ตอนที่ 16‘พี่ขอโทษแทนนิลด้วยนะ อย่าถือสาเลย นิลกำลังเสียใจเรื่องที่ไอ้ทองมันขอหย่า หวังว่าชงโคคงเข้าใจ’
ผมอ่านข้อความในหน้าต่างการสนทนาระหว่างผมกับพี่ดีนแล้วก็ต้องถอนใจ นี่ถ้าผมไม่เข้าใจผมคงเป็นคนใจแคบมากสินะครับ แต่แหม เล่นมาด่ากันกลางร้านไอศกรีมขนาดนั้น คนสติดีที่ไหนที่จะไม่โกรธ?
เนอะ เดซี่...
เอ๋!!! เดซี่!!! O_O!
มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เงยหน้าขึ้นอีกทีหน้าก็แทบชนกับจมูกของเดซี่แล้ว แถมยังมาร้องมอๆ อย่างอารมณ์ดีใส่ผมอีก จะว่าไป...เดซี่อยู่ที่นี่แล้วพ่อมันล่ะ
ผมมองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวพี่ทอง แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอสักที
“อยู่นี่ๆ” เสียงตะโกนดังๆ มาจากบนกำแพง พอแหงนมองขึ้นไปก็เห็นพี่ทองในชุดนักศึกษา มีผ้าปิดจมูกปิดไว้ครึ่งหน้า นั่งห้อยขาอยู่บนนั้น เมื่อกี้เพราะกิ่งก้านของต้นชงโคมันบังเอาไว้ก็เลยไม่เห็น
‘ไปทำอะไรบนนั้น’
“ทำเครื่องประดับให้เดซี่” ว่าแล้วก็ชูมงกุฎดอกชงโคให้ผมดู ก่อนเขาจะกระโดดลงจากกำแพงแล้วเดินตรงมาหา มือข้างหนึ่งของพี่ทองมีดอกชงโคอยู่หนึ่งดอก อีกข้างมีมงกุฎดอกชงโคอยู่หนึ่งอัน เขามองหน้าผมก่อนจะเอาดอกชงโคมาทัดที่หูให้
“อันนี้ของคุณแม่” ขยี้หัวผมเบาๆ ก่อนจะหันไปสวมมงกุฎให้เดซี่ “อันนี้ของลูกสาว”
ผมยิ้มให้กับเดซี่ที่ร้องมอๆ ไม่หยุด มันคงดีใจที่ได้สวมมงกุฎ ในขณะที่พี่ทองสาละวนอยู่กับการจัดตำแหน่งกล้องเพื่ออัพรูปลงไอจี
‘มายังไง ไม่ได้ยินเสียงรถ’
“เอาจุ๊บแจงจอดไว้หน้าปากซอยแล้วก็เดินมา”
เป็นคำตอบที่เล่นเอาเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าทำไปเพื่ออะไร
‘ทำไมเอาไปจอดไว้ซะไกล’
“ก็จุ๊บแจงเสียงดัง ถ้าขับมาจอดใกล้ๆ เดี๋ยวมึงรู้ตัว”
‘พี่คิดจะมาขโมยของบ้านผมรึไง’
“ของน่ะไม่เอา เอาคน”
โจรกระจอกจริงๆ =_=
“แล้วไปดูหนังกับเพื่อนเป็นไงบ้าง” พี่ทองเริ่มคำถาม พร้อมๆ กับเดินมานั่งลงข้างๆ ผม
ศาลากลางสวนที่ห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้อย่างนี้คงไม่ดีกับพี่ทองมากเท่าไหร่ ตรงข้ามกับผมที่ความรู้สึกแย่ๆ ตั้งแต่อยู่ที่ห้างกลับมาบ้านมันก็หายไปจนหมด ยิ่งได้กลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ยิ่งผ่อนคลาย ผมชอบบ้านหลังนี้ ชอบทุกๆ มุม เพราะไม่ว่าจะมุมไหนๆ ก็เคยมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับแม่อยู่ทุกๆ ที่
“ว่าไงชงโค สนุกไหม”
ผมหันไปมองหน้าพี่ทอง ก่อนจะพยักหน้า แล้วพิงหัวลงบนไหล่ของเขา พร้อมกับที่มือก็เริ่มต้นเล่าในสิ่งที่ได้ไปเจอมา
‘ไปดูหนังก็สนุก นั่งกินไอศกรีมก็ยังสนุก แต่พอเจอเมียพี่เท่านั้นแหละ โลกที่เคยมีอากาศสดใส กลายเป็นมลพิษ’
“เมีย?” พี่ทองพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะดันผมให้นั่งตัวตรงและใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่ของผมไว้ “เจอนิลมาเหรอ เฮ้ย! ไปเจอได้ยังไง โลกกลมไปไหม”
‘กลมมากด้วย แถมผมยังโดนด่าว่าแย่งผัวชาวบ้านกลางร้านไอศกรีม’
พี่ทองหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขามองสบตากับผมอย่างจริงจัง “กูขอโทษที่ทำให้มึงต้องเจอเรื่องแบบนี้”
‘ไม่เป็นไร ตอนแรกผมก็รู้สึกแย่มาก เพราะไม่เคยโดนด่าเรื่องแบบนี้มาก่อน เคยแต่โดนเพื่อนๆ ล้อว่าไอ้ใบ้ๆ มาตลอด มาเจอเรื่องนี้ถือว่าได้รสชาติอีกแบบ’
ผมยิ้ม แต่พี่ทองกลับไม่ยิ้มเลยสักนิด เขาเม้มปาก คิ้วเข้มๆ ขมวดกันยุ่ง
“ต่อไปนี้ใครล้อมึงกูจะตัดลิ้นไก่มันแล้วให้เดซี่ใช้เท้าหน้ากระทืบให้แหลก” พี่ทองดูโมโหเป็นจริงเป็นจังจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไม่ใช่เรื่องตลก กูพูดจริง แล้วถ้าใครมันมาด่ามึงอีก ไม่ว่าหน้าไหน กูจะตบให้ฟันร่วงเลย คอยดู”
‘เดี๋ยวก็โดนด่าว่าหน้าตัวเมีย พี่เป็นผู้ชายนะ อย่าลืมสิ อีกอย่างใครจะด่าใครจะล้อก็ช่างเขาเถอะ ผมไม่ใส่ใจหรอก’
“กูไม่สน คนบางคนพูดกันดีๆ มันฟังไม่รู้เรื่อง กูก็บอกปาวๆ อยู่ว่าไม่รัก ขอหย่าๆ แม่งยังมีหน้ามาด่ามึงอีก ผู้หญิงเหี้ยอย่างนี้หมดหรือไง ไม่เคยพบเคยเจอ ประสาทจะกิน”
ผมมองพี่ทองอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดขนาดนี้ เลยได้แต่ยกมือลูบไหล่เขาให้ใจเย็นๆ แต่ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ผมมองหน้าพี่ทองที่พอเห็นเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอก็แทบจะขว้างมันลงพื้น ถ้าไม่ติดว่าผมรั้งไว้ ป่านนี้อุปกรณ์เล่นคุกกี้รันของน้องพลอยคงเหลือแต่ซาก
“มีไร กูอยู่บ้านเมียกู มึงอย่าเพิ่งมาพูดตอนกูกำลังหงุดหงิดไอ้เหี้ยดีน มึงใช่ไหมที่สาระแนพานิลไปเจอกับชงโค กูขอเตือนไว้นะ ถ้ามึงห้ามปากพล่อยๆ ของนิลไม่ได้ ก็ไม่ต้องสะเออะพาออกมาเที่ยวข้างนอก แล้วก็บอกให้นิลรีบๆ เซ็นใบหย่าให้กูซะ เพราะถ้ามันเกินเวลากว่านี้กูฟ้องแน่ ถ้าเรื่องถึงศาลเมื่อไหร่ แม้แต่ค่าเลี้ยงดูหลังหย่านิลก็จะไม่ได้จากกูสักแดงเดียว เออ! กูไม่ได้ขู่ แล้วมึงกับนิลก็ไม่ต้องคิดพยายามจะแยกกูกับชงโค เพราะไม่มีประโยชน์ไอ้สัด อ้อ อีกเรื่อง กูฝากถามนิลด้วยละกันว่า ปากก็บอกว่ารักกูปาวๆ แต่ทำไมนอนให้มึงเอาเกือบทุกคืน แค่นี้แหละ สวัสดี”
พี่ทองพอวางสายแล้วก็เหมือนจะเหนื่อยมาก หน้าเขาแดงนิดๆ แถมยังบึ้งตึงจนผมไม่กล้าเข้าไปใกล้ เป็นนานหลายนาทีกว่าเขาจะถอนหายใจออกมาแล้วหันหน้ามามองผม
“ชีวิตกูเละเทะมากเลย...มึงจะไม่อยู่กับกูแล้วก็ได้นะ” พี่ทองพูดด้วยเสียงจริงจัง ในขณะที่ผมมองหน้าเขานิ่งๆ กำลังจะมะเหงกใส่หัวเขาสักทีสองทีให้สติกลับร่าง ประโยคต่อมาก็ดังขึ้นซะก่อน “อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก เพราะแม่งคงเท่ยิ่งกว่าพระเอกหนังฮอลลีวู้ด แต่กูมันก็แค่คนเลี้ยงวัว...เพราะฉะนั้น ถึงต้องเจอกับอะไรก็อย่าทิ้งกันไปไหนนะชงโค กูมันดูแลตัวเองไม่ค่อยเก่ง แถมยังใจร้อน ถ้ามีมึงอยู่ด้วย ทุกอย่างคงลงตัว”
เฮ้อ...ก็ถ้าพูดขนาดนี้ ผมจะยังไปไหนได้อีกล่ะ แม้ว่าบางทีพี่ทองจะขวานผ่าซาก และทำตัวไม่สมกับเป็นสุภาพบุรุษไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ต้องการคนที่ดีพร้อมไปหมดทุกอย่างอยู่แล้ว ให้มีดีบ้าง เสียบ้างปะปนกันไป ชีวิตถึงจะได้มีสีสัน
ใครที่โลกสวยหวังจะเจอผู้ชายที่ดีพร้อม...แนะนำไปฝันเอานะครับ ฝันเหมือนพี่นิลน่ะ...ฝันว่าได้สามีเป็นเจ้าชายแล้วก็ไม่ยอมตื่นจากฝันสักที หึหึหึ
‘ว่าแต่พี่มาหาผมนี่มีธุระอะไร’ เกือบลืมถามเพราะมัวแต่หลงประเด็นไปเรื่องอื่นตั้งนาน พี่ทองทำหน้ายุ่งใส่ แล้วดีดหน้าผากผมไปหนึ่งที
“มาหาแม่ของลูกต้องมีธุระด้วย?”
‘ผมไม่มีลูกเป็นวัวหรอกนะ’ ถึงเป็นคนก็เถอะ ต่อให้พี่ไม่ปล่อยนอกผมก็ไม่มีวันท้องหรอก แล้วนี่ผมจะหลงประเด็นไปถึงไหน -*-
“ทั้งๆ ที่เดซี่น่ารักขนาดนี้ แต่คนบางคนก็ยังใจร้ายกับหนูได้ลงคอ งั้นกลับกันเถอะลูก แม่เขาท้องเราแล้วไม่รับ ก็ต้องไปตามทางของเรา”
=_=; ถ้าไม่ตบกะโหลกสักครั้งคงจะไม่หายใช่ไหม ไอ้อาการเหมือนคนเมากัญชาเนี่ย
‘พูดมาเลย ให้ตรงประเด็น อย่าลีลา’
“เวลาทำหน้าดุล่ะเหมือนม๊าเข้าไปทุกที โอเคๆ มารับไปกินข้าวกับที่บ้าน อาม่าเข้าครัวเองเลยนะ รับรองรสชาติได้เลยล่ะอาหารมื้อนี้”
ผมมองพี่ทองที่ดูเหมือนจะกำลังเปล่งออร่าความสุขออกจากตัว เขาดูเหมือนคนที่มีตัวตนอยู่บนโลกสองใบที่แตกต่างกัน โลกหนึ่งมีแต่ความทุกข์ใจ วุ่นวาย พบเจอแต่ปัญหาไม่จบไม่สิ้น ตรงกันข้ามกับอีกโลกที่มีแต่ความรักความอบอุ่นจนความสุขอบอวลไปทุกหนทุกแห่ง ถ้าผมเป็นเพียงแค่คนที่เดินผ่านเขาไป รู้จักแต่เพียงรูปกายภายนอก ผมคงได้แต่คิดอิจฉาผู้ชายคนนี้ที่ชีวิตเหมือนจะมีพร้อมแล้วทุกๆ ด้าน แต่ในความเป็นจริง...ผมกลับเป็นอีกคนที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างโลกทั้งสองใบของเขา ในระหว่างที่เขากำลังมีความสุข ผมกลับคิดว่าในใจลึกๆ ของเขาก็ยังมีความกังวล และเพราะเหตุนั้น...ผมถึงไม่อยากให้พี่ทองต้องแบกรับมันไว้คนเดียว ผมอาจจะไม่เก่งเรื่องช่วยคนอื่นแก้ปัญหา แต่ผมก็คิดว่าบางที...ผมก็คงพอทำให้เขามีความสุขขึ้นมาได้ เหมือนเขา...ที่ทำให้ผมยิ้มได้เมื่อได้อยู่ใกล้ๆ กัน
อ่า...รวมเดซี่เข้าไปด้วยก็ได้ ไหนๆ เขาก็ยกให้เป็นแม่แล้วนี่นา ^^
.
.
.
“หน้าไปโดนอะไรมา! อาทอง! บอกม๊ามาเดี๋ยวนี้!” เสียงของม๊าแหลมสูงทันทีที่ได้เห็นหน้าตาบวมช้ำของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ผมที่กำลังกดเครื่องคิดเลขคิดบัญชีให้กับม๊าถึงกับต้องละสายตาตัวเลขที่น่าปวดหัวทันที
เมื่อวานหลังจากทานข้าวเย็นกับครอบครัวของพี่ทองแล้วผมก็ถูกอาม่าคะยั้นคะยอให้นอนค้างคืนที่นั่น ตื่นเช้ามาก็เต้นแอโรบิกกันมีคนนำก็คืออากงที่เช้านี้ทำเอาเตี่ยของพี่ทองบ่นยกใหญ่ว่าไม่ได้บริหารเอว สายเข้าหน่อยก็มาร้านทองกับม๊าโดยพี่ทองแวะมาด้วยก่อนเขาจะไปที่ฟาร์มหมูแถวๆ ชานเมือง ซึ่งสภาพใบหน้าที่ไปตอนเช้าก็ปกติดีครับ ไม่มีบวม มี่เบี้ยวตรงไหน แต่ขากลับมานี่สิ ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงได้มุมปากช้ำ คิ้วแตกมาอย่างนี้
“กัดกับหมา”
“เออ! ดี! เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ ชอบไปกัดกับหมา ม๊าไม่รู้ว่าเลี้ยงลื้อมาผิดตรงไหน ทำไมถึงได้ชอบสร้างปัญหานัก! ลื้อโตแล้วนะอาทอง ทำอะไรให้คิดหน้าคิดหลัง ไปทะเลาะต่อยตีเหมือนเด็กๆ แบบนี้ ใช้ไม่ได้!”
ที่ม๊าด่านี่ผมเห็นด้วยทุกคำ แต่พอเห็นใบหน้าสลดของพี่ทองแล้วก็อดสงสารเขาไม่ได้ เอาเถอะครับ ทำแผลก่อน แล้วม๊าจะดุจะด่าอะไรก็ค่อยมาว่ากันอีกที
ม๊าดูจะหงุดหงิดมาก ผมเลยเข้าไปหาพี่ทองแล้วจูงมือเขาให้ขึ้นมาบนชั้นสองของร้าน ตอนที่มาเมื่อเช้าเห็นมีตู้ยาอยู่ด้วย
“กูไปเจอกับไอ้ดีนมา” พี่ทองบอกเบาๆ เบ้ปากนิดๆ เมื่อผมแต้มยาลงไปบนคิ้ว ดีที่แตกไม่เยอะเลยไม่ถึงกับต้องเย็บ “แสบๆๆๆ เป่าไปด้วยดิวะ”
ผมทำหน้าเอือมๆ ใส่พี่ทอง ก่อนจะเป่าลมใส่แผลไปด้วยตามที่เขาบอก จัดการใส่ยาพร้อมกับปิดแผลให้จนหมดแล้ว ผมก็เอากล่องยาไปเก็บ ก่อนจะมานั่งลงข้างๆ พี่ทองที่ทำตัวลีบเล็กเมื่อเห็นม๊าเดินขึ้นบันไดมา
“ม๊าจะหักค่าขนมลื้อสามเดือน แล้วก็ไม่ต้องไปอ้อนขอเงินอาม่าด้วย เพราะถ้าม๊ารู้ ลื้อโดนดีแน่” ม๊าพูดกับพี่ทองแค่นั้น ก่อนจะหันมาหาผมด้วยรอยยิ้มละมุน “ชงโค หนูก็ไม่ต้องไปสนใจมากก็ได้นะลูก ผู้ชายที่โตแต่ตัวแบบนี้ หาใหม่ได้ก็หาเถอะม๊าว่า คนแบบนี้คบไปก็เป็นภาระ”
“โอเคๆ ผมขอโทษ ผมใจร้อน วู่วาม ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว นะม๊า อย่าโกรธนะ ครั้งหน้าจะอดทนให้มากกว่านี้”
พี่ทองเข้าไปกอดม๊าไว้ ทั้งหน้าทั้งเสียงออดอ้อนเหมือนเด็กๆ แต่ม๊าก็ใจแข็งตีเพียะเข้าไปที่แขนพี่ทองอย่างแรง
“ลื้อโตแล้ว อย่าให้ม๊าพูดบ่อยว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ครั้งหน้าอย่าให้มีอีก”
สุดยอดผู้หญิงใจหิน ขนาดผมโดนลูกอ้อนของพี่ทองเข้าไปยังใจแข็งได้ไม่กี่นาที แต่ม๊านี่ไม่มีหลุดเลยครับ ถึงม๊าจะหันมาแอบยิ้มแล้วขยิบตาให้กับผม แต่ต่อหน้าพี่ทองก็ยังตีหน้าขึงขังใส่ได้อยู่ดี
“คร้าบๆ” พี่ทองรับคำ ก่อนจะเดินมานั่งกับผมตามเดิม ส่วนม๊าก็หยิบกล่องอะไรสักอย่างเดินลงบันไดไป
‘แล้วพี่ไปเจอพี่ดีนได้ยังไง’
“กูเอาใบหย่าไปให้นิลเซ็น คิดไว้ว่าวันจันทร์จะได้ดำเนินเรื่องเลย แต่ที่ไหนได้ คว้ำน้ำเหลว กูเลยขับรถชนท้ายรถไอ้เหี้ยดีนให้สาแก่ใจ หึหึหึ”
ผมตีไหล่พี่ทองจนเขาหยุดหัวเราะ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ คนบ้านี่เอารถไปเสยท้ายรถคนอื่นเขาทำไม
‘ดีที่ไม่ตาย พี่นี่ทำอะไรโง่ๆ’
“ถ้ามึงเป็นกูตอนนั้นก็หงุดหงิดอ่ะ เหี้ยดีนแม่งโคตรบรรพบุรุษของเดซี่ แม่งแดกหญ้าเป็นอาหารหลัก เห็นเบนซ์คันสวยของมันไฟท้ายแตกละเอียดกูนี่โคตรสะใจ”
‘พี่เอาจุ๊บแจงไปชนเหรอ’
“เรื่องสิ เอารถเตี่ยชน”
=_= ไว้อาลัยให้พี่ทองอีกสามนาทีต่อจากนี้ไป เพราะถ้ากลับบ้านเขาโดนเตี่ยบ่นจนหูชาแน่ ขนาดเมื่อเช้าตอนออกมาเตี่ยก็แทบจะกอดล้อรถไว้ไม่ให้พี่ทองขับออกจากบ้านอยู่แล้ว เห็นบอกว่าเป็นคันโปรด เครื่องแรง อะไหล่แพง และทุกสิ่งอย่างต้องสั่งมาจากนอก แล้วคิดดูว่าขนาดไฟท้ายรถเบนซ์ของพี่ดีนยังเละ แล้วรถสปอร์ตคันละหลายสิบล้านของเตี่ยจะเหลือเหรอ! มีลูกอย่างพี่ทองนี่ตัวล้างตัวผลาญจริงๆ
“แล้ววันนี้เป็นไง อยู่กับม๊า เบื่อป่ะ”
ผมส่ายหน้า ก่อนจะยกแขนพี่ทองมาวางบนตักแล้วใช้นิ้วจิ้มรอยถลอกที่มือจนเขาร้องจ๊ากขึ้นมา เมื่อกี้ก็ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีแผลที่มือด้วย
“กูแค่ต่อยหน้าไอ้ดีนมันส์มือไปหน่อย แต่หน้าไอ้เหี้ยนั่นทนกว่ามือกูซะอีก”
ผมหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก็ดูสิ มีอย่างที่ไหน ไปต่อยคนอื่นเขาจนมือตัวเองแตก
“หยุดหัวเราะเลยนะ”
‘พี่นี่โง่จริงๆ อย่าไปทำแบบนี้อีกล่ะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว’
“มีแฟนเด็กก็ต้องทำตัวเด็กเข้าไว้สิ”
ผมไม่ได้เถียงอะไร ปล่อยให้พี่ทองเขาหยอดต่อไปเถอะ ถ้าเขาทำแล้วมีความสุข คิดว่าดีก็ทำไป
“เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้กูก็จะไม่ค่อยว่างแล้ว อาจจะไม่มีเวลาไปหาบ่อยๆ แต่ก็อย่าเปิดโอกาสให้ใครมาแทนที่กูนะชงโค ถ้าใครมาจีบก็บอกไปว่ามีผัวแล้ว แถมมีลูกอีกหนึ่ง โอ้ย!”
รู้ว่าผมจะตีถ้าพูดอย่างนี้ เขาก็ยังชอบพูด แถมยังยิ้มหน้าเป็นมาให้อีก
“พูดความจริงก็ตีเรา พอเราไม่สนใจก็งอนเรา แล้วเมื่อไหร่...ถึงจะเป็นแฟนเราจริงๆ สักที”
ผมกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ทำไมผู้ชายคนนี้หยอดเก่งเหลือเกิน ผมสงสัยนะว่าเขาเคยจีบใครแล้วไม่ติดบ้างไหม เพราะผมคิดนะว่าผู้หญิงเกือบทุกคนที่มองข้ามสไตล์ที่เกินๆ ของเขาได้ แล้วมาเจอเขาหยอดแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องตกหลุมรักเขา อ่า...แม้แต่ผู้ชายก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นหรอก
‘ได้แค่พี่ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ’
พี่ทองหน้าบึ้งนิดๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วโน้มใบหน้าลงมาจูบผม ลิ้นที่แทรกเข้ามาในโพรงปาก ลัดเลาะไปตามไรฟัน แล้วเข้ามาหยอกล้อกับลิ้นของผม มันเป็นแค่ช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่ริมฝีปากได้แนบชิด ไม่กี่นาทีที่ตาสบกัน แต่ก็เป็นไม่กี่นาทีที่ทำให้รู้สึกดีสุดๆ
“รู้หรือยังว่าไม่พอ”
เขาไม่ต้องพูดออกมา ผมก็รับรู้ได้จากแววตาว่ามันไม่พอจริงๆ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก...ผมยังต้องสร้างคุณค่าของตัวเองให้มากกว่านี้ ให้มากพอที่พี่ทองจะหนีไปไหนไม่ได้อีก...
‘ไม่รู้หรอก...ผมเดาใจใครไม่เก่ง’
“จับดูตรงนี้...ก็คงรู้ ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยหรอก”
พี่ทองจับมือของผมไปกุมไว้ตรงบริเวณที่ทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นมา ตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้รับรู้ และตกใจกับสิ่งที่อยู่ข้างใต้ฝ่ามือ...
อะ...ไอ้พี่ทอง!!!
ผมอยากชักมือออก พยายามดึงแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะพี่ทองยึดมือของผมไว้แน่น ...ไอ้คนบ้านี่ ตอนแรกผมก็คิดไว้แล้วว่าเขาต้องเอามือผมไปกุมที่หัวใจเพื่อให้ผมได้รู้ว่าเขาใจเต้นแค่ไหนเหมือนพระเอกหนังหรือพระเอกนิยายทั่วๆ ไปที่นานๆ ทีจะมีฉากโรแมนติกอย่างนี้สักหน ถึงได้ยอมให้เขาดึงมือไปโดยไม่ขัดขืน แต่ที่ไหนได้เขากลับเอามือผมไปจับเข้าที่เป้าของตัวเองซะอย่างนั้น ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้วะ!! ตอบ!! T_T
“รู้หรือยังว่ามันต้องการชงโคมากแค่ไหน”
ผมส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดมาเป็นผู้ชายจนอายุสิบเก้าปียังไม่เคยต้องจับของคนอื่นนอกจากของตัวเองเลย ฝ่ามือของผมโดนเปิดบริสุทธิ์ไปซะแล้ว!
“ก็อยากจะคบกันแบบใสๆ ไปนานๆ นะ แต่เห็นหน้ามึงทีไร มันอด...”
โป๊ก! / โอ้ย!
ยอมสละหัวโหม่งคางของพี่ทองไปเรียบร้อย เพราะขืนให้เขาพล่ามมากกว่านี้ผมคงนอนไม่หลับแน่ๆ แต่ว่านี่มัน...เจ็บสุดๆ เลย เจ็บจนน้ำตาแทบไหล คางคนหรือแท่งเหล็กวะ ทำไมมันแข็งขนาดนี้ T_T
“แตก คางกูแตกแน่ๆ มึงทำไมชอบทำรุนแรงกับกูนักวะ ห้ะ! แล้วเจ็บไหมล่ะนั่น งี่เง่าจริงๆ เลย เอาหัวโขกมากๆ เข้า ติ๊งต๊องขึ้นมาจะว่ายังไง” พี่ทองโวยวาย มือถูคางตัวเองเสร็จก็มาดูหัวของผม เขาเป่าตรงจุดที่มือผมจับไว้ น้ำตาที่ซึมออกจากหางตาพี่ทองก็ใช้นิ้วเช็ดให้เบาๆ ความอุ่นจากลมหายใจของเขาช่วยบรรเทาความเจ็บได้เป็นอย่างดี
“เด็กบ้านี่ คราวหน้าจะต่อยกูก็ได้ แต่อย่าทำให้ตัวเองเจ็บ เข้าใจไหม”
เฮ้อ...พี่ทองขุดหลุมให้ลึกลงไปอีกแล้ว แล้วทีนี้...ความลำบากในการปีนขึ้นมามันก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก หรือผม...ควรจะอยู่แต่ในหลุมนั้นดี
‘พี่ ผมไม่เจ็บแล้วล่ะ ไหนดูคางพี่หน่อย’
พี่ทองยื่นคางออกมาเท่าที่จะทำได้ ผมสำรวจดูเล็กน้อยก็เห็นว่ามีรอยแดงๆ อยู่ เลยใช้มือลูบคางให้เขาเบาๆ
“ทำเหมือนกูเป็นหมาเลย”
ผมยิ้มก่อนจะใช้ภาษามือถามเขาว่า ‘ถ้าเป็นหมาของผม พี่อยากเป็นไหมล่ะ’
พี่ทองยิ้มตอบกลับมา แล้วสีหน้าก็จริงจังขึ้น เขาคงรู้ความหมายของคำถาม รู้ว่าที่ผมต้องการจะถามจริงๆ นั้นคืออะไร...
ผมเลิกคิ้วมอง ในขณะที่พี่ทองตอบกลับเป็นภาษามือ
‘ถ้าวันไหนที่ความรักทำให้ความเป็นคนของกูลดน้อยลง วันนั้นคือวันที่มึงควรไปจากกู เพราะกูคงไม่เหลือความภูมิใจที่จะให้ใครมารักได้อีก’
มันเป็นเหมือนคำประกาศกรายๆ ว่า ต่อให้ความรู้สึกของเขาจะมีมากแค่ไหน เขาก็จะไม่ลืมว่าเขาเป็นใคร และจะไม่ยอมหน้ามืดตามัวแม้วันหนึ่งผมจะมองเขาเป็นแค่ของตายหรือสัตว์เลี้ยงที่รอความเมตตา เขาก็จะขอให้ผมทิ้งเขาไป
‘ถ้าวันนั้นมาถึง...ผมคงต้องทรมานแทบตายแน่ๆ ที่ต้องไปจากพี่ ^^’
พี่ทองหัวเราะแล้วดึงผมไปกอดไว้ เขาก้มลงมาหอมหน้าผาก ก่อนจะไล่ลงไปจนไปจบอยู่ที่ต้นคอ แรงขบเม้มเบาๆ ทำให้ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย
“บอกให้เป็นแค่พี่ แต่ก็ขยันอ่อยกูจังเลย ปั่นหัวกูนี่สนุกมากใช่ไหม”
พอคำตอบของผมเป็นการพยักหน้า ก็เลยโดนพี่ทองสำเร็จโทษไปตามแบบฉบับคนหื่นๆ อย่างเขา จนเสียงเดินขึ้นบันไดดังแว่วมานั่นแหละเขาถึงได้หยุดแล้วทำหน้าขัดอกขัดใจ ในขณะที่ผมทำเพียงแค่ยิ้มยั่วไปให้ เอาให้รู้ว่าแค่นี้ไม่เป็นไร สบายๆ ชิวๆ แต่หัวใจนี่แทบหยุดเต้นไปแล้ว
“น้องทองคะ คุณนายท่านบอกว่าจะกลับบ้านแล้วค่ะ” พี่จิน พนักงานที่อยู่คู่กับร้านมาสิบกว่าปีพูดขึ้นพลางมองผมกับพี่ทองที่นั่งห่างกันหนึ่งช่วงแขน เพราะพอได้ยินเสียงฝีเท้าผมก็รีบเด้งตัวออกห่างพี่ทองทันทีทันใด แถมเผลอถีบเข้าที่หน้าท้องของเขาอีกต่างหาก
พี่ทอง ผมขอโทษ T_T
“เดี๋ยวลงไปครับ” พี่ทองตอบ เก๊กหน้านิ่ง คงมีแต่ผมที่รู้ว่าเขากำลังจุก
“ค่า เอ้อ...ชงโคจ้ะ กระดุมเสื้อหลุดหมดแล้วนะ ก่อนลงไปอย่าลืมติดกระดุม” พี่จินขยิบตาแล้วยิ้มพรายส่งมาให้ในขณะที่ผมลนลานหากระดุมเสื้อของตัวเอง ก่อนจะรู้ว่าตัวเองปล่อยไก่ไปให้พี่จินต้มเพราะวันนี้เสื้อที่ผมใส่มันมีกระดุมที่ไหนล่ะ!
“ล้อเล่นจ่ะ พี่หมายถึงกระดุมกางเกงยีนต่างหาก โฮะๆๆๆ” พี่จินพูดเสร็จก็เดินเฉิดฉายลงไปชั้นล่าง เหลือทิ้งไว้แต่ความร้อนฉ่าบนผิวหน้าของผม กับการลนลานติดกระดุมกางเกงที่ไม่รู้ว่าไปหลุดเอาตอนไหน
เฮ้อ/เฮ้อ
ดันถอนหายใจออกมาพร้อมกันอีกต่างหาก พอหันมองหน้ากัน ไม่รู้ทำไมผมถึงต้องรีบหันกลับมามองอีกทาง แล้วความเงียบที่เกิดขึ้นนี่มันคืออะไร กระอั่กกระอ่วนเหรอ...หรือแค่...เขินอาย โอยยย ไม่รู้หรอก อาการแบบนี้ ผมก็เพิ่งจะเคยเป็น ขอไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นแหละ!
“ลงไปข้างล่างกันเถอะ ม๊ารอ” พี่ทองเป็นคนพูดขึ้นมาในที่สุด ส่วนผมก็แค่พยักหน้าแล้วเดินตามหลังเขาลงบันไดมา
ม๊าเตรียมตัวรออยู่ก่อนแล้ว พี่จินก็สะพายกระเป๋ากำลังจะกลับเหมือนกัน แล้วพอพี่จินเห็นผมก็ส่งยิ้มรู้ทันมาให้ ทำเอาจังหวะในการเดินของผมสะดุดจนเกือบตกบันได ดีที่พี่ทองหันกลับมามองและช่วยไว้ได้ทัน ไม่งั้นก็หัวโหม่งพื้น ได้ติ๊งต๊องอย่างพี่ทองพูดแน่ๆ
“ขากลับพาม๊าแวะตลาดด้วยล่ะอาทอง”
“ครับม๊า”
“ชงโค คืนนี้ก็นอนที่บ้านอีกคืนนะลูก ความจริงม๊าอยากให้หนูมาที่บ้านเราทุกๆ เสาร์อาทิตย์เลย ม๊าไม่อยากให้อยู่คนเดียว”
ผมยิ้มก่อนจะยกมือขอบคุณม๊าสำหรับความเมตตาที่มีให้กับผม ได้ยินเสียงพี่ทองร้องเยสเบาๆ แต่พอม๊าหันไปทำตาดุใส่เขาก็ทำหน้าสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเหมือนเดิม ยิ่งตอนที่พาม๊าเดินมาที่รถนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ ถ้าพี่ทองหมอบกราบแทบเท้าของม๊าได้คงทำไปแล้ว เพราะทั้งใบหน้าเคร่งๆ และดวงตาดุๆ ของม๊าก็บ่งบอกให้รู้แล้วว่าผลงานที่ลูกชายตัวดีทำไว้บนรถนั้นน่าสำเร็จโทษมากแค่ไหน ร่องรอยการชนที่เห็นได้ชัดเจนนั่นทำให้ผมต้องหันกลับไปมองหน้าพี่ทองที่กำลังโดนม๊าด่าอีกครั้งด้วยความสงสัยว่าเขารอดมาได้ยังไง แอร์แบ็กมันทำงานดีขนาดนั้นเลยเหรอ หรือคนบ้าแม้แต่ยมบาลก็ไม่ต้องการตัว -*-
“เตี่ยลื้อต้องฆ่าลื้อแน่ๆ แล้วอั๊วก็จะไม่ช่วยพูดแม้แต่คำเดียว ไม่ต้องไปมันแล้วตลงตลาด วันนี้ลื้อห้ามกินข้าวอาทอง แล้วก็ห้ามเข้าบ้านใหญ่ด้วย” ม๊าพูดเสียงเด็ดขาดในขณะที่พี่ทองได้แต่พยักหน้ารับไม่เถียงสักคำ หลังจากนั้นม๊าก็ต่อสายไปหาใครสักคนให้ช่วยมาเอารถไปเข้าอู่
“ชงโค คืนนี้หนูนอนที่บ้านใหญ่นะลูก ไม่ต้องไปลำบากอยู่กับคนไม่ได้เรื่องแบบนี้หรอก เย็นนี้อยากกินอะไรบอกม๊านะ ม๊าจะทำให้ เดี๋ยวรอคนเอารถมารับเราแป๊บเดียว” ม๊าพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ก่อนจะหันไปว๊ากใส่พี่ทองที่สะดุ้งเหมือนคนขวัญอ่อนจนดูน่าสงสาร “ส่วนลื้อ จะนั่งรถเมล์หรือนั่งแท็กซี่กลับก็ตามใจ อั๊วไม่ให้ไปด้วย”
“ครับม๊า”
ผมอยากจะบอกม๊าว่าให้ผมกลับกับพี่ทองเถอะ แต่ดูเหมือนม๊าจะรู้ว่าผมคิดอะไรเพราะท่านชี้ชวนให้ผมดูนั่นดูนี่แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยทุกครั้งที่ผมทำท่าจะให้ดูข้อความที่พิมพ์ในมือถือ จนกระทั่งมีคนมาเอารถไปเข้าอู่และลุงคนขับรถของที่บ้านพี่ทองก็มารับพวกเราพอดี ม๊าก็ให้ผมขึ้นไปนั่งบนรถก่อนท่านจะตามเข้ามาและสั่งให้ลุงคนขับออกรถอย่างรวดเร็ว โดยมีพี่ทองยืนคอตกมองจากข้างหลัง ผมหันกลับไปมองก็เห็นเขาเดินไปที่ป้ายรถเมล์คนเดียว
“ไม่ต้องไปสงสารเขาหรอก ตอนเด็กๆ เวลาเขาทำเรื่องไม่ดี พวกเราก็ไม่เคยตีเขา อาม่าน่ะรักเขามากเกินไป โตมาเขาถึงได้ทำอะไรตามอำเภอใจแบบนี้ ชงโคก็อย่าไปตามใจอีให้มาก ขัดได้ก็ควรขัด มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งนะที่จะทำให้เขาไม่เบื่อเรา” ม๊ายิ้มให้ผม ก่อนจะยกมือลูบหัวผมเบาๆ
มือของม๊าไม่ได้ใหญ่เหมือนของพี่ทอง แต่ความอบอุ่นไม่ได้ต่างกันเลย เพราะมันให้ความรู้สึกดีทุกครั้งเมื่อสัมผัส ทว่า...ความอ่อนโยนกลับให้ความรู้สึกเหมือนกับมือของแม่... เป็นความรู้สึกที่น่าคิดถึงมากจริงๆ
“มาหาม๊าที่ร้านบ่อยๆ ก็ได้นะลูก จะไปที่บ้านก็ได้ พวกเราทุกคนยินดีต้อนรับชงโคเสมอ” ม๊าเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างเบามือ รอยยิ้มที่น่ามองกับความอบอุ่นจากตัวของม๊าทำให้ผมโผเข้าไปกอดม๊าไว้ และโดยไม่ได้คาดคิด...น้ำตาก็ไหลลงมาเงียบๆ ไหลลงมาพร้อมๆ กับความรู้สึกที่ทั้งโล่งใจและอบอุ่นใจ
นานมากแล้ว...ที่ผม...อยากได้กอดที่เหมือนกับกอดของแม่...อีกสักครั้ง แล้วสุดท้าย...ในวันนี้มันก็เป็นจริง
ขอบคุณครับ...ขอบคุณมากที่กอดผมไว้อย่างนี้...
........................................To be continue................................................
วันไหนไม่ได้บอกว่างด วันนั้นแม้ว่าจะดึกแค่ไหนก็จะมาค่ะ แฮ่ๆๆๆ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นเลยนะคะ เรื่องมันละเอียดไปไหม แบบว่าตอนหนึ่งนี่แค่วันเดียวเอง บอกได้นะถ้ามันยืดเยื้อ เพราะจะได้ทำให้กระชับมากขึ้น อ่านแล้วจะได้ลื่นๆ
