จู่ๆเขาก็หยุดมือที่กำลังกอบกำดินร่วนเนื้อละเอียดนั้นเสียแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองนั่งเหม่ออยู่แบบนั้น โรเรเนสกำลังคิดว่าลางสังหรณ์ของเขาน่าจะถูก อีกไม่นานเขาต้องเตรียมตัวต่อการมาถึงของบุรุษที่เขาเลี่ยงการพบเจอมานาน
มีคืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อนเขาตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือนมีใครกำลังจ้องมอง แต่เมื่อมองสำรวจแลออกเสียงเรียกไปทั่วก็ไม่พบจริงๆว่าจะมีผู้ใดอยู่ร่วมห้องกับเขา กระนั้นก็เถิดเขาก็ยังมั่นใจว่าฟารันนั้นมาหาเขาที่ห้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรดลใจทำให้เขาคิดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกได้แบบนั้นจริง หลังจากนั้นเมื่อล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลันหลับฝันไปถึงความทรงจำบางอย่างที่เขาลืมเลือนไปแล้ว กับการมาเยือนของเด็กน้อยที่เฝ้ามองเขาวันแล้ววันเล่าพลางซบแก้มใสลงบนต้นขาหินอ่อนอันเย็นเฉียบของเทวรูป
แล้วเมื่อตื่นเขาก็คิดขึ้นได้ว่าควรจะสะสางความสัมพันธ์คาราคาซังนี้ซะ มันควรจะเรียบง่ายและจบสิ้นไปเสียมิให้เหลือเยื่อใยแห่งความหวังใดๆที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่ามันยังมีอยู่ ก็จนเมื่อเช้าวานนี้เขาก็เดินเข้าไปหาลากลอซและพูดไปอย่างเรียบง่ายว่าเขาต้องการพูดคุยกับองค์ราห์โอถึงเรื่องทุกอย่างในอดีต ปัจจุบันและอนาคตที่ระหว่างพวกเขามันควรจะเป็นไป แม้จะผิดธรรมเนียมไปเสียหน่อยที่จะเรียกให้กษัตริย์มาหาแทนที่ข้าราชการในระดับเขาจะต้องเป็นคนไปเข้าเฝ้าเอง แต่แน่นอนว่าสำหรับความรู้สึกที่เขามีต่ออีก่ายทำให้มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น จึงได้ฝากบอกไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าอยากจะมาคุยหรือไม่ก็ได้
เขาไม่อาจล่วงรู้ได้หรอกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทิ้งเวลาเป็นวันกว่าจะหาโอกาสมาพบเขาได้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นและได้แต่ทำงานไปเรื่อยๆจนความรู้สึกว่าตนกำลังจะได้พบคนๆนั้นมันเกิดขึ้น
องค์ราห์โอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยากคุยด้วย แน่นอนว่าเขารู้สึกดีใจที่โอกาสจะปรับความเข้าใจนั้นมาถึงแล้วแต่ความกังวลกับคำตอบที่จะได้รับกลับมานั้นยังวนเวียน ความกระวนกระวายนั้นสุมอกมาตั้งแต่เมื่อวานท่ามกลางความวุ่นวายของภาระ ยามนี้เขาก็กำลังสาวเท้าอย่างหนักแน่นเดินตรงไปยังโถงทางเดินที่เชื่อมไปยังสวนและพยายามอย่างที่สุดที่จะระงับสติอารมณ์ของตนไว้เมื่อยามก้าวเข้าไปในเรือนกระจกนั้น แล้วยิ่งต้องข่มความรู้สึกมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเดินย่างเข้าไปใกล้แผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังวางกล้าต้นน้อยลงดิน
โรเรเนสนั่งอยู่เช่นนั้นกับชุดฝ้ายสีหม่นและผ้ากันเปื้อนเนื้อเดียวกัน ผมสีม่วงอ่อนของเขาถักเป็นเปียหลวมๆยาวไปถึงกลางหลังต้นคอสีขาวเนียนนั้นมองดูจากด้านหลังไม่อาจเห็นรอยแผลเป็นจากคมดาบได้แต่เมื่อเอนเอียงเมียงมองไปซ้ายทีขวาทียามทำงานก็เห็นได้บ้างกับซีกหน้าที่ผุดผาดและบางส่วนของรอยแผลที่ยังชัดเจนอยู่
“ลากลอสบอกว่าเจ้าอยากคุยกับข้า”
มือเรียวผละออกจากงานที่ทำ เขาไม่แสดงอาการแปลกใจใดๆกับการมาเยือนและไม่แม้จะหันไปมอง
“ใช่แล้ว”
ฟารันกัดปากตัวเองแน่นเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้พร้อมทั้งเรียกขึ้นด้วยสุ้มเสียงเจือเศร้า
“โรเรเนส ข้า...”
“อย่าเข้ามา”
“.............”
“อภัยข้าด้วยหากต้องสนทนากับท่านอย่างไม่สมเกียรติ แต่ถ้าเราอยากจะพูดคุยกันอย่างจริงจังโปรดจงอยู่ในจุดที่ท่านยืนนั้นเถิด”
เขาหยุดยืนตามคำห้ามก่อนจะพยายามอีกครั้งแล้วเป็นฝ่ายเริ่มพูด
“ข้าขอโทษ”
“.............”
“ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพราะความเขลาของข้า เป็นความผิดของข้า ข้าขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ข้าทำลงไป ขอโทษสำหรับความไม่เชื่อใจ การเอาแต่ใจและทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าได้พลาดไป ข้า...”
ผู้ที่นั่งหันหลังยังนิ่งไม่มีเสียงตอบและคาดไม่ได้ว่ากำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรอยู่
“ให้โอกาสข้าเถอะ อภัยให้ข้าด้วย”
หน้าสวยหลุบตาลงต่ำ เขาทิ้งช่วงไปปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารออยู่พักหนึ่ง
“ท่านจะบอกว่าท่านเชื่อแล้วว่าข้าเป็นเทพ?”
องค์ราห์โอนิ่งงันไป คำพูดและคำเตือนของท่านหมอฝุดขึ้นในกระแสสำนึกของเขา
“ข้าบอกได้เพียงแค่ทั้งหมดที่ข้าทำได้นี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าและดีที่สุดสำหรับท่านหมอ”
“ท่านส่งเขาไปอยู่ที่อื่น!” เด็กหนุ่มกล่าเสียงเครือเขาเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อยพอให้เห็นหางตาที่รื้นน้ำนั้น
“ถ้าท่านคิดว่าเพียงการไว้ชีวิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและปราณีที่สุดท่านก็เข้าใจผิดแล้ว เหตุผลเดียวที่ข้ายังอยู่นั่นคือต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้ท่านหมอนั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการที่สุด...ไม่ใช่การดูแลจากท่านหรือคำขอโทษของท่าน”
“มันมีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่อาจล่วงรู้และเข้าใจได้ โรเรเนสตอนนี้ข้าตาสว่างแล้วสัญญาว่าข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ข้าบอกได้แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้สิ่งที่เป็นอยู่มันคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ”
“นั่นก็ตามแต่ท่านจะตัดสินใจเถอะ ข้าก็เป็นแค่คนสวนไม่ใช่หรือ”
“ยกโทษให้ข้าเถอะนะ ขอให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีกซักครั้งเถอะ”
เทพหนุ่มเกศม่วงเงียบไปอีกครั้ง คราวนี้ทิ้งช่วงนานกว่าเดิมจนฟารันเกือบจะเอ่ยปากถามซ้ำอีกรอบแต่แล้วก็ชะงักไปเพราะผู้ถูกถามลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเดินห่างออกไป ท่ามกลางหมู่มวลพรรณพืชที่ค่อยๆเริ่มแตกยอดอ่อนบ้างเป็นพุ่มบ้างเป็นต้น
“ราห์โอข้าจะดูแลสวนของท่านให้ดีที่สุด”
เขากล่าวขณะก้าวย่างข้ามสะพานเล็กๆที่สร้างอยู่เหนือลำธารประดิษฐ์นั้นไปอีกฝั่ง
“ในยามนี้มีไม้ดอกหลายพันธุ์ในสวนแห่งนี้กำลังค่อยๆเบ่งบานตามใจปรารถนาของท่านและข้าจะพยายามกับอีกมากมายในนี้ที่ยังไม่ยอมออกดอก”
เขาเดินเลี้ยวเข้าไปยังใต้ต้นไม้ขนาดกลางๆต้นหนึ่งก่อนจะหันกลับมาทว่าก็ยังมิอาจมองเห็นกันและกันได้ด้วยแมกไม้ที่แผ่กิ่งนั้นบดบังหน้างามและคราบน้ำตายาดใสนั้นอยู่
“เว้นเสียแต่ต้นอนาไลต้นนี้ ที่จะบานเพียงสามปีครั้งในช่วงฤดูเหมันต์เท่านั้นและช่วงเวลานั้นไปผ่านพ้นไปแล้วต่อให้พยายามแค่ไหนหรือเรียกร้องมากเพียงใดนางก็ไม่อาจผลิบานดอกงามใดๆให้ได้ยลโฉม ทุกสิ่งทุกอย่างมีช่วงเวลาเหมาะสมของมันแล้วเมื่อมันได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่อาจหวนคืนได้”
เสียงธารน้ำนั้นไหลรินแม้นจะแผ่นเบาแต่ก็ยังฟังชัดท่ามกลางเสียงซ่าของน้ำตกกระจกที่ครอบอยู่รอบด้าน ริมฝีปากระเรือนั้นเรียบสนิทสีของมันเด่นชัดอยู่ระหว่างสีเขียวๆของใบไม้ นั่นคือทั้งหมดที่ฟารันจะมองเห็นได้ เขาไม่อาจรับรู้ความรู้สึกใดๆผ่านสีหน้าของอีกฝ่ายทำได้แต่เพียงจ้องมองริมฝีปากงามนั้นและเฝ้ารอให้มันขยับเอื้อนเอ่ยออกมา
“ข้าสามารถยกโทษให้ท่านได้แต่ข้าไม่สามารถจะรู้สึกดีกับท่านได้ สิ่งที่ข้าต้องการบอกแก่ท่านก็คือข้าอยากให้ท่านเลิกคิดเสียทีว่าทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ช่วงเวลาผลิบานของอนาไลได้ผ่านไปแล้วท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรือขอขมาใดๆแก่ข้า หากต้องการให้ข้ายกโทษให้ข้าก็ทำให้ได้แต่หากท่านต้องการความรู้สึกที่ข้าเคยมีให้นั่นคงเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีช่วงเวลาของมันเมื่อมันหมดไปแล้วก็เท่านั้นมันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจฝืนได้ หัวใจก็เช่นกัน”
“จะให้ข้าทำเช่นไร....ความทรมาณที่ข้ามีนี้ยังไม่พอจะชดใช้กระนั้นรึหากเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้มากกว่านี้ข้าก็ยอมเพียงแค่บอกมาว่าทำอย่างไรเราถึงจะกลับมาดีกันได้อีก”
“ข้าไม่รู้หรอก นี่มันเหนือเกินไปกว่าที่สิ่งใดในจักรวาลจะทำได้ ความคิดนั้นอาจพอจะจัดการได้จะขอให้ข้าคิดให้อภัยท่านั้นย่อมทำได้ แต่ความรู้สึกของคนนั้นไม่อาจจัดการได้ข้าจึงไม่สามารถรู้สึกดีกับท่านเหมือนเช่นที่ผ่านมาได้และข้าก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับในเรื่องของจิตใจนี้”
เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วเดินหายไปหลังลำต้นครานี้ก็ไม่อาจมองเห็นได้แม้ปลายเส้นผมเหลือเพียงเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนเป็นต้นอนาไลนั่นเองที่เป็นคนพูด
“ข้าเป็นเทพอยู่มาหลายพันปียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบังคับจิตใจคนได้อย่างไร การที่ท่านขอให้ข้ากลับไปรู้สึกกับท่านดั่งเช่นแต่เก่าก่อนนั้นข้าก็จนปัญญาเพราะแม้นใจข้าเองข้าก็สั่งมันไม่ได้”
“......โรเรเนส”
“ข้าเป็นเทพข้ายังทำไม่ได้แต่ถ้าท่านคิดว่าราห์โอทำได้ก็ทำ ข้าก็ขอให้ท่านเริ่มจากจิตใจของท่านก่อน....ทำให้มันไม่รู้สึกอะไรเช่นที่ข้าไม่รู้สึกแล้วกับท่าน”
บาดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจความเจ็บหน่วงนั้นหนักแน่นจนเขาพูดไม่ออก ฟารันนิ่งงันไร้สุ้มเสียงความรู้สึกนั้นถาโถมท่วมท้นขึ้นมาจนจุกแลพลันก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างตีบตันอยู่ในลำคอ เขากัดฟันแน่นเหมือนพยายามให้ทั้งหมดที่รื้นขึ้นในใจนั้นกลับย้อนลงไป เขาค่อยๆหายใจลึกๆก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มันสั่น
ตาเศร้าคู่งามค่อยๆเคลื่อนออกจากเงาไม้เขามองลอดใบไม้หนาทึบนั้นออกไปเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆใบหน้าหล่อคมสันนั้นดูทรมาณจนยากจะปิดมิด ตาคมนั้นหลุบลงมองต่ำจนปอยผมสีเข้มนั้นหล่นลงมาปรกหน้าในบางส่วน
นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดแต่เขาต้องทำ
โรเรเนสเดินออกมาจากแมกไม้นั่นแล้วค่อยๆย่างเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฟารันมองร่างนั้นด้วยอารมณ์หลายอย่างทั้งโหยหาทั้งเจ็บปวด แววตาอ่อนโยนที่มองมาท้นไปด้วยความเศร้าและคำถาม ทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรแก่กันจนกระทั่งเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดนิ่งในระยะที่ห่างกันพอตัวแต่ก็ใกล้มากพอที่จะเห็นสีหน้าของทั้งสองฝ่ายได้
“ข้าอาจมองหน้าท่านได้หลังจากนี้ แต่เราก็เพียงแค่ทำงานร่วมกันได้อยู่ร่วมชายคากันได้ เพียงเท่านี้ที่ข้าต้องการในความสัมพันธ์ของเราขอข้าเป็นเพียงแค่คนๆหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่นี่เถอะ”
ฟารันขบริมฝีปากแน่นเขาจ้องลึกลงไปในตาเศร้าคู่นั้นก่อนจะต้องเบือนหนีด้วยทนไม่ได้
“ท่านกลับไปเสียเถิดเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“เจ้ารู้อะไรไหม”
“...........”
“แม้นช่วงเวลาของการผลิดอกนั้นผ่านไปแล้วและแม้ไม่ว่าจะต้องรอนานเท่าใด แต่ซักวันหนึ่งอนาไลก็จะต้องผลิดดอกของมันมาอีกครั้ง และข้าก็ยินดีที่จะรอ”
“อย่ารอเลยเพราะถึงแม้จะมีฤดูกาลเป็นตัวกำหนดแต่อนาไลต้นนี้อยู่ผิดที่ผิดทางไม่มีอะไรการันตรีได้ว่ามันจะออกดอกได้ มันมาไกลเหลือเกินจากบ้านเกิดของมันมาสู่ดินที่มันไม่รู้จักสภาพที่มันไม่คุ้นเคยข้าไม่อาจรับประกันได้เลยว่าอีกสามปีหลังจากนี้หรือนานไปกว่านั้นมันจะออกดอกหรือไม่.....ท่านกลับไปเถิดกลับไปใช้ชีวิตของท่านส่วนอนาไลต้นนี้มันก็อยู่ได้อยู่แล้วถึงแม้ไม่มีท่านมีแค่ลำธารสายนี้ให้น้ำมันก็เพียงพอแล้ว”
ฟารันเลื่อนสายตามามองคนตรงหน้า ใบหน้างามนั้นเรียบเฉยแม้จะดูออกว่ามีคราบน้ำตาแต่ก็ชัดเจนในคำพูดของเขานั่นแล้วว่ามันจบเพียงเท่านี้
“ข้าไม่อาจจะล้างความรู้สึกที่มีต่อเจ้าได้แม้นที่ผ่านมาข้าจะทำตัวเช่นนั้น” เจ้าของตาคมนั้นเอ่ยขึ้น “และข้าก็ไม่อาจห้ามให้ตัวเองล้มเลิกความตั้งใจได้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้”
แล้วเขาก็เดินจากมาตามคำขอ หันหลังกลับออกไปจนสิ้นเสียงและไร้เงาของเขานั่นแหละ ตาหวานเศร้านั้นถึงยอมปล่อยน้ำตาออกมา
--------------- ----------------- ------------------
[/color][/b]
อีกวันหนึ่งของแดดจ้าที่ร้อนระอุ ฟารันกำลังสะสางงานอยู่ในห้องทรงงานร่วมกับลากลอสพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับเอกสารมากมายจนเกือบไม่ได้สนใจกองจดหมายที่เพิ่งมาใหม่เลย หากไม่เพราะลากลอสสังเกตุเห็นลายมือที่คุ้นคาประทับอยู่บนซองจดหมายฉบับหนึ่งนั่นแหละ พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าอะไรกำลังจะมาถึง
“ให้ข้าอ่านให้ไหม” ลากลอสถามพลางชูจดหมายฉบับนั้นขึ้น
“อ่านแล้วสรุปให้ข้าฟังก็พอ เนื้อหาจริงๆคงมีอยู่ไม่กี่บรรทัดนอกนั้นก็คงแค่เรื่องไร้สาระของเจ้านั่นอีกตามเคย”
คนสนิทค่อยๆฉีกจดหมายออกอ่าน ในนั้นมีจำนวนแผ่นกระดาษอยู่4-5แผ่นแต่เขาก็แค่กวาดตาไปมามากกว่าที่จะอ่านโดยละเอียดเพราะเป็นเช่นที่ราห์โอกล่าวว่าบุคคลผู้นี้มีน้ำมากกว่าเนื้อในใจความจดหมาย ซึ่งอันที่จริงนั่นก็เป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว จนกระทั่งได้พบกับข้อความทิ้งท้ายที่เป็นใจความจริงๆของทั้งหมดเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา
“สรุปได้ว่าเขามาถึงแล้ว”
“อะไรนะ” ราห์โอวางปากกาขนนกลงแล้วหันไปมองอย่างอึ้งๆ
“จดหมายนี้ถูกส่งมาจากนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เช่นนี้เขาก็คงมาถึงในวังนี้แล้วตอนนี้” กษัตริย์หนุ่มเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ทำอะไรปุบปับตามใจแบบนี้ทุกทีสินะเจ้านั่นน่ะ”
“ก็ควรที่เขาจะมาอยู่หรอกก็ท่านเล่นส่งอาจารย์ของเขาไปนอกประเทศเสียนี่ เขารู้เรื่องทั้งหมดรึยังละ”
“ถ้าจะรู้ก็คงรู้จากเจ้าที่แอบบอกเขาไปนั่นแหละ”
“จะทรงไปรับเขาไหมฝ่าบาท”
“เจ้าก็ไปรับสิสนิทกันดีไม่ใช่หรอ”
“ไม่ล่ะ น่ากลัวจะตาย”
“ถ้างั้นก็ช่างมัน ถ้ามันอยากเจอข้าเดี๋ยวก็มาหาข้าเองแหละ เอาจดหมายอื่นส่งมาให้ข้าที”
ราห์โอลงมืออ่านจดหมายฉบับอื่นและสะสางงานต่อไป เขาไม่ได้พูดถึงเจ้าของจดหมายฉบับแรกอีกแม้จะยังรำคาญใจเกี่ยวกับเรื่องที่รับรู้ไปเมื่อครู่ก็ตาม คงมีแต่ลากลอสที่เหมือนจะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
----------- -------------- -------------------
[/color][/b]
เป็นอีกวันในสวนกระจกที่หนุ่มเกศม่วงนั้นต้องทำงาน ด้วยพืชพันธุ์ในส่วนอื่นนั้นยังพอให้คนอื่นดูแลได้เพราะเป็นไม้ในเขตร้อนเว้นแต่ในสวนนี้ที่เป็นไม้เขตหนาวจึงต้องรับการดูแลเป็นพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญระดับองค์เทพกันเลยทีเดียวอย่างเช่นเขาเพื่อจะให้พวกมันผลิดอกออกผลกันได้บ้าง
โรเรเนสได้ขอให้มีเรือนหลังเล็กอีกหลังสร้างเป็นกระท่อมอยู่ในสวนแห่งนี้เพื่อเพาะกล้าอ่อนของเมล็ดพันธุ์ต่างถิ่น ในขณะที่เขากำลังตั้งอกตั้งใจหอบเจ้าต้นไม้น้อยๆนั้นออกมาลงดินที่ขุดเตรียมไว้เสียงบานประตูก็ดังขึ้น ตอนแรกนั้นเขาแอบตกใจอยู่เหมือนกันเพราะสวนแห่งนี้มีเพียงคนที่ฟารันอนาญาติเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ฉะนั้นวูบแรกเขาก็คิดไปว่าฟารันจะมาหา แต่เมื่อเงยหน้ามามองก็พบว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ยิ้มละไมเข้ามา
บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวพอดีตัวคล้ายคลึงกับชุดประจำตำแหน่งที่โรเรเนสได้ แต่ต่างกันตรงเนื้อผ้าของชายผู้นี้ดูเหมือนเป็นผ้าฝ้ายที่ใส่สบายกว่ามาก หน้าตานั้นหล่อเหลาจมูกโด่งสันเป็นตาคมคู่นั้นทอประกายอันอ่อนโยนส่งมาที่เขา เรือนผมนั้นเป็นสีดำขลับแต่ดูเรียบร้อยดูดีด้วยเส้นผมละเอียดเล็ก แต่ลักษณะเด่นอีกอย่างที่น่าจะทำให้ชายคนนี้ดูใจดีเป็นพิเศษก็คงเป็นแว่นตาใสกรอบบางที่เขาสวมใส่อยู่
“ท่านคงเป็นโรเรเนสใช่ไหม?” รอยยิ้มอบอุ่นนั้นดูดีเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นคนแปลกหน้าเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกไว้ใจได้เพราะท่าทางที่สุภาพของเขา
“ใช่ ยินดีที่ได้รู้จักท่านคือ...”
“ตัวข้านี้เป็นหมอมาใหม่จะและเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอชัคบา หลังจากนี้ข้าคงจะได้มาเป็นหมอหลวงของที่นี่โปรดเรียกข้าว่าหมอโฮอย่างที่คนอื่นเขาเรียกกันเถิด”
รูปร่างน่าตาดูดีสมส่วน ค่อนข้างน่าทึ่งว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งหมอหลวงอันเป็นตำแหน่งสำคัญของผู้ทรงปัญญาจะเป็นคนที่ดูเด็กขนาดนี้ จะว่าไปบุรุษผู้นี้น่าจะแกกว่าอายุ(กายมนุษย์)ของโรเรเนสเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
“หมอโฮ” เด็กหนุ่มเรียกตามอย่างไม่ขัดเขินเขายิ้มตอบให้อย่างน่ารักและพอใจที่จะจ้องมองเข้าไปในแววตาลึกอุ่นสีฟ้าใสที่อยู่หลังกรอบแว่นนั้นไม่ได้
“ข้าจำเป็นต้องสานต่องานของท่านอาจารย์ สำหรับการสร้างความคุ้นเคยนี้พวกเราจะเดินคุยกันไปได้ไหม” หน้างามพยักหน้าตอบน้อยๆก่อนจะย่างก้าวไปพร้อมกับอีกคน
“งานของหมอหลวงตามปรกติแล้วจะต้องดูแลแต่เพียงสมาชิกของราชวงศ์เท่านั้น หากแต่ท่านอาจารย์ได้รวมท่านไว้ในรายชื่อคนไข้ของเขาด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับตัวท่านเท่าที่ข้าทราบก็เพียงแค่ท่านเป็นชายความจำเสื่อมจากโอเรนเดลเท่านั้น นอกนั้นข้าก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรอีก อาจารย์เพียงแต่บอกข้าว่าหากข้าได้ตรวจร่างกายของท่านก็จะได้รู้ในสิ่งเดียวกับที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ ในจุดนี้ขอข้าถามท่านหน่อยได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วท่านเป็นใครและป่วยเป็นอะไร”
“นั่นสิข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าป่วยเป็นอะไร แต่ถ้าถามคนแถวนี้นอกจากเขาจะตอบกันว่าข้าความจำเสื่อมยังจะพูดอีกว่าข้านั้นสติฟั่นเฟือนเพราะหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นเทพ”
คราวนี้หมอหนุ่มหยุดชะงักแลมองมายังคู่สนทนาอย่างสงสัยเจือสงสารเล็กน้อย
“เป็นจริงอย่างที่ท่านอาจารย์บอกจริงๆด้วย”
“อะไรหรือ”
“ว่าเจ้านั้นเคยโดนรังแกใช่หรือไม่” หมอหนุ่มจ้องมองด้วยแววตาอ่อนโยนจนผู้ถูกมองรู้สึกประหลาด โรเรเนสหลุบตาลงต่ำเขารู้สึกว่าหมอคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขาคุ้ยเคยอย่างประหลาดและพาลให้นึกถึงคนบางคนที่เคยมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้เช่นกัน ต่างกันตรงที่ท่านหมอคนใหม่ดูใจดีกว่ากันมากมายยิ่งนัก
“ไม่หรอก เรื่องมันผ่านไปแล้วและตอนนี้ข้าสบายดีไม่ได้ป่วยไข้อะไร ถ้าไม่นับเรื่องความทรงจำของข้าตัวข้านี้ก็สุขสบายดี”
“เช่นนั้นหรอกรึ แต่สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีเลยนะ ให้ข้าตรวจหน่อยได้ไหม” โดยเจ้าตัวยังไม่อนุญาติหมอหนุ่มก็จับข้อมืออีกฝายมาวัดชีพจร การสัมผัสตัวอย่างกระทันหันนั้นทำให้เด็กหนุ่มตกใจอยู่เหมือนกันแต่พอเห็นท่าที่จริงจังของหมอก็รู้สึกคลายใจเพราะเข้าใจได้ว่าฝ่ายนั้นคงแค่ทำตามหน้าที่ของตนเองจริงๆ
“เจ้ารู้ไหมร่างกายกับจิตใจคนเราเชื่อมถึงกันนะ ข้าบอกได้ว่าร่างกายเจ้านั้นแข็งแรงดีก็จริงแต่กระนั้นมันก็ยังบอกได้ว่าความทุกข์ที่อยู่ในใจเจ้านั้นมีมากจนจับได้แม้ดูด้วยตา” เขาปล่อยข้อมือขาวนั้นแล้วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“คงจะเป็นคนที่ใจร้ายน่าดูถึงข่มเหงจิตใจคนที่น่ารักเช่นเจ้าได้”
“มะ ไม่หรอกท่านอย่างกล่าวแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันเลย” เด็กหนุ่มเกิดอาการขวยขึ้นเมื่อถูกชม เขาอมยิ้มน้อยๆเหมือนจะขำขัน อีกฝ่ายนั้นก็เห็นสนุกด้วยเลยหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดต่อ
“หะๆๆ อภัยข้าเถอะ เจ้าคงรู้สึกขนลุกน่าดูล่ะสิข้าไม่ได้มีเจตนาจะเกี้ยวเจ้าหรอกนะ ข้าก็แค่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้น”
“ไม่หรอก ข้าแค่ไม่คิดว่าจะเจอผู้ชายด้วยกันพูดหวานใส่แบบนี้บ่อยๆ”
“บ่อยๆงั้นรึ มีชายที่ไหนเกี้ยวเจ้าบ่อยหรือไร”
คราวนี้ยิ้มละไมของหนุ่มเกศม่วงนั้นจางลงด้วยความทรงจำอันหอมหวานที่เขาเคยมีกับคนบางคนที่เคยอ่อนโยนและใจดีได้หวนขึ้นมา หมอโฮรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเศร้านั้นจึงถามต่อไป
“ข้าถามได้ไหม ว่าเขาคือคนที่รังแกเจ้างั้นหรือ”
ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ หมอหนุ่มจึงเลื่อนสายตาลงมามองที่ต้นคอขาวที่ประทับรอยจางๆของคมดาบเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปแตะแผลเป็นนั้นอย่างแผ่วเบา ร่างขาวสะดุ้งน้อยๆแต่ก็ไม่ได้หนีมือ
“เขาทำกับเจ้าขนาดนี้เลยรึ”
แพขนตากระพริบช้าๆ ก่อนตาหวานเศร้านั้นจะช้อนมองสบตากับอีกฝ่าย พวกเขาจ้องมองกันอยู่ในระยะใกล้จนกระทั่งมีแขกมาเยือน
“นั่นปะไร!กะแล้วเชียว ดีนะที่ข้าไม่ได้เอาจดหมายนั่นให้ฝ่าบาททรงอ่านเอง” ลากลอสโพล่งขึ้นมาขณะสาวเท้าเข้ามาในห้อง
“ลากลอส!” หมอหนุ่มร้องขึ้นอย่างดีใจเขาผละมือจากหนุ่มตาหวานนั่นแล้วพุ่งเข้าไปหาผู้มาใหม่ทันที่ก่อนจะโผเข้ากอดสหายที่ไม่เจอกันนานเสียแน่นจนลากลอสต้องร้องโวยวายออกมา
“นะ แน่นไปแล้ว ปล่อย ปล่อยอื้อ อ่อก”
ชายผู้สวมแว่นใสผละออกตามคำขอแต่ยังยิ้มอบอุ่นนุ่มละไมให้ก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้แล้วพูดเสียงนุ่ม
“ลากลอสข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับเจ้า เจ้าสบายดีใช่ไหมข้าตอนที่ข้าเป็นหมออยู่ที่ชายแดนที่นั่นกันดารมาก จดหมายเจ้าไม่ค่อยจะมาถึงข้าเลยทั้งที่ข้าเขียนกลับมามากมายแล้วแท้ๆ”
ฝ่ายผู้ถูกถามไม่ได้ดูยินดีหรือรู้สึกดีใจไปด้วยกลับทำสีหน้าเหนื่อยใจและพยายามดึงมือตัวเองออกเหมือนรังเกียจ
“ข้าสบายดี เหมือนเคยๆที่เขียนไปในจดหมายนั่นแหละ ท่านคงได้อ่านบ้างถ้ามันไม่หายไปอย่างที่ท่านกล่าว”
“ในระยะเวลา 2 ปีข้าได้รับจดหมายตอบจากเจ้ามาแค่ 3 ฉบับเท่านั้นทั้งที่ข้าเขียนมาหาเจ้าประมาณ 100 กว่าฉบับได้ ที่เหลือมันคงจะสูญหายระหว่างทางจริงๆ”
“เอ่อ มันไม่ได้หายไปหรอก ข้าเขียนไปแค่นั้นจริงๆ”
“อ่อ” หมอหนุ่มหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่แล้วก็กลับมายิ้มอุ่นให้อีกฝ่ายจนได้ ลากลอสไม่สนใจแต่หันไปมองอีกคนที่อยู่ห่างไปเล็กน้อย
“สวัสดีโรเรเนส เป็นอย่างไรบ้าง”
“ต้นไม้สบายดีข้าก็สบายดี” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ ลากลอสจึงพยักหน้ารับก่อนจะวกกลับมาคุยกับคนตรงหน้า
“ท่านน่าจะไปหาพี่ท่านก่อนนะแล้วถึงค่อยมาที่นี่”
“เห?ท่านหมอโฮมีพี่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยรึ” คราวนี้พ่อคนสวนหน้าสวยก็เดินเข้ามาสมทบแล้วมองหมออย่างสงสัย แต่ลากลอสกลับมีท่าทีรำคาญเสียเต็มประดา
“นี่ท่านยังไม่ได้บอกเขาอีกรึ”
“ก็กำลังจะบอกอยู่ ใช่ข้ามีพี่ชายทำงานอยู่ที่นี่เจ้านั่นบ้างานมากจนข้าคิดว่าต่อให้ข้าไปหาเขาก็คงไม่มีเวลามาสนใจข้าอยู่ดี”
ส่วนท้ายนั้นเขาหันไปตอบกับเด็กหนุ่ม โรเรเนสก็ยังกระตือรือร้นที่จะถามต่อไป
“งั้นหรอดีจังเลย เขาทำงานอะไรล่ะข้ารู้จักไหม”
“เจ้ารู้จักแน่นอน พี่ชายข้ามีนามว่า ฟารันน่ะเจ้าน่าจะเคยได้ยินนะ”
..........
...............
!!!!!!!!
รอยยิ้มน่ารักหายไปจากหน้าสวยทันทีเขาอ้าปากค้างแล้วจ้องมองหมอหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง ลากลอสถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิดก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม
“น่ารำคาญใช่ไหมล่ะ คิดดูสิข้าต้องทนพี่น้องเอาแต่ใจคู่นี้มาตั้งแต่เด็กเลยนะ เอาล่ะโรเรเนสบุรุษผู้นี้ก็คือองค์ชายโฮรัน พระอนุชาลำดับที่ 1 ขององค์ราห์โอ”
องค์ชายยังยิ้มอ่อนให้เด็กหนุ่มที่ยังอึ้งและทำสีหน้าอธิบายยาก
“ขออภัยที่ไม่ได้บอกก่อน หลายปีหลังข้าเป็นหมอบ้านนอกอยู่กับชาวบ้านมานาน ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าข้าเป็นใครข้าจึงติดนิสัยแนะนำแต่ชื่อไม่ระบุต่ำแหน่งแบบนี้มานานแล้ว แต่เจ้าก็ยังเรียกข้าว่าหมอโฮได้แบบเดิมนะข้าชินแบบนั้นเสียมากกว่า”
“ชาวบ้านเรียกว่าหมอโฮ แต่คนในวังเรียกเขาว่าองค์ชายหมอ”
“อะ..องค์ชาย?..หมอ?” เด็กหนุ่มกล่าวตามก่อนจะเม้มปากเรียบ เขาจ้องมองใบหน้านั้นอีกครั้งก่อนจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้นัก เพราะว่าเป็นพี่น้องกันนี่เองแต่กระนั้นก็ยังต่างกันเหลือเกินกับความอบอุ่นใจดีของผู้เป็นน้อง
ยามนี้เทพหนุ่มไม่แน่ใจว่าเข้าจะรู้สึกอย่างไร ยินดีหรือหนักใจ
:katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่ฮักยิ่ง สบายดีไหมค่ะ หายไปนานๆอีกแล้ว ก็งานสุมเหมือนเดิมล่ะค่ะ คราวนี้นี่มรสุมชีวิตเล็กๆ และยังไม่จบไม่สิ้น แต่ก็หาเวลามาเขียนฟิคได้(ก็เพิ่งจะมีเวลามาเขียนวันนี้) ขอโทษจริงๆนะคะ ยังไม่ได้ไปwsoค่ะยังเขียนอยู่แต่งานเยอะขนาด หวังว่าปิดเทอมจะมาโดยเร็วชีวิตปลายเทอมมันดราม่ามากๆเลยค่ะ
ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ
โรเรเนสรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากเมื่อตอนที่องค์ชายโฮรันออกปากว่าอยากให้เขาตามไปยังห้องสมุดที่มีตำราเกี่ยวกับยาและความทรงจำอยู่ เพราะถึงแม้จะเพิ่งพบกันท่านหมอคนใหม่ก็กระตือรือร้นเต็มที่ ที่จะหาข้อมูลเพื่อทำการรักษาให้ได้เร็วที่สุด เด็กหนุ่มจึงยอมผละงานของตนมาชั่วครู่เพื่อตามมาดูว่า ตนนั้นจะพอมีความหวังที่จะเรียกความทรงจำคืนมาหรือไม่ เช่นนี้แล้วทั้งสองรวมทั้งลากลอสจึงเดินกันไปตามทางเดินเพื่อไปที่ห้องสมุด ทว่าเส้นทางที่ต้องไปกลับเริ่มคุ้นตามากขึ้นเรื่อยๆจนท้ายแล้วแทนที่จะได้ไปต่อพวกเขากลับต้องมาหยุดอยู่หน้าห้องทรงงานของราห์โอแทน เห็นเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงส่งเสียงท้วงอย่างร้อนรน
“ไหนท่านบอกว่าจะไปห้องสมุด”
“เจ้าไม่เคยไปดอกรึ มันต้องผ่านห้องทรงงานของท่านพี่อยู่แล้ว เดี๋ยวข้าขอเข้าไปทักทายเขาเสียหน่อย โอ้ออกมาพอดี ท่านพี่!”
ราห์โอเดินออกมาเพราะได้ยินเสียงพูดคุยของคนที่คุ้นเคย พอดีกับเห็นน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนานยิ้มระรื่นเข้ามา หน้าเรียบนิ่งของเขาแปรเป็นหงุดหงิดใจเล็กน้อย
“ไม่เจอกันเสียนานเลยนะท่านพี่สบายดีรึ”
“สบายดี” เขาเหลือบตามองไปยังเด็กหนุ่มด้านหลังแล้วเอ่ยทักทายด้วยสุ้มเสียงที่อ่อนกว่าเดิมเล็กน้อย
“สวัสดีโรเรนส”
“สวัสดีฝ่าบาท” พวงแก้มแดงสบตาเมื่อยามพูดตอบแล้วก็หลุบหนีให้รู้ว่าไม่อยากสนทนาต่อ เจ้าของตาเศร้าแลดูอึดอัดกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันทีและบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองก็อึมครึมอย่างเห็นได้ชัด ชัดมากสำหรับหมอโฮที่หลิ่วตามองทั้งคู่ก่อนจะยกยิ้มอ่อนแต่มีเลศนัย
“ขออภัยหากข้ามารบกวนเวลาของท่านนะ ท่านพี่ท่านคงงานยุ่งอยู่ตลอดเวลากระมัง”
“งานข้าก็มีให้ทำทุกวันนั่นแหละแต่ถ้าเรื่องงานยุ่งนั้นก็แล้วแต่ช่วง”
“นั่นสินะ กำลังง่วนอยู่กับการเนรเทศใครอีกหรือเปล่า”
คราวนี้บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิมไปเสียอีก สองพี่น้องสบตากันนิ่งความกร้าวไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยเว้นเสียแต่คนน้องที่ยังยิ้มละมุนอย่างยียวน
“เรื่องนั้นเราก็คงจะมีเวลาคุยกันอีกยาว แต่ที่ข้าสนใจในตอนนี้คือคนไข้คนใหม่ของข้าน่ะท่านพี่” องค์ชายเอื้อมมือไปคว้าข้อแขนของเด็กหนุ่มแล้วจูงเข้ามาใกล้ตัว โรเรเนสยิ่งออกอาการอึดอัดเข้าไปใหญ่เมื่อต้องมาอยู่ใกล้สองพี่น้องขนาดนี้
“ได้คุยกันแล้วสินะ” ราห์โอเอ่ยเสียงเรียบไม่รู้ว่าถามคนไข้หรือคนเป็นหมอ แต่ก็เป็นองค์ชายที่ตอบกลับไป
“แน่นอน ข้าไปพบเขาที่สวนกระจกของท่านแหละท่านพี่ ดูคร่าวๆแล้ว” หมอหนุ่มเอื้อมมือไปช้อนคางน้อยๆนั่นแล้วสบตาให้อีกฝ่ายขวยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไล้มือไปสัมผัสแผ่วที่แผลบริเวณคอ “เขาเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรงดีแต่มีอะไรต้องตรวจต้องดูอยู่อีกเยอะเลย”
อย่างชัดเจนไม่ปิดบังแววตาริษยาปรากฎชัดในเนตรคมลึกของกษัตริย์หนุ่ม แลที่แทรกตัวอยู่ในม่านดำกร้าวนั้นเป็นความปวดร้าวเสียใจที่ผิวเผินอาจดูเหมือนน้อยใจด้วยซ้ำที่ได้เห็นภาพความสนิทสนมเช่นนั้นตรงหน้า ก็เด็กหนุ่มหน้าสวยไม่ได้มีทีท่าแม้แต่น้อยที่จะขัดขืนการจับต้องของอีกฝ่าย
ด้านองค์ชายหมอนั้นก็ยังสานต่อคำพูดด้วยอารมณ์ดี “ด้วยเพราะท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้ว....ด้วยเพราะท่านพี่ส่งเขาไปอยู่เสียไกลแสนไกล เช่นนี้ข้าคงต้องถามท่านพี่เสียหน่อยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้รอยที่คอนี่มาอย่างไรแล้วท่านได้เขามาในวังได้อย่างไร เพราะดูท่าทางแล้วหากข้าถามเจ้าตัวตรงๆเขาคงไม่ใคร่จะบอกข้าโดยง่าย...ด้วยเพราะใครไม่รู้น่าจะทำร้ายจิตใจเขาทำให้ไม่อยากพูดถึงสิ่งที่ข้าถาม”
ฟารันหลุบตาลง คำพูดจี้ใจดำที่น้องชายเขาถนัดนั้นแทงลึกจนรู้สึกผิดซ้ำซ้อนย้ำความพลาดที่เขาได้กระทำ
“ไม่มีข้อมูลการรักษาอยู่ในบันทึกของอาจารย์เจ้าหรือไง”
“ท่านให้บันทึกเขาตอนท่านขังเขาไว้ในคุกไหมเล่า?” องค์ชายเอ่ยสวนด้วยเสียงกระด้างโกรธ ผิดจากเดิมราห์โอกลั้นหายใจนิ่งพยายามระงับอารมณ์ทุกอย่างไว้ ด้วยเพราะในฐานะคนผิดเขาไม่มีสิทธิ์จะโกรธคำพูดของใครทั้งนั้น
“อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับชายคนนี้ก็ถามลากลอซเอาดูเถิด ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว” เขาหลิ่วตามองเด็กหนุ่มฝ่ายนั้นก็สบตาตอบแต่แล้วก็หนีหน้าด้วยอาการเศร้า เช่นนั้นราห์โอจึงหันหลังเดินกลับไปในห้อง
“เจ้าเป็นหมอก็ฝากดูแลเขาด้วยแล้วกัน”
องค์ชายหมอหันไปมองหน้ากับลากลอซ ฝ่ายนั้นก็ยักไหล่ใส่เหมือนว่าก็ไม่เข้าใจราห์โองี่เง่าคนนี้เช่นกัน
“เช่นนั้นเราไปที่ห้องสมุดกันเถอะโรเรเนส เจ้าจะไปด้วยไหมลากลอซ”
“ไม่ล่ะ ข้าคงต้องช่วยงานราห์โอต่อ”
องค์ชายพยักหน้ารับคำแล้วก้มลงมองใบหน้าหวานเศร้านั้นก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ไปกันเถอะนะ” เขาวางมือลงบนศรีษะนุ่มนั่นอย่างแผ่วเบา ทั้งยังสังเกตได้ว่าคนไข้ของเขาทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ โรเรเนสสูดหายใจเข้าแล้วผ่อนลงช้าๆเขาพยักหน้าขึงขังไล่อาการเศร้าให้จางไป
“ไปกันเถอะท่านหมอโฮ”
*********** *********** ***********
เสียงน้ำไหลรินลงกระทบผิวน้ำดังชัดเป็นสายเหมือนจับไม่ได้เลยว่ามีจังหวะไหนบ้างที่มันเริ่มสัมผัสกับผืนน้ำ ท่อน้ำที่ส่วนปลายหัวเป็นรูปสิงโตนูนออกมาจากผนังทั้งสามด้านสายน้ำนั้นเทซู่ออกมาอย่างสม่ำเสมอจากทั้งสามทิศแล้วกระเพื่อมเป็นวงซ้อมทับไปมา ห้องอาบน้ำห้องนี้ตบแต่งอย่างหรูหราด้วยเสาหินทรายและเหล่าเครื่องทอง บนเพดานนั้นก็มีลวดลายทาสีสดไว้บอกเล่าถึงการลงเล่นน้ำของเทพบางองค์ ส่วนเสานั้นแจะสลักฐานเป็นรูปกลีบบัวจนงามหยดแล้วก็ยังมิวายถูกฉาบทับด้วยทองแท้ซึ่งสะท้อนแสงกับน้ำให้อร่ามไปทั้งห้อง
หรูหราตามฐานันดรศักดิ์ห้องสรงน้ำส่วนพระองค์ของราห์โอแห่งนี้ถูกสร้างมานานแล้วตั้งแต่รุ่นท่านปู่ทรงบูรณะพระราชวังหลวงแห่งนี้ใหม่เสียหมด ครั้นเมื่อมาถึงรุ่นหลานอย่างฟารัน ก็มีหลายคราอยู่เช่นกันที่เขาคิดจะเลาะทองออกไปทำอย่างอื่นที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากกว่าเอามาห่อเสาหินให้เสียของ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำเพราะยังพอจะมีความเคารพต่อบรรพบุรุษอยู่บ้างและก็ยังใช้งานมันตามปรกติแม้จะเบื่อความหรูหราจนเขาแทบจะรู้สึกว่าไร้รสนิยมสิ้นดีกับห้องอาบน้ำแห่งนี้ ก็ช่วยไม่ได้ท่านปู่นั้นก็มีสนมเสียตั้งร้อยกว่าคน
ห้องอาบน้ำขนาดใหญ่นี้มีแต่ส่วนนั่งเล่นนอนเล่นไม่จำเป็นเต็มไปหมดเพื่อรองรับสนมจำนวนมากที่จะมาลงสรงน้ำเล่นกับท่านปู่ของเขา หน้าตามันจึงออกมาเป็นเช่นนี้แต่พอถึงคราวตัวเขาเองนั้นมันก็เกือบจะเหมือนเป็นห้องน้ำร้างๆไปเลยเมื่อเขามายืนแช่น้ำแต่เพียงผู้เดียว มือแกร่งกวักน้ำลูบไล้กดถูร่างกายไปทั่ว ใบหน้าคมสันเปียกปอนนั้นดูจริงจังแม้นไม่ได้ขบคิดมากความในเรื่องใด
“ใช้สถานที่ไม่คุ้มเสียเลย ท่านพี่ทำไมไม่หาสาวๆมาช่วยอาบน้ำเสียเล่า” เสียงคุ้นเคยดังแว่วเข้ามาจากทางหนึ่งตามด้วยเสียงหย่อนตัวลงน้ำขององค์ชายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยร่างเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับพี่ชาย ใบหน้าเกลี้ยงเกลายามไร้แว่นตาน่าดูไม่แพ้คนพี่ แต่ผิดกันที่ผิวพรรณที่ออกจะผ่องกว่าเล็กน้อยทั้งที่ออกแดดมากกว่าแท้ๆ ส่วนรูปร่างนั้นหรือก็สันทัดสมบูรณ์น่าดูชมเป็นอย่างมาก
“เรื่องอาบน้ำนั้นข้าไม่เห็นข้อจำเป็นที่จะต้องให้ใครมาช่วย” ฟารันหลิ่วตามองน้องชายที่เดินเคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ
“เว้นเสียก็แต่เจ้าที่ชอบถือวิสาสะไปเสียทุกเรื่อง” โฮรันเดินเข้ามาประชิดตัวร่างแน่นเนื้อกำยำของผู้เป็นพี่ก่อนจะค่อยๆพิศมองใกล้อย่างละเอียด
“ท่านพี่ล่ะเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลย”
“ก็จะให้ข้ากลายร่างเป็นอะไรไปเสียเล่า”
“ร่างกายยังดูแข็งแรงเช่นเดิมแต่ก็ไม่ได้ดูแลส่วนที่ควรดูแลตามที่ข้าบอกเลย”
“เจ้าไปดูคนไข้ของเจ้าคนนั้นเถิด ข้าไม่ได้ป่วยอะไรเสียหน่อย”
“ตอนนี้ข้าเป็นหมอหลวงแล้วข้าก็ตรวจร่างราห์โอตามหน้าที่อยู่”
เขาไล้มองตั้งแต่ต้นคอเรื่อยลงไปยังแผงอกแน่นสีน้ำผึ้งอ่อนที่มีรอยขีดข่วนจางๆมากมาย มัดกล้ามเบียดแน่นเรียงตัวกำลังพอดีลงไปจนถึงท้องน้อยที่เด่นชัดด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัว มันบากนูนลากเป็นทางยาวตั้งแต่สะโพกผ่านช่องท้องแล้วไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆส่วนปลายสุดนั้นเห็นลางๆอยู่ใต้ผิวน้ำร่วมกับร่างกายเบื้องล่างส่วนอื่นๆ ผู้เป็นน้องชายเอื้อมมือไปแตะเบาๆที่แผลนูนก่อนจะค่อยๆลูบเบาๆเพื่อสัมผัสรอยแผล
“ท่านไม่ได้ทายาอย่างที่บอกเลยรึ”
“ถ้ามันแค่ทาได้เฉยๆข้าก็ทำไปแล้ว”
องค์ชายไล่นิ้วตามรอยแผลลงต่ำเรื่อยๆจนจมหายไปใต้ผิวน้ำ ฝ่ายผู้ถูกสัมผัสก็ไม่ได้มีที่ท่าอะไรเลยจนกระทั้งปลายนิ้วนั้นออกแรงกดลึกลงไปที่แผลตรงๆ เขาจึงออกอาการสะดุ้งน้อยๆก่อนจะขยับหนี สีหน้าเรียบนั้นเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดระคนหวั่น
“แผลเป็นมันจะเจ็บไม่หายหรอกท่านพี่ แต่หากท่านทายาแล้วนวดตามที่ข้าบอกมันจะเจ็บน้อยลงนะแล้วแผลมันก็จะยุบลงไปได้อีกด้วย”
ฟารันเบือนหน้าหนีใบหน้าแลดูอึดอัดและซ่านขึ้นเล็กน้อย เขาสูดหายใจลึกเพื่อไล่ความรู้สึกที่เหมือนอั้นเกร็งจนหายใจไม่ทั่วท้องทิ้งเสีย โฮรันมองหน้าพี่ชายตนก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ
“อ้อ ท่านอย่าบอกนะว่านอกจากความเจ็บมันยังรู้สึกแบบนั้นปนอยู่ด้วย”
“ใช่ ไม่มากเท่าเมื่อก่อนแต่ก็กระอักกระอ่วนเหลือเกินคงเป็นด้วยต่ำแหน่งของแผลนั่น ข้าจึงไม่ชอบเลย”
หมอหนุ่มก้มมองกายนั้นอย่างถ้วนถี่อีกครั้ง คิ้วสีน้ำตาลเข้มรับกับม่านมาเพ่งพินิจอย่างไตร่ตรองจริงจัง
“แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ท่านพี่จะไปยอมทายาในแผลเป็นส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย ไหนจะที่ตรงอก ตรงหลังและก็...นี่ไง” มือข้างเดิมจุมลงใต้ผิวน้ำแล้วกดเบาที่รอยบากอีกรอยบริเวณต้นขา “แผลตรงนี้ก็ยังนูนแข็งอยู่เช่นเดิม หากท่านไม่ชอบทำเองก็น่าจะให้คนอื่นทำให้บ้างนะ”
“ข้าไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัวเจ้าก็รู้”
“เช่นนั้นจะให้ข้าทาแผลให้เหมือนเมื่อก่อนงั้นรึ” หมอหนุ่มยิ้มหยอกแต่อีกฝ่ายไม่นึกสนุกจึงดึงมือน้องชายออกแล้วพูดด้วยเสียงเชิงดุ
“ไม่เอาน่าโฮรันเราทำแบบตอนเด็กๆไม่ได้แล้วนะ”
“ก็นอกจากข้าและท่านแม่ทัพคามินมันก็ไม่มีใครอื่นจะช่วยทำแผลพวกนี้ให้ท่านได้แล้วนี่ท่านพี่ แล้วก็อย่างที่รู้ท่านคามินก็ตายในสงครามไปเสียหลายสิบปีแล้ว”
ฟารันตวัดตากร้าวใส่น้องชายตนก่อนจะเดินหนีไปนั่งอยู่ที่บันไดริมสระ โฮรันยืนนิ่งอยู่ครู่แลพึงระลึกได้ว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป แม้นความปากเปราะจะเป็นวิสัยปรกติของเขาในหลายกรณีหากแต่มันย่อมต้องมีบางเรื่องที่ไม่ควรพูดส่งๆเหมือนไม่สำคัญ
“อภัยข้าด้วยท่านพี่ แต่กระนั้นก็เถิดเรื่องแผลเป็นของท่านหากรักษาได้ก็ควรทำมิใช่หรือ”
“ปล่อยมันไว้ข้าก็ไม่เดือดร้อนอะไร” กษัตริย์หนุ่มคว้าฟองน้ำที่อยู่ในชามข้างตัวมาขัดถูผิวกายในส่วนต่ำล่วงลงไป โฮรันเดินเข้าไปนั่งข้างพี่ชายก่อนจะอาสาถูแผ่นหลังนั้นให้ พวกเขาเงียบงันกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนโฮรันจะทำลายความเงียบลง
“โรเรเนสก็จะเป็นเช่นนี้”
“อะไรนะ?”
“แผลเป็นน่ะสิ---อีกอย่างข้ายังไม่ได้ตรวจร่างกายเขา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะต่างกับมนุษย์ทั่วไปมากไหมพวกเทพเนี่ย”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร” การกระทำหยุดลงทั้งสองประจันหน้าน้องชายผู้ถือดียิ้มอ่อนซ่อนด้วยแววเจ้าเล่ห์
“ท่านน่าจะบอกข้าได้นะว่าข้าพูดเรื่องอะไรอยู่”
ทั้งสองสบตานิ่งก่อนผู้เป็นพี่จะหันกลับไปปล่อยให้น้องชายเช็ดแผ่นหลังให้ต่อ
“พูดเรื่องไร้สาระ”
“ก็โรเรเนสหน้าเหมือนเทวรูปองค์ปฐมขนาดนั้น แถมชื่อก็เป็นชื่อเดียวกันอีก”
“เจ้าไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เด็กคนนั้นพูด”
“โรเรเนสไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นเทพ”
“งั้นเจ้าก็เพ้อเจ้อ”
“ถ้าท่านอยากให้ข้าช่วยในสิ่งที่ทำอยู่ก็ควรบอกกับข้ามาตรงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“อยากรู้ก็ไปถามอาจารย์เจ้าสิ เขาบอกอะไรมันก็ตามนั้นแหละ”
“นี่ท่านพี่ไม่ได้อ่านจดหมายข้าจริงๆใช่ไหมเนี่ย---” องค์ราห์โอหันกลับมาคว้าฟองน้ำแล้วจัดการขัดถูส่วนอื่นของตัวเองต่อ ในขณะที่โฮรันลงนั่งแช่นิ่งอยู่ในน้ำ “ข้าขี้เกียจมาไล่หาเนื้อที่มีอยู่น้อยนิดในจดหมายของเจ้า แล้วหากมันมีอะไรสำคัญลากลอซก็คงบอกแก่ข้าแล้ว”
“เขาไม่รู้เรื่องน่ะสิถึงเข้าใจว่ามันไม่สำคัญ แสดงว่าท่านพี่ยังไม่ได้บอกเขาใช่ไหม---ในจดหมายข้าเขียนมาว่าข้าได้คุยกับอาจารย์แล้วและรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว---ไม่ต้องมองแบบนั้น ข้ามีสายอยู่เยอะนะเรื่องหาทางติดต่อกับนักโทษเนรเทศไม่ใช่เรื่องยากเลย”
ฟารันลงนั่งข้างกันแล้วทอดถอนใจ “ลากลอสไม่ได้รู้แบบที่พวกเรารู้ เจ้าเข้าใจใช่ไหม” องค์ชายพยักหน้ารับช้าๆแล้วขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา
“เช่นนี้เรื่องที่อาจารย์บอกข้ามันก็จริงทุกอย่างสินะ---ให้ตายเถอะท่านพี่---ปล้ำเทพเนี่ยนะ”
“หุบปาก”
องค์ชายยังส่ายหัวช้าๆ แบบระอาใจ “แถมยังทำเขาอีกสารพัด---น่ารักขนาดนั้นทำลงได้ไง” ฟารันไม่ตอบโต้อะไร
ทั้งสองเงียบกันไปอีกเล็กน้อยก่อนโฮรันจะพูดขึ้นต่อ “เรื่องคนร้ายน่ะข้าพอมีสายอยู่ตามชายแดน อาจพอจะหาข่าวได้บ้าง---ส่วนโรเรเนสที่เป็นคนไข้ของข้าเนี่ย---ถือว่าข้าขอเลยแล้วกัน”
“ขออะไร” ราห์โอเงยหน้าขึ้นมองเขม็งส่วนองค์ชายนั้นก็เลิกคิ้วใส่แล้วพูดอย่างเสียมิได้ “ก็จะให้ทำอย่างไรเล่า เขาเกลียดท่านพี่ไปแล้วนิดูก็รู้ ฉะนั้นถ้าข้าจะทำอะไรท่านก็ไม่มีสิทธิมายุ่มย่ามนะท่านพี่”
ฟารันกัดฟันกรอดแต่ก็สงบอารมณ์ไว้ได้ เขารู้ทันความคิดของอีกฝ่ายและไม่ได้ยินดีแม้แต่น้อย “เขาเป็นผู้ชายนะ”
“วังนี้มีท่านพี่ชอบผู้ชายได้อยู่คนเดียวหรือไง---อันที่จริงทำไมท่านไม่บอกพวกอำมาตย์น่ารำคาญไปเลยล่ะว่าท่านชอบแบบไหน พวกนั้นจะได้ไม่ต้องสาระแนหาเมียให้ท่านอีก”
ฟารันผุดลุกขึ้นเดินออกจากสระไปยังชั้นวางผ้าเช็ดตัวก่อนจะคว้ามาใช้ผืนนึง “ข้าห้ามเจ้าไม่ได้แต่ข้าก็ไม่ได้ยินดี อย่าคิดไปว่าการนิ่งเฉยของข้าเป็นใบเบิกทางของเจ้า---จำไว้ข้าจะจับตาดูเจ้าอยู่ตลอด”
เขาสวมเสื้อคลุมแล้วก้าวเดินออกจากห้อง โดยมีเสียงขององค์ชายตะโกนไล่หลังมา “ข้าไม่มีวันป่าเถื่อนเหมือนท่านหรอก”
ท่านหมอโฮเป็นหมอที่ใจดีและดูจะใจกว้างมากกว่าที่โรเรเนสคาดไว้ เมื่อยามที่ฝ่ายนั้นบอกว่าจะเชื่อทุกอย่างที่เขาพูดและก็เป็นไปตามนั้นจริง โรเรเนสบอกเขาไปว่าตนเป็นเทพท่านหมอก็ไม่มีที่ท่าว่าจะตกอกตกใจ คราวแรกเขาคิดว่าท่านหมออาจเห็นเขาเป็นคนเสียจริตเหมือนคนอื่นๆ เลยทำเฉยเวลาเห็นเด็กพูดจาเหลวไหล แต่กลับเป็นการกระทำที่น่าตกใจที่วันถัดมาท่านหมอก้มลงคำนับเขาจนหน้าผากแตะพื้นก็แตกตื่นกันไปหมดทั้งวัง โรเรเนสจึงต้องขอให้เขาหยุด เขาก็สวนขึ้นมาอีก
“ก็จะให้ข้าปฏิบัติต่อเทพเยี่ยงไรเล่า”
ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาเกิดรู้สึกไม่อยากให้คนเห็นว่าเขาเป็นเทพ ครั้งแรกเขาไม่แน่ใจว่าหมอนั้นเชื่อเขาจริงหรือแสร้งทำเพื่อเอาใจ กระนั้นเมื่อตกลงกันได้ว่าทั้งสองจะปฏิบัติกันฉันมิตรเช่นเพื่อนทั่วไปเขาพึ่งกระทำนั่นก็ราบรื่นขึ้นมาอีกหน่อย โรเรเนสรู้สึกสบายใจกับความอ่อนโยนและใจดีของอีกฝ่าย หนึ่งคือท่านหมอดูเหมือนจะเชื่อจริงๆว่าเขาเป็นเทพแต่กระนั้นก็ยังสามารถพูดคุยกับเขาได้อย่างปรกติ สองคือเมื่อเชื่อเช่นนั้นท่านหมอก็ดูจะยินดีพาเทพเด็กน้อยไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าพึ่งใจมากที่สุด
โฮรันนั้นมักชอบพาโรเรเนสไปเที่ยวในเมืองเสมอๆ ตราบเท่าที่เขาเห็นว่ามันไม่มีอันตรายอะไรและน่ายินดียิ่งที่ได้เห็นเด็กหนุ่มร่าเริงอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามของเมืองหลวง โรเรเนสนั้นได้กล่องสำหรับเก็บของมาใบหนึ่งพร้อมสมุดเขาจะจดบันทึกอะไรก็ได้และเก็บของสำคัญได้ทุกอย่างที่เขาต้องการเพื่อให้เขาทบทวนความคิดความจำทั้งหมดซึ่งมันอาจช่วยให้ความทรงจำเขากลับมาได้มากขึ้น แล้วทางเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพื่อเรียกความทรงจำนั้นจะได้หายไปเสีย
เนื้อหาในบันทึกนั้นไม่เคยมีใครได้อ่านแต่ส่วนหนึ่งนอกเหนือจากความเห็นและความรู้สึกนั้นโณเรเนสก็บันทึกเรื่องราวในแต่ละวันที่ผ่านไปด้วย ทั้งเรื่องเจ้ากีก้าหมาน้อยที่โดนตัดขนเพราะอากาศร้อน ดอกไม้ที่เริ่มเบ่งบาน มื้อเที่ยงกับท่านหมอและตามด้วยอีกหลายมื้อที่เขามักจะกินด้วยกัน และอีกหลายอย่างที่พวกเขามักจะทำด้วยกันจนเขาอดสงสัยไม่ได้และถามขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองนั่งแช่เท้าอยู่ริมลำธารในอุทยานของวัง
“ท่านหมอโฮ ท่านไม่ต้องไปทำงานทำการอย่างอื่นหรือไรทำไมถึงมาหาข้าได้ทุกวัน” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอก โฮรันแค่นขำแบบเขินๆ
“ก็มาอยู่กับเจ้านี่ไงงานการของข้า---เจ้าเป็นคนไข้ข้านี่นา”
“เล่นกับข้าทุกวันจะช่วยให้ข้าความทรงจำคืนมาหรือไร”
“รำคาญข้าเหรอ” โฮรันถามเสียงอ่อยแล้วถอนใจทิ้ง เด็กหนุ่มตกใจเล็กน้อยแล้วเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมทำหน้ารู้สึกผิด
“เปล่านะ ข้าก็แค่กลัวว่าข้าจะทำท่านเสียเวลาน่ะแทนที่ท่านจะได้ไปดูแลคนอื่นบ้าง” ฝ่ายนั้นหันมามองหน้าอ้อนๆนั้นอย่างเอ็นดูแล้วยิ้มอ่อน
“ไม่มีคำว่าเสียเวลาหากได้อยู่ใกล้เจ้า”
......แล้วโรเรเนสก็หัวเราะร่วน
“มันว่าอะไรนะ!” องค์ราห์โอหันมาถามคนสนิทอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ลากลอสผู้นั่งอยู่ข้างโต๊ะทรงงานทวนคำกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ไม่มีคำว่าเสียเวลาหากได้อยู่ใกล้เจ้า” ราห์โอยังคงยืนอึ้งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ขณะมองออกไปเห็นเด็กหนุ่มผมม่วงกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเจ้าหมากีก้าและน้องชายตนอย่างสนุกสนาน “มันไปสรรหาคำพูดเลี่ยนๆนี้มาจากไหนกัน”
“ไม่แค่นั้นนะฝ่าบาท ยังมี ข้าไม่เพียงจะรักษาความทรงจำเจ้าแต่ข้ายังต้องการจะรักษาหัวใจเจ้าด้วย หรือ ดอกไม้จะไม่เบ่งบานได้อย่างไรในเมื่อข้ายังรู้สึกเบ่งบานในหัวใจยามที่ได้อยู่ข้างเจ้า ไม่ก็แบบ ความป่วยไข้ที่ร้ายแรงที่สุดคือความคิดถึง อะไรประมาณนี้”
“ให้ตายเถอะ” ราห์โอสบถก่อนจะลงนั่งที่โซฟาใกล้ตัว “เจ้าคิดว่ายังไง”
“ไม่รู้สิ แต่พวกสาวๆ ชอบกันนะท่านก็รู้ว่าองค์ชายมีสาวๆ มาติดตรึมเลย”
“โรเรเนสจะชอบแบบนั้นหรอ”
“เขาชอบนะ แต่ไม่ใช่แบบหลงไหลกับคำหวาน---เขาหัวเราะทุกครั้งที่องค์ชายพูดจาเลี่ยนๆ คงคิดว่าเป็นมุขตลกกระมัง ไม่ก็จักกะจี้”
ราห์โอหันมองออกไปที่หน้าต่างด้านหลังอีกครั้ง แววตานั้นซ่อนความรู้สึกประหลาดมากมายเอาไว้ภายใน
“ฝ่าบาทพวกเขาดู---สนิทและมีความสุขกันมากเลยนะ”
“อืม”
“จะไม่ทรงทำอะไรหน่อยเหรอ”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาอยู่อึดใจหนึ่ง จนลากลอสเกือบจะถามซ้ำแต่ใบหน้าคมสันที่อ่านยากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย
“ไม่ใช่ว่าไม่ทำ แต่มันทำอะไรไม่ได้”
แล้วทั้งห้องก็เงียบลงเหลือแต่เสียงหัวเราะอย่างร่างเริงของเด็กหนุ่มแว่วเคล้ากับเสียงหมาเห่าดังเข้ามา
ความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินไปได้ด้วยดีและดีขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งองค์ชายหมอจะมาช่วยเทพหนุ่มทำสวนด้วยเพื่อไม่ให้คนไข้ของเขาเสียงาน ทั้งสวนในอุทยาน ส่วนกลางแจ้งในตัววัง ส่วนหย่อมต่างๆและสวนในเรือนกระจก เช่นกันกับวันนี้ซึ่งถือเป็นวันอากาศดีอีกวันหนึ่ง โรเรเนสกำลังจัดการเล็มกิ่งไม้ดอกในอุทยานกลางแจ้งอยู่พอดีตอนที่องค์ชายโฮรันเดินเข้ามาพร้อมกับของว่าง
“ข้าเอาขนมมาให้พักกินเสียหน่อยเถอะ” เด็กหนุ่มหันมาทักทายผู้มาเยือนที่ยืนรออยู่ในศาลาพักแล้วรี่ไปกินขนมอย่างจริงจัง ระยะหลังมานี้โรเรเนสเจริญอาหารขึ้นมากแต่ไม่ยักอ้วน แถมหน้าตาก็ผุดผ่องสดใสด้วยได้รับการดูแลอย่างดีทั้งร่างกายและจิตใจเขานับว่าเป็นชายหนุ่มที่สุขภาพดีทีเดียวในตอนนี้ สามารถวิ่งเล่นกับเจ้าหมาเตี้ยได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกระทั่งทำงานสวนทั้งวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนล้า ตกเย็นก็กินดีและหลับลึกในทุกๆคืน โฮรันก็ยินดีที่คนไข้ตนเป็นเช่นนี้เพราะมันช่วยให้เห็นความต่างอย่างชัดเจนเลยว่าระหว่างเขากับพี่ชายนั้นใครปฏิบัติต่อเทพหนุ่มรูปงามองค์นี้ได้ดีกว่ากัน แม้จะไม่ได้รับคำเยินยอจากใครในเรื่องนี้แต่เขาก็รู้สึกกระหยิ่มอยู่ในใจ
“นี่เจ้าดูสวนอยู่คนเดียวรึ”
“ไม่หรอก คนสวนคนอื่นๆอยู่ด้านโน้นที่จริงอุทยานนี้สมบูณร์ดีแล้วข้าไม่จำเป็นต้องมาดูก็ได้ แต่ตอนนี้มันไม่ค่อยมีอะไรให้ทำแล้ว” เขาตอบทั้งยังเคี้ยวตุ้ยๆ
“หืม แล้วสวนกระจกล่ะเจ้าไม่ต้องทำอะไรกับมันแล้วรึ”
“ทำอะไรไม่ได้แล้ว รอเวลาอย่างเดียว”
“อ่อ ทุกอย่างมันมีช่วงเวลาของมันสินะ”
“ใช่”
อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง บริเวณที่พวกเขาอยู่เป็นสวนของไม้ดอกมีมากมายรวมทั้งไม้เถาว์เลื้อยเป็นระย้าลงมาตากต้นไม้หลายๆต้น ศาลาริมน้ำแบบโมร็อกโกสลักเสลาสวยงามด้วยลวยลายซับซ้อน ช่องประตูรอบๆ เป็นทรงโค้งและติดประดับด้วยม่านสีขาว ภายในมีทั้งโต๊ะและตั่งปูผ้าอย่างดีพร้อมกับหมอนอิงหลากสีอีกจำนวนมาก ไม้หอมนานาพันธุ์ปักอยู่ในแจกัญและโถรอบห้อง ทั้งสองนั่งกันอยู่ที่ตั่งไม้คนละฝั่งคั่นด้วยโต๊ะเตี้ยวางของว่าง สายลมอ่อนพัดเป็นระยะให้พอเย็นสบาย โฮรันจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่จริงจัง
“เจ้าชอบที่เราเป็นอยู่ไหม”
โรเรเนสยิ้มตอบรับให้ผู้ถามเล็กน้อยแล้วหันไปหยิบจอกไวน์มาจิบล้างคอ อีกฝ่ายจึงพูดสืบไป
“ข้าแค่อยากมั่นใจ ว่าข้าดูแลเจ้าได้ดี”
“ข้าชอบที่เราเป็นอยู่และข้าก็ชอบท่านมาก ท่านเป็นหมอที่ดีมากๆเลย” เทพหนุ่มตอบกลับด้วยเสียงนุ่มซ้ำยังยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ซ้ำยังเป็นสหายที่ดีด้วย”
องค์ชายยิ้มตอบอีกฝ่ายแต่กระนั้นสีหน้าก็ยังดูกังวลและจริงจังมากกว่า “โรเรเนสข้า---มันอาจฟังดูแปลกมากๆ คือเจ้าคงไม่ได้รังเกียจผู้ชายใช่ไหม ข้าหมายถึงจากที่พี่ข้าทำเจ้าอาจจะเกลียด”
เด็กหนุ่มหลุบตาลงและถอนหายใจอย่างอึดอัด องค์ชายวิตกเล็กน้อยแล้วพยายามพูดให้ดีเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายคงเริ่มไม่พอใจแล้ว “อภัยข้าด้วยที่ต้องพูดเรื่องพี่ชายข้าออกมา ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดเขาและไม่อยากนึกถึงเขาอีก แต่ข้าก็ไม่อยากให้เจ้ารังเกียจความรู้สึกที่ข้ามีให้ไปด้วยเพราะสิ่งที่เขาทำ”
โรเรเนสยังไม่ตอบอะไรเขาลุกขึ้นเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายก่อนจะลงนั่งข้างๆ กัน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท่านหมอโฮครู่หนึ่ง ฝ่ายผู้ถูกมองยิ้มให้อย่างประหม่า เขาตั้งท่าว่าจะเอ่ยบางอย่างแต่ไม่ทันได้พูดออกมาเด็กหนุ่มก็โผเข้ากอดเขาเสียแน่น
“โรเรเนส!!!!” หมอหนุ่มผู้ตระหนกหน้าแดงซ่านไปถึงหู เขานิ่งแข็งอยู่แบบนั้นเพราะตกใจและทำอะไรไม่ถูก
:katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
สวัสดีค่ะ มาช้าค่ะ อ่า..................
ไม่มีอะไร...........
ขอให้สนุกนะคะ ขอบพระคุณที่มาอ่านค่ะ
***แก้ไข้เพิ่มเติมพอดีดันเบลอลงข้ามเนื้อหาไปนิดหน่อยเลยเขามาเติมค่ะ [/color] 7/6/2558
:z6: :beat: :sad4: