ตอนที่ 9โจวพอล“แฟนแกเป็นไงบ้าง เห็นมามาบอกว่าไม่สบาย”
ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันได ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของน้ำเสียงหนักแน่นทรงอำนาจ แต่แฝงไว้ซึ่งแววเอื้ออาทรท้ายประโยค จึงได้พบกับปาปาและมามาที่นั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟาชุดรับแขกกลางบ้าน ด้วยทั้งสองท่านกำลังนั่งจิบกาแฟหลังอาหารเช้าด้วยกัน ซึ่งเป็นภาพที่ชินตาสำหรับลูกชายอย่างผม ก่อนผมจะหันไปสั่งเด็กรับใช้ที่ถือถาดอาหารตามหลังมา ให้ยกอาหารขึ้นไปที่ห้องนอนตัวเองก่อนได้เลย หลังจากนั้นผมก็เดินระบายยิ้มเข้าหาบุพการี และนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างปาปา
“ฝูหรงไข้ลดแล้วครับ แต่ยังดูเพลียๆอยู่ ผมเลยให้นอนอยู่บนห้อง นี่ก็กำลังเอาอาหารเช้าไปให้”
“แกนี่นะ พาลูกเค้ามาอยู่ด้วยแค่คืนเดียวก็เป็นเรื่องซะแล้ว” ปาปาตำหนิผมและส่ายหัวเบาๆ พร้อมจิบกาแฟไปด้วย แต่ดวงตาที่ท่านเหลือบมองมายังผมนี่สิ ฉายแววรู้เท่าทันชัดๆ ผมก็ได้แต่อมยิ้มใส่ตาท่านและไม่คิดจะแก้ตัวอะไร
“ลูกอย่าลืมให้ฝูหรงทานยาหลังอาหารด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวไข้จะกลับซะก่อน...ไปเถอะลูก ไปดูแลแฟนเราให้ดี อยู่ตัวคนเดียวในฮ่องกงด้วย น่าสงสารออก” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของมามาอีลิน่า สอดคล้องไปกับความหมายในประโยคที่ได้ยิน ด้วยท่านคงทั้งเอ็นดูและสงสารพ่อกระต่ายน้อยของผมจับใจ
“ฝูหรงไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในฮ่องกงแล้วนะครับ เพราะตอนนี้มีผมคอยอยู่เคียงข้างแล้วทั้งคน ไหนจะมีปาปามามาคอยเอ็นดูอีกตั้งสอง...ผมขอบคุณปาปามามามากนะครับที่ยอมรับฝูหรง” เมื่อจบประโยคสุดท้าย ผมทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าบุพการีก่อนจะก้มหัวให้ท่าน เพื่อแสดงความขอบคุณจากหัวใจ ที่ปาปามามาไม่ขัดขวางความรักของผม แต่ยังสนับสนุนและให้ความเอ็นดูในคนที่ผมเลือกอีกด้วย
“คนเป็นพ่อเป็นแม่รักลูกสุดหัวใจไม่ต่างกัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่มามาปาปาจะไปขัดขวางความสุขของลูกนี่จ๊ะ พอลรักใครมามาปาปาก็รักด้วยอยู่แล้ว แต่ขออย่างเดียว...” ประโยคที่ถูกทิ้งไว้ไม่กล่าวจนจบของมามา ทำให้ผมตัดสินใจรวบมือนุ่มที่กำลังลูบหัวผมมากุมไว้ ก่อนจะเงยหน้าสบตามามาเพื่อรอฟังคำขอของท่าน ส่วนในใจนั้นรับคำตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าคำขอคืออะไรไปแล้ว
“อย่าให้ความรักย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองเหมือนครั้งอดีตอีกนะลูก” แววตามามาอ่อนแสงลงจนผมใจหาย เพราะท่านคงติดใจมานาน ด้วยนึกเห็นใจในอาการเศร้าซึมของผมเมื่อห้าปีก่อน ครั้งที่ฝูหรงทิ้งผมไปโดยไม่บอกกล่าว ประกอบด้วยท่านเองก็ไม่รู้ถึงสาเหตุของอาการที่ผมเป็น จึงยิ่งทำให้ท่านกังวลมากกว่าปกติ
ผมช่างเป็นลูกอกตัญญูเสียจริงที่ปล่อยให้บุพการีโศกเศร้าและเป็นทุกข์เพราะตัวเอง แม้แต่ปาปาคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากมามานัก ด้วยแววตาของปาปายามนี้แสดงออกชัดถึงความห่วงใยที่มีต่อลูกอย่างผม
“ครับ ผมจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีก ตอนนั้นผมยังเด็ก ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนพิษรักเล่นงานเข้าแล้ว พลอยทำให้ปาปามามาเป็นทุกข์ไปด้วย ผมขอโทษ แต่ตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้ว เรียนรู้ที่จะดูแลความรักของตัวเอง และดูแลความรักที่ผู้อื่นมอบให้ด้วย โดยเฉพาะความรักที่ปาปามามามีให้แก่ผม...ยกโทษให้ลูกชายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ด้วยนะครับ” พูดจบผมก้มหัวลงต่ำแทบจรดพื้น แต่มีฝ่ามืออุ่นๆถึงสองคู่มารั้งไหล่ผมไว้
“พูดอะไรแบบนั้นกันลูก! มามาปาปาไม่เคยโกรธลูกเลยนะจ๊ะ” แม้น้ำเสียงมามาจะฟังดูตกใจ แต่ดวงตาที่ผมได้สบกลับเอ่อคลอได้ด้วยหยาดน้ำใสๆ แต่แววตากลับเปล่งแสงแห่งความภาคภูมิใจ พลอยทำให้ผมตื้นตันใจไปด้วย
“โจวพอล รับปากแล้วก็ทำให้ได้ตามที่พูด...ไปเถอะไปดูแลคนรักของแกซะ ป่านนี้คงตื่นแล้ว ตื่นมาไม่เจอใคร เดี๋ยวจะพาลน้อยใจจนไข้กลับซะก่อน” แม้ประโยคที่ได้ยินจะแสดงถึงเจตนา ที่ปาปาตั้งใจหยอกเย้าลูกชายคนเดียวอย่างผม แต่น้ำเสียงของท่านยังคงหนักแน่น เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจไม่เปลี่ยน
หากคนไม่รู้จักปาปามาได้ยินเข้าคงอดเกรงกลัวไม่ได้ แต่ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่าแววตาคนพูดนั้น สอดคล้องไปกับความหมายในประโยคที่เพิ่งได้ยิน ด้วยตาคู่เรียวเล็กนั้นทอประกายขบขันอยู่ไม่น้อย และนี่แหละคือโจวฟู่สือเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์แห่งฮ่องกงตัวจริง ผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกน่าเกรงขาม แต่มีจิตใจที่แสนอ่อนโยนเอื้ออาทรนัก ที่สำคัญโจวฟู่สือยังเป็นพ่อที่รักลูกมากที่สุดคนหนึ่งด้วย
หลังจากนั้นมามาก็สนับสนุนคำพูดปาปา ให้ผมรีบขึ้นมาดูแลคนรัก ผมเองแสนเต็มใจทำตามที่ท่านพูด ระหว่างทางก็เริ่มกังวลใจว่ากระต่ายน้อยจะมีอาการตามที่ปาปาว่าไว้ ด้วยฝูหรงยามไม่สบายนั้น กลับมีอาการแปลกๆอย่างที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน อย่างเมื่อคืนตอนที่ฝูหรงรู้สึกตัวหลังจากเป็นลมต่อหน้ามามาแล้วนั้น คนน่ารักกลับมีอาการไข้ขึ้น ตามมาด้วยอาการงอแงหงุดหงิดไม่เอาอะไรทั้งนั้น แถมยังดื้อไม่ยอมให้ผมเช็ดตัวลดไข้ให้อีก จนผมต้องแกล้งดุ ผลก็คือน้ำตาเม็ดโตๆร่วงหล่นมาตามแก้มใสไม่ขาดสาย และตาฉ่ำน้ำก็จ้องมายังผมด้วยสายตาตัดพ้อชวนน่าใจหาย ทำเอาผมตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง และกว่าจะได้สติมาปลอบกระต่ายน้อยให้หยุดร้องได้ก็เล่นเอาเหนื่อยทั้งคู่ สำคัญที่ใจผมนั้นแทบจะขาดออกเป็นชิ้นๆ กับเสียงสะอื้นและคราบน้ำตาของคนรักเข้าน่ะสิ
สุดท้ายผมก็ปะเหลาะเช็ดตัวกระต่ายน้อยจนสำเร็จ แต่ผมก็แทบคลั่งกับผิวละเอียดอมชมพูตลอดร่างของคนรัก ยามที่ใช้ผ้าเช็ดตัวลูบไล้ไปตามผิวขาวอมชมพูออกแดงเพราะพิษไข้ ซึ่งผมก็ได้แต่ข่มใจและรีบจับกระต่ายน้อยน่ารักสวมชุดนอนอย่างเร็วที่สุด
อะไรๆข้างต้นที่ว่าลำบากและต้องใช้ความอดทนมากแล้ว ยังเทียบไม่ได้กลับตอนหลอกล่อให้ฝูหรงกินยา เพราะกระต่ายน้อยจอมงอแงเกลียดการกินยาเป็นที่สุด แต่ผมก็มีวิธีจัดการ ‘ป้อนยา’ ตามสไตล์ผมจนสำเร็จ ซึ่งผลข้างเคียงที่ตามมาก็เป็นที่น่าพอใจ ด้วยฝูหรงหมดฤทธิ์เคลิ้มหลับอยู่กับอกผมเชียวล่ะ ทำให้ผมได้มีเวลาจัดการตัวเอง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างร่างอุ่นจัด
ส่วนอาการแปลกๆตอนป่วยของกระต่ายน้อยยังไม่หมดเท่านั้น เพราะกลางดึกเจ้าตัวมีนอนเพ้อโวยวาย ที่สำคัญพอผมจับใจความได้ ดันเป็นการตัดพ้อต่อว่าตัวผมซะอีก ด้วยคงเป็นเรื่องอดีตที่ฝังใจจากการเข้าใจผิด ทำเอาผมสะท้อนใจว่าได้ทำร้ายจิตใจคนรักจนเป็นแผลลึกอย่างไม่รู้ตัวเข้าแล้ว จนผมต้องกอดรัดร่างที่ดิ้นรนบนเตียงพร้อมกล่อมนอน สลับกับการเช็ดตัวเพื่อลดไข้ไปด้วย
หากนับเวลานอนรวมๆกันตลอดคืน ผมว่าผมได้นอนไม่เกินสองชั่วโมง ทำเอาตื่นสายจนไม่ได้ร่วมโต๊ะมื้อเช้ากับปาปามามาดังเคย แต่ดีที่เป็นวันหยุดของผมและฝูหรง ทำให้ไม่ต้องวุ่นวายและกังวลเรื่องงานนัก นี่ผมก็ไม่รู้ว่ากระต่ายน้อยตื่นรึยัง และถ้าตื่นนอนมาแล้วไม่เจอผม จะมีอาการงอแงพาลงอนไม่คุยด้วย หรือจะโวยวายทำหน้าบึ้งให้ผมต้องง้อรึเปล่า กระต่ายน้อยยามป่วยทำเอาผมเดาอาการไม่ถูกเลย ไอ้ที่พูดที่บ่นไปไม่ใช่เพราะรำคาญหรือไม่ชอบ แต่ผมกลับพอใจมากกว่าที่ได้เห็นฝูหรงในอีกแง่มุมหนึ่ง เพราะผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะได้รู้จักเจินฝูหรงในลักษณะนี้
อาการของฝูหรงที่ผมคาดเดาไว้ ไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ผมกำลังเผชิญหน้านี้เลยสักนิด ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องนอนเข้ามา ผมพบกับกระต่ายน้อยขี้แยกำลังนั่งก้มหน้าน้ำตาไหลพราก แก้มแดงก่ำ และเม้มปากจนแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้อง โดยมีเด็กรับใช้ที่ผมให้ยกถาดอาหารเข้ามาก่อนนั้น ยืนอยู่ข้างเตียงทำหน้าเลิ่กลั่กด้วยทำตัวไม่ถูก แต่พอกระต่ายน้อยเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นผม เสียงที่เคยกลั้นไว้ก็ปล่อยโฮออกมาจนผมตกใจ
“ฮึกๆ ฮืออออ...พอล พอลลล โฮๆๆๆ” ผมไม่รอช้าที่จะก้าวเข้าหาคนน่ารักบนเตียงที่กำลังเรียกหา แถมด้วยการยื่นแขนทั้งคู่มาตรงหน้า เหมือนว่าเจ้าของกำลังต้องการอ้อมกอดจากผมเป็นอย่างมาก
เมื่อถึงตัวฝูหรงแล้ว ผมจึงรวบกอดร่างเล็กไว้กับอก และลงมือลูบหัวลูบหลังเป็นการปลอบประโลม ก่อนจะพยักพเยิดส่งสัญญาให้เด็กรับใช้ออกไปได้
“ชู่ว์ๆๆ ไม่ร้องนะครับกระต่ายน้อยของพอล ไม่ร้องนะ รู้มั้ยร้องมากๆเข้า เดี๋ยวไข้ขึ้นพาลปวดหัวขึ้นมาอีก หยุดร้องนะครับ ให้พอลดูหน้าหน่อยเร็ว...ต้องแบบนี้สิคนเก่ง” ผมปลอบคนน่ารักที่กำลังปล่อยโฮกับอก ไม่ต่างจากการปลอบเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง ด้วยเสียงนุ่มๆกับสัมผัสอ่อนโยน ทำให้เสียงร้องของกระต่ายน้อยค่อยๆเบาบางลง จนกระทั่งเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นเล็กๆเท่านั้น
ผมจึงกอบกุมใบหน้าฝูหรงขึ้น และระบายยิ้มอ่อนโยนใส่ดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตา ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยความชื้นที่แก้มใส จนกระทั่งเหลือเพียงคราบชื้นๆเท่านั้น แต่แววตาตัดพ้อในดวงตากลมๆที่จ้องผมไม่กระพริบกลับไม่จางหาย ทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย
“ฝูหรง ทำไมมองพอลแบบนั้น พอลทำอะไรให้โกรธอีกครับ...ไหนลองบอกซิ” ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบชิดริมใบหูแดงๆพร้อมเอ่ยคำขอในท้ายประโยค ก่อนช้อนร่างเล็กขึ้นนั่งคร่อมตัก พร้อมโอบกอดและโยกตัวเบาๆ ด้วยอยากหลอกล่อกระต่ายน้อยขี้แยด้วยสัมผัสอ่อนโยน
ฝูหรงเองก็ซบหน้าลงกับไหล่ และใช้วงแขนคล้องเข้าที่รอบคอผม ก่อนจะเงียบไปนาน ปล่อยให้ผมได้หากำไรจากร่างอุ่นๆ ด้วยการซุนจมูกสูดกลิ่นหนุ่มน้อย จากซอกคอและท้ายทอยชื้นๆ แต่แล้วผมต้องชะงักกับคำตอบที่ได้ยิน จากเจ้าของน้ำเสียงแหบๆที่ดังแผ่วแถวซอกคอ
“ไม่เห็นต้องสนใจเลย ไม่ได้รักกันมากพออยู่แล้วนี่ ปากบอกว่ารัก แต่การกระทำ...ฮึกๆ” เสียงสะอื้นมาอีกระลอกแล้วครับ และผมจะไม่ทนอีกต่อไป!
ผมกอบกุมใบหน้าเล็กๆขึ้นและประกบจูบปิดปากสีสดที่อุ่นจัด ก่อนช่วงชิงจังหวะที่กระต่ายน้อยยังไม่ทันตั้งตัว ส่งลิ้นเข้าโพรงปากชื้นและควานหาลิ้นนิ่มตวัดชิมรสหวานๆของปลายลิ้นช่างตัดพ้อ จนกระทั่งกระต่ายน้อยคิดเยอะตัวอ่อนระทวยไปกับรสจูบ ผมจึงตัดใจผละห่างเพื่อปล่อยให้คนตัวเล็กมีโอกาสหายใจหายคอบ้าง และรอจนกระทั่งดวงตากลมที่ลอยคว้างค่อยๆจับโฟกัสมาที่ใบหน้าผม
“พอลไม่รู้นะว่าพูดหรือทำอะไรให้ฝูหรงคิดมาก ยืนยันนะครับว่าพอลรักฝูหรง...ถ้าไม่รักคงไม่ตื้อขอคืนดี ถ้าไม่รักคงไม่พามาที่นี่ ถ้าไม่รักคงไม่อยากกอดอยากจูบฝูหรงอยู่ตลอดเวลาแบบนี้หรอก” คำว่ารักของผมทำให้ตากลมๆสั่นไหว ก่อนเจ้าของมันจะหลบตากันด้วยการซุกหน้าลงกับอกผม ตามมาด้วยเสียงสั่นๆที่เผยความในใจออกมาให้ผมรู้
“ก็ถ้ารัก ทำไมถึงทิ้งให้นอนคนเดียวล่ะ ตื่นมาไม่เจอพอล มัน...ฮึก!...แล้วทำไมถึงทำท่าไม่อยากบอกเรื่องของเรากับนายน้อยด้วย” สาเหตุของอาการงอแงของกระต่ายน้อย น่าจะมาจากสาเหตุสุดท้ายมากกว่า ด้วยฝูหรงคงติดใจในสิ่งที่ผมพูดกับพี่เป๋าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ส่วนสาเหตุแรกก็เป็นเพียงตัวสนับสนุน ทำให้คนไม่สบายที่สภาพจิตใจไม่มั่นคงอยู่แล้ว ได้ปะทุความไม่สบายใจออกมาก็เท่านั้น
“พอลขอโทษที่ทิ้งฝูหรงไว้คนเดียว ก็ไม่นึกนี่หน่าว่ากระต่ายน้อยตื่นมาไม่เจอใครแล้วจะเกิดอาการงอแงแต่เช้าแบบนี้ โอ๋ๆๆ พอลล้อเล่นครับ ไม่ร้องนะ ฮึๆ...สำหรับหลี่ผิง ไม่ใช่ว่าพอลไม่อยากเปิดเผยเรื่องของเรา แต่ที่ห้ามพี่เป๋าไว้ เพราะพอลอยากพาฝูหรงไปเปิดตัวกับเพื่อนๆด้วยตัวเองมากกว่า ฝูหรงเป็นคนสำคัญของพอลนะ ถ้าพวกมันจะรู้เรื่องของเรา ควรที่จะรู้จากปากพอลเองถึงจะถูก...เลิกคิดมากได้แล้วครับกระต่ายน้อย มาทานโจ๊กดีกว่าจะได้ทานยา แล้วจะได้หายไวไว”
หลังจากปล่อยให้เจ้าของตาคู่กลมทำความเข้าใจในคำพูดของผมแล้ว ผมจึงอมยิ้มส่งสายตาหยอกล้อใส่ตากลมๆที่มีแววเขินอายจางๆ แต่ผมก็ต้องกลั้นขำกับสีหน้าเหยเกยามที่ผมเอ่ยถึงเรื่องการกินยา และก่อนที่กระต่ายน้อยจะกลับมางอแงอีกครั้ง ผมก็ก้มหน้าแตะปากเข้ากับกลีบปากสีสดเร็วๆและผละห่าง ก่อนจะยกร่างน้อยลงจากตัก เพื่อเอื้อมไปหยิบชามโจ๊กบนถาดอาหาร และใช้ช้อนคนเบาๆไล่ความร้อน พร้อมอมยิ้มจ้องตาคนป่วยตัวน้อยไปด้วย
“ทานโจ๊กก่อนนะครับ อย่าดื้อสิ อ้าม...แบบนั้นสิคนเก่ง ฮึๆ”
“หึ! ไม่ใช่เด็กซะหน่อย” ผมส่ายหัวยิ้มๆให้กับหนุ่มน้อยผู้ไม่ยอมรับความจริง
“ครับ ไม่เด็กก็ไม่เด็ก เพราะถ้าเป็นเด็กจริงก็คงไม่ต้องมาป่วยแบบนี้...ใช่มั้ย” สิ้นคำผม ฝูหรงกระพริบตาปริบๆมองมายังผมแบบงงๆ
‘มีเด็กที่ไหนบ้าง ที่มีสามีเป็นตัวเป็นตน คอยปรนนิบัติยามเจ็บไข้เช่นนี้’
ผมเลือกที่จะส่งช้อนไปจ่อปากสีสด และพยักหน้าลุ้นให้เจ้าตัวอ้าปากรับ แต่ยังไม่ทันกลืนคนตัวเล็กก็เบิกตากว้าง เหมือนว่าเพิ่งกระจ่างในคำพูดแฝงนัยยะของผม และทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ติดที่ว่าปากไม่ว่างจึงได้แต่อึกอักมีสีหน้าขัดใจ เห็นแล้วผมแทบหลุดขำแต่ก็กลั้นไว้ ขืนหลุดกระต่ายน้อยว่าง่ายคงได้แปลงร่างเข้ามาขบหัวผมน่ะสิ ก่อนผมจะจ่อช้อนไปที่ริมฝีปากคู่เดิมอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนน่ารักกลืนโจ๊กลงคอแล้ว ซึ่งฝูหรงทำท่าจะเบี่ยงหน้าหนีด้วยท่าทางแสนงอน ตาแข็งปากยื่นแต่ปลายจมูกกลับแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู
“ถ้าอิ่ม ก็กินยาเลยแล้วกัน” ผมชูถุงยาขึ้นแกว่งต่อหน้ากระต่ายน้อยขี้งอน ผลก็คือฝูหรงส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ พร้อมส่งค้อนมาให้ผม
“จิ๊! จะป้อนก็ป้อนสิ...อ้า~” รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังยิ้มจนปากแทบฉีก กับท่าทางแสนงอนอย่างยอมจำนน และพยายามเอาตัวรอดของกระต่ายน้อยผู้ที่เกลียดการกินยา ด้วยการอ้าปากรอรับโจ๊กที่ผมป้อน กับตาเขียวๆที่แอบต่อว่าต่อขานผมในใจ
“ต้องแบบนี้สิคนเก่งของพอล ฮ่าๆ” จบคำผมปุ๊บ คนเก่งของผมก็สวนกลับทันทีว่าไม่ใช่เด็กไม่ต้องชมหรอก
ผมก็ได้แต่กลั้วหัวเราะและรับคำคนเก่งเท่านั้น แม้ร่างกายและนิสัยยามไม่สบายของคนน่ารัก จะใกล้เคียงคำว่าเด็กน้อยก็ตามที แต่ผมก็ไม่คิดเถียงด้วยไม่อยากเห็นเด็กขี้แยน้ำตาไหลจากการโดนขัดใจ
ไม่นานโจ๊กในชามก็พร่องไปเกือบค่อนชาม ทำให้ผมต้องยอมรามือ เมื่อคนน่ารักส่ายหน้าและบ่นว่าอิ่ม ก่อนผมจะยื่นแก้วให้เจ้าตัวดื่มน้ำ ตามด้วยการซับมุมปาก จึงได้รับรางวัลเป็นรอยยิ้มหวานๆของกระต่ายน้อยอารมณ์ดี แต่แล้วใบหน้าขาวๆที่กำลังผ่อนคลายกลับเริ่มบูดบึ้ง ยามที่ฝูหรงเห็นผมแกะยาออกจากซอง ผมลอบยิ้มและเริ่มคาดหวังในบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“ทานยาหลังอาหารนะครับ” ฝูหรงส่ายหน้าหวือแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ มีขยับกายถอยหนีไปจนชิดขอบเตียงด้วย
ผมจึงแกล้งขยับตัวเข้าหาอย่างช้าๆ พร้อมจ้องที่ดวงตาตื่นๆคู่นั้นด้วยสีหน้าจริงจัง ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าป่าเตรียมขย้ำเหยื่ออันแสนโอชะ
“พะ...พอล ไม่กินได้มั้ย มันขมติดคอ...นะพอลนะ~” แววตาละห้อยที่มาพร้อมน้ำเสียงออดอ้อนของกระต่ายน้อยยามนี้ ไม่ได้ทำให้ผมใจอ่อนเหมือนยามปกติสักนิด ขืนใจอ่อนด้วยคงไม่พ้นป่วยเรื้อรัง นี่ฝูหรงก็ยังตัวอุ่นๆมีไข้อยู่เลย
“พอลตามใจฝูหรงทุกเรื่องครับ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้ กินยาก่อนนะจะได้หายป่วย” ผมระบายยิ้มส่งกำลังใจใส่ตากลมๆที่เต็มไปด้วยความหนักใจ พร้อมยื่นมือไปปัดปอยผมที่ร่วงปิดหน้าผากให้นิด ก่อนจะลูบแก้มใสอีกหน่อย และพยักหน้าน้อยๆอย่างเชิญชวน
‘ผมไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน แต่ก็ได้มีประสบการณ์ก็ตอนนี้ล่ะครับ ฮึๆ’
แม้แววตาของฝูหรงจะอ่อนแสงแห่งความดื้อดึงลงแล้ว แต่สีหน้าก็ยังบูดบึ้งไม่ยอมลงให้ผมอยู่ดี แถมริมฝีปากยื่นๆคู่ตรงหน้านี่ก็น่ามันเขี้ยวนัก ‘น่าจับกินซะให้เข็ด’ ดูท่าแล้วยังไงซะกระต่ายน้อยคงไม่ยอมกินยาง่ายๆ แน่ะ! มีหันหน้าหนีผมอย่างงอนๆอีกด้วย ผมจึงเชยปลายคางมนให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“ถ้าฝูหรงไม่ยอมกินยาดีๆ งั้นพอลจะใช้วิธีเดิมกับเมื่อคืนนะ” ผมไม่รอคำตอบ แต่เลือกที่จะหย่อนยาในมือใส่ปากและกระดกน้ำจากแก้ว ก่อนเคลื่อนใบหน้าเข้าหากระต่ายน้อยแสนดื้ออย่างรวดเร็ว เพื่อก้มปิดปากที่กำลังเอ่ยปฏิเสธ
“ห้ะ! ไม่เอานะ...อุ้บ!...อื้ออออ” ผมตวัดลิ้นส่งยาเข้าสู่โพรงปากอุ่น รอจนแน่ใจว่ายาเม็ดเล็กๆเหล่านั้นไหลลงคอคนป่วยตัวน้อยไปแล้วเรียบร้อย
ผมจึงผละใบหน้าออกอย่างช้าๆ ทำให้พบกับกระต่ายน้อยหน้ายู่หลับตาปี๋ มีบ่นใหญ่ว่าขมๆทั้งๆที่ยาไม่ได้โดนลิ้นตัวเองสักนิด ‘ข้อนี้ผมมั่นใจเพราะเป็นคนส่งลงคอด้วยตัวเอง’ แถมยังมีรอยชื้นของน้ำจากมุมปากไหลลงสู่ปลายคาง ก่อนเปลือกตาใสจะเปิดออก เผยให้เห็นดวงตาแข็งๆแฝงแววต่อว่าต่อขาน ผมจึงก้มหน้าไปกัดปลายคางมนเบาๆเป็นการหยอกเย้า ด้วยความมันเขี้ยว
“อ๊ะ! กัดไมเนี่ย...อึ้ย! เลียทำไม ปล่อยเลยนะ!...อ่ะ!........พอล~ อื้อออ” หากถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฟังดูเหมือนกระต่ายน้อยถูกผมปล้นจูบ!
คุณเดากันไม่ผิดหรอก เพราะหลังจากที่ผมหยอกล้อคนน่ารัก ด้วยการกัดปลายคางเล็กๆนั่นเล่น เจ้าของดันโวยวายเบาๆต่อว่ากัน ผมเลยอดแกล้งต่อไม่ได้ ด้วยการเลียรอยน้ำชื้นๆใต้คางย้อนกลับไปยังมุมปาก และยิ่งกระต่ายน้อยดิ้นรนพร้อมต่อว่า เพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของผม
ผมจึงแกล้งดันร่างน้อยให้นอนหงายลงไปกับเตียง จนเราได้มาจ้องตากันโดยมีผมนอนคร่อมฝูหรงไว้ แต่ตบะผมมาแตกก็ต่อเมื่อกระต่ายน้อยจงใจเรียกชื่อผมด้วยเสียงหวานๆ ด้วยเจ้าตัวคงตั้งใจอ้อนให้ผมปล่อยจากท่วงท่าแสนอันตรายนั่นแหละ แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำที่เพิ่งทำไปนั้น สุ่มเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดแก่ร่างกายตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะผมไม่ขอทนต่อความน่ารักที่อยู่แค่เอื้อม ด้วยผมก้มประกบจูบริมฝีปากแดงฉ่ำวาวน้ำทันที และได้พบว่าจูบเรายังหวานเหมือนเดิม
ผมไม่ได้เอาเปรียบกระต่ายน้อยที่กำลังป่วยมากนัก เมื่อรู้สึกว่าคนตัวเล็กใต้ร่างเริ่มอ่อนระทวย ผมก็ผละจูบ จนได้มานอนมองกระต่ายแก้มแดงหลับตาพริ้ม ปากเจ่อเผยอรับมวลอากาศ แถมอกบางๆก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างน่ามอง ก่อนดวงตาสุกใสที่มีกระแสหวามไหวสั่นระริกจะจ้องกลับมาที่ผม ผมจึงบรรจงคลี่ยิ้มใส่ตาคู่นั้น พร้อมส่งปลายนิ้วไปไล้ริมฝีปากแดงฉ่ำแผ่วเบา
“รีบหายเร็วๆนะครับ กระต่ายน้อยของพอล” พูดจบผมก็รวบร่างอุ่นเข้าหาอก
หลังจากนั้นไม่นานผมก็รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดแถวซอกคออยู่ในช่วงจังหวะที่สม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเจ้าของร่างในอ้อมกอดผมได้เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง คงด้วยเพราะพิษไข้และฤทธิ์ยาที่ฝูหรงได้รับไป
ตลอดช่วงวันหยุดผมจึงได้มีโอกาสนอนกอดร่างคนรักและได้ดูแลยามเจ็บไข้ เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่เราห่างกัน แม้มันจะเทียบไม่ได้กับเวลาที่เราเสียไปก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรักษาไว้ให้ดี ยิ่งเวลาที่มีความสุขยิ่งต้องเฝ้าทะนุถนอมและซึมซับกับความสุขให้เต็มที่ ไม่ควรชะล่าใจและปล่อยมันผ่านพ้นโดยไม่ใส่ใจ เพราะหากถึงเวลานั้นคงทั้งเสียดายและเสียใจ แต่ก็ย้อนกลับมาแก้ไขไม่ได้เสียแล้ว
ดั่งที่มีคนกล่าวไว้ว่าคนเราควรรักษาสามสิ่งสำคัญไว้ให้ดี ‘เวลา ความรัก เพื่อนแท้’ เพราะหากต้องสูญเสียไปยากนักที่จะได้กลับคืน แต่ผมคงเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้คนรักที่เคยสูญเสียไปแล้วกลับคืนมา แม้จะเสียเวลาไปมาก แต่ผมก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า เวลาต่อจากนี้ของเรา ผมจะทำให้คนที่ผมรักมีความสุขที่สุด แล้วคุณล่ะรักษาสามสิ่งที่ว่าไว้อย่างดีรึยัง
...........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะตอนนี้คงได้แต่ยอมพ่อพระเอกแสนดีอย่างพอลอ่ะนะ
ดูแลกระต่ายน้อยดีก็จริง แต่อดไม่ได้ที่จะหาเศษหาเลยกับคนน่ารัก
แต่เชื่อได้ว่าบรรยากาศหวานๆตอนนี้ คงทำให้คนอ่านบางท่าน
แอบกรี๊ดแอบจิกหมอนขาดกันบ้างล่ะน้า

+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
ปล.ตอนหน้าเจอกันวันจันทร์นะคะ
