Best Couple : คู่จิ้นของผมเป็นผู้ชาย by นิยายหมายเลข9 [ตอนพิเศษ p.70 16/5/58]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Best Couple : คู่จิ้นของผมเป็นผู้ชาย by นิยายหมายเลข9 [ตอนพิเศษ p.70 16/5/58]  (อ่าน 699013 ครั้ง)

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
รางวัลติงต๊องแห่งปี

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อิจ้าววววววว อิเกรียน อิเรื้อน อิคนขี้ยั่ว ขี้อ่อย มากกว่าแรดสองนอก็แกนี่แหละจ้าว โอ้ยยย ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาสรรเสริญมันดีสุดๆจริงๆอิคนโลกหน้าเอ้ยเหนื่อยใจแทนพี่บั๊ก แต่ก็ดีแล้วล่ะที่จ้าวมันเข้าใจอะไรง่ายๆ งานนี้ต้องยกความดีให้พี่ดินกะหมอเกดด้วยนะ แอบจิ้นดินจ้าวเบาๆคู่นี้มันแอบกร๊าวจริงๆ ขอบคุณนายน้อยด้วยนะสำหรับนิยายเกรียนๆรั่วๆฮาๆสนุกๆแบบนี้ ต่อไปก็รอพาร์ทปิดท้ายของสกาย

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
Chapter 31  The end & the beginning



“คุณต้องการอะไร”  ผมที่กำลังเดินลงมาจากห้องชั้นบนได้ยินเสียงคุ้นหูของผู้หญิงซึ่งผมเรียกว่า MOM เธอคุยโทรศัพท์เป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงที่เพี้ยนหน่อยๆ เพราะเธอเป็นชาวต่างชาติ  แต่การที่ผมอยู่ด้วยมาตั้งแต่แรกเกิดจึงคุ้นเคยดีกับสำเนียงแบบนี้

“แค่ศุกร์กับเสาร์ คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ”  คิ้วผมกระตุกเพราะฟังจากน้ำเสียงและคำพูดก็เดาออกได้เองว่าปลายสายคงเป็นผู้หญิงที่เป็นเมียน้อยของพ่อ  “ถ้าอย่างนั้น คุณก็คุยกับสามีของฉันเองก็แล้วกัน”  เธอวางสายแล้วทรุดลงนั่งบนโซฟาหน้าตาซีดเซียว

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับแม่”  ผมรีบเข้าไปพัดให้เพราะเห็นว่าอาการไม่ค่อยสู้ดีพร้อมเอ่ยถามเธอด้วยภาษาอังกฤษที่เราใช้สื่อสารกันตามปกติ

“ป..เปล่าๆ ไม่มีอะไร แม่แค่รู้สึกเวียนหัว”  แม่ก็เป็นแบบนี้ประจำ ชอบเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว

ตอนที่รู้ว่าพ่อมีคนใหม่และพลาดท่าจนพวกเขามีลูกด้วยกัน คราวนั้นแม่ตัดสินใจพาผมหนีกลับออสเตรียแต่พ่อก็กล่อมจนแม่ใจอ่อนและกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง  แต่แล้วเมื่อลูกของทางนั้นคลอดออกมา เขาก็มีข้อต่อรองกับพ่อมากขึ้น  เขาขอให้พ่อไปอยู่ด้วยวันศุกร์และวันเสาร์  ซึ่งก็ทำให้แม่ต้องเครียดจนอยากจะกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง 

แต่บังเอิญว่าแม่ตรวจพบว่าตัวเองเป็นเนื้องอกในสมองเสียก่อน  จึงจำใจต้องอดทน อยู่ไปอย่างนี้เพื่อให้ผมได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก อย่างน้อยก็จนกว่าแม่จะยังทนไหว

“บ้านนั้นอีกแล้วเหรอฮะ” ผมยังไม่หยุดซัก

แม่นิ่งไป  เอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วหลับตาลง  “แม่ขอโทษนะสกาย  แม่มีแรงเหลือไม่มากพอที่จะปกป้องลูก”  เธอลืมตามองผมแล้วลูบหัวอย่างเบามือ

ผมจับมือเธอไว้แล้วจุมพิตลงไปหนักๆ  “แค่ที่แม่ทนอยู่ทุกวันนี้ แม่ก็เก่งที่สุดแล้วครับ” 

เมื่อไม่นานมานี้ ผมแอบเจอผลวินัจฉัยของหมอว่าแม่เป็นเนื้องอกเมื่อหลายเดือนก่อนแต่แม่ขอให้เก็บเป็นความลับเพราะไม่อยากให้พ่อกลับมาหาเราเพียงเพราะว่าแม่ป่วย

ผมรู้ว่าแม่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องนี้  จะใจร้ายไม่ให้พ่อลูกได้เจอกันก็ดูจะใจจืดใจดำเกินไป แต่พอปล่อยให้ไปก็ยังไม่วายเข้ามาเรียกร้องไม่เคยหยุด  ล่าสุดนี้เห็นว่าต้องการให้พ่อทำพินัยกรรมให้ลูกทางนั้นด้วยซึ่งแม่เคยตอกหน้ากลับไปว่าบริษัทของพ่อนั้นไม่ได้มีผลกำไรมากพอจะแบ่งให้ผมเสียด้วยซ้ำ แต่ก็เหมือนว่าเขาจะไม่เชื่อ  เมื่อครู่ที่โทรมาก็คงอยากต่อรองขอให้พ่อไปนอนบ้านนั้นมากสองวันแน่ๆ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าทิ้งพ่อนะสกาย สักวัน พ่อจะรู้ว่าใครที่รักเขาอย่างจริงใจ”  นั่นเป็นเหมือนคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย เพราะรุ่งเช้าของอีกวัน พ่อก็พบว่าแม่ไม่หายใจอีกแล้ว



เมื่อรู้ว่าไม่มีวันได้เจอหน้าแม่อีกแล้ว ผมได้แต่ร้องไห้เงียบๆ ยิ่งเงียบก็ยิ่งเจ็บเหมือนมันจุกอยู่ในอกแล้วไม่ได้ระบายออก ความทุกข์อัดฝังอยู่ในนั้นไม่มีใครได้เห็น ตลอดเวลามีเพียงเบบี้แบล็งคอยอยู่เป็นเพื่อน ผ้าห่มที่แม่เย็บให้เองกับมือตั้งแต่ผมยังแบเบาะและมันก็อยู่ข้างตัวผมเรื่อยมา ถึงแม้ตอนนี้อายุสิบสี่ปีแล้วแต่ผมก็ไม่เคยอายที่จะกอดและร้องไห้กับมัน  ผ้าห่มสีฟ้าอ่อนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชื่อผม ‘สกาย’

ผมกับพ่อทำศพแม่ตามพิธีของศาสนาคริสต์เพราะแม่ไม่ได้เปลี่ยนศาสนาตามพ่อ  นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พ่อรู้สึกว่าแม่ไม่รัก  แม่เป็นคนปากแข็ง ไม่ค่อยบอกรัก ไม่ค่อยหวานกับพ่อสักเท่าไหร่  บางทีผู้ชายเจ้าชู้คงรู้สึกว่ามันไม่อบอุ่นจึงออกหาที่ที่เหมือนว่าจะดีกว่า

แต่พ่อคิดผิด  เพราะคนที่รักพ่อมากที่สุดก็คือแม่  แม่ที่อดทนทุกอย่างเพื่อให้ผมกับพ่อได้อยู่ด้วยกัน  แม่ที่คอยผลักดันบริษัทของพ่ออยู่ลับๆ ด้วยการให้เงินสนับสนุนจากบุคคลที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ  จนมาระยะหลังแม่จึงบอกผมว่าเงินก้อนสุดท้ายของแม่ที่มี  แม่จะยกให้ผมเพราะก่อนหน้านี้ได้ช่วยบริษัทของพ่อไปหมดแล้ว



“หนึ่งแสนบาท”  ผมมองบัญชีเงินฝากที่แม่เปิดบัญชีทิ้งไว้ให้  “ผมจะเก็บไว้สร้างเนื้อสร้างตัวนะครับแม่” 



นั่นเป็นความลับเพียงหนึ่งเดียวที่ปกปิดไม่ให้พ่อรู้ ผมเก็บบัญชีนี้ไว้ในลิ้นชักและล็อคกุญแจไว้เป็นอย่างดี    แต่แล้วในวันหนึ่งเรื่องที่ผมไม่คาดฝันว่าจะเกิดก็บังเกิดขึ้นเมื่อการย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของแม่เลี้ยงและลูกๆ ทำให้เกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต



“เอาของฉันคืนมา”  ผมมองจิกน้องชายต่างแม่ด้วยความเกลียดชัง  พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่หลังจากที่แม่เสียไปแค่ปีกว่าๆ  หลังจากนั้นผมก็ต้องอึดอัดอยู่ในบ้านของตัวเองแบบนี้มาจนอายุ 17 ปี

‘สตาร์’ ตอนนี้เขาอายุ 15 ปี และน้องสาว ‘สไมล์’ 13 ปี  ส่วนสูงของผมกับสตาร์ใกล้เคียงกันแต่เขาค่อนข้างอวบกว่าจึงดูแข็งแรงกว่าเล็กน้อย

“เรื่องอะไรจะคืน  ตอนนี้บ้านเราลำบากจะตายแต่มึงกลับแอบซุกเงินไว้คนเดียวแบบนี้ได้ไงวะ”  วัยรุ่นชายอายุแค่สิบห้าปีขึ้นกูมึงกับผมซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายที่อายุแก่กว่าเกือบสามปี แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่ผมจะไม่ชอบขี้หน้า  แต่ความชั่วร้ายของมันยังมีมากกว่านั้นอีกเยอะ

“บอกให้เอามา!!!”  ผมตวาดจนแม่เลี้ยงและลูกสาวของเธอออกจากห้องลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีอะไรเหรอลูก เสียงดังไปถึงข้างบน”  เธออยู่ในชุดนอนลายเสือดาว บางจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน

แต่เธอจะแคร์อะไรล่ะ ในเมื่อตั้งแต่วันแรกที่เธอและลูกย้ายเข้ามา เธอก็เข้าไปหาผมในห้องและยั่วยวนสารพัด 

ไม่อยากพูดให้เสียปาก ได้แต่เก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวเองตลอดเวลา  แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะบอกพ่อก็คิดว่าพ่อคงไม่เชื่ออยู่ดี

“ไอ้ลูกไม่มีแม่นี่มันซ่อนเงินไว้ตั้งเยอะเลยแม่ ดูนี่สิ”  มันยื่นบุ๊คแบงค์ให้แม่มัน เป็นจังหวะดีที่ผมพุ่งเข้าไปคว้ากลับมาได้ทัน

แม่เลี้ยงชักสีหน้าทันทีที่ถูกแย่งสมุดไปต่อหน้าต่อตา  แต่แล้วเธอก็ปรับอารมณ์ให้เย็นลง  “ขอน้าดูหน่อยสิสกาย  อายุแค่นี้อย่าเพิ่งพกเงินเยอะเลยนะมันอันตราย เอามาเก็บไว้ที่น้าก่อนมา”  เธอยื่นมือออกมาแต่ผมถอยหลังหนี

“เงินของแม่ จะมากจะน้อย คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์”  ผมกำลังจะหันหลังเดินกลับห้องแต่ยายแม่เลี้ยงหันไปพยักหน้ากับลูกชาย  มันจึงพุ่งเข้ามาผลักผมอย่างแรงจนล้มลง

หลังจากนั้นผมก็ถูกสามคนรุมแย่งสมุดบัญชีไปจนได้  ผมพยายามจะต่อสู้แย่งสมุดบัญชีกลับคืน ทุ่มสุดแรงจนชนสไมล์ล้มลงอย่างแรง  ยายแม่เลี้ยงดูจะโกรธจัดและพยักหน้าไปที่ลูกชายตนอีกครั้ง  มันเข้ามาพยายามล็อคตัวล็อคแขนจากทางด้านหลัง ส่วนคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน   

ถึงแม้จะดิ้นจนสุดแรงแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ผมถูกดันถูกผลักและยัดเข้าไปในห้องใต้บันไดและปิดล็อคไว้แถมยังปิดไฟจนมืดสนิท แต่เท่านั้นยังไม่พอ  ผ่านไปครู่เดียว ช่องระบายอากาศเพียงน้อยนิดตรงประตูก็ถูกแปะทับด้วยอะไรบางอย่างจนเหลือช่องเพียงเล็กน้อย

ผมร้องโวยวายทุบประตูอย่างแรงเพราะหวังว่าไอ้อีพวกนั้นจะรำคาญและมาเปิด  แต่ได้ยินแค่เสียงหัวเราะคิกคักและเบาลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เงียบสนิทลงในเวลาต่อมา 



“เปิดเดี๋ยวนี้นะโว้ย เปิด!!!”  รอจนผ่านไปเกินสองชั่วโมงแต่ก็ไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิต  ในนี้ทั้งมืดและอับ  หายใจแทบไม่ออกเพราะช่องระบายอากาศเหลืออยู่เพียงน้อยนิด คงกะให้ทรมานแต่ไม่ตายนั่นแหละ

ผมพยายามถีบและงัดประตูเพื่อจะได้ออกมาแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำได้   เมื่อรู้ว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรน  ผมจึงนั่งนิ่งรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาเปิดให้

‘เมื่อไหร่จะกลับมาซะทีนะพ่อ’ พยายามส่งกระแสจิตเรียกพ่ออยู่ในใจ

พวกมันคงรอจังหวะนี้มานานแล้ว  รอตอนที่พ่อไม่อยู่เพื่อแกล้งผม   พ่อไปประชุมที่ต่างจังหวัดสองสามวัน  ซึ่งกำหนดกลับก็คือวันพรุ่งนี้เย็น 

อันที่จริงผมก็พยายามระวังตัวและปกติก็แทบจะไม่ออกจากห้องถ้าพวกนั้นอยู่ แต่เมื่อกี้ออกไปเอาน้ำแล้วเผลอลืมล็อคห้องแค่ไม่กี่นาทีก็กลายเป็นแบบนี้ซะแล้ว มันน่าเจ็บใจนัก!





พวกแม่ลูกปีศาจพวกนั้นคงพากันออกไปจากบ้านแล้วเพราะไม่ได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตเพ่นพ่านอยู่เลย คงต้องการให้ผมทรมานอยู่ในนี้โดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผมเองก็อยากจะทำให้พวกมันผิดหวังด้วยการทำตัวเหมือนเป็นปกติแต่ก็ไม่สามารถทำได้  อากาศในนี้ทั้งอับและน้อยนิดทำให้อึดอัดจนแทบจะตาย  ความมืดที่ยิ่งมืดไปอีกเมื่อช่องระบายอากาศถูกปิดไว้เช่นนี้  เสียงแมลงอะไรบางอย่างที่ดังอยู่มุมนั้นมุมนี้ ซึ่งจะเป็นตัวอะไร อยู่ตรงไหน มีพิษหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้

“ป..เปิด! เปิด!!”  ยิ่งดึกก็ยิ่งมืดยิ่งอึดอัด  เหมือนถูกบีบด้วยก้อนสีดำจนใกล้จะตาย  ยิ่งใช้แรงก็ยิ่งหมดแรงเร็วขึ้น    ความกลัว ความทุรนทุรายพุ่งสูงขึ้นทุกวินาที

“แม่ครับ แม่ช่วยด้วย”  ผมหายใจรวยริน ร่ำร้องหาแม่ตลอดเวลา  น้ำตาไหลออกจากดวงตาไม่ขาดสาย  ยิ่งร้องก็ยิ่งอ่อนล้า  ยิ่งร้องก็ยิ่งเหมือนจะขาดใจตาย

ในหัวบีบรัดเหมือนถูกจู่โจมด้วยปีศาจหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเป็นพันเป็นหมื่นตัว  มันหัวเราะเยาะและหวีดเสียงร้องใส่ผมจนต้องกุมหัวดิ้นพล่าน  “ไป!!ออกไป!! ออกไป!!!!” 

ผมต้องทรมานอยู่แบบนั้นจนสลบไป  ฟื้นขึ้นมาอีกทีเมื่อท้องร้องโครกคราก  ถูกขังตั้งแต่ช่วงสายของเมื่อวานจนป่านนี้น่าจะเช้าแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

เสียงพวกนั้นกลับมาและแยกย้ายกันขึ้นชั้นบน  คงลืมแล้วว่าขังผมไว้ข้างในนี้  สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดล็อคและประตูก็เปิดออก  ผมต้องใช้ท่อนแขนบังดวงตาเอาไว้เพราะแสงจากด้านนอกทำให้สายตาปรับสภาพไม่ทัน

“สภาพอย่างกับศพ ฮ่าๆๆ”  ไอ้สตาร์ยืนหัวเราะเยาะใส่ 

“เหี้ย พวกมึงมันเหี้ย!”  ผมพยายามลุกขึ้นจะไปต่อยมันแต่แรงก็น้อยจนต่อยวืด

“ปากดีนักนะมึง”  มันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วฉุดลากผมไปหลังบ้านและผลักผมเข้าไปในห้องพักแม่บ้านที่ตอนนี้แม่บ้านคนเก่าลาออกไปแล้วเพราะโดนไอ้อีพวกนี้จุกจิกจู้จี้ใช้งานพร่ำเพรื่อ “เพื่อนกูบอกว่าให้ลองเอากับผู้ชายดู  มันบอกว่าเด็ดกว่าผู้หญิง ไม่รู้จริงมั้ยว่ะ”  ว่าพลางเหวี่ยงผมไปที่เตียงและกดล็อคประตูก่อนจะรีบเข้ามาตะครุบตัวไว้อย่างรวดเร็ว

ไอ้เด็กนี่มันอายุสิบห้าก็จริงแต่โคตรเกเร คบเพื่อนเลวและน่าจะติดยาด้วยเพราะผมแอบเห็นมันเสพที่หลังบ้าน  ถึงจะตัวสูงพอกันแต่มันอวบใหญ่และแรงเยอะ  ผิดกับผมที่ยังไม่มีกล้ามเนื้อสักเท่าไหร่  ยิ่งมาถูกขังหลายชั่วโมง ข้าวก็ไม่ได้กินจึงยิ่งอ่อนแอไปกันใหญ่

ผมพยายามจะหนีแต่ก็ถูกต่อยที่ท้องถึงสองครั้งจนจุกไปหมด หน้ามืดและหมดแรงจะต่อสู้ดิ้นรน   มันจับผมคว่ำลงบนเตียงและกดไว้ทั้งตัวก่อนจะถอดกางเกงของผมออก  เมื่อรู้แล้วว่ามันพยายามจะทำอะไร ผมก็พยายามดิ้นรนขัดขืนจนสุดแรงอีกครั้งซึ่งไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ผมสู้แรงมันไม่ได้จริงๆ

แต่เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างถูไถอยู่บริเวณด้านหลังก็เกิดอาการขนหัวลุก น้ำย่อยในท้องขย่อนขึ้นจนเหมือนจะอาเจียน  ขอบตาแสบร้อนผะผ่าวไปหมด  ผมร้องตะโกนจนสุดเสียง “ปล่อยกู!!!!!”  เป็นเสียงสุดท้ายที่ผมร้องเพราะหลังจากนั้นก็สลบไปในทันที







สะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง ฝันถึงห้องคับแคบมืดมิดและมีปีศาจหลายร้อยตัวมารุมล้อมหัวเราะเสียงแหลมใส่  ตอนนั้นไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะกลายเป็นความฝันที่ตามหลอกหลอนผมแทบจะทุกคืน

ผมพลิกร่างกายซ้ายขวาเพราะเมื่อยขบไปทั้งตัว  ช่องทางด้านหลังรู้สึกเจ็บแปลบๆ  แต่ก็ไม่มาก  ผมไม่รู้ว่ามันได้สอดใส่หรือยัง แต่แค่คิดถึงความรู้สึกตอนนั้นก็แทบจะอาเจียนออกมาทันที

มองบนโต๊ะเห็นข้าวต้มหนึ่งชาม นม และน้ำเปล่า  ตรงข้อพับแขนมีที่ปิดแผลเล็กๆ เหมือนกับพึ่งถูกเจาะให้น้ำเกลือ  เดาว่าคงเป็นแบบนั้นเพราะถ้าไม่ใช่ ผมคงลุกขึ้นมาเดินแบบนี้ไม่ไหวเนื่องจากไม่มีอาหารตกถึงท้องมาสองวันสองคืน

ผมลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาแข็งแรงให้เร็วที่สุด 

กินแล้วกลับไปนอนอีกรอบและตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ของอีกวัน  บนโต๊ะมีโจ้กกับนมและผมก็กินจนหมด  ร่างกายตอนนี้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งและสิ่งแรกที่ผมคิดตอนนี้ก็คือ..



“ไอ้สัด ไอ้ชั่ว!! ตายซะ!!!”  ผมลากคอไอ้สตาร์ออกมาจากห้องทันทีที่มันเปิดประตู  มันไม่ทันตั้งตัวจึงเซถลาไปตามแรงที่ผมเหวี่ยง  ผมพุ่งเข้าไปเตะสีข้างของมันสามสี่ทีติดๆ  กำลังจะกระทืบลงไปบนหน้าอกแต่มันพลิกหนีไปเสียก่อน

มันคลานหนีไปตั้งตัวและยืนขึ้นได้ในที่สุดจากนั้นก็ชี้หน้าด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด  “มึงทำกู ไอ้เหี้ย!”

“แล้วมึงทำเหี้ยอะไรกับกูก่อนล่ะ! ที่มึงทำมันเหี้ยกว่าที่กูทำไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า!!” ผมพุ่งเข้าไปอีกครั้งแล้วเงื้อมือจะต่อย แต่มันหลบและต่อยสวนกลับมาโดนคางจนมึนไปเล็กน้อย 

เราผลัดกันสวนหมัดไปสักพักก็ได้ยินเสียงแม่เลี้ยงกับพ่อร้องห้ามอยู่ทางด้านหลัง  จากที่มันจะต่อยผมมันก็ยั้งมือไว้ ทำให้ผมมีโอกาสต่อยมันและร่างมันก็เซกลิ้งหลุนๆ ตกบันได ผมตกใจมาก ยืนมองอย่างตื่นตะลึงแต่เมื่อเห็นว่ามันไม่ตายและลุกขึ้นมานั่งโอดโอยได้ก็โล่งใจ

พ่อเดินเข้ามาทำหน้าเหี้ยม ส่วยยัยนังเลี้ยงนั้นหวีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นลูกตกบันได  มันรีบไปดูใจกันแล้วพาขึ้นมาชั้นบนอีกครั้ง

“หัวลูกแตกเลยค่ะคุณพจน์!”  เอาเลือดชั่วออกซะบ้างก็ดีไม่ใช่หรือไง!

“ทำน้องทำไมสกาย!!”  พ่อตวาดลั่น

“ก็พวกมัน!”  ผมกำลังจะเล่าให้พ่อฟังว่าเรื่องเป็นมายังไงแต่ก็ถูกแม่เลี้ยงขัดเอาไว้

“อย่าไปว่าน้องกายเลยค่ะคุณ แผลน้องสตาร์ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร  สกายแกน่าสงสารที่แม่มาด่วนจากไปก็คงทำให้ขาดความอบอุ่นเป็นธรรมดา  พวกเราแค่มาอาศัยก็ต้องเจียมตัว น้องสตาร์เองก็คงชินแล้วล่ะค่ะ” ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ  เป็นแบบนี้ตลอด อีนังปีศาจ!

“เห็นไหมว่าน้าแจนเค้าเมตตาแกมากแค่ไหน  นี่ขนาดแกไปปาร์ตี้อัพยามั่วเพศจนสลบสไล น้าเค้าก็ยังเรียกหมอมารักษา ดูแลหาข้าวหาน้ำคอยพยาบาลไม่ได้ห่างเลยนะ  พ่อกลับมาเจอน้าเค้ากำลังเครียดอยู่หน้าห้องตอนที่หมอมาตรวจให้ที่ห้องแกน่ะ" 

หึ  คงกลับมาทันได้เห็นว่านังปีศาจมันกลัวว่าผมจะตายแล้วลูกมันจะติดคุกล่ะสิ  เหมือนละครน้ำเน่าไม่มีผิด

“ถ้าพ่อเห็นว่าไอ้อีพวกนี้มันดีนักก็เอากันต่อไปเถอะ อีกหน่อยก็รู้เองว่าพวกแม่งเลวขนาดไหน”  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมหยาบคายกับพ่อ  และนั่นก็ทำให้หน้าของผมสะบัดอย่างแรงด้วยฝ่ามือใหญ่ที่ฟาดเข้ามาข้างแก้มอย่างจัง

เพี๊ยะ!!!

“หยาบคาย!! ใครสั่งใครสอนให้แกเป็นคนแบบนี้  แม่แกที่ตายไปจะรู้สึกยังไง ห้ะ!!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หน้าผมก็ร้อนวูบขึ้นทันที “ไม่ต้องมายุ่งกับแม่ผม!!  พ่อใฝ่ต่ำจนไม่มีค่าแม้แต่จะเอ่ยถึงแม่ได้หรอก!!”

เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!!!! 

หน้าผมหันซ้ายขวาติดกันสองรอบ  เจ็บจนชาเลือดไหลออกมาตรงมุมปาก  “ลูกเลวๆ อย่างแก ฉันไม่อยากจะเลี้ยงแล้ว!!” 

“ไม่อยากเลี้ยงก็ไม่ต้องเลี้ยง!!!” ผมเช็ดเลือดออกจากมุมปากแล้วมองดูของเหลวสีแดงฉานตรงหลังมือด้วยอารมณ์เดือดปุด  “สมสู่กันไปเถอะแล้วสักวันพ่อจะรู้ว่านรกมีจริง!! และจำได้เลยนะว่าผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดพ่อ!!!”  ผมตะโกนสุดเสียงแล้ววิ่งออกจากบ้านมาทันที

ทั้งสิ่งที่ถูกกระทำ ทั้งความน้อยใจ เสียใจ และความเจ็บปวดทุกอย่างถูกระเบิดออกมาในตอนนี้





หลับหูหลับตาวิ่งหนีออกมาทั้งน้ำตา  เจ็บปวดจนร่างแทบจะแหลกสลาย    ร้องไห้จนหายใจแทบไม่ออก  ของเหลวจากกระเพาะตีขึ้นขย้อนออกมาจากปากจนต้องบ้วนทิ้ง  แต่ถึงกระนั้นความปั่นป่วนในร่างกายก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย



คิดถึงแม่ อยากไปอยู่กับแม่  ผมอยากไปอยู่กับแม่.. 

คิดได้แค่นั้นก็พุ่งตัวเข้าใส่รถคันแรกที่ขี่สวนมา  อยากให้เป็นสิบล้อแต่ดันเป็นมอร์เตอร์ไซค์คันเล็กกระจิ๊ด ได้แต่ภาวนาให้ได้ตายสมใจ

โครม!! 

ผมยืนหลับตาอยู่ตรงไหล่ทางที่รถมอร์เตอร์ไซค์คันนั้นพุ่งตรงเข้ามา คิดในใจว่าคงโดนชนเต็มๆ แต่เมื่อเสียงชนกลับไปดังขึ้นทางด้านหลังผมก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

และสติก็กลับมาเมื่อได้ยินเสียงโวยวายจากคนที่กำลังพยายามดันรถออกจากตัว

“อ้าวไอ้เหี้ย! มึงจะยืนโง่รอให้คันอื่นหักหลบมึงแล้วพุ่งมาชนกูตายห่าเหรอ อย่างมึงนะขนาดรถดูดส้วมเสียหลักยังหักหลบเลย แล้วใครจะซวย กู กูนี่แหละ แน่ะ ยังอีก ยังไม่ดึงสติ มานี่เซ่! มาช่วยกูนี่ไอ้สัด! ” 



ผมยืนจ้องไปทางต้นเสียง  ร่างโปร่งของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม นอนแอ้งแม้งขาข้างหนึ่งพาดมอร์เตอร์ไซค์ที่ล้มเกยฟุตบาทส่วนอีกข้างถูกทับเอาไว้  ล้อหลังยังหมุนอยู่แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมากทั้งรถทั้งคน 

“เร็วๆ ดิ  ถ้ากูทนพิษบาดแผลไม่ไหวเกิดตายขึ้นมา บนไหล่มึงจะเป็นที่อาศัยของกูไปตลอดชาติเลยนะเว้ย!!”  ถ้าพูดมากได้ขนาดนี้ก็คงไม่ตายหรอก อย่าว่าแต่ตายแค่เจ็บก็คงไม่มากก็น่าจะลุกขึ้นมาเองได้นะ 

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากไปช่วยมันเพราะรู้ดีว่าเป็นต้นเหตุให้มันต้องไปนอนด่าอยู่ตรงนั้น  ผมปาดหน้าปาดตาเพื่อทำลายหลักฐานความเศร้าแล้วเข้าไปยกรถให้ตั้งขึ้นและพยุงมันขึ้นมา  ตรวจดูทั่วร่างแล้วก็สงสารมันอยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่มีบาดแผลใหญ่อะไรแต่เนื้อตัวเสื้อผ้าก็ขมุขขมัวไปทั้งตัว

“ถลอกปอกเปิกไปทั้งตัวเลยกู  นี่คนหรือปลาทูแมววะเนี่ย  ยุ่ยซะขนาดนี้  เฮ้อ”  มันปัดฝุ่นพลางบ่นไปพลาง จากนั้นก็เก็บหมวกกันน็อคขึ้นมาปัด  “หมวกพันปีของไอ้พี่สวย ตายห่าแล้วคิตตี้ถลอก  กูตายๆ โดนบ่นจนหูชาแน่”

ไอ้เด็กคนนี้พูดมากจัง 

พอมันปัดเสร็จก็เงยหน้ามองผม  “มึง!”  มันชี้หน้า

ตอนแรกคิดว่ามันเคยรู้จักผมมาก่อน  แต่ก็ไม่ใช่  “มึงเป็นใบ้เหรอวะ  กูพูดไปถึงอยุธยาแล้ว มึงยังไม่พูดซักแอะ โธ้ หน้าตาก็ดี ดันเป็นใบ้  นี่คงเป็นบ้าด้วยใช่ปะ ไม่งั้นไม่วิ่งมาตัดหน้ารถกูหรอก” มันพูดไปพลางมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า  “คนเรานะเว้ยถึงจะเป็นบ้าแต่ก็ยังมีลมหายใจเป็นของตัวเอง มีชีวิตอยู่มันดีจะตาย มึงรู้มั้ยว่ากว่าจะได้เกิดมามันยากแค่ไหน  อย่างน้อยมึงก็วิ่งเร็วสุด แซงไอ้พวกหมอ วิศวะ นักการทูต นักบัญชี และไอ้ตัวที่ฉลาดกว่ามึงมาได้  มึงก็ต้องรักษาชีวิตไว้นะเว้ย มีชีวิตอยู่เผื่อไอ้อสุจิพันธุ์ดีพวกนั้นที่แพ้มึงอะ”  พูดเองเออเองแล้วก็ตบบ่าผมปุๆ เหมือนให้กำลังใจ

กูว่ามึงนั่นแหละที่เป็นบ้า 

แต่ในความบ้าของมัน ก็เหมือนจะสั่งสอนไปในที  ซึ่งก็ได้ความหมายว่าอย่าคิดสั้นอย่างนั้นสินะ

“ชดใช้มาเลยมึง จะให้เท่าไหร่ว่ามา” มันแบมือแล้วกระดิกนิ้วยิกๆ  เรียกร้องค่าเสียหาย

ทำเป็นสอนอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้ก็อยากได้เงิน แต่ผมก็รู้ว่าต้องให้ค่าทำขวัญมัน ติดที่ว่าตอนนี้ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลยซักบาท

“กูไม่มีเงินเลยว่ะ ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย”  ปกติผมไม่พูดกูมึงกับใครนะ  ขนาดกับไอ้สตาร์ผมก็พึ่งมาขึ้นกูมึงกับมันเมื่อวานนี้เอง  แต่กับไอ้คนนี้ ทำไมรู้สึกว่ามันคู่ควรกับอะไรแบบนี้

มันมองหน้าผมแล้วถอนหายใจ “เฮ้อออ กูเชื่อว่ามึงไม่มีอะไรติดตัว  เพราะแค่สติมึงก็ยังไม่ได้เอาติดมาไม่งั้นไม่วิ่งตัดหน้ารถกูหรอก”  มันร่ายยาว “เอางี้ๆ  มึงจำหน้ากูไว้ละกันนะ จำให้แม่นแล้วระลึกถึงกูหลังอาหารเช้ากลางวันเย็นและก่อนนอนว่ากูเป็นผู้มีพระคุณที่ไม่เอาเรื่องเอาความอะไรทั้งๆ ที่มึงทำให้กูเจ็บตัวและทรัพย์สินเสียหายหลายบาทแบบนี้”  อื้อหือ นี่มนุษย์อะไรวะ  ลำเลิกบุญคุณคนอื่นหน้าด้านๆ 

มึงนี่บ้าจริงๆ

ผมได้แต่มองมันแบบงงๆ จะให้ว่าอะไรล่ะ แค่มันไม่เอาเรื่องก็ดีมากแล้ว จะไปด่าว่ามันบ้าก็ไม่ใช่เรื่องหรอก

มันยิ้มอย่างภูมิใจราวกับได้ช่วยคนแก่ข้ามถนน “จดในสมุดความดีได้อีกหนึ่งอย่างแล้วกู คิๆ  มึงนี่เป็นคนดีจริงๆ เลยนะไอ้จ้าว”  ชมตัวเองเป็นตุเป็นตะ เฮ้อ ผมเจอมนุษย์ประหลาดเข้าซะแล้วล่ะ

ผมก็ยังยืนนิ่งดูมันพูดเองเออเองอยู่แบบนั้นจนมันคร่อมรถแล้วสตาร์ท ทดลองขย่มดูรถว่าปกติดีหรือไม่  พอเห็นว่ามีแค่รอยถลอกนิดๆ หน่อยๆ ก็เตรียมออกรถแต่แล้วมันก็หันมามองผม

“จะไปไหน ให้คนดีศรีข้าวจ้าวไปส่งมั้ย”  มันยักคิ้ว

อันที่จริงผมก็อยากไปกับมันนะ  แต่คิดแล้วก็ไม่ดีกว่า ไม่อยากคบหากับใคร อยากอยู่คนเดียว คิดคนเดียว เจ็บคนเดียวแบบนี้น่าจะดีกว่า

“ไม่ดีกว่า มึงไปเถอะ” ผมตอบ

“งั้นก็ตามใจ” มันตอบ

แต่แทนที่จะออกรถ  มันกลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง “อ้อ กูจะบอกหนึ่งในคาถาบูชาความสุขให้มึงฟังเป็นวิทยาทานนะ มันคือ ‘กิริยา 3 ช่าง  ช่างมัน ช่างแม่ง และช่างมึง’ เก็บไว้ท่องเวลาคิดอะไรไม่ออก”  มันนับนิ้วประกอบคำพูด  “ปอลอ..มึงห้ามตายก่อนที่จะได้ตอบแทนบุญคุณกูนะเว้ย ไม่งั้นได้ติดหนี้บุญคุณกันไปยันชาติหน้าชาตินู้นแน่”  มันย้ำ  “คิๆๆ กูนี่หาลูกหนี้ได้เก่งจริงๆ ฉลาดกว่าไอ้จ้าวก็โคนันแล้วละ” ว่าแล้วก็ยิ้มภูมิใจในตัวเองแล้วบิดรถจากไป

เงิบ..

คนแบบนี้ก็มีด้วยเหรอวะ

แต่แม่งก็ฮาดี เอาเถอะ ถ้าเจอกันอีกที กูจะตอบแทนบุญคุณมึงก็แล้วกัน



“ช่างมันช่างแม่งช่างมึง  งั้นเหรอ”  ผมทวนคำที่มันทิ้งท้ายไว้

หึๆ  กูจะพยายามก็แล้วกันนะ ถึงเรื่องของกูมันจะ ‘ช่าง’ ยากเกินไปก็เถอะ



**************************

ต่อข้างล่าง

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
ผ่านไปสองวันที่อาศัยนอนกับเพื่อนคนไทยของแม่ ‘ป้าสีดา’ เป็นเพื่อนในจำนวนไม่กี่คนที่ไว้ใจได้ ในวันแรกพ่อโทรมาหาแต่ไม่ได้บอกให้กลับบ้าน เขาแค่จะเช็คว่าผมอยู่ที่นี่หรือไม่และปลอดภัยหรือเปล่า ซึ่งผมก็รู้ว่าลำพังพ่อน่ะรักผมและเป็นคนดีอยู่พอสมควร  แต่ถูกเสี้ยมถูกเป่าหูซะจนมีเขางอกยาวขึ้นทุกวัน



และความสูญเสียในชีวิตก็เกิดขึ้นอีกครั้ง  ในวันที่สามเมื่อผมกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปทำงานพิเศษ ป้าสีดาบอกข่าวร้ายเรื่องพ่อ  บริษัทล้มละลายและพ่อก็เส้นเลือดในสมองแตก

วูบแรกที่ได้รับรู้คือตัวชาดิก  ถึงจะยังโกรธพ่ออยู่แต่ในใจภาวนาอย่างหนักขออย่าให้เป็นอะไรมาก



ผมรีบโทรกลับบ้านทันที  แม่เลี้ยงแสร้งทำเป็นเศร้าโศกและพูดเหมือนจะโยนความผิดมาให้ผม  ทั้งเรื่องที่พ่อเครียดเพราะผมออกจากบ้านและเรื่องที่ต้องส่งเสียผมเข้าเรียนนานาชาติที่แสนแพงจนทำให้บริษัทไม่ค่อยมีเงิน

ไม่อยากจะพูดว่าใครกันแน่ที่สูบเลือดสูบเนื้อพ่อจนเงินในบริษัทหมุนไม่ทันและล้มละลายในที่สุด  แต่ไม่ว่ายังไงตอนนี้พ่อก็ต้องการกำลังใจ ผมจึงคิดว่าหากอยู่ใกล้ๆ พ่อคงจะรู้สึกดีขึ้น  ทว่าการอยู่ใกล้พ่อก็ต้องแลกกับการต้องอยู่ใกล้ไอ้อีพวกนั้นด้วย  ยิ่งไอ้สตาร์ที่ผมเห็นมันทีไรก็อยากจะฆ่ามันให้ได้ทุกที  ก็ได้แต่ท่องคาถากิริยา 3 ช่างที่ใครบางคนเคยแนะนำไว้..

ช่างมัน 

ช่างแม่ง

ช่างมึง!!

ไม่รู้ทำไมผมจึงคิดถึงไอ้เด็กเกรียนคนนั้นตลอด  จะว่าไปมันก็เหมือนเป็นไอดอลคนนึงของผมนะ ไม่รู้ว่ามันเกิดมาในสิ่งแวดล้อมยังไงถึงได้ดูมีชีวีตชีวาแบบนั้น  ไม่ใช่ว่าชมจนเกินเหตุเพราะถ้าดูกันตามเนื้อผ้า การที่ต้องหักรถหลบผมจนตัวเองเจ็บและรถก็ยังเสียหาย ถึงไม่ได้มากมายแต่ถ้าเป็นคนอื่นก็คงโวยวายด่าทอให้ได้อายกันไปแล้ว  แต่นอกจากมันจะไม่ติดใจ ซ้ำยังให้ข้อคิดดีดีเพราะน่าจะดูออกนั่นแหละว่าผมผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก



หวังว่ากูจะได้ตอบแทนบุญคุณมึงในซักวันนะไอ้เกรียน..



แล้วในวันที่พ่อต้องออกจากโรงพยาบาล  บัญชีธนาคารที่แม่ทิ้งไว้ให้ถูกส่งคืนกลับมาให้ผม 

“น้าก็แค่จะเก็บเอาไว้ให้เพราะเงินมันค่อนข้างเยอะ  นี่ไงล่ะ ยังไม่มีใครเบิกออกมาเลยแม้แต่บาทเดียวนะ”  ก็แน่ละสิ  ผมเป็นเจ้าของบัญชี ถึงจะยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่แม่เลี้ยงก็ไม่ได้เป็นผู้ปกครองโดยตรง  การจะเบิกเงินได้ก็คงต้องทำเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดกเสียก่อน

ผมรับบัญชีมาแล้วเอ่ยถาม “ค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่”  รู้อยู่แล้วว่าคงไม่พ้นผมหรอก 

“สี่หมื่นเจ็ดพัน แต่พอออกไปแล้วก็ต้องจ้างพยาบาลพิเศษดูแล แล้วยังต้องกายภาพบำบัดทุกวันอีก น้าต้องใช้เงินเยอะเลยนะสกาย”  ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นปลิงก็คงเป็นปลิงที่หน้าด้านที่สุด ขนาดว่าเลือดของลูกเหยื่อก็ยังไว้เว้น

“เดี๋ยวผมจะเบิกให้เจ็ดหมื่น  ที่เหลือผมจะเก็บไว้เรียนต่อมหาวิทยาลัย”  อีกสองปีก็จะจบมัธยมแล้ว และผมจะต้องเรียนต่อให้จบมหาวิทยาลัยให้ได้เพราะแม่สั่งไว้ว่าอย่าทิ้งเรียน

“เอางี้มั้ย  น้ามีญาติที่เค้าเป็นโมเดลลิ่งอยู่คนนึง  ถ้าสกายไปทำงานกับเขาก็จะจ่ายค่าดูแลพ่อได้ด้วย แล้วยังหนี้สินที่พ่อทำไว้อีกตั้งเยอะแยะ น้าคนเดียวคงทำไม่ไหวหรอก ไหนจะต้องดูแลคนป่วยและลูกๆ อีก”  อยากจะหัวเราะใส่หน้า  ก็พึ่งบอกว่าจะจ้างพยาบาลพิเศษแล้วจะอ้างว่าดูแลคนป่วยได้ยังไง

น่าขำจริงๆ ผู้หญิงคนนี้

“ถ้ามีงานก็ดี  ผมทำงานด้วยเรียนด้วยก็ได้” อย่างน้อยถ้าหากได้ช่วยพ่อบ้าง ผมก็โอเค



แต่คนเลวก็คือคนเลว  ผมถูกหลอกให้เซ็นสัญญาในระยะเวลาห้าปีกับรายได้เพียงน้อยนิด  50% ของโมเดลลิ่งและอีก 50% ที่มีชื่อของแม่เลี้ยงเข้ามารับผลประโยชน์แทนผม  เพราะสัญญาแผ่นนั้นถูกดึงออกและแสร้งทำเป็นว่าผมอ่านไม่ละเอียด

ตอนนั้นอายุผมยังน้อยและสะเพร่าเกินไปจึงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนเลวที่รวมหัวกันโกง เงินที่ผมได้รับจึงมีแค่เงินเดือนประจำเดือนๆ ละแปดพันบาทถ้าหากว่าสามารถรับงานได้เกินเดือนละห้าหมื่นบาท

ในช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยได้เงินเดือนเพราะงานยังไม่เยอะ  แต่ช่วงหลังเมื่อผมเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น ก็มีเงินเดือนใช้ทุกเดือน ถึงจะแทบไม่พอค่าใช้จ่ายแต่ผมก็พยายามเก็บแล้วเก็บอีกเพิ่มเติมจากเงินที่แม่ทิ้งไว้ให้และเข้ามหาวิทยาลัยได้จนสำเร็จ



 



“เฮ้ย! ปีหนึ่ง! คุณไม่ได้ยินที่ผมสั่งเหรอ!”  เสียงว้ากดังขึ้นใกล้ๆ  ผมคงเหม่อเกินไปจึงไม่ได้ยินว่าเขาให้ตั้งแถวเตรียมกลับบ้าน

“.........” ไม่รู้จะตอบว่าอะไร  อันที่จริงผมได้ยินนะ แต่มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

“ถ้าคิดว่าดังนักก็ไม่ต้องมารับน้องสิ  คุณจะมาถ่วงคนอื่นเขาทำไมถ้าไม่คิดจะทำตามกติกา!”  จะอธิบายยังไงว่าผมตั้งใจมารับน้อง  อยากจะทำทุกอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน อยากจะสัมผัสกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยหรือที่แม่ผมชอบเล่าให้ฟังเสมอเรื่องชีวิตในแคมปัสที่แม่ได้เคยสัมผัสสมัยที่เข้ามหาวิทยาลัย



แม่ครับ  ผมทำได้ไม่ดีเลย  ทำอะไรก็ไม่ดีเลยสักอย่าง..



“เฮ้ย! ขนาดว้ากอยู่อย่างนี้ยังทำเป็นไม่เห็นหัวกันอีก หยิ่งนักหรือไงวะ!!”  เสียงพี่ว้ากคนนี้ไม่ธรรมดาแต่ผมก็ยังเหม่อได้อีก เฮ้อ หัวจิตหัวใจผมมันไม่ไหวจะอยู่บนโลกนี้อีกแล้วนะ

ตอนนี้ถึงจะอยู่บ้านเดียวกับพ่อก็แทบไม่ได้เจอเพราะต้องออกไปแคสงาน เดินแบบ ถ่ายแบบแทบไม่ได้หลับได้นอน  ยังดีที่ผมขู่ว่าถ้ารับงานตรงกับเวลาเรียน ผมจะฟ้องกรมแรงงานหรือหน่วยงานอะไรก็ช่างที่เกี่ยวข้อง ก็ถึงได้ลดหย่อนให้บ้าง

“ในเมื่อเพื่อนของพวกคุณมีปัญหานัก ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน!” 

“โห่...”  เสียงโห่ดังอื้ออึงเพราะไม่พอใจคำตัดสินของพี่ว้าก

“ไม่ต้องบ่น! ถ้าวันนี้พวกคุณทำให้เพื่อนคุณพูดขอโทษ ร้องเพลงและหัวเราะออกมาไม่ได้  ไม่ต้องกลับ!” 

อะไรนะ!! 

“เดี๋ยวครับ” ผมท้วงขึ้น “เรื่องขอโทษ ผมขอโทษได้อยู่แล้วเพราะผมผิดจริง ส่วนเรื่องร้องกับเต้น ผมก็ทำมาตลอดพร้อมกับเพื่อนคนอื่น ถ้าจะให้ทำผมก็ทำได้ แต่เรื่องหัวเราะ ผมว่าสั่งลงโทษผมคนเดียวดีกว่า  เพื่อนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความผิดของผม” 

“เอ่อ พูดก็เป็นนี่นา แล้วที่ผ่านมาอมส้นเข็มอะไรอยู่ว้า”  จะบอกส้นตีนก็กลัวไม่สุภาพสินะ  แต่เสียงนี้ไม่ได้ดังมาจากที่ว้าก มันมาจากกลุ่มเด็กบ้าสามคนที่แทคมือกันอย่างอารมณ์ดี

“พี่เก้งอย่าไปอะไรกับไอ้คนนี้เลยน่า  ถ้าจะให้มันหัวเราะ ผมว่าให้มันร้องไห้ง่ายกว่าอีก”  ไอ้คนนี้ผมจำได้ จำได้ทั้งกลุ่มสามคนนั่นแหละ แต่จำในแบบที่จำไม่สักทีเพราะพวกมันจะถูกแต่งหน้าจัดเต็มมัดผมจุกเป็นสิบจุกและเรียกให้ออกมาเต้นตลอด  ได้ข่าวว่าวันแรกมันเกรียนแตกใส่พี่ว้ากจนโดนลงโทษให้แต่งหน้าก่อนเข้ารับน้องทุกวัน

“เก้งพ่อง! กูชื่อเก่งครับไอ้จ้าว เดี๋ยวเถอะมึง”  พี่ว้ากหันไปชี้หน้า

“อ้าวๆๆ เป็นรุ่นพี่อย่าพูดจาไม่สุภาพกับรุ่นน้องนะคร้าบ ปีนี้กฎมหาลัยเข้มนะพี่  ดูดิๆ ผมอัดเสียงไว้แล้วนะ”  แล้วมันก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดเสียงแล้วชูขึ้นกลางอากาศให้ทุกคนได้ฟัง

อ๊ะ อื้อ อ๊า อ๊ะ อื้อ อ๊าส์ ซี๊ดดด..

ทุกคนอึ้งตะลึงไปกับเสียงที่ได้ยิน  ผมเองก็เช่นกัน

ไอ้ห่านี่เกรียนสุดๆ

“โอ๊ะ โทษๆ ผมเปิดผิดคลิป”  ไอ้เกรียนรีบลดแขนลงแล้วรีบปิดคลิปอย่างลนลาน

ไอ้เพื่อนสองคนที่ยืนข้างๆ ตบหัวมันคนละที  ส่วนคนอื่นหัวเราะกันงอหาย

ผมเองก็..  เผลอยิ้มออกมาซะอย่างนั้น

“เฮ้ยๆ หัวเราะแล้วเว้ย นั่นๆๆ”  ไอ้เกรียนชี้มาที่ผมแล้วโดดเหยงๆ  “เย้! พวกเรา เลิกแถว กลับบ้านได้ GO GO GO!!”  มันพูดแค่นั้นแล้วก้มหยิบสัมภาระที่วางเรี่ยราดบนพื้นพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน  ส่วนคนอื่นๆ พอเห็นแบบนั้นก็พากันแตกฮือหัวเราะกันคิกคัก

“เฮ้ย!ใช่ที่ไหนเนี่ย มันแค่ยิ้มยังไม่ได้หัวเราะซะหน่อย ไอ้จ้าว มึงกวนตีนนักนะ กลับมานี่เดี๋ยวนี้  ไอ้พวกเด็กปีหนึ่ง กลับมา!!”  พี่ว้ากโวยวายชี้หน้าไอ้เกรียน

แต่มันก็หาได้กลัวไม่  “พี่เหมียวๆ  พี่ว้ากพี่เก้งเป็นลมบ้าหมูไปแล้ว เลือดขึ้นหน้าใหญ่เลย ไปช่วยปฐมพยาบาลหน่อยคร้าบบบ”  มันตะโกนเรียกหน่วยพยาบาลคนสวย รู้สึกว่าพี่คนนี้จะเป็นคนที่พี่ว้ากชื่อเก่งกำลังจีบอยู่  และก็ได้ผล พี่เหมียวถือกล่องพยาบาลวิ่งเข้ามา ทำให้พี่ว้ากยืนนิ่งรอและไม่ได้สนใจจะไล่จับไอ้เกรียนนั่นอีก

“ไอ้เหี้ยจ้าว พรุ่งนี้มึงโดนหนักแน่”  พี่ว้ากชี้หน้าไอ้เกรียนอย่างคาดโทษ แต่แทนที่มันจะสลด มันกลับอาศัยช่วงชุลมุนเดินวกกลับมาใกล้แล้ว..

“เฮ้ย!!”  ผมตกใจที่อยู่ๆ ก็ถูกฉุดข้อมืออย่างแรงให้วิ่งออกจากตรงนั้น

“มึงจะยืนรอให้พ่อมึงว้ากต่อหรือไงเนี่ย วิ่งสิวิ่ง!!”  มันฉุดผมวิ่งตามไอ้สองคนที่วิ่งนำไปก่อน  ตัวก็เล็กกว่าแต่ดูเหมือนจะแข็งแรงน่าดู





แฮ่กๆๆ แฮ่กๆๆ  เมื่อวิ่งมาได้สักพัก มันก็ปล่อยมือแล้วยืนหอบตัวโก่งตัวงอพร้อมกับอีกสองคนที่วิ่งนำมาก่อน

ไอ้คนหนึ่งตบหัวมันเป็นการใหญ่ “ไอ้เหี้ยจ้าว ไอ้เพื่อนเลว  พรุ่งนี้พี่เก่งลงโทษทั้งกลุ่มแน่ มึงนี่มันจอมหาเรื่องจริงๆ” 

ตุบตับ ตุบตับ ตุบตับ

ไอ้เกรียนมันยังคงหอบไม่หายแต่ต้องยกมือปัดป้องไม่ให้ตัวเองโดนลงโทษ  เห็นแล้วรู้สึกสังเวชเบาๆ

“หยุ๊ดดดดดดด” มันร้องออกมาในที่สุด “เหี้ยเดย์!! มึงจะตบให้สมองกูใหญ่เหมือนเค้าไปตบนมให้ใหญ่หรือไงวะ!!”  มันทำหน้าขึงขัง  แต่แล้วก็ทำหน้าเกรียนเหมือนเดิม “แต่สมองใหญ่ก็ดีนะ กูจะได้ฉลาดกว่านี้อีกหน่อย” 

“ถึงสมองมึงจะใหญ่แต่ข้างในกลวงก็ไม่มีประโยชน์ไอ้จ้าว”  เพื่อนมันด่า

“มึงอย่าปากดีไอ้เดย์ ไอ้ไนท์เพื่อนรักของมึงก็ไม่ได้โง่น้อยกว่ากูเหอะ”  ไอ้เกรียนทำหน้างอ พยักเพยิดหน้าไปทางอีกคนที่ยืนมองคนนั้นคนนี้สลับกันไปมา

แล้วไอ้อีกคนก็ถามขึ้น “ไอ้จ้าวมันด่าหรือชมกูวะเดย์”  นี่ฟังไม่ออกเหรอว่ากำลังโดนด่า  ถามหน้าซื่อๆ เลยนะ

“มันด่าครับไนท์  ด่าเจ็บด้วย”  อีกคนอธิบาย จากนั้นไอ้คนที่โดนด่าก็ตบหัวไอ้เกรียนสองที

“ด่ากูทำไม! กูทำอะไรให้มึง!”  ไอ้เกรียนลูบหัวป้อยๆ

“ถามจริงเหอะไอ้ไนท์ ถ้าไอ้เดย์มันหลอกว่ากูชม มึงจะตบกูมั้ย” 

“ตบ” 

“อ้าว ทำไมงั้นอะ”  ไอ้เกรียนโวยวาย

“ก็คนอย่างมึงไม่ชมใครหรอก อย่างดีสุดก็แซะ อย่างเลวสุดก็ด่าซึ่งๆ หน้าแล้วทำเหมือนว่ามึงชม ใช่มั้ยเดย์”  ตอนแรกก็เหมือนมั่นใจ แต่แล้วก็หันไปถามอีกคนซะงั้น

“ใช่ครับ มึงนี่เก่งขึ้นทุกวันเลย กูโคตรภูมิใจ”

“ทีไอ้ไนท์ทำอะไรก็ดีงาม ทีกู ทำอะไรก็โดนด่า”  ไอ้เกรียนบ่นแล้วจู่ๆ ก็หันมาหาผม  “เอ้อๆ  กูพาเสาหินมาด้วยนี่หว่า ลืมแม่งไปเลย”   

เสาหิน?? 

“เออ มึงนั่นแหละไอ้เสาหิน ทำหน้างงทำไม  ทำหน้าให้มันมันๆ หน่อย”  แล้วมันก็เต้นเหมือนในโฆษณา  อีกสองคนก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่

ไอ้บ้าพวกนี้มันอะไรกัน?

“เอ่อ ฮาว่ะ มุขนี้ฮา”  แล้วมันก็แท็กมือกันทั้งสามคน

“ไอ้เสาหินนี่มันเสาหินจริงๆ เลยว่ะ มุขกูฮาขนาดนี้แม่งยังไม่ขำ เฮ้อ  กูจะทำไงกับมึงดีวะเนี่ย”  ไอ้เกรียนบ่น

ถามว่าผมต้องทำไง  ก็ไม่รู้สิ  ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนมองพวกนี้เล่นจำอวดกันไปเรื่อยๆ

“ทำไงไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าตอนนี้กูกับไอ้ไนท์ต้องกลับแล้ว  ไอ้ห่านี่เค้ามีนัดกินข้าวกับแฟน”  คนที่ชื่อเดย์บอกแล้วทำหน้าหมั่นไส้ใส่ไอ้คนชื่อไนท์

"ไม่ใช่แฟนเว้ย บอกกี่ครั้งแล้วว่ากูไม่ได้ตกลงเป็นแฟนใคร”  ไอ้คนชื่อไนท์บ่น 

“เออๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไปกันเถอะเดี๋ยวถ้าสายจะมาโทษกูอีก” 

“ก็มึงชอบชวนกูเถลไถล  ไปนัดสายทุกที”  แล้วมันสองคนก็บ่นกันงุ้งงิ้งๆ  ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป



“เอ้อ! ดีครับดี!  ไม่มีใครร่ำลากูเล้ยย  รักกูมากกกกกก ใช่ซี้ กูมันเพื่อนมาทีหลัง พวกมึงมันคบกันมาก่อนนี่!!”  ไอ้เกรียนบ่นกระปอดกระแปด

ผมเองก็กำลังจะหันหลังเดินออกมาแต่มันก็เรียกเอาไว้ “เอ้อดี!! ไอ้ห่านี่ก็ไปไม่ร่ำไม่ลาอีกคนละ ทั้งเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่ ทำอย่างกับกูเป็นหัวหลักหัวตอ เฮ้อ ชีวิตไอ้จ้าว ช่างน่าสงสารจริงจริ๊งงงงง”  ผมชะงักกึก

ไม่ใช่เพราะมันแกล้งดราม่า แต่เป็นเพราะคำว่า ‘เพื่อนใหม่’  นี่มันนับว่าผมเป็นเพื่อน ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้คุยด้วยสักคำงั้นเหรอ  คนแบบนี้ผมคุ้นๆ ว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ  คลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน  แต่ก็จำไม่ได้เพราะใบหน้าที่มีแต่เครื่องสำอางทั้งม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดงเต็มไม่หมดแถมยังมีเส้นผมที่ถูกมัดจุกมากกว่าสิบจุกจึงทำให้ไม่เหลือเค้าหน้าเดิมให้คุ้นเอาซะเลย

“มึงต้องเลี้ยงข้าวกู”  ผมกำลังจะเดินต่อ แต่มันก็พูดขึ้น

หันไปมองแล้วถามอย่างงงๆ  “เลี้ยงข้าว?”

“เออ เลี้ยงข้าว เพราะมึงติดหนี้บุญคุณกู”  หนี้บุญคุณงั้นเหรอ

มันเป็นคนที่ผมเคยวิ่งตัดหน้ารถเหรอ  ทำไมโลกมันกลมจัง 

ผมกำลังจะเอ่ยถามว่ามันเป็นคนเดียวกันหรือไม่ แต่มันก็พูดขึ้นก่อน  “กูช่วยมึงไม่ให้โดนเพื่อนเกลียดเพราะพี่เก่งจะลงโทษทุกคน เพราะฉะนั้นมึงต้องเลี้ยงข้าวกูเป็นการตอบแทน”

ผมได้แต่อึ้ง เรื่องแค่นี้ก็ถือเป็นบุญคุณด้วยเหรอ แต่ก็ขี้เกียจจะเถียงและตอนนี้ผมก็หิวข้าวแล้วด้วย  ไอ้เกรียนมันไม่รอฟังว่าผมจะตอบรับหรือปฏิเสธ มันดึงชายเสื้อผมให้ตามไปหน้าตาเฉย


**********

ต่อข้างล่าง

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
ระหว่างที่เดินใกล้จะถึงร้านอาหารตามสั่งแถวหน้ามหาวิทยาลัย ไอ้เกรียนก็พูดขึ้น  “กูจะบอกให้นะ ถ้ามึงฝากตัวเป็นศิษย์กูซะตั้งแต่วันนี้และจ่ายเงินค่าคุ้มครองเดือนละสองร้อย มึงจะอยู่ในมหาลัยนี้อย่างคลาดแคล้วสะดวกโยธิน” 

ผมว่าน่าจะทำให้ชีวิตวุ่นวายมากกว่านะ  ตั้งแต่เดินมาตลอดทาง มีแต่คนหันมาทักและหัวเราะใส่มันแล้วพูดคล้ายๆ กันประมาณว่า  ‘ดูหน้ามัน ไอ้จ้าวนี่แม่ง’  หรือไม่ก็  ‘นี่ไงไอ้จ้าวที่บ้าๆ บอๆ’  หรือหนักสุดก็ ‘ถ้าโดนตัวมึงแล้วจะคันมั้ยวะข้าวจ้าว’

ผมได้แต่นึกขำว่าไอ้เกรียนมันก็กว้างขวางเป็นที่รู้จักไปทั่ว แต่มีชื่อเสียงในแบบนี้ต๊องๆ มากกว่า

หนึ่งอย่างที่ติดใจตั้งแต่ตอนอยู่ในแถวก็คือชื่อของมัน ‘ข้าวจ้าว’ เหมือนคุ้นๆ แต่ผมก็จำไม่ได้ จำชื่อไอ้เกรียนคนแรกก็ไม่ได้ นึกยังไงก็นึกไม่ออก

“หน้าอย่างเนี้ยนะจะคุ้มครองใครได้ สู้ได้ก็แค่เด็กประถมล่ะมั้ง” ผมปรามาส

“อ้าวๆๆๆ  ไอ้ห่านี่ มึงไม่รู้อะไร บอกไว้เลยนะว่าทั่นจ้าวไม่เคยสู้คน”  ผมทำหน้างง ตอนแรกก็นึกว่าจะอวดว่าสู้เก่ง  “ก็ถ้ากูสู้คนนะ กูตายไปนานแล้ว คิกๆๆ”  เกลียดไอ้ห่านี่จริง  ทำไมมันชอบขำมุขตัวเอง

แต่ให้ตายสิ ผมดันเผลอยิ้มกับลักษณะนิสัยแบบนี้ของมันซะนี่

เหมือนกันเลยนะ เหมือนไอ้เกรียนคนนั้นมากๆ 

“กูไม่ต้องการให้ใครคุ้มครองซะหน่อย อยู่ในมหาวิทยาลัยไม่ใช่สงครามกลางเมือง”   พูดกูเต็มปากเต็มคำเพราะไม่มีสรรพนามไหนเหมาะกับมันได้เท่ากูมึงอีกแล้ว     

“มึงไม่รู้อะไร”  มันย้อน “ที่กูบอกว่ากูจะคุ้มครองน่ะ กูจะคุ้มครองต่อมอารมณ์ดีของมึงตะหาก รับรองว่ามึงจะได้หัวเราะวันละสองครั้งเป็นอย่างต่ำ ถ้าให้กูคุ้มครอง”

“แล้วทำไมกูต้องหัวเราะด้วยล่ะ”

มันทำหน้าเหนื่อยใจแล้วจ้องผมจริงจัง  “มึงมองตากูนะ แล้วพูดว่า ‘กูเป็นเสาหินแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว กูมีความสุ้ขมีความสุข’  ถ้ามึงพูดได้เต็มปากโดยไม่รู้สึกขัดแย้ง มึงก็ไม่ต้องให้กูคุ้มครอง”  ผมนิ่งอึ้งเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าถ้าพูดออกมามันก็แค่คำโป้ปดเพียงเท่านั้น 

เพราะชีวิตทุกวันนี้ไม่มีแม้แต่ความหวัง ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรเป็นแรงจูงใจให้มีชีวิตอยู่เลยแม้แต่น้อย



เมื่อมันเห็นว่าผมไม่พูด  มันก็เกลี้ยกล่อมต่อ  “เห็นมั้ยล่ะ มึงก็พูดไม่ได้...เอางี้นะ ถ้ามึงไม่เชื่อ กูจะให้ทดลองใช้บริการก่อนก็ได้  ถ้ามึงไม่ติดใจกูภายในสามวันเจ็ดวัน กูจะเลี้ยงข้าวเลยเอ๊า”  สายตามันดูจริงจังจนผมต้องมองนิ่ง

อยากทำให้คนอื่นมีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอวะ  มึงใจดีเกินไปหรือเปล่า..

แต่แล้ว..  “ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นไคร จะผ่านอะไรมา ขอจงอย่าเป็นกังวล นี่คือคนของเธอ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไร ต่อจากนี้ไปฉันจะอยู่ดูแลเธอ แค่จ่ายตังค์มาสองร้อยยยยย”  มันแหกปากร้องเพลงลั่นร้านอาหารตามสั่งจนผมต้องรีบยืนขึ้นแล้วชะโงกไปปิดปากมัน

“เฮ้ย! อายเค้า มึงจะร้องเสียงดังทำไมวะเนี่ย!”  แต่ไอ้เกรียนก็ยังไม่หยุดร้อง มันร้องทั้งๆ ที่ถูกปิดปากจนทั้งข้าวทั้งน้ำลายเปรอะมือผมไปหมด  “อี๋ ทำไมซกม๊กงี้วะ”  ผมสะบัดมือแล้วดึงกระดาษทิชชูมาเช็ด

“ใช่ๆ มือมึงโคตรสกปรก”  มันดึงกระดาษไปเช็ดปาก

“ปากมึงนั่นแหละสกปรก!” แหวกลับใส่มันอย่างหัวเสีย

“เย้ๆ ตบมุขให้กูด้วย”  มันทำท่าดีใจ “ตอนนี้มึงได้ผ่านการทดสอบการเป็นเพื่อนกูแล้วนะ  มาๆ นั่งๆๆ มื้อนี้มึงเลี้ยงเอง”  มันดึงผมให้นั่งตามเดิม

ไอ้ห่านี่ผีเข้าผีออก คุยเรื่องนั้นอยู่ดีดีแม่งก็เปลี่ยนเรื่องซะเฉยๆ   แล้วไอ้คำสุดท้ายที่พูดน่ะ มันทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้แฮะ

“ที่จริงต้องพูดว่ามึงเลี้ยงไม่ใช่เหรอวะ”   ผมถาม

“ก็ใช่ไง มึงเลี้ยง เอาเลยๆ กินเต็มที่ มื้อนี้มึงเลี้ยง”  เอ๊า ไอ้ห่านี่ยังไง เกรียนฉิบหายเลย

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจแล้วปลงอนิจจัง  มองมันแล้วถอนใจอีกครั้งก่อนจะตักข้าวกินเพราะไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย

“ถ้าว่างๆ ขอยืมตัวไปถอนหญ้าที่บ้านหน่อยนะ”  มันเคี้ยวเต็มปากแต่ก็ยังฝืนพูด

“ถอนหญ้า? ทำไมกูต้องไป” 

“ก็เห็นถอนหายใจเก่ง เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ  ถอนเก่งแบบนี้หญ้าแถวบ้านกูเหี้ยนทั้งบางแน่” ว่าแล้วก็ยักคิ้วจ้วงข้าวเข้าปากต่อไป

ผมมองมันอย่างจริงจัง  ไม่ใช่แค่เกรียน แม่งยังกวนตีนขั้นสูงสุด  อยากลุกถีบซักเปรี้ยงแต่แล้วก็ต้องหยุดคิดที่จะทำร้ายร่างกายมันเพราะคำพูดที่สะดุดหู

“มึงยังท่องกริยา 3 ช่าง ที่กูเคยสอนให้อยู่มั้ย”  ผมมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์  สามช่างที่มันว่า จนป่านนี้ผมก็ยังเก็บเอาไว้เป็นคาถาจัดการกับพวกคนเลวไม่ให้พวกมันทำให้ผมต้องเครียดกว่าที่เป็นอยู่ 

“มึง..” ผมชี้หน้ามัน

แต่มันพูดสวนขึ้น “มึงติดหนี้บุญคุณกูสองครั้งแล้วนะ  เพราะฉะนั้น มึงต้องตอบแทนบุญคุณกูด้วยการเป็นเพื่อนกัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”  ได้แต่อึ้งแล้วอึ้งอีก  ไม่น่าเชื่อว่าโลกจะกลมขนาดนี้  คนที่ผมนึกถึงบ่อยๆ  คำพูดที่ผมยึดเอาเป็นคาถาประจำตัว แล้ววันนี้ก็ยังทำให้ผมยิ้มตั้งสองครั้ง

 

“แต่ก่อนอื่น เพื่อนใหม่จ่ายตังค์ค่าข้าวก่อนนะ อ้อ จ่ายที่กูสั่งใส่ห่อกลับบ้านด้วย  กลับค่ำแบบนี้เหงี่ยมชอบเก็บอาหารเข้าตู้เย็น กูขี้เกียจอุ่น”  เอ๊า  ก็ที่กินพึ่งเสร็จมันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ  แล้วยังจะห่อกลับทำไมวะเนี่ย  “เอาน่า  อย่าขี้หวงดิ  เป็นเพื่อนกัน ขอกันกินเยอะกว่านี้อีก”  มันตบบ่าผมแล้วรับข้าวกล่องที่เขาเอามาส่งพอดี จากนั้นก็เดินออกจากร้านพร้อมคำสั่ง “รีบจ่ายตังค์แล้วตามมา เดี๋ยวกูไปส่ง” 

มันรู้เหรอว่าผมนั่งรถเมล์มา  หรือว่าแค่เดา



จนแล้วจนรอด ผมก็ได้แค่ทำตามคำสั่ง วิ่งตามก้นมันไปติดๆ  “มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่มีรถ”

มันหยุดแล้วหันมามอง “กระเป๋ามึงอยู่ไหน” จู่ๆ ก็ถามหากระเป๋า

“ไม่มี”  ช่วงนี้ยังไม่ค่อยได้เรียนอะไร แค่วิ่งทำเรื่องนั้นเรื่องนี้แถมยังต้องทำกิจกรรมรับน้องก็แทบไม่มีเวลาแล้วจะเอากระเป๋ามาทำไม

“ในกระเป๋ากางเกงก็มีแต่กระเป๋าตังค์  โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี  กุญแจรถก็ไม่มี  อย่าบอกว่ารถมึงใช้สแกนม่านตานะ มันจะล้ำเกินหน้าไปหน่อย” 

“เห็นหน้าโง่ๆ ก็ฉลาดเหมือนกันนี่”  เป็นครั้งแรกที่ผมพูดย้อนคนอื่น  อย่าว่าแต่ย้อนแค่คุยด้วยยังนับคำได้  ไอ้เกรียนนี่มันค่อยๆ ละลายพฤติกรรมของผมขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ

“เห็นเป็นเสาหินแบบนี้ก็แซะเป็นเหมือนกันนี่”  มันย้อนศรใส่แล้วยืนยิ้มแยกเขี้ยวเห็นฟันทั้งปาก “กูชื่อข้าวจ้าว แต่จะเรียกท่านจ้าวหรือเทพจ้าวก็ได้ กูชอบให้คนยกย่องสรรเสริญ”  ผมเกือบหลุดขำเมื่อมันพูดหน้าตาย  “ส่วนมึง จะให้กูเรียกชื่อหรือจะให้เรียกเสาหินต่อไปก็แล้วแต่มึงนะ” 

ผมมองมันอย่างหลากหลายอารมณ์  ทั้งขำทั้งหมั่นไส้ อยากเตะตัดขาสักทีสกัดความมั่นหน้าของมัน

“กูชื่อสกาย” ในที่สุดก็บอกชื่อออกไป  “หวังว่าคบกับมึงแล้วกูคงไม่ต้องไปอยู่ศรีธัญญาวันนี้พรุ่งนี้หรอกนะ” 

“อั้ยย่ะ ปากคอเลาะร้ายว่ะ  มึงไม่รู้อะไร อยู่ที่นั่นกูเป็นหมอนะเว้ย แต่บางวันก็เป็นพยาบาล เป็นพริตตี้ก็บ่อย มันแล้วแต่ว่าพวกเพื่อนๆ เค้าจะเรียกเป็นอะไร ฮ่าๆๆๆ  กูนี่ฮาไอ้จ้าวจริงๆ”  ชมและขำมุขตัวเองอีกแล้ว เฮ้อออ





ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การไปเรียนทุกครั้งก็เหมือนการได้ขึ้นสวรรค์  ชีวิตผมเปลี่ยนไปตั้งแต่มีไอ้เกรียนเป็นเพื่อน   มันคอยเป็นตัวเชื่อมระหว่างผมกับอีกสองคนซึ่งไอ้เดย์ไอ้ไนท์ก็ไม่เต็มพอๆ กันนั่นแหละ มันก็เลยไม่ค่อยมีปัญที่จะมาคบกับผม



และแล้วในวันหนึ่ง  วันที่ผมรู้ใจตัวเองอย่างถ่องแท้ว่าได้หลงรักเพื่อนเกรียนสุดเพี้ยนคนนี้มากขนาดไหน

“ซื้อเกาเหลามาสองถุง กับเบนโตะเยอะๆ น้ำแข็งไม่ต้อง กูแข็งเองได้ กร้ากกกก”   ไอ้จ้าวขี้เมาสั่งซื้อกับแกล้ม

วันนี้สอบไฟนอลวันสุดท้ายของปีหนึ่งเทอมหนึ่ง  เราสี่คนจึงมานั่งกินเหล้าฉลองสอบเสร็จกันที่หอเดย์ไนท์  และตอนนี้ก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้วแต่ไอ้ขี้เมาบอกว่ายังอยากกินต่อ

“สั่งอย่างกับเสี่ยแต่ไอ้เหี้ยเสือกไม่จ่ายตังค์”  ไอ้เดย์บ่น

“อ้าวๆๆๆ พูดแบบนี้ไม่สวยนะเว้ย  มึงรู้มั้ยนี่ห้องใคร” ไอ้จ้าวทำท่าฮึดฮัด

“ห้องกู”  << ไอ้เดย์

“นี่เหล้าใคร”

“เหล้ากู”  << ไอ้ไนท์

“กับแกล้มใคร”

“แกล้มกู” << ผมเอง

“กูก็ไม่เถียง! แต่พวกมึงดูนี่ นี่ไง นี่แก้มกู  ก้ากกกก”  << ไอ้เกรียนจ้าวชี้แก้มตัวเอง

“เรื่องแถเรื่องมั่วขอให้บอก ตลกแดกไปวันๆ”  ไอ้เดย์บ่นอีก  “แล้วมึงเอาไรป่าววะกาย  แดกแต่เหล้า กับไม่แตะ  บรรพบุรุษมึงเป็นจี้กงหรือไง”

“ไอ้ห่า จี้กงนั่นมันถูขี้ไคลไม่ใช่เหร้อ”  ถึงจะเมาก็ยังจำได้แฮะ  “ที่ถูขี้ไคลในสปาแล้วร้องอื้ออ้าเหมือนในหนังแผ่นที่เราดูกันเมื่อวานอะ”  เฮ้อ เมื่อไหร่ผมจะเลิกมองมันในแง่ดีเกินไปแบบนี้ซะทีนะ

“มึงรีบไปเถอะไอ้เดย์ไอ้ไนท์ มัวเถียงกับไอ้เรื้อนนี่อีกสิบปีก็ยังไม่ได้ไปหรอก”  ผมไล่

“งั้นก็ดูมันดีดีนะเว้ย  เมาคราวก่อนก็ไปกินของเซ่นเจ้าที่หอกู หาว่าเป็นร้านบุพเฟ่อาหารจีน ไอ้สัดนี่วอนโดนหักคอตลอด” 

“เออๆ กูจะไม่ให้คลาดสายตาเลย”  ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาดื่มกับพวกมัน  ปกติไม่ค่อยว่างนักหรอกเพราะต้องรับงานตลอด  เคยได้ยินกิติศัพท์ว่าไอ้จ้าวมันรื้อนเวลาเมา ก็คิดว่าจะเล็กน้อย ที่ไหนได้  แม่งโคตรของโคตรเรื้อนเลยละ

อันที่จริงมันก็ไม่ได้คออ่อนนะ แต่แม่งกระดกเร็วทีเดียวหมดแก้วตลอด  แถมยังชนถี่ยกถี่ ถ้าใครไม่ชนแม่งก็ชนกับมือตัวเองแล้วกระดกอั่กอั่กเหมือนสามล้อถูกหวย



ผ่านไปอีกสี่ห้าแก้ว  ตามันก็เยิ้มๆ ลอยๆ เสียงเริ่มขึ้นจมูก หน้าแดง คอแดง ปากแดงแถมยังดูเจ่อๆ เผยอออกตลอดเวลา  “ร้อนว่ะแม่ง  เมื่อไหร่จะถึงคิวซะทีวะ”  อยู่ๆ ก็บ่นร้อนแล้วจับคอเสื้อนักศึกษาไปมาแล้วปลดกระดุมเม็ดบนออก

“คิวอะไรของมึง” ตอนแรกนึกว่ามันพูดถึงไอ้เดย์ไนท์ที่ต้องไปต่อคิวซื้อกับแกล้ม 

“คิวพบท่านยมไง ก็ข้าเป็นวิญญาณที่กำลังต่อคิวเพื่อรอตัดสินโทษว่าจะต้องไปลงนรกขุมไหนไงวะ”

“เพ้อสุดอะไรสุด”  ผมบ่นพลางส่ายหัว

“เพ้อห่าไร  นรกมีจริงนะเว้ย”  แล้วมันก็ลุกขึ้นแล้วร้องพร้อมกับทำท่าทางประกอบตามเนื้อเพลง  “พิภพมัจจุราช ใครถึงฆาตดับชีวี สุวรรณตรวจดูบัญชี ถ้าทําดีให้ไปสวรรค์ ทําชั่วพระยมว่าไง ข้าฯส่งลงไปนรกโลกันต์นะสิ ต้นงิ้วกระทะทองแดง เอาหอกแหลมแทง ทุกวัน ทุกวัน แฮ่!!”  ร้องจบแล้วก็แยกขาออกร้องแฮ่เหมือนที่พวกตลกชอบทำกัน  ผมอดไม่ได้ก็หัวเราะไอ้ผีบ้าจ้าวจนตัวโยน

“พอเหอะมึง ทำตัวติงต๊องไปทุกวี่ทุกวัน ไอ้บ้านี่”  หัวเราะเสร็จก็ดุมันเพราะเห็นท่าว่ายังมีอาการแปลกๆ

“ร้อนว่ะ  นรกนี่ร้อนฉิบหาย  รู้งี้ตอนตายกูตายในน้ำดีกว่าไม่น่าตายคาอกน้องพิมพ์ฐาเลยว่ะ”  ยิ่งพูดยิ่งเลอะ  ผมพยายามไล่คว้ามือมันเพื่อฉุดให้ลงมานั่งดีดีแต่แม่งก็หนีตลอด

“ไม่ไหวละ ร้อนๆๆๆๆ” บ่นพลางปลดกระดุมเสื้อออกทั้งแผงแล้วถอดออก แค่นั้นยังไม่พอ แม่งยังปลดเข็มขัดแล้วถอดกางเกงนักศึกษาออกจนเหลือแต่บ็อกเซอร์

“เฮ้ย! อะไรของมึงไอ้จ้าว”  ผมไม่ได้อะไรกับที่มันถอดหรอกนะ แต่ท่าทางมันแปลกๆ  เหมือนอยู่ในนิมิตของตัวเองแบบหลุดโลกไปแล้ว ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงผมด้วยซ้ำ

“อ้าว มึงไม่ร้อนเหรอไอ้วิญญาณเร่ร่อน ถอดเสื้อผ้าออกสิ”  เอาละสิ  หันมาชี้หน้าผมแล้วพูดจาแปลกๆ 

“ม..ไม่ร้อน กูไม่ร้อน”  ตอบพลางถอยหนีไปเรื่อยๆ จนต้องลุกยืนเมื่อหลังชนขอบเตียงเมื่อมันย่างสามขุมเข้ามาใกล้เรื่อย

“เหยร้อนสิ มึงต้องร้อน  ถึงตอนนี้ยังไม่ร้อนแต่เดี๋ยวลงกระทะทองแดงมึงก็ต้องถอด”  มันพุ่งเข้าประชิดตัวแล้วกดตัวผมให้นั่งลงบนเตียงและพยายามแกะกระดุมเสื้อให้

“จ้าว มึงอย่าบ้า ปล่อยสิไอ้จ้าว!”  พยายามปัดไม้ปัดมือมันแต่ก็ไม่กล้าทำรุนแรงเพราะผมค่อนข้างถนอมมันอยู่พอสมควร ก็มันเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดของผมนี่นะ

ตอนแรกก็คิดแค่นั้น..



“ไม่เอาไม่ปล่อย ถอดๆ ถอดสิ ถอดเป็นเพื่อนกันไง น้าา”  มันทำหน้าอ้อน  ตามันเยิ้มอยู่แล้วพอมองมาแบบเว้าวอนก็ยิ่งแปลกตา  “เปลี่ยนกันถอดก็ได้ นะ นะ”  มือทั้งสองข้างของผมถูกดึงไปแหมะอยู่ที่ขอบบ็อกเซอร์ของมัน  วูบแรกคือตกใจ  วูบต่อมาคือใจเต้นผิดจังหวะเมื่อมันกดมือผมพยายามจะให้รูดขอบกางเกงมันลงแถมยังขยับตัวเข้าหาจนหน้าอกแทบจะเบียดจมูก

“จ..จ้าว มึงอย่าทำแบบนี้”  แปลกใจเสียงตัวเองที่แผ่วเบาไม่ได้หนักแน่นพอที่จะทำให้คนตรงหน้าถอยออกไป

“ถอดนะ ถอดเป็นเพื่อนกันไง ไม่อยากเป็นเพื่อนจ้าวเหรอ”  มันละมือที่ประกบมือผมขึ้นประคองหน้าให้เงยขึ้นสบตากับมัน แถมยังเอียงคอยิ้มบางๆ เหมือนกำลังยั่วอย่างนั้นแหละ

“........”  ในหัวมันตื้อไปหมด พูดอะไรไม่ออก มือก็ยังคงคาอยู่ที่ขอบบ็อกเซอร์ของมัน  อยากจะดึงมือกลับมาแต่ร่างกายไม่ทำตาม  ได้แต่มองจ้องหน้าจ้องปากมันอยู่อย่างนั้น

“งั้นจ้าวถอดให้นะ”  ปลายนิ้วอุ่นๆ ของมันระไปตามต้นคอแล้วเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผม  รอยยิ้มเอาแต่ใจของมันผุดขึ้นเมื่อไม่ถูกปฏิเสธ 

ผมปล่อยให้มันแกะกระดุมไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกันเพราะมันต้องก้มลงปลดกระดุมเม็ดสุดท้าย  “จะถอดกางเกงเอง หรือให้จ้าวถอด”  ไม่ได้ถามเฉยๆ แต่มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับต้นคอของผมส่วนอีกข้างเลื่อนไปแตะอยู่ตรงหัวเข็มขัดรอไว้แล้ว

ใบหน้าที่จ่ออยู่ไม่ถึงคืบ ทั้งอ้อน ทั้งยั่ว แถมยังทำเหมือนตั้งใจพ่นกลิ่นแอลกอฮอล์ใส่หน้าผมซะอีก

“จ้าว..”  ผมพูดได้แค่นั้น  เรียกชื่อมันด้วยเสียงแหบปร่า 

หัวใจเต้นระรัวรับรู้ถึงความรู้สึกลึกๆ ที่ระเบิดอยู่ข้างใน 

เราจ้องตากันอยู่นาน  จ้าวไม่ถอยหนี ส่วนผมก็ค่อยๆ ดึงรั้งสะโพกของมันเข้ามาใกล้ขึ้นอีก 

ภาพทุกภาพที่เคยประทับใจไหลวนอยู่ในจินตภาพแบบฉากต่อฉาก  รอยยิ้ม เสียงหัวเราะและเรื่องราวต่างๆ รวมตัวเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความรู้สึกปั่นป่วนราวกับกำลังเล่นรถไฟเหาะที่สูงเสียดฟ้า

ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดกันแรงขึ้น  ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลย  ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย  จ้าวเป็นคนแรกที่ทำให้เกิดอาการหวั่นไหวได้ถึงขนาดนี้ 



ไม่ใช่แค่หวั่นไหว



แต่คงเป็นความรัก..



ผ ม รั ก จ้ า ว



เมื่อแน่ชัดในความรู้สึก ผมค่อยๆ ยืดตัวขึ้นเพื่อตั้งใจมอบจูบแรกให้มัน  และแล้วปลายจมูกก็ชนกันเบาๆ ผมขยับหน้าเล็กน้อยแค่นั้นหัวใจก็เต้นโครมครามแล้ว 



กูรักมึงนะจ้าว..



แต่ในขณะที่ริมฝีปากกำลังจะเบียดชิด  เสียงกุกกักที่หน้าประตูก็ดังขึ้น

แกร้ก!!!

ผมดันตัวจ้าวออกไปแล้วรีบดึงสติให้กลับมา “ใส่เสื้อผ้าไอ้จ้าว!” สั่งเสียงเรียบแล้วมองหาเสื้อของตัวเองพลางหยิบมาใส่ติดกระดุมอย่างรวดเร็ว

“ไม่ใส่สิ ไม่เอา ถอดๆๆ เมื่อกี้ยังไม่ดื้อเลย ตอนนี้ทำไมดื้อ ห้ามดื้อสิ จ้าวไม่ชอบคนดื้อนะ”  มันงอแงจะถอดเสื้อผมออกอีกครั้งให้ได้



แอ้ด..

เสียงประตูเปิดและไอ้เดย์ไอ้ไนท์เข้ามา ต่างพากันตกใจกับภาพที่เห็น

“เกิดอะไรขึ้นวะนั่นน่ะ”  ไอ้เดย์เดินเร็วเข้ามาดึงไอ้จ้าวออกไป

“ร้อนไง ร้อนๆๆ นรกแม่งร้อนสัดๆ  อ้าว นี่พวกมึงเป็นสัมภเวสีตัวใหม่พึ่งตายใช่ปะ” มันเอียงคอมองไอ้ไนท์กับไอ้เดย์สลับกันไปมา “งั้นถอดเลย  ถอดเสื้อผ้าจะได้ไปเล่นน้ำกระทะทองแดงกันไง”  แล้วมหากรรมไล่แก้ผ้าเพื่อนก็เกิดขึ้น  โดยจบลงที่ผมสามคนช่วยกันจับตัวมันแล้วห่อไว้ด้วยผ้านวมจนในที่สุดแม่งก็หลับไป



“ไอ้เหี้ยจ้าว เมาแล้วเพี้ยนป่วงหมาปัญญาอ่อนสัด”  ไอ้เดย์บ่นพลางหอบแฮ่ก

“ตลกดีออก ฮ่าๆๆๆ ไอ้จ้าวแม่งฮา ฮ่าๆๆๆๆ”  ไอ้ไนท์มันรู้เรื่องนะ  มันก็ช่วยจับไอ้จ้าวเหมือนกัน แต่จับไปหัวเราะไป  ทั้งตัวทั้งหน้านี่แดงกว่ากวนอูซะอีก

“เฮ้อ เอาไอ้ห่าสองตัวนี่จับมัดรวมกันแล้วปล่อยลอยทะเลน่าจะดี” ไอ้เดย์บ่นกระปอดกระแปด  “ว่าแต่มึงเถอะไอ้กาย ถ้าพวกกูไม่เข้ามาก่อน มึงจะทนลูกอ่อยไอ้จ้าวไหวปะวะ”  มันหันมองผมแบบหยั่งเชิงหน่อยๆ  ส่วนไอ้ไนท์ไม่ต้องสนใจมันแล้วเพราะแม่งนั่งเอานิ้วจิ้มผ้านวมที่ห่อม้วนตัวไอ้จ้าวอยู่แล้วหัวเราะจนตัวโยนไปโยนมา

“........” ผมไม่รู้จะตอบยังไง  จะโกหกว่าทนได้ก็คงจะกระดากปาก

“เวลาเมาแม่งก็เป็นงี้แหละ มือไวใจเร็วแถมยังขี้อ้อนขี้อ่อย ไปผับไปกินกันข้างนอกมันถึงได้แอ้มสาวตลอด  ถ้ามึงไม่ได้คิดอะไรก็ดี แต่ถ้ามึงคิด กูว่ามึงต้องคิดดีดีนะ  ถ้าไม่มีเวลาประกบมันตลอดเวลา มึงนั่นแหละที่จะเจ็บเพราะไอ้ห่าจ้าวมันพร้อมออกนอกลู่นอกทางได้ตลอด และในที่สุดพอมึงทนไม่ไหวก็ต้องออกไปไกลๆ จากมัน  ถึงวันนั้นกูคงเสียดายความเป็นเพื่อนของพวกมึงว่ะ”  ไอ้เดย์ตบไหล่ผมสองสามทีแล้วลุกไปดึงไอ้ไนท์ที่นอนหัวเราะตัวงออยู่ที่พื้นให้ไปนอนบนเตียง

“งั้นกูกลับก่อนนะ  ขอบใจสำหรับคำแนะนำ”  ไอ้เดย์พยักหน้าบอกให้กลับดีดี จากนั้นผมก็ออกมาจากหอพวกมัน



เดินคิดอะไรไปเรื่อย  คิดเรื่องที่บ้าน  คิดเรื่องไอ้จ้าว  คิดสะระตะและตัดสินใจแน่วแน่ว่าผมจะรอ

รอให้หมดสัญญากับเอเจนซี่ในอีกสองปีข้างหน้า จากนั้นผมจะบอกรักมันทันที  ถึงตอนนั้นคงรับงานเอง น่าจะมีเงินพอค่ารักษาพ่อและดูแลไอ้จ้าวได้  แต่ช่วงนี้ที่ผมยังไม่พร้อมก็คงต้องดูแลมันในฐานะเพื่อนไปก่อน 

อย่างน้อยมันก็ยังอยู่ในสายตา อยู่ใกล้ๆ หัวใจที่นับตั้งแต่วันนี้..



หัวใจของผม..ขอยกให้มัน


**********

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
ผ่านคืนวันไปอย่างเป็นสุขมากขึ้น เคยคิดว่าการมาเรียนเป็นดั่งสวรรค์ แต่พอรู้ตัวว่ารักไอ้จ้าวก็ยิ่งเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด ยิ่งสนิทก็ยิ่งรัก ยิ่งปรารถนาทั้งร่างกายและจิตใจของมัน  แต่ด้วยปัญหาส่วนตัวที่ไม่เอื้อจึงต้องอดทนเก็บความรักให้เป็นความลับมาตลอด

และยิ่งได้อยู่สวรรค์นานเท่าใด การกลับไปอยู่ในนรกก็เป็นความทรมานมากขึ้นเท่านั้น  ผมอดทนอยู่ในบ้านที่มีแต่คนชั่วร้ายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วงพ่อ แต่ถึงอยู่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปหาได้ตลอด  ผมจะได้เจอพ่อก็ต่อเมื่อแม่เลี้ยงอนุญาตเท่านั้นซึ่งไม่บ่อยนักหรอก

“ผมจะไปอยู่ข้างนอกนะพ่อ”  ในวันที่เก็บเสื้อผ้าพร้อมออกไปอยู่ข้างนอก เมื่อต่อรองว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว 

“.....อืออ”  พ่อส่งเสียงในลำคออย่างยากลำบาก 

ผ่านไปสี่ปีกว่าแล้วที่อาการไม่ได้ดีขึ้นเลย  แต่ยิ่งผมอยู่ที่นี่ พ่อก็จะยิ่งลำบากเพราะทุกครั้งที่ผมอยู่บ้าน..

“น้าเอานมมาให้คุณพจน์จ๊ะ”  มีเวลาตั้งเยอะไม่เข้ามา พอผมเข้ามา มันก็เข้ามาทันที

นังแพศยา

“พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลตัวเอง”  ผมพยายามไม่สนใจร่างอวบอัดในชุดนอนบางพลิ้ว อย่าว่าแต่มองเลยแค่ใช้อากาศร่วมกันก็ยังรู้สึกขยะแขยง

แต่พ่อทำหน้าเศร้ากับท่าทีของมันที่มีต่อผม  “ผมอยู่ข้างนอกจะได้พ้นจากอสรพิษชั้นต่ำซะที  มันจะดีกับเราสองคนนะครับ”  ถึงจะเคยทำผิดพลาดมาในชีวิต แต่พ่อไม่เคยไม่รักผมกับแม่  เพียงแต่ที่ผ่านมาคงนึกไม่ถึงว่าคนที่พ่อเรียกว่าเมียอีกคนนั้นจะชั่วช้าได้มากมายขนาดนี้

“สกายไม่เปลี่ยนใจแน่หรือจ๊ะ”  เธอทำเป็นไม่สนใจคำพูดเปรียบเปรยทั้งๆ ที่รู้เต็มอกว่าผมด่าแต่กลับหน้าด้านเดินมานั่งข้างๆ แล้ววางมือไว้บนหน้าขาของผม

พ่อคิ้วขมวดในทันที  ถึงร่างกายจะเคลื่อนไหวไม่ได้แต่สมองและหัวใจก็ยังทำงานเป็นปกติ  “อืออ..”  เสียงครางเหมือนจะไล่แต่ไม่มีผลอะไรกับนังงูพิษที่หนังหนายิ่งกว่าคางคก

“งั้นผมไปก่อนนะพ่อ  แล้วจะแวะมาเยี่ยมนะครับ”  ผมลุกขึ้นไม่สนใจจะเสวนากับผู้หญิงแพศยาพรรค์นี้

ประตูปิดลงพร้อมด้วยเสียงด่าเล็กแหลมที่พ่นออกมาหยาบคาย  คงโมโหที่ผมไม่เล่นด้วย ทั้งๆ ที่พยายามอ่อยมาตลอด จึงเอาความหน้าแตกไปลงที่พ่อ 

นี่แหละที่ทำให้ผมอยู่ต่อไปอีกไม่ได้  อย่างน้อยถ้าไม่มีเหตุอะไรให้พวกมันโกรธ  พ่อผมก็จะได้อยู่อย่างสงบบ้าง







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



‘มึงคิดมากไปรึเปล่า  เขาอยู่กินกันมา จะทิ้งขว้างกันลงง่ายๆ เพราะเรื่องเงินเหรอ’  นึกถึงคำพูดนี้ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยงเมื่อนึกถึงนังงูพิษนั่น 

แค่เป็นเมียน้อยของพ่อแล้วเข้ามาราวีจนแม่ผมไม่มีความสุขและตรอมใจตาย นั่นยังไม่เลวร้ายพอ พวกมันยังหวังจะเคลมผมทั้งแม่ทั้งลูก  ขนาดเรื่องเลวทรามแบบนี้ยังทำได้ นับประสาอะไรกับแค่ทิ้งขว้างคนทุพลภาพที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง

บอกตามตรงว่าผมคิดเสมอว่าครั้งนั้นผมคงโดนข่มขืนไปเรียบร้อยแล้ว ถึงจะสลบไปก่อนแต่อาการเจ็บตรงช่องทางนั้นก็ทำให้จิตตกอยู่ตลอดเวลา พวกมันทำให้ผมมีปัญหาทางด้านจิตใจอย่างหนัก  ยิ่งตอนที่อยู่ในพื้นที่แคบและมืด ความรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดในคราวนั้นมันหลอนประสาทจนผมแทบจะหมดสติไปได้เสมอ





“คิดอะไรอยู่ ยังโกรธกูอยู่เหรอวะ”  ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกโอบกอดจากทางด้านหลัง  ตอนนี้ออกมาดื่มยืนเบียร์อยู่นอกระเบียงคอนโด ซึ่งเจ้าของคอนโดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

ดินแดน..

ผู้ชายนิสัยประหลาดที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้เทียบเท่าไอ้จ้าว  ผู้ชายที่พร้อมจะดูแลผมทั้งร่างกายและจิตใจ  ผู้ชายที่ยอมเสียสละให้ผมเป็นฝ่ายรุก และผู้ชายที่คิดจะรุกผมกลับเสมอถ้ามีโอกาส

ผู้ชายที่ตอนนี้...เขาเป็นแฟนผม



ผมเคยเฝ้าถามตัวเองตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่ารักไอ้จ้าวว่า เฮ้ย จริงเหรอ มึงรักผู้ชายจริงเหรอวะ  แต่คำตอบที่ได้ก็มีเพียงใบหน้าไอ้จ้าวที่ปรากฏขึ้น   เรื่องทุกข์ใจของผม จ้าวมันรู้หมด ถึงมันจะเป็นคนพูดมากแต่เวลาเห็นความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์มันก็มักจะพูดว่า ‘ขอกูอยู่ด้วยคน  รับรองไม่พูดซักแอะเลย’  ถ้าเป็นคนอื่นคงง่ายที่จะอยู่นิ่งเงียบแต่กับไอ้จ้าวผมรู้ว่ามันยากมากๆ แต่มันก็ทำได้

เหมือนที่ผู้ชายเจ้าของวงแขนรุ่มร่ามคนนี้ได้เคยสัญญาว่าเขาจะอยู่เป็นเพื่อนโดยจะไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียวถ้าผมไม่ถาม และเขาก็ทำได้ดีแถมยังทำให้ผมรู้สึกว่าในระหว่างที่เขาเงียบนั้น เขาไม่ได้ละสายตาออกจากผมเลย..

มันทำให้รู้สึกอบอุ่น

อุ่นใจ..

แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึก ซึ่งจะจริงหรือไม่ ผมก็ไม่อาจรู้ได้



ผมพลิกตัวแล้วดันเขาออก “ไม่ได้โกรธ ก็แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ แล้วเครียด” ผมไม่ได้โกรธเขา ตรงกันข้ามกลับรู้สึกผิดต่อเขามากกว่า  ทั้งเรื่องที่ผมมีจิตผูกติดอยู่กับไอ้จ้าวและเขาก็รู้มาตลอดแต่ไม่เคยทำให้ผมอึดอัดหรือกดดันในเรื่องนี้  อีกทั้งเรื่องที่ผมพาลใส่เขาทุกครั้งที่เขาเผลอเดาเรื่องอดีตของผมในทางที่ดีเกินไป  “คุณเข้าไปข้างในเถอะ ข้างนอกมันเย็นเดี๋ยวจะป่วยอีก” ผมเสเปลี่ยนเรื่อง

ดันเขากลับเข้าไปในห้องแต่เขาไม่ยอมขยับ  “เล่าเรื่องของมึงให้กูฟังบ้างไม่ได้เหรอ  คราวหน้ากูจะได้ไม่เดามั่วไปโดนปมมึงอะ”  เขาทำหน้าจ๋อยและพยายามเข้ามากอดเอวผมอีกครั้ง

คนบ้าอะไรแบบนี้ คอยจะรุกอยู่ตลอดเวลา

ผมเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วปรามเขาเอาไว้ “โอเคๆ เล่าก็ได้ แต่คุณเลิกรุ่มร่ามกับผมซักนาทีสองนาทีจะตายมั้ย” 

ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่ผมไม่ไว้ใจ  ตอนทำรักครั้งแรกมันเป็นเหตุสุดวิสัยที่เขาเกิดป่วยแบบปัจจุบันทันด่วน  แต่ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วเขาก็ยอมนั่นแหละเพราะถ้าไม่ยอมจริงๆ ต่อให้ใกล้ตายเขาก็คงกัดลิ้นตัวเองเพื่อชิงตายซะก่อนที่จะโดนรุก

เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นึกถึงทีไรก็รู้สึกขอบคุณเขาเสมอ  ไม่ใช่เพราะเขายอมแต่เป็นเพราะเขากล้าทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นคนแบบเขาลงเพื่อผม..



ผมตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตแบบละเอียดยิบให้เขารู้  รวมถึงความสัมพันธ์ของผมกับได้จ้าวด้วย ต่อนี้ไปจะได้ไม่เดาส่งจนโดนหางเลขอีก

เขาทำหน้าเครียดตลอดเวลาที่เล่า พยายามถามผมเป็นระยะว่าไหวไหมในตอนที่ผมนิ่งไปหลายครั้งเพราะนึกถึงบาดแผลครั้งเก่า  แต่เมื่อผมเล่าต่อเขาก็คอยบีบมือลูบหัวให้กำลังใจ  ไม่มีพูดขัดแม้แต่คำเดียว

คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะน่ารักกับผมได้เท่านี้  ถ้ารักเขาได้ ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแน่ๆ



เมื่อฟังจนจบเขาก็พูดขึ้น  “ถ้ามึงจะเอาเรื่องตอนนี้ก็ยังทันนะ สัญญาไม่ยุติธรรมและความประพฤติไม่เหมาะสมของน้าแจน เราน่าจะฟ้องได้ ส่วนไอ้เหี้ยสตาร์อะไรนั่น เดี๋ยวกูจะจัดการให้เอง”  พยายามหาช่องให้ผมได้แก้เกม งานถนัดของเขา อะไรๆ ก็วางแผน อะไรๆ ก็ต้องเอาคืน 

ผมถอนหายใจหนักๆ เพื่อลดความรู้สึกกระอักกระอ่วนภายในที่ต้องเล่าเรื่องอัปรีย์แบบนั้นออกมา  “ช่างมันเถอะ  มันผ่านมานานแล้ว  ผมรออย่างเดียวว่าเมื่อไหร่เวรกรรมจะตามทันพวกมัน  ขอให้เวรกรรมไล่ล่าจนพวกมันต้องหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนหมาข้างถนน ไร้ความช่วยเหลือ ไร้คนเห็นใจ แบบนั้นมันสะใจมากกว่า”  ผมกัดกรามแน่นเมื่อนึกถึงพวกมัน  บอกตามตรงว่าอโหสิไม่ไหวกับความจัญไรที่พวกมันทำ  ที่ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะกิริยา 3 ช่าง ของไอ้จ้าวทั้งนั้น

“มันต้องมีแน่ วันที่พวกมันจะต้องรับกรรมอย่างสาสม”  เขากุมมือผมแล้วบีบแน่นเพื่อให้กำลังใจ  ได้ทันเห็นประกายตาร้ายลึกที่ปรับเป็นปกติในเวลาแค่เสี้ยววินาทีของเขาแล้วใจคอไม่ค่อยสู้ดี 

“อย่าวางแผนทำอะไรเสี่ยงๆ อีกนะ ผมขอร้อง” 

“เออน่า ไม่ทำหรอก ชีวิตกูมีอะไรต้องทำอีกเยอะ  ช่วงนี้ไม่ว่างแล้ว มีแฟนแล้วต้องเทคแฟน” ถึงจะทำหน้ากระลิ้มกระเหรี่ยกลบเกลื่อนแต่ผมก็ไม่ค่อยเชื่อน้ำหน้าอยู่ดี

สังหรณ์ไม่ดีแทนพวกนั้นจริงๆ

“แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าน้าแจนจะร้ายขนาดนั้น แค่คิดยังขนลุกเลยว่ะ”  เขาพูดแล้วทำหน้าสยอง

“เห็นนางเงียบๆ แรดเพียบนะครับ”  ผมพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ  ไม่อยากอยากเขาต้องมาเครียดไปด้วย

เขามองผมแล้วยิ้มบางๆ  “เวลามึงยิ้มหรือหัวเราะนี่น่ารักน่าเอาดูจัง”  ก็เป็นซะอย่างนี้ แล้วจะให้ผมไว้ใจเขาได้ยังไงกัน

“น่าเอ็นดูมั้ย” ผมแก้ให้แล้วปิดประตูระเบียง ส่วนเขาก็เดินไปปิดไฟดวงหลักเพื่อเตรียมตัวนอนเพราะตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้ว

“เออ นั่นแหละ น่าดูเอ็น”  ทำเป็นยิ้มทะเล้น  น่าเตะตัดขาให้หน้าคว่ำ

“ไอ้ผีบ้า”  ผมด่าแล้วเดินหนีขึ้นไปนอนฝั่งของตัวเอง

“แฟนด่าแปลว่าแฟนให้ท่า ยิ่งด่าแล้วหนีขึ้นเตียงยิ่งแปลว่าจะอ้าให้ทุกท่าเลย”  ไม่เคยเห็นใครหื่นได้เท่าไอ้ผีบ้านี่เลยนะ  คิดอยู่แค่เรื่องจะกดผมนี่แหละ

แล้วผมล่ะ ยอมเขาได้จริงๆ หรือเปล่านะ

“คืนนี้งดทุกอย่าง”  ผมดึงแขนไอ้คนขี้หื่นให้ลงมานอนดีดี  เล่นมายืนจ้องผมตาเป็นมันอยู่ข้างเตียงแบบนี้ มันทำตัวไม่ถูก  “คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายซ่อมให้ห้างฯ รู้มั้ย” 

แต่ทันทีที่หลังของเขาแตะพื้นที่นอน  ร่างหนาก็พลิกตะแคงมากอดผมไว้ทันที  “แข็งแรงแล้ว ไม่เชื่อดูดิ กล้ามแน่น แข็งปั้ก”  ไม่พูดเปล่าแต่เลิกเสื้อขึ้นแล้วทุบซิกแพ็คโชว์

ผมมองหน้าเขาอย่างเอ็นดู  ถึงอายุจะมากกว่าแต่ผมว่านิสัยและอากัปกิริยาของเขาเหมือนจะเด็กกว่าผมมากเลยนะ 

ถอดแบบไอ้จ้าวมาเป๊ะ..

เฮ้อ ผมเผลอคิดถึงไอ้จ้าวอีกแล้วสิ  แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย  ถึงจะรู้แต่บังคับใจตัวเองไม่เคยได้เลย

“อ้าว เป็นไรอะ อยู่ดีดีก็ทำตาเศร้า”  และนี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมรู้สึกดีกับเขา 

ถึงเขาจะเรียกผมว่าไอ้หน้านิ่งเพราะผมไม่ค่อยแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากนัก แต่เวลาที่ผมผิดปกติ เขาจะรู้ได้ในทันทีและไม่เคยนิ่งดูดายปล่อยให้มันผ่านเลยไปเฉยๆ 

“ผมขอโทษ”  ยิ่งรู้สึกดีกับเขามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้นเพราะไม่ว่ายังไงก็อดที่จะเปรียบเทียบเขากับไอ้จ้าวไม่ได้

ทำไมต้องยึดติดกับไอ้จ้าวขนาดนี้ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลย 

นิ้วแข็งๆ จิ้มลงมาตรงใต้คางแล้วเสยขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าเพราะไม่อย่างนั้นก็จะเจ็บ  “เป็นอารายยยย”  เขาลากเสียงเพื่อกดดัน

“ผมจะพยายามมองคุณให้เป็นคุณให้ได้แต่ถ้ารู้ตัวว่าทำไม่ได้จริงๆ ผมจะรีบบอกทันที คุณจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับคนงี่เง่าอย่างผม” 

เขาดึงมือกลับไปแล้วเลื่อนลงไปลูบสะโพกผมเบาๆ  “เรื่องเครียดของมึงมีเยอะแล้ว อย่ามาเครียดเรื่องของกูเลยนะ  ส่วนเรื่องเครียดของกูก็มีแค่ว่ามื้อหน้าจะแดกห่าอะไร เพราะฉะนั้นเรื่องของกู กูขอรับอาสาเครียดแทนมึงเอง โอเคมั้ย” 

ผมยิ้มอีกแล้ว  ผู้ชายคนนี้ทำให้ผมยิ้มได้ทั้งหน้าทั้งใจ แม้กระทั่งจิตวิญญาณ  คำพูดที่กวนๆ เกรียนๆ แต่แฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนโยน  ถึงภายนอกจะดูบ้าบอยังไงแต่ในหัวใจของเขาอบอุ่น อ่อนโยน และมีความรู้สึกดีดีให้ผมมากมายเหลือเกิน

“ทำไมคุณถึงไม่มีแฟนล่ะ”  ผมเปลี่ยนเรื่อง  อันที่จริงก็แค่อยากจะรู้ว่าคนน่ารักแบบนี้ทำไมถึงยังโสดมากกว่า แต่ผมมันเป็นพวกชมคนไม่เก่ง ก็คงทำได้เท่านี้ละนะ

“มึงอยากรู้ว่าหล่อรวยแสนดีมีรถขับโทรศัพท์มีคลิปเยอะอย่างกูทำไมยังโสดว่างั้น”  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่เขาทำให้ผมประหลาดใจได้เสมอ  ดูเผินๆ เหมือนชอบชมตัวเอง แต่อันที่จริงแล้ว..

เขารู้ใจผม..

“ผมถามว่าทำไมคุณถึงไม่มีแฟน”  ถึงจะรู้ใจแต่ผมก็ยังเป็นผม  ถ้าไม่ถึงที่สุดก็ไม่ชอบพูดอะไรให้มันชัดเจนเกินไปนักหรอก 

บางทีมันก็เขิน..

เขาทำหน้าย่นและเบ้ปากใส่เพราะถูกผมขัดใจ  เห็นแล้วก็อดส่ายหัวไม่ได้  ชอบทำตัวตลกๆ เขาไม่มีเรื่องให้เครียดเลยหรือไงนะ

“ก็ไม่เคยมีใครที่กูอยากทำเพื่อเขามาก่อน  เห็นกูดีกับมึงแบบนี้ กูไม่เคยทำให้ใครเลยนะ แล้วที่ผ่านมาก็เป็นแค่การทดลองงานเท่านั้น ต่อจากนี้กูจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเราให้ดีกว่านี้อีก มึงเชื่อกูสิ”  ได้ทีเข้าโหมดนักขายตลอด 

แค่นี้ก็รู้แล้วว่าดีแค่ไหน  ดีจนบางทีผมก็กลัวจะทำให้เขาเสียใจ..

ผมรู้ดีในความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องวิ่งตามใครสักคนที่เขาไม่มีใจ ทว่านั่นมันเป็นแค่ความเจ็บปวดที่เราชินชาไปแล้ว แต่ตอนที่รู้ว่ามีใครอีกคนคอยวิ่งตามเราอยู่นี่สิที่เจ็บปวดและอึดอัดใจมากกว่า เพราะรู้ดีว่ามันเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องวิ่งตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจหยุดรอได้เพราะกลัวว่าคนข้างหน้าจะทิ้งห่าง...จนวิ่งตามไม่ทัน

ใช่..ผมยังคงหวังอยู่ลึกๆ ว่าอาจจะวิ่งตามไอ้จ้าวได้ทันในวันใดวันหนึ่ง  ถึงจะดูใจร้ายไปหน่อยแต่ในเมื่อเขาก็ต้องการจะทดลองคบกันดู ผมก็จะไม่ขัด อีกอย่างผมก็อยากจะให้โอกาสตัวเองได้ทดลองรักคนอื่นดูบ้าง..อย่างน้อยถ้าเขาทำให้ผมรักได้ เราทั้งคู่ก็วินวิน



“ผมไม่รู้ว่าคุณจะดีกับผมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่ผมรู้ว่าสักวันผมจะมองคุณให้ต่างออกไปจากที่เคยมอง  อยากให้คุณให้โอกาสผมให้นานที่สุดและผมก็จะพยายามให้โอกาสคุณให้นานยิ่งกว่า ตอนนี้คงให้ได้เท่านี้ คุณรับได้มั้ย”

ผมพยายามพูดให้อยู่ในเกณฑ์กลางๆ  ไม่อยากออกตัวแรงเพราะมันจะกลายเป็นการให้ความหวังมากจนเกินไป

“สำหรับกู แค่มีมึงอยู่ใกล้ๆ กูก็พอใจที่สุดแล้วแต่กูขอปฏิเสธคำถามสุดท้ายของมึงได้มั้ยวะ”

ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน  นี่แค่เริ่มต้นเขาก็จะปฏิเสธซะแล้วเหรอ “ปฏิเสธว่า”  ผมถามห้วนๆ

“กูไม่อยากรับอะ  ให้กูรุกเถอะนะ กูรับไม่ได้ถ้ากูจะต้องรับอีกง่ะ”

อยากจะบ้าตายกับคนๆ นี้  ผมจะทนกับความเกรียนความหื่นความอยากรุกของเขาไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ

ผมทำหน้าจริงจัง “เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์อารมณ์และความรู้สึก ณ ขณะนั้น อย่าไปปักใจอะไรกับมันมากนักเลย ผมขอร้อง”

เขาทำหน้าเจื่อนลงแล้วยิ้มแยกเขี้ยว “แฮ่ๆ ก็มึงถามว่ากูรับได้มั้ย กูก็แค่เล่นมุขนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นซีเรียส”  ไหล่ผมถูกจิ้มจึกๆ เหมือนกำลังง้อ  “ไม่เล่นแล้วก็ได้  คืนนี้ก็จะนอนกอดเฉยๆ ไม่ดื้อ ไม่ซุกซน พรุ่งนี้จะได้สุขภาพดี ตาใสปิ๊งๆ ไปถ่ายซ่อมงานจนเสร็จสมบูรณ์ คับผ้ม!!” 

ผมมองเขานิดหน่อยเพื่อดูว่าเขาสำนึกจริงหรือไม่ “พูดง่ายๆ แบบนี้ก็ดี  งั้นนอนซะ พักผ่อนเยอะๆ พรุ่งนี้จะได้หายสนิท”  ผมยิ้มให้บางๆ  เพราะคิดว่าคืนนี้คงหมดเรื่องให้ต้องวุ่นวายแต่เพียงเท่านี้

ทว่า..

ผมเข้าใจผิด 

“ถ้างั้น..ขอจูบกู๊ดไนท์หน่อยสิ  ถ้ากลัวกูจะรุก มึงขึ้นคร่อมมาจูบกูก็ได้นะ นะๆๆๆ”  อยากจะเอาตีนก่ายหน้าผากกับความหื่นความเรื้อนของเขา

ผมได้แต่กลอกตาไปมาอย่างปลงๆ 

แต่แล้วก็นึกสนุกอยากรู้อะไรบางอย่าง

“ไม่ต้องมีใครคร่อมใครทั้งนั้นแหละ  นอนตะแคงจูบกันแบบนี้จะได้ไม่ต้องยาว”  ดักทางไว้หน่อยจะได้รู้ลิมิต

“โห่..รู้ทันเก๊า”  ทำปากยื่นไม่พอใจแต่มือนี่กดล็อคบั้นเอวผมไว้เรียบร้อยแล้ว

เฮ้อ..เหนื่อยใจจริ้งงง

“แต่ก่อนจะจูบ ผมอยากถามอะไรหน่อย แต่ต้องตอบดีดีห้ามกวนห้ามเกรียนนะ”  หน้าที่จ่อเข้ามาหยุดกึกแล้วทำท่าเสียดาย

“ถามมาๆ ไม่กวนไม่เกรียนไม่เล่นไรทั้งนั้นแหละ เสียเวลาจูบ” ช่างเป็นเหตุผลที่สมกับเป็นดินแดนคนบ้าจริงๆ

“ดีกับผมขนาดนี้ คุณ.. รักผมมั้ย”  ถามไปหัวใจก็เต้นตึกตัก  ผมรู้ดีว่าเขารู้สึกดีกับผมแต่ผมก็ไม่เคยได้ยินจากปากว่าเขารักผมหรือไม่

บางที เขาอาจจะแค่อยากลอง..

เขานิ่งอึ้งไป มองผมด้วยแววตาสับสน  เห็นแบบนี้กลับทำให้ใจหาย  ทั้งๆ ที่ยังรักจ้าวอยู่ ทั้งๆ ที่คิดว่ายังไม่ได้รักเขา แต่ทำไมนะ..

ผมไม่อยากได้ยินว่าเขายังไม่ได้รักผมเลย

“พอละ ไม่ต้องตอบ”  ผมห้ามไว้  เสียงติดจะห้วนเล็กน้อยอย่างไม่อาจห้ามความคุกรุ่นของอารมณ์  “จะจูบก็จูบสิ” ผมเร่ง

จากแววตาสับสนเปลี่ยนเป็นวับวาว เขามองผมแล้วเผยยิ้มเอ็นดู  เห็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกขุ่นๆ ในใจ  ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมรู้ว่าเขาคบกับผมเพื่อเป็นของเล่น  ผมจะทำให้เขาเจ็บจนกระอักเลือดเลย!

“ถ้ามึงชอบฟัง กูบอกมึงทุกวันก็ได้”  เขาตอบเลี่ยง 

“ถ้าไม่รู้สึก คุณจะพูดทำไม  ผมไม่อยากฟังหรอกคำโกหกน่ะ  เราคบกันไปเรื่อยๆ  อีกหน่อยถ้าเริ่มรักก็ค่อยบอก”  รู้สึกแย่หน่อยๆ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจ ผมเองก็ยังไม่ได้รักเขาเลย  เขาเองก็คงเหมือนกัน

“จูบกันเถอะ”  อยู่ๆ เขาก็พูดออกมา  อยากเหวี่ยงใส่แต่ก็ไม่รู้จะเหวี่ยงด้วยเหตุผลอะไร 

ใบหน้าหล่อคมเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผมเองในตอนแรกก็ยังเฉยๆ แต่เมื่อถูกจ้องนานๆ ก็ชักเคลิ้มเหมือนถูกดึงดูดให้ขยับเข้าไปหาเขาเช่นกัน   เมื่อริมฝีปากเราสัมผัสกัน ร่างผมก็ร้อนระอุขึ้นทันที  มือไม้ของเขาไม่เคยอยู่นิ่ง ทั้งลูบไล้ซุกซนไปทั่วแต่ผมเองก็ไม่ได้ปล่อยให้มือว่างแต่อย่างใด  ไม่ต้องอารัมภบทกันมากมาย เรียวลิ้นอุ่นชื้นก็เกี่ยวกระหวัดผลัดกันดูดดันเข้าออกจากโพรงปากแต่ละฝ่ายจนน้ำลายเอ่อเลอะขอบปาก 

ไม่ว่าจะจูบกันกี่ครั้ง หัวใจของผมก็เต้นถี่หนักอยู่เสมอ  ถึงแม้ในเวลาอื่นผมจะเผลอคิดถึงไอ้จ้าวหรืออาจเปรียบเทียบเขากับไอ้จ้าวไปบ้าง แต่ยอมรับตามตรงว่าเวลาที่เราปฏิสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้งเช่นนี้ ผมรู้สึกราวกับว่ามีแค่เขาคนเดียวที่ทำให้หัวใจผมตื่นเต้นและเป็นสุขแบบนี้ได้

ดินแดน..

ผมเรียกชื่อเขาอยู่ในความรู้สึก  ชื่อเขาเพราะดีนะ  ดูหนักแหน่นและมีขอบเขต

ดินแดน..

ผมเริ่มจะหวงคุณขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วสิ  ในช่วงที่เรายังคบกัน คุณอย่าจูบใครได้ไหม  จะไปมีอะไรกับใครก็ได้ แต่ขอแค่อย่าจูบ  ผมอยากเป็นเจ้าของจูบนี้แค่เพียงคนเดียว



“คุณ..”  ผมพยายามดันเขาออกเมื่อลำคอผมเริ่มถูกดูดดุนด้วยแรงกำหนัดที่พุ่งสูงขึ้นทุกที  “ไม่ดื้อ ไม่ซุกซน”  คงต้องขอทวงคำสัญญากันหน่อย

“ง่า..”  เขาเงยหน้าขึ้นทำท่างอแง

“ลูกผู้ชายนะ”  ใช้นิ้วจิ้มไปที่คางสากๆ

“ก็มึงน่าอาวว”  ยังจะทำเป็นเล่นอีก

“นอนได้แล้ว”  ไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกเสียดาย  ผมเองก็แทบไม่อยากให้ริมฝีปากของเขาหลุดออกไป

แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ 

“งั้น.. ก่อนนอนถามอะไรหน่อยสิ”  เขานอนตะแคงมองผมทำหน้ากรุ้มกริ่ม

“ว่ามา”

“ตอนจูบกัน เห็นหน้ากูหรือหน้าใคร”  ถามทำไมละเนี่ย คงไม่มีแผนอะไรหรอกนะ

จะว่าไปคำถามก็ง่ายนะแต่ทำไมตอบยาก

ตอนจูบผมหลับตาจะปรือตาขึ้นเป็นบางครั้งก็เห็นเขาหลับตาเหมือนกัน  ถามว่าเห็นหน้าใครก็ต้องเป็นหน้าเขานะสิ

“เอาในความรู้สึกน่ะ”  เขาอธิบายเพิ่ม

ถ้าในความรู้สึก ก็ไม่เห็นหน้าใครนี่นา  แค่รู้สึกอยากเรียกแต่ชื่อเขา

“เอางี้”  เมื่อเห็นว่าผมคิดนานเกินไป เขาก็ตัดบท  “กูจะบอกคำตอบของกูก็แล้วกันนะ”  ว่าแล้วก็ขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหู  “หลับตาก็เห็นแต่หน้ามึง ลืมตาก็อยากเห็นมึงเป็นคนแรก ตอนจูบก็ร่ำร้องเรียกแต่ชื่อมึง เห็นใบหน้าแบบนี้อัดเข้าอกซ้ายกูตลอด  และมึงรู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร”  เขาจับคางผมส่ายเบาๆ

แค่ที่เขาร่ายมาก็พอจะเดาออก..

“หมายถึง..กูรักมึง..”  ถึงแม้จะพอเดาออกแต่เมื่อได้ยินเต็มสองหูแบบนี้ก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้  น้ำตาผมมันรื้นขึ้น  ไม่รู้เพราะอะไร 

ไม่รู้เลยจริงๆ

ผมได้แต่จ้องตาเขา  จ้องเพื่อเค้นเอาความจริงว่าไม่ได้โกหกและผมก็มั่นใจ  ในดวงตาคู่นั้น 

เขารักผม..

“ว้ายๆ เด็กขี้แง ไปขายดอกแคที่หน้าวัด โดนหมาไล่กัดร้องไห้แงแง ว้ายย”  ผมรีบเช็ดน้ำที่ปริ่มอยู่บริเวณขอบตา



ได้แต่มองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างเอือมระอาระคนเอ็นดูและนึกขำอยู่ในที  กาลเทศะไม่เคยอยู่ในกมลสันดานเลยนะไอ้ผีบ้า 

แต่ก็ทำให้ยิ้มออกมาจนได้..



การได้อยู่ใกล้ชิดคนที่อารมณ์ดีแบบนี้ การได้ไออุ่นจากเขาแบบนี้  การได้รับความจริงใจมากมายแบบนี้ อาจช่วยรักษาสภาพจิตใจที่เคยถูกทำร้ายให้ดีวันดีคืนและโดยเฉพาะคงจะชะล้างหัวใจที่เคยมีไอ้จ้าวอยู่ให้ค่อยๆ เลือนหายไปจนมีแต่เขาได้ในที่สุด



ถึงจะตอบกลับไปว่ารักไม่ได้  แต่ผมก็ติดใจประโยคหนึ่งที่เขาพูดออกมา

‘ตอนจูบก็ร่ำร้องเรียกแต่ชื่อมึง เห็นใบหน้าแบบนี้อัดเข้าอกซ้ายกูตลอด’  ร่ำร้องเรียกแต่ชื่ออย่างนั้นเหรอ  มันจะแปลว่าผมรักแล้วหรือยังนะ



“นอนซะ”  ในขณะที่กำลังสับสนอยู่  ริมฝีปากอุ่นๆ ก็แนบลงมาบนหน้าผาก จากนั้นก็ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บีบขมับวนๆ ไปมา  “อย่าคิดมาก มึงรู้ไว้แค่ว่ากูรักมึง ส่วนเรื่องที่มึงจะรักใครนั้นน่ะไม่ต้องห่วง  อยู่กับกูไปเรื่อยๆ รับรองกูจะทำให้มึงรักกูจนโงหัวไม่ขึ้นเลยแหละ”  ได้แต่มองดวงตาคมกริบที่แฝงแววทะเล้นนั้นนิ่งๆ  “เจอะอย่างกูใครไม่รักก็บ้าแล้ว ก็ไม่แคล้วคงสมองไม่ค่อยดี ถ้าไม่รักคนที่ดีที่สุดคนนี้”  นอกจากเพลงจะเก่าแล้ว  มันยังใส่ลูกคอตอนท้ายด้วย  เฮ้อ ผมอยากจะบ้า

ปรับอารมณ์ตามไม่ทันเลย!!

“ฝันดีครับที่รักของไอ้ดิน”  ได้แต่อมยิ้มกับคำพูดหวานๆ ของเขา  “ขอกอดนะ”  ทำเป็นขอทุกทีแต่ไม่เคยรอการอนุญาต เขานอนเบียดเข้ามาแล้วกอดคร่อมสอดแขนซ้ายเข้ามาใต้ท้ายทอยแล้วกอดแน่น  ส่วนขาก็คีบผมไว้อย่างกับเป็นหมอนข้าง

ผมจะกระอักรักตายซะก่อนไหมนะ  รักของคนๆ นี้มากมายซะจนผมรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลกกับเมื่อในอดีต

“ฝันดีครับผีบ้า” เอียงหน้าเล็กน้อย ปากก็แตะถึงหน้าผากของเขา ผมจุมพิตไปเบาๆ แต่เขาดันหน้าผากใส่จนหัวผมไถไปกับหมอน  “เฮ้ออ ฮ่าๆๆ”  เมื่อเขาดึงหน้าผากกลับไปผมก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับหลุดหัวเราะเพราะกลั้นไม่ไหว  เขาเองก็หัวเราะเบาๆ แล้วซุกหน้าเข้าซอกคอผมไม่ทันไรก็หายใจสม่ำเสมอไปในที่สุด  หลับง่ายหลับดายซะจริง 



คงไม่นานนักหรอกที่เราจะมีโอกาสได้ทำรักกันอีกครั้งเพราะต่างคนต่างก็ฟิตปั๋งและต้องการกันและกันอยู่ไม่น้อย ผมเองก็ใช่ว่าจะไม่หื่น ความเป็นชายมันถาโถมโรมรันทุกครั้งที่เขาเข้ามานัวเนียแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะได้รุกเขาเหมือนเดิมหรือจะพลาดพลั้งให้ความหื่นของเขาเอาชนะจนเปลี่ยนเป็นรับในที่สุด

แต่ผมไม่ซีเรียสหรอกนะ ถ้าถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที   จากนี้ไปคงไม่ต้องกลัวอะไรเมื่อมีคนแบบนี้อยู่ข้างๆ  การตัดสินใจคบกับเขาเป็นเหมือนจุดจบของสิ่งเก่าๆ และการเริ่มต้นในสิ่งใหม่ซึ่งผมตั้งใจจะทำให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้โอกาสทั้งตัวเขาและตัวเองไปพร้อมกัน

 

ส่วนเรื่องใครจะรุกใครจะรับ อย่าไปโฟกัสกันมากเลยครับของแบบนี้..เพราะคงต้องรอดูกันไปยาวๆ





++++++++++++++++ The end & the beginning ++++++++++++++++



จบลงจนได้สำหรับเรื่องนี้  ขออภัยไว้ล่วงหน้าที่อาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ทุกคนคาดหวัง

หากมีข้อบกพร่องหรือขัดใจตรงไหนก็แนะนำกันมาได้เลยนะคะ

อาจไม่ได้แก้ในเรื่องนี้แต่นายน้อยจะน้อมรับเอาไปปรับปรุงในเรื่องต่อๆ ไป

ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกคนที่ติดตามมาตลอด

ไม่ว่าจะเป็นฟีดแบ็คแบบไหนนายน้อยได้นำทุกคำติชมไปปรับปรุงตลอดเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆ สำหรับความเมตตา  ขอบคุณมากจริงๆ

รักทุกคนมากๆ

บายๆ ค่ะ จนกว่าจะได้พบกัน..

นิยายหมายเลข9
:pig4:

ออฟไลน์ princessrain

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ดีใจที่ได้อ่านนิยายดีมีคุณภาพขนาดนี้
ยังจำช่วงเวลาที่คุณเพิ่งลงและมีแค่ตอนสองตอน
เราดีดดิ้นมากเพราะอยากอ่านทีละเยอะๆ 5555
แต่แล้วก็ติดตามกันมาถึงตอนจบ
นิยายเรื่องนี้มีครบจริงๆ

ขอบคุณนะคะ ^^  :mew1:

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
แอร้ยยยย พี่ดินแดนน่ารักอ่ะ  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:   ขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจเลยค่ะ
ผีบ้าน่ารักนะเราเนี่ย
สกายมีความสุขแล้ว. ปลื้มปริ่มมาก :hao5: 

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
รักทุกตัวละคร

ขอบคุณค่ะนายน้อย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jaja-jj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-3
ช่วงแรกสกายเคะมาก แต่พอกลับมาปัจจุบัน  ดินติดเชื้อข้าวมาเหรอ น่ารักไปแล้วนะ ระวังสลับบทคืนไม่ทันนะ คริๆ

ออฟไลน์ VentoSTAG

  • ไม่รักอย่าทำให้มโนฯ GO AWAY!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 606
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-9
โถ่...น้องสกายผู้น่าสงสาร  :monkeysad: โดนดราม่ามาตั้งแต่เด็ก
 :angry2: แล้วอีนังนังข้าวจ้าวก็เรื้อนมาตั้งแต่เด็กแต่น้อยเชียว :laugh:


ปล.ถึงสกาย กดอีพี่ดินแดนไว้ลูกอย่าให้มันโงหัวมารุกได้  o3
ปล.ถึงคนเขียน ขอบคุณครับ ตัวละครที่คุณสร้างขึ้นมัน unique มากเลยนะ
มีเอกลักษณ์มาก มีมิติ และผมก็รักทุกตัวละครเลย(แม้จะกลัวปากหมอเกดไปหน่อยก็เถอะ)

 :กอด1: :L2: :L1: :L2: :กอด1: ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชอบพี่ดิน อร๊าย...
ขอบคุณมากนะคะคนเขียน...   :pig4:

ออฟไลน์ haemin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
จบแล้วอ่าาาาาาาาาา
ทำไมเรารู้สึกสงสารดิน ขอให้สกายบอกรักเฮียแกไวๆ
รอติดตามเรื่องใหม่นะคะะะ

ออฟไลน์ anenomena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่ดินโคตรเพอร์เฟคเลยอ่าตอนนี้ เป็นผู้ชายน่ารัก  :hao7:

สกายจ๋า ทำไมเรื่องนายมันดรามาจังน้อ  :hao5: ไม่เป็นไรนะ ต่อไปนี้ก็สร้างความทรงจำดีร่วมกับพี่ดิน  :hao6:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆฮารั่วมั่วไปหมดเรื่องนี้ ทำให้หัวเราะได้ทุกฉากทุกตอนจริงๆ โคตรรักนายจ้าวกับพี่ดิน  :hao3:

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
บทสรุปเรื่องท้องฟ้าและดินแดนที่สวย ชอบค่ะ ไม่ติดค้างในใจแล้วเรื่องของคู่นี้
แต่นายน้อยคะ โมดุที่คุมเวปคนที่สาม ที่มาแว้บๆ จะมีเรื่องของตัวเองไหมคะ?
กะน้องที่ดูแลผับพี่ดิน คู่นั้นมันไม่ยาว ยากได้ยาวๆ
แล้วพี่ชายพี่ดิน ดูท่าจะราชินี หรือเดาผิด?
 :pig4:
ปล.เรื่องนี้ยังไม่จบใช่ไหม ?เพราะเขียนว่า ตอนที่ ....ยังไม่บอกว่า จบแล้วย้ายได้ค่ะ

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
ขอบคุณคร้า ชอบมากทั้ง2คู่เลย
แต่แอบเสียใจแทนพี่ดินนิดหน่อย
ที่เสียเปรียบด้านรักกับสกาย
มาทีหลังรักน้อยกว่า เจ็บปวดใจนิดๆ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
อ่านแล้วไม่อยากให้จบเล้ย

ออฟไลน์ Aomoto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากคะคนเขียน สนุก เกรียน มุกฮาๆเพียบ ชอบทั้ง 2 คู่เลยคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
หลากหลายอารมณ์จนยากที่จะบรรยายออกมาหมด แต่ที่รูๆคืออยากจะขอบคุณที่เขียนนิยายดีเรื่องนี้มาให้อ่านกัน มัน  o13 มากๆ

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุก รั่ว ฮา ผสมมาม่า ได้อย่างลงตัว
รอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะจ๊ะ
 :L2:

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
ขอบคุณมากคะ
สกายเจอพั่ดินก็ดีแล้ว
กับจ้าวเนี่ยคงเป็นความรักแบบผูกพัน
ต่อไปกับผีบ้าคงจะยิ่งกว่าเน้อออ

ชอบคู่นี้ ถึงที่ผ่านมาชีวิตจะเศร้า
แต่ตอนนี้มีกันและกันแล้วเนอะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ และสนุกมากๆขนาดนี้
ขอตอนพิเศษเข้าหอของข้าวจ้าวด้วยน่าาา

ออฟไลน์ waiman

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มุ้งมิ้งดีจังเลย :mew1: :katai2-1:

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
แค่นี้ก็เริ่มมีใจให้พี่ดินแล้วล่ะกาย Y__Y
พอเขาบอกรักก็น้ำตาคลอ ทำไมน่ารักแบบนี้ ///////////
ว่าแต่กายจะรับมั้ย 5555555555555555555

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
สกายน่าสงสารจังเลย แต่มันก็เป็นเรื่องในอดีตแล้ว อยู่กับปัจจุบันดีกว่าเนอะ :hao5:
อีกอย่าง เปิดใจให้พี่ดินเยอะๆน้าาา พี่ดินน่ารัก แม่จะอยากรุกตลอดเวลาก็ตาม :m20:
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ :impress2:

ออฟไลน์ tulakom5644

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
จบได้แบบสวยงาม สมกับเป็นนิยายของนายน้อย --- นิยายหมายเลข 9
ขอบคุณนิยายเรื่องนี้ที่สร้างความสุขให้ทุกครั้งที่อ่าน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบอารมณ์แบบใด
แต่ชอบทุกตอนค่ะ  และ
ขอบคุณ คุณkrappom --- คนโพสต์ผู้น่ารัก ที่อัพนิยายเรื่องนี้ให้อ่านนะค้าาาาาา
จะรอติดตามตอนพิเศษ และเรื่องใหม่ต่อไปค่าาาาาาาา  :กอด1: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ยังไงมีพาร์ท ตอนพิเศษให้ชื่นใจบ้างน้า


ขอบคุณสำหรับนิยายจ้า มันสนุกมากกกก

ออฟไลน์ นาวา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นิยายเรื่องนี้จบแบบงงๆ  ข้าพเจ้าเลิกอ่านตั้งแต่ตอนของ สกาย กับแดนดิน
ออกมาเกิน 2 ตอน ความน่าติดตามมันหายไปเพราะคู่เอกมีบทน้อยเกิน
ทั้งที่ข้าวเจ้าเป็นตัวเอกในการเดินเรื่องของนิยาย พ่อคู่หลังมา ตัวเอกหายไปดื่อๆ
หาบทไม่เจอ แล้วพอกลับมาคู่เอกก็จบแบบ งงๆ คำว่านิยาย
ควรเขียนบทตัวเอกให้เด่น เพราะตัวเอกของแต่ละเรื่อง มันคือพระเอก หรือนางเอก
ในเรื่องนั้นๆ เมือมีบุคคลที่มีบทบาทมากกว่าตัวเอก ที่ไม่ใช่คู่ของตัวเอกในการเดินเรื่อง
มีบทบาทที่เด่นมากเกินไป  ทำให้อรรถรสในการอ่านหรือความน่าสนใจมันหายไป
มันก็เหมือนกับชีวิตเรา ที่ตัวเรานั้นเป็นพระเอกหนือนายเอกในชีวิตตนเอก ถ้ามีบุคคลอื่น
มีบทบาทในชีวิตเรามากกว่าตัวเราเอง มันจะเรียกชีวิตเราไดหรือ มันสมควรเรียกชีวิตคนอื่นมากกว่า
แต่เมื่อเราอยากให้มีตัวละครอื่นที่เด่นเท่าตัวเอก บทบาทของตัวละครนั้นต้องมีตัวเอกร่วมในเหตุการณ์
ไม่มากก็น้อย ไม่ใช่หายไปดื่อๆ

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด