ตอนที่ 7
นาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะก่อนจะกลับมาเต้นอีกครั้งอย่างรุนแรง สายตาจับจ้องลงไปยังคนที่นั่งหัวเราะ
เฮฮาอยู่กับเพื่อน รอยยิ้มหวานๆที่ทำให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งน่ามองและดึงดูดมากขึ้น วันนั้นที่ผมเห็นยังเทียบไม่ได้กับวันนี้
น้องดูโตขึ้น น่ารักขึ้นกว่าวันนั้นมาก ผมรู้สึกราวกับถูกมนต์สะกดแล้วคำพูดของเพื่อนผมในวันนั้นก็ดังก้องเข้ามาในหัว
“คลิน...สิ่งที่กูจะบอกมึงก็คือ ถ้ามึงกับเขาเป็นเนื้อคู่กัน วันนึงโชคชะตาจะนำพาให้มึงเจอเขาอีกครั้ง”
ผมดีใจที่สิ่งที่ผมภาวนามาตลอดมันเป็นจริง รู้สึกขอบคุณโชคชะตาหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ได้เจอเขาอีกครั้ง
และผมก็ได้สัญญากับตัวเองแล้วว่าผมจะไม่มีวันปล่อยเขาเฉยๆเหมือนอย่างวันนั้น ผมจึงโทรศัพท์ลงไปที่หน้าเคาท์เตอร์
แล้วสั่งให้พนักงานไปบอกกับผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มชองโต๊ะ34ว่าผมเชิญให้ขึ้นมาที่ห้องทำงาน พอวางสายเสร็จก็เห็นพนักงาน
ซักคนเดินมาที่โต๊ะก่อนจะพูดคุยกับมิว เจ้าตัวพยักหน้าแล้วหันไปบอกอะไรบางอย่างกับเพื่อนในกลุ่มอีกสามคนที่เหลือ
แล้วเดินตามพนักงานขึ้นมาที่ชั้นสอง ทำให้ผมต้องละสายตาจากร่างเล็กที่อยู่ข้างล่างเพื่อไปนั่งรอคนที่กำลังจะขึ้นมาหา
อยู่ที่โซฟารับแขก เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วถูกเปิดเข้ามาหลังจากที่เสียงอนุญาติของผมดังขึ้น
“มีอะไรอ่ะพี่คลิน” ประตูถูกปิดลงพร้อมกับที่มิวเดินเข้ามานั่งที่โซฟาเดี่ยวข้างๆผม
“พี่มีอะไรจะถามเราหน่อย”
“ว่า?”
“เพื่อนในกลุ่มเราที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินวันนี้ชื่ออะไร เรียนที่ไหน” ผมถามถึงน้องนั่นแหละครับ วันนี้เขาใส่เสื้อสีน้ำเงิน
“หืม ไอ้แอลอ่ะนะ” คนตรงหน้าดูจะแปลกใจไม่น้อย แน่ล่ะ อยู่เฉยๆก็ถามถึงเพื่อนตัวเอง ใครบ้างที่จะไม่แปลกใจ
“เพื่อนเรามีใส่เสื้อสีน้ำเงินกี่คนล่ะ”
“ก็มีแค่ไอ้แอลคนเดียวแหละงั้น มันชื่อแอล เรียนที่เดียวกันคณะเดียวกันกับมิวนี่แหละ ว่าแต่...พี่ถามทำไมอ่ะ”
“ก็แค่อยากรู้”
“หืม อย่าบอกนะว่าพี่สนใจเพื่อนมิว!”
“ถ้าพี่บอกว่าใช่ล่ะ” ผมตอบรู้พี่ลูกน้องออกไป คนที่นั่งอยู่อีกข้างดูจะตกใจนิดๆ
“จริงอ่ะ!! มิวพึ่งรู้ว่าพี่ชอบผู้ชาย” เพราะผมไม่ค่อยคบใครเป็นจริงเป็นจังถึงยังไม่เคยพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ไม่แปลกใจที่น้องผมจะไม่รู้ว่าผมชอบเพศไหน
“พี่ก็คบแบบนี้มาหลายคนแล้ว ผู้หญิงพี่ก็คบ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ความรู้สึก ไม่ใช่เพศ” ผมตอบในสิ่งที่ผมคิดมาตลอด
“ว้าว หล่อเลย ฮ่าๆๆๆ มิวก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แค่แปลกใจเพราะพี่ดูปกติมากๆ แต่เรื่องของแอลมิวบอกพี่แค่นี้แหละ
อยากรู้อะไร อยากทำอะไรก็ช่วยตัวเองแล้วกันนะพี่ชาย”
ดูเหมือนเจ้าตัวจะสนุกกับการแกล้งไม่บอกผมเรื่องของเพื่อนตัวเองไม่น้อย แล้วร่างของผู้เป็นญาติก็เดินออกจากห้องโดยที่ผม
รั้งไว้ไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้คิดจะรั้งไว้อยู่แล้วครับ เพราะข้อมูลแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ผมรู้มหาลัยเขา รู้คณะ รู้ชื่อเล่นก็พอซะยิ่งกว่าพอ
ผมเดินไปยังจุดที่มองลงไปข้างล่างได้เช่นเดิม แล้วก็เห็นว่าคนที่คุยกับผมเมื่อกี๋กลับไปยังโต๊ะของตัวเองแล้ว แต่สายตาผมก็ยัง
ให้ความสนใจไปที่คนๆเดียว จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นจนเห็นเขาลุกออกไปจากโต๊ะแค่คนเดียว ซึ่งที่ที่เขาจะไปผมคาดว่าเป็น
ห้องน้ำเพราะเห็นถามอะไรบางอย่างจากมิวก่อนจะเห็นเขาเดินตรงไปทางห้องน้ำ ผมรีบเปิดประตูห้องลงไปอย่างรวดเร็ว
แล้วเดินไปห้องน้ำ และเห็นแค่หลังเขาไวๆเข้าไปแล้วครับ ผมได้แต่ดักรออยู่ทางเดิน พอเห็นเขาเดินออกมาไม่รู้ว่า
อะไรบางอย่างทำให้ผมฉุดเขาแล้วก็ลากขึ้นมาที่ห้องชั้นสองซึ่งนอกจากจะมีห้องทำงานแล้วยังมีห้องนอนของผมอีกด้วย
เขาดิ้นขัดขืนแล้วก็ร้องมาตลอดทางนะครับไม่ได้ยอมง่ายๆแต่ดูขนาดตัวเขากับขนาดตัวผมสิ ดิ้นให้ตายก็ไม่มีทางหลุดไปได้
แล้วด้วยความที่ผู้คนส่วนมากจะอยู่ที่โต๊ะกันซะมากกว่าเลยทำให้แถวนั้นไม่มีคน ยิ่งขึ้นมาชั้นสองได้นี่ไม่ต้องห่วงเลยเพราะคน
ภายนอกไม่มีทางเข้าได้แน่นอน พอปิดประตูห้องได้ก็ยังไม่ทันจะเปิดฟงเปิดไฟผมก็จู่โจมจูบเขาแล้ว ตอนแรกก็ต่อต้านนะครับ
แต่นานๆไปเขาก็คงเมื่อยแล้วก็เคลิ้มเลยปล่อยเลยตามเลย ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ผมทำแบบนั้น ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าถ้าการที่
ผมทำแบบนี้แล้วเขาเกลียดผมมากขึ้นมาจนไม่อยากจะมองหน้าจะทำยังไงแต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมคิดแค่ว่าจะไม่ยอม
ปล่อยเขาไปเลยทำแบบนี้เพื่อที่จะผูกติดเขาเอาไว้กับผม อย่างน้อยผมก็อ้างเรื่องความรับผิดชอบแล้วค่อยๆทำให้เขารักผมก็ได้
ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าทำให้เขาไม่อาจต่อต้านผมได้ในที่สุด ยิ่งผมสัมผัสร่างกายเขามากเท่าไหร่ผมยิ่งต้องการมากขึ้นๆ
เสียงครางที่ออกมาจากริมฝีปากหวานๆของเขาทำให้ผมได้ใจ คนใต้ร่างเริ่มตอบสนองผมแล้วเป็นฝ่ายเรียกร้องจากผมเองบ้าง
ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน การได้สัมผัสเขาแล้วเป็นหนึ่งเดียวกันมันเป็นเรื่องที่วิเศษจริงๆ น้องบริสุทธิ์มากๆ
เขาไร้เดียงสาแต่ก็ไม่ได้ซื่อกับเรื่องพวกนี้ขนาดนั้น ผมดีใจที่หลังจากผ่าน‘กิจกรรม’(หลายรอบ)ไปเขาไม่ได้ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่า
แล้ววิ่งออกจากห้องหรือว่าโวยวายอะไร ผมไม่ว่าหรอกครับที่เขาจะพูดมึงๆกูๆ เพราะแน่นอนว่ากับคนที่ไม่รู้จักแล้วก็ยิ่งมาทำ
แบบนี้จะให้เขามาพูดจาดีๆหวานๆก็คงไม่ใช่ แล้วมันก็คงจะดูน่าแปลกใจไปซักหน่อยถ้าผมจะทำดีหรือพูดดีกับเขามากเกินไป
ดีที่บุคลิกผมเป็นคนนิ่งๆดุๆอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหา รอจนเขาหลับไปผมก็ลุกขึ้นมาหยิบกางเกงที่อยู่ข้างเตียงมาใส่
เพื่อเตรียมของใช้ โทรบอกให้คนของผมไปหาเสื้อผ้าไซส์ที่คิดว่าเขาจะใส่ได้มา จนทุกอย่างเรียบร้อยผมค่อยขยับเข้าไปกอด
เขาแล้วหลับตาม
สภาพเขาตอนที่ตื่นนอนนี่เรียกว่าค่อนข้างย่ำแย่เลยครับ ดูเหมือนจะไม่สบายด้วย พอเขาออกจากห้องน้ำเลยบอกให้เขา
หลับไปก่อน แต่งตัวเสร็จผมเลยอุ้มคนที่นอนอยู่ไปที่รถเพื่อจะไปส่งบ้านแล้วเขาก็ตื่นพอดี ถามทางไปบ้านเสร็จเขาก็หลับต่อ
ตอนอุ้มร่างเล็กๆนั่นผมสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายเขาสูงขึ้น ไปถึงห้องนอนน้องก็พุ่งไปที่เตียงแล้วก็หลับทันที ที่จริงอยากอยู่
เฝ้าให้แน่ใจว่าเขาจะไม่เป็นไรมากไปกว่านี้จนถึงเช้านั่นแหละครับ แต่พอผมลงไปขอใช้ครัวทำกับข้าวไว้ให้คนป่วยเสร็จพนักงาน
ที่ร้านก็โทรมาบอกว่าที่ร้านเกิดเรื่อง เหมือนว่ามีคนมาส่งยาในร้านผมเลยต้องรีบกลับไปจัดการ แต่ก็ไม่ลืมเขียนจดหมายเล็กๆไว้
ให้เขา เลยได้แต่กำชับกับชับป้าสาไว้ว่าให้ขึ้นไปดูน้องบ่อยๆ(เพราะผมถามป้าสาเรื่องพ่อกับแม่แอล แกบอกว่าพ่อกับแม่แอลไป
ต่างประเทศกลับอาทิตย์หน้า) ผมกลับมาจัดการเรื่องที่ร้านเสร็จก็ดูพวกเอกสารต่อ เสียงเตือนข้อความจากคนที่ป่วยก็เข้ามา
พอดี ผมเลยโทรกลับหาเขา ได้คุยกันนิดหน่อยก็วางเพราะผมอยากให้เขาพักผ่อน อาจจะเพราะป่วยเลยทำให้น้องงอแงหน่อยๆ
แต่พอผมบอกว่าจะไปรับก็หายแล้ว ผมหาเรื่องไปเจอเขาทุกวันเพราะว่าอยากเจอ อยากทำความรู้จักกับตัวตนเขาจริงๆให้
มากกว่านี้ถึงแม้ว่าประวัติทั้งหมดของแอลจะมาอยู่ในมือผมแล้วก็ตาม อยากให้ความสัมพันธ์เราพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าว่างผมก็อยากไปรับไปส่งเขาที่มหาลัยแต่ผมก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น พอวันนั้นที่ไปรับก็ไปเจอน้องอยู่กับมิวพอดี เย็นวันนั้นมิวก็
โทรหาผมเลยครับซักนู้นซักนี่ แล้วเขาก็คิดว่าที่เพื่อนเขาหายตัวไปคืนนั้นต้องเกี่ยวกับผมซึ่งตัวผมเองก็ยอมรับ แต่ผมก็บอกให้
ญาติตัวเองหายห่วงว่าผมจะไม่ขืนใจหรือบังคับอะไรน้องอีก อาจจะเพราะว่ามิวรู้ว่าผมเป็นคนยังไง คนที่โทรหาผมเลยได้แต่ถอน
หายใจแล้วก็บอกว่าอย่าคิดเล่นๆกับเพื่อนตัวเองเด็ดขาด ถึงมิวไม่บอกผมก็ไม่คิดเล่นๆกับเพื่อนเขาอยู่แล้วครับ ลูกพี่ลูกน้องผม
จึงวางสายไป แล้วตอนที่ผมพาแอลไปพบแม่เขาดูตื่นเต้นมากถึงขั้นต้องเปลี่ยนสรรพนามเรียกผมให้ดูสุภาพเลยทันที พอดีผม
ต้องเข้าไปเอาเอกสารงานเกียวกับห้างที่บ้านผมก็เลยคิดว่าการพาเขาไปเจอแม่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลยพาเขาไปเจอแม่ด้วย
ซะเลย แล้วแม่ก็เอ็นดูน้องมากๆครับ ท่านชอบน้องยิ่งกว่าผมที่เป็นลูกแท้ๆซะอีก ตอนแรกแอลก็ดูเกร็งๆแต่ซักพักเขาก็เริ่มผ่อน
คลายเพราะแม่ผมท่านใจดี พอขึ้นรถจะไปส่งเขาเขาก็ยังไม่เลิกแทนตัวเองว่าแอลแล้วเรียกผมว่าพี่แต่ผมก็ไม่ได้จะคิดให้น้อง
เปลี่ยนอยู่แล้วเพราะว่ามันน่ารักดีหนิครับ ตอนเขาบอกให้ผมเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกเขาแล้วก็การแทนตัวผมเองผมก็จะทำ
ตามอยู่แล้วเพราะมันดูดีกว่าการพูดมึงๆกูๆเป็นไหน ก็แค่อยากแกล้งเขาเลยเล่นตัวหน่อยจนเขาเกือบงอน แต่พอผมพูดออกไป
คนที่ฟังก็ดูจะช็อคไปเลย หน้าตาตอนเอ๋อของเขาน่ารักมากๆ แล้วดูท่าว่าจะอึ้งอีกนานจนผมต้องเตือนสติเขาไปว่าถึงบ้านแล้ว
เท่านั้นแหละร่างเล็กๆเลยได้แต่พึมพำว่าขอบคุณแล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่มองแล้วก็ยิ้มตามน้อยๆ ผมก็อยาก
ไปรับไปส่งเขาทุกวันอย่างที่บอก แต่งานดันเข้าน่ะสิครับ พ่อผมเรียกประชุมเพราะมีแผนจะปรับปรุงห้างบางส่วนใหม่ ฃ
ที่นี้อย่าว่าแต่ไปรับไปส่งหรือไปหาน้องเลยครับ เวลานอนผมก็แทบไม่มี บางวันก็ไม่ได้โทรหาเขาเลย เขาโทรมาผมก็ไม่ได้รับ
แต่ถ้าว่างก็โทรกลับ บางวันก็ได้แต่ข้อความหาเฉยๆ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง...
END KLIN'S PART
(ส่วนที่เหลือ)
“...อล แอล!!”
ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วรู้สึกว่าขี้หูคงจะสะเทือนแล้วแหละ ก่อนจะเอามือแคะหูเล็กน้อยเพราะปวดหู
หันหน้าไปหาคนที่ตะโกนใส่อย่างงงๆว่าไอ้มิวมันตะโกนเสียงดังขนาดนี้ทำไม คนทั้งทางเดินหันมามองกันหมดเลยครับ
“เรียกเบาๆก็ได้ กูปวดหูหมดแล้ว” แค่ฟังเสียงแหลมๆของอาจารย์มาทั้งวันผมก็แย่แล้ว ไอ้มิวตะโกนใส่ยิ่งหนักเข้าไปอีก
“กูเรียกมึงมาสามพันครั้งแล้ว มึงไม่ได้มีทีท่าจะสนใจเสียงของกูเลยซักนิด มึงเป็นอะไรวะ
อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์กูเห็นมึงเหม่อๆ ซึมๆเหมือนจิตใจไม่อยู่กับตัวเลย”
“เออ กูก็ว่างั้นแหละ กูละกลัวมึงกลับไม่ถึงบ้านจริงๆ” ไอ้เพ้นท์พูดขึ้นมาอีกคน มีเพียงไอ้ตรีที่มองมาโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไร
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
“กูไม่เชื่อ!!” ตะโกนออกมาพร้อมกันจนผมกับไอ้ตรีสะดุ้งเลยครับ ผมได้ก้มหน้าเพราะเถียงอะไรเพื่อนทั้งสองไม่ได้เลย
เพราะผมก็รู้ตัวเองเหมือนกันว่าไม่ปกติเท่าไหร่ บอกตรงๆว่าที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่คลินนั่นแหละครับ
“เห้อ กูแค่...”
“แค่อะไร” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถามออกมา
“แค่...คิดถึงพี่คลิน” ผมตอบออกไปเสียงเบา ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าคิดถึงเขา หลังจากที่พี่คลินบอกว่างานยุ่ง
เราก็แทบไม่ได้คุยกันเลยครับ บางวันก็โชคดีที่ยังได้ยินเสียง แต่เชื่อไหมว่าคุยกันไม่เคยถึง5นาที เขาต้องไปทำงานตลอดเลย
“อาการหนักแล้วเพื่อนกู”
“กูว่างั้นแหละเพ้นท์ มาๆ มึงนั่งพักก่อน ก่อนที่จะเดินไปชนรถใครเข้า” ไอ้มิวลากผมนั่งลงที่ม้าหินอ่อนหน้าคณะ
ทุกคนนั่งล้อมผมไว้หมดเลย สายตาสามคู่จับจ้องมายังผมราวกับผมเป็นนักโทษเลย==
“เราว่าแอลเป็นหนักจริงๆนะ พักนี้เป็นเหม่อๆ” ขนาดผู้ที่ไม่ค่อยพูดยังได้เอ่ยปาก
“เห้อ กูไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย” ผมบอกเพื่อให้ทุกคนสบายใจ สองสามวันแรกมันก็ยังพอทนนะครับ
แต่นี่เป็นอาทิตย์แล้ว ผมก็เลยเหี่ยวลงๆทุกวัน
“กูภาวนาให้เป็นอย่างที่มึงพูดแล้วกัน พี่คลินเขางานยุ่งจริงๆ ยุ่งทั้งบ้านแหละ กูแวะไปวันนั้นไม่มีใครว่างคุยกับกูเลย
ต้องเคลียร์งานกันหมด มึงก็ทำใจ เดี๋ยวงานเสร็จเขาก็มาหามึง”
“อืม เดี๋ยวกูกลับแล้วดีกว่า ต้องรีบกลับไปให้พ่อกับแม่เห็นหน้าหน่อย” ท่านทั้งสองกลับมาจากดูงานได้สองสามวันแล้วครับ
บอกลาเพื่อนทั้งสามคนเสร็จก็ตรงกลับบ้านทันที ตอนนี้5โมงเย็นนิดๆ พี่คลินจะทำอะไรอยู่นะ
เห้อ...ผมขับรถไปก็คิดถึงเรื่องของเขา เป็นเอามากนะผมเนี้ย ขับรถถึงบ้านฝ่าการจราจรที่ติดขัดมา
ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน แต่พอขับรถมาจอดที่โรงรถกลับพบว่ามีรถของใครก็ไม่รู้จอดอยู่ด้วย รถคันอื่นก็อยู่ครบนะครับ
“รถ ใครอ่ะ” ผมพึมพำกับตัวเองหลังจากล็อครถเสร็จ
“พ่อครับแม่ครับ แอลกลับมาแล้ววววววววววว~” เดินเข้ามาในบ้านพร้อมส่งเสียงออกไปก่อน
“อ้าวแอล มาพอดีเลยลูก พี่คลินเขามารอเราตั้งนานแหนะ” ห๊ะ!!!!!!!! ผมได้ยินถูกใช่ไหมหรือว่าหูเพี้ยนไปแล้ว
ผมวิ่งเข้าไปหาแม่ที่เดินมาบอกทันที
“อะไรนะแม่ แม่ว่าไงนะ!!” ผมถามออกไปลิ้นรัวเลย
“ก็พี่คลินไง เขามาหา มารอเราตั้งนานแล้วนะ นี่ก็นั่งคุยกับคุณพ่ออยู่ที่ห้องรับแขก” พอแม่พูดจบเท่านั้นแหละ
ผมรีบวิ่งไปที่ห้องรับแขกทันที แล้วก็เห็นผู้ชายต่างวัยสองคนคุยกันอย่างถูกคอเลยครับ
“อ้าว แอลมาพอดีเลย งั้นพ่อขอไปดูงานหน่อยแล้วกัน เจอกันที่โต๊อาหารนะคลิน” พ่อตบบ่าพี่คลินเบาๆ
ก่อนคนที่ผมคิดถึงจะตอบรับด้วยท่าทีอ่อนน้อม ผมค่อยๆเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ช้าๆ กวาดสายตาไปทั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า
คนตรงหน้าดูซูบลงเล็กน้อย แต่ที่เห็นได้ชัดคือขอบตาที่ค่อนข้างคล้ำลงของเขา
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” มัวแต่อึ้ง กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ เหมือนต่างคนกำลังสำรวจกันและกัน
“4โมงเย็น” ร่างสูงลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“ทำไมไม่บอกอ่ะว่าจะมา”
“อยากเซอร์ไพรส์” คนตรงหน้ายิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่ทำให้ใจผมเต้นรัว ถึงแม้มันจะดูอ่อนแรงไปหน่อยก็เถอะ
“แล้วพ่อกับแม่แอลว่าไง ท่านไม่ถามเหรอ” ผมสงสัยเรื่องนี้มากครับ
“หึหึ ถาม”
“ถามแล้วตอบว่าไง” ผมคงจะแสดงออกว่าอยากรู้ทางสีหน้ามากไปเพราะคนตรงหน้าจะหลุดหัวเราะหน่อยๆ
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน ไปช่วยแม่ดูกับข้าวก่อนไป” พี่คลินจับไหล่แล้วดันให้ผมเดินไปทางห้องครัว
ผมก็พยายามรั้งตัวเองไว้นะครับแต่เขาแรงเยอะจริงๆ ดูขนาดตัวผมกับเขาสิ
“เดี๋ยวววววววววว ตอบมาก่อนนนนนนนน” แต่มีเหรอที่ร่างสูงจะตอบ ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“เอ้อ แล้วนี่มีการชวนกินข้าวที่บ้านด้วยเหรอ? ไปพูดอะไรกับพ่อกับมาบ้างอ่ะ บอกหน่อยๆ” ผมยังคงเซ้าซี้ต่อไป
จนมาหยุดที่หน้าห้องครัวเพราะแรงดันของคนข้างหลัง
“อ้าว คุยกันเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ แม่ทำอาหารเสร็จพอดีเลย เดี๋ยวรอป้าสาตั้งโต๊ะแป๊บนึงนะ”
“ครับ” ไม่ใช่เสียงผมนะครับ แต่เป็นคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆผมนี่แหละ แหม..ทีตอนอยู่กับผมทั้งนิ่ง ทั้งพูดน้อย
คอยดูนะผมจะซักตั้งแต่ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านผมเลย!!
------------------------------------------------------------------------------------------
ครบแล้วววววววว แต่สั้นนิดนึงนะคะ พอดูบอลเสร็จเป็นเบลอๆเลยมาแค่นี้5555555 พิมพ์แบบเบลอมากเลย
ตอนนี้พี่คลินมาเจอพ่อกับแม่น้องแอลแล้วเนาะ คิดไวทำไวตลอดอ่ะคนนี้
ไปแล้วค่ะ..ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกคนที่เข้ามอ่านมากๆค่ะ
*พรุ่งนี้อาจจะไม่ได้มาต่อนะคะ คาดว่าจะยุ่งมากเลยยยยยยยยย ตอนหน้าจะมายาวกว่านี้เน้อ