จากวันนั้น...ผมเป็นคนถอยออกมาเอง ผมไม่ได้ส่งรูปของพี่บีกับหมอปรินซ์ไปให้พี่ตั้ม เพราะมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่ได้เลิกกันแค่เพราะพี่ตั้มถูกจับได้ว่ามีอะไรกับผม ดูเหมือนว่าพี่บีจะยอมให้อภัย แต่ผมก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากเพราะผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว แม้มันจะยากกับการที่ต้องทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่ผมคิดว่าผมสามารถทำมันได้ดีทีเดียว เขากับผมกลับมาเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองกับเด็กในความปกครองเท่านั้น ซึ่งผมไม่ได้อยู่ที่บ้านเท่าไหร่หรอก นานๆ ทีถึงจะกลับไป ผมอยู่ที่คอนโดเล้งเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งเขาแต่งงานแล้วก็ย้ายออกไปนั่นแหละ ผมถึงย้ายกลับมาอยู่บ้าน แม้พี่ชายของผมจะขอร้องให้เขาอยู่ต่อ แต่เขาก็คงไม่กล้าพาภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้านที่ไม่ใช่ของตัวเอง ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แม้ในวันแต่งงานของเขาผมจะไม่ได้ไปเพราะมัวแต่กอดขวดเบียร์ร้องไห้กับพวกเพื่อนๆ แต่สุดท้ายผมก็ผ่านความรู้สึกพวกนั้นมาได้ พี่ชายของผมก็ถามบ่อยๆ เหมือนกันว่าผมโอเครึเปล่า พี่ชงโคไม่ได้รู้อะไรมากเพราะผมไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่ความรู้สึกของผมพี่คงรู้อยู่แล้วว่าไม่โอเค
“ไม่ไปก็ได้นะ พี่ไปเอง” พี่ชงโคพูดขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วผมก็จำไม่ได้
“ไม่เป็นไรพี่ ลุงพิภพเข้าโรงพยาบาล บิ้วก็อยากไปเยี่ยมบ้าง ยังไงลุงเขาก็เป็นผู้ปกครองของพวกเรา แล้วก็ช่วยเหลือพี่กับบิ้วมาตลอด”
ลุงพิภพเข้าผ่าตัดไส้ติ่งเมื่อวาน ผมกับพี่ชงโคก็เลยตั้งใจจะไปเยี่ยม แต่พี่ก็กลัวว่าผมจะไปเจอพี่ตั้มแล้วไม่สบายใจถึงได้ถามแล้วถามอีก
“โอเค งั้นก็ไปกันเลย”
ผมยิ้ม ก่อนจะถือของเยี่ยมตามพี่ชงโคมาขึ้นรถ
พวกเรามาถึงโรงพยาบาลเกือบสิบโมงเพราะรถติดมาก เข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ครอบครัวของลุงพิภพก็อยู่กันพร้อมหน้า เว้นก็แต่ภรรยาของพี่ตั้มที่ไม่ได้อยู่ในห้องด้วย ผมรู้มาว่าชีวิตแต่งงานของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะลุงพิภพกับคุณป้ารำเภาชอบบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆ พวกเขาคงเป็นห่วงชีวิตของลูกชายคนเล็กที่มักจะมีปัญหากับภรรยา ตอนแรกก็เรื่องค่าใช้จ่ายของผมที่พี่ตั้มยังส่งให้อยู่ทุกเดือน คุณลุงคุณป้าไม่ได้บอกผมหรอกครับ แต่พี่บีบุกมาหาถึงบ้านแล้วมาพูดให้ฟังเอง ว่าถ้าเธอมีลูกเมื่อไหร่ คงต้องให้พี่ตั้มหยุดส่งค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองนี้ให้ผมซะที พี่ชายผมรู้เรื่องนี้ก็เลยไปคุยกับพี่ตั้มเองและยืนยันว่าค่าใช้จ่ายของผมเฮียทองจะเป็นคนจัดการ ทุกอย่างก็เลยจบลงด้วยดี แต่หลังจากนั้นก็ได้ข่าวว่าทะเลาะกันอีก พี่ตั้มคงระแคะระคายเรื่องของหมอปรินซ์บ้างแล้ว ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไง คงมีใครสักคนบอกหรือไม่เขาก็เห็นเอง แต่ผมว่าเรื่องไม่ดี ปิดยังไงก็คงปิดไม่มิด
“สวัสดีครับลุง ยังเจ็บแผลอยู่ไหมครับ” พี่ชงโคยกมือไหว้พร้อมกับถามอาการ ในขณะที่ผมก็ส่งของเยี่ยมให้พี่ติวรับไว้แล้วก็ยกมือไหว้เช่นกัน
“ดีขึ้นมากแล้วครับ ความจริงไม่ต้องลำบากมาเยี่ยมลุงก็ได้ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านแล้ว”
“กลับได้ที่ไหนกันจ้ะพ่อ คุณหมอยังไม่ได้อนุญาตเลย” คุณป้ารำเภาพูดขึ้น ทำเอาลุงพิภพทำหน้าขัดอกขัดใจ
“คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ไม่ถูกโรคกับโรงพยาบาล” พี่ติวว่าเสียงกลั้วหัวเราะ “ว่าไงเราสองคน น่ารักขึ้นป่ะเนี่ย ไม่เจอนานเลย”
“ไม่เจอนานที่ไหนกันพี่ติว เมื่อวานพี่ก็ไปที่ร้านนะ ถ้าผมจำไม่ผิด”
“เออจริง ชงโคน่ะเจอ แต่บิ้วนี่ไม่เจอเลยเนอะ” พี่ติวก็คงแก่แล้วเหมือนกันนะ ดูเหมือนจะหลงๆ ลืมๆ
“ก็เรียนหนักน่ะครับ”
“เรียนหนักหรือมัวแต่เที่ยว” เสียงดุๆ ดังมาจากนายตำรวจในชุดเครื่องแบบที่นั่งจิบกาแฟอยู่บนโซฟาข้างๆ พี่ติว
“เฮ้ ไอ้ตั้ม ไม่เอาน่า โทษทีนะบิ้ว ช่วงนี้ไอ้หมอนี่หงุดหงิดง่ายน่ะ เพิ่งหย่ากับน้องบี เลยไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่”
“พูดมากว่ะติว พ่อครับแม่ครับ ผมไปทำงานก่อนนะ” พี่ตั้มว่าพลางหยิบหมวกขึ้นมาถือแล้วยกมือไหว้ลุงกับป้า
ว่าแต่ว่า...หย่ากันแล้วเหรอ?
“จ่ะลูก ไปดีมาดีนะ”
“ครับ”
ผมมองตามแผ่นหลังของพี่ตั้มที่เดินออกจากห้องไป ก่อนที่จะทันได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร เท้าของผมก็ขยับก้าวเดินตามเขาไปแล้ว
“บิ้ว จะไปไหน” พี่ชงโคถามขึ้นด้วยสีหน้างงๆ
“เอ่อ...บิ้วจะลงไปซื้อกาแฟน่ะ พี่เอาด้วยไหมล่ะ”
“ไม่อ่ะ รีบไปรีบมาละกัน”
“อืม”
ผมรีบเดินออกจากห้องมา ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกพี่ชงโค แต่ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไงว่าผมกำลังเดินตามพี่ตั้มไป เพราะผมก็แค่อยากรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงหย่ากัน
“มีอะไร” จู่ๆ เขาก็หันมา คงเพราะเสียงปิดประตูที่ผมเผลอทำเสียงดัง
“เปล่า...ผมแค่จะไปซื้อกาแฟ”
“อืม งั้นก็เดินไปด้วยกันสิ”
ผมเดินตามเขามาจนถึงหน้าลิฟท์ ระหว่างที่รอลิฟท์ก็ได้แค่ยืนเงียบๆ ทั้งๆ ที่ตามมาก็เพื่อจะถามเขาแท้ๆ แต่ผมก็ไม่กล้า
ติ๊ง!
เสียงจากลิฟท์ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย พี่ตั้มหันมามองแล้วก็ยื่นมือมาผลักหัวผมเบาๆ
“มีสติหน่อย”
“มีอยู่แล้วล่ะน่า”
เขาหัวเราะก่อนจะเดินนำผมเข้ามาในลิฟท์ที่ไม่มีใครอยู่เลย
“พี่”
“หืม”
“ทำไมถึงหย่ากับพี่บีล่ะ”
“อยากรู้ไปทำไม”
“ก็อยากรู้”
พี่ตั้มไม่ตอบแต่กลับหันมาจ้องผม
“ไม่บอก”
“ความจริงก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก”
“หึหึ”
“หัวเราะทำไม”
“หัวเราะไม่ได้ไง”
“ไม่ได้”
“เด็กว่ะ”
ผมอยากจะหยิกเขาแรงๆ ให้สมกับที่ความหงุดหงิดมันอัดแน่นอยู่ในอก แต่ก็ไม่ได้ทำ จนลิฟท์มาหยุดอยู่ที่ชั้น 1 ผมก็รีบเดินออกมาทันที พี่ตั้มไม่ได้เดินแยกไปที่ลานจอดรถ เขากลับตามผมมาที่ร้านกาแฟด้วย
“ตามมาทำไม”
“ไม่ได้ตาม จะมาซื้อกาแฟ”
“เออ งั้นพี่ก็เข้าไปซื้อเลย ผมจะไปเซเว่น”
“ไหนบอกจะซื้อกาแฟ”
“ที่เซเว่นก็มีเหอะ”
พี่ตั้มเลิกคิ้ว แล้วจับแขนผมไว้ “ถ้าบอกว่าไม่ได้จะซื้อกาแฟ แต่ที่ตามมาเพราะอยากอยู่ใกล้ๆ ยังจะไปอยู่ไหม”
นานเท่าไหร่แล้วที่หัวใจของผมไม่ได้เต้นแรงอย่างนี้ ผมนี่มัน...ไม่เคยหลาบจำจริงๆ
“กูหย่ากับเขา เพราะเราทั้งคู่ไม่ได้รักกันแล้วแต่ยังฝืนจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน” พี่ตั้มบอกเสียงเรียบพลางมองสบตากับผม “รู้อย่างนี้แล้วจะเข้าไปซื้อกาแฟด้วยกันได้รึยัง”
“ยัง ผมยังมีคำถาม”
“อะไรอีก”
“พี่โอเคไหมตอนนี้”
“ยังไง?”
“ผมหมายถึงว่าพี่เจ็บปวดบ้างรึเปล่าที่ต้องเลิกกับพี่บี กินไม่ได้นอนไม่หลับป่ะ”
“ขอไม่ตอบ”
“แต่ผมอยากรู้”
พี่ตั้มถอนหายใจแล้วดึงผมเข้าไปใกล้ ผมหันมองเลิ่กลั่กว่ามีใครมองการกระทำของพวกผมอยู่รึเปล่า แต่พอพี่ตั้มกระซิบบอกอะไรบางอย่างให้ได้ยิน ผมก็ลืมสายตาของคนที่จ้องมองมากันไปหมด
“ถ้าเทียบกับการที่กูพยายามลืมมึง มันเจ็บปวดน้อยกว่าเป็นพันเท่า”
“...”
“ขอโทษที่ทำให้เสียใจ แต่มึงรู้ไว้นะว่าชีวิตของกูที่ผ่านมาไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน”
“รวมถึงตอนอยู่บนเตียงด้วยไหม”
“ข้ามได้ก็ข้ามนะเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึง”
“อ๋อ เหรอครับ”
“ไว้มึงโตกว่านี้มึงก็จะเข้าใจ ว่าแต่ว่ามึงกินกาแฟได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
=O=; คำถามนี้ทำเอาผมสตั้นไปเป็นสิบวินาที
“หึหึ ข้ออ้างตามกูมาล่ะสิ”
“มะ...ไม่ใช่นะ”
“เหรอครับ”
“ไอ้พี่ตั้ม หยุดยิ้มเลยนะ!”
ผมโวยวายใส่เขา แต่เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มแล้วจับมือผมไว้
“เป็นเด็กเป็นเล็ก กินนมต่อไปน่ะดีแล้ว”
“ไม่เด็ก โตแล้ว ยี่สิบแล้วเหอะ”
“เด็กกว่ากูอยู่ดีล่ะน่า”
“เด็กแล้วไง”
“ก็ไม่แล้วไง”
“ไอ้บ้า”
“กับผู้ปกครองน่ะพูดให้เพราะๆ”
“ถ้าเป็นแฟนจะพูดเพราะกว่านี้” ผมรู้ว่าผมเผลอพูดอะไรออกไป แต่พอพี่ตั้มเลิกคิ้วพลางส่งยิ้มมาให้ผมกลับไม่กล้ามองหน้าเขา
“งั้นมาคบกันไหมล่ะ”
“มะ...ไม่”
“แน่ใจนะ”
“อือ”
“ก็ดี”
อะไรคือก็ดีเหรอครับ มันหมายความว่ายังไงอ่ะ ขอไปงั้นๆ คบก็ได้ไม่คบก็ได้งั้นเหรอ...
“หน้าบึ้งใหญ่เลย เด็กว่ะ”
ผมมองพี่ตั้มอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะถูกเขาแขนขึ้นคล้องคอผมแล้วพาเดินเข้าร้านกาแฟ สั่งนมสดเย็นกับมอคค่าแก้วใหญ่เสร็จก็เดินมานั่งรอที่โต๊ะ
“ไม่ต้องไปทำงานเหรอ”
“ที่จริงลาช่วงเช้า”
“แล้วบอกลุงกับป้าว่าจะไปทำงานนี่นะ”
“ก็ขี้เกียจฟังพ่อบ่น”
“เรื่องไรอ่ะ”
“เรื่องผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว” ผมพอเดาได้ว่าเรื่องอะไรที่ลุงพิภพจะบ่นพี่ตั้ม ก็ถ้าไม่ใช่เรื่องชีวิตแต่งงานของเขาก็คงไม่มีอะไรทำให้ลูกชายที่พ่อภูมิใจต้องโดนว่าหรอก
“ไม่รู้ก็ได้”
“พูดแล้วก็ไม่ต้องทำหน้างอ”
“ก็หน้าผมอ่ะ ใครจะทำไม”
“แล้วอย่างนี้ยังจะเถียงว่าไม่เด็ก”
“เออๆ ไม่หน้างอแล้วก็ได้”
พอผมพูดจบ เราต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันไปสักพัก เขาไม่พูด ผมก็ไม่มีเรื่องจะชวนคุย นั่งรอจนพนักงานเอาเครื่องดื่มที่สั่งไปมาเสิร์ฟ ระหว่างเราก็ยังไม่มีบทสนทนา และในที่สุดผมก็ทนความเงียบไม่ไหวเลยเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน
“ตั้ม”
“หืม”
“มีเรื่องจะสารภาพ”
“ว่า?”
“ที่จริง วันที่พี่บีมาเจอเราที่ห้องน้ำ ผมเป็นคนส่งข้อความไปบอกพี่บีเอง ความจริงก็ทำหลายครั้งแล้วแต่ตั้มไม่รู้”
ผมลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา แต่ก็ไม่มีความแปลกใจหรือความโกรธปรากฎให้เห็น กลับเป็นผมเองที่ตกใจเมื่อเขาบอกว่า “กูรู้”
“ตั้งแต่ตอนไหน”
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่มึงทำ ตอนนั้นแค่บังเอิญจะโทรกลับหาบี แต่ดันเห็นเบอร์โทรออกในช่วงเวลาที่บีโทรเข้ามา แล้วข้อความของมึงกูก็ได้เห็นทุกฉบับ บีกับกูเคยแลกมือถือกันใช้พักหนึ่งเพราะเขาระแวงว่ากูจะยังติดต่อกับมึงอีก”
“อ๋อ...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยจริงๆ
“หึหึ”
“ไม่โกรธเหรอ”
“ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ แต่ก็เพราะกูไม่หักห้ามใจ โทษมึงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้หรอก”
“อืม”
ถึงแม้จะไม่มีเรื่องอะไรติดค้างเขาแล้ว แต่ผมก็ยังอยากจะรู้ มีเพียงเรื่องเดียวที่อยากจะรู้จากเขา ผมแค่อยากรู้ว่าเขารักผมบ้างรึเปล่า... มันเป็นคำถามที่ผมกลัวกับคำตอบมาก เพราะไม่อยากต้องกลับไปร้องไห้อีกแล้ว ตอนนี้ผมเลยเลือกที่จะปล่อยคำถามนี้ทิ้งไว้ ระยะห่างระหว่างผมกับเขาในตอนนี้ก็ดีอยู่แล้วล่ะนะ
“บิ้ว”
“ครับ”
“เป็นอะไร”
“เปล่า แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“อืม”
ผมก้มลงดูดนมสดเย็นแล้วเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มให้เขา
“แล้วตอนนี้เริ่มคบใครรึยังอ่ะ หรือเพิ่งเลิกกับพี่บีแล้วยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่มีเร็วๆ ก็ดีนะพี่ รีบหาคนมาดูแล แก่ๆ อย่างพี่นี่ระวังจะขึ้นคาน”
“ปากเสีย”
“ฮ่าๆ นี่ผมพูดจริงนะ ผมก็กำลังคุยๆ อยู่เหมือนกัน”
“อืม”
บทสนทนาที่ผมพยายามสร้างขึ้นกลับจบลงแค่คำว่าอืมเพียงคำเดียวของเขา ก็ไม่เป็นไรครับ ช่างเถอะนะ การคาดหวังว่าเขาจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ มันคงเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ อีกตามเคย
“พี่ตั้ม เดี๋ยวผม...” ผมกำลังจะขอตัวกลับขึ้นไปหาพี่ชงโคแต่พี่ตั้มก็พูดแทรกขึ้นมา
“เอาเบอร์มือถือมึงมา มึงเปลี่ยนเบอร์ใหม่ใช่ไหมล่ะ”
“เอาไปทำไม”
“จะให้ก็ให้ ไม่ต้องถามเหตุผล”
“เออ งั้นไม่ให้”
“ให้คิดอีกที”
“อะไรของพี่เนี่ย”
“แค่จะโทรไปคุยด้วย”
“หา”
“ไม่ต้องมาทำงง รีบๆ เอามา”
“ทำอย่างกะจะจีบผม” ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะรับมือถือของเขามาบันทึกเบอร์มือถือของผมลงไป แต่ระหว่างที่กำลังจะกดบันทึก นิ้วก็ต้องชะงักกับคำพูดของเขา
“เออ จีบ พอจะมีหวังไหมล่ะ”
“ห้ะ!”
“ไปละ แล้วอย่าเที่ยวบ่อย ไว้ว่างๆ กูจะพาไปกินข้าว”
“...”
“แล้วก็ไปดูหนัง ไปซื้อของ ไปเที่ยว ไปทุกที่ที่มึงอยากไป ดีไหม”
“บ้าไปแล้ว”
พี่ตั้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงจนรู้สึกว่าได้ยินเสียงเต้นของมัน นี่มัน...คงไม่ใช่เรื่องจริง
“มาเริ่มต้นกันใหม่นะ กูไม่ได้เก่งแค่ทำให้มึงเสียใจหรอกบิ้ว แต่กูทำให้มึงเป็นคนที่มีความสุขได้ แล้วถ้าหากมึงยังไม่มั่นใจ จะกี่ปีกูก็จะรอ”
ผมรู้ดีว่าเขาพูดหวานๆ ไม่เป็น แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดนี้ถึงทำให้ผมกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ ไม่ได้ลืมหรอกนะว่าต้องร้องไห้เสียใจเพราะเขามากแค่ไหน แต่ก็ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของเขาไม่ได้เหมือนกัน
“งั้นก็ช่วยทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยนะครับ”
พี่ตั้มพยักหน้าก่อนจะยื่นมือมาผลักหน้าผากผมแล้วเลื่อนลงมากุมมือผมไว้ ผมบีบมือเขาตอบกลับไปเบาๆ
ไม่มีใครที่อยากจะเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผมก็อยากจะลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องเสียใจก็ตาม ผมก็จะไม่โทษใครเลย เพราะผมเลือกของผมเอง
.......................................................End Special.............................................
ตั้มบิ้วจบแต่เพียงเท่านี้ค่า บิ้วแม้จะเจ็บกับความรักยังไงก็พร้อมจะเสี่ยง ตอนรักชงโคน้องก็รักแบบไม่ลืมหูลืมตา พยายามทำให้ชงโครักตัวเอง ตามตื้อและดื้อดึงเหมือนตอนที่รักพี่ตั้ม บิ้วเป็นคนเรียกร้องหาความรัก น้องเป็นราชินีไม่ได้เหมือนอย่างพี่ชงโค แต่ก็หวังว่าจากนี้น้องจะมีความสุขค่ะ
รอนานเลยนะ กราบขอโทษค่า
