ตอนที่ 16โจวพอล “พอลมาได้ไง เราคุยกันแล้วนี่...เอ่อ พอลจะ..ใจเย็นๆนะ” กระต่ายน้อยตากลมขยับถอยร่นไม่เป็นท่า หลังจากที่หลงเปิดประตูให้ผมเข้ามา
แม้ฝูหรงจะมีท่าทางตื่นตระหนกและขยับถอยหลังหนีผมนั้น แต่ดวงตากลมๆที่เต็มไปด้วยแววแตกตื่นยังคงจับจ้องผมไม่วางตาอย่างระแวดระวัง แถมยังมีแก่ใจกล่อมผมให้ใจเย็นๆด้วยเสียงสั่นๆ ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวหวั่นใจในพฤติกรรมของผมมากอยู่ ซึ่งผมก็รู้ตัวดีว่ามีทีท่าคุกคามคนน่ารักไม่น้อย แต่จะไม่ให้ผมมีพฤติกรรมเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อฝูหรงอ้างว่างานยุ่งและหนีผมมานอนคอนโดตัวเองถึงสองคืนแล้ว และหากผมไม่ตามมาในคืนนี้ เราก็คงไม่ได้เจอกัน ผมเองก็คงอดนอนกอดฝูหรงเป็นคืนที่สาม
ถึงแม้คืนแรกที่เราต้องแยกบ้านกันนอน ผมเองก็ติดธุระไปดูที่ดูทางต่างเมืองด้วยก็ตามที ส่วนในคืนถัดมาผมก็หวังจะได้กลับมานอนกอดคนรักให้คุ้มกับที่ต้องห่างกัน แต่ฝูหรงกลับเป็นฝ่ายบอกว่าต้องเคลียร์เอกสารอยู่ที่โรงแรมจนดึก ห้ามไม่ให้ผมตามมานอนกับเจ้าตัว ทำเอาผมถึงกับหงุดหงิดงุ่นง่านแต่ไม่เสี่ยงโวยวาย ด้วยรู้แก่ใจว่าหากเป็นเรื่องงาน ฝูหรงจะให้ความสำคัญเสมอ และคงเครียดกับมันมากพอแล้ว จึงไม่อยากเพิ่มความลำบากใจให้คนรักเพิ่มอีก
ผมก็ได้แต่หวังว่าคืนถัดไปจะได้กอดกระต่ายน้อยให้ชุ่มปอด ให้สมกับที่เราต้องห่างกัน แต่ฝันผมก็ต้องสลาย เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมได้รับโทรศัพท์จากพ่อกระต่ายน้อยว่าขอนอนคอนโดต่ออีกคืน เพราะต้องเคลียร์เอกสารที่ยังทำไม่เสร็จ และฝูหรงไม่อยากหอบหิ้วไปมาให้ยุ่งยาก ก่อนเจ้าตัวจะวางหูไป ไม่แม้แต่จะรอคำตอบรับของผม ทั้งๆที่ตลอดสามวันที่เราห่างกัน เราคุยกันแทบนับคำได้ สำคัญที่ผมเองคิดถึงฝูหรงจนพาลหงุดหงิดไปหมดแล้วแท้ๆ
ผมตัดสินใจขับรถมาที่คอนโดนี่ โดยไม่สนเหตุผลอะไรทั้งนั้น ในเมื่อฝูหรงแค่บอกเล่าว่าจะนอนคอนโด แต่ไม่ได้ห้ามผมให้มาหาซะหน่อย เรื่องอะไรคืนนี้ผมจะยอมนอนคนเดียว และยิ่งได้เห็นหน้ากระต่ายน้อยแสนรัก ความรู้สึกคิดถึงก็ถาโถมเข้าใส่อย่างห้ามไม่อยู่ จนเผลอแสดงท่าทีคุกคาม ทำให้กระต่ายน้อยตากลมตื่นตระหนกอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ แต่ผมก็ไม่คิดเปลี่ยนท่าที ยังคงก้าวไปข้างหน้าตามติดร่างน้อยอย่างช้าๆ
จนกระทั่งฝูหรงชนเข้ากับโซฟากลางห้องที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร ก่อนจะหงายหลังลงไปนอนบนเบาะโซฟา ผมก็ไม่พลาดจะตามประกบคร่อมร่างน้อยไว้ทันที
“อ่ะ...[ตุ้บ!]...เดี๋ยว ไม่เอานะ อืมมมม” ในที่สุดผมก็ได้ครอบครองริมฝีปากนุ่มที่โหยหามาตลอดสองวันสองคืน และรู้ตัวได้ว่าตัวเองตะกละตะกลามเพียงใด
เรียกได้ว่าหน้ามืดมัวเมาไปกับความหวานของโพรงปากอุ่น และเรียวลิ้นนิ่มที่คอยแต่จะกระถดหนี กระตุ้นให้ผมอยากเอาชนะตามไล่ต้อนด้วยความตื่นเต้น จนท้ายที่สุดฝูหรงก็โอนอ่อน เกี่ยวกระหวัดลิ้นตอบโต้กลับคืน
ผมคงเตลิดไปแล้ว หากไม่เพราะกำปั้นน้อยๆที่ทุบลงมาบนไหล่ และอาการเบี่ยงหน้าหนีจูบของฝูหรง ทำให้ผมต้องทำใจปล่อยริมฝีปากนุ่มเป็นอิสระ ก่อนจะฆ่าเวลาด้วยการสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของแก้มกลม เพื่อให้เจ้าของแก้มได้มีโอกาสกอบโกยอากาศเข้าปอด ชดเชยมวลอากาศที่ผมขโมยไป และเตรียมตัวทวงคืนความหวานทุกเมื่อ หากกระต่ายน้อยพร้อมขึ้นสังเวียนดวลจูบระหว่างเราอีกครั้ง
แต่แล้วระหว่างที่ผมซอกซอนจมูกสูดกลิ่นเนื้อหนุ่มน้อยด้วยความมัวเมานั้น ผมกลับรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นๆที่ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังอย่างช้าๆ ให้ความรู้สึกอ่อนโยนและผ่อนคลาย บวกกับน้ำเสียงนุ่มๆที่กระซิบเรียกชื่อผมอยู่เหนือหัวเข้ามาอีก ทำเอาอารมณ์ร้อนๆและความหลงมัวเมาจากรสสัมผัสในตัวคนรัก ค่อยๆลดระดับความรุนแรงลง เหลือเพียงรอยอุ่นตามทางที่มือน้อยลากผ่าน และความรู้สึกของความคิดถึงมากมายที่อยู่ในใจ
“พะ...พอล พอลครับ ใจเย็นๆนะ...อ๊ะ! เจ็บ” ผมสูดกลิ่นกายคนน่ารักแถวซอกคอขาวไปฟอดใหญ่ เพื่อข่มอารมณ์ดิบของตัวเองให้อยู่หมัด แต่ผิวขาวอมชมพูเหนือยอดอก ทำเอาผมอดใจไม่อยู่ จึงขอส่งท้ายด้วยการขบเม้มเบาๆพอให้เกิดรอยจางๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เจ้าของผิวสวยประท้วงด้วยความเจ็บออกมา
ฝูหรงทำหน้ามุ่ยส่งแววตาต่อว่าต่อขานมาให้ผม ทั้งๆที่ตัวเองยังคงนอนเสื้อหลุดลุ่ยโชว์ยอดอกวับๆแวมๆ แถมริมฝีปากที่กำลังยื่นใส่ผมอย่างแง่งอนนั้น ก็บวมเป่งจากฤทธิ์จูบดุเดือดของผมอีกด้วย กระต่ายน้อยนี่ช่างไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้ตัวเองนั้นตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน จนหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่โดนผมปรามไว้ แทบอยากกระโจนเข้าใส่ซะเดี๋ยวนี้ ผมเองก็ได้แต่พยายามตัดใจ เงยหน้าสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองนิด และถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจรั้งร่างน้อยให้กลับขึ้นมานั่งดีๆ
นาทีนี้เองที่ฝูหรงเหมือนจะเริ่มรู้ตัวว่าเผลอยั่วผมแบบไม่ตั้งใจเข้าให้ จึงเอาแต่ก้มหน้านั่งทับขานิ่งๆอยู่บนโซฟา ยอมให้ผมติดกระดุมเสื้อเชิ้ตไม่มีโวยวาย ปิดท้ายด้วยการหยิบแว่นที่ผมโยนทิ้งข้างโซฟาสวมคืนให้ จนผมต้องถอนใจบางเบาและกระตุกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู แต่การกระทำของผมกลับทำให้กระต่ายน้อยที่เพิ่งเงยหน้าจากอกขึ้นมองผมนั้น จ้องผมกลับอย่างหวั่นๆแกมไม่มั่นใจด้วยตากลมๆคู่เดิม เพิ่มความมันเขี้ยวในความรู้สึกของผมนักหนา จนผมอยากเปลี่ยนใจขย้ำเจ้าของความน่าเอ็นดูตรงหน้านัก
ผมต้องสะกดกลั้นอารมณ์อย่างหนัก ไม่ให้เผลอทำตามใจปรารถนา ด้วยการกดคนรักตัวน้อยลงบนโซฟาอีกครั้ง ก่อนร่วมรักจนสาแก่ใจ
ผมตัดสินใจดันไหล่บางออกห่างตัว และผลุนผลันเดินหนีเข้าห้องน้ำเพื่อไปสงบสติอารมณ์ เพราะถ้าผมยังฝืนนั่งอยู่ตรงนั้น เชื่อได้ว่าคงกดฝูหรงกับโซฟา ท่ามกลางกองงานของเจ้าตัวอย่างแน่นอน และช่วงเวลาแห่งความทรมานที่ต้องห่างกันเพราะงานก็ต้องยืดเยื้อ สู้ยอมข่มใจให้ฝูหรงได้ทำงานให้เสร็จๆไปซะดีกว่า
เอ๋...หรือผมจะลองคุยกับฝูหรงอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อให้กระต่ายน้อยยอมลาออกจากงานในหน้าที่เลขาของหลี่ผิงดี!?
“อ่ะ! อ้าว ฝูหรงมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ...หือ! เป็นอะไรทำไมตาแดงๆ อย่าบอกนะว่าร้องไห้!” หลังจากสะกดกลั้นอารมณ์ได้ ผมจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเปิดประตูมาเจอฝูหรงยืนนิ่งๆและก้มหน้ารออยู่แล้ว ซึ่งผมยิ่งตกใจมากกว่าเดิม ยามที่เชยคางมนขึ้นแล้วพบว่าคนน่ารักตาแดงเหมือนคนผ่านการร้องไห้มา
พอผมถามออกไป กลับได้คำตอบเป็นหยดน้ำตาที่ไหลมาตามร่องแก้ม ทำเอาผมใจหายและมึนงงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของตัวเอง ทั้งๆที่ผมทิ้งให้เจ้าตัวได้อยู่คนเดียวไม่ถึงสิบนาที ผมจึงรวบกอดร่างบางเข้าหาอก และลูบหลังปลอบใจพร้อมปลอบประโลม ด้วยถ้อยคำที่ไม่ต่างจากการใช้กล่อมเด็กเล็กๆสักคน แต่เหมือนผมยิ่งปลอบ ฝูหรงจะยิ่งร้องมากขึ้น จนถึงขั้นสะอื้นตัวโยนเล่นเอาผมใจแกว่ง
ผมจึงตัดสินใจช้อนร่างบางขึ้นอุ้ม ก่อนพามานั่งซ้อนตักโดยหันร่างบางเข้าหาอก ยังโซฟารกๆตัวเดิม เพื่อจะกอดปลอบกระต่ายน้อยขี้แยได้ถนัด ผมรอจนฝูหรงคลายสะอื้น จึงคลายแรงกอดรัดร่างบางลง ก่อนจะเชยคางมนเพื่อเช็ดแก้มซับน้ำตาให้ ซึ่งผมถึงกับใจหายไปกับหนังตาบวมๆ และแววตาหม่นๆในดวงตาคู่ตรงหน้า บวกอาการเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียง ผมจงใจไล้ปลายนิ้วผ่านขอบตาล่างของฝูหรงอย่างอ่อนโยน ก่อนจะแตะผ่านขอบปากแดง เพื่อส่งสัญญาณให้เจ้าของคลายแรงลง
“เสียใจอะไรครับ พอลทำอะไรไม่ถูกใจฝูหรงรึเปล่า” ที่ถามฝูหรงไปแบบนั้นเพราะผมลองประมวลดูแล้ว ว่าอาการเสียใจกึ่งน้อยใจของฝูหรงนั้นน่าจะมาจากผมเป็นต้นเหตุ เพราะก่อนผมเข้าห้องน้ำนั้น ผมอาจจะมีท่าทางส่อไปในแนวไม่พอใจกระต่ายน้อยช่างยั่ว ทั้งๆที่ความจริงผมพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ขย้ำกระต่ายน้อยตรงนั้นมากกว่า
หลังคำถามของผมนั้นฝูหรงจ้องกลับตาเขม็ง แต่เมื่อเห็นผมส่งยิ้มอ้อนๆให้แก้มใสก็ขึ้นสี ก่อนเจ้าตัวจะสะบัดหน้าหนีสายตาผม ตามมาด้วยเสียงแหบๆของคนเพิ่งผ่านการร้องไห้ดังขึ้นมา
“ทำไมต้องทำเหมือนไม่พอใจกันด้วย หรือเพราะว่าไม่ยอม...ก็คนมันงานเยอะ อยากทำให้เสร็จเร็วๆนี่ จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันจริงๆสักที และเพราะรู้ไงว่าจะมีอาการแบบนี้ แต่ก็เร่งมือที่สุดแล้ว ฮึก ไหนว่า ฮึก รัก...ไงเล่า ทำไมต้องทำท่าไม่พอใจกันขนาดนี้ด้วย ฮึก ฮือออ!” ฟังคำพูดน่ารักๆของกระต่ายน้อยของผมซะก่อนเถอะ ผิดมั้ยถ้าตอนนี้ผมหุบยิ้มไม่ลงทั้งๆที่คนรักสะอื้นน้ำตาคลอ
เท่าที่ฟังนั่นหมายความว่าฝูหรงเองก็อยากมีเวลาอยู่กับผมเหมือนกัน และกำลังพยายามทำเพื่อเราในแบบฉบับของตัวเอง จนผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆที่เอาแต่ใจตัวเอง แถมยังทำให้คนน่ารักเข้าใจผิดจนต้องเสียน้ำตาเข้าไปอีก แต่นาทีนี้ทั้งความรู้สึกผิดบวกความน่าเอ็นดูจับใจของฝูหรง ส่งผลให้ผมประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนเนิ่นนาน ก่อนทำแบบเดียวกันยังปลายจมูกแดง กับพวงแก้มระเรื่อทั้งสอง และจบด้วยการกระซิบข้างใบหูหอมๆของคนกำลังสะอื้นน้อยๆอยู่กับอกของผม
“รักสิครับ พอลรักฝูหรงนะ ไม่ได้ไม่พอใจฝูหรงสักนิด ที่ต้องหลบเข้าห้องน้ำเพราะฝูหรงน่ารักเกินไปต่างหาก ถ้าพอลไม่เข้าไปสงบสติอารมณ์ในนั้น ฝูหรงคงไม่รู้หรอกว่าจะโดนอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆไม่ได้มานั่งทำตัวน่ารักน่ามันเขี้ยวอยู่แบบนี้หรอกรู้มั้ย ฮึๆ ส่งตาเขียวๆให้พอลได้แบบนี้ แสดงว่าเราเข้าใจกันแล้วเนอะ เฮ้อ ดูสิตาบวมหมดเลย เอาแบบนี้ดีกว่า มาให้พอลปลอบใจก่อน ฝูหรงจะได้มีกำลังใจกลับไปทำงานต่อ หลังจากนั้นเราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ ดีมั้ยครับ”
แม้คำตอบที่ผมรอคือความเงียบ แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของรอยยิ้มที่ผมส่งให้ท้ายประโยค คืออาการเบือนหน้าหนีด้วยแก้มแดงๆของฝูหรง ผมถือว่าเป็นการตอบรับ จึงกดจมูกฝังเข้ากับแก้มแดงๆไปฟอดใหญ่ และปิดปากเจ่อๆที่เจ้าของหันมาด้วยความตกใจเป็นการปิดท้าย ก่อนรีบตัดใจจากความหวานล้ำติดปลายลิ้น
“รีบทำงานให้เสร็จนะครับกระต่ายน้อย แล้วเราค่อยมาต่อกัน” ผมจงใจยิ้มอ่อนโยนใส่ดวงตาหยาดเยิ้มเป็นการส่งท้าย พร้อมเกลี่ยริมฝีปากบวมเจ่อที่มันวาวคู่ตรงหน้าด้วยความเสียดายจับใจ ก่อนจะรวบเอวบางขึ้นจากตัก และส่งร่างน้อยให้หันกลับไปนั่งหน้าโต๊ะกระจกที่มีโน้ตบุ๊กเครื่องบางเปิดการทำงานรออยู่
ผมแอบขำกับท่าทางเบลอๆและดวงตาลอยคว้างของกระต่ายน้อยไม่ได้จริงๆ นี่ถ้าผมไม่เป็นฝ่ายยับยั้งชั่งใจ ฝูหรงคงได้นอนระทวยอยู่ใต้ร่างของผมแล้วล่ะ เพราะงั้นต้องยกความดีให้ผมนะเนี่ย ที่ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำจนทำคนน่ารักเสียงาน ผมได้ปล่อยให้ฝูหรงนั่งทำงานอยู่หน้าโซฟาท่ามกลางกองเอกสารมากมาย ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในครัว และต้องส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจแบบขำๆ กับถุงอาหารฟาสฟู้ดที่เจ้าของห้องคงตั้งใจกินประทังชีวิตแทนมื้อเย็น แล้วแบบนี้ผมจะปล่อยให้ฝูหรงคลาดสายตาได้อย่างไรกัน แค่เรื่องดูแลคุณภาพชีวิตตัวเองยังทำได้ไม่ดีเลย
ผมจึงโทรสั่งอาหารจากร้านอาหารจีนชื่อดังที่มีบริการเดลิเวอรี่สำหรับเราสองคน ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจยังห้องที่ผมต้องอาศัยนอนในคืนนี้ ระหว่างที่เดินมาผมแอบเห็นกระต่ายน้อยอยู่ในโหมดจริงจังกับงานตรงหน้าด้วย ฝูหรงเวอร์ชั่นนี้ก็น่าเอ็นดูไม่หยอก ผมถึงกลับหลุดครางและต้องพยายามสะกดกลั้น ไม่ให้หมาป่าเจ้าเล่ห์ในตัวกระโจนใส่กระต่ายน้อยที่แสนจริงจังตัวนั้นไว้
แต่แล้วผมถึงกลับหลุดขำกับสภาพห้องนอนตรงหน้า ด้วยทั้งตู้เสื้อผ้าและเตียงนอนเหมือนเพิ่งผ่านมรสุมลูกใหญ่มา จะมีสักกี่คนที่ได้รู้ว่าเจินฝูหรงที่แสนเรียบร้อยติดเนี้ยบ และดูออกจะเงียบขรึมในบางเวลานั้น จะเป็นคนไร้ระเบียบได้แบบสุดๆ หากความสนใจทั้งหมดถูกดึงไปเพราะงานที่ตัวเองทุ่มเท
ฝูหรงเองก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วๆไป ตื่นมาก็ไม่เก็บที่นอน เปิดตู้เสื้อผ้าก็ไม่ปิด แต่ดีเท่าไหร่แล้วแม้งานจะยุ่งก็ไม่ลืมหน้าค่าตาคนรักแบบผม ที่สำคัญยังคิดถึงความรู้สึกผมมากกว่าใครๆซะอีก แบบนี้ไม่รักได้ไงไหวใช่มั้ยครับ
“ฝูหรงมาทานก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ ฝูหรงอย่าดื้อกับพอล ไม่งั้นพรุ่งนี้พอลจะไปทำเรื่องลาออกกับไอ้หลี่ผิงแทนฝูหรงนะ” เรียกดีๆไม่ยอมมาต้องมีขู่กันบ้างครับ ซึ่งได้ผลเด็กดื้อเงยหน้าจากหน้าจอคอมมาทำสีหน้าขัดใจใส่ผมทันที และไม่พลาดที่จะทำปากยื่นๆเข้าใส่กัน อยากขำก็อยาก แต่ต้องฝืนใจไว้ เดี๋ยวคนน่ารักจะดื้อไม่เลิก
“อื้อออ ไม่เอาไม่ออก” คำตอบนั้นผมรู้อยู่แล้ว เพราะเราเคยคุยเรื่องลาออก ตั้งแต่ฝูหรงย้ายไปอยู่กับผมที่บ้านใหม่ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ยืนยันว่ายังไงก็ไม่ออกจะยังคงทำงานเหมือนเดิม
ผมเองจึงต้องยอมถอย แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะปล่อยให้ฝูหรงทำงานไปอีกสักนิด แล้วค่อยกล่อมให้ลาออกมาเป็นคุณนายตระกูลโจวเต็มตัวอีกที
“ถ้าไม่อยากออกจากงานก็มานี่ได้แล้วกระต่ายน้อย” สิ้นคำผมนั้น ฝูหรงลุกขึ้นจากพื้น ก่อนทำท่าบิดตัวไปมานิดหน่อย และก้มตัวลงพับหน้าจอโน้ตบุ๊กอย่างไม่รีบร้อน แถมด้วยการจัดเอกสารต่างๆทั้งๆที่ไม่จำเป็น มีทำเมินใส่ผมอย่างแง่งอน และแกล้งยืดเวลาด้วยการก้าวเท้าเข้าหาผมอย่างช้าๆ
ผมรับรู้ได้ว่าโดนกระต่ายน้อยยั่วให้โมโหเข้าแล้ว แต่เจ้าตัวจะรู้มั้ยว่าทำแบบนี้ แทนที่ผมจะโมโหหรือหงุดหงิดใส่ แต่ผมกลับมันเขี้ยวกับวิธีการเอาคืนแบบเด็กๆนี่ ผมจึงก้าวเข้าหากระต่ายช่างยั่วอย่างรวดเร็ว จนฝูหรงเองยังผงะ ก่อนอุทานออกมาทันทีที่ผมก้มลงทำตามใจคิด
“อ๊ะ! พอล! เหว่ออออ...อุ้มทำไมเนี่ยยย แกล้งกันเหรอ งื้อออ...โอ๊ย! เจ็บนะ” ผมกลั้วหัวเราะให้กับเจ้าของร่างบางช่างยั่วที่อยู่บนไหล่ โดนเอาคืนบ้างแล้วยังมีแรงโวยวายได้อีก ด้วยความมันเขี้ยวที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมจึงฟาดฝ่ามือลงบนก้นกลมเบาๆ แต่ที่ได้ยินคนน่ารักประท้วงออกมาว่าเจ็บ มันเกิดจากแรงบีบที่ก้อนเนื้อแน่นๆในอุ้งมือผมต่างหาก
“เด็กดื้อต้องโดนทำโทษบ้างนะรู้มั้ย...อึ๊บ! ทานมื้อเย็นได้แล้วนะครับ” หลังจากนั้นผมก็วางฝูหรงลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอาหาร ก่อนจะจับปลายคางมนเขย่าไปมา พร้อมชวนกึ่งบังคับให้เจ้าของความน่ารักได้ลงมือจัดการอาหารตรงหน้า แต่อาการแสยะยิ้มแยกเขี้ยวใส่ผมด้วยความไม่พอใจนั้น ทำให้ผมไม่คิดอดใจ ก้มลงจุ๊บปากแดงๆอีกสักที
“ [จุ๊บ!]...ช่วยไม่ได้ ฝูหรงอยากมาทำตัวน่ารักใส่พอลเองนะ รีบทานซะนะครับ ถ้าช้าพอลจะกินฝูหรงซะเอง” หากฝูหรงยังทำตัวน่ารักน่าขย้ำอยู่แบบนี้ ผมเองก็ชักไม่แน่ใจว่าจะอดกลั้นไหว และรอจนเจ้าตัวทำงานให้เสร็จได้รึเปล่า
หลังจากนั้นผมก็ไม่คิดจะแหย่กระต่ายแสนงอนของตัวเองอีก ปล่อยให้เจ้าตัวได้กินอย่างเต็มที่ และดูท่าจะหิวมากด้วย กินไม่พูดไม่จาเชียว แต่ถ้าผมไม่มาที่นี่และบังคับให้กิน เวลานี้ฝูหรงก็คงนั่งทำงานอยู่ที่เดิม ผมจึงตั้งใจไว้เลยว่าต่อจากนี้แม้ผมหรือฝูหรงจะยุ่งแค่ไหน ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คนๆนี้ต้องห่างสายตาเด็ดขาด
ผมเชื่อว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบที่จะเป็นฝ่ายถูกเอาใจ หรือรอรับการบริการจากคนรัก แต่สำหรับผมยินดีเป็นฝ่ายดูแลและบริการคนรักเสียเอง เพราะแค่ได้เห็นว่าคนรักของตัวเองนั้นมีความสุขและพอใจกับสิ่งที่เราทำให้ ตัวผมเองก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย
ตัวอย่างเหมือนในขณะนี้ ที่ฝูหรงเงยหน้าระบายยิ้มใส่ตาทั้งๆที่เคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย ผมก็สามารถยิ้มตามใบหน้าน่ารักๆนี่ได้แล้ว และยิ่งยิ้มได้กว้างขึ้น ยามที่คนรักคีบอาหารส่งให้กันถึงปาก พร้อมถ้อยคำแสดงความห่วงใยที่ดังตามมา
“ฝูหรงไม่เห็นพอลกินเลย ปลาอร่อยนะ ลองกินสิ” ผมก็ได้แต่อ้าปากกินปลาหิมะเนื้อขาวๆนั่นตามคำพูดเชิญชวนของคนรักที่น่ารักที่สุดในโลก แต่ใจจริงเชื่อมั้ยว่าอยากชิมเนื้อกระต่ายขาวๆมากกว่า ซึ่งผมก็ได้แต่คิด
สุดท้ายงานมหาโหดก็จบลงเมื่อเข็มนาฬิกาเดินเข้าวันใหม่ร่วมสองชั่วโมง คนที่โหมงานจนเสร็จถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่พร้อมบิดขี้เกียจ ก่อนจะซบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง ผมที่นอนอ่านหนังสือรอบนโซฟาตัวข้างหลังร่างบาง เพื่อให้กำลังใจอยู่ไม่ห่างนั้นก็โล่งใจไม่แพ้กัน
“เสร็จแล้วเหรอกระต่ายน้อย” ผมลูบหัวทุยพร้อมส่งคำถามที่รู้คำตอบดีแก่ใจไปด้วย แต่เจตนาแท้จริงคือการส่งความห่วงใยผ่านสัมผัสจากฝ่ามือต่างหาก
ส่วนคำตอบของฝูหรงเองก็เป็นคนละเรื่องกับที่ผมถาม แต่กลับตรงใจในสิ่งที่ผมอยากรู้ และถูกใจผมนักกับท่าทางที่ฝูหรงแสดงออกมา
“ฝูหรงเหนื่อยจังเลยพอล” ฝ่ามือผมที่เคยวางบนหัวกลมๆ นาทีนี้กลับโดนเจ้าของน้ำเสียงออดอ่อยคว้าไปวางแนบแก้ม มีขยับแก้มถูไปมาด้วยท่าทางออดอ้อนอีก ทั้งๆที่เปลือกตาทั้งคู่ปิดสนิท
ผมตัดสินใจกดปากกดจมูกเข้าที่กลางกระหม่อมของกระต่ายน้อยขี้อ้อน ก่อนก้มลงกระซิบข้างใบหูพร้อมลูบแก้มใสข้างเดียวกันนั้นไปด้วย
“เหนื่อยก็นอนนะครับ เดี๋ยวพอลดูแลกระต่ายน้อยเอง” พูดจบผมก็ช้อนตัวคนรักขึ้นอุ้ม ซึ่งคนที่กำลังอมยิ้มน้อยๆในอ้อมกอดผมก็เหมือนจะรู้ตัวอยู่แล้ว
ฝูหรงโอบแขนเข้าคล้องคอผมทันที และซบหน้าลงกับไหล่ ก่อนจะถอนใจยาวเหยียดด้วยความโล่งใจตามมา
ผมบอกแล้วว่ายินดีและเต็มใจอย่างที่สุดที่ได้บริการคนรัก เพราะความสุขของฝูหรงคือความสุขของผมไม่ต่างกัน ดังนั้นก่อนที่กระต่ายน้อยจะมานอนแก้มใสตัวหอมฟุ้งให้ผมกอดสมใจ จึงเป็นฝีมือบริการจากผมล้วนๆ ตั้งแต่อาบน้ำจนกระทั่งแต่งตัว ซึ่งผมอดที่จะยกย่องตัวเองไม่ได้จริงๆที่มีความอดทนเป็นเลิศ สามารถข่มใจกับความยั่วยวนได้สำเร็จ จนได้รางวัลเป็นอ้อมกอดอบอุ่น จุ๊บเบาๆหนึ่งทีที่ปลายคาง และคำขอบคุณที่มาพร้อมคำรักหวานหูก่อนเข้านอน
“ขอบคุณนะพอล ฝูหรงรักพอลจังเลย” สำหรับค่ำคืนนี้ ถ้อยคำที่ได้ยินทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ
“พอลก็รักฝูหรง”
.............................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะเชื่อว่าคนที่เป็นฝ่ายดูแลจะมีความสุขมากกว่าฝ่ายถูกดูแล
ใครบางคนถึงเคยพูดว่าการเป็นผู้ให้นั้นสุขใจมากกว่าการเป็นผู้รับ
พอลเองก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันเนอะ...ลองเป็นผู้ให้ดูนะคะแล้วคุณจะรู้
ตอนหน้าเรามาเสพความหวานกันต่อ แอบบอก>>>ทั้งคู่มีเปลี่ยนสถานที่ด้วย!!!
เจอกันวันจันทร์ค่ะ+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ