ตอนที่ 31Architectural Drawing วิชานี้กำลังสูบพลังชีวิตผม ชิ้นงานขนาดกระดาษ A2 ยังคงไม่เป็นรูปไม่เป็นร่าง แต่ก็ถูกกระหน่ำงานอื่นมาอีกแล้ว ผมนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าโต๊ะดราฟมาสองวันสองคืนแต่ชิ้นงานก็ยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ บุหรี่ที่ผมหาเจอในลิ้นชักโต๊ะทำงานของพี่ทองช่วยให้สมองโล่งไปได้แค่ไม่กี่นาที มันก็กลับมาสับสนวุ่นวายอีก
ผมเป็นคนประเภทถ้างานมีตำหนินิดเดียวก็จะโยนทิ้งทันที แล้วมานั่งร่างใหม่ตั้งแต่ต้น บางทีก็เผลอลงแรงขีดเขียนไปจนกระดาษขาด บ่อยครั้งที่ผมอารมณ์เสียใส่พี่ทองไปบ้างเพราะเขาชอบมากวนใจ แถมยังกวนโมโห เมื่อเช้าก็ทะเลาะกันก่อนเขาจะออกไปโรงพยาบาล เขาจับได้ว่าผมสูบบุหรี่ แต่แล้วยังไง? ผมไม่ได้เพิ่งมาเริ่มสูบเสียหน่อย
ผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ...แค่กำลังเผยให้เห็นว่าผมเคยเป็นยังไงมาก่อนก็เท่านั้นเอง
เฮ้อ...นั่งต่อไปงานก็ไม่คืบ ลุกออกไปสูดอากาศหน่อยดีกว่า
ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามที คว้าเสื้อกล้ามที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้มาสวม ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นเล็ก หยิบเบียร์กระป๋องติดมือมาด้วยแล้วออกไปสูดอากาศที่ระเบียง
อ่า...เย็นขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวพี่ทองก็คงกลับ โรงพยาบาลสัตว์ของมหาลัยไม่ได้เปิดทำการยี่สิบสี่ชั่วโมงก็จริงครับ แต่ก็มีเวรผลัดเปลี่ยนเพื่อผู้ป่วยในที่ต้องพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลด้วย เพราะถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินขึ้นมาก็จะได้ช่วยเหลือทัน พี่ทองบอกว่าสัตว์ก็เหมือนกับคน ชีวิตของพวกเขาก็มีค่า ช่วยได้ก็อยากช่วยให้เต็มที่ เพราะทุกชีวิตต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ การตรวจรักษาสัตว์บางทีก็ทำได้ยาก ในเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถบอกอาการได้เหมือนคน จึงต้องทำงานหนักมากกว่าปกติ ต้องสังเกตและหาสิ่งที่ผิดปกติให้ได้ เขาบอกว่าบางทีก็เหนื่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นเขายิ้มกว้างๆ ได้ทุกครั้ง
เสียงประตูถูกเปิด ผมหันไปมองก็เห็นพี่ทองเดินเข้ามาพร้อมกับหิ้วกล่องข้าวเข้ามาด้วย เขาดูเหมือนจะยังโกรธอยู่ถึงได้ไม่ทักทายผมสักคำ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป ผมกลับเข้ามาในห้อง เลื่อนกระจกปิด ดึงม่านปิดตาม แล้วเปิดไฟกลางห้อง เดินไปหาจานมาใส่ข้าว ถึงจะบอกว่าที่นี่เป็นหอพัก แต่ห้องมันก็ไม่ได้แคบจนเกินไป ถึงจะไม่ได้แบ่งอะไรออกเป็นสัดส่วน แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ใช้สอยอยู่บ้าง เรามีโต๊ะตัวเล็กๆ ไว้นั่งกินข้าวกัน หากว่าวันไหนขี้เกียจออกไปทานข้างนอก
ผมนั่งรออยู่เกือบสิบห้านาทีกว่าพี่ทองจะออกมาจากห้องน้ำ เขาอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นใส่อยู่ในห้องแล้ว ในขณะที่ผมมีแค่เสื้อกล้ามตัวยาวตัวเดียวเท่านั้น
‘เหนื่อยไหม’ ผมเดินเข้าไปใกล้พี่ทอง ใช้ภาษามือสื่อสารกับเขา แต่เขาก็ทำเพียงแค่มองกลับมานิ่งๆ
‘พูดกับผมหน่อย’
พี่ทองผลักหน้าผากผม ก่อนจะรั้งท้ายทอยของผมเข้าไปประกบจูบ เขาดูดลิ้นผมแรงๆ จนเหมือนจิวจะหลุดออกไป แต่ผมก็ไม่ได้ท้วงอะไร ยกมือโอบรอบคอเขาไว้แล้วเชิดหน้าขึ้นรับจูบของเขาแต่โดยดี
“ไปแต่งตัวให้เรียบร้อย”
‘ทำไมล่ะ ใส่แค่นี้ไม่ดีเหรอ’
ผมส่งยิ้มให้ ในขณะที่พี่ทองแยกเขี้ยวกลับมา
“ดีเกินไปครับที่รัก ไปแต่งตัวแล้วมากินข้าว”
‘หายโกรธแล้วนะ’
“ยัง ถ้าสูบอีกจะตบให้ปากแตกเลย”
‘งั้นถ้าสูบก็ไม่ให้รู้หรอก’
“ทำไมดื้ออย่างนี้นะชงโค มันไม่ดีเข้าใจไหม ปากจะไม่สวยด้วย”
‘ไม่สวยแล้วจะจูบไหมล่ะ’
“ไม่”
‘ใจร้ายว่ะ’
ผมอมยิ้ม แล้วแลบลิ้นออกมา พี่ทองก้มลงมาดูดเบาๆ ก่อนจะผละออกไป
“อย่ายั่วเฮียนะชงโค เดี๋ยวจะยิ้มไม่ออก”
ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ได้เห็นพี่ทองเป็นแบบนี้แล้วไม่รู้ทำไมถึงสุขใจ
“หากางเกงขายาวมาใส่ด้วย ไม่งั้นโดน”
ผมยกมือทำท่าโอเคกลับไปให้ ก่อนจะรื้อหากางเกงขาสั้นมาใส่ เรื่องอะไรจะยอมทำตามที่บอกล่ะ ถ้าทำตามก็ไม่สนุกสิ ^^
ใส่กางเกงเสร็จแล้วผมก็เดินมานั่งลงข้างๆ พี่ทอง ผมไม่ชอบนั่งกินข้าวตรงข้ามกันหรอกครับ มันไม่ได้ซบ เพราะตั้งแต่มาอยู่กับเขา ผมก็อยากให้เขารู้จักผมมากขึ้น ว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร อยากทำหรือไม่อยากทำอะไร พี่ทองเขาดีมากครับ ตามใจหมดเลย ถึงจะชอบดุบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ยอมอยู่เรื่อย น่ารักมาก ^^
“งานเสร็จยัง”
ผมส่ายหน้า ในระหว่างที่กำลังม้วนวุ้นเส้นเข้าปาก พี่ทองซื้อกุ้งอบวุ้นเส้นมาครับ อร่อยมากเลย มีผลไม้ด้วย เพราะเราอยู่หอพัก ผมเลยอดโชว์ฝีมือทำอาหาร ทุกเย็นถ้าผมไม่ได้ออกไปไหนพี่ทองก็จะซื้อข้าวเข้ามา
“แล้วทำอะไรทั้งวัน ทำไมยังไม่เสร็จ”
‘นอนบ้าง นั่งเล่นบ้าง’
“เกเรใหญ่แล้วนะ งานใกล้ส่งแล้วไม่ใช่หรือไง”
‘ใช่ แต่คิดไม่ออกนี่นา’
“มัวแต่คิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่ล่ะ”
‘ไม่ได้คิดเพ้อเจ้อ คิดถึงพี่ต่างหาก’
“เอ เด็กคนนี้น่ารักใหญ่แล้ว”
ผมยิ้มแล้วเอนหัวไปซบกับไหล่ของพี่ทอง เขาแกล้งผละหนี แต่ผมก็สอดมือไปกอดแขนไว้แน่น
“กินข้าวดิ มัวแต่อ้อน เดี๋ยวก็ได้กินอย่างอื่นหรอก”
‘อย่างอื่นนี่อะไรเหรอ อร่อยไหม’
“กินอยู่ทุกคืน อร่อยไหมล่ะ”
‘ไม่รู้เหมือนกัน’ ผมเอียงคอมองหน้าพี่ทอง ก่อนจะโดนเขาหยิกแก้ม ‘รู้แต่ชอบมาก’
“โอยยย พอแล้วครับที่รัก ไม่ยั่วนะ กินข้าวก่อน โอเคไหม ไม่งอแง ไม่ดื้อด้วย”
ผมหัวเราะกับสีหน้าทุรนทุรายของพี่ทอง เขาน่ารักมากจริงๆ นะ ถึงผมจะแกล้งขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยว่าอะไรเลย แถมยังอดทนมากด้วย
‘พี่ตามใจผมจนจะเสียคนแล้วรู้ไหม’
“ก็รู้สึกว่าดื้อกว่าเดิมนะ แต่ยังพอรับไหว หึหึ”
คงเป็นช่วงอินเลิฟอย่างที่แมวบอกจริงๆ อยู่กับพี่ทองผมไม่เบื่อเลย จะให้อยู่ด้วยทั้งวันก็ได้ แต่ติดที่ว่าเขาไม่มีเวลา ช่วงแรกๆ ที่มาอยู่ด้วยน่ะ ชอบปล่อยให้ผมนอนก่อนทุกที แต่เพราะผม...มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วร้องไห้อยู่เป็นประจำ หลังจากนั้นพี่ทองก็เข้านอนพร้อมผมตลอด มันแปลกนะ...ที่เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของใครสักคนแล้ว ผมกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่ากลัวเลย แม้แต่ในความฝัน ขณะที่กำลังยื่นมือไขว่คว้าอะไรสักอย่าง เมื่อถูกมือของเขาจับไว้ ตัวผมก็หยุดสั่นและหลับตาลงได้อย่างอุ่นใจ สามารถนอนหลับสนิทไปได้จนถึงเช้า
กินข้าวเสร็จผมก็เก็บจานไปล้าง ส่วนพี่ทองก็ไปนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะของเขาตามปกติ ผมล้างจานเรียบร้อยก็ไปอาบน้ำครับ ที่จริงผมไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ขี้เกียจมาก รู้สึกไม่อยากทำอะไรก็เลยปล่อยไว้ ประกอบกับวันนี้หยุดเรียนด้วย เพราะเมื่อคืนผมอ้วก แล้วก็มีไข้นิดหน่อย พี่ทองเลยไม่ให้ไปเรียน
ห้องน้ำที่ห้องนี้ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าห้องที่พี่โนอยู่ ก็เป็นไปตามรูปแบบของหอพักทั่วไปที่ก็มีฝักบัว อ่างล้างหน้า เครื่องทำน้ำอุ่น ชักโครก ครบครันอยู่ในห้องเดียว อาบน้ำแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดตัวโคร่งของพี่ทอง ผมเพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อนเองว่ามันสบายกว่าใส่ชุดนอนซะอีก
ออกจากห้องน้ำแล้วผมก็มานั่งทาครีมที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่ส่วนใหญ่จะมีครีมบำรุงของผม ส่วนของพี่ทองมีแค่โรลออนกับครีมทาผิวหน้าที่ผมซื้อมาไว้ให้เท่านั้นล่ะครับ เล่นเอาแปลกใจว่าไม่บำรุงอะไรเลยแต่ทำไมผิวยังขาวเนียนอย่างนี้
“ชงโค เดี๋ยวกูไปห้องไอ้โนแป๊บนะ มึงก็ทำงานให้เสร็จล่ะ เข้าใจไหม”
พี่ทองเดินมาข้างหลัง ในมือถือหนังสือไว้ ก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มผม
‘ไปด้วย’
“ถ้าจะไปก็ไปใส่กางเกง ชอบเหลือเกินนะ โชว์ขาเนี่ย”
‘ก็พี่บอกว่าขาผมสวย โชว์อย่างนี้ไม่ดีหรือไง’
“ดีครับดี แต่อยากให้คนอื่นเห็นรอยที่เฮียทำไว้เหรอ”
‘พี่หวงรึเปล่าล่ะ’
“มาก”
‘งั้นไปใส่ก็ได้ ^^’
พี่ทองชอบทำรอยไว้ที่ต้นขาของผม เขาชอบกัด ชอบดูดจนตอนนี้ที่ต้นขาของผมเป็นรอยไม่ค่อยน่ามองเท่าไหร่
ผมเดินมาหากางเกงขายาว เพราะต้องไปห้องของเพื่อนพี่ทอง ในจังหวะที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ก็ถูกมือหนาผลักเข้าชิดประตูตู้ ผมหน้าเหวอไปเล็กน้อย ทุบไหล่พี่ทองเบาๆ แต่เขาก็จับมือผมไว้พลางอมยิ้ม จับปลายนิ้วของผมเข้าไปในปากแล้วดูดเบาๆ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงไป มือข้างหนึ่งยกขาของผมให้พาดบนไหล่ของเขา แล้วฝังริมฝีปากลงบนต้นขาของผม แรงดูดทำให้รู้สึกวูบโหวงไปทั่วช่องท้อง แต่พี่ทองก็หยุดแค่นั้น เขายืดตัวขึ้นยืนตามเดิม ยักคิ้วให้อย่างน่าโมโห
“อยากให้ทำมากกว่านี้เหรอ”
ผมเม้มปาก มองหน้าเขา พอเจอรอยยิ้มน่ามองเข้าก็ทนมองต่อไม่ได้เลยต้องสะบัดหน้าหนี
“ไม่ได้หรอกนะ คืนนี้เฮียต้องสรุปเคสให้เสร็จ ชงโคทำเฮียเกเรมาหลายคืนแล้ว”
‘คนบ้า’
“ป่ะ ไปห้องไอ้โน หรือจะไม่ไปแล้ว”
‘ไป พี่ใส่กางเกงให้หน่อยสิ’
“โอเค รักหรอกนะถึงยอมทำให้ หึหึ”
พี่ทองรับกางเกงไปถือไว้ ผมวางมือลงบนไหล่เขาทั้งสองข้าง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ๆ เอียงหน้าเข้าหาพี่ทองที่อมยิ้มอย่างรู้ทัน เราจูบกันในขณะที่เขาก็ใส่กางเกงให้ผมไปด้วย ลิ้นร้อนที่เข้ามาเกี่ยวกระหวัด แถมยังดูดเบาๆ ทำให้ผมส่งเสียงครางอยู่ในลำคอ เขาดุนดันจิวที่ลิ้นผม ถึงจะบอกว่าไม่ชอบ แต่เขาก็เล่นกับมันบ่อยเหลือเกิน
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังไม่กี่วินาที ก่อนประตูจะถูกเปิดพรวดเข้ามา แต่คนเปิดยังยืนนิ่งอยู่ที่ประตู พี่ทองผละออกจากผม แล้วหันไปมอง
“โอยยย พวกมึงนี่เหมือนคู่แต่งงานใหม่เลยเนอะ อยู่กินกันมาตั้งเป็นอาทิตย์ละ ยังนัวเนียกันตลอดเลย” พี่โนตาพราวระยับ ยิ้มล้อเลียนนั้นทำให้หน้าผมร้อนวูบขึ้นมา
“ไอ้ห่า เสียมารยาท ใครบอกมึงเปิดเข้ามา”
“กูเคาะประตูแล้ว”
“เคาะแล้วก็ต้องรออนุญาตก่อนเว้ย แล้วมึงมีไร”
“กูจะบอกว่าเดี๋ยวกูจะอาบน้ำ กลัวมึงไปที่ห้องแล้วจะคิดว่ากูไม่อยู่”
“กูก็ได้ยินเสียงน้ำบ้างเหอะไอ้ห่า”
“อ้าว จริงดิ อิอิ พอดีกูอยากรู้ว่ามึงทำไรอยู่อ่ะ เห็นบอกว่าจะมาสองทุ่มแต่แม่งเลท โฮะๆ น้องชงโคจ๋า ไอ้ทองเผลอแล้วเราค่อยเจอกันนะจ้ะ ไอเลิฟยูเสมอจ่ะ อิอิ”
“ไอ้เหี้ยโน ไปไกลๆ เลยมึง นี่เมียกู”
“โธ่ไอ้ทอง เต็มปากเต็มคำ ได้ข่าวมึงยังไม่ได้แอ้มเขา”
“เร็วๆ นี้แหละโว้ย!”
พี่โนหัวเราะชอบใจ ก่อนจะรีบวิ่งกลับห้องตัวเอง ซึ่งก็อยู่ข้างๆ กัน เมื่อเห็นว่าพี่ทองกำลังจะหาอะไรมาขว้างใส่
“อย่าไปเข้าใกล้มันนะ ไอ้ห่านี่โรคจิต”
ผมอมยิ้ม ก่อนจะกอดแขนพี่ทองไว้ คนขี้หวงเอ้ย เพราะเขาเป็นอย่างนี้ถึงได้โดนทั้งพี่หมอโปรด พี่โนแกล้งยั่วตลอด
‘หึงเหรอ’
“ทั้งหึงทั้งหวง เมียสวย ไม่อยากให้ใครมายุ่ง”
ผมหัวเราะกับคำพูดของพี่ทอง ‘จริงเหรอ’
“อือ ทั้งสวยทั้งอร่อย”
‘รู้ได้ไงว่าอร่อย ยังชิมไม่หมดเลย’
“หายป่วยเร็วๆ สิ อยากชิมใจจะขาดแล้ว”
‘ชิมเลยก็ได้ ผมไม่ว่าหรอก’
พี่ทองเขาเป็นห่วงเกินไป ผมเคยบอกแล้วว่าไม่เป็นไร แม้ว่าช่วงนี้น้ำหนักผมจะลดลงสองสามกิโล แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนเพลียเกินไปหรอก ยังพอไหวอยู่
“รอให้ดีขึ้นก่อนดีกว่า เป็นหนักแล้วจะยุ่ง”
ผมพยักหน้า ก่อนจะยืดตัวหอมแก้มเขา ‘ขอบคุณนะครับ ผมรักพี่นะ’
พี่ทองหน้าแดงนิดๆ ก่อนจะคล้องคอผมให้เข้าไปใกล้กว่าเดิม จัดการล็อคประตูแล้วก็เดินมาที่ห้องพี่โน ผมคงอยู่ด้วยสักพัก แล้วก็จะกลับไปทำงานล่ะครับ ขืนช้ากว่านี้คงแย่แน่ ไม่มีงานส่งคงเห็น F ตัวแรกมารำไร
.
.
.
วันนี้ผมกลับมาที่บ้าน ดอกไม้ยังเบ่งบานงามเหมือนเคย แม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่รดน้ำพวกมันทุกเช้าทุกเย็นเหมือนที่ผ่านมา แต่ลุงมีก็จัดการให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมแค่มาตรวจความเรียบร้อยของบ้านนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวคืนนี้ก็จะกลับไปนอนกับพี่ทองตามเดิม
ผมขึ้นมาบนบ้าน จุดธูปเล่าเรื่องราวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาให้แม่ฟัง เหมือนนานมากแล้วที่ไม่ได้คุยกับท่าน ผมหวังว่าแม่จะยังคงสบายดีและคอยเฝ้ามองผมเช่นเดิม
‘อีกไม่นาน...คนที่ทำร้ายเราก็จะได้รับการลงโทษแล้วล่ะครับ สบายใจเถอะนะ ผมจะไม่ขี้ขลาดอีกแล้ว ขอโทษที่ผมเอาแต่หนีมาตลอด แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วครับแม่ มีคนดีๆ ที่จะคอยช่วยเหลือเรา’
ผมคิดมาตลอดว่าการฝากความหวังไว้กับคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก แต่ตอนนี้...คงต้องฝากไว้กับคนอื่นแล้ว ผมทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้หรอก...ต้องมีคนคอยช่วย
จี้ดๆๆๆๆ
ผมหันขวับมองไปทางห้องเก็บของ ห้องที่ให้ความรู้สึกไม่น่าเข้าใกล้ ผมไม่เคยเข้าไปในห้องนี้เลย เดิมทีมันเคยเป็นห้องนอนสำหรับแขก แต่พี่กระแตบอกว่าแม่สั่งให้ทำเป็นห้องเก็บของและนานหลายปีแล้วที่มันถูกลั่นกุญแจไว้
เสียงหนูยังคงวิ่งและส่งเสียงร้องออกมาจากในห้อง ผมเดินไปหยุดหน้าประตู ยกมือจับแม่กุญแจที่คล้องไว้ ก่อนจะล้วงพวงกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง เลือกกุญแจดอกที่ไม่เคยใช้งานเลยขึ้นมาเสียบที่แม่กุญแจแล้วปลดล็อค
แค่เพียงประตูถูกเปิดออก กลิ่นอับก็ลอยมาแตะจมูก ความมืดสลัวทำให้ไม่เห็นว่ามีฝุ่นละอองลอยอยู่หรือไม่ แต่บรรยากาศแบบนี้...น่าคุ้นเคยอย่างประหลาด และทำให้ตัวสั่นขึ้นมาฉับพลัน ผมก้าวขาที่สั่นเทาเข้าไปในห้อง ควานมือหาสวิชไฟจนเจอ แต่เมื่อมีแสงสว่างภายในห้อง ผมกลับถอยหลังติดกับผนังห้อง กระจกที่มีรอยร้าวบานใหญ่สะท้อนภาพใบหน้าซีดเซียวของตัวเอง
‘หนูต้องอยู่ที่นี่กับแม่...เข้าใจไหมชงโค ต้องอยู่ที่นี่ ลูกเป็นลูกรักของแม่ ของแม่คนเดียว’ผมจำได้...จำเสียงของแม่ได้ แต่กลับ...กลัวเหลือเกิน
ที่ตรงนั้น...ผมจำได้...ว่าเคยมีใครสักคนถูกล่ามไว้ กรงไม้ขนาดใหญ่ตรงมุมห้องก็เคยมีคนอยู่ในนั้น แม้จะมองจากตรงนี้ ผมก็ยังเห็นเสื้อสีหมองๆ กองอยู่ภายใน ฝุ่นจับเขรอะ สกปรกจนไม่น่าเข้าใกล้ เสื้อที่คงเปรอะไปด้วยรอยเลือด...เลือดที่ผมไม่รู้ว่าเป็นของใคร
จู่ๆ ก็เหมือนมีเหตุการณ์สักร้อยเหตุการณ์อัดแน่นอยู่ในหัวที่ร้อนและปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ท้องไส้ปั่นป่วน อากาศรอบตัวเหมือนจะลดน้อยลงทำให้หายใจไม่ออก ทรมานจนทนไม่ไหว แข้งขาไร้เรี่ยวแรงแล้วล้มโครมลงกับพื้น มือเท้าเกร็งอย่างควบคุมไม่อยู่
‘อย่าดื้อกับแม่! แม่บอกให้กิน! กินเข้าไป!’เสียงแหลมที่สะท้อนก้องอยู่ในหู ภาพของเด็กน้อยที่ถูกล่ามอยู่ในกรงราวกับสัตว์เลี้ยงผุดขึ้นมาในความทรงจำ
‘พ่อจ๋า...พ่อช่วยหนูด้วย’เสียงร้องไห้ดังก้องไปทั่วห้อง แต่กลับถูกมือขาวเนียนปิดปากเล็กไว้แน่นสนิท
‘อย่าเรียกมันว่าพ่อ! มันไม่ใช่พ่อของลูก! มัน...ไอ้สารเลว มันทำให้แม่ต้องตกนรกทั้งเป็น เพราะความโลภของมัน ความระยำของมันที่ทำให้ชีวิตฉันต้องเป็นแบบนี้!’
รอยยิ้มบนใบหน้าสวยบิดเบี้ยวอย่างไม่น่ามอง พลันมือบางก็ฟาดเต็มแรงลงบนแก้มของร่างเล็กเมื่อเด็กน้อยร้องไห้งอแงไม่หยุด
‘ชงโค แม่ขอโทษ ไม่ร้องนะลูก ไม่ร้องนะ แม่ขอโทษ แม่รักชงโค แม่รักชงโคคนเดียว’ผมก็รักแม่...ผมรักแม่มากนะ...เพราะฉะนั้น...อย่าตีผมเลย ผมเจ็บ...ผมไม่ไปไหนหรอก ผมจะอยู่กับแม่ อย่าตีผมนะ...อย่าตี
ผมขอร้อง...
“ไม่! ไม่! ชงโค! ชงโค! ชงโคได้ยินเฮียรึเปล่า! ฟื้นสิ! อย่าทิ้งเฮียนะ! ฟื้นสิ เด็กบ้า!”
อึก!
เจ็บ...
เหมือนโดนทุบเข้าที่อก แต่ความอึดอัดที่กดทับอกกลับหายไป แทนที่ด้วยอากาศบริสุทธิ์ อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบๆ บ้าน แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่แค่เพียงลืมตา น้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้ม ก่อนจะถูกใครสักคนดึงเข้าไปกอดไว้แน่น ใครสักคนที่แค่กลิ่นผมก็จำได้ แค่ความอบอุ่น แค่ช่วงไหล่ แค่อ้อมแขน ก็จำได้ดีว่าเป็นใคร
“ขอบคุณที่กลับมา ขอบคุณจริงๆ”
เขาร้องไห้...เสียงทุ้มแหบพร่า ยามที่หน้าผากของเราสัมผัสกัน น้ำตาของเขาก็หยดลงบนแก้มของผม
“อย่าทำให้เป็นห่วงได้ไหม”
‘ผมขอโทษ’
พี่ทองเช็ดน้ำตาออกจากแก้มผม ในขณะที่ผมยกมือเช็ดน้ำตาให้เขา
‘ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ’
“หายไปกี่ชั่วโมงรู้ตัวรึเปล่า โทรหาก็ไม่รับ ไลน์ก็ไม่ตอบ เป็นห่วงก็เลยมาดู”
ผมยิ้มให้พี่ทอง ขยับออกห่างเขาเล็กน้อย เพราะเพิ่งรู้ว่าเสื้อเปื้อนอาเจียนและมันเหม็นสุดๆ อ่า...จะว่าไปก็นาน ผมมาตั้งแต่ห้าโมงเย็น จนตอนนี้เกือบสามทุ่มแล้ว
“ไปโรงพยาบาลกันนะ ไปให้หมอตรวจอีกที”
‘พี่ก็เป็นหมอ ตรวจให้ไม่ได้เหรอ’
“คนละความเชี่ยวชาญ เราน่ะเป็นคน ไปให้หมอคนตรวจดูหน่อย”
‘หมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่ไปหรอก’
“โอเคๆ ไม่ไปก็ไม่ไป แต่บอกมาได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับมึง”
ผมหลบตาพี่ทอง และแม้ว่าผมจะทำทีไม่สนใจและสาละวนกับการถอดเสื้อเปื้อนอาเจียนทิ้ง แต่คราวนี้พี่ทองไม่ยอมถอย
“มึงเกือบตายไปแล้วนะชงโค ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้กูทำ CPR ให้ มึงคงตายไปแล้ว แล้วแบบนี้จะยังปิดกันอีกเหรอ...ให้กูรู้บ้าง ว่าอะไรที่ทำให้มึงเป็นอย่างนี้...มึงเจ็บ กูเจ็บกว่ามึงเป็นร้อยเท่า รู้บ้างรึเปล่า”
ผมเป็นคนรักที่ไม่ดีเลย...จะมีใครบ้างทำให้คนรักของตัวเองมีสีหน้าเจ็บปวดมากขนาดนี้ เขากังวล เขาเป็นห่วง...
ผมรู้ว่าเขาจะนอนทีหลังผมเสมอ เขารอจนแน่ใจว่าผมหลับสนิทแล้วเขาถึงจะนอนได้ เพราะเมื่อผมสะดุ้งตื่นจากฝันเมื่อไหร่ เขาก็จะดึงผมไปกอดปลอบทุกครั้ง ผมรู้ว่าแม้เขาจะไม่ค่อยมีเวลา แต่ทุกเย็นก็จะมานั่งกินข้าวด้วยตลอด เขาบอกว่าถ้าปล่อยให้ผมกินเอง ผมก็จะกินไปแค่นิดเดียว แถมยังขนอาหารเสริม วิตามินอะไรต่อมิอะไรมาให้กิน บอกด้วยว่าถ้าผมกินแล้วจะแข็งแรงขนาดยกรถสิบล้อด้วยนิ้วเดียว พี่หมอโปรดการันตีเองเลย เพราะอาหารเสริมพวกนี้แฟนพี่เขาก็กินเหมือนกัน แต่เรื่องยกรถสิบล้อนั่นพี่ทองคงโม้เอาเอง เพราะเขาน่ะเป็นคนบ้า...ที่ทำให้ผมหัวเราะได้ทุกครั้ง แม้จะกวนโมโหไปบ้าง แต่พี่ทองก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากยิ้มให้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
‘แม่ของผมถูกฆ่าตาย ท่านตายต่อหน้าต่อตาผม ท่านกอดผมไว้ บอกว่าผมจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตที่มีความสุข’
พี่ทองมองหน้าผม รวบมือที่สั่นเทาของผมไว้ แล้วยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ
“พอแล้วล่ะ...ไม่ต้องบอกแล้ว ให้พร้อมกว่านี้ ค่อยบอกก็ได้”
แต่ผมส่ายหัว ดึงมือออกจากการเกาะกุมของพี่ทอง ก่อนจะเริ่มใช้ภาษามือเพื่อบอกสิ่งที่ทำให้ผมต้องทุกข์ทรมาน และทำให้เขาต้องมากังวลไปกับผมด้วย
‘ผมจำอะไรไม่ได้มากนัก จำได้แค่ตอนที่แม่ถูกฆ่า ได้ยินเสียงหัวเราะ...ได้ยินเสียงร้องตะโกน แต่ผมจำใบหน้าคนอื่นไม่ได้เลย...ยกเว้นแต่ใบหน้าของแม่ รอยยิ้มที่มีให้กับผม เป็นรอยยิ้มสุดท้าย แล้วท่านก็จากไป’
พี่ทองเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาให้ผมอย่างเบามือ ความอ่อนโยนของเขาทำให้มือของผมสั่นน้อยลง
‘นั่นเป็นเรื่องที่อยู่ในความทรงจำของผมมาหลายปี แต่ตั้งแต่ที่ได้คุยกับพ่อ... ฝันร้ายมันก็กลับมา มันเป็นภาพก่อนที่แม่จะถูกฆ่าตาย เป็นฝันร้ายที่ผมพยายามจะลืม มีผู้ชายคนหนึ่งกอดผมไว้ มีดปักอยู่กลางอกเขา แต่ก็ยังยิ้มให้ผม เขาเรียกชื่อผมเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่ผม...จำใบหน้าของเขาไม่ได้ เขาตายทั้งๆ ที่ยังกอดผมไว้ แล้วแม่ก็ดึงตัวผมออกไป ท่านหัวเราะ...บอกผมว่าผู้ชายคนนั้นสมควรตายแล้ว เพราะเขาจะมาแย่งผมไปจากแม่’
“จำไม่ได้เลยเหรอ...ว่าเขาเป็นใคร”
ผมส่ายหัว เพราะจำไม่ได้จริงๆ มันผ่านมาหลายปีแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นเป็นยังไง ในเมื่อสำนวนคดีของแม่...ไม่ได้ระบุว่ามีคนตายคนอื่นอีกนอกจากแม่ของผม ทั้งๆ ที่ในยามหลับและยามตื่น...ผมยังเห็นภาพผู้ชายไร้ใบหน้ากอดตัวผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
‘ตอนนี้อากงของพี่ดูแลเรื่องคดีของแม่ผม ผมอยากให้มันคืบหน้ามากกว่านี้เลยพยายามนึกให้ออกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็แย่อย่างที่เห็น ตอนนี้แม้จะไม่อยากนึกถึงมัน แต่ภาพพวกนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวผม’
พี่ทองยกตัวผมไปนั่งบนตัก แล้วก้มลงมาจูบที่หน้าผากของผม “ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดี แต่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ขออย่างเดียว...ชงโคอย่าปล่อยมือจากเฮียก็พอ อย่าทิ้งเฮียไปไหน”
ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ตอนนี้ไม่มีความขี้เล่นให้เห็น เขาทำหน้าจริงจังไม่ต่างจากน้ำเสียง
“ตอนที่มาเจอชงโคนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น เฮียเพิ่งจะรู้วันนี้เองว่าล้มทั้งยืนมันเป็นยังไง ถ้ามาช้ากว่านี้...ชีวิตตั้งแต่วินาทีนี้ไป คงเหมือนตายทั้งเป็น”
‘ถ้าไม่มีผม พี่จะอยู่ไม่ได้เลยเหรอ’
พี่ทองคลี่ยิ้ม ไซ้จมูกลงบนแก้มผมเบาๆ “อยู่ได้ แต่คงไม่เหมือนเดิม มนุษย์ที่หัวใจหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่มีวันจะมีชีวิตเป็นปกติได้หรอก...”
พี่ก็ได้หัวใจผมไปแล้ว...ก็ช่วยดูแลมันด้วยนะครับ
‘ผมก็เหมือนกัน ข้างๆ ผม ต้องมีพี่อยู่ด้วยเท่านั้นนะ’
พี่ทองยิ้มกว้าง เขาเอาหนวดที่เริ่มขึ้นรอบๆ ริมฝีปากมาถูกกับแก้มผม จนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาแกล้งผมจนผมยกมือยอมแพ้เพราะหัวเราะจนเหนื่อย
“ว่าแต่ ห้องนั้นมันอะไร” พี่ทองพอเห็นว่าผมหยุดหัวเราะแล้วก็พยักพเยิดหน้าไปที่ห้องเก็บของที่ยังคงไม่ถูกล็อคประตู ผมเกร็งตัวขึ้นมาทันที แต่พอมองสบกับสายตาอ่อนโยนของพี่ทอง และได้อยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นนี้ ผมก็สงบใจลงได้
“ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก เฮียอยู่ตรงนี้กับชงโคแล้ว ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดก็จะเตะให้คว่ำเลย เพราะเฮียเป็นยอดมนุษย์ ชื่อว่า ซุปเปอร์ทอง”
ผมหัวเราะก๊ากออกมาทันที ทำไมตั้งชื่อเชยอย่างนั้นเล่า ไม่ไหวเลย เซ้นในการตั้งชื่ออย่างอื่นก็ออกจะดี อย่างลูกสาวคนโตก็ชื่อจุ๊บแจง ลูกสาวคนเล็กก็ชื่อลูซี่ ลูกที่เป็นเกย์ เอ่อ ผมหมายถึงลูกสาวอีกคน ก็ชื่อเดซี่ แต่ทำไมชื่อตัวเองดันเป็นงี้อ่ะ
“หัวเราะเหรอๆ เดี๋ยวจะโดน รู้ป่ะว่ายอดมนุษย์แรงเยอะขนาดไหน ยิ่งซุปเปอร์ทองนี่ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ แทงทีเดียวเด็กคนนี้ร้องไห้เลย”
‘ทะลึ่ง’
“ใครกันแน่ทะลึ่ง เสื้อก็ไม่ใส่ ยั่วเขาอ่ะดิ”
ผมตีไหล่พี่ทองไปสองที พอจะตีทีที่สามก็ถูกเขารวบมือไว้เหนือหัว แถมยังใช้อีกมือเชยคางผมขึ้นอีก
“แก้มตอบลงไปเยอะเลย ม๊าต้องว่าเฮียดูแลไม่ดีแหงๆ ทำไงดีหว่า กินอะไรถึงจะอ้วนขึ้นหืม”
ผมอมยิ้ม ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วโถมตัวเข้าใส่เขา พี่ทองยอมปล่อยมือเพราะต้องรับตัวผมไว้
‘กินพี่ น่าจะอ้วนขึ้นนะ’
“ไม่จริงมั้ง เห็นกินทุกคืน ไม่อ้วนขึ้นเลย”
‘ก็ยังกินไม่อิ่ม’
“แล้วทำยังไงถึงจะอิ่มครับ”
พี่ทองเลิกคิ้ว พลางไล้นิ้ววนที่สะดือผมทำให้จิวเย็นๆ สัมผัสกับผิวเนื้อจนรู้สึกเสียววาบ
‘ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่เคย’
ผมลากนิ้วไล้ตั้งแต่ริมฝีปากของเขา เรื่อยต่ำลงมา แล้ววนเวียนอยู่ตรงหัวเข็มขัดมหาวิทยาลัย ใช้มืออีกข้างช่วยขยับหัวเข็มขัดให้หลวม แล้วรูดซิบลงอย่างช้าๆ พี่ทองมองตามพลางซี้ดปากเบาๆ แม้แต่ตอนที่ผมส่งนิ้วเข้าไปใต้เนื้อผ้า เขาก็ยังขยิบตาพร้อมกับกัดริมฝีปากมองหน้าผม
“ยอดมนุษย์คนอื่นอาจจะต้องช่วยเหลือคนไปทั่ว แต่ซุปเปอร์ทองมีไว้เพื่อชงโคคนเดียวเลย อยากให้ทำยังไง ซี๊ดดดด ก็บอก”
‘ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็พอ’
“อืมมม รับทราบครับที่รัก ^^”
พี่ทองขานรับเสียงใสอย่างน่าหมั่นไส้ แต่การที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขา มันก็ทำเอาผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
ขอบคุณนะครับพี่...ที่เป็นแสงสว่างให้ผม
.................................................To be continue........................................
เจอกันอีกทีวันเสาร์ค่ะ
I got you, under my skin O_o!
http://ask.fm/TCHONG_K << ถามได้ค่ะ
ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็นเลยค่ะ แมว โบ ยังไม่มีแพลนจะเขียน special คู่นี้นะคะ

ซุปเปอร์ทอง
ชงโค ไม่น่ารักก็เปลี่ยนใจกันได้นะคะ ไม่ว่ากานนนนนนนนนน น้องไม่ได้ใสค่ะ
