ร้านผมไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป ตอนมาถึงร้านพึ่งจะสองทุ่มครึ่ง ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาและ..
“พี่ดินนน” เสียงหวานๆ ของสาวนางหนึ่งดังขึ้นจนผมและสกายต้องหันไปมอง “คิวตี้ไงคะ ทำเป็นจำไม่ได้” นมใหญ่ตัวเล็กสเป็คพี่เลยนะ แต่จำไม่ได้ว่ะว่าเคยสอยไปแล้วรึยัง
“ไม่ได้ทำเป็นค่ะ พี่จำไม่ได้จริงๆ” ผมหว่านเสน่ห์ใส่ เผื่อว่ายังไม่ได้สอยจะได้ต่อยอดทันท่วงที
“สามวันสามคืนที่บางแสน นี่พี่จำไม่ได้จริงๆ เหรอคะ” เธอค้อนใส่ผมแล้วสะบัดหน้าไปเจอไอ้สกายที่ทำหน้านิ่งเป็นปกติ แต่สำหรับผมที่อยู่กับหน้านิ่งๆ ของมันมาสามวัน ผมเริ่มจับสังเกตใบหน้าที่เหมือนจะนิ่งแต่ไม่นิ่งของมันได้บ้างแล้ว ผมว่าตอนนี้มันดูหงุดหงิดเล็กน้อยถึงปานกลาง “แล้วนี่เพื่อนพี่ดินเหรอคะ หล่อจัง” อีหนูนี่เปลี่ยนเป้าหมายได้รวดเร็วจริงๆ
“ไม่ใช่เพื่อนหรอก นี่เมีย” ผมดึงแขนสกายเข้ามาหาแล้วกอดคอมันโชว์สาว ไม่รู้ทำไมถึงทำแบบนี้ รู้แต่ว่าหมั่นไส้ที่หญิงเต๊าะมัน
อาจเป็นเพราะผมไม่ชอบให้ใครมาแย่งของก็ได้นะ
สกายทำตาโตแล้วขืนตัวแต่ก็ไม่มาก มันมองผมเหมือนกับว่าผมขอมันแต่งงานอย่างนั้นแหละ “นี่คุณจะบ้าเหรอ” มันกระซิบกระซาบ ผมได้แต่ยิ้มขำ ทั้งหน้าสกายและหน้าน้องหนูคิวตี้แทบจะเป็นทรงเดียวกัน
“เฉยๆ เถอะน่า” ผมกระซิบบอกสกายแล้วหันไปคุยกับคู่ขาเก่า “โลกมันหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ต้องตามให้ทันนะน้องบัวลอย” แล้วผมก็พาไอ้หน้านิ่งเดินผ่านน้องบัวลอยเข้าไปในร้านด้วยความเบิกบาน
“วิธีชิ่งหญิงของคุณแม่งห่วยแตก” มันบ่นทันทีที่ผมปล่อยให้มันเป็นอิสระ ผมพามันเข้ามาในห้องทำงานด้านหลังเค้าน์เตอร์บาร์
ผมหัวเราะหึหึในลำคออย่างพึงพอใจที่เห็นมันเหวี่ยงใส่อีกรอบ “บางทีอาจไม่ใช่วิธีชิ่งแต่เป็นวิธีจีบ” คะนองปากไปงั้นแหละ ไม่ได้คิดจริงจังอะไรแต่ดูเหมือนสกายจะอึ้งๆ
“พี่ดินมาแล้วเหรอครับ” ไอ้อิงค์เปิดประตูเข้ามาทัก ทำให้ผมต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสไปอย่างนึกเสียดาย ก็หน้าสกายเมื่อกี้มันดูเหมือนขึ้นสีนิดๆ ทำหน้าไม่ถูกหน่อยๆ คล้ายจะอยากถามอยากย้อนแต่ก็ไม่กล้า เห็นแล้วน่าเอ็นดู
“ยังไม่มาหรอกมั้ง ที่ยืนหำโด่อยู่นี่เป็นแค่เงา เนี่ยดูสิขนาดเงายังหล่อ” ผมกวนมันเล่น ไอ้อิงค์มุ่ยหน้าแล้วดุผมกลับ
“เป็นผู้ใหญ่ก็ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่สิครับ เล่นซะทุกเรื่องแบบนี้ถึงได้ไม่มีใครคบ” มันย้อนมันย้อน!
“เชี่ยอิงค์! มึงเป็นลูกน้องกูนะ เดี๋ยวพ่อไล่ออกซะนี่” ผมตบหัวมันสองทีซ้อน
“ตบได้แต่ห้ามไล่ออก เพราะถ้าไล่ออก พี่ดินต้องจ่ายล่วงหน้าให้อิงค์สองปี” มันทำหน้าอวดดีใส่
“มึงอย่ามาไอ้อิงค์ สัญญาเหี้ยนั่นมึงหลอกให้กูเซ็นตอนเมา ชอบเอามาขู่กูนัก ซักวันเถอะ กูจะเผาทิ้งทั้งห้องมึงนั่นแหละ” ว่าแล้วก็เงื้อมือจะตบแต่มันรู้ทันก็เลยกระโดดหนี
“เผาสิครับ เผาเลย ห้องผมก็อยู่ในร้านเนี่ย ห้องผมไหม้ ร้านพี่ดินก็ไม่เหลือหรอก เช้อะ” นั่น เช้อะใส่อย่างกับตุ๊ด เฮ้อ ผมไว้ใจฝากร้านให้ไอ้เด็กง้องแง้งนี่ดูแลได้ยังไงวะเนี่ย
“เออๆ กูไม่เถียงกับมึงแล้ว” ตั้งแต่เกิดมาก็มีไอ้อิงค์นี่แหละที่ผมต้องยอมแพ้ ไม่ใช่อะไรนะ ก็เวลาผมไม่ยอมลงให้ ซักพักมันก็จะงอน พองอนก็ไปหว่านเสน่ห์กับลูกค้า แล้วเค้าก็เลี้ยงเหล้า พอเมาก็แรด ใครชวนไปไหนก็จะตามเค้าไป ผมก็เลยต้องยอมแพ้มันซะก่อนที่มันจะงอน “สกายมานี่” ผมเรียกสกายที่ยืนนิ่งอย่างกับรูปปปั้น ไอ้นี่ตลกดีนะ จับวางไว้ตรงไหนก็ตรงนั้น ไม่หือไม่อือ ไม่ทำตัววุ่นวาย แต่อย่าให้ได้บ่นหรือปรี๊ดแตก กูเจอมาแล้ว ของแรงใช่เล่นเลยล่ะ “คนนี้ชื่อสกาย น่าจะอายุเท่ากันแหละ” ผมแนะนำให้อิงค์รู้จัก
“สวัสดีครับ ผมชื่ออิงค์นะ” อิงค์ไหว้ไอ้หน้านิ่งแล้วมันก็รับไหว้แบบตกใจนิดหน่อย
“ไม่ต้องไหว้หรอก อายุเท่ากัน” สกายยิ้มแหยๆ
“เพื่อนเจ้านายก็เหมือนเจ้านายอีกคน อิงค์ก็ต้องเลียแข้งเลียขาไว้ก่อน เผื่อจะได้มีคนเชียร์ให้เลื่อนตำแหน่ง” เอากับมันสิไอ้ห่านี่ ล้นซะจริง
“เลื่อนเหี้ยไรอีก” ผมผลักหัวไอ้อิงค์จนหน้าหงาย “ถ้าสูงกว่าผู้จัดการร้านก็เจ้าของร้านแล้วไอ้สัด”
ไอ้อิงค์ทำหน้าทะเล้นใส่ “ก็นั่นแหละคุณค่าที่อิงค์คู่ควร”
“หึหึ” ผมจิกตามองมันอย่างคาดโทษ “ปากดีนะมึง เดี๋ยวตัดเงินเดือนแม่ง” มันรีบเอามือปิดปากสงบปากสงบคำขึ้นทันที “เอ่อค่อยยังชั่ว มีไว้ซักอย่างที่มึงจะกลัวก็ยังดี” ไอ้อิงค์เคยโดนผมหักเงินบ่อย เวลามันงอนแล้วเมา ผมจะหาเรื่องหักเงินมัน เวลาเมามันก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่าทำอะไรผิด ก็เลยต้องยอมให้ผมหักเงินไปอย่างหมดข้อโต้แย้ง
ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะผมจะเอาเปรียบมันนะแต่ผมเป็นห่วง ไม่อยากให้เมาแล้วไปกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ไอ้อิงค์มันหน้าหวานรูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิง ถ้าไม่บอกว่าเป็นผู้ชาย ร้อยทั้งร้อยต้องบอกว่ามันเป็นทอม
“หาที่นั่งให้สกายหน่อยปะ” ผมสั่งอิงค์แล้วหันไปคุยกับไอ้หน้านิ่ง “มึงจะกินอะไรก็สั่งเลย เดี๋ยวกูเคลียร์งานหน่อยแล้วจะตามไป” มันพยักหน้าแล้วออกจากห้องตามอิงค์ไป
เมื่อเช้ามาเคลียร์แล้วรอบนึง ตอนนี้ก็เลยไม่มีอะไรมาก ทำแป๊บเดียวก็ตามออกไปนั่งกับไอ้หน้านิ่ง กินข้าวกินเบียร์คนละขวดก็กลับเพราะพรุ่งนี้วันเสาร์สกายมีงานแต่เช้า ตอนแรกผมก็งงว่างานอะไร แต่สกายเล่าเรื่องที่พี่ดอทเรียกไปคุยเมื่อหัวค่ำว่าต้องไปเดินแบบให้กับลูกค้าเจ้าประจำ
“แล้วมาอีกนะครับ” ไอ้อิงค์เสนอหน้ามาบอกลา ซึ่งมันไม่ได้ลาผมแต่มันลาไอ้หน้านิ่ง
“ครับ ถ้ามาจะเอาขนมมาฝากนะ” ไอ้หน้านิ่งก็ยังไงวะ พูดครับกับคนอื่น ทีกับกูไม่เคยมี แล้วมึงจะยิ้มหวานทำเชี่ยไรนักหนา ปกติไม่เห็นญาติดีกับใคร ทีกับไอ้หน้าแป้นแล้นนี่ทำไมทุกคนต้องไปคอยโอ๋มันด้วยนะ
“พอๆๆ อ้อยให้มันน้อยๆ หน่อย เห็นผู้ชายหล่อไม่ได้เลยนะอีอิงค์” ผมแกล้งแหย่
“มันไม่ได้เกี่ยวกับหล่อหรือไม่หล่อหรอกพี่ดิน มันเกี่ยวกับนิสัยดีหรือไม่ดีต่างหาก อย่างพี่ดินเนี่ยถือว่าหล่อมากแต่นิสัยแบบนี้ ให้ตายอิงค์ก็ไม่เอา เห็นแบบนี้อิงค์ก็เลือกนะ” นี่มึงกล้าด่าเจ้านายขนาดนี้เลยเหรอวะ แต่เดี๋ยวนะ กูข้องใจอะไรบางอย่าง
“อิงค์!” ผมตวัดสายตาดุๆ มองมัน ไอ้อิงค์ทำหน้าตกใจที่เห็นท่าทีของผม “มานี่!” ผมจับแขนอิงค์แน่นแล้วหันไปหาสกาย “มึงไปรอที่รถก่อนนะ” สกายพยักหน้า ผมจึงลากอิงค์ไปคุยที่ลับตา
“พูดมา” ผมกดเสียงต่ำคุกคามมัน ไอ้อิงค์ช้อนตามองผมแบบคนกำลังทำผิด
“อิงค์แค่พูดเล่น” มันแก้ตัว “อิงค์ไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับพี่ดิน ก็แค่มุกเฉยๆ เชื่ออิงค์เถอะน่า” มันก้มหน้างุดๆ มองยังไงก็ไม่น่าเชื่อถือสักนิด
“มึงก็รู้นะว่ากูไม่ชอบคนโกหก” ผมยังคงใช้น้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง “ถ้ามึงชอบผู้ชายจริงๆ กูก็ไม่ว่า แค่บอกกูมาว่าชอบหรือไม่ชอบ” ผมคาดคั้น
อิงค์เงยหน้ามองผมแล้วพยายามรวบรวมความกล้า “อิงค์เปล่าชอบครับ ไม่ได้ชอบจริงๆ หล่อหรือไม่หล่อก็ไม่ชอบทั้งนั้น” ผมจ้องมันนิ่งเพื่อเช็คว่ามันพูดจริงหรือโกหก แต่ก็นั่นแหละ จับไม่ได้ไล่ไม่ทันซะที ถ้ามันยืนยันจะบอกว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมก็จนปัญญาที่จะง้างปากมันได้
“มึงไม่ใช่คนขี้โกหกกูรู้ดี แต่ทำไมเรื่องนี้กูถึงเชื่อมึงไม่ได้วะอิงค์” โยกหัวมันอย่างเอ็นดู อิงค์มันเป็นเด็กดีและมีพื้นเพที่น่าสงสาร ผมรักมันเหมือนน้องชายแท้ๆ ดูแลมันอย่างดีและหวังให้มันมีความสุข ถ้ามันชอบผู้ชายจริงๆ ผมก็จะได้ดูแลให้ตรงจุด แต่มันก็ปฏิเสธตลอดและผมก็ไม่เคยเชื่อมันตลอดเหมือนกัน ไม่รู้มีเหตุผลอะไรกันแน่ที่ต้องปิดผม
“เชื่อได้น่า ไปได้แล้วครับ พี่สกายรออยู่ ไปๆๆ” มันไล่ “งั้นอิงค์เข้าไปดูร้านแล้วนะ” มันเขย่งขาขึ้นจุ๊บแก้มผมเหมือนที่ทำทุกที “ฝันดีครับ..เจ้านาย” จากนั้นก็ยิ้มแป้นแล้นใส่
ผมมองมันอย่างเอ็นดูแล้วก้มลงไปจ้องหน้ามันใกล้ๆ “กูรักมึงเหมือนน้องในไส้นะอิงค์ มีอะไรก็บอกกูได้ทุกเรื่อง รู้มั้ย” มันยิ้มเศร้าๆ แล้วพยักหน้า ผมจึงจุ๊บหน้าผากมันแล้วโยกหัวอีกสองสามทีก่อนจะหันหลังเดินไปที่รถ
“เป็นไรวะ แดกขวดเดียวเมา?” ผมถามเมื่อขึ้นมาบนรถแล้วเห็นสกายนั่งหลับตาพิงเบาะนิ่งๆ มันติดเครื่องเปิดแอร์ไว้แล้วเพื่อรอออกรถ
“เปล่า” มันลืมตาแล้วเข้าเกียร์ก่อนจะออกตัว “แค่คิดว่าหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า” เอาอีกละ เล่นปริศนาคำใบ้กับกูคนฉลาดอีกแล้ว
“อินดี้อะไรอีกล่ะ มึงนี่เป็นมนุษย์เครียดเน๊าะ” ขมวดคิ้วมองมันเพื่อสำรวจอาการ
มันหันมามองแว้บเดียวแล้วกลับไปมองทางต่อ “ใครจะเป็นมนุษย์ลั้ลลาอย่างคุณล่ะ ระเริงจนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรซักอย่าง”
“กูเนี่ยนะไม่รู้เรื่องราว” ผมโวย “กูเนี่ยแหละรู้ทุกเรื่อง ฉลาดซ้ำซ้อนมึงเคยได้ยินปะ”
“เค้ามีแต่พิการซ้ำซ้อน” มันเถียง
“ก็กูไม่พิการไง กูฉลาด” ยักคิ้วอย่างมั่นอกมั่นใจ “แล้วตกลง กูไม่รู้อะไรบอกมาดิ”
ดูเหมือนมันกำลังชั่งใจว่าจะบอกหรือไม่บอก แต่แล้วก็บอกว่า “ร้านคุณจัดไม่ถูกหลักฮวงจุ้ย” หืม ใช่เหรอ
“ร้านกูไม่ถูกหลักฮวงจุ้ยแล้วมึงต้องเครียดขนาดนี้เลย” มันไม่เม็กเซ้นส์เท่าไหร่นะ แล้วไอ้ประโยคที่มันบอกว่าหนีเสือปะจระเข้นั่นอีก “แล้วหน้ามึงนี่จีนจังเลยนะ มาฮวงจ้งฮวงจุ๊ย จีนเตี๊ยะหน่อยดีมั้ย”
“ฮ่าๆๆ ช่างสรรหาคำมาด่านะ ปากคุณนี่ที่หนึ่งจริงๆ” มันหัวเราะออกมาแบบมีเสียง ไม่ได้กว้างนักแต่ก็แปลกตาน่ารักดี
“มึงก็ใช่ย่อยที่ไหน ด่าให้เหมือนชมน่ะเก่งนัก” แล้วมันก็อมยิ้มขำๆ ก่อนจะหันมามอง
“พรุ่งนี้ไปด้วยกันมั้ย” อยู่ๆ ก็ชวนเปลี่ยนเรื่องเฉยเลย ถึงจะรู้ว่าโดนชี้นำให้เปลี่ยนประเด็นแต่ผมก็เต็มใจตกหลุมมันแต่โดยดี
“ไปได้เหรอ” ผมถาม
“ไม่รู้ดิ ถ้าเข้าไม่ได้ก็ไปส่งหน่อยแล้วรอรับกลับด้วย” ทำไมต่อมฟินกูทำงาน ทำไมต้องดีใจแทนที่จะโวยวายเพราะแบบนี้ก็เหมือนกับว่าผมเป็นคนขับรถให้ชัดๆ
“ดูก่อน ถ้าขี้เกียจก็ไม่ไป” เล่นตัวบ้างไรบ้าง
หน้ามันหุบลงเล็กน้อยแล้วหันไปตั้งใจขับรถต่อไป “ตามใจ”
คืนนี้กว่าจะได้นอน..
“ขนอะไรมาตั้งเยอะตั้งแยะเนี่ยคุณ!”
“ดูสิว่าผมต้องเก็บเป็นชั่วโมงแล้ว!!”
“แล้วนี่อะไร บ๊อกเซอร์ลายเสือ ลายดัลเมเชี่ยน ลายวัว แล้วยังพวกสีรุ้งนี่อีก!!”
“เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวทำไมมันเยอะแบบนี้ห๊ะ! แต่ดูแปรงสีฟัน เยินแบบนี้คุณยังจะใช้อยู่ได้!”
“น้ำหอมเนี่ย ขนมาทำไมเยอะแยะ คุณคิดว่าห้องผมกว้างเท่าสนามฟุตบอลหรือไง จะหอมไปให้ใครดมนักหนา โอ๊ย คืนนี้ผมจะได้นอนมั้ยเนี่ย!!”
“..........” ผมไม่เถียงอะไรมันเลยแม้แต่คำเดียว
ไม่รู้ทำไมถึงได้เพลิดเพลินที่เห็นมันบ่น บ่นแต่ก็ทำ ถึงจะบอกว่าน้ำหอมเยอะ แต่ก็พยายามหาที่ยัดเข้าไปให้ผมจนหมด แถมยังคลี่พวกกางเกงในกับบ๊อกเซอร์แล้วพับให้ใหม่เพราะมันบอกว่าพับแบบนี้ไม่เรียบร้อย ผมก็ไม่รู้หรอกว่าพับแบบไหนถึงจะเรียบร้อย ไอ้งานพวกนี้ผมจ้างแม่บ้านทำทุกอย่างนั่นแหละ เพราะถ้าต้องทำเองผมก็แค่ยัดไว้ในตะกร้า ไม่เห็นต้องพับให้มันยุ่งยาก ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรซะหน่อย
“ยิ้มอะไรของคุณ” มันหันมาวีนใส่
“มึงตลกดี” ผมนั่งเอนหลังพิงหัวเตียงอย่างสบายอารมณ์
“ตลก??” สกายปิดกระเป๋าเดินทางของผมแล้วยัดไว้ข้างตู้เสื้อผ้าก่อนจะเดินมาหา “ตลกยังไง”
“รู้ตัวมั้ยว่ามึงพูดมากกว่าที่เคยเป็น” ไม่รู้ทำไมรู้สึกเอ็นดูมันมากขึ้นและคิดว่าตอนนี้อินเนอร์ผมคงส่งไปตามสายตาแล้วล่ะ
สกายหลบตาทันที มันแกล้งมองไปที่โคมไฟแล้วทำเป็นขยับจัดแจง ทั้งที่มันก็ไม่ได้เกะกะอะไร “ผมก็แบบนี้แหละ ก็คนมาอยู่ด้วยกัน จะให้เงียบใส่ได้ไง มันต้องพูดคุยตกลงกันจะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง”
ผมทำหน้าล้อเลียน “เท่าที่ฟังมา มึงไม่ได้พูดคุยตกลงเลยนะ แต่มึงบ่น บ่นเหมือนเมียแก่วัยทองเงี้ย” เป็นอีกครั้งที่เห็นหน้ามันเหวอและขึ้นสีเรื่อๆ จะเป็นเพราะผิวหน้ามันขาวและใสจนสามารถมองเห็นความรู้สึกผ่านสีหน้าชัดเจนก็ว่าได้ โดยเฉพาะปกติแล้วไม่ค่อยแสดงอารมณ์แต่พอแสดงขึ้นมาก็ทำให้สังเกตได้อย่างง่ายดาย
“พูดเรื่อยเปื่อย” ว่าแล้วก็เดินหนีเข้าห้องน้ำไปเลย
อย่าว่าแต่มึงที่หน้าขึ้นสี กูเองก็รู้สึกแปลกๆ จนหน้าร้อนเหมือนกันว่ะ
********************