พวกเขาลงตรงตำแหน่งด้านหน้าของอาคารสูงใหญ่นั้นพอดี วิมาณของเทพพยากรณ์นั้นต่างไปมากจากวิมาณแห่งอื่นๆ ด้วยสถานที่ของท่านนั้นอยู่บนเทือกเขาบาวาอัน อันเป็นป่าดงดิบที่มีทุกสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดเองได้โดยมิได้ถูกมหาเทพสรรค์สร้างก่อกำเนิดขึ้นมาที่นี่ และลักษณะอาคารเปิดโล่งใหญ่โตพร้อมที่จะให้ทุกคนเข้าไปโดยมิมีการปิดกั้นด้วยท่านเทพพยากรณ์นั้นถือว่าเป็นเทพแห่งความรู้ด้วยในอีกร่างหนึ่ง วิมาณของท่านจึงมากด้วยความรู้ทั้งอดีตกาลและอนาคต คำภีร์ทั้งหลายของเหล่าเทพเท่าที่เคยมีนั้นรวมกันอยู่ที่นี่ มีเหล่าเทวาและเทวีมากมายเดิกกันขวั่กไขว่เอ่ยสนทนากันแต่เรื่องยากๆ หากจะเทียบให้เข้าใจโดยงานวิมาณของท่านเทพพยากรณ์ก็เปรียบเสมือนดั่งมหาวิทยาลัยที่รวมความรู้ทั้งมวลของจักรวาลไว้ ณ ที่แห่งนี้
สำคัญกว่านั้นบนเขาลูกเดียวกันนี้เป็นที่ที่อามินอสถูกพบอยู่ในไข่เงินก่อนจะฟักออกมาแลถูกเลี้ยงดูโดยท่านเทพพยากรณ์ผู้นี้ กล่าวโดยง่ายชายชราผู้เป็นเจ้าของวิมาณเป็นดั่งอาจารย์และบิดาของอามินอสนั่นเอง
แต่เรื่องความหลังและความเป็นไปของบุรุษปีกเงินนั้นยังมิใช่สิ่งที่จะต้องเล่าสู่กันฟังในยามนี้ ด้วยเรื่องเดือดร้อนแห่งสวรรค์เรื่องหนึ่งยังไม่ได้รับการคลี่คลายไขให้กระจ่าง นั่นเป็นเหตุให้เทพนักรบเร่งรีบเดินรี่เข้าสู่ตัวอาคารโดยทันทีที่มาถึง
“เฟรทริสเดี๋ยว”
ข้อมือของเขาถูกยึดไว้อย่างกระทันหันจากผู้ที่ตามมา แววตากลุ้มกังวลตวัดกลับมามองอีกฝ่ายที่รังเขาไว้อย่างน่ารำคาญ
“ข้าอยากจะบอกเจ้าไว้ ว่าอะไรที่มันถูกขีดไว้แล้วเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้”
“คิดว่าข้าไม่รู้งั้นรึ”
“เทพนั้นเติบโตและเรียนรู้ผ่านการเฝ้ามองมนุษย์ มีโอกาสน้อยมากที่เราจะได้ประสบพบเจออารมณ์มากมายนั้นด้วยตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะโหดร้ายและหนักหนาเพียงไร ข้าอยากให้เจ้าระลึกไว้ว่าในฐานะเทพโรเรเนสนั้นถือเป็นผู้ที่โชคดีที่สุด ที่ได้สร้างบุญและเติบโตขึ้นด้วยการเป็นมนุษย์ เทพหลายองค์ต้องอวตารและสะสมบารมีอย่างมากมายเพียงเพื่อลงไปเป็นมนุษย์ซักครั้ง เฟรทริส อานาคตของน้องเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คิดทั้งหมดที่เขาต้องเจอเป็นแค่การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตเท่านั้น เทพที่ยิ่งใหญ่นั้นต้องประสพมามากกว่ารอบรู้มากกว่า....และเข้าใจมนุษย์มากกว่า เข้าใจใช่ไหม?”
ตากร้าวของเทพหนุ่มแปรเป็นอ่อนไปแล้วหลุบลงอย่างช้าๆ ผู้พูดยังพูดต่อไปเมื่อรู้ว่าฝ่ายนั้นเริ่มสงบใจพอจะรับฟังขึ้นมาแล้ว
“อีกอย่าง ยิ่งทุกข์ยิ่งพบเจอยิ่งเติบโตท้ายแล้วก็ได้กับตัวเราเองนะ”
ผู้ฟังนิ่งไตร่ตรองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างสงบใจ
“ขอบใจเจ้ามาก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีสาระกับเขาเหมือนกัน”
“เริ่มหลงแล้วล่ะสิ”
“ไอ้บ้า”
“อืม แบบนี้ดีกว่าเยอะ”
จบคำเขาก็เดินนำอีกฝ่ายไปยังส่วนในของวิมาณ เมื่อล่วงเข้าไปผ่านส่วนต่างๆทั้งห้องหับแลโถงและเขตสวน ผ่านทั้งเหล่าคนรู้จักและไม่รู้จัก เข้าไปยันส่วนสุดท้ายก็พบกับกระท่อมหลังเล็กๆตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางสวน
แรกเฟรทริสก็ไม่เข้าใจ ว่ามาทำอะไรกันในส่วนนี้เหตุใดเทพที่เป็นเจ้าของวิมาณอันใหญ่โตงดงามถึงได้มาอยู่ในกระท่อมเล็กๆในบ้านตัวเองด้วย แต่เมื่อเดินเข้าไปภายในกระท่อมก็พบกลับห้องโถงวงกลมขนาดใหญ่ที่ไม่น่าเป็นไปได้เมื่อมองจากภายนอก โถงนั้นสีดำมืดเหมือนกลางคืน แต่ทุกสิ่งในห้องกลับเห็นได้ชัดด้วยมันมีแสงในตัวเอง ทั้งกองม้วนกระดาษตำราและของแปลกๆรกๆที่หมกไปทั่วห้อง บนเพดานนั้นเป็นภาพย่อของจักรวาลที่มีดวงดาวเคลื่อนหมุนอยู่เป็นวง ที่ผนังรอบๆมีตัวหนักสือที่อ่านลำบากวิ่งสลับกันไปมาไม่อาจจับความได้ทัน
แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือตรงจุดใจกลางของห้องมีสมุดเล่มเขื่องใหญ่ประมาณครึ่งตัวคนวางกางอยู่บนโต๊ะทรงสูง บนกระดาษสีเหลืองอ่อนของมันนั้นปรากฎเป็นตัวอักษรเรียงบรรทัดกันไล่ลงมาเหมือนถูกเขียน ตัวอักษรเหล่านั้นปรากฏขึ้นทีละตัวจนจบคำ จบประโยค จบบรรทัด สุดท้ายเมื่อถูกเขียนจนหมดหน้ากระดาษอักษรทั้งหมดก็หายไป พลันก็เริ่มเขียนใหม่อีกครั้งตั้งแต่แรกที่มุมบน ความเร็วของการปรากฏของตัวอักษรแต่ละตัวนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียยิ่งกว่าการกวาดตา
นี่กระมังสมุดพยากรณ์ที่เขียนเรื่องราวโชคชะตาทั้งหมดของมวลมนุษย์และเหล่าเทพ เทวาเกศแดงคิดขึ้นกับตนเอง เหล่ามนุษย์นั้นไม่เคยรู้เลยพวกเขามักคิดวาองค์เทพเป็นผู้กำหนดชีวิตมนุษย์ แต่อันที่จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยสมุดเล่มนี้นี่ล่ะเป็นผู้กระทำโดยไม่มีใครกำหนดหรือบงการอะไรได้ ไม่ได้เพียงชะตามนุษย์ชะตาเทพก็ถูกสิ่งนี้ขีดเขียนขึ้นมาเช่นกัน
“แปลกใช่ไหม?” เสียงของชายชราดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระพรวนที่ไม่รู้ว่ามาจากตรงไหน เมื่อหันมองตามเสียงก็พบชายชราผมสีดอกเลาและหนวดเคราที่ยาวครือกันไปจนเกือนถึงหัวเข่า เขาสวมชุดสีเทาที่ทอจากเนื้อผ้าหยาบ ไม่มีเครื่องทรงใดๆประดับตัวให้สมฐานะเทพเช่นเทพองค์อื่นๆ ชายชราเดินเข้ามาใกล้เทพหนุ่มทั้งสองอย่างช้าๆก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าสมุดเล่มนั้น ก่อนจะก้มมองตัวหนังสือที่วิ่งไปด้วยตาหรี่เล็ก
“อืม....เหมือนเดิมทุกกัปล์กัล”
เขายืนอ่านข้อความเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้อง จนองค์นักรบเริ่มทนไม่ไหวจะส่งเสียงกระแอมขึ้นมาเบาๆ แต่ผู้เฒ่าก็ยังนิ่งเฉยจนเสียงกระแอมนั้นต้องดังขึ้นเรื่อยๆเขาถึงจะหันมามองอย่างประหลาดใจ
“อ่อ...โอ้...อภัยข้าด้วยท่านองค์เทพ ข้าชรามากแล้วความจำก็ไม่ดีหูก็ไม่ดี”
“มิเป็นไรหรอกท่าน หากข้าเพียงแต่อยากแสดงความคำรพและทักทายเจ้าของบ้านก่อนเท่านั้น ข้าเฟรทริสเทพแห่งนักรบน่าแปลกเหลือเกินที่ท่านอามินอสเป็นเทพพาหนะของข้าแต่ข้ากลับไม่เคยเจอท่านผู้ชุบเลี้ยงเขามาเลย”
“โฮ่ ไม่แปลกหรอก ปรกติเขาจะเจอพ่อแม่อีกฝ่ายก็ตอนตกลงจะแต่งกันนั่นแหละ”
เฟรทริสเบิ่งตาด้วยตกใจต่างกับคนข้างๆที่กลับต้องกลั้นขำ
“ช่างเถอะๆ ก็ถือว่าได้เจอกันแล้ว อื้ม” เขาเดินถอยออกมาจากสมุดเล่มหนาแล้วเหมือนจะความหาอะไรบางอย่าง
“ท่านสงสัยในเรื่องของ...เทพแห่งพืชพันธ์คนนั้นใช่ไหม”
“ใช่ ใช่ครับ” เฟรทริสกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีแล้วเข้าประเด็นอย่างตื่นเต้น“ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้และข้าจะทำอะไรได้บ้างให้เขากลับมาเป็นเทพโดยเร็ว”
“ปรกติชีวิตมนุษย์นั้นสั้น อีกไม่นานเขาก็ต้องกลับมาเป็นเทพอยู่แล้วไม่ใช่รึ”
“ใช่เพียงแต่....ข้าไม่ต้องการให้เขาทรมาณอีก ข้าต้องการให้เขากลับมาเสียเดี๋ยวนี้ หากมีสิทธิ์สังหารเขาได้หรือไม่เพื่อเขาจะได้กลับมาหรือมีวิธีใดบ้างที่จะยุติเรื่องทั้งหมดนี้”
ชายชราคุ้ยหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ขนาดมันไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือ เขาเปิดมันออกแล้วไล่ดูอักขระที่เรียงกันอยู่บนนั้น
“ทุกอย่างมีกฎของมันสวรรค์ก็มี หากเท่าที่ข้าอ่านนี้ข้าบอกได้ว่ามีบางอย่างที่พวกท่านไม่มีสิทธิ์รู้เพราะมันยังไม่ถึงเวลาเกิด อันที่จริงอนาคตเป็นสิ่งต้องห้าม หากรู้เห็นได้ก็เพียงบางส่วนฉะนั้น” เขาหุบหนังสือแล้ววางลงบนยอดของกองหนังสือข้างๆตัว
“ถึงแม้ข้าจะรู้ทุกอย่างแต่ก็สามารถบอกท่านได้แค่บางอย่าง”
“เช่นอะไรท่าน”
“เช่นว่าท่านไม่ควรทำอะไรเลยนอกจากเฝ้าดูอยู่เฉยๆและอวยพร”
“บ้าไปแล้ว!ไม่มีทาง!”
“เฟรทริส!” บุรุษปีกเงินที่นั่งข้างกันส่งเสียงปรามขึ้น เขาจึงสงบสติลงด้วยฉุกคิดได้ว่ามิควรพูดเช่นนั้นกับผู้อวุโส
“อภัยข้าด้วย ข้าทนไม่ได้หรอกนะเหตุอันใดโรเรเนสต้องลงไปตกระกำลำบากเช่นนั้นด้วย จิตของเขาบริสุทธิ์มากไม่เคยทำชั่วอันใด เรื่องทั้งหมดนี้ไม่สมควรจะเกิดอย่างยิ่ง ข้ามองไม่เห็นเหตุสมควรใดๆเลย”
“อืม....ถ้ามองในมุมว่าสมควรไม่สมควรท่านก็ถูก เพราะเขาไม่เคยกระทำการใดอันเป็นสิ่งผิดเลย หากแต่ข้าคงต้องบอกท่านว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เป็นผลมาจากอดีตแต่เป็นเพราะอนาคตต่างหาก”
ครานี้เทพหนุ่มเกิดฉงนขึ้นเมื่อได้ยิน ผู้เฒ่าโบกมือครั้งหนึ่งห้องที่รกรุงรังก็พลันหายกลายเป็นห้องโล่งที่มีเก้าอี้ให้นั่งสำหรับทั้งสาม เขาทรุดนั่งลงไปบนเบาะนุ่มแล้วผายมือเป็นการเชิยให้แขกทั้งสองลงนั่งเช่นเดียวกัน
“ท่านอามินอสก็ได้พูดกับท่านไปแล้วก่อนจะเข้ามาว่านี่เป็นการเตรียมการบางอย่างสำหรับอนาคตของเทพแห่งพืชพันธุ์คนนั้นใช่หรือไม่”
เฟรทริสมีสีหน้าประหลาดใจแลก็หันไปมองคนข้างๆเหมือนอยากจะได้คำตอบบางอย่าง ฝ่ายเทพพาหนะก็ยิ้มให้ก่อนจะยักคิ้วเป็นอันว่าคิดตรงกัน ใช่เทพพยากรณ์รู้ไปเสียทุกสิ่ง
“ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง” ช่ายชราเอ่ยขึ้นให้ทั้งสองหันมาตั้งใจฟังต่อ
“ครั้งหนึ่งมีชาวประมง ผู้ที่เป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้านด้วยเขานั้นเป็นคนดีและมีน้ำใจให้ทุกคนเสมอหากแต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องร้าย ทำให้เรือเขานั้นอับปางลง” เขาหยุดอึดใจหนึ่งแล้วพลันถ้วยน้ำชาใบจิ๋วก็โผล่ขึ้นมา ชายชราจิบมันเล็กน้อยให้พอชุ่มคอ
“โชคยังดีเขาถูกช่วยไว้ แต่ในโชคดีนั้นก็มีโชคร้ายด้วยเรือที่มาช่วยเขาขณะลอยกลางทะเลนั้นเป็นเรือของโจรสลัด แต่โอ้ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด โจรสลัดน่ะดีกับเขามากๆแต่ที่ไม่ดีคือเหล่ากองทัพเรือของอาณาจักรที่โจรสลัดเพิ่งไปปล้นมานั่นแหละเป็นปัญหา พวกโจรสลัดนั้นมีคดีติดตัวจึงทำให้ถูกตามล่าเมื่อเหล่าโจรสลัดถูกจับ ชายชาวประมงก็ติดร่างแหไปด้วยเพราะทหารไม่เชื่อว่าเขาไม่ใช่โจรสลัด...ถึงตรงนี้เราคงจะพูดได้ว่าเขาโชคร้ายใช่ไหม?”
องค์เทพเกศแดงพยักหน้าน้อยๆและยังใคร่ครวญ
“เขามิได้ทำอะไรผิดพลาดเลย เขาไม่ได้เป็นโจรสลัดนั้นอย่างหนึ่ง เขาไม่ได้จงใจเข้าไปยุ่งกับโจรสลัด เขาไม่ได้จงใจจะให้ตนเรือล่ม สิ่งเดียวที่เขาจงใจนั่นก็คือเขาจงใจจะไปหาปลาซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพ อันที่จริงเขาไม่ได้ตัดสินใจอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย และเรื่องเลวร้ายทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยความโชคร้ายของเขาโดยแท้”
“ทีนี้ เมื่อเขาถูกจับเข้าคุก มันก็เป็นเหตุบังเอิญที่เขาได้อยู่ร่วมคุกกับนักปราชญ์ คนหนึ่งปราชญ์คนนี้ถือเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดของยุคสมัยเพราะเขาเป็นคนที่ใช้ความรู้ที่ตนวิเคราะห์ขึ้นมาและได้บอกแก่มนุษย์ผู้อื่นๆว่าโลกนั้นเป็นทรงกลม”
ชายชราเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพึมพำ
สำหรับข้านั่นน่าประทับใจมาก“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รับได้นักปราชญ์ผู้นั้นถึงต้องถูกจับขังคุก แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือชายชาวประมงได้มีเพื่อนเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดและสอนทุกอย่างให้แก่เขาโดยผ่านการพูดคุยผ่านห้องขัง จนเมื่อหลายปีผ่านไปเขาก็อาจเรียกได้ว่าเป็นชาวประมงที่ฉลาดที่สุดเลยก็ว่าได้....ท่านเริ่มเห็นความโชคดีของเขาขึ้นมาบ้างหรือยัง”
“แต่เขาจะฉลาดขึ้นไปทำไมเล่าท่านในเมื่อเขาต้องอยู่ในคุกไปชั่วชีวิต”
“นั่นก็จริง หากแต่เขาไม่ได้อยู่ในนั้นไปชั่วชีวิตหรอกนะท่าน ด้วยเขาเมื่อเขาฉลาดขึ้นเขาก็สามารถวางแผนหลบหนีออกมาจากคุกนั่นได้ หากแต่น่าเศร้าที่เขาไม่อาจพาเพื่อนนักปราชญ์ผู้ชราหนีออกมาได้ ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ของเขาเสียชีวิตลงเพราะอ่อนล้าจากการหลบหนี แต่นั่นก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนด้วยก่อนตายเขาได้ขอให้ลูกศิษย์ของเขาที่มีอยู่หนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งก็คือชาวประมงคนเดิมของเรานั่นเอง สืบสานเจนารมณ์ของเขาต่อไป ทำให้หลังจากนั้นชายชาวประมงได้ศึกษาหาความรู้ตามแนวทางที่อาจารย์ได้สิน ตนเขาเองได้กลายเป็นนักปราชญ์สั่งสอนผู้คนไปทั่ว แม้ท้ายแล้วเขาจะยังถูกประหารด้วยสั่งสอนสิ่งที่ขัดกับหลักศาสนาแต่ชื่อของเขาก็ยังถูกจดจำไปอีกนานกลายเป็นบิดาแห่งศาสตร์ความรู้ของมวลมนุษย์"
“สุดท้ายเขาก็กลายเป็นบุคคลสำคัญ?”
“นั่นคือที่ข้าจะบอก ทุกชีวิตมักถูกกำหนดไว้แล้วชายคนนั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นชาวประมง แต่เขาถูกขีดไว้ให้เป็นบุคคลสำคัญ ฉันใดฉันนั้นองค์เทพแห่งพืชพันธุ์ก็ไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เป็นเพียงแค่เทพแห่งพืชพันธุ์แต่ชะตาของเขาถูกขีดให้มาเป็นสิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้น...มันก็เลยต้องลำบากซับซ้อนเช่นชีวิตของชาวประมงนั่นแหละ”
เฟรทริสเม้มปากสนิท แม้ลึกๆเขาจะเข้าใจแต่นั่นมันมนุษย์แต่โรเรเนสเป็นเทพมันจำเป็นต้องยุ่งยากเช่นมนุษย์ด้วยหรือ
“นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลยท่าน ชีวิตมนุษย์และเทพนั้นไม่เหมือนกัน ท่านมิควรยกมาเปรียบกันเทพทุกองค์ก่อนกำเนิดก็มักถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นอะไร เช่นท่าน เช่นข้า ทุกคนมีตำแหน่งหน้าที่เป็นของตนเองข้าไม่เคยได้ยินว่าเทพแห่งสายลมจะกลับกลายเป็นเป็นเทพแห่งเพลิงบ้างเลย เช่นนี้โรเรเนสจะกลายเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์ได้เยี่ยงไรท่าน”
ชายชรานิ่งฟังและพยักหน้าน้อยๆเหมือนคิดตาม แต่เมื่อฟังฝ่ายนั้นพูดจบไปไม่กี่ชั่วอึดใจเขาก็พลันยกยิ้มขึ้นแล้วมองเทพแห่งนักรบอย่างอ่อนโยนเอ็นดูเหมือนมองเด็กเล็กๆ
“เช่นที่ท่านพูดนั้นก็ถูก หากแต่ข้าต้องขอเห็นต่างในคำของท่านในบางข้อ” เขาสูดหายใจช้าแล้วเริ่มอธิบาย
“ข้อแรก มิใช่ทุกผู้ทุกองค์ในแดนสรวงนี้ที่จะถูกกำหนดมาชัดเจน ดั่งเช่นอามินอส ...ข้ายืนยันว่าสถานะและความเป็นมาของเขานั้นไม่ชัดเจนแม่นมหาเทพก็ไม่อาจบอกได้อย่างถูกต้อง ข้อนี้ท่านอลงไปตรองดู
ข้อสอง จริงอยู่ว่าไม่เคยมีเทพที่แปรสถานะ หากแต่ที่มีสถานะเพิ่มเติมก็มีมากไม่ใช่น้อย เช่นองค์เทวีแห่งงานศิลป์แต่เก่าก่อนพระองค์ก็ดูแลแต่ส่วนงานศิลป์ แต่เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่แดนมนุษย์พระองค์ก็ลงไปช่วยปราบทุกข์เข็ญจนภายหลังได้รับการแต่งตั้งจากเหล่ามหาเทพให้ทรงกลายเป็นเทพแห่งการปกป้องควบคู่ไปกับการดูแลงานศิลป์ของท่าน หรืออย่างองค์เทพแห่งเสียงเพลงผู้ชอบทรงพิณก็ทรงเคยช่วยเหลือเหล่าเทวดาจากการโจมตีของพญามารเมื่อนานมาแล้วจนองค์ท่านเสียแขนไปข้างหนึ่งทรงพิณไม่ได้แต่ก็ยังได้ตำแหน่งเทพแห่งเสียงเพลงอยู่แถมพ่วงด้วยต่ำแหน่งเทพแห่งการเสียสละ
นี่คือสิ่งที่ข้าจะบอกท่าน ท่านเฟสทริส องค์โรเรเนสยังคงเป็ฯเทพแห่งพืชพันธุ์อย่างแน่นอนแต่หลังจากนี้เขาจะมีสถานะมากขึ้นโดยไม่อาจบอกท่านได้ว่าคืออะไร”
“แต่ท่าน ทั้งหมดที่ท่านเล่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นบนสวรรค์ทั้งนั้น หากโณเรเนสต้องมีอันจะเปลี่ยนแปลเช่นเทพองค์อื่นทำไหมเขาต้องไปตกระกรรมลำบากเช่นมนุษย์ด้วย เรื่องชาวประมงนั้นข้าเข้าใจดีด้วยเขานั้นเป็ฯมนุษย์และความเจ็บปวดและความลำบากสามารถสร้างมนุษย์ที่วิเศษและเหนือกว่าผู้อื่นได้ แต่สำหรับเทพข้าไม่เห็นว่ามันจำเป็นเลย เทพไม่ใช่มนุษย์ทำไมเราต้องพัฒนาตัวเองด้วยวิธีเดียวกับมนุษย์ด้วยล่ะท่าน”
“เราไม่ใช่มนุษย์แต่เราก็ไม่ได้เหนือกว่ามากมายอย่างที่ท่านคิด เทพก็ลงไปเป็นมนุษย์ได้มนายืก็ไปเป็นเทพได้ ทั้งเทพละมนุษย์มีจุดเกิดและสิ้นสุด ที่สำคัญชีวิตของทุกมวลทั้งมนุษย์ สัตว์และเทพ อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์บางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้และพวกเราทั้งหมดมีชีวิตที่ถูกขีดไว้ด้วยสมุดเล่มนั้น” เขาชี้ปลายนิ้วไปที่สมุดเล่มเขื่องเล่มเดิมที่กลางห้อง
“เราทั้งหมดไม่ต่างกันสำหรับสมุดเล่มนั้นที่ควบคุมทุกชีวิตอยู่ นั่นคือสิ่งที่ท่านควรเข้าใจ”
เทพหนุ่มเกศแดงจ้องมองสมุดเล่มนั้นอยู่นานเหมือนจะรอให้มันตอบโต้เขาทั้งที่เป็นไปไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหนือเทพยังมีบางสิ่งที่เป็นกฏเกณฑ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดทั้งหมดนี้ได้โดยไม่รู้ว่าอะไร เหนือการเวลาและการทำความเข้าใจ เช่นนี้เขาก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่ต้องเป็นไปแก่น้องชายของเขาได้ ไม่อาจเปลี่ยงแปลงหรือเทรกแทรงได้ ไม่อาจคาดเดาหรือวางใจได้
แต่แม้นจะเข้าใจแต่ก็ไม่อาจทำใจ เขาไม่อาจทนดูผู้เป็นที่รักทนทุกข์ทรมาณเช่นนี้ได้หรอก
“มันจะเลวร้ายไปกว่านี้ไหมแล้วข้าจะทำอะไรได้บ้าง” แววตาปวดร้าวส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้นเขาจะเป็นเทพชั้นสูงที่แยกเรื่องหน้าที่และเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้(บ้างเล็กน้อย) แต่เมื่อเกิดเหตุกับผู้ใกล้ชิดก็ไม่อาจยินยอมต่อโชคชะตาได้โดยง่าย
“โอ้ ไม่เลวร้ายหรอกท่านชีวิตขององค์โณเรเนสเมื่อเทียบกับเรื่องของชาวประมงนับว่าองค์ท่านโชคดีอยู่มาก ที่สำคัญอีกหน่อยอะไรๆมันจะดีขึ้นอย่างแน่นนอน อย่าทำหน้าเช่นนั้นสิท่านข้ามิได้พูดปด ยามนี้เป็นช่วงที่เลวร้ายแต่เมื่อผ่านพ้นไปแล้วอะไรๆจะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับอาจไม่ดีเลิศเลออาจมีตกระกำลำบากหรือมีให้ช้ำใจบ้างแต่ก็ไม่แต่ไปกว่าที่เป็นนี้อยางแน่นอนข้ารับรองได้ องคืโรเรเนสไม่ได้อ่อนแอเหมือนภายนอกเขาหรอกนะท่าน เขาก็เป็นบุรุษเช่นเดียวกับท่านและเขาจะรับมือทุกอย่างได้ข้าบอกไว้ก่อนเลย”
“เอิ่ม...สมุดชะตาเขียนไว้เช่นนั้นหรือ มันจะดีกว่านี้ใช่ไหม?”
“แน่นอนท่าน หากแต่ถ้าท่านไม่สบายใจก็โปรดทำพิธีโปรยพรคุ้มป้องกันภัยให้เขาเสียวันนี้ ยามนี้เขาเป็นมนุษย์พรจากเทพเขาสามารถรับได้อยู่แล้ว ความรักและหวังดีของท่านจะเป็นเครื่องป้องกันเขาเอง โปรดใจเย็นอย่าวู่วามทำอะไรเหนืออำนาจของท่านเลยท่านเฟรทริส ยามนี้เขาไม่ใช่น้องชายของท่านแล้วเขาถือได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งแล้วสิ่งที่เทพพึ่งกระทำเมื่อหวังดีในตัวมนุษย์คือการให้พร จงกลับวิมาณแล้วไปให้พรองค์โรเรเนสเสียเถิดท่านนั่นเป็นทางเดียวที่ดีที่สุด”
เขาพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจขอลาในที่สุดด้วยรู้ว่าทั้งหมดที่ตนมีสิทธิ์จะรู้นั้นคงมีเพียงเท่านี้ ถามอะไรมากไปกวานี้ก็คงไม่ได้ เจ้าบ้านผู้แสนดีก็เดินไปส่งถึงหน้าวิมาณแล้วร่ำลาอย่างเป็นกันเองทั้งยังกำชับว่าคราวหน้าคราวหลังมีอะไรคาใจก็มาหาได้จะช่วยเหลือตามสมควร
หลังจากนั้นเฟรทริสกลับอามินอสก็บินกลับวิมาณ หากแต่แม้นขณะเดินทางสิ่งมากมายที่คาใจก็ยังผุดขึ้นมาอยู่เนืองๆ จนแล้วเฟรทริสก็จำต้องเอ่ยคำถามหนึ่งในสิ่งที่ค้างคาอยู่นั้นออกมา นั่นคือบางอย่างเกี่ยวกับเทพชราเมื่อครู่
“นี่เจ้านกบ้า ท่านเทพพยากรณ์เป็นเทพไม่มีแก่ไม่มีเสื่อมทำไมท่านถึงยังอยู่ในร่างชราเช่นนั้นไม่ยอมจำแลงร่างที่สวยงามเหมือนควรจะเป็น”
“เขาเคยบอกข้าว่าอยากเก็บภาพสุดท้ายของตนเองไว้ก่อนจะได้เป็นเทพพยากรณ์น่ะ”
“หา เขาเคยเป็นอะไรน่ะ เคยเป็นเทพแห่งความชรามาก่อนหรือไงถึงอยากคงความแก่ไว้น่ะ” เทพพาหนะเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดแก้เสียให้ถูก
“ใช่ซะที่ไหนเล่า! พิเรนทร์จริงร่างที่เจ้าเห็นนั้นเป็นร่างก่อนตายยามเมื่อท่านเป็นมนุษย์น่ะ”
“ห่ะ?”
“อืม....ท่านเคยเป็นชาวประมงมาก่อน”
“..........”
ความทึ่งตะลึกยังค้างคาอยู่ในใจเทพนักรบไปอีกนานแม้นกระทั่งตอนที่ถึงวิมาณ
--------------------
ลูกโลกใบใสใหญ่เรืองแสงจ้ากว่าที่เคยเมื่อองค์เทพแห่งนักรมแตะฝ่ามือลงบนผิวหยุ่นๆของมันพลางร่ายเวทย์ปกปักษ์ลงไปยังแดนมนุษย์ ในการจับจ้องของบุรุษปีกเงินและแมวยักษ์ตัวขาวที่ตกลงคืนดีกันเรียบร้อย
เฟรทริสร่ายมนต์หลายบทยาวเหยียดที่จำเพาะเจาะจงให้ลงไปถึงบุรุษรูปงามเพียงผู้เดียวที่ขณะนี้นอนขดตัวโดดเดี่ยวอยู่ในห้องกว้าง แม้นจะเจ็บปวดที่ต้องเห็นสภาพทุกข์ทนของผู้เป็นที่รัก แต่เขาก็ทำได้เพียงส่งความรู้สึกอันห่วงหาและพรเท่าที่จะถึงไปได้เพียงเท่านั้น
เพียงขอ ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ แม้นจะไม่ด้วยดี แต่ก็ขอให้เป็นอย่างที่ควรเป็นและไม่เลวร้ายมากเกินไป....
เทพหนุ่มเกศแดงยังคงพึมพำบทเวทย์อย่างตั้งใจอยู่เช่นนั้น ยามเมื่อองค์แมวตัวขาวฟูย่างเขามาสบทบเขาก็ยังไม่ทันสังเกตุ จนเมื่อเจ้าแมวยักษืยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งจรดแตะไปบนผิวโลกใสนั่นแหละถึงได้รู้ว่าองค์หม่าว ก็กำลังพยายามช่วยทาสของตนอยู่เหมือนกัน....
ใช่ ทั้งหมดนั้นส่งลงไปถึงหน้างามราวรูปสลักนั่น
แล้วโรเรเนสก็รู้สึกตน อย่างน้อยๆ ถึงกระแสความอบอุ่นและเปี่ยมสุขบางอย่าง จนในห้วงฝันเขาเริ่มคิดแล้วว่าตนได้กลับมาส่าวรรค์เรียบร้อยแล้ว หากแต่ก็มิใช่หรอก...
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ......
ใช่ห้องนี้ ห้องเดิมนั่นแหละ ห้องที่เขาถูกขังอยู่ในนี้มาเกือบสัปดาห์แล้ว...
-----------------------------------
ยังอยู่ค่ะ แม้นจะอัพช้าแต่ยังไม่ไปไหนค่ะ และขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านและทุกท่านที่ยังอยู่นะคะ