออกต่างจังหวัดจะใช้เวลาเดินทางกันสักกี่วัน...ไม่ต้องพูดถึงต่างประเทศเลย

"วันก่อนข้าเจอหลวงพิสิษฐที่กรม เห็นว่าเอ็งรู้หนังสือรึ"

"รู้ครับ"ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง พลางนึกถึงหน้าไอ้คุณหลวงที่กำลังกลั้นหัวเราะเพราะคำถามแปลกๆของผมในวันนั้น

"ไปเรียนมาจากที่ใด"เจ้าคุณยังถามต่อด้วยความสงสัย แม้แต่คุณหญิงสร้อยก็หันมามองผมเช่นกัน

"ก็...ที่ๆผมอยู่ เค้าสอนน่ะครับ"ผมอ้อมแอ้มตอบ อยู่ดีๆจะให้บอกว่าผมย้อนเวลากลับมาแล้วสมัยนั้นการศึกษามันพัฒนาไปถึงขั้นเด็กสามขวบก็ยังรู้ภาษาอังกฤษ คงทำให้เจ้าของบ้านตกใจไม่น้อยแล้วจะพาลหาว่าผมสติไม่ดีไปเสียอีก

"แล้วเอ็งมาจากที่ใดเล่า ข้าถามหลายทีก็มิเคยตอบ"เจ้าคุณถามสีหน้านิ่ง...วันนี้แกดูดุน้อยกว่าวันแรกที่ผมได้เจอมากนัก แน่สิ อยู่ๆไปโผล่ในห้องทำงานเขา ไม่เอาปืนไล่ยิงหรือจับส่งตำรวจก็ดีเท่าไหร่แล้ว

"ที่ๆผมมา เขาเรียกว่ากรุงเทพครับ"

"กรุงเทพรึ...แล้วกรุงเทพที่ว่างามเหมือนพระนครไหม"เจ้าคุณขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำตอบของผม

"งามเหมือนกันครับ...แต่พระนครงามกว่ามาก...ที่นี่คนใจดี มีน้ำใจ...ไม่เหมือนที่ๆผมอยู่"ผมว่าพลางนึกถึงกรุงเทพมหานครยุค พ.ศ.2557 ยุคที่ทุกคนต่างรีบเร่งกันจนลืมนึกถึงคนรอบตัว...ยุคที่ตึกรามบ้านช่อง คอนโด ทาวน์เฮาส์ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด...ยุคที่เพียงแค่ความขัดใจด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ถึงกับจะฆ่ากันให้ตาย...ผมไม่ปฏิเสธว่าความสะดวกสบายในยุคผมมันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเพียงใด แต่การได้ย้อนกลับมาใช้ชีวิตแบบนี้ได้หนึ่งอาทิตย์ก็ทำให้จิตใจผมสงบลงมากทีเดียว

"พูดดี...จักมีที่ใดงามกว่าพระนครหามีไม่"เจ้าคุณยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี ทำเอาผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจ้าคุณได้อยู่เห็นบ้านเมืองในอีกสักร้อยปีข้างหน้า แกจะยิ้มออกอย่างนี้ไหมนะ

"แล้วอ้ายคนที่มากับเอ็งล่ะ รู้หนังสือเหมือนกันหรือไม่"เจ้าคุณถามถึงไอ้แชมป์...ไม่สิ...อยู่ที่นี่ต้องเรียกมันว่าอ้ายแช่ม หึหึ

"รู้ครับ...แถมมันยังวาดรูปสวยด้วย"ผมว่าพลางหันไปมองทางคุณพิกุลที่สบตากับผมและอมยิ้มเล็กน้อย ส่วนเจ้าคุณเพียงแค่พยักหน้ารับ

"ภาษาต่างประเทศล่ะ เอ็งรู้ไหม"

"รู้ภาษาอังกฤษครับ...แล้วก็เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ลืมไปหมดแล้วครับ"ผมตอบตามความจริง เพราะตอนม.ต้นเคยลงเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาเลือก แต่เพราะไม่ได้ใช้เลยเอาความรู้คืนอาจารย์ไปหมดแล้ว

"ไหนลองอ่านนี่ให้ข้าฟังซิ"เจ้าคุณว่าพลางยื่นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งมาให้ผม บนหน้าปกมีชื่อ The Diplomatic Relations of Siam...ผมพลิกหน้าแรกพลางอ่านไล่ทีละประโยค เนื้อความในหนังสือกล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการทูตของอาณาจักรสยามและชาติอื่นๆในยุโรปรวมถึงสหรัฐอเมริกา...ถึงผมจะโง่ประวัติศาสตร์แต่ผมก็เด็กรัฐศาสตร์นะครับ อย่าเพิ่งลืมกันเสียก่อน ถึงจะเพิ่งขึ้นปีสองได้ไม่นานก็เถอะ

"เอ็งนี่...ผิดกับที่ข้าคิดไว้นัก...หน้าตาผิวพรรณรึก็ดูไม่เหมือนบ่าวไพร่ แล้วยังมีวิชาความรู้ติดตัว...ข้าดูคนผิดไปเสียจริง"เจ้าคุณตบหน้าขาตัวเองฉาดใหญ่แสดงความพอใจหลังจากที่ผมอ่านวรรคแรกจบ...ผมเห็นคุณหญิงสร้อย คุณพิกุล และบ่าวไพร่คนอื่นๆบนเรือนนั่งมองผมกันนิ่ง

"ไม่ผิดหรอกครับ...อยู่ๆมาโผล่ห้องเจ้าคุณแบบนั้น เป็นผมก็คิดว่าเป็นขโมย"คำตอบที่ว่าคงทำให้เจ้าคุณจิตราหวนนึกไปถึงวันแรกที่ได้เจอกัน แกเลยขมวดคิ้วเล็กน้อย

"เอาเถอะ...เรื่องมันผ่านมาแล้ว ข้าไม่ถือสาหาความ...แต่ข้ามีเรื่องให้เอ็งช่วย"ลงท้ายประโยคทำเอาผมหนักใจพิลึก...นี่จะให้ผมไปขนไม้ขนฟืนอีกหรือเปล่านะ

"เจ้าคุณไพศาลท่านอยากได้คนช่วยตรวจทานเอกสาร...ท่านว่าหลวงพิสิษฐทำคนเดียวเห็นทีจะไม่ไหว เพราะช่วงนี้งานในกรมมากนัก...เจ้าคุณเองก็ต้องไปมาระหว่างเรือนกับกรม ไม่มีเวลามาช่วยเท่าใด"ผมนั่งนิ่งฟังที่เจ้าคุณว่า...งานใหญ่ขนาดนี้ทำไมมาไว้ใจคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างผมกันเล่า...นี่ไม่คิดว่าผมจะเป็นสายลับจากชาติอื่นปลอมตัวมาสืบราชการลับบ้างรึไง

...ว่าไปนั่นครับไอ้ธีร์...

"วันก่อนข้าเจอหลวงพิสิษฐที่กรม เลยได้ความว่าเอ็งรู้หนังสือ แต่หลวงแกก็ไม่รู้ว่าเอ็งรู้มากน้อยเพียงใด ข้าจึงได้เรียกเอ็งมาถาม"

"ผมขอบคุณที่เจ้าคุณไว้ใจผมนะครับ แต่ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วยิ่งต้องมาทำคนเดียว เกรงว่าจะทำให้เสียงานเปล่าๆ"ผมรีบตอบกลับเจ้าของเรือนที่เพิ่งอธิบายความยาวเหยียด...จริงอยู่ที่ผมรู้ภาษา แต่จะให้รับผิดชอบงานระดับชาติขนาดนี้ ผมไม่กล้าหรอก

"ไม่หรอก...ข้าจักให้เอ็งไปช่วยหลวงพิสิษฐที่เรือน มีอะไรมิเข้าใจก็ถามหลวงแก...แกเป็นคนดีมีน้ำใจ"เหยยย! นี่ผมหูฝาดไปรึเปล่า เจ้าคุณบอกว่าจะให้ผมไปทำงานที่บ้านไอ้คุณหลวงนั่น?

"ที่เรือนคุณหลวง!"ปากที่ไวกว่าความคิดโพล่งออกไปจนทุกคนบนเรือนนิ่งเงียบ...แล้วผมจะตกใจทำไมวะ

"เรือนเจ้าคุณไพศาลน่ะ หลวงแกอยู่ที่นั่น...รุ่งสางเอ็งก็ให้อ้ายมิ่งหรืออ้ายสนมันพายเรือไปส่งเสีย...เสร็จงานแล้วก็ให้ทางนั้นเขามาส่ง...ถือว่าทำเพื่อเมืองสยามของเราเถิด"ประโยคลงท้ายทำเอาผมปฏิเสธไม่ลงเลยจริงๆ...ทำเพื่อประเทศอย่างนั้นหรือ...ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ20ปี ผมเคยทำอะไรเพื่อประเทศชาตินี้บ้างนะ...ผมไม่ต้องเกณฑ์ทหารเพราะตอนม.ปลายเรียน ร.ด....เรียนก็เพิ่งจะปีสองยังไม่รู้ว่าจบมาจะทำงานอะไร ถึงแม้อยากดำเนินรอยตามพ่อก็เถอะ แต่สมัยนี้งานการดีๆมันหากันง่ายเสียที่ไหน...

"ถ้าเจ้าคุณไว้ใจ...ผมก็จะลองครับ"คิดได้ดังนั้นเลยตอบกลับอย่างลังเลเล็กน้อย...แต่จะว่าไปก็ยังดีกว่าต้องมาทำงานใช้แรงงานทั้งวัน...เพราะแค่ผมมาอยู่นี่ได้อาทิตย์กว่าแต่ผมรู้สึกว่ากล้ามแขนกับซิคแพคมันเริ่มมีเค้าลางมาให้เห็นแล้วครับ ถึงผมจะชอบแต่มันก็เหนื่อยเกินไปที่จะทำอะไรแบบนี้ทุกวัน

"เอ้อ แล้วไอ้แชมป์ เอ้ย! ไอ้แช่มละครับ...มันก็รู้หนังสือเหมือนกัน เจ้าคุณมีอะไรจะให้มันช่วยมั้ยครับ"ผมนึกถึงไอ้เพื่อนตัวแสบ...ถึงมันจะเพี้ยนๆ แต่ทักษะด้านภาษามันเป็นเลิศครับ เพราะตอนม.ปลายมันเรียนศิลป์-ฝรั่งเศส พูดได้ทั้งไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส แต่พูดภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง หึหึ...ไม่รู้อะไรดลใจให้มันเอนท์เข้าศิลปกรรม อย่างมันผมว่าไปเรียนอักษรยังจะดีเสียกว่า...แต่มันเคยบอกผมว่าอักษรเขามีแต่ผู้หญิงเรียนกัน

"ข้าว่าจักให้มันมาช่วยงานทางนี้...หลวงวิเศษณ์ที่คอยช่วยงานข้าตอนนี้ลากลับไปหาครอบครัวที่หัวเมือง กว่าจักกลับก็คงเดือนหน้า...ทางนี้ก็มีงานให้ทำมากเหลือ เพื่อนเอ็งคงช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะ...เดี๋ยวเอ็งลงไปก็ตามมันมาพบข้าเสีย"

"แล้วจะให้ผมเริ่มทำวันไหนครับ"

"ถ้าวันพรุ่งเอ็งพร้อมจักไปเลยก็ได้...ข้าจักให้อ้ายสนมันพายเรือไปส่ง...เรือนเจ้าคุณไพศาลอยู่มิไกลนักหรอก"เจ้าคุณสั่งงานเหมือนประกันชั้นหนึ่ง มาเร็ว เคลมเร็ว ตลอด...สั่งผมวันนี้ พรุ่งนี้จะให้ไปเริ่มทำเสียแล้ว...เอาไงก็เอากันครับไอ้ธีร์...ดีกว่าอยู่เฉยๆ...


ผมยกมือไหว้เจ้าคุณกับคุณหญิงสร้อยก่อนจะขอตัวลงมาจากเรือน...เดินมาทางเรือนบ่าวเห็นไอ้แชมป์กับไอ้มิ่งนั่งคุยกันอยู่บนแคร่หน้าเรือนอย่างออกรส


"มึงรู้ป่าว สาวๆแถวบ้านกูนะ สวยอย่างงี้!"ไอ้แชมป์ว่าพลางทำท่าประกอบเป็นรูปทรวดทรงองค์เอวของสาวไทยสมัยผม

"ถ้าหญิงบ้านเอ็งงามอย่างที่ว่า แล้วทำไมเอ็งถึงไม่มีเมียเสียทีวะ"

"หู้ยยยย มึงจะไปรู้อะไร แถวบ้านกูนะ ผู้หญิงเพียบ กูแค่ยืนเฉยๆนะ มองตามกันเป็นเกรียวเลย"แล้วไอ้ที่พูดถึงนั่นมันคนหรือตัวอะไรวะครับ

"เหอะ ข้าไม่เชื่อเอ็งหรอก...น้ำหน้าอย่างเอ็ง...ตัวก็ขาวอย่างกับหยวก จะไปมีปัญญามีเมียหรือวะ ฮ่าๆ"โดนเลยไหมมึง...ผมเห็นหน้าไอ้แชมป์มันเคืองพิกลแล้วก็ได้แต่ยืนขำ...ไอ้นี่มันปรับตัวเร็วเสียจนผมหายห่วง

"เอ้า อ้ายธีร์ คุยกับเจ้าคุณเสร็จแล้วรึ"เป็นไอ้มิ่งที่หันมาเห็นผมเสียก่อน

"เสร็จแล้ว...เจ้าคุณเรียกหามึงอ่ะ"ผมหันไปมองไอ้ตัวดีที่นั่งชันเข่าพลางโยนลูกมะปรางเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ...นี่มึงชักจะกลมกลืนกับสถานที่มากไปแล้ว วันก่อนใครนะที่บ่นอยากกลับบ้านอย่างกับเด็กสามขวบ

"หากู?"มันหันมาชี้ตัวเอง

"เออ...หามึง...ขึ้นไปหาบนเรือนนะมึง อย่าไปหาที่ไหน"ผมแซวมันอีกที ก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาสะกิดผมยิกๆ

"คุณพิกุลอยู่ป่ะวะ"มันกระซิบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน

"อยู่"ผมเห็นหน้ามันมีสีระเรื่อ...ไอ้แชมป์เอ๊ย หน้าขาวๆของมึงไม่ได้เหมาะกับอาการนี้เลยให้ตายสิ

"ไปๆ ทำตัวหล่อๆล่ะ เดี๋ยวพ่อเขาไม่ยกลูกสาวให้ หึหึ"ได้ทีผมเลยแซวไปซักดอก มันหันมายกเท้าจะยันให้แต่ผมเบี่ยงตัวหลบทัน...ผมเห็นมันจัดแจงปัดฝุ่นที่ขากางเกงก่อนจะขอยืมเสื้อไอ้มิ่งมาใส่บ้าง แล้วดูมัน เอามือเสยผมเกรียนๆนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มันเป็นทรงขึ้นมาหรอก...ก็หัวมันเกือบจะสกินเฮดขนาดนั้น



"เอ้อ อ้ายธีร์...เห็นว่าเจ้าคุณจักให้เอ็งสองคนย้ายขึ้นไปอยู่บนเรือนใหญ่"ประโยคบอกเล่าของมิ่งทำเอาผมเบิกตาโพลง

"ทำไมอ่ะ"

"เห็นท่านว่าเอ็งต้องช่วยงานท่าน...ท่านมิให้ถือว่าเอ็งเป็นบ่าว"อันนี้ผมก็พอจะเข้าใจ...แต่...

"จะดีเหรอมิ่ง...เจ้าคุณท่านมีลูกสาว แล้วคุณพิกุลก็อยู่...จะให้ผมกับไอ้แชมป์ขึ้นไปอยู่บนเรือนด้วยเนี่ยนะ"ผมลังเล...ผมรู้ตัวว่าผมกับไอ้แชมป์ไม่คิดอกุศลอะไรอย่างที่ว่าหรอกครับ แต่เกรงใจเจ้าของเรือนเขา

"เห็นคุณหญิงท่านก็ว่า...แต่ที่นี่ก็มีแค่เรือนใหญ่กับเรือนบ่าว ไม่มีเรือนหลังอื่น ถ้าเอ็งมิได้ทำงานเป็นบ่าว เอ็งก็ต้องไปอยู่บนเรือนใหญ่โน่นล่ะ"

"เดี๋ยวผมไปบอกเจ้าคุณเอง ผมอยู่ที่นี่ได้ไม่มีปัญหา...อยู่กับพวกมิ่งกับพี่สนสนุกจะตาย"ผมว่าพลางเดินกลับไปที่เรือนใหญ่อีกครั้ง...เจ้าคุณกำลังสั่งงานไอ้แชมป์อย่างที่เคยสั่งกับผม แต่ผมก็ต้องขัดจังหวะเสียก่อน เพราะเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาจากมิ่ง...ผมพยายามอธิบายให้เจ้าคุณฟังว่าพวกผมไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะอยู่เรือนบ่าวเพราะเกรงใจแกกับคุณหญิง...ลำพังแกกับคุณหญิงผมไม่มีอะไรหรอก แต่เพราะมีคุณพิกุลอยู่ ผมเลยไม่อยากให้ใครเอาไปพูดลับหลังได้ เพราะผมรู้ดีว่าสมัยนี้การจะให้ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมันไม่ใช่เรื่องเหมาะสมเท่าไหร่นัก...แต่เจ้าคุณแกก็ไม่ยอม...แกว่างานที่จะให้ช่วยมีเยอะ บางทีก็ต้องทำจนดึกดื่น จะให้เดินไปกลับเรือนบ่าวก็กลัวพวกผมจะลำบาก...ผมเห็นสีหน้าลำบากใจของคุณหญิงสร้อย...แม้แต่ไอ้แชมป์เองพอมันรู้เรื่องมันก็ดูไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ยังเห็นมันแอบมองคุณพิกุลบ่อยๆ...จนแล้วจนรอดเจ้าคุณแกก็ไม่ยอม...กว่าจะลงเอยกันได้คุณพิกุลก็ต้องเอ่ยปากเองว่าจะไปนอนห้องคุณหญิงตลอดเวลาที่พวกผมอยู่บนเรือน...ทำเอาทุกฝ่ายพอโล่งใจได้บ้าง

"เอาตามที่ว่าก็แล้วกัน...พรุ่งนี้เอ็งก็ให้อ้ายสนมันไปส่งที่เรือนเจ้าคุณไพศาล...ส่วนเอ็งพรุ่งนี้ขึ้นมาหาข้าที่เรือนแต่เช้า"เจ้าคุณสรุปใจความให้ทั้งผมและแชมป์ฟัง ก่อนที่พวกผมจะยกมือไหว้ลาแกแล้วเดินลงจากเรือนมา

"สรุปมึงต้องไปทำงานที่บ้านคุณหลวงเหรอวะ"เป็นไอ้แชมป์ที่ถามผมขึ้นทันทีที่เดินลงจากเรือน...ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ตอบอะไร

"เซ็งว่ะ นึกว่าจะได้อยู่ทำด้วยกัน"ไอ้แชมป์บ่นอุบ...ผมก็เซ็ง...เมื่อคิดว่าต้องตื่นแต่เช้านั่งเรือไป นั่งเรือกลับ...ชีวิตเหมือนพนักงานบริษัทไม่มีผิด

"เอาเหอะ ถือว่าทำเพื่อประเทศ"ไม่รู้ทำไมคำนี้มันช่างยิ่งใหญ่สำหรับผมเสียเหลือเกิน...ถ้าผมจะเป็นส่วนเล็กๆที่่ช่วยให้ประเทศนี้ยังคงอยู่ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้ เรื่องแค่นี้ผมก็ยินดีทำ


...คืนนั้นผมฝัน...แต่ไม่ใช่ฝันแบบเดิม...ผมฝันเห็นอานิดที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของอาต้น ในมือถือที่ทับกระดาษอันเดิมพลางลูบตัวอักษรข้างใต้อย่างเบามือ...ผมเห็นรอยช้ำรอบดวงตาของอานิด และหยาดน้ำตาใสๆที่รื้นขึ้น...อานิดจะรู้ไหมว่าผมหายไปไหน...ผมไม่อยากให้อานิดเป็นห่วงเลย เพราะผมทำให้อานิดเป็นห่วงมามากพอแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา...ผมเห็นอานิดวางที่ทับกระดาษลงพลางฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ตัวแกสั่นเทิ้ม...ผมดูออกว่าแกกำลังร้องไห้...อย่าร้องเลยครับอา...ธีร์สบายดี...อาอย่าเป็นห่วงธีร์เลย...



...วันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้าตามปกติ...แต่ไอ้ที่ไม่ปกติคือคนข้างๆที่ปกติมันต้องนอนน้ำลายยืดฝันหวานรอให้ผมปลุกมันอย่างนุ่มนวลด้วยฝ่าเท้า...แต่วันนี้มันกลับตื่นก่อนผม!...ผมเดินออกมาจากเรือนนอน เห็นมันเพิ่งเดินกลับมาจากท่าน้ำหลังเรือน สงสัยเพิ่งอาบน้ำเสร็จ...หน้าตาสดชื่นแถมเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี

"ม๊อออร์นิ่ง!"แล้วไอ้อาการระริกระรี้นี่มันคืออะไรวะ

"ไม่ค่อยนอกหน้าเลยนะมึง"ผมตอบกลับอย่างรู้ทัน

"อะไรวะ"ไอ้ตัวดียังบ่ายเบี่ยง...ปกติผมไม่เคยเถียงชนะมัน แต่เรื่องนี้ผมมั่นใจว่าผมกินขาด

"พอจะได้ขึ้นไปทำงานเรือนใหญ่ล่ะรีบตื่นแต่เช้าเชียว...แล้วดู ปกติน้ำท่าไม่อาบ วันนี้ล่อซะหอมฉุย ถ้ามีน้ำหอมด้วยคงฉีดซะฟุ้งแล้วม้างงงง"ผมหัวเราะหึหึ มองหน้ามันที่ตอนนี้เหรอหราพิกล

"เอ้า เจ้าคุณอุตส่าห์ไว้ใจให้ทำงานใหญ่ก็ต้องกระตือรือร้นดิวะ ไม่เหมือนมึง ตื่นป่านนี้กว่าจะไปถึงเรือนโน้นไม่สายโด่งเหรอครับ เชี่ยธีร์"ท้ายประโยคหันมาแขวะผมเสียได้

"เขาไม่ได้มีเวลาตอกบัตรนิ่"ผมยิ้มมุมปากให้มันสักที

"หื้มมมม ตั้งแต่มานี่มึงกวนตีนขึ้นเยอะนะ สงสัยกับข้าวป้าน้อยแม่งใส่ยาบ้าแหงๆ"มันว่าพลางหยิบเสื้อยืดสีดำของมันที่ใส่มาขึ้นมาสวม...วันนี้แต่งเต็มยศเลยครับ เสื้อยืดกางเกงยีนส์

"เพ้อเจ้อว่ะ กูไปอาบน้ำละ"พูดพลางหยิบขันกับผ้าขึ้นพาดบ่าเดินไปอาบน้ำบ้าง...ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนช่างแถ หึหึ
.

.

.

.

.
วันนี้พี่สนพายเรือมาส่งผมที่เรือนเจ้าคุณไพศาลที่เจ้าคุณจิตราว่าอยู่ไม่ไกลนักแต่กว่าจะถึงก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง...ผมรู้สึกว่าเวลาที่นี่เดินช้ากว่าปกติ เพราะคนที่นี่ไม่รีบร้อนทำอะไร...ไม่ว่าจะทำกับข้าว เดินทาง หรือแม้แต่การพูดจา ทุกอย่างล้วนเนิบนาบแต่น่ามอง...ไม่เหมือนกรุงเทพสมัยปัจจุบัน ต้องรีบตื่น รีบกิน รีบไปทำงาน แล้วก็ไปติดแหง่กอยู่บนถนน รีบเข้างาน รีบๆๆ ทุกอย่างคือการรีบเร่ง...ผมนึกแล้วก็เหนื่อยแทนคนในโลกของผมเสียจริง...จะดีกว่าไหมนะ ถ้าสามารถหมุนเวลากลับมาเป็นเหมือนโลกที่ผมอยู่ขณะนี้...

เรือนของพระยาไพศาลราชวราการหรือเจ้าคุณไพศาลนั้นต่างจากเรือนของเจ้าคุณจิตรานัก...ด้วยเรือนนี้เป็นเรือนไม้ทรงยุโรป มีสองชั้น ตัวเรือนเป็นสีฟ้าหม่นออกเทา ส่วนหลังคาฉาบสีน้ำเงินเข้ม ไม่เหมือนเรือนเจ้าคุณจิตราที่ยังเป็นเรือนไทยสมัยโบราณ มีชั้นเดียวแต่ใต้ถุนสูง...ผมมองเรือนทั้งสองที่แตกต่าง แต่งามปราณีตไม่แพ้กัน...ถ้าไอ้แชมป์มาเห็นมันคงได้หยิบกระดาษกับดินสอมานั่งวาดภาพเรือนนี้เป็นชั่วโมงแน่ๆ...ผมเดินขึ้นจากท่าน้ำ...บอกลาพี่สนพร้อมขอบคุณที่พายเรือมาส่ง...สักพักก็มีบ่าวผู้หญิงของเจ้าคุณไพศาลเดินออกมารับ

"ผมมาหาเจ้าคุณไพศาลครับ"ผมเห็นบ่าวคนนั้นมองผมแปลกๆ สงสัยไม่เคยเห็นคนแต่งตัวประหลาดแบบผม เพราะวันนี้ผมก็จัดเต็มไม่แพ้ไอ้แชมป์ครับ เสื้อยืดtopmanตัวเดิมกับกางเกงเล่นเซิร์ฟขาสามส่วน แถมหนีบแตะมาอีกต่างหาก...เคยเห็นก็ให้มันรู้ไปสิแม่คุณ

"เจ้าคุณไพศาลเข้ากรมตั้งแต่รุ่งสางแล้วเจ้าค่ะ"อ้าว เจ้าคุณไม่อยู่...แล้วผมจะมาทำอะไรล่ะ

"เอ้อ...แล้วหลวงพิสิษฐล่ะครับ"นึกถึงอีกคนขึ้นมาได้เลยถามออกไป

"คุณหลวงอยู่บนเรือนเจ้าค่ะ...จะให้อิชั้นเรียนว่าใครมาพบหรือเจ้าคะ"มาเสียเป็นทางการเลยแม่คุณ

"ชลนธีร์ครับ"ผมเลยตอบแบบเป็นทางการไปบ้าง...บ่าวผู้หญิงมีสีหน้างงเล็กน้อยกับชื่อจริงของผม แต่ก็พยักหน้ารับและเดินนำผมไปที่เรือน


"คุณหลวงเจ้าคะ...คุณท่านนี้..."นั่นไง ผมว่าแล้วว่าเจ้าหล่อนเรียกชื่อผมไม่ถูกหรอก

"มาแล้วรึ"เสียงนุ่มคุ้นหูเอ่ยขึ้น พร้อมร่างสูงโปร่งของเจ้าตัวที่วันนี้สวมเพียงเสื้อตัวบางสีขาวกับกางเกงแพรผ้ามันวับสีเทา...ผมรองทรงถูกหวีเสยเสียเรียบแปล้...รอยยิ้มหวานบนใบหน้าคมนั้นยังเหมือนเดิมเมื่อวันแรกที่ได้เจอ

"เอ็งไปเอาน้ำเอาท่ามาให้คุณเขาก่อน"หันไปสั่งบ่าวที่นั่งคุกเข่าอยู่ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยับตัวแล้วลุกจากไป

"เจ้าคุณจิตราให้ผมมาช่วยงานคุณหลวงครับ"ผมบอกวัตถุประสงค์ของการมาเยือนให้เจ้าของบ้านทราบขณะกำลังเดินตามหลังคนตัวสูงกว่าเข้ามาในเรือน

"รู้แล้ว..."ตอบเพียงสั้นๆ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม...จะยิ้มทำไมนักหนาวะ

"เมื่อครั้งเข้ากรมคราวก่อนเราได้แจ้งเจ้าคุณจิตราเรื่องที่พ่อรู้หนังสือ...เจ้าคุณไพศาลท่านเลยขอตัวพ่อมาช่วยงานทางนี้...นึกว่าจักไม่มาเสียแล้ว"ผมรู้สึกว่าบทสนทนาวันนี้มันแปลกพิกล

"เจ้าคุณจิตราขอร้องให้ผมมาช่วย ผมก็เลยมา แต่ผมไม่เคยทำงานพวกนี้มาก่อน ถ้ามีอะไรต้องแก้ไขก็บอกด้วยนะครับ"ผมตอบกลับอย่างสุภาพ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างโซฟาในห้องรับแขกของเรือนด้วยความเคยชิน...ปกติอยู่เรือนเจ้าคุณผมนั่งพื้นตลอดครับ...แต่ดูท่าทางเจ้าของบ้านที่นั่งลงบนโซฟาเมื่อครู่จะประหลาดใจพิลึกที่เห็นผมนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้น

"นั่งข้างบนเถิด...พ่อมิได้มาบ้านนี้ในฐานะบ่าว หากเป็นผู้ช่วยเราต่างหาก"ผมว่าบทสนทนากับท่าทีที่แปลกไปของคนตรงหน้า คงเป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง...ผมยันตัวขึ้นแล้วนั่งปุลงบนโซฟาอีกฝั่ง พอดีกับที่บ่าวผู้หญิงคนเดิมยกถาดที่มีแก้วน้ำสองใบเข้ามา ก่อนจะวางตรงหน้าผมหนึ่งใบ และเจ้าของบ้านอีกหนึ่งใบ

"มาเหนื่อยๆ ดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อน"ถ้าบอกว่าไม่เหนื่อยเลยจะเชื่อไหมนะ ก็ระหว่างทางที่มาผมมัวแต่กินลมชมธรรมชาติตามทาง รู้ตัวอีกทีก็มาถึงท่าน้ำบ้านนี้เสียแล้ว

"ขอบคุณครับ"แต่เพื่อไม่ให้เสียมารยาท จิบสักหน่อยก็ได้วะ...ผมรู้สึกอึดอัดชอบกลกับบทสนทนาอันเป็นทางการนี้...ให้คุยกันอย่างที่เจอกันครั้งแรกยังจะดีเสียกว่า

"ขอบใจพ่อมากที่ยอมมาช่วย"ก็ยังเป็นทางการไม่เลิก

"ผมมาตามคำสั่ง เจ้าคุณจิตรามีบุญคุณกับผม อย่างที่คุณเคยว่าไว้ ท่านอยากให้ผมมาช่วย ผมก็ต้องมาครับ"เมื่อเป็นทางการมา...ผมก็เป็นทางการกลับ



"ขอบใจมากนะ......พ่อธีร์......"ห้ะ!! เมื่อกี้เขาเรียกผมว่าอะไรนะ!!



ผมหันไปมองคนตรงข้าม...รอยยิ้มบางยังปรากฎบนใบหน้าคมเข้มนั้นเช่นเคย

"เรียกผมเหมือนเดิมก็ได้นะครับ...มันไม่ชิน"เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก...เขิน...ผู้ชายด้วยกันเอง...แล้วผมจะเขินทำไม ในเมื่อเขาก็แค่...เรียกชื่อผม...อย่างที่ผมได้ยินในฝันมาตลอด...เท่านั้นเอง!

"เรียกอย่างไร...เราเคยเรียกชื่อพ่อรึ"นึกขึ้นได้...เขาก็ไม่เคยเรียกชื่อผมสักครั้งเลยนี่...คราวที่แล้วก็มีแค่ เอ็ง กับ ข้า...แล้วถ้าจะขอให้กลับไปเรียกแบบนั้นจะทันไหมครับ

"เราเรียกพ่อเหมือนเดิมมิได้หรอก...ตอนนั้นเรานึกว่าพ่อเป็นบ่าว แต่ครานี้มิใช่"ตอบเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

"ตอนนี้ผมก็ยังเป็นบ่าว...ยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ไม่มี คุณหลวงไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้"วูบหนึ่งผมเห็นคนตรงหน้ากลั้นหัวเราะ...อีกแล้ว...มีอะไรน่าขำนักหนา

"แม้ไม่มีบรรดาศักดิ์ หากมีใจรักในชาติบ้านเมือง ก็ถือว่าน่ายกย่องแล้ว"คำพูดที่ทำให้หัวใจผมพองโต...เขาช่างเข้าใจพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน...สมแล้วที่เรียนทางด้านนี้มา

"แล้ว...ผมต้องทำอะไรบ้าง"เกริ่นกันมาพอสมควร ได้เวลาทำงานกันเสียทีดีไหมครับ

"เราคัดลอกเอกสารบางส่วนของทางกรม...บางฉบับเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องนำมาแปล...พ่อธีร์ช่วยตรวจทานว่าถูกต้องไหมก็พอแล้ว"พูดพลางเดินนำไปยังห้องทำงานที่อยู่สุดโถงทางเดิน...ในห้องมีชั้นหนังสือเรียงรายตามผนัง ตรงมุมห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือและแผ่นเอกสารมากมาย...

เจ้าของห้องสาวเท้าไปถึงโต๊ะทำงาน จัดแจงเอกสารทั้งหมดให้รวมเป็นกองเดียว ก่อนจะหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วจัดการคัดลอกลงบนกระดาษอีกแผ่นด้วยปากกาขนนก...ถ้าเป็นสมัยผมจับเข้าเครื่องถ่ายเอกสารแป๊บเดียวก็เสร็จ...ผมเดินตามไปจนถึงโต๊ะทำงาน หยิบเอกสารบางฉบับขึ้นมาดู...พวกนี้เป็นเอกสารทางการทูต ส่วนใหญ่จะเป็นของสยามกับอังกฤษ...มีสนธิสัญญาที่สยามเคยทำกับอังกฤษ และยังข้อพิพาททางกฎหมายอีกหลายฉบับ...ผมยอมรับว่านี่เป็นงานยากสำหรับผมทีเดียว เพราะถึงผมจะเรียนรัฐศาสตร์ แต่ก็เพิ่งขึ้นปีสองได้ไม่นาน...ยังเรียนแค่พื้นฐาน...สำหรับใครที่คิดจะเรียนจนแตกฉานก็ต้องต่อยาวไปถึงปริญญาโทหรือเอกนู่น ซึ่งผมยังไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น...ผมเหลือบมองคนตรงหน้าที่กำลังตั้งอกตั้งใจคัดลอกเอกสารอีกฉบับด้วยปากกาขนนก...ลายมือของเขาช่างปราณีตราวกับพิมพ์ออกมาจากเครื่องพิมพ์ ตัวอักษรแต่ละตัวค่อยๆถูกบรรจงเขียนอย่างไม่รีบร้อน...

ออฟไลน์ Novemberist

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0

"เอกสารบางฉบับมีศัพท์เฉพาะทาง บางคำเรามิรู้ความหมาย พ่อธีร์ช่วยดูหน่อยเถิด"คนตัวสูงว่าพลางยื่นเอกสารในมือมาให้ผม...มันเป็นภาษาอังกฤษ ข้อความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสยามกับอังกฤษ...

"อันนี้แปลว่า อนุสัญญาลับระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักร"ผมแปลออกเพราะมันอยู่ในบทเรียนพื้นฐานของปีหนึ่งที่ได้เรียนมา...แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจข้อความที่มันเป็นของรัฐศาสตร์เบื้องต้นล่ะ

"คุณหลวง"ผมเรียกชื่อคนตัวสูงที่ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าขึ้นมามอง

"คุณหลวงไม่ได้เรียนด้านการต่างประเทศเหรอ"ผมถามด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย...จริงอยู่ศัพท์บางคำเป็นศัพท์เฉพาะทาง แต่ถ้าคำพื้นฐานทั่วไปที่แม้แต่เด็กปีสองอย่างผมยังรู้...เขาที่เรียนด้านนี้มาก็ควรจะรู้ด้วยสิ


"ไม่ได้เรียน"คำตอบที่ทำเอาผมแทบอ้าปากค้าง...ไม่ได้เรียน...แล้วมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ

"เราเรียนด้านการศึกษาและวัฒนธรรม...เอกสารนี่เราเพียงช่วยเจ้าคุณไพศาลแปลเท่านั้น...เจ้าคุณท่านงานหนักนัก ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างกรม ท่านเลยขอให้เรามาช่วย เราอ่านหนังสือมาบ้างเพราะสนใจด้านนี้อยู่เหมือนกัน เจ้าคุณไพศาลเองก็ช่วยสอนเราได้มาก"

"สรุปว่าเป็นครู...ว่างั้น?"ผมเลิ่กคิ้วถาม

"ว่างั้น? คือว่าอย่างไรรึ"ทำมาเป็นเลียนเสียงอีกต่างหาก

"เปล่าไม่มีอะไร...ถ้างั้นมีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน"ไม่รู้ทำไมที่ผมนึกขอบคุณตัวเองอยู่ในใจที่เลือกเรียนเอกนี้...อย่างกับรู้ว่าจะต้องได้ใช้มันก่อนเวลาอันควร

"พ่อธีร์"เสียงนุ่มเรียกผมอีกครั้ง...ผมหันไปมองคนที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะหนังสือ

"ขอบใจมากนะ"รอยยิ้มหวานโปรยบนใบหน้าคมเข้ม ก่อนจะก้มลงคัดลอกเอกสารต่อ

"อ่ะ..."แล้วผมจะตอบอะไรได้นอกจากหยิบกระดาษแผ่นนั้นทีแผ่นนี้มานั่งดูสลับกันไปมา แต่ก็ยังหันไปมองคนตัวสูงกว่าเป็นระยะ
พวกผมใช้เวลาอยู่ในห้องทำงานเพื่อคัดลอกเอกสารตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่าย...ผมไล่อ่านสนธิสัญญาบางฉบับที่อังกฤษเคยทำไว้กับสยามแล้วก็นึกหดหู่ใจ...ประเทศเล็กๆอย่างประเทศไทย ก็ยังไม่พ้นที่จะถูกรุกรานจากชาติตะวันตกเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ...การล่าอาณานิคมเพียงเพื่อประกาศศักดาและความยิ่งใหญ่ของชาติตนเอง นำมาซึ่งการเลือนหายไปของวัฒนธรรมและค่านิยมของประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม...ซึ่งโลกของผมในปัจจุบันนั้นมันไม่ได้มีผลกระทบสักเท่าไหร่ เพราะทุกวันนี้เราก็เหมือนถูกกลืนหายไปกับวัฒนธรรมของชาติอื่นๆจนหมดแล้ว...คงเหลือแต่ภาษาไทยที่ยังคงสืบต่อมาถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน...หากแต่ในโลกนี้ที่ผมอยู่...บรรพบุรุษของเรากลับทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันการกลืนกินทางวัฒนธรรมนั้น...ประเทศไทยถึงขั้นยอมเสียดินแดนเพื่อรักษาเอกราชไว้ ถึงแม้ผืนดินที่มีอยู่จะลดน้อยลงกว่าเดิมก็ตาม...จะดีแค่ไหนถ้าลูกหลานของพวกท่านในสมัยของผม จะเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมและสิ่งต่างๆที่สืบทอดกันแม่แต่อดีตกาล...



"หิวไหม"คนตัวสูงหันมาถามผมที่ยังยืนพิงโต๊ะหนังสือ ในมือยังมีเอกสารบางฉบับที่พยายามทำความเข้าใจ

"คุณหลวงหิวแล้วเหรอ"ผมถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้า

"เราถาม...มิใช่ให้ถามกลับ"เท่านั้นแหละ ถึงจะเลิกสนใจสิ่งที่ถืออยู่ในมือได้

"ก็หิว"

"งั้นไปกินเสียก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาทำต่อ"ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
.
.
.
.
.
"แม่ชื่นเตรียมสำรับไว้แล้ว"เจ้าของบ้านที่เดินนำผมมาจนถึงอีกห้องหนึ่ง...ตรงกลางห้องมีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้วางเรียงราย...บนโต๊ะมีสำรับกับข้าวที่แม่ครัวคงเตรียมเอาไว้ให้...

"เจ้าคุณไพศาลท่านคงชอบเรือนสไตล์ยุโรปนะครับ"ผมถามขึ้นเพราะสังเกตจากบรรดาห้องต่างๆบนเรือนนี้ล้วนตกแต่งตามสไตล์ยุโรปทั้งสิ้น

"เรือนนี้เพิ่งสร้างเสร็จ...ท่านว่าอยากได้ทรงฝรั่งเพราะท่านมีอีกเรือนอยู่ฝั่งพระโขนงเป็นเรือนไทยเหมือนเรือนเจ้าคุณจิตรานั่นแหละ"แต่ผมว่าตอนนี้พักเรื่องเรือนไทยไว้ก่อนดีกว่าเมื่ออาหารตรงหน้าช่างยั่วน้ำลายและน้ำย่อยในกระเพาะของผมเสียเหลือเกิน

"แกงส้มดอกแค ของถนัดแม่ชื่นเขาล่ะ"เจ้าของบ้านตักแกงส้มใส่จานให้ผม...อีกอย่างที่ต่างจากเรือนเจ้าคุณจิตราคือที่นี่เวลาทานข้าวเขาใช้ช้อนได้ แต่เวลาผมอยู่ที่เรือนเจ้าคุณส่วนใหญ่ก็ยกมือเปิบกันเสียเละเทะล่ะครับ

"ถูกปากพ่อหรือไม่"ผมพยักหน้าตอบ...ไม่ได้ทานแกงส้มรสจัดแบบนี้มานานแล้ว ปกติถ้าซื้อตามร้านข้าวแกงก็จะได้แกงส้มน้ำใสแจ๋วรสชาติเฝื่อนๆมาแทน

"ดีแล้ว กินให้มาก ตัวสูงเสียเปล่าแต่ผอมบางนัก"รู้สึกเหมือนกำลังโดนด่า...จะว่าไปผมก็ไม่ได้ผอมนะครับ ยิ่งตอนอยู่เรือนเจ้าคุณแล้วต้องทำงานเยี่ยงทาส ผมว่าตัวผมหนาขึ้นพอสมควรเลย แม้มันจะแค่อาทิตย์เดียวก็เถอะ...แต่ถ้าเทียบกับคุณหลวง ผมก็ผอมกว่าจริงๆล่ะ...แล้วยังความสูงที่ผมคิดว่า177ของผมนี่มันก็สูงแล้ว แต่พอมายืนกับคนตรงหน้าผมดันต้องหน้าเงยหน้าคุยกับเขาเสียนี่...หลวงพิสิษฐไม่ได้มีร่างกายกำยำเหมือนมิ่งหรือพี่สนที่ต้องใช้แรงงานทุกวัน แต่เขาก็ดูสูงโปร่งสมส่วนตามแบบคนไทยแท้ๆ


"คุณหลวงอยู่บ้านนี้กับเจ้าคุณไพศาลสองคนเหรอครับ"ผมมองรอบห้องอีกครั้ง...เรือนของเจ้าคุณไพศาลกว้างขวางนัก แต่เท่าที่ผมได้ยินมาท่านกลับอยู่กันแค่สองคนกับคุณหลวง

"ใช่...แต่ก็ยังมีบ่าวไพร่ของเจ้าคุณอีก"เจ้าตัวเพียงแค่ตอบกลับเสียงเรียบ

"แล้วคุณหลวงไม่มีพี่น้องเหรอ"

"ไม่มีหรอก"

"แล้วคุณหญิงของเจ้าคุณไพศาลล่ะ"

"ท่านเสียไปเมื่อสองปีก่อน"

"เหงาแย่อยู่กับพ่อแค่สองคน"ผมบ่นอุบ เข้าใจดีว่าการสูญเสียเป็นอย่างไร

"ว่ากระไรนะ"คนตัวสูงหันมาถาม สีหน้าแปลกใจ

"ผมบอกว่าเหงาแย่เลย ต้องอยู่กับพ่อแค่สองคน"ก็ว่าพูดเสียงดังแล้วนะ ไม่ได้ยินรึไง...แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นเสียงหัวเราะเบาๆของอีกฝ่ายแทน

"พ่อธีร์นี่...เห็นทีจักชอบคิดไปเอง"เอ้า อยู่ดีๆโดนด่าเสียงั้น...ผมขมวดคิ้วมองหน้าคนตัวสูงที่ยังนั่งอมยิ้มอยู่

"เวลาสงสัยอะไร ให้ถาม มิใช่สรุปเอาเอง เข้าใจไหม"เป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อย

"เจ้าคุณไพศาลไม่ใช่พ่อเรา...ท่านรับเรามาเลี้ยงตั้งแต่เด็กเพราะพ่อกับแม่เราเสียไปตั้งแต่เรายังจำความไม่ได้...แต่ท่านก็เอ็นดูเราเหมือนลูกหลานคนหนึ่งอย่างที่พ่อธีร์ว่า"ผมเงียบสนิทกับคำตอบที่ได้รับ...อย่างน้อยผมที่เสียครอบครัวไปตอนอายุ14 ยังมีความทรงจำและความประทับใจของพ่อกับแม่ให้คิดถึงอยู่บ้าง...แต่กับเขาคนนี้...ไม่มีเลย...


"พ่อธีร์...เป็นอะไรหรือเปล่า"มือที่เอื้อมมาแตะแขนเบาๆทำให้ผมหลุดจากภวังค์...ผมส่ายหน้าตอบทันที

"เปล่าครับ...คือ...ผมขอโทษ"อีกฝ่ายขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

"ก็...เรื่องพ่อแม่คุณหลวง"

"ปัดโธ่ นึกว่าเรื่องอะไร...เราไม่คิดอะไรหรอก เรื่องมันผ่านมานานจนเราเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว"ใบหน้าคมเข้มเจือรอยยิ้มบางๆเช่นเคย มือข้างเดิมยังคงแตะอยู่ที่แขนของผม

"ไม่คิดแล้วนะพ่อ กินข้าวต่อเถิดเดี๋ยวเย็นเสียหมด"พูดพลางตักน้ำพริกในถ้วยให้ผมอีก...แล้วเราก็นั่งทานมื้อกลางวันกันอย่างเงียบๆแบบนั้น...
.

.

.

ช่วงบ่ายพวกผมยังคงหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน...เอกสารมากมายก่ายกองนี่ถึงจะพยายามเรียบเรียงนานเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ดูน้อยลงสักที...ผมนั่งอ่านทั้งเอกสารจากกรมและหนังสือต่างๆที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยนั้น...ได้รับความรู้ใหม่ๆที่ยังไม่ได้เรียนมาก่อน...แถมยังได้คนข้างๆที่ปากบอกว่าไม่ค่อยจะรู้เรื่องทางการปกครอง แต่พอถามอะไรกลับตอบได้เกือบหมดเสียนี่ จะมีก็แต่ศัพท์เฉพาะทางภาษาอังกฤษบางคำที่ยังต้องถามผม ส่วนความรู้ด้านอื่นๆไม่ต้องพูดถึงครับ ยิ่งรายละเอียดในเอกสารหรือหนังสือ แกตอบผมได้เป็นฉากๆ

"แน่ใจเหรอครับว่าไม่ได้เรียนด้านนี้"ผมเลิ่กคิ้วถาม หลังฟังคนตรงหน้าอธิบายเรื่องสนธิสัญญาเบาริ่งที่ถูกทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่4อย่างละเอียดยิบ

"ไม่ได้เรียน"ตอบกลับเพียงสั้นๆแค่นั้น

"แล้วทำไมรู้เรื่องเยอะ"ผมยังถามต่อ...คนตัวสูงที่ยังนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมามอง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าเช่นเคย

"พ่อรู้ไหมว่าหนังสือน่ะ ถ้าวางไว้เฉยๆเราก็จักมิได้ความรู้จากมัน...ถ้าอยากได้ความรู้จากมันเราก็ต้องหยิบมันขึ้นมาอ่าน"นอกจากความรู้แน่นแล้ว ยังเจ้าสำบัดสำนวนอีกต่างหาก...แค่บอกว่าอ่านหนังสือมาเยอะก็เข้าใจแล้ว

"เราสนใจด้านนี้ตั้งแต่เล็ก แต่เจ้าคุณท่านว่าอยากรู้อะไรก็จะสอนให้ ท่านอยากให้เราเรียนด้านการศึกษา ท่านว่าเอาไว้สอนลูกหลานให้มีวิชาติดตัว เติบใหญ่ไปจะได้มิลำบากเหมือนคนรุ่นก่อน ส่วนเรื่องการบ้านการเมือง ท่านก็สอนให้ เราถึงได้พอมีความรู้ทางนี้บ้าง"

"ผมนึกว่าคุณหลวงทำงานอยู่กรมเดียวกับเจ้าคุณทั้งสองซะอีก"ผมว่าพลางนึกถึงตอนที่เจ้าคุณจิตราบอกว่าเจอหลวงพิสิษฐที่กรม

"มิใช่หรอก แต่ช่วงนี้เจ้าคุณไพศาลท่านขอตัวเราจากกรมให้ไปช่วยงานบ้าง"ตอบเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

"อยากรู้อะไรอีกไหม"ผมมองอีกฝ่ายที่นั่งจ้องหน้าผมนิ่ง...ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าตอบรัวๆ

"จะได้ทำงานต่อเสียที"สรุปจะหาว่าผมทำให้เสียเวลาทำงานใช่ไหมครับ!

"ขอโทษที่รบกวนขอรับ"ได้ทีเลยกวนประสาทกลับบ้าง...ผมแอบเห็นคนตรงหน้ากลั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"พ่อนี่แปลกนัก...เอาไว้ทำงานเสร็จเล่าให้เราฟังหน่อยเถิดว่าพ่อมาจากที่ใด ถ้อยวาจาแลการแต่งตัวถึงได้ดูมิเหมือนชาวพระนครเอาเสียเลย"กำลังหาว่าผมเป็นของแปลกอยู่สินะ

"ถ้าอยากรู้ก็ทำงานก่อนเถิดพ่อ เดี๋ยวกระผมจะแถลงให้ฟัง"ผมแกล้งเลียนสำเนียงโบราณของอีกฝ่าย จนอีกฝ่ายหลุดขำออกมาเบาๆ



การได้นั่งทำงานกับหลวงพิสิษฐทั้งวันทำให้ผมค้นพบว่า นอกจากความรู้ที่ได้เรียนมาบวกกับความสนใจด้านการปกครองที่เจ้าคุณไพศาลสั่งสอนเพิ่มเติม คุณหลวงยังมีความรู้รอบตัวด้านอื่นอีกมาก...เขาเล่าว่าได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปีเลยมีทักษะด้านการใช้ภาษา ทำให้เจ้าคุณไพศาลไว้ใจให้เป็นคนสนิท เวลามีงานเลี้ยงกับแขกเหรื่อต่างชาติก็มักจะพาหลวงพิสิษฐไปด้วยเสมอ เหตุเพราะคุณหลวงแกเข้ากับคนได้ง่าย แถมยังมีเรื่องให้คุยกันไม่รู้จบ...



ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมากแล้ว...แต่พวกผมก็ยังขลุกอยู่ในห้องทำงานห้องเดิม...คนตัวสูงที่นั่งคัดลอกเอกสารมาหลายชั่วโมงเหยียดแขนขึ้นบิดไล่ความเมื่อยล้าบ้าง ส่วนผมตอนนี้ลงมานั่งชันเข่าหลังพิงโต๊ะอยู่ข้างๆ พลางหยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน...จะมีแค่เวลาที่คนบนโต๊ะคัดลอกเอกสารเสร็จก็จะยื่นมาให้ผมช่วยตรวจทานทีละแผ่นสองแผ่น...จริงๆถ้าลายมือผมสวยกว่านี้ผมคงอาสาช่วยแกเขียนไปแล้วล่ะ

"คุณหลวงเจ้าคะ...พวกเด็กๆมารอกันที่ท่าน้ำแล้วเจ้าค่ะ"เสียงบ่าวผู้หญิงคนเดียวกับที่มารับผมที่ท่าน้ำดังขึ้นตรงหน้าประตู...ผมละสายตาจากหนังสือตรงหน้าแล้วหันไปมองเจ้าของชื่อเล็กน้อย

"วันนี้พอก่อนเถิด...วันพรุ่งค่อยมาทำต่อ"เจ้าตัวว่าพลางวางปากกาขนนกลงที่ข้างขวดหมึก...ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินตามเจ้าของบ้านออกมาด้านนอก...เพิ่งสังเกตว่าเย็นมากแล้วเพราะตอนนี้แสงอาทิตย์สีส้มสาดแสงส่องกระทบกับแม่น้ำตรงหน้าจนกลายเป็นสีทองไปทั่ว

"คุณหลวงแก้ว...คุณหลวงแก้ว"เสียงเจื้อยแจ้วจากเด็กกลุ่มย่อมๆที่ยืนโบกไม้โบกมือมาทางหน้าเรือนเรียกให้เจ้าของชื่อรีบเดินออกไปหาทันที

"มากันแล้วรึ...วันนี้อยากเรียนเรื่องอะไรเล่า"พูดพลางอุ้มเด็กผู้หญิงตัวเล็กสุดในกลุ่มขึ้นมา...ผมมองรอยยิ้มหวานนั้นที่ถูกล้อมรอบด้วยเด็กเล็กๆสี่ห้าคนแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้...แสงยามเย็นที่ส่องกระทบแม่น้ำเจ้าพระยาตรงหน้านั้น ยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าสวยงามขึ้นไปอีก

"อยากเรียนภาษาไทยเจ้าค่ะ"เสียงเด็กตัวเล็กเกล้าผมมวยสูงที่ถูกอุ้มอยู่เจื้อยแจ้วตอบ พร้อมกับลูกคู่อีกสามสี่คนที่ยกไม้ยกมือสนับสนุนพลางส่งเสียงดัง

"ภาษาไทยหรือ...เอ้า ภาษาไทยก็ภาษาไทย"คุณหลวงหนุ่มเอ่ยตอบพลางเดินนำเด็กๆไปที่ท่าน้ำ ก่อนจะหันกลับมามองผมที่เพิ่งเดินตามออกมา

"กลับเลยหรือไม่พ่อ...เราจักให้บ่าวพายเรือไปส่ง"ใจจริงก็อยากอยู่ต่อเพราะสนใจกับสิ่งตรงหน้า แต่เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วกลัวจะมืดเสียก่อนเลยต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้



"ขอบคุณพ่อธีร์มากที่มาช่วยเราวันนี้"ไม่รู้ว่าผมได้ยินคำขอบคุณเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ขณะที่ผมกำลังก้าวลงเรือที่มีบ่าวผู้ชายนั่งคอยอยู่...ผมแค่พยักหน้ารับเบาๆก่อนจะลงไปนั่งอยู่บนเรือ มองขึ้นไปที่ท่าน้ำ...คนตัวสูงยังคงยืนรอส่ง ด้านหลังเป็นเด็กตัวเล็กๆสี่ห้าคนที่นั่งขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดานชนวน

"ผมไปล่ะ พรุ่งนี้จะมาใหม่ครับ"กล่าวลาเจ้าของบ้านแต่ยังไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ตามมารยาทคนไทย ก่อนที่เรือจะค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่า หันกลับไปมองก็ยังเห็นหลวงพิสิษฐยืนมองส่งอยู่ที่ท่าน้ำ ก่อนจะหันกลับไปสนใจกลุ่มเด็กๆตามเดิม

...............................................................................

ยาวหน่อยนะเจ้าคะตอนนี้...บ่าวก็แต่งไปยิ้มไป  :heaven
เอาคุณหลวงกับพ่อธีร์มาเสิร์ฟเบาๆก่อน...ช่วงนี้ยังว่างมีแรงแต่งจะรีบปั่นนะเจ้าคะ

กราบแทบอกผู้ติดตามทุกท่านค่ะ  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ►MoNkEy-PrInCe◄

  • อินเตอร์ไลน์
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 728
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
แปะๆๆ น่าติดตามมากกก ชอบเลย

 :L2:    :L2:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ชอบแนวนี้ TT โครต >< ติดตามนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด