ตอนที่ 18เจินฝูหรง “ฮึๆ เสน่ห์แรงนะนายน่ะ” ผมเหลือบตามองคนพูดนิด พลางกระตุกข้อมือคืน แถมด้วยการลงเล็บเข้าที่หลังมือ แต่ไอ้ลูกครึ่งหน้าคมก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยข้อมือกันง่ายๆ จนผมเริ่มทำอะไรไม่ถูก เมื่อสายตาเกือบสิบคู่หันมาให้ความสนใจเรา ไม่เฉพาะคนที่พอลหยอกเย้าด้วยอย่างนายน้อยหลี่ผิง
นาทีนี้ผมจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาเหล่านั้น ด้วยรู้สึกว่าแก้มร้อนฉ่า และได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะฮึฮะเบาๆจากนายน้อย ผมจึงยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง จนพอลแตะมือเข้าที่หลังเอวส่งสัญญาณให้ผมขยับตัว เพื่อนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่ว่าง ขณะเดียวกันนั้นผมต้องหันไปรับแก้วเครื่องดื่มจากพี่อู๋ ที่นำมาเสิร์ฟให้ผมกับพอล ผมถึงมีโอกาสถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครส่งสายตาล้อเลียนให้อีกแล้ว
การกระทำของผมไม่รอดพ้นสายตาของไอ้ลูกครึ่งจอมหื่น คนที่เพิ่งจับผมฟัดในห้องน้ำมาหมาดๆ ด้วยพอลส่งสายตารู้เท่าทันมาให้ แรกที่เห็นผมชะงักนิดหน่อยกับแววตากรุ้มกริ่มคู่นั้น ก่อนจะรีบปรับตัวด้วยการยู่หน้าและถลึงตาปราม แต่ผมกลับจ้องตาแพรวพราวอยู่ได้ไม่นาน ต้องเสก้มจิบเครื่องดื่มในมือ ยามภาพความทรงจำในห้องน้ำเมื่อสิบนาทีก่อน ลอยเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ
ผมขอสารภาพเลยว่านาทีนั้น อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลใดๆ แม้จะกังวลกลัวใครมารับรู้พฤติกรรมที่แสนน่าอายของเราแค่ไหนก็ตาม แต่ไอ้ลูกครึ่งจอมหื่นก็ทำเอาผมเคลิ้มยอมตามใจจนสุดทางอยู่ดี ยามที่ผมมีสติและสามัญสำนึกเต็มร้อยเช่นนี้ ผมจึงเฝ้าตำหนิตัวเองไม่ได้ ที่ดันยอมตามใจคนรักในที่สาธารณะเช่นนั้น ขืนมีใครมารับรู้เข้า ผมก็ไม่รู้ว่าจะแบกหน้าออกไปพบเจอใครได้อีก
“ที่กงอินจัดการเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ตกลงใครเป็นตัวการ” ผมหูผึ่งทันทีกับประโยคคำถามของคุณโจเซฟ
คำถามนี้ถูกส่งให้นายน้อยหลี่ผิงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม บวกปฏิกิริยาของพอลและคุณไรอันที่ตีสีหน้าจริงจังไม่ต่างกันเข้าไปอีก ทำเอาผมที่กำลังจิบน้ำส้มในมือต้องเกร็งตัวตาม และพอเดาได้ว่าคงเกิดเรื่องไม่ดีนักกับโรงแรมในกงอินที่สร้างใกล้เสร็จแล้วอย่างแน่นอน แต่จะเป็นเพราะใครนั้นผมก็สุดรู้
ผมจึงพลอยกังวลไปด้วยไม่ได้ เพราะโรงแรมในกงอินนั้นใกล้เสร็จเต็มที สำคัญที่นายน้อยตั้งใจเตรียมห้องหนึ่งในนั้น มอบให้คนรักอย่างคุณธันว์ด้วย ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าหากโรงแรมในกงอินเสียหายหนัก จนต้องเลื่อนงานเปิดตัวออกไป ไอ้คนที่เป็นตัวการจะโดนอะไรบ้าง ด้วยพอเดาได้จากสายตาดุดันของนายน้อยในยามนี้
นายน้อยเองมีเหลือบตาไปมองคุณธันว์นิด เมื่อเห็นว่าคุณธันว์กำลังคุยอย่างออกรสกับคุณหนูเหมยอิงและเพื่อนอย่างคุณเบสแล้ว จึงรีบเล่าแบบรวบรัด ก่อนตัดจบด้วยการหันมาถลึงตาใส่พอลที่เตรียมซอกแซกถามลงในรายละเอียด ทำเอาผมถึงกับกลั้นขำในท่าทางชะงักค้าง มีเผยอปากเตรียมส่งคำถามออกมานั่นของพอล แม้ผมจะยังตกใจกับข่าวคราวที่เพิ่งได้รู้ ว่าโรงแรมในกงอินถูกลอบวางเพลิงก็ตาม ภาพตรงหน้าเรียกว่าหมดมาดเจ้าพ่อรุ่นใหม่ไฟแรงแห่งวงการอสังหาฯไปเลยทีเดียว
พอลเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจในเจตนาของเพื่อนสนิทที่ไม่อยากให้คนรักไม่สบายใจ ยอมปิดปากไม่ถามต่อความ แต่ไอ้ลูกครึ่งจอมหื่นดันแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม ยามหันมาเห็นว่าผมอมยิ้มเหลือบตามองกิริยาเจ้าตัวผ่านปากแก้ว แต่แล้วผมก็ต้องเป็นฝ่ายไม่สบอารมณ์ เมื่อได้ยินประโยคหยอกเย้ากระซิบชิดใบหู และทำผมลืมนึกถึงกิริยาใกล้ชิดเกินจำเป็นของเราไปเสียสนิท
“อย่าบอกรักพอลผ่านสายตาแบบนั้นสิครับกระต่ายน้อย” คนอะไรขี้ตู่เข้าข้างตัวเองเป็นที่สุด
ผมได้แต่ฮึดฮัดเข้าใส่เจ้าของใบหน้าคมเข้มที่กำลังระบายยิ้ม แต่ยิ่งผมทำท่าไม่พอใจมากเท่าไหร่ รอยยิ้มที่จุดอยู่ตรงมุมปากกลับขยายกว้างมากขึ้นเท่านั้น จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาคู่แพรวพราว และได้แต่ก้มหน้าหลบตาทั้งๆที่แก้มร้อนฉ่า บวกเข้ากับยามหันมาเห็นสายตาหยอกเย้าอีกสามคู่ของบรรดาเพื่อนสนิทของพอลเข้า ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าผมกับพอลถูกจับตามองจากพวกเขา ตั้งแต่เราเริ่มสร้างโลกส่วนตัวแบบไม่รู้ตัวเข้าแล้วล่ะ
“ฮึๆ เห็นมั้ย เชื่อพอลรึยังกระต่ายน้อยว่าไม่มีเพื่อนคนไหนของพอลจะรังเกียจฝูหรง ออกจะเอ็นดูกระต่ายน้อยของพอล มากจนเกินพอดีไปด้วยซ้ำ” ผมได้แต่ยิ่งกดคางลงที่อก ยามได้ยินประโยคดังกล่าวของพอล
ทุกคนสนุกไปกับงานอย่างเต็มที่จนเกือบค่อนคืน ผมก็ได้ระบายยิ้มเต็มหน้าเป็นครั้งแรกของคืน เพราะรู้สึกชื่นชมและยินดี ไปกับภาพแห่งความประทับใจของเพื่อนสนิททั้งสาม ที่ประกอบไปด้วยเจ้าของวันเกิดอย่างคุณนลิน คุณธันว์และคุณนนช่วยกันเป่าเค้กก้อนเดียวกัน ท่ามกลางเสียงเพลงอวยพรวันเกิดโดยมีนักร้องวง Chic ทั้งสามเป็นต้นเสียง
แม้ผมจะซาบซึ้งและเต็มตื้นไปกับสายสัมพันธ์ของเพื่อนแท้ทั้งสาม แต่อดไม่ได้ที่จะสะท้อนใจไปกับชีวิตตัวเอง ด้วยผมนั้นไม่มีเพื่อนแท้แม้แต่คนเดียว เพื่อนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุข คอยแบ่งปันเสียงหัวเราะและน้ำตาของกันและกันเหมือนกับกลุ่มคนตรงหน้าเลย
หากเป็นช่วงห้าปีที่ผ่านมา ช่วงที่ผมไม่มีเจ้าของมือใหญ่ผู้ที่กุมมือผมขณะนี้ ถ้าผมได้มาเห็นภาพแห่งความประทับใจของเพื่อนสนิทเช่นยามนี้แล้วล่ะก็ ผมคงรู้สึกแย่และน้อยใจในโชคชะตาไม่น้อย แต่ยามนี้ผมมีเพียงความอิจฉาเล็กๆเท่านั้น เพราะความรู้สึกแย่ๆที่น่าจะเกิดกับผม ถูกความรักความเอาใจใส่ของพอลปัดเป่าไปจนหมด
ผมที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองก็ต้องสะดุ้งน้อยๆ เมื่อคนที่อยู่ในความคิดกระซิบชิดริมหู พร้อมลมอุ่นๆที่เป่ารดแถวข้างแก้มผะแผ่ว
“อยู่เป็นเพื่อนน้องธันว์กับเพื่อนๆตรงนี้นะครับ พอลกลับไปรอที่โต๊ะนะ”
“อืม” ผมรับคำแค่ที่ลำคอ แต่อดใจไม่ไหวที่จะเหลียวหลังกับไปมองแผ่นหลังกว้างผึ่งผายด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งๆที่มือต้องคอยส่งจานเพื่อใส่เค้กชิ้นที่คุณนลินตัดแบ่งแล้ว
“พี่ฝูหรง...พี่ฝูหรงคะ เฮ้ย! ฟู่ๆๆ ดีที่จับไว้ทัน ฮั่นแน่...แอบมองตามหลังแฟนนี่เอง คิกๆ อิจฉาคนมีแฟนจังน้า แต่น่าจะบอกให้อีกฝ่ายรู้มากกว่า ไม่ใช่แค่แอบมองแล้วทำตาเยิ้มแบบนี้ ดูท่าจะหลงมากเลยนะเนี่ย จริงมั้ย ฮุๆ” ผมที่ตกใจจนเกือบทำจานเค้กในมือหล่นพื้น ต้องเปลี่ยนมาเป็นเขินจัดกับถ้อยคำรู้ทัน และสายตาหยอกล้อของสาวสวยเจ้าของวันเกิด
แต่ดูท่าประโยคดังกล่าวจะไม่ได้มีผลต่อผมคนเดียวซะแล้วล่ะ เพราะคนมีแฟนที่มีอาการดังกล่าวยืนอยู่ตรงนี้อีกตั้งสามคน อย่างคุณเบสหนุ่มมาดเนี้ยบหน้าใสหล่อจัดแบบหาตัวจับยาก จุดยิ้มมุมปากแก้มขึ้นสีน้อยๆไม่กล้าสบตาใคร และทำเป็นยุ่งกับการลำเลียงจานเค้กที่ถูกตัดแล้ว ส่งให้บรรดาเพื่อนคนอื่นๆที่อยู่รอบตัว
ผิดกับหนุ่มมาดเข้มหล่อคม ผู้เป็นคนรักที่มีรอยยิ้มกว้างขวางเป็นเอกลักษณ์อย่างคุณนน ที่นาทีนี้รักษาคุณลักษณะเด่นดังกล่าวอย่างเหนียวแน่น ด้วยการฉีกยิ้มกว้างและมองคุณเบสด้วยดวงตาระยิบระยับเต็มไปด้วยความรัก ก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผมและคนพูดอย่างไม่หวั่น ทำเอาคุณนลินถึงกับหัวเราะลั่นถูกใจไม่แพ้กัน แต่กิริยาดังกล่าวกลับทำให้เพื่อนสนิทอีกคนที่เหลือออกอาการหมั่นไส้ ทั้งๆที่แก้มแดงแจ๋กว่าใครจนน่าหยิกเบาๆด้วยความน่าเอ็นดูนักเชียว
“เหอะ! รู้ดีไปแล้วนลิน กูขอให้มึงมีแฟนเร็วๆ แล้วหลงแฟนจนมีอาการหนักกว่าพวกกู เพี้ยง!” ไม่ใช่แค่ผมที่ขำกิ๊กกั๊กกับอาการยกมือท่วมหัวเป่าลมออกจากปาก ด้วยสีหน้าจริงจังประกอบคำพูดของคุณธันว์เท่านั้น
เรียกได้ว่าทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนที่มาร่วมงานก็มีอาการเดียวกัน ไม่เว้นคุณนลินที่ไม่ถึงกับหลุดขำ แต่ก็ระบายยิ้มกว้างเหล่ตามองเพื่อนอย่างอารมณ์ดี
“ขอบใจสำหรับคำอวยพรของมึงนะเด็กน้อย รู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าบอกความในใจออกมาให้พวกกูรู้จนหมด ยอมรับแล้วสิ ว่าหลงเฮียกูจนถอนตัวไม่ขึ้น ฮ่าๆ แต่ไม่มีทางซะล่ะ อย่างกูนี่มีแต่อีกฝ่ายจะต้องหลงกูสิไม่ว่า ฮุๆ” ผมออกจะเห็นด้วยกับคำพูดเธอไม่น้อย ด้วยหน้าตาสะสวย นิสัยร่าเริง และฉลาดเป็นกรดอย่างคุณนลิน ผมเชื่อหากมีใครมาตกหลุมรักคงได้หลงเธออย่างปากว่า
“ฮึๆ พูดไป ธันว์ กูว่าลุ้นให้มันมีแฟนก่อนดีกว่ามั้ย เพราะผู้ชายรอบตัวที่เคยมองๆไอ้นลิน ต่างบ่ายหน้านี้ไปหมดแล้ว ฮ่าๆ” ประโยคนี้ของคุณนนเรียกเสียงหัวเราะได้ครืนใหญ่ แต่ทำให้เจ้าของวันเกิดหุบยิ้มฉับ
“ไอ้นน!! หยุดหัวเราะเลยนะ พวกมึงด้วย มึงสองคนนี่ยังไง อ้าว!? พี่เบสพี่ฝูหรงก็เป็นไปกับมันด้วย หึ้ย!” ดูท่าคุณนลินจะงอนเข้าจริงๆแล้วครับ แต่ก็เป็นไปไม่นานเมื่อสองเพื่อนสนิทต่างเข้าไปง้องอน แถมยังมีประเด็นร้อนเข้ามาแทรก ชนิดที่ว่าเรื่องหยอกเย้าระหว่างเพื่อนเลือนหายไปในพริบตา
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นตรงนั้น ทำไมซีอาร์ทำท่าจะมีเรื่องกับมิสเตอร์หวางด้วยล่ะ ธันว์ นายเข้าไปดูหน่อยมั้ย” เป็นประโยคของหนึ่งในเพื่อนร่วมคณะที่คุณนลินเชิญมาร่วมงาน และคงไม่ต้องมีใครบอกซ้ำ คุณธันว์ก็ก้าวเข้าหากลุ่มคนดังกล่าวทันที โดยมีเพื่อนสนิททั้งสองและมีผมกับคุณเบสก้าวตามไปไม่ห่าง
จนกระทั่งมาถึงกลุ่มคนที่ประกอบด้วย คุณไรอัน คุณโจเซฟ และไอ้ลูกครึ่งรูปหล่อของผม โดยทั้งหมดยืนเยื้องออกมาด้านหลัง เหมือนเป็นกองหนุนให้นายน้อยและคุณหนูเหมยอิง ที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับนายซีอาร์แห่งวง Chic มองผ่านๆเหมือนนายนักร้องหน้าใสจะโดนรุม พาลให้เรานึกสงสาร แต่ถ้อยคำที่ได้ยินแว่วๆก่อนหน้า ทำให้ผมไม่คิดแม้แต่จะเห็นใจ ด้วยนายนั่นสารภาพว่าชอบนายน้อย ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่านายน้อยมีใครเป็นเจ้าของหัวใจ นอกจากคนตาบอดใจบอดเท่านั้นที่ไม่เห็นการแสดงออกเปิดเผยของนายน้อยที่มีต่อคุณธันว์
“ไอ้นี่มันหาเรื่องชัดๆ ไม่รู้อะไรควรไม่ควรซะแล้ว หึ! น่าสงสาร” ผมเงยหน้าผ่านปลายคางเขียวๆ ขึ้นไปมองสีหน้าแววตาของพอลก็ให้นึกขยาดแทนนายซีอาร์ เพราะผมพอเดาออกว่านายนั่นจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ด้วยคนที่มีรักมั่นคงอย่างนายน้อยคงไม่ปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อ จนเป็นเหตุให้มาทำร้ายจิตใจคนรักได้หรอก
ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหน ยามที่แปลความหมายในคำพูดของพอลได้ จนกระทั่งพอลก้มหน้าลงมองผมด้วยแววตาประหลาดใจปนตกใจเล็กๆ ก่อนจะระบายยิ้มบางเบามาให้ พร้อมไล้หลังมือผ่านข้างแก้ม
“หน้าตาตื่นหมดแล้ว กระต่ายน้อยอย่ากังวล ปล่อยให้หลี่ผิงมันจัดการเอง พวกไม่รู้จักคิดก่อนพูดต้องเจอของจริงบ้าง” ผมได้แต่พยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะโดนรั้งเอวเข้าประชิดตัวคนพูด
พอลโอบผมจากด้านหลัง จนแผ่นหลังสัมผัสกับแผ่นอกกว้าง และยังไม่ทันตั้งตัวดีนัก จมูกโด่งก็โฉบลงบนหัวผมแบบผ่านๆอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่ผมได้แต่อมยิ้ม เพราะรอยอุ่นจางๆที่เกิดขึ้นในอกก็ต้องอึ้ง กับคำพูดตรงไปตรงมาที่ดังขึ้นของคนที่กำลังได้รับความสนใจจากคนทั้งงาน
“เลิกคิด เลิกหวังซะ...ดูไว้ซะ คนนี้คือคนที่ฉันรัก และความรักของเราก็ไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน ถ้าไม่มีคนในอ้อมกอดฉันคนนี้...หวางหลี่ผิงแห่งหวางหย่งกังคงไม่รู้จักคำว่า ‘รัก’ ” ทันทีที่นายน้อยพูดจบก็เชยคางคนในอ้อมกอดขึ้น
ผมเองถึงกลับกลั้นลมหายใจ และเผลอขบริมฝีปากกลั้นเสียงอุทาน ด้วยนึกรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ เมื่อนายน้อยก้มหน้าลงหาใบหน้าคุณธันว์อย่างช้าๆ ก่อนประทับจูบอ่อนโยนบนลงริมฝีปากของคุณธันว์ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนทั้งงาน โดยเฉพาะนายซีอาร์ที่ยืนตกตะลึงตาค้าง จ้องภาพคู่รักที่กำลังจูบดูดดื่มไม่วางตา
นายน้อยประกาศตัวชัดขนาดนี้ หากนายซีอาร์ยังดื้อดึงตื๊อไม่เลิก มีหวังคงได้รับบทเรียนมากกว่าการทำร้ายจิตใจเหมือนในขณะนี้อย่างแน่นอน อาจถึงขั้นรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าสำหรับนายน้อยหลี่ผิงนั้น คุณธันว์คือคนสำคัญที่สุด และนายน้อยย่อมยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อรักษาความสุขของคุณธันว์ไว้
“ฮึๆ สมกับเป็นหลี่ผิง” เสียงนี้มาจากคุณไรอันที่ดังพอให้พวกเราได้ยิน ซึ่งเพื่อนสนิททั้งสองอย่างพอลและคุณโจเซฟมีปฏิกิริยาคล้ายกันคือ หัวเราะอยู่เพียงลำคอและส่งยิ้มให้กันอย่างถูกใจ บรรยากาศผ่อนคลายลงในพริบตา เพราะต่างรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นถ้วนหน้า
ส่วนคนอื่นๆในกลุ่มมีปฏิกิริยาต่างๆกันไป คุณหนูเหมยอิงอมยิ้มน้อยๆมองคู่รักด้วยความประทับใจ คุณนลินกอดอกฉีกยิ้มกว้าง แต่มีแสยะยิ้มน่ากลัวใส่กลุ่มนักร้องวง Chic ที่มองมา จนคุณนนที่กลั้วหัวเราะน้อยๆกับคุณเบสอยู่นั้น ถึงขั้นส่ายหัวให้กับพฤติกรรมห้าวเกินหญิงของเพื่อน แต่กลับไม่มีใครห้ามใคร ก่อนทั้งสามคนจะพร้อมใจกันหันไปแสยะยิ้มยักคิ้วเยาะเย้ยใส่นายซีอาร์ ที่กวาดตามองมาทางกลุ่มเราอย่างพาลๆอีกต่างหาก
จนเพื่อนนักร้องสองคนที่เหลือต้องเข้าประกบและรั้งแขนไว้ ซึ่งนายซีอาร์อะไรนั่นที่ก็คงเกรงใจคุณโจเซฟผู้เป็นนายอยู่บ้าง จึงยอมยืนอยู่นิ่งๆด้วยใบหน้าบูดสนิทไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น แต่ขืนคิดไม่ได้และคิดใช้กำลัง ยังไงซะนายนั่นก็คงเข้าไม่ถึงตัวนายน้อยกับคุณธันว์หรอก เพราะการ์ดที่คอยระวังอยู่รอบวง คงถึงตัวนายซีอาร์ก่อนอย่างแน่นอน
ท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้ร่วมงานกับการประกาศบอกรักของมาเฟียใหญ่ และปฏิกิริยาหลากหลายของคนใกล้ตัว ผมกลับโดนหมุนตัวเข้าหาอกอุ่น จนใบหน้าฝังไปกับกล้ามเนื้อแน่นๆ พร้อมกลิ่นหอมสะอาดแสนคุ้นเคยลอยเข้าจมูก ทำให้ผมเผลอดสูดกลิ่นหอมๆไปจนเต็มปอด พาลลืมตัวให้พอลกอดอยู่แบบนั้น
นานเท่าไหร่ไม่รู้มารู้ตัวก็ต่อเมื่อ มืออุ่นที่เคยลูบขึ้นลงแถวแผ่นหลัง เปลี่ยนมาลูบหัวอย่างอ่อนโยน พร้อมเสียงนุ่มๆที่ดังขึ้น
“ฝูหรงครับ อยากสนุกต่อหรือกลับบ้าน” ผมที่กำลังมึนๆก็ได้แต่พยักหน้าใส่ตาคู่หวานที่จ้องกันไม่กระพริบคู่นั้น จนคนถามถึงกลับกลั้วหัวเราะน้อยๆ
การกระทำนั้นของพอลทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว ว่าเรากำลังอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ ผมอายแทบแทรกแผ่นดิน ด้วยเพิ่งรู้ตัวว่าสายตาของคนเกือบทั้งงานมองมาที่เราทั้งคู่ จะมีเว้นก็แต่คู่หวานที่สร้างปรากฏการณ์ประกาศรักสะท้านวงการและสามนักร้องนั่นที่ไม่อยู่ในงานแล้ว
ผมจึงได้แต่ก้มหน้างุดและพึมพำพอให้พอลได้ยินว่าอยากกลับบ้าน ก็ใครจะกล้าอยู่สนุกต่อในงานท่ามกลางสายตาล้อเลียนกันเล่า
“ไม่เป็นไรค่ะเฮียพอล เฮียพาพี่ฝูหรงกลับก่อนได้เลย แค่เฮียกับพี่ฝูหรงมาอวยพรให้นลิน นลินก็ดีใจและขอบคุณมากแล้วค่ะ เหตุการณ์เป็นแบบนี้ อีกพักเดียวนลินก็ว่าจะปิดงานอยู่เหมือนกัน หึ! นายซีอาร์นั่นกล้ามาก คอยดูเถอะ นลินจะเลิกติดตามวงนี้ไปเลย” หลังจากประโยคนี้ทุกคนรอบตัวก็ได้แต่หัวเราะเจ้าภาพสาวสวยอย่างเอ็นดู ก่อนพอลจะเอ่ยลากับคนอื่นๆ ให้ผมทำเพียงแค่ส่งยิ้มเขินๆและเดินตามแรงจูงของมืออุ่น จนหลุดออกมาจากงาน
“ฝูหรงรู้มั้ย นับวันทำตัวให้พอลหลงจนไม่มีตาไว้มองใครแล้วนะ” ผมเงยหน้าพรึ่บและจ้องตาคนพูดอย่างเอาเรื่อง จนพอลที่กำลังระบายยิ้มหน้าระรื่นมีอันชะงัก เปลี่ยนมาเป็นมองผมอย่างหวั่นๆแกมไม่เข้าใจ
‘คนอะไรยังมีหน้ามาทำสีหน้าแววตาแบบนี้อีก’
“อย่าบอกนะ! ตั้งแต่คบกัน นายยังมีตาไว้มองคนอื่นอีก!!” บอกเลยว่าฉุนมาก ไอ้ลูกครึ่งจอมหื่นมันยังมีตามองคนอื่นนอกจากผมอีกเหรอ เห็นผมยอมอ่อนข้อให้มากไปใช่มั้ย
“เดี๋ยวๆ ฝูหรงอย่าเพิ่งเข้าใจพอลผิด ที่พูดก็แค่เปรียบเปรยเท่านั้น ตั้งแต่พอลเจอฝูหรงอีกครั้ง สาบานว่าไม่เคยมองใครเลย...กระต่ายน้อยของพอลก็ขี้หึงเหมือนกันน้า~ ดีใจจัง ฮึๆ” ผมกลับเป็นฝ่ายชะงักและอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน
‘ไม่น่าขี้ตื่นคิดมากไปเองเลยให้ตายสิ’ เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองก็ขี้หึงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“อะ เอ่อ...กลับกันเถอะ” ผมชิ่งออกมาจากสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจทันที ดูตาไอ้ลูกครึ่งจอมหื่นซะก่อนเถอะ วิบวับอย่างน่ากลัว ขืนผมยังยืนอยู่ตรงนั้น คงได้ตกเป็นเป้าสายตาของเหล่านักท่องราตรีรอบตัวเป็นแน่
แต่ด้วยความรีบร้อนผสมกับที่ผมไม่ทันมองทาง ผมก็ชนเข้ากับใครบางคนจนได้
“อ๊ะ! เอ่อ ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจ คุณเป็นอะไรรึเปล่า...[เพี้ยะ!]...อ่ะ!” รอยแดงปรากฏบนหลังมือทันที ยามที่ผมแตะเข้ายังท่อนแขนเรียว หวังช่วยประคองตัวคนที่ผมไม่ตั้งใจชนขึ้นจากพื้น
“นี่! นอกจากจะซุ่มซ่ามแล้ว ยังคิดจะลวนลามฉันอีกเหรอ” ข้อกล่าวหาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผมเริ่มทำตัวไม่ถูก ด้วยไม่คิดว่าจะถูกเข้าใจผิดขนาดนี้
ระหว่างที่ผมตะกุกตะกักเอ่ยขอโทษสาวสวยตรงหน้านั้น เสียงทุ้มหนักก็ดังขึ้น พร้อมๆกับที่ร่างผมลอยหวือไปตามมือคู่ใหญ่ แต่สัมผัสและกลิ่นหอมที่คุ้นเคย ทำให้ผมไม่คิดต่อต้าน แต่กลับรู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ด้วยรู้ว่าผมสามารถพึ่งพาคนๆนี้ได้
“เกิดอะไรขึ้น! ฝูหรงไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ” ผมพยักหน้ารับแทบจะทันที เมื่อเห็นใบหน้าเครียดขึง พร้อมจะเอาเรื่องใครสักคนของพอลชัดตา จนเผลอขยุ้มเสื้อด้านหน้าของพอลเป็นหลักยึด
“ไม่เป็นอะไร ฝูหรงชนเข้ากับผู้หญิงคนนี้ พยายามขอโทษและช่วยพยุงเธอ แต่ถูกเข้าใจผิด พอลช่วยพูดหน่อยสิ” อารมณ์นี้ไม่ฟ้องก็เหมือนฟ้อง แต่เจตนาของผมแค่ต้องการให้พอลช่วยปรับความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นเท่านั้น
พอลเองลูบหัวลูบหลังผม และไล่สายตาสำรวจตัวผมไปจนทั่ว ไม่ได้สนใจคู่กรณีที่กำลังฟึดฟัด และพยายามลุกขึ้นมายืนด้วยใบหน้าบูดสนิทด้วยตัวเองสักนิด
“หึ! มีพวกมาช่วยด้วย อย่าคิดจะรุมกันก็แล้วกัน ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย เอาให้รู้กันไปเลยว่านักร้องดังอย่างฉันโดนผู้ชายทำร้ายก่อน...นี่นาย!...อ่ะ พอล!!” เจ้าของเสียงแหลมๆที่โวยวายไม่เลิก เข้ามากระชากไหล่พอลอย่างแรง จนตัวผมเองยังลอยติดมือใหญ่ที่กุมข้อมือกันไว้ ทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับคนที่อ้างว่าเป็นนักร้องดัง
แม้ผมจะรู้สึกคุ้นๆกับใบหน้าสวยจัด แต่อีกฝ่ายดันทำท่ารู้จักคนของผมเข้าแล้ว ที่สำคัญพอลเองก็เหมือนจะรู้จักเธอดีด้วย
“มิลลี่!” ผมมองพอลและนักร้องสาวนามว่ามิลลี่ไปมา จนเริ่มรู้สึกขัดใจเพราะเริ่มสงสัยอย่างหนัก เมื่อคนทั้งคู่ต่างเงียบและจ้องตากันไม่กระพริบ ด้วยสายตาเรียบสนิทติดเย็นชา ทำให้ผมเดาได้ว่าคู่นี้ต้องมีอดีตร่วมกันมาก่อน และไม่ว่าอดีตมันจะดีหรือร้าย จะมีความเป็นมาอย่างไรก็ตาม แต่พฤติกรรมดังกล่าวได้สร้างความไม่ชอบใจให้แก่ผมอยู่ดี
“พอล!” ผมกระแทกเสียงเรียกไอ้ลูกครึ่งหน้าหล่อทันทีที่คิดได้ ด้วยไม่อยากให้ทั้งคู่สร้างโลกส่วนตัวที่มีเพียงกันและกันไปนานกว่านี้
ผลที่ได้คือพอลละสายตาจากเธอคนนั้น และก้มลงมามองผมด้วยสายตาติดดุ จนผมเองถึงกับชะงักพาลให้น้อยใจและคิดไปไกล ว่าผมไปขัดจังหวะระลึกความหลังของเจ้าตัวเข้า
การแสดงออกของผมคือปล่อยชายเสื้อในมือ พร้อมกระตุกมือออกจากการเกาะกุม และเมินหลบสายตาคู่คมที่ยังจ้องมายังผมอย่างไม่เข้าใจไม่เลิก ยิ่งเพิ่มความน้อยใจให้ผมเข้ามาอีก ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้น ด้วยคงเป็นความรู้สึกขัดใจเรื่องราวในอดีตระหว่างคนทั้งคู่ที่ผมไม่รู้ก็เป็นได้
“ผมขอโทษคุณผู้หญิงอีกครั้งครับ แต่อยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ หากคุณไม่เชื่อผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว...ผมขอตัวก่อน” ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายขอโทษอีกครั้ง ด้วยไม่อยากอยู่ในสถานการณ์น่าอึดใจนี้อีกต่อไป
ผมเตรียมที่จะปลีกตัวออกมาก่อน ตั้งใจไปรอยังรถที่จอดไว้ เพื่อปล่อยให้ทั้งคู่มีโอกาสคุยกันโดยที่ไม่มีผมเป็นก้างขวางคอ แต่ผมยังไม่ทันก้าวไปได้เกินสองก้าว พอลก็รั้งข้อศอกผมไว้และดึงให้ไปยืนข้างกัน แม้ความตั้งใจที่จะปลีกตัวออกห่างจะถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ผมก็เลือกที่จะเบือนหน้าหนีไปยังที่ๆไม่มีภาพคนทั้งคู่อยู่ในสายตา
ใครจะว่าผมขี้ใจน้อยขี้งอนไม่มีเหตุผลและชอบคิดไปเองก็ช่างสิ คุณไม่เป็นผมไม่รู้หรอก ว่าการได้เห็นคนของตัวเองยืนสบตากับสาวสวยจัดนานขนาดนั้น ความรู้สึกมันแย่แค่ไหน เหมือนผมไร้ซึ่งตัวตนและไม่สำคัญ ทั้งๆที่ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้
“หึ! เพราะชอบแบบนี้นี่เอง คุณถึงทิ้งมิลลี่ไป...พอล คุณก็แค่เกย์เลวๆที่คบผู้หญิงบังหน้า”
“มิลลี่!! หยุดโยนความผิดให้คนอื่นซะที ทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่าทำอะไรไว้ได้แล้ว”
ผมสะดุ้งตั้งแต่ถ้อยคำเหยียดหยามที่สาวมิลลี่ใช้กับพอลแล้ว แต่ประโยคนั้นของเธอก็ทำให้ผมรู้ว่าทั้งคู่เคยคบกัน และประโยคต่อมาของพอลก็ได้บอกผมว่าทั้งคู่เลิกกันแบบไม่ดีนัก นาทีนี้ความรู้สึกน้อยใจไม่พอใจที่เคยมีหดเหลือเล็กนิดเดียว แทนที่ด้วยความอยากรู้เรื่องของคนทั้งคู่มากกว่า
ระหว่างที่ผมตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก นักร้องสาวสวยที่ชื่อมิลลี่ก็ตวัดสายตามามองผม ก่อนจะแสยะยิ้มและส่งสายตาดูถูกดูแคลนมาให้ ทำเอาผมขนลุกด้วยนึกหวั่นไปกับสายตาคู่นั้น จนเผลอขยับตัวชิดร่างหนา พอลเองก็แสนดีกระชับอ้อมแขนรอบเอวผม ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา ก่อนพอลจะกดเสียงเรียกชื่อผู้หญิงตรงหน้าเหมือนปรามไปในที แต่เธอก็หาได้สนใจด้วยยังคงมองผมไม่กระพริบ
“ระวังตัวไว้เถอะ นายเองก็จะถูกผู้ชายใจโลเลคนนี้ทิ้งเหมือนฉัน” มิลลี่ทิ้งระเบิดด้วยคำพูดไว้เสร็จก็สะบัดหน้าใส่ผม และเดินกระแทกไหล่พอลจากไป
ผมเองได้แต่ยืนอึ้งพูดไม่ออก เรียกว่ามึนและสับสนไปกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น ซึ่งผมมารู้สึกตัวก็ต่อเมื่อฝ่ามืออุ่นๆประกบเข้าที่แก้ม ก่อนจะช้อนใบหน้าผมขึ้นสบตา และสายตาคู่คมที่เต็มไปด้วยแววตารักใคร่นี่ต่างหาก ที่ทำให้สติที่เคยปลิวหายลอยกลับมาเข้าร่างดังเดิม แต่มันคนละเรื่องกับความคับข้องใจที่ติดอยู่ในใจผมขณะนี้
“กระต่ายน้อย พอลรู้ว่ามีคำถามมากมายที่ฝูหรงอยากถาม สัญญาว่าจะเล่าทุกเรื่องให้ฟัง แต่ขอร้องว่าอย่าเพิ่งคิดอะไรไปก่อน และให้เชื่อใจว่าพอลไม่มีทางเป็นอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูด...ฝูหรงทำให้พอลได้มั้ย” ทั้งสายตาจริงใจและน้ำเสียงทุ้มนุ่มอย่างน่าฟังของพอล บวกความอยากรู้ที่อยู่ในใจผม มันจึงไม่ใช่เรื่องยากหรือเรื่องฝืนใจนักที่ผมจะเอ่ยปากตอบรับตามความต้องการของพอล
“อืม เราจะคุยกัน พอลต้องเล่าความจริงระหว่างพอลกับผู้หญิงคนนั้นให้ฝูหรงฟังทั้งหมด”
“ได้ครับกระต่ายน้อย” พอลระบายยิ้มกว้างพร้อมตอบรับผมอย่างหนักแน่น
แม้ผมจะมีข้อเสียอย่างการขี้ใจน้อยขี้งอนและชอบคิดไปเองก็ตาม แต่ผมก็เลือกที่จะฟังคนของตัวเองก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร เพราะประสบการณ์ครั้งก่อนมันคอยย้ำเตือน และผมเลือกที่จะเอาคำพูดของคนที่ผมไม่รู้จักเลย มาเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆของการตัดสินใจเท่านั้น ซึ่งผมก็คงไม่เชื่อไปทั้งหมด เพราะอย่างน้อยก็ขอให้เกียรติความรู้สึกดีๆของตัวเองที่มีต่อคนที่เรารักเป็นอันดับแรก
......................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะมาแล้วตัวป่วนที่ 2 อย่างมิลลี่ แม้จะมาเร็วไปเร็วดังพายุ
แต่ไม่รู้ว่าพายุลูกนี้จะทิ้งความเสียหายให้มากแค่ไหนกัน
คงต้องรอติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ
เจอกันอีกทีวันพฤหัสฯนะคะ+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตาม
