ตอนที่ 3เจินฝูหรง‘กระต่ายน้อยของผม อย่าคิดหนีกันอีกเลย เพราะต่อจากนี้ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปไหนอีกแล้ว’
ประโยคดังกล่าวดังวนเวียนอยู่ในหัวของผม เหมือนใครกดปุ่มรีเพลย์ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งถึงนาทีนี้ นาทีที่รถยนต์ที่ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง จอดลงยังลานจอดรถของคอนโดที่ผมพักอาศัย
หากคุณถามผมว่าหลังประโยคดังกล่าวผมมีอาการอย่างไร ในเมื่อเจ้าของประโยคเอาแต่ใจ สื่อชัดถึงความตั้งใจว่าไม่มีวันปล่อยผมไปไหนแน่นั้น คงต้องบอกว่าความรู้สึกในใจผมมันสับสนไปหมด ทั้งตกใจ คาดไม่ถึง โกรธ และหวั่นไหว!!
จะว่าไปความรู้สึกดังกล่าวไม่ใช่เพิ่งมาเกิด เรียกได้ว่ามันเกิดกับผมตั้งแต่เมื่อวาน วันที่ผมกับเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้งด้วยความบังเอิญ แต่เป็นความจงใจของผมมาตลอดที่พยายามหลีกเลี่ยงการเจอหน้ากัน ตั้งแต่ผมรู้ว่าเจ้านายโดยตรงของผมเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่เคยทำผมเจ็บช้ำ ครั้นจะลาออกเปลี่ยนงานผมก็เสียดายงานดีๆเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น แต่ผมไม่คิดว่าการติดตามนายน้อยออกนอกสถานที่จะทำให้เจอโจวพอลด้วยความบังเอิญได้
ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานั้น แม้มันจะรุนแรงในความรู้สึกของผมนัก แต่ในยามที่ผมโดนขโมยจูบ นาทีนั้นบอกเลยว่าสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ และได้แต่ดื่มด่ำกับความหอมหวานของรสจูบ ที่ยังคงจดจำได้ไม่ลืมในส่วนลึกของจิตใจ ความรู้สึกตกใจความโกรธหรือแม้แต่ความรู้สึกหวั่นไหวหายไปสิ้น
ตอนที่ผมได้ตัดสินใจกลับมายังฮ่องกงหลังจากที่จากไปร่วมห้าปี ผมได้เตรียมใจไว้แล้วก็ตามว่าอาจจะมีโอกาสเจอกับคนในอดีต แต่ผมไม่คิดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้
‘โจว พอล วอร์เลนโต้’ หนุ่มลูกครึ่งอิตาลีฮ่องกงหน้าเข้มตัวสูงใหญ่ ที่รับการถ่ายทอดข้อดีของเชื้อชาติมาไว้ในตัวจนหมด จนกลายเป็นชายหนุ่มรูปหล่อชนิดที่ว่าหาตัวจับได้ยาก โดยเฉพาะดวงตาคมหวานที่ถูกล้อมกรอบด้วยขนตาหนานั้น ทอประกายระยับจับใจผมไม่รู้ลืม ยิ่งในวัยยี่สิบสามด้วยแล้ว กลับได้ความสุขุมแบบผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้ผู้ชายขี้เล่นอารมณ์ดีในอดีตของผมคนนี้ ทรงเสน่ห์พอกพูนยิ่งขึ้นไปอีก
ผมจึงไม่แปลกใจเลย หากปัจจุบันยามเขาปรากฏกายขึ้นที่ใด โจวพอลจะเป็นจุดรวมสายตาของใครต่อใครแม้กระทั่งยามนี้
“เหอะ!” ผมบอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกหมั่นไส้หรืออิจฉาในความดูดีของคนตรงหน้ามากกว่ากัน แต่ก็ทำเอาผมอดใจไม่ไหวสบถเบาๆเป็นการประชด ทั้งๆที่วางทีท่าเฉยชามาได้ตลอด จนเดินเกือบจะถึงประตูห้องคอนโดของตัวเองแล้ว
ใครใช้ให้คนข้างๆผมมันดูดี จนใครต่อใครที่เดินสวนต่างมองตามจนเหลียวหลังกันล่ะ แถมไม่ได้มีเฉพาะสาวๆแต่กับชายหนุ่มก็ไม่เว้น ซึ่งอาการของผมคงไปสะดุดใจเจ้าของความดูดีเข้า เพราะนายพอลหันมาเลิกคิ้วใส่ผมด้วยทีท่าสงสัยเต็มประดา เล่นเอาผมหมั่นไส้ยิ่งไปกว่าเดิม ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้ตัวว่าได้รับความสนใจ หรือแกล้งไม่รู้ตัวกันแน่ แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบและเบือนหน้าหนี ก่อนวางนิ้วหัวแม่มือบนแท่นสแกนลายนิ้วมือพร้อมกดรหัสตัวเลขสี่หลัก
แม้ระบบความปลอดภัยของคอนโดจะดีเยี่ยมแค่ไหน แต่มันคงไม่ปลอดภัยหากเราเป็นฝ่ายชักนำตัวอันตรายมาด้วยตัวเอง
“เอ๊ะ! นาย!...จะเข้ามาทำไม มาส่งเสร็จแล้วก็กลับไปสิ” ผมท้วงถึงคำพูดผู้บุกรุกทันที ‘ไหนตอนอยู่ในรถบอกว่าจะแค่มาส่งไงเล่า’
แต่ดูท่าคำพูดผมจะไม่มีผลต่ออีกฝ่ายเลย เพราะหลังจากนายพอลแทรกตัวผ่านประตูห้องผมเข้ามาได้ มันก็เดินผ่านผมไปอย่างไม่สนใจ พร้อมกวาดตามองรอบๆห้องอย่างสำรวจตรวจตรา ก่อนจะเดินไปหย่อนก้นนั่งที่โซฟาหนังสีครีมตัวยาวหน้าจอทีวีพลาสม่าของผม ด้วยท่าทางเหมือนเป็นเจ้าของห้อง จากการเอนหลังพิงพนักไขว่ห้างและวาดแขนไปตามยาวของโซฟา มียกยิ้มมุมปากอย่างยียวนใส่ตาแถมให้ผมหมั่นไส้มันยิ่งขึ้นไปอีก
“บอกว่าจะมาส่ง แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าส่งแล้วจะกลับเลย...หึ! เรารึอุตส่าห์ขับรถมาส่ง แทนที่จะได้ดื่มน้ำสักแก้ว แต่นี่อะไรกลับโดนไล่” ‘ใครใช้ให้มาส่งเล่า!?’ ผมก็ได้แค่คิดและทำฮึดฮัดใส่เจ้าของแววตาเยาะเย้ยเท่านั้น
ผมไม่พูดในสิ่งที่คิดเพราะกลัวว่าจะยืดเยื้อ จึงเลือกที่จะกระแทกเท้าเดินเข้าครัวเพื่อรินน้ำ ก่อนจะเดินกลับมากระแทกแก้วลงกับโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาที่ปูกระจกใสทั้งแผ่น แอบหวั่นเหมือนกันว่ามันจะแตกคามือ แต่นาทีนี้อารมณ์โกรธอยู่เหนือเหตุผลทั้งมวล
“[ปั้ก!]...ดื่มซะ จะได้รีบกลับ ผมต้องการใช้เวลาส่วนตัวในห้องของตัวเอง” ถ้ายังหน้าด้านอยู่ต่อก็เกินคนแล้ว แต่ผมก็ลืมไปว่าระดับโจวพอลที่ได้ฉายาว่าสิงห์เจ้าเล่ห์นั้น ผมไม่สมควรประมาทในความคิดซับซ้อนของมัน
ระหว่างที่ผมยืนกอดอกจ้องตานายพอลที่ยกน้ำในแก้วขึ้นจิบช้าๆนั้น มันเองก็มองผมด้วยสายตามาดหมายแบบแปลกๆ จนผมเริ่มเอะใจแต่ก็ช้าไป เมื่อสิงโตเจ้าป่ากระโจนพรวดมาคว้าเอวผมเข้าหาตัว ทำให้ผมถลาตามแรงลงไปนอนเกยอกมันยังโซฟา จนได้เห็นดวงตาสีดำขลับทอประกายระยิบระยับในระยะประชิด จ้องมายังผมด้วยความถูกใจ พร้อมด้วยริมฝีปากบางที่กำลังยกยิ้มก็อยู่ห่างริมฝีปากผมไม่ถึงคืบ
นาทีนี้ผมตกใจจนหัวใจเกือบหยุดเต้น แต่ไม่ถึงนาทีต่อมาหัวใจในอกดันเต้นถี่ ชนิดที่ว่าเจ้าของอย่างผม อายจนอยากจะหายตัวได้ เมื่อแววตาตรงหน้าส่องแสงวิบวับรู้ทัน
“ฮึๆ อะไรตื่นเต้นเหรอ...สงสัยเราจะห่างกันนานเกินไปแล้วมั้ง” คำพูดที่แฝงความหมายและสายตาที่แฝงความนัย เตือนสติผมว่าต้องเกิดเหตุการณ์อันตรายต่อร่างกายและจิตใจผมขึ้นในเสี้ยวนาทีต่อไปแน่ๆ
ผมยังไม่ทันขยับหนี ริมฝีปากนุ่มก็ยื่นมาแตะริมฝีปากผม พร้อมฝ่ามือหนาที่ตรึงไว้ยังท้ายทอย และอ้อมกอดที่รัดแน่นรอบเอว
“อืมมม” สุดท้ายผมก็เคลิบเคลิ้มไปกับริมฝีปากนุ่มและเรียวลิ้นหวานๆจนได้ แถมจูบนี้ยังชักนำให้เกิดความรู้สึกอ่อนหวานเดิมๆกลับมา จนผมยอมโอนอ่อนมานอนทอดร่างใต้ร่างสูงใหญ่ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมั่นคงมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างไม่รู้ตัว แม้กระทั่งฝ่ามืออุ่นที่สอดแทรกผ่านชายเสื้อเข้ามาวนไล้แถวขอบกางเกง
หากจะอาศัยสติตัวเองเพื่อให้รอดพ้นจากน้ำมือของสิงห์เจ้าเล่ห์ ผมคงไม่มีโอกาสรอด แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่มาช่วยชีวิตผมในนาทีวิกฤตที่แสนหวาน ด้วยการดึงสติที่กระเจิดกระเจิงของผมกลับมา
“Rrr Rrr Rrr...[ผลัก!]...เฮือก!...คะ ครับนายน้อย” ผมได้สติออกแรงผลักร่างสูงเต็มแรง ก่อนจะสูดอากาศเฮือกใหญ่ และกดรับสายเจ้านายโดยตรงของผมด้วยเสียงสั่นๆ แต่ยังดีที่ปลายสายไม่ทีท่าว่าจะจับสังเกตอาการผมยามนี้ได้
คนที่โทรเข้ามาช่วยชีวิตผมอย่างไม่รู้ตัวนั้น คือหวางหลี่ผิงที่เป็นเจ้านายโดยตรงของผมเองครับ และเป็นถึงทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลหวางหย่งกัง ซึ่งเป็นตระกูลมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกงเลยก็ว่าได้ เรื่องหน้าตาของนายน้อยนั้นไม่เป็นสองรองใคร แม้จะมาทางเอเชียไม่เหมือนหนุ่มลูกครึ่งที่นั่งหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์ข้างๆผมขณะนี้ก็ตาม แต่ก็หล่อเข้มด้วยคิ้วหนาจมูกโด่งตาคม บวกรูปร่างสูงใหญ่ที่ผิดแปลกชาวเอเชียทั่วไป ส่งเสริมให้นายน้อยตระกูลหวางเป็นที่จับตา และได้รับความสนใจของผู้ที่พบเห็น จนอยากสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติเกินมาตรฐานคนนี้เสมอ
ใครต่อใครก็ต้องผิดหวัง เมื่อหวางหลี่ผิงคนนี้มีเจ้าของหัวใจเสียแล้ว และยังเป็นรักที่มั่นคงด้วยหยั่งรากลึกมาแต่วัยเยาว์เสียอีกด้วย แถมเจ้าของหัวใจเองก็แสนดีน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นที่สุด ที่สำคัญคุณธันว์ไม่เคยถือตัวว่าเป็นคนโปรดของนายน้อย ด้วยให้ความสำคัญของคนรอบตัวนายน้อยเสมอ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคุณธันว์สามารถจดจำใบหน้าหรือแม้แต่ชื่อของพนักงานในโรงแรมได้ทุกคน แม้แต่ผมคนนี้ที่แอบชื่นชอบเจ้านายตัวเอง ยังได้รับน้ำใจจากคุณธันว์เสมอ จนผมอดชื่นชมในตัวคุณธันว์ไม่ได้ และละอายใจทุกครั้งที่ถูกหยิบยื่นน้ำใจมาให้ ซึ่งในสายตาของผมคนทั้งคู่จึงเหมาะสมกันอย่างที่สุด
แม้ความคิดนี้จะทำให้ผมเศร้าใจไม่น้อย แต่ผมต้องขอยืนยันว่ายินดีกับความรักที่ทั้งคู่มีให้ต่อกันจริงๆ และผมต้องยอมรับว่าตัวเองไม่มีอะไรดีพอที่จะเอาไปสู้กับคุณธันว์ได้เลย แค่ความรักที่นายน้อยมีให้คุณธันว์ ผมก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
ผมจึงพอใจแค่ยืนดูและชื่นชมความรักของทั้งคู่อย่างห่างๆ ประกอบกับเหตุการณ์ในมื้อกลางวันของวันนี้ด้วยแล้ว ผมคงได้แต่ตัดใจอย่างถาวร ด้วยนายน้อยแสดงออกชัดว่าในสายตาท่านมีเพียงคุณธันว์คนเดียวเท่านั้น และพร้อมที่จะประกาศแก่ทุกคนว่าใครคือเจ้าของหัวใจพญามังกรหนุ่มแห่งหวางหย่งกัง
คุณสมบัติเด่นข้อนี้ของนายน้อยล่ะมั้งครับ ที่ทำให้ผมฝูหรงคนนี้หลงใหลได้ปลื้ม เพราะผมไม่เคยได้รับสิ่งดีๆแบบนี้ จากคนที่ผมคาดหวังว่าจะได้สิ่งนั้นจากเขาเลย แม้แต่ถ้อยคำรักผมก็ไม่เคยได้ยิน จะไปหวังอะไรกับการประกาศว่าเราเป็นอะไรกัน ห้าปีก่อนผมจึงไม่ต่างจากของเล่นของลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ยังดีที่มีคนมาชี้ทางสว่างให้ ไม่เช่นนั้นผมคงโง่งมตาบอดต่อไป เพราะหลงคิดว่านั่นคือความรัก และผมจะไม่มีวันยอมกลับไปเป็นของเล่นของใครอีกแล้ว
“...ผมเตรียมเอกสารไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้านายน้อยสามารถมาอ่านรายละเอียดได้เลยครับ...ช่วงบ่ายไม่มีงานด่วนครับ มีแต่ข่าวจากทางกงอินที่รายงานความคืบหน้าเข้ามา...ครับ นายน้อย” ผมกดวางสายหลังรับคำสุดท้ายกับเจ้านาย
ผมมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์นิ่งๆ ด้วยกำลังนึกชื่นชมในความเอาการเอางานของนายน้อย เพราะยังมีแก่ใจโทรมาถามหางานจากผม หลังจากที่ช่วงบ่ายนายน้อยไม่ได้เข้าโรงแรม ด้วยไปส่งคนรักตัวน้อยกลับคฤหาสน์ หลังผ่านมื้อกลางวันแสนน่าอิจฉาที่มีผมเป็นก้างชิ้นโตร่วมมื้ออาหารด้วย แต่อาการของผมก็โดนคนที่ผมลืมไปชั่วขณะเข้าใจผิดจนได้
“อาลัยอาวรณ์มันมากรึไง หลี่ผิงโทรมาฝากความคิดถึงรึก็เปล่า มีแต่งานล้วนๆ มัวมานั่งหน้าระรื่นทำตัวมีความหวังไปได้ ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่ามันมีเจ้าของแล้ว!!” คำพูดแต่ละคำของไอ้ลูกครึ่งปากเสียตรงหน้าทำผมเจ็บจุกจนแทบพูดไม่ออก ด้วยแปลว่าผมในสายตามันเป็นคนเลวร้ายมาก
ผมก็แค่ชื่นชมมันผิดมากนักรึไงกัน เพราะใจจริงไม่เคยคิดจะแสดงออก หรือคิดจะแย่งมาเป็นเจ้าของเลยด้วยซ้ำ จากที่ผมตกตะลึงมองไปที่นายพอลอย่างไม่เชื่อหู รู้ตัวเลยว่าตัวเองเริ่มโกรธจนน้ำตาคลอเบ้า จนอีกฝ่ายที่เห็นอาการผมคลายสีหน้าดุดันลง แววตาก็เริ่มอ่อนแสงคล้ายสำนึกผิด และทำท่าจะเอื้อมมือเข้าหาผมด้วย
ผมจึงปัดมือข้างนั้นออกและลุกขึ้นยืนกำมือไว้แน่น ก่อนจ้องตาไอ้ลูกครึ่งใจร้ายไม่กระพริบ พร้อมพยายามพูดช้าๆชัดๆให้อีกฝ่ายได้ยิน ผมจะไม่ยอมให้มันเห็นน้ำตาจากผมตอนนี้ เพราะผมคงดูน่าสมเพชยิ่งขึ้นไปอีก
“ออก ไป จาก ห้อง ของ ผม...เดี๋ยวนี้!!” ผมสะบัดมือชี้ไปทางประตูพร้อมตะคอกคำสุดท้ายใส่หน้าไอ้ลูกครึ่งหน้าตื่น แต่ผมคงใช้เสียงและออกอาการมากไปหน่อย ไอ้น้ำตาที่กลิ้งไปมาในตา มันถึงหยดมาตามร่องแก้มอย่างไม่น่าให้อภัย
“ฝูหรง...ไม่เอาไม่ร้อง” ผมตกใจกับอ้อมกอดใหญ่โต และน้ำเสียงปลอบประโลมชวนอบอุ่นใจนี้ จนไม่ทันปัดป้องฝ่ามือที่ลูบไปมาแถวแผ่นหลัง และปลายนิ้วที่เชยคางผมขึ้น พร้อมพยายามไล้เกลี่ยความชื้นออกจากผิวแก้มให้แก่กัน
สายตางอนง้อปะปนไปด้วยความรู้สึกผิด ทำให้ผมต้องรีบเบือนหน้าหนี ด้วยไม่อยากหลงกลพาลเข้าใจผิดว่าตัวเองมีความสำคัญต่อเจ้าของสายตาคู่นี้อีกแล้ว
“ถามจริงๆเถอะฝูหรง ชอบไอ้หลี่ผิงมันมากเลยเหรอ” เสียงทุ้มที่แอบสั่นท้ายประโยค จนผมคิดว่าตัวเองหูฝาด ทำให้ต้องผินหน้ากลับมามองคนถาม
แม้ใบหน้าคมเข้มจะดูน่าหลงใหลไม่เปลี่ยน แต่แววตาแห้งผากเหมือนว่าเจ้าของกำลังผิดหวังในตัวผมนักหนาคู่นี้ ก็ทำให้ผมใจแกว่งไปเหมือนกัน จนต้องเสขยับตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่น ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้และกอดตัวเองไว้แน่น จึงค่อยเริ่มตอบคำถามที่ถูกส่งมา
“ใช่ ผมชอบนายน้อย...ผมผิดรึไงที่ชื่นชอบผู้ชายที่มีความรักมั่นคง และพร้อมจะป่าวประกาศให้ใครต่อใครได้รู้ว่าใครคือคนที่ตัวเองรัก” หลังคำว่ารักในประโยคสุดท้ายของผม ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เสียงลมหายใจผมยังแทบไม่ได้ยิน เพราะมันรวยรินเหลือเกินในความรู้สึกของผม
“ผู้ชายที่ปากหนักไม่ชอบพูดคำว่ารักให้ได้รู้ ก็ไม่ได้แปลว่าความรักที่มีจะน้อยไปกว่าคนที่ชอบป่าวประกาศหรอกนะ เพียงแต่ช่วงเวลานั้นมันยังไม่สบโอกาสมากกว่า และถ้าหากจะพูดตอนนี้ มันจะสายไปมั้ย จะให้โอกาสกันอีกสักครั้งได้รึเปล่า...ฝูหรง พอล ระ...” ก่อนที่เจ้าของประโยคดังกล่าวจะพูดจบ ผมก็หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า และเอื้อมมือปิดปากที่กำลังจะปล่อยถ้อยคำสำคัญออกมา
ผมรู้ว่าคำต่อไปมันคืออะไร แต่ผมไม่พร้อมที่จะได้ยินตอนนี้ เพราะผมไม่มีศรัทธาต่อคำว่ารักของคนตรงหน้าเหลืออยู่อีกแล้ว แม้ในใจลึกๆผมจะรอคอยคำนี้มาตลอดก็ตาม ทั้งๆที่ผมเฝ้าหลอกตัวเองมาตลอดห้าปี ว่าผมสามารถลืมบุคคลตรงหน้านี้ได้แล้วจริงๆ แต่นาทีนี้ผมรู้เลยว่าผมไม่สามารถลบ โจว พอล วอร์เลนโต้ ออกไปจากใจได้เลย
“ถ้าจะพูดเพราะอยากเอาชนะ ขอร้องอย่าพูดเลย เพราะถึงพูดออกมาตอนนี้ ผมไม่สามารถเชื่อคุณได้จริงๆ”
“ฝูหรง...ขอโทษ” คำขอโทษที่มาพร้อมอ้อมกอดอบอุ่น ทำให้ผมไม่คิดขัดขืนและโอนอ่อนยินยอมตกอยู่ในอ้อมกอดนี้ พร้อมซึมซับกระแสความอ่อนโยนและจริงใจไว้
ส่วนในใจผมนั้นอดรู้สึกผิดกับตัวเองไม่ได้จริงๆ ที่ผมดูใจง่ายไปกับสัมผัสอบอุ่นแสนโหยหานี้ ทั้งๆที่เจ้าของมันได้เคยทำร้ายความรู้สึกผม จนเจ็บเจียนขาดใจมาแล้ว เพราะไอ้ความรู้สึกรักและผูกพันที่ไม่เคยจางหายไปจากใจแท้ๆเชียว แต่เมื่ออีกฝ่ายมีความจริงใจถึงกับเอ่ยขอโทษออกมา ผมก็มีเหตุผลพอที่จะอภัยให้กับเรื่องในอดีต แต่หากคิดจะสานต่อจากปัจจุบันไปอนาคต ผมคงไม่เสี่ยงให้ตัวเองเจ็บตัวอีกหน จึงผลักอกหนาออกห่างจากตัว และเงยหน้าจ้องตาละห้อยหาด้วยสายตาจริงจัง
“ผมไม่ติดใจกับเรื่องในอดีตแล้ว ขอให้มันผ่านไป คุณเองก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วเหมือนกัน” แววตาที่ผมสบเปล่งประกายยินดีชัดตา ก่อนมือผมจะถูกรวบไปจับไว้ทั้งคู่ พร้อมกับที่ผมได้รับรอยยิ้มกว้างขวางเป็นการตอบแทน ทำเอาผมเลือนๆในสิ่งที่จะพูดอยู่เหมือนกัน
“ต่อจากนี้ก็ต่างคนต่างอยู่เถอะครับ” แต่ผมก็สามารถพูดสิ่งที่ตั้งใจออกไปจนได้
ผลก็คือลูกครึ่งหน้าหล่อเกิดอาการตกตะลึงอึ้งตาค้างไปเลย ผมจึงเสหลบแววตาผิดหวังและพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด แถมยิ่งผมพยายามดึงมือออก มือผมยิ่งถูกบีบกระชับไว้ใต้อุ้งมือใหญ่มากขึ้นไปอีก
“ทำไมล่ะฝูหรง ทำไมต้องตัดขาดกันด้วยท่าทีเลือดเย็นขนาดนี้ ตลอดมาพอลอาจจะผิดที่ไม่เคยสารภาพความในใจว่า ‘พอลรักฝูหรง’ แต่โทษนั้นถึงขั้นต้องหนีพอลไปถึงนิวยอร์กเลยเชียวเหรอ ทำไมล่ะ! หรือเป็นเพราะฝูหรงเองต่างหากที่ไม่ได้รักพอล เพราะพอลก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากฝูหรงเหมือนกัน”
ผมหัวสั่นหัวคลอนจากการถูกเขย่าตัว พร้อมโดนตะคอกด้วยเสียงดังลั่น จากความผิดหวังที่โดนตัดรอนของหนุ่มลูกครึ่งขี้โมโหนั้น ผมเองก็เริ่มโกรธไม่ต่างกันที่เหมือนว่าโดนโยนความผิดมาให้ ทั้งๆที่สาเหตุทั้งหมดมันเกิดจากไอ้คนขี้โวยวายตรงหน้าแท้ๆ แต่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำเอาผมสะอึก เพราะมันเป็นความจริงที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะรักแต่ก็ไม่เคยที่จะพูดออกไปให้อีกฝ่ายได้รู้ แต่ผมก็มีความรักที่จริงใจให้นายพอลนะ ไม่เหมือนคนตรงหน้านี้หรอกที่ดีแต่พูด แต่หาความจริงใจไม่ได้เลย
“ทำไมผมจะไม่ ‘รัก’ คุณ ถ้าไม่รักคงไม่เจ็บขนาดนั้น ถ้าไม่รักก็คงไม่หลีกทางให้หรอก แต่เพราะรักถึงอยากให้คนที่เรารักมีความสุข...ฮึกๆ...แล้วนี่อะไร มาพูดเหมือนว่าผมผิด ทั้งๆที่เป็นเพราะคุณเองนั่นแหละ...ฮึกๆ ฮืออออ” ผมสุดกลั้นแล้วจริงๆ ยิ่งพูดอารมณ์เจ็บปวดเดิมๆก็กลับมา จนสุดท้ายน้ำตาทะลักทลายมาพร้อมความในใจทั้งหมดที่มี
“ฝูหรง!!...ฝูหรง หยุดร้องนะครับ พอลผิดเอง ได้โปรดหยุดร้องเถอะ...ที่รัก~” คำปลอบประโลมด้วยเสียงตื่นๆที่ลอยมาเข้าหู พร้อมสัมผัสอุ่นที่ลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง
แทนที่ผมจะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้ แต่มันกลับยิ่งไหลพรากไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ จนถึงขั้นสะอื้นฮักตัวโยน เหมือนว่าความอดทนอดกลั้นที่มีมาตลอดห้าปี มันถูกทำลายเพียงได้ปลดปล่อยกับตัวต้นเหตุ แต่คำสรรพนามสุดท้ายที่ได้ยินด้วยเสียงทุ้มนุ่มข้างใบหู กลับทำให้ผมชะงักลืมแม้กระทั่งการหายใจ ก่อนรอยยิ้มละมุนหวานจะถูกส่งผ่านม่านน้ำตามาให้ผม พร้อมกับที่แว่นถูกถอดออกจากใบหน้า ตามมาด้วยริมฝีปากนุ่มที่แตะไล้จากหางตามาที่เปลือกตา และไล่ไปตามข้างแก้มทั้งสองอย่างช้าๆ
ผมทำได้แค่หลับตาและยืนตัวสั่นน้อยๆอย่างคิดอะไรไม่ออก มันสับสนในความรู้สึก ใจหนึ่งอยากผลักไสตัวต้นเหตุของความเจ็บช้ำ แต่อีกใจหนึ่งกลับโหยหาสัมผัสอ่อนโยนที่กำลังได้รับอยู่ในขณะนี้
สุดท้ายริมฝีปากผมก็ถูกครอบครองอย่างอ่อนโยน และผมเองก็ต้องยอมเปิดปาก ให้ลิ้นร้อนได้เข้ามาสำรวจภายในด้วยความเต็มใจ รสสัมผัสหวานละมุนไม่แตกต่างจากเมื่อห้าปีก่อน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะมัวเมาไปกับสิ่งที่ลูกครึ่งรูปหล่อหยิบยื่นให้ และหลงลืมความตั้งใจเดิมว่าจะไม่ยอมให้ตัวเองกลับไปจุดเดิม จนอาจจะต้องเจ็บซ้ำๆอีกครั้ง
“...พอลรักฝูหรงนะ ขอโอกาสให้พอลอีกครั้งได้มั้ย ให้พอลได้อธิบายบ้าง” นาทีนี้คำพูดหวานๆและคำออดอ้อนที่ได้ยิน กลับทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวขาดน้ำมานาน มันค่อยๆฟูจนพองแทบคับอก ในหัวเองก็เหมือนมีหมอกสีชมพูจางๆลอยฟ่อง พาลให้คิดอะไรไม่ออก
ผมอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น ยังไม่มีโอกาสตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะได้แต่หลับตาพริ้มหายใจเอาอากาศเข้าปอด ซึ่งเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายแบบไม่รู้ตัว ได้ซุนจมูกเข้าที่ซอกคอและเริ่มไซ้สูดกลิ่นไปตามลาดไหล่ ก่อนฝ่ามืออุ่นจะสอดเข้ามาไล้ผิวอ่อนที่หน้าท้อง จนกระทั่งถึงยอดอกทำเอาผมสะดุ้ง และเริ่มรู้สึกตัวว่าได้ปล่อยตัวให้นายพอลเชยชมมากเกินไปแล้ว แม้จะได้ยินคำรักที่เฝ้ารอ แต่ผมก็ต้องการคำอธิบายเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อนเช่นกัน
“อ่ะ!...เอ่อ ผะ ผมอยากเข้าห้องน้ำ” เมื่อผลักอกร่างสูงใหญ่ออกจากตัวได้แล้ว ผมก็รีบตะครุบสาบเสื้อที่กระดุมถูกปลดเข้าหากัน ก่อนจะรีบก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆของตัวเองจากสายตาเร่าร้อน และละล่ำละลักขอตัวหลบฉากออกมา
อย่างน้อยการได้อยู่กับตัวเองสักพัก น่าจะช่วยเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาได้ เผื่อว่าผมจะมีคำพูดดีๆเพื่อซักไซ้เอาความจริงของเรื่องเมื่อห้าปีก่อน จากไอ้ลูกครึ่งมือไวขึ้นมาบ้าง
“อ๊ะ!!” เมื่อผมเข้ามาอยู่ในห้องน้ำภายในห้องนอนแล้ว ผมออกจะตกใจกับภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกไม่น้อย ด้วยหัวกระเซิงแก้มทั้งสองข้างแดงจัด แม้แต่ใบหูและลำคอก็ขึ้นสีจนน่ากลัว แล้วไหนจะรอยแดงๆเป็นจ้ำเล็กๆที่ซอกคออีกล่ะ
ผมรีบกลัดกระดุมด้วยมือสั่นเทา ก่อนจะเปิดน้ำล้างหน้าลดอุณหภูมิความร้อนของผิวกาย และเช็ดหน้ากับผ้าขนหนูผืนนุ่ม เมื่อส่องกระจกอีกครั้งผมค่อยถอนใจเฮือกใหญ่ แม้จะดูไม่ปกตินักแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อแรกเข้ามาล่ะน้า ก่อนผมจะเรียกกำลังให้ตัวเองด้วยการสูดอากาศเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ แต่ผมก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ยที่จะลองเปิดใจรับฟังความจากโจวพอล คนที่ผมต้องยอมรับกับตัวเองว่าผมไม่สามารถตัดเขาออกไปจากใจได้เลย
“อ้าว ไปไหนนะ...สงสัยเข้าห้องน้ำ” เมื่อผมออกมาก็ไม่พบคนที่ผมเตรียมใจไว้ว่าต้องเจอ แต่ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยผมก็ยังมีเวลาเตรียมใจอีกนิด
ผมต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ที่สำคัญมันเป็นของคนที่อยู่ในห้องน้ำตอนนี้ ผมอดไม่ได้ที่จะแอบมองหน้าจอที่สว่างวาบนั้น และผมต้องตัวชาเมื่อเห็นภาพใบหน้าที่ปรากฏบนหน้าจอ
“Rrr Rrr Rrr...”
สุดท้ายผมก็กดรับสายอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ และเสียงที่ดังมาจากอีกฝั่งก็ยืนยันได้ว่าเป็นคนๆเดียวกับที่ผมคิดไว้ เพราะผมไม่มีวันลืมคนๆนี้ได้เลย คนที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจอีกครั้ง ว่าผมจะให้โอกาสโจวพอลวอร์เลนโต้คนนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อตลอดห้าปีเขาก็ยังมีคนๆนี้ข้างกายไม่เปลี่ยน
..........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะเกือบไปแล้วกระต่ายน้อยเกือบโดนสิงห์เจ้าเล่ห์จับกินล่ะ
ดีที่ยังพอมีสติคิดซักหาความจริงที่คาใจเมื่อ 5 ปีก่อน
แต่ดูท่าอุปสรรคของพอลจะเยอะเกิน! สายที่โทรเข้าท่าจะ
เป็นตัวปัญหาใหญ่ของรักครั้งนี้
ส่วนใครที่อยู่ปลายสายนั้น คงต้องติดตามต่อไปค่ะ
แต่บอกได้เลยว่าเพราะคนๆนี้แหละที่ทำให้กระต่ายน้อย
คิดตีจากพอลเมื่อ 5 ปีก่อน
+1และเป็ดสำหรับทุกเม้นท์ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
เจอกันวันอาทิตย์นะคะ
