รักเกิดในแผนกขนส่ง....by aoikyosuke ภาคพิเศษเมื่อวิโรจน์เริ่มจีบอ้น ครั้งแรก
ความสัมพันธ์ทางกายมันไม่ได้ช่วยพัฒนาความรู้สึกให้เพิ่มขึ้นเลยสักนิดไม่ว่าทางใดก็ตาม
วิโรจน์รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
ผู้จัดการแผนกขาย ไม่ร้องไห้อีกแล้ว และไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ทางกายกันอีกกี่ครั้ง สิ่งที่วิโรจน์ได้รับกลับคืนมามีเพียงแค่ท่าทางเย็นชาและแววตาที่เหมือนจะเย้ยหยันวิโรจน์อยู่ตลอดเวลา
นั่นทำให้วิโรจน์นึกสมเพชตัวเองมากขึ้น
ขาดไม่ได้
กลายเป็นตัวเองที่ขาดอีกฝ่ายไม่ได้
เรื่องที่ผ่านมามันช่างโง่เง่า ใช้กำลังบังคับฝืนใจจนถึงที่สุด ทั้งที่ไม่เคยนึกอยากได้มาครอบครอง
ไม่เคยคิดว่าสุดท้ายแล้ว คนที่พ่ายแพ้กลายเป็นวิโรจน์ที่ขาดผู้จัดการแผนกขาย ไม่ได้อีกต่อไป
ทุก ๆ วันที่เฝ้ารอให้ถึงเวลาพลบค่ำ
รอ.....จนกว่าผู้จัดการแผนกขาย จะเลิกงาน
ทุก ๆ วันเมื่อไฟบนออฟฟิศดับลง วิโรจน์ก็เพียงแค่ลุกออกจากที่นั่งและก้าวขาเดินไปรอที่เดิม
ไม่มีคำพูด
ไม่มีการทักทาย
เพียงแค่เห็นหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันดี
ผู้จัดการแผนกขาย มองหน้าของวิโรจน์เพียงเล็กน้อย
ไม่เคยพูด
ไม่เคยถาม
ไม่เคยคิดหนี
สิ่งที่ทำให้วิโรจน์รู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด คือการที่คนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะมีใจให้กัน แต่ร่างกายกลับสนองให้กันอย่างไม่เคยพอ ไม่ว่าจะเติมเข้าไปแค่ไหน
แต่ความต้องการไม่เคยพอ
ร่างกายเชื่อมต่อกัน ผูกพันกันแนบแน่น แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ดวงตาของเราสองคนจะมองมาที่กันและกัน
เจ็บปวดเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้เราสองคนบาดเจ็บทางใจ
เพราะไม่มีใครกล้าเริ่มที่จะพูด
แค่คำพูดเพื่ออยากจะรู้สถานะของการมีตัวตนที่ชัดเจนของกันและกันในความรู้สึก ยังไม่มีความกล้า
ไม่เคยมีใครเอ่ยปาก
ต่างฝ่ายต่างหวาดกลัวที่จะรู้ ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพียงความว่างเปล่า
แค่ความสัมพันธ์ทางกาย ปลดเปลื้อง ระบายออก และจบกัน ถึงอยากให้ความรู้สึกไปไกลกว่านั้น
แต่สุดท้าย ก็ได้แต่นิ่งเงียบ และปกปิดเอาไว้ให้ลึกสุด เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ ว่าความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น นับวันมันยิ่งพัฒนาไปไกลแต่ทำให้หัวใจเจ็บปวดชอกช้ำมากขึ้นทุกที
วิโรจน์แค่นยิ้มเย้ยหยันตัวเอง นึกสมน้ำหน้าตัวเองไม่น้อย ผลกรรมมันตามทัน ทำร้ายอีกฝ่ายก่อน ทำเรื่องโง่ ๆ แบบไม่มีหัวคิด
แค่เพียงอยากสะใจ แค่เพียงทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดแล้วจะพอใจ สบายใจ
สุดท้าย..........กลายเป็นตัวเองที่ต้องเจ็บเอง เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่สายตาของหัวหน้าแผนกขายจะมองมาที่วิโรจน์เลย
ไฟบนออฟฟิศดับลงแล้ว เหมือนเช่นทุก ๆ วัน และวิโรจน์ก็ถอนหายใจยาว ๆ ด้วยความท้อใจ
แค่อยากเห็นหน้า ไม่ใช่ว่าในหัวจะคิดเพียงอยากมีความสัมพันธ์ด้วยเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อที่จะได้มีช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกัน...........
แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้หัวใจที่แห้งผากได้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
สมเพชตัวเองที่ทั้งโง่ ทั้งหวาดกลัว ไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นยังไง
วิโรจน์จึงไม่กล้าแม้แต่จะคิด ว่าเราจะมีความสัมพันธ์ทางใจร่วมกันได้
แค่เพียงเล็กน้อย ยังไม่กล้า สุดท้ายก็วนเวียนกลับมาที่เดิม เจ็บปวดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เพิ่มขึ้น มากขึ้นจนแทบจะทนไม่ไหว
หลายครั้งที่คิดจะให้ทุกอย่างมันจบลงแค่นั้น แต่ไม่ว่ากี่ครั้ง ก็ไม่สามารถหยุดความสัมพันธ์แบบนี้ได้
ไม่เคยมีสักครั้งที่จะหักห้ามใจไม่ให้ไปหาผู้จัดการแผนกขายได้
เรื่องโง่ ๆ แบบเดิม ๆ ยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ วิโรจน์ได้แต่กร่นดาตัวเองในใจแต่ไม่มีปัญญาทำอะไรได้
วิโรจน์ก้าวขาเดินไปยืนรอที่ จุดเดิม เพื่อจะได้พบหน้ากับผู้จัดการแผนกขายเหมือนเช่นทุกวัน
และเมื่ออีกฝ่ายก้าวขาเดินลงมาจากทางเดินและเห็นคนที่ยืนคอยก็ทำแบบเดิมๆ คือเดินนำไปที่ ๆ ใช้เป็นที่ระบายอารมณ์
เหมือนทุก ๆ วัน
“เดี๋ยว”
วิโรจน์เอ่ยทัก และผู้จัดการแผนกขายก็ชะงักเท้าและหยุดยืนนิ่ง ๆ
ไม่ได้เอ่ยถาม เพียงแค่เอียงหน้าและใช้หางตาเหลือบมองคนที่มายืนคอยแค่นั้น
“วันนี้ไม่มีอารมณ์ รถผมสตาร์ทไม่ติดด้วย แค่จะติดรถไปลงที่หน้าถนนก็พอ”
นั่นอาจจะเป็นประโยคคำพูดยาว ๆ ครั้งแรก ๆ ที่คนสองคนที่มีความสัมพันธ์ทางกายกันมาพักใหญ่เริ่มพูดคุยกันด้วยเรื่องอื่น ๆ บ้าง
ไม่ใช่การสาดถ้อยคำรุนแรง เพื่อเร่งเร้าอารมณ์ของกันและกัน แต่เป็นการพูดกันด้วยเรื่องทั่วไป
ผู้จัดการแผนกขายหันกลับมามองหน้าวิโรจน์ที่เมินมองไปทางอื่น และก้าวขาเดินนำมาที่รถที่จอดอยู่ห่างออกไป
วิโรจน์ก้าวขึ้นมานั่งอยู่บนรถของผู้จัดการแผนกขายและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย
ภายในรถเปิดแอร์เย็นเฉียบ แต่จิตใจของคนสองคนกำลังร้อนรุ่ม
ผู้จัดการแผนกขายผู้มีความสามารถในการเจรจากับลูกค้ากลับต้องนิ่งเงียบ ในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องพูด ไม่มีอะไรต้องคุย ไม่จำเป็นที่จะต้องสรรหาเรื่องอะไรมาทำให้บรรยากาศขึ้น
อยู่ด้วยกันแบบอึดอัดใจ อยู่ด้วยกันแบบที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกลำบากใจ
แต่น่าแปลก ภายในความรู้สึกแย่ ๆ แบบนั้น กลับมีความรู้สึกอย่างอื่นแทรกเข้ามาด้วย
แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้รู้สึก.........
อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้อีกสักหน่อย โดยที่ไม่ต้องมีเรื่องอย่างว่าเข้ามาเกี่ยวข้อง
อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ให้นานขึ้นอีกหน่อยโดยลืมความขัดแย้งไปชั่วขณะ
อยากอยู่ด้วยกันอีกนิด ให้นานกว่านี้
นานกว่านี้..........เท่าที่พอจะเป็นไปได้
รถเคลื่อนมาถึงถนนใหญ่ และวิโรจน์ก็ปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก
ผู้จัดการแผนกขายยังคงนิ่งเงียบ และไม่มีคำพูดใด ๆ กับวิโรจน์เลยสักคำ
ไม่ได้บอกให้ลงไป ไม่ได้พูดหรือถามอะไรตอนที่วิโรจน์กำลังจะก้าวขาลงจากรถ
เงียบงัน ไร้คำพูด
มือยังคงกำพวงมาลัยรถเอาไว้แน่น และสายตามองตรงไปที่ถนน ไม่ได้เหลือบสายตามามองคนที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นอยู่ข้าง ๆ และเป็นวิโรจน์ที่ลอบถอนใจยาว และกลับเข้ามาในรถอีกครั้ง
“ไปแวะที่ข้างตลาดแล้วกัน ยังไงคุณก็ต้องผ่านตรงนั้นอยู่แล้ว ผมไปขึ้นรถตรงนั้นน่าจะง่ายกว่า”
วิโรจน์นึกอยากตบปากตัวเองที่พูดเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นออกไป แต่เมื่อพูดไปแล้วก็ไม่เห็นมีปฏิกิริยาใด ๆ จากผู้จัดการแผนกขาย
เข้ามานั่งในรถอีกครั้ง กลับเข้ามาอยู่ในบรรยากาศนิ่งเงียบชวนอึดอัด
สายตาของผู้จัดการแผนกขายยังคงมองตรงไปที่ถนน ไม่มีแม้จะเหลือบมามองคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยกันเลยสักนิด
วิโรจน์หันมองไปนอกหน้าต่างรถ กำมือแน่น และลอบถอนหายใจออกมายาว ๆ พร้อมกับกร่นด่าตัวเองในใ
...............ทำอะไรของกูอยู่วะ นี่มันเรื่องโง่มากเลยนะ ทำไมถึงได้ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ลงไปได้............
วิโรจน์ขมวดคิ้วมุ่น และนึกอยากจะต่อยหน้าตัวเองแรง ๆ ให้ได้สติ แต่ก็ทำเพียงแค่เงียบงันและนิ่งเฉย อยู่ในบรรยากาศที่ชวนอึดอัดด้วยกันต่อไป วิโรจน์ไม่ทันรู้ สิ่งที่ทำลงไป มันมีผลกับหัวใจของผู้จัดการแผนกขายไม่น้อย
แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่หัวหน้าแผนกขายก็ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ
แม้จะรู้สึกดีที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน
แม้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่ก็ทำให้พอยิ้มได้บ้าง
แม้ไม่มีความหวัง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้หวัง
“ผมลงข้างหน้าแล้วกัน”
วิโรจน์เอ่ยบอก และผู้จัดการแผนกขายก็ค่อย ๆ ชะลอรถเพื่อจะได้จอดเทียบบนทางเท้าก่อนถึงป้ายรถโดยสารประจำทาง
บางทีเวลาก็เดินเร็วเกินไป เร็วเกินกว่าความจำเป็น
แม้ในรถจะมีแต่บรรยากาศที่ชวนอึดอัดใจ แต่วิโรจน์และผู้จัดการแผนกขายต่างก็ยินดีที่จะยอมอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นไปอีกนาน ๆ
วิโรจน์ปลดเข็มขัดนิรภัยออกอยากจะทำให้ช้ากว่านี้อีกนิด แต่ก็ไม่มีเวลาให้อ้อยอิ่ง
ก่อนก้าวขาลงจากรถ วิโรจน์เริ่มนับเลขหนึ่งถึงสามในใจก่อนจะตัดสินใจทำบางอย่าง
เพียงเสี้ยววินาทีก่อนลงจากรถ วิโรจน์ยื่นหน้าเข้าไปแตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของผู้จัดการแผนกขายเบา ๆ และผละออกห่างอย่างรวดเร็ว รีบก้าวขาลงจากรถ ปิดประตูรถเรียบร้อย และรีบเดินลิ่ว ๆ เพื่อข้ามไปอีกฝั่งของถนน
ผู้จัดการแผนกขาย ยังคงเฉยชาไร้ความรู้สึกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยสักนิด
ทำมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่การแตะปากกันเฉย ๆ
ทั้งที่คิดว่าจะไม่รู้สึกอะไรแล้วแท้ ๆ แต่อยู่ดี ๆ ดวงตากลมโตก็ไหวระริก อาการหัวใจเต้นระทึกกำลังเล่นงานหัวหน้าแผนกขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย มันเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น
แม้จะคิดแบบนั้น แต่เมื่อปลายนิ้วแตะเข้าที่ริมฝีปากของตัวเองที่ยังหลงเหลือความรู้สึกของอีกฝ่ายเอาไว้
หัวหน้าแผนกขายก็ก้มหน้าลงแตะหน้าผากเข้ากับพวงมาลัยรถ
ความรู้สึกตอนนี้มันแย่ แบบนี้มันยิ่งกว่าขาดไม่ได้ จะทำยังไงถึงจะหยุดความรู้สึกของตัวเองได้ จะทำยังไง
หัวหน้าแผนกขายเอาแต่ครุ่นคิดแต่เรื่องของวิโรจน์ซ้ำ ๆ และต้องเตือนตัวเองดังๆ เพื่อหยุดความรู้สึกของตัวเองให้ได้
“อ้น อ้น อ้น ไม่มีอะไรอ้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอกอ้น ไม่มีมีอะไรหรอก อ้น......ไม่มีอะไร....”
ผู้จัดการแผนกขายที่ใคร ๆ มองว่าเย่อหยิ่งและเย็นชา แท้จริงเป็นแค่เพียงเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่งที่ไม่มีความกล้าและความมั่นใจกับเรื่องความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด
วิโรจน์ขึ้นรถโดยสารประจำทางไปแล้ว และใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ไร้ความรู้สึก
แต่สายตากลับมองไล่ไปที่รถที่จอดนิ่งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม ในเวลานี้วิโรจน์เพิ่งคิดได้ ว่าเผลอทำเรื่องโง่ ๆ ลงไปอีกแล้ว
“ชิบหาย.......แล้วกู”
ด่าตัวเอง และยกมือขึ้นตบหน้าผากด้วยความกลุ้มที่เผลอทำเรื่องที่ไม่ควรทำลงไป
กูหนอกู..............เป็นอะไรไปแล้ววะ แค่นี้เรื่องมันก็แย่มากพออยู่แล้ว แล้วนี่ยังจะทำบ้าอะไรลงไปอีกวะกู........เวรจริง ๆ
Fin.