พิมพ์หน้านี้ - Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Donna Nod ที่ 19-04-2014 20:34:44

หัวข้อ: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-04-2014 20:34:44
ข้อตกลงในการใช้ชีวิต ณ แดนเป็ดน้อยแห่งนี้ค่ะ


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




----------------------------------------------




สวัสดีคะ


นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

ติดขัดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ

ติได้ชมได้ ด่าเยอะๆก็ได้

ช่วงแรกๆน่าเบื่อหน่อยก็ทนหน่อยนะคะ 55555 เป็นช่วงเกริ่นเรื่อง

ว่าด้วยเรื่องความรักระหว่างคนกับเทพ แฟนตาซีนิสๆ เป็นแนวอารายธรรมโบราณ โทนๆเปอร์เซีย บาบิโลนน่ะค่ะ

ส่วนเรื่องNC....มีแน่แค่ยังไม่มา - -+

ขอให้สนุกนะคะ  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :hao7:



หัวข้อ: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา]ปฐมบทก่อนกาล
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-04-2014 20:44:33
ปฐมบท ก่อนกาล

     นานแสนนานมาแล้วทุกสิ่งเริ่มขึ้นจากความมืดมิดและว่างเปล่า จักรวาลนั้นกว้างใหญ่เหลือคณาทว่าเมื่อฝ่าเมฆหมอกมวลสารทั้งหลายที่เคว้งคว้างอยู่กลางที่ว่างมืดหม่นนั้น  กลับพบเพียงดาวเคราะห์โลกโดดเดียวอยู่เพียงดวงเดียวสำหรับจักรวาลทั้งจักรวาล 

นามของจักรวาลแห่งนี้คือโฮโปราไทต์ ซึ่งเป็นที่บรรจุดาราจักรทางช้างเผือก


ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่


ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรื่อง


 เหล่ามนุษย์แสนวุ่นวายพัฒนาไปจนถึงขีดสุดและจบลงด้วยการทำลายตัวเอง จบสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แสนศิวิไล


หลังจากนั้นหลายแสนกัลป์อยู่เหมือนกันจักรวาลทั้งใบก็ขยายตัวกว้างจนถึงจุดหนึ่งก็หดตัวลง หดเล็กเสียงยิ่งกว่าหน่วยนับใดๆเท่าที่เคยมีมนุษย์นิยามกันเอาไว้


จบสิ้นกันแล้วจักรวาลนามโฮโปราไทต์

ครานั้นมหาเทพทั้งสี่ของจักรวาลโฮโปราไทต์อันได้แก่ มหาเทวีคารามิส  มหาเทวีอาราอัส มหาเทพดาโกซ  และมหาเทพวาเรเรีย  ได้ใช้พลังทั้งปวงโอบอุ้มหน่วยจักรวาลน้อยๆนั้นไว้

จนเมื่อพลังงานของมันเสถียร ธ ทั้งสี่จึงสร้างจักรวาลขึ้นมาใหม่จากวัตถุดิบเดิม โดยให้ชื่อแก่มันว่า ไอโนทรอต จากนั้นจึงสรรค์สร้างดวงดาว ฝุ่นละออง และสภาพแวดล้อมทั้งหลายขึ้นเพื่อให้เหมาะเจาะพอดีที่จะเกิดโลกมนุษย์แห่งใหม่ขึ้นมา


ทุกรายละเอียดทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้นนั้น บันดาลให้เกิดเหล่าสิ่งมีชีวิตทิพย์หรือโอปปาติกะมากมายผุดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ทั้งสัตว์เทพ พืชพรรณ เหล่านางฟ้าเทวดาและเทพองค์ใหม่ๆจุติขึ้นมาบนสวรรค์กล่าวกันได้ว่าการสร้างโลกและจักรวาลใหม่ขึ้นมาก็ได้สร้างดินแดนแห่งใหม่ขึ้นมาบนสวรรค์นี้ด้วยเพื่อรองรับดูแลความวุ่นวายที่จะตามมาหลังจากที่โลกใหม่มีมนุษย์ถือกำเนิด

 ด้วยมนุษย์นั้นยุ่งยากนัก

เทพบางองค์เกิดใหม่ บางองค์อยู่มาตั้งแต่โลกเก่า บางองค์ได้เลื่อนขั้น และอีกหลายองค์ก็หมดบุญรอไปเกิดในกายหยาบบนโลกมนุษย์ ประชากรบนสวรรค์ไม่มีทางมีมากล้นแดนสรวงอันมโหฬารได้เลยซักครั้ง


จากนั้นยามเมื่อทุกสิ่งพอเหมาะแก่เวลาอันควรเกิด 
ดาวเคราะห์ดวงใหม่ก็ถือกำเนิด มันถูกเรียกด้วยชื่อเดียวกับที่ดาวเคราะห์ดวงเก่าเคยถูกเรียก

“โลก”

ตัวโลกนั้นถูกสรรค์สร้างขึ้นจากองค์มหาเทพทั้งสี่ เช่นเคย

มหาเทวีอาราอัสให้กำเนิดมนุษย์

มหาเทพวาเรเรียให้กำเนิดสรรพสัตว์

มหาเทวีคารามิสให้กำเนิดภูมิประเทศบนผืนดิน

มหาเทพดาโกซให้กำเนิดภูมิประเทศใต้ผิวน้ำ


เมื่อมันถือกำเนิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างพอที่จะปล่อยวางได้ องค์มหาเทพก็ได้ละหน้าทีดูแลโลกใบใหม่ให้แก่เทพชั้นรองๆลงมา
 ธ หนึ่งในนั้นที่หากไม่กล่าวถึงนั้นคงไม่ได้นั่นก็คือเทพคาออส เทพองค์เดียวที่เกิดจากการปฏิสนธิในครรภ์ขององค์มหาเทวีคารามิส

คาออสเป็นเทพหนุ่มรูปงามที่เป็นเทพชั้นสูงมาแต่โลกเก่า ถือเป็นเทพแห่งการออกแบบ ทรงออกแบบทั้งรูปร่างของเหล่าภูเขา ทุ่งหญ้า สายน้ำ และแม้นกระทั่งหุบเหว ทรงสร้างแต่งภูมิทัศน์ของโลกขึ้นมาเป็นงานที่สารต่อจากที่เหล่ามหาเทพได้เริ่มต้นไว้

จนเมื่อทุกอย่างเข้าที่ แลมนุษย์กลุ่มแรกเริ่มออกล่าสัตว์ โลกใบน้อยก็ถึงจุดที่ลงตัว ขั้นถัดไปนั้นคือการแต่งเติมเล็กน้อยและดูแลบำรุงให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรเป็น องค์คาออสจึงทูกลาเหล่ามหาเทพ พระมารดาและเทพองค์อื่นๆว่าจะขอไปบรรทมสินธุ์เพื่อพักผ่อนจากการทำงานหนัก ทิ้งหน้าที่ดูแลโลกไว้ให้เทพองค์อื่นและเทพ เฟรทริส บริวารเก่าที่ตามรับใช้มาตั้งแต่โลกเดิมทำหน้าที่แทน

ทว่าก่อนจะลาไปบรรทมนั้นเทพคาออสได้เอ่ยกับพระมารดาไว้ว่า

 “เทพชั้นสูงที่เป็นบริวารลูกมีเพียงเทพเบื้องขวาองค์เดียว ขอองค์แม่ให้ใครก็ได้สร้างขึ้นมาอีกองค์ให้เป็นเทพเบื้องซ้ายลูกด้วยเถิด จะให้เป็นแบบใดใครสร้างก็ได้ทั้งนั้นแต่ให้มีลำดับชั้นทัดเทียมกับเฟรทริสก็พอจะได้สมดุลย์กัน”

ด้วยคำพูดนี้นี่เอง เทพองค์ใหม่จึงได้ถือกำเนิดขึ้น


โรเรเนส คือนามนั้น


เทพที่งามพร้อมสรรพและครบถ้วนทุกคุณสมบัติของความสูงศักดิ์

ทว่าขาดอยู่เพียงความเดียงสา

เดียงสา ในเรื่องของมนุษย์

เดียงสาในเรื่องของความรัก


เรื่องในครั้งนี้จึงเกิดเป็นความรักระหว่างคนกับเทพ

หนึ่งเป็นเทพชั้นสูงผู้อ่อนเยาว์

อีกหนึ่งเเป็นกษัตริย์มนุษย์เผด็จการผู้ถือดี

จุดเริ่มต้นนั้นง่ายดาย

แต่จุดจบก็ไม่ทราบได้ว่าจะลงเอยเช่นไร

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดาหวานๆข้นๆ [แฟนตาซีนิ๊ดๆ] ตอนที่1 โรเรเนส
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-04-2014 20:51:05
ตอนที่1 โรเรเนส


ท้องฟ้าสีสางถือเป็นกาลปกติของที่แห่งนี้ ทั่วทั้งบริเวณมีรัศมีสว่างไสวนวลสะอาดอย่างไร้แหล่งกำเนิด กลิ่นหอมหวลของไม้นานาพันธุ์ฟุ้งขจรคละเคล้าจนมิอาจแยกแยะ ไร้โมงยามดั่งสำแดงอยู่มานานชั่วกัลป์ ไร้ขอบเขตดั่งเส้นขอบฟ้าที่ร่นถอยห่างออกไปทุกขณะ เรียกขานกันอย่างดาษดื่นว่า สวรรค์ หากแต่ในที่นี้เราจะขอเรียกว่าโลกเทพ


ล้านกัปล้านกัลป์มิอาจกล่าว ณ ที่ซึ่งเหล่าทวยเทพสถิตอยู่อย่างรื่นภิรมณ์ใจ เลื่อนไหลเวียนผ่านทุกสิ่งเป็นอนัตตาตั้งอยู่แล้วดับไป  เอกบุรุษหนึ่งที่ตั้งอยู่ ณ ขณะที่กล่าวมีนามว่าเทพโรเรเนส ผู้ทรงสถิตอยู่ในวิมาน


ภายในวิมานอันโอ่โถง มีลูกแก้วใบหนึ่งซึ่งโรเรเนสเฝ้ามองอย่างใส่ใจอยู่ทุกวัน มันเป็นดวงแก้วใสใบใหญ่เท่าตัวคนสะท้อนภาพมากมายซ้อนทับกันไปมา เหล่านั้นที่เห็นอยู่เป็นบรรดาทุกชีวิตที่อยู่บนโลก หน่วยตาเรียวปรืองดงามจดจ้องหน้าต่างส่องโลกใบนี้อย่างเหม่อลอย ริมฝีบากบางได้รูปขบลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว  เขานั่งนิ่งอยู่หน้าสิ่งนี้โดยไม่ขยับเลยซักนิด แสงสะท้อนของดวงแก้วสาดเข้าตัวยิ่งขับให้วงหน้าหมดจดน่าหลงใหลยิ่งขึ้น มันสะท้อนไล่ขึ้นไปยังกระบังหน้าสีเงินที่ประดับอยู่บนเรือนผมยาวสีม่วงจาง ทอดเป็นเงาพาดลงไปถึงครุยสีขาวเหลือบที่ชายแผ่กว้างไปกับพื้น

จดจ้องอย่างหลงใหล องค์เทพแห่งความอุดมเอื้อมนิ้วเรียวของตนไปแตะอย่างแผ่นเบาที่แก้วเบื้องหน้า เค้าชื่อ ฟารัน บุรุษมนุษย์ผู้นั้นมีชื่อว่าฟารัน

ปรากฏชัดเห็นเป็นภาพของวงหน้าเข้มคมสันชวนพิศขึ้นบนใบแก้ว ผมสีดำเงาชุ่มโชกราบติดไปกับศีรษะ กล้ามเนื้อเนียนแน่นสมส่วนชวนละลายเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำ เห็นชัดแทบทุกส่วนที่อยู่พ้นผิวน้ำที่สูงเพียงแค่ต้นขา สองมือแกร่งกวัดน้ำขึ้นลูบเนื้อตัวอย่างถ้วนถี่

โรเรเนสมองภาพตรงหน้าอย่างเพ้อพินิจ ครั้นความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาทำให้ผิวแก้มสีขาวนวลแปรเป็นสีแดงจัด สายตาหวานเศร้าเขม็งมองอย่างจดจ่อ

บางสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายกับตัวเองได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกพิกลที่ไม่มั่นใจว่าคือสิ่งใด หากแต่ก็ทำให้เขารับรู้ว่าตนเองไม่อาจละสายตาไปจากชายคนนี้ได้เลย


 ทว่าจนเมื่อเสียงกระทบของที่เคาะประตูโลหะดังขึ้นที่ด้านหลัง การลอบมองทุกอย่างจึงจบสิ้นอย่างรวดเร็ว เพียงกวาดมือผ่านใบแก้วแล้วภาพทั้งหมดก็ปลิวหายไปขณะเดียวกับที่บานประตูหินอ่อนบานเขื่องถูกผลักเข้ามา

“โรเรเนสท่านทำอะไรอยู่” ชื่อถูกเอ่ยขึ้นจากชายผู้เข้ามา ร่างกายสมบูรณ์สมบุรุษเพศ พร้อมเครื่องเกศสีแดงเพลิงปรากฏอยู่ที่ประตู เทพเฟรทริส องค์เทพแห่งนักรบ นั่นคือพระนามของท่าน ผมหยักศกที่เคยยาวระบ่าถูกมันรวบขึ้นเป็นหางม้า ตาโตคมกร้าวบ่งบอกถึงลักษณะที่มุ่งมั่น ต่างหูห่วงทองห้อยประดับอยู่ทั้งสองข้าง ร่างกายท่อนบนเปิดเผยชัดเจนแก่ทุกสายตา ด้วยเพราะครุยที่สวมทับอยู่นั้นเป็นผ้าตาข่ายสีทองขลิบขอบแดงเนื้อบางเบาดั่งผ้าส่าหรี สองขาสวมกางเกงแบบอินเดียโบราณสีเลือดยาวกรอมเท้าก้าวเข้ามาอย่างผึ่งผาย เมื่อย่างเข้ามาจวนประชิดตัวจึงเห็นถึงสัดส่วนที่ต่างกันอย่างชัดเจน โรเรเนสสูงเพียงระดับตาขององค์เทพผู้เป็นพี่เท่านั้น

“ท่านพี่...ข้ารออยู่พอดี” เจ้าของตาเชื่อมอึกอักตอบเล็กน้อย ตาคมมองเห็นถึงพิรุธจึงยิ้มหยอกก่อนจะชะเง้อมองข้ามไหล่อีกฝ่ายไปยังลูกแก้วด้านหลัง แต่เห็นเพียงลูกแก้วที่ฉายภาพทั่วๆไปเท่านั้นจึงไม่ได้เอะใจอันใด ได้แต่ถามไปอย่าซื่อบริสุทธิ์ตามนิสัยกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“งานท่าจะหนักนะท่าน กรำงานถึงกับหน้าแดงเชียว” เฟรทริสเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบไม่ใคร่จะฉุกใจใดๆเลย แต่ตาเศร้าก็หลุบหนีด้วยร้อนตัวก่อนจะช้อนมองอย่างตรงๆ
“ก็ทั่วไปล่ะท่านไม่มีอะไรหรอก”
 “งั้นรึ อืม..ดีล่ะ งั้นเราไปกันดีกว่าก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้”

เขาเอ่ยอย่างธรรมดาที่สุด ก่อนจะเดินนำหน้าเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องด้านใน โดยไม่สนเรื่องมารยาทใดๆ
สองพี่น้องต่างสายเลือดนั้นเป็นเช่นนี้
คนหนึ่งกล้าหาญ เคร่งครัด และซื่อตรงเป็นที่สุด ทุกสิ่งในใจฉายออกมาทางตาคมใสอย่างชัดแจ้ง
อีกคนเงียบขรึม ถือตัว แฝงด้วยความเร้นลับนับร้อยประการใต้วงหน้างามและตาเศร้า

------------------------
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา]ตอนที่1.1 โรเรเนส
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-04-2014 21:05:45
           ภายในห้องที่ทั้งสองเดินเข้าไปนั้น เป็นห้องโถงกว้างหลังคานั้นเปิดโล่ง ที่พื้นผิวเบื้องล่างถูกปกคลุมไปด้วยผืนหญ้านิ่มหนาทว่าสภาพแวดล้อมก็ดั่งป่ารกชัดแต่จะดูดีกว่าเสียหน่อยด้วยพันธุ์พืชนับล้านๆชนิดถูดจัดหมวดหมู่และจัดเรียงกันอย่างดี ตั้งแต่ต้นไม่ใหญ่สิบคนโอบไปยังตะไคร่น้ำก็ยังมี ด้วยนี่คือห้องทำงานของเทพเจ้าของวิมาณองค์นี้นี่เอง

หากสิ่งที่ทั้งสองสนใจนั้นมิใช่เหล่าพฤกษา แต่คือซาลาเปาลูกใหญ่สูงห้าเมตรวางอย่างสงบนิ่งอยู่ ณ ใจกลางห้องต่างหาก....ใช่ซาลาเปาขาวๆนุ่มๆ


            องค์เทพผู้สวมครุยสว่างเยื้องกลายเข้าไปใกล้ ใช้มือตบเบาๆที่ซาลาเปายักษ์สองสามครั้ง แล้วซาลาเปาก็เปลี่ยนพื้นผิวขาวละเอียดเป็นขนฟูฟ่องขึ้นมาในบัดดล ก้อนนิ่มกลมก็กลายร่างเป็นแมวอ้วนพันธุ์สก๊อตติสโฟล(หูตูบ)ขนหนาสีขาวสะอาดตา มันผงกหัวขึ้นมามองเจ้าของด้วยสายตาง่วงงุน ก่อนจะค่อยๆยืนเหยียดแข้งขาจนหางสั่นไล่ความขี้เกียจออกไป แล้วนอนหมอบต่ำเพื่อให้นายของตนขึ้นขี่หลัง


นี่คือท่านเทพเลวีเรี่ยน  ณ หม่าวหม่าว สัตว์เทพพาหะนะของโรเรเนส ท่านองค์เลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าวทรงเป็นมหาเทพแห่งแมวทั้งปวง ยิ่งใหญ่กว่าราชาราชสีห์ทั้งสิบสองโลกรวมกัน มวลมนุษย์นั้นนับถืออย่างทั่วถึง ทรงมีวิหารประจำองค์เยอะเสียยิ่งกว่าเทพโรเรเนสนายของตนเสียอีก ด้วยทรงมีพระวรกายฟูนุ่มอุดมสมบูรณ์จนเกือบเผละจึงถูกเรียกว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวยและโชคลาภ มีฤทธาสูงส่งด้วยกรงเล็บศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดภัยร้ายและจอมมารทั้งปวงได้อย่างหมดจด มนุษย์ผู้ใดมีพระฉายาหรือรูปเคารพไว้บูชาจะประสพพบแต่ความมั่งคั่งดังนี้เอย...

ทว่าโรเรเนสกลับเรียกท่านด้วยพระฉายาน่าเอ็นดูว่า ซาลาเปา ซึ่งมีแต่โรเรเนสเท่านั้นที่เรียกได้เทพอื่นใดแม้นจะเป็นถึงมหาเทพทั้งสี่ก็มิมีอำนาจจะเรียกซาลาเปาได้เลย หากเรียกก็ต้องเรียกด้วยความนอบน้อมบูชาอย่างเต็มยศว่า เทพเลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าว เสียทุกครั้ง


 โรเรเนสยกมือลูบศีรษะท่านซาลาเปาด้วยความเอ็นดูเพียงหนึ่งครั้ง เครื่องทรงประดับพระองค์ก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง เจ้านายรูปงามขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังท่านตัวฟูก่อนจะมองลงมาที่เทพเฟรทรีสด้วยตาฉงนเล็กก็น้อย

“ท่านพี่จะทรงซาลาเปาไปกับข้ารึ แล้วท่านอามินอสล่ะ”

เพียงแค่ได้ยินนามนั่นเพียงนิดเดียว สีหน้าของเฟรทรีสก็แปรเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่ายเสียพื้นไปอย่างนั้น เค้ากรอกตาไปมาก่อนจะเอ่ย

“อย่าพึ่งพูดถึงเจ้านั่นได้ไหม พี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าได้คนแบบนี้มาร่วมชายคา”

ผู้กล่าวนั้นหมายถึงเทพพาหนะของตนนั่นเอง พาหนะของเทพเฟรทรีสมิใช่สัตว์เทพแต่เป็นองค์เทพกึ่งสัตว์เสียมากกว่า ลำดับชั้นนั้นก็บารมีสูงทัดเทียมเขา ปากคอเรอะร้าย กวนประสาท เทพอามินอสจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเทพเฟรทรีสมาโดยตลอด

“ท่านพี่น่าจะดีกับเค้าหน่อยนะ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ร่วมวิมานกัน” 

ผู้ฟังส่ายหัวเหนื่อยหน่ายเมื่อปีนขึ้นหลังแมวยักษ์ ทั้งสองจัดระเบียบร่างกายให้เหมาะเจาะแก่การทรงแมวเพื่อเดินทาง เมื่อเรียบร้อยดีแล้วโรเรเนสก็หันไปมองดวงแก้วใบใหญ่ที่อยู่อีกห้องเป็นครั้งสุดท้าย คนด้านหลังรู้ได้ถึงกิริยานั้นจึงมองตามจนเห็นภาพปรากฎที่ชัดเจนของบุรุษเกศดำเจ้าของเนตรเหยี่ยวนามว่าฟารันผู้นั้นฉายขึ้นบนผิวแก้ว เมื่อเลื่อนดวงตาสีเขียวมรกตของตนมามองหน้าสวยของอีกคนก็เห็นชัดถึงสายตาพบเพ้อเสน่ห์หาอย่างชัดเจน แววหึงหวงริษยาวาบขึ้นที่ตาคมเขียวคู่นั้น เทพเกศเพลิงโอบแขนกอดน้องชายจากด้านหลัง ยื่นหน้ากระชั้นใบหูแล้วเอื้อนเอ่ยกระเซ้าเล่น

“จะมองอีกนานไหมน้องพี่ หากสายกว่านี้ข้าคงต้องลงโทษเจ้าเหมือนครั้งเยาว์นั่นแน่”

 ตาหวานเชื่อมสะดุ้งจากการกระทำของพี่ชาย ใบหน้าฉับพลันซ่านแดงก่อนจะดึงจิตกลับมาให้นิ่งแล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบไม่หวั่นไหว

“เทพเฟรทริส ทำตัวรุ่มร่ามแบบนี้ไม่กลัวโดนฟันหัวหรือไร”

ผู้ฟังอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจออกมา โรเรเนสยิ้มเหยียดก่อนจะกล่าวต่อ

“ก็เป็นเสียอย่างนี้ บรรดาชายาทั้ง8องค์ท่านถึงทิ้งท่านไปสินะ”

คราวนี้เสียงหัวเราะขาดห้วงหายไปเหมือนดับเทียน กลายเป็นเทพองค์น้องเองที่หัวเราะลึกในลำคอออกมาแทน
แล้วท่านเทพเลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าว ก็ทะยานขึ้นสู่นภาสีทองที่มีดาวดาระดาษกระจายอยู่ทั่วผืนฟ้า

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

วันนี้ลงเท่านี้สำหรับตอนที่1นะคะ ขอบคุณที่มาอ่านคะ เย้เฮ เย้เฮ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดาหวานๆข้นๆ [แฟนตาซีนิ๊ดๆ]
เริ่มหัวข้อโดย: Maiar1996 ที่ 19-04-2014 21:12:19
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านจ้าาาาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดาหวานๆข้นๆ [แฟนตาซีนิ๊ดๆ]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 19-04-2014 21:14:22
แปะก่อน ขออ่านแปปนึงจ้า
*****___________*******------------********
โรเรเนสนี่ท่าจะพอตัวอยู่นะ ยอกย้อนเก๊งเก่ง
แล้วคุณพระเอกจะมีปัญหาอะไรไหมหนอ
ท่านเรวีเลี่ยน ณ หม่าวหม่าว ชื่อน่ารักดี
อ้อ กายทิพย์นะครับ มี ย์ ด้วย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดาหวานๆข้นๆ [แฟนตาซีนิ๊ดๆ]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-04-2014 21:17:48
ตอนแรกอ่านชื่อเรื่องแล้วคิดว่าจะเป็นเรื่องเทวดาลงมากุ๊กกิ๊กบนโลกมนุษย์แบบง่ายๆ แต่ที่ไหนได้ ปูโครงเรื่องไว้อลังการมาก ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องยาวหลายสิบตอนเลย
หัวข้อ: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา]
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 03-05-2014 13:32:14
               ตอนที่2

          วิมานโอ่โถงวิจิตรด้วยเพชรพลอย ทั้งผนังและเสาอิฐถูกฉาบเรียบด้วยแผ่นทองที่เต็มไปด้วยอักขระแปลกตาที่สลักฝังลึกลงไปถึงเนื้อใน

ทว่าสิ่งนี้ก็เป็นแค่สิ่งหลอกตาเพราะถึงแม้จะสลักลงลึกแต่ตัวหนังสือทุกตัวก็มิได้อยู่นิ่ง มันวิ่งสลับกันไปมาเกิดเป็นลายซับซ้อนเหมือนลายน้ำกระเพื่อมอยู่ทั่วห้อง

                ณ ที่นี้คือโดมแห่งสวรรค์เป็นที่ชุมนุมของเหล่าทวยเทพ ใจกลางมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ฉายภาพโลกเบื้องล่างเช่นเดียวกับลูกโลกใสสว่างที่เทพหลายองค์มีอยู่ที่วิมานตน เหล่าเทพมากมายมาพบปะสังสรรค์กันอย่างปกติ บ้างก็ไม่เป็นสาระบ้างก็ถกปัญหานานาที่พวกมนุษย์ก่อขึ้น

ด้วยสวรรค์นั้นมิได้แบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ในที่นี้จึงพบเห็นเหล่าเทพมากลักษณะต่างกันไปอยู่ปะปนกัน ทั้งสีผิว สีผมและเครื่องแต่งกายก็ผิดแผกกันอยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละวัฒนธรรมที่เทพองค์นั้นได้รับการบูชา จึงไม่แปลกเท่าใดนักที่จะเห็นเรือนผมสีม่วงอ่อนของผู้เป็นน้องและสีแดงฉานของผู้เป็นพี่อยู่เคียงกัน

ในยามนี้สองพี่น้องยืนเคียงกันพูดคุยจิปาถะกับองค์เทพหลายองค์ที่ผ่านไป เช่นเดิมดั่งปกติโรเรเนสตอบโต้ทุกคนด้วยกิริยาสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างพอเป็นพิธี ต่างกับพี่ชายที่โผงผางร่าเริงหัวเราะร่าไปกับสหาย ถึงแม้บางช่วงยังแสดงออกถึงความเศร้าโศกที่ถูกชายาทั้ง 8 ทิ้งไปจะโผล่ออกมาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อบทสนทนาเลยจนกระทั่ง...

                เสียงฮือฮาจากเหล่าเทวีและนางอัปสรข้ารับใช้ที่เพ่นพ่านดูแลความสะดวกให้เหล่าเทพนั้นเริ่มส่งเสียงคิกคักเบาๆ ต้อนรับผู้มาใหม่ สองพี่น้องหันตามเสียงอย่างปรกติ ทว่าเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ย่างเข้ามา เทพเฟรทรีสก็ถึงกับชักสีหน้าทันทีแล้วหันหนีแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่บุรุษผู้นั้นก็ยังหมายตรงเข้ามาใกล้ ทุกสายตาที่มองไปนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ด้วยผู้ที่มาใหม่มิใช่ใครอื่นไกลนอกจากจะเป็นเทพอามินอสผู้ที่เป็นทั้งพาหนะและอริร่วมบ้านของเฟรทริสนี่เอง

ผู้ที่ย่างเข้ามามีลักษณะติดตัวที่ชวนมอง ด้วยเรือนผมสีทองสว่างจนเกือบขาวถูกเสยขึ้นไปจนเห็นหน่วยตาคมรีและคิ้วสีน้ำตาลเข้มที่ตัดกันกับผมบลอนด์สว่าง  จมูกโด่งจัดเป็นเอกลักษณ์ที่แม้นจะเห็นเรือนรางเพียงเงาหากเห็นร่างของสันจมูกก็รู้ได้ว่าเป็นใคร

ยิ่งมองด้านข้างพิศรวมคู่กันทั้งตาและสันจมูก ความคมเข้มที่เข้ากันของอวัยวะสองส่วนเห็นแล้วก็ถือว่าหล่อเหลาชวนละลายตาย ร่างสูงงามสง่ามาพร้อมกล้ามเนื้อมัดล่ำแน่นหนาเห็นสัดส่วนได้คมชัดสมบุรุษเสียยิ่งว่าเทพองค์ใดๆ ด้วยเจ้าตัวมิได้สวมอะไรเป็นกิจจะลักษณะแม้แต่น้อย  นอกเสียจากสายประดับสีเงินหลายเส้นที่พาดห่อไหล่ทั้งสองข้างจนดูเผินเหมือนผ้าคลุม ปลายสายทั้งสองข้างถูกเก็บเข้าด้วยเข็มกลัดขนาดใหญ่ที่มีสีเดียวกันอยู่บริเวณอกด้านขวา ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงสีขาวพอดีตัวที่ถูกสวมให้เกาะเอวต่ำจนเห็นขนอ่อนรำไรที่ลากไล่ขึ้นมาถึงสะดือ

ม่านตาสีเทาลอยปรือเหมือนจะดูเย็นชาและเฉยเมย ทว่าแววตาคู่นั้นกลับส่อแววของคนขี้แกล้งออกมาได้อย่างเด่นชัด มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เอื้อนเอ่ยคำทักทายที่ใช้กับเฉพาะบุคคลออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและคุ้นเคย


“ไงหัวแดง หนีข้ามาอีกแล้วนะ” 

ผู้ฟังตอบกลับคำพูดนั้นด้วยหางตาขุ่นเคืองใส่ร่างสูงผู้เดินมาใกล้จนแทบประชิดตัวก่อนจะกล่าวตามด้วยน้ำเสียงกระด้าง

“ตามมาทำไม ทำไมไม่อยู่บ้าน” 

เทพอามินอสเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจก่อนจะหรี่ตาลงแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ด้านเฟรทรีสนั้นก็มิสะท้านแต่อย่างใดกลับเชิดคางขึ้นมองอย่างถือตัว กิริยาของทั้งสองฝ่ายทำให้ผู้ที่รายล้อมทราบได้ว่าจะเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นอีกแล้ว
ดั่งเช่นที่ทั้งคู่ทำมาตลอดนั่นคือ

ทะเลาะ...

“ทำไมเล่าเทพเฟรทริส อยากให้ข้าอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนนักหรือไง”

“ไม่ต้องมาปากดี ข้าไม่มีอารมณ์จะคุยกับท่านตอนนี้ “

“แต่ข้าอยากคุย เมื่อก่อนออกจากวิมานมาท่านไม่ยอมฟังข้าดีๆ เลย”

“ให้ตายสิ! เรื่องในบ้านก็กลับไปคุยกันที่บ้านสิจะเอาออกมาคุยข้างนอกทำไม”

“แล้วอยู่ในบ้านเราได้เจอหน้ากันซะเมื่อไร่เล่า ท่านก็หนีหน้าข้าตลอด ไปไหนมาไหนก็ไม่เรียกทั้งที่ข้าเป็นพาหนะของท่านแท้ๆ นี่ถ้าข้าไม่มาที่นี่อีกกี่แสนกัปกัลป์เราถึงจะได้คุยกันฮะ!”

เทพนักรบเม้มปากแน่นด้วยความหงุดหงิด รอบตัวพวกเขาเกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ส่งมาเป็นระยะจากเทพองค์อื่น ส่วนเพื่อนฝูงของเขาเดินหนีไปแล้วตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มเปิดปากเถียงกัน เหลือแต่เพียงโรเรเนส น้องเลี้ยงที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยเหตุใดก็มิทราบ

“น่าขันนักหรือไงน้องพี่” เฟรทริสหันไปดุน้องตน ฝ่ายนั้นจึงก้มหน้าลงเพื่อสำรวมกิริยาแล้วเอ่ยขอโทษด้วยเสียงใส

“อภัยข้าเถิดท่านพี่ ที่ข้านึกขันเพราะเห็นว่าท่านพี่ชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อย เถียงบ้าง โวยวายบ้างนี่ยังไม่นับกิริยารุ่มร่ามที่ท่านชอบทำกับข้านะ ท่านนี่ไม่พัฒนาเอาเสียเลยทำไมไม่ยอมคุยกับท่านอามินอสเสียดีๆ เล่า”

“รุ่มร่าม!” อามินอสเบิกตามองโรเรเนสก่อนจะหันไปทางคู่กรณีตน

“อะไรกัน นี่แค่เมียทิ้งไปไม่นานถึงกับไปทำรุ่มร่ามกับคนอื่นเชียวรึ”

“หุบปากท่านไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงพวกนางนะ ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า คนที่ถูกตำหนิควรเป็นท่านต่างหากที่เป็นต้นเหตุให้พวกนางหนีไปน่ะ!”

“เสียใจรึ? ถ้าเสียใจแล้วจะไปทำรุ่มร่ามกับคนอื่นทำไม แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายอีกตะหาก”

“หญิงหรือชายข้าก็มิสนหรอก”

“จริงรึ?”

“แน่นอน”

“เป็นเทพตรัสแล้วห้ามคืนคำนะ”

อามินอสเอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จนอีกฝ่ายขนลุก เฟรทริสเกิดรู้สึกอึดอัดอย่างบอกมิถูกจึงหลบสายตาเทพหน้าหล่อแล้วมองไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยปดเสียงเรียบไร้ความสมจริงใส่น้องชายตนโดยไม่หันมามอง

“บังเอิญจังเลยเจอคนรู้จัก พี่ไปทักเขาก่อนนะน้องพี่” แล้วเขาก็เดินกระแทกไหล่ร่างสูงที่ยืนขวางหน้าอย่างไม่ยี่หระใดๆออกไป ฝ่ายถูกกระแทกมิได้โกรธแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มอย่างระอาก่อนจะขอลาเทพโรเรเนสเพื่อจะหันเดินตามอริร่วมบ้านของตนไป
โรเรเนสปล่อยขำออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินเรื่อยไปตามทางเดินโดยมิได้หยุดคุยกับผู้ใด

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 03-05-2014 13:41:01
               เขาเดินไปจนถึงแอ่งน้ำใหญ่ที่ใจกลางห้องแล้วย่อตัวลงนั่งที่ขอบสระเพื่อเหม่อมองภาพมากมายของโลกเบื้องล่างที่ถูกฉายขึ้น
ภาพที่เกิดมีคละเคล้ากันไปแต่ล้วนเป็นเหตุเกิดในเมืองมนุษย์ ซึ่งหากเป็นก่อนหน้าคงพูดได้ว่าไม่คุ้นตาเทพองค์นี้สักเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เริ่มเฝ้ามองชีวิตมนุษย์มาระยะหนึ่งความตื่นตาตื่นใจกับอาณาจักรที่สิ่งมีชีวิตนี้สร้างขึ้นก็เริ่มลดน้อยลง

เขามองภาพตรงหน้าอย่างเฉยเมยก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อภาพบุรุษผู้หนึ่งฉายขึ้นมา
นั่นฟารันนี่นา...

บุคคลเบื้องหน้ากำลังอ่านเอกสารที่ทูลเกล้าขึ้นมาอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าครุ่นคิด
โรเรเนสโน้มตัวลงไปใกล้สระน้ำเพื่อจ้องให้ชัดถนัดตาแล้วอมยิ้มอย่างพึงใจเล็กน้อยกับภาพตรงหน้า

 “น่าทึ่งใช่ไหมเล่า”

 เสียงนุ่มนวลจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นที่ข้างตัว เทพหนุ่มละสายตามามองตามเสียงแล้วจึงยืนขึ้นน้อมศีรษะให้อีกฝ่าย

“เทวีมีเรีย บังเอิญเสียจริง” เทวีองค์ที่ว่ามิใช่ใครที่ไหนไกลนอกเสียจากเป็นเทพแห่งฤดูกาลผู้ซึ่งทำงานร่วมกับโรเรเนสมาตั้งแต่เริ่มแรก พระนางมีใบหน้างดงามหวานล้ำชวนมอง เกศสีน้ำตาลอ่อนบิดเป็นเกลียวน้อยๆ อย่างธรรมชาติเครื่องทรงเป็นผ้าลินินสีขาวสะอาดตายาวจรดไปยังพื้น ที่คอสวมอัญมณีทรงรีสีท้องฟ้าซึ่งมีปุยเมฆขาวลอยล่องไปมาในเม็ดอัญมณี ด้วยนี่คือสร้อยท้องฟ้าที่จะสะท้อนภาพตามฤดูกาลที่นางควบคุมอยู่ในขณะนั้น

นางหลุบตาลงมองไปยังภาพบุรุษที่สะท้อนอยู่ในสระน้ำ
“ฟารันนั้นถือเป็นมนุษย์ที่ฉลาดและน่าทึ่งยิ่งนัก ท่านว่าไหม?”

“ใช่ สปันเทียถือว่ามีกษัตริย์ที่ดี ทั้งที่อาณาจักรตั้งอยู่ในดินแดนร้อนระอุ ดินก็ยังเป็นดินปนทรายแต่กลับทำให้อุดมสมบูรณ์จนสร้างผลผลิตได้มาก ในฐานะเทพถือว่าไม่เสียแรงเลยที่ประทานพรลงไป”

“จริงด้วยท่าน ข้าล่ะอยากจะกระหน่ำฝนลงไปเสียจริงชาวเมืองจะได้เก็บไว้ใช้กันนานๆ น่าเสียดายท้องฟ้า ณ แดนนี้มิเอื้อให้มีฝนซักเท่าใดนัก”

“หาจำเป็นไม่ มีน้ำเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว ก็ขุดคลองกันเสียทั่วแผ่นดินเท่านี้น้ำจากแม่น้ำสองสายใหญ่ที่ขนาบประเทศอยู่ก็ไหลเวียนไปเสียทั่วแล้ว”

“นั่นสินะ  หึ...เก่งหรือก็เก่งรูปก็งามยิ่งนัก บางทีเห็นแล้วก็ใจละลายอยากจะจำแลงกายลงไปอยู่ด้วยเสียจริงๆ ดีไหมท่านโรเรเนส”

ผู้ฟังยิ้มเจื่อน แต่องค์เทวีคู่สนทนาก็มิได้สังเกตด้วยว่ากำลังจดจ้องมนุษย์รูปงามผู้นั้นอยู่อย่างเคลิบเคลิ้ม

“ก็ไม่ลองดูล่ะท่าน เทพองค์อื่นยามถูกใจมนุษย์ก็ทำเช่นนั้นกันอยู่ถมไป”  มีเรียได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงใสก่อนจะแสร้งทำท่ากระเง้ากระงอดเหมือนขัดใจ

“ก็ทำได้เสียที่ไหนเล่า คนเขามีเจ้าของอยู่แถมยังเป็นเทพเหมือนกันเสียอีก” แล้วนางก็พยักพเยิดไปทางด้านหลังอีกฝ่าย โรเรเนสมองตามสายตานางด้วยความฉงน แลเห็นเป็นองค์เทวีอนามอเฟีย เทพเจ้าแห่งความงามกำลังหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับเหล่าเทวีองค์อื่นๆ ที่เป็นสหาย

“อีกมินานองค์เทวีอนามอเฟียจะลงไปเป็นมเหสีของฟารันแล้ว ท่านมิทราบข่าวเลยหรือไร”

“อย่างไรกัน? นางจะจำแลงกายลงไปรึ?”

“ใช่เสียที่ไหน ท่านนี่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาหน่อยก็ดีมิใช่จมอยู่แต่กับต้นไม้   อีกไม่นานที่สปันเทียจะมีพิธีอันเชิญเทพ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่ามันคือพิธีอะไร”

บุรุษเทพนัยตาเศร้ายิ้มก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจ
“พิธีอันเชิญเทพ เป็นพิธีที่ใช้อัญมณีที่กำหนดไว้ โดยผู้อันเชิญจะต้องมีเทวรูปองค์ปฐมที่สวรรค์ประทานแก่มนุษย์อยู่ในครอบครอง หลังจากทำพิธีสำเร็จเทวรูปองค์นั้นจะมีชีวิตขึ้นมา อิฐหินจะแปรเป็นเลือดเนื้อแล้วองค์เทพก็จะกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มิเหลือซึ่งพลังอำนาจใดๆ กลายเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วท่าน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความถือดีของฟารันนั่นแหละ ด้วยเจ้าตัวขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วก็มิยอมมีมเหสีเสียที กล่าวว่าไม่มีใครดีพอ ดูพูดเข้าสิท่าน แถมยังบอกอีกว่าถ้าจะยอมแต่งงานด้วยอีกฝ่ายต้องมีคุณสมบัติให้ครบที่ตัวเองต้องการ 3 ข้อ คือ 1.ต้องมีชาติกำเนิดสูงกว่าตน 2.ร่างกายต้องงามไร้ตำหนิ และข้อสุดท้ายคือต้องรู้จักโลกได้กว้างไกลกว่าตน คุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดมีแต่เทพเท่านั้นที่ทำได้ ดูอย่างข้อแรกสิท่าน ต้องมีชาติกำเนิดสูงกว่า ตัวเป็นกษัตริย์ใครมันจะไปมีชาติกำเนิดสูงกว่าได้นอกจากเทพ พูดจาแบบนี้จงใจจะเอาเทพทำเมียแท้ๆ บังอาจดีมิเล่า”

“แต่จะว่าไป ท่านอนามอเฟียจะต้องการเช่นนี้รึ เทพส่วนใหญ่ก็แค่จำแลงกายลงไปยังแดนมนุษย์ชั่วครู่ชั่วยามไม่มีใครอยากลงไปเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ หรอก เป็นมนุษย์นั้นแสนลำบาก กายหยาบแลสังขารก็ไม่เที่ยงไม่เหมือนกายทิพย์อย่างชาวเทพอีกทั้งยังไร้พลังไร้อำนาจ สำหรับองค์เทวีองค์นี้น่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดีนะท่านมีเรีย”

“องค์เทวีคงมิคิดเช่นนั้นกระมัง ออกจะดีอกดีใจจนออกนอกหน้า”

เทพมีเรียหลิ่วตาเป็นเชิงบอกให้หันไปดู ก่อนตัวเองจะเมินหน้าหนีด้วยความหมั่นไส้ปล่อยให้อีกฝ่ายพิศพินิจกริยาเทวีแห่งความงามแต่เพียงผู้เดียว องค์เทวีนั้นดูสดใสร่าเริงเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ด้วยนางคงอยากลงไปเป็นมนุษย์เต็มที่แล้วกระมัง ก็ฟารันรูปงามถึงเพียงนั้น เป็นธรรมดาอย่างที่สุดที่สตรีทั้งแดนเทพแดนมนุษย์จะหลงเสน่ห์เขา……

เทพแห่งความอุดมจ้องมองเทวีนางนั้นโดยไม่หลบเลี่ยง ฝ่ายผู้ถูกมองนั้นเหลือบตามองตอบอยู่ชั่วแว่บก่อนจะหันไปสนทนากับเพื่อนต่อโดยมิได้สนใจ

เทวีที่ถูกกล่าวว่างามที่สุดบนสวรรค์คงเคยชินเสียแล้วกับการถูกผู้ชายจ้องมอง จึงไม่มีแม้แต่มารยาทในการจะพยักหน้าทักทายผู้ที่มองตนอยู่เลยสักนิด

 “เอ๊ะ! แต่ว่า...ท่านโรเรเนส” 

 “มีอะไรรึ”

“นอกจากเทวรูปองค์ปฐมของเทวีอนามอเฟียแล้วสปันเทียยังมีเทวรูปองค์ปฐมของท่านอยู่ด้วยนี่”

“แล้วอย่างไรเล่า”

“ก็แหม ข้าพูดตามตรงนะ ในฐานะสหายกันข้าล่ะอยากให้ท่านลงไปแทนอนามอเฟียเสียจริง”

“ไม่เอาด้วยหรอก ข้าไม่อยากเป็นมนุษย์เสียหน่อย ว่าแต่พิธีจะมีเมื่อใดล่ะ”

“สำหรับโลกมนุษย์คงอีก3-4วัน แต่เทียบกับเวลาบนสวรรค์ก็...เย็นนี้ล่ะ”

“งั้นรึ”

“ถามทำไมหรือท่าน”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยเฉยๆ เพราะจนแล้วจนรอดมันก็ไม่เกี่ยวกับข้าอยู่ดี”


            หลายชั่วโมงนับจากนั้น เมื่อเขากลับไปยังวิมานตน โลกแก้วใบกลมก็ฉายภาพพิธีอันเชิญเทพอยู่พอดี พิธีนี้ถือว่าเป็นพิธีเก่าแก่ที่ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีเพียงครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้น แถมในครั้งนั้นเทพที่ถูกอันเชิญลงไปก็ล้มป่วยถึงแก่ความตายเพียงไม่กี่สัปดาห์ ด้วยร่างกายมนุษย์รองรับบารมีของดวงจิตเทพไม่ไหว

ครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นพิธีเล็กๆ ที่ถือเป็นความลับวงในของราชสำนักที่สปันเทีย หากแต่บนสวรรค์กลับมีเทพหลายองค์เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจดจ่อ

แต่โรเรเนสมิใคร่จะสนใจนัก เขาแค่ปรายตามองเหล่านักบวชที่เริ่มสวดทำพิธีแค่ชั่วประเดี๋ยวก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องเก็บพันธุ์พืชที่อยู่ข้างๆ แล้วทำงานต่อ ปล่อยให้เสียงจากพิธีกรรมดังแว่วอยู่ด้านหลัง

เขาร่ายเวทย์ใส่ต้นโอ๊คยักษ์ต้นหนึ่งอยู่ ต้นโอ๊คนี้เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่มานานหลายร้อยปีมันเป็นที่สักการะบูชาสำหรับมนุษย์ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ณ ดินแดนเขตอบอุ่นที่อยู่เหนือสปันเทียขึ้นไปอีกไกลนัก

เสียงสวดอันเชิญของเหล่านักบวชดังก้องห้องวิหารตามด้วยเสียงสวดรับของนักบวชรูปอื่นดังระงม

ถัดมาก็เป็นพืชคลุมดินแถบทุ่งทุนดร้าอันหนาวเหน็บ ส่วนนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษเพราะพืชพันธุ์ขึ้นได้ยาก หากแต่ก็ยังมีหมู่สัตว์จำนวนไม่น้อยที่ต้องพึ่งพิงพืชเหล่านี้เป็นอาหาร

ห่าฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหาได้ยากสำหรับภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าทะเลทราย ปรากฏแสงอสนีบาตอยู่หลายคราคล้ายฟ้าจะถล่ม เหล่านักบวชยังตะเบ็งท่องมนต์อย่างแข็งขัน

เวทมนตร์โปรยปรายไปทั่วป่าฝนเขตร้อนในฤดูใบไม้ผลิ ส่งให้กล้วยไม้ป่าหายากหลายพันธุ์แบ่งบานอวดโฉมกันสะพรั่ง

อสนีบาตใหญ่ผ่าโครมลงกลางวิหารพิธี ผืนปฐพีลั่นสนั่นหวั่นไหวฉับพลันแสงเทียนก็ดับวูบพร้อมกันลงทันที แล้วทุกสิ่งก็ตกสู่ความมืด

แล้วทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความมืด....

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

สวัสดีคะ วันนี้ก็มาลงตอนที่2เพิ่ม แล้ว คราวหน้าตอนหน้าจะเริ่มเข้าเรื่องแล้วคะ 5555+
ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะคะ ติได้ด่าได้ จะพยายามมาลงเรื่อยๆ ขอบคุณมากคะ เอิ๊ก

:katai5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 03-05-2014 15:29:12
ง่าาา กำลังสนุก T^T
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: VampirezBadz ที่ 03-05-2014 16:09:24
จิ้มๆ  :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 03-05-2014 17:18:17
หายไปนาน มาต่อบ่อยๆจะได้ไม่ลืมค่ะ  :pig2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 03-05-2014 17:40:45
เป็นการปูเนื้อเรื่องที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก ฮาาา มาต่อบ่อยๆนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่2
เริ่มหัวข้อโดย: mana_ai ที่ 03-05-2014 18:36:22
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากค่ะ รอติดตามนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่3
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 06-05-2014 21:44:11
ตอนที่3 เมื่อยามตื่น

       เสียงหยดน้ำตกกระทบพื้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้ว ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นคือช่วงไหน  เหมือนเป็นเช่นนี้มาตลอดนานนับอนันต์ เหมือนเสียงนี้ดังก้องอยู่ในความฝันและดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขากำลังจะตื่น

   ...........ทำไมมันมืดเหลือเกิน?

บุรุษเกศม่วงลืมตาตื่นขึ้นอย่างสับสน  เขานอนหายใจรวยรินอยู่ในห้องๆ หนึ่งที่ตนเพิ่งสังเกตได้ว่ามันแสนอับชื้นเหมือนกลิ่นหินศิลาเก่าๆ แผ่นหลังของเขาเย็นเฉียบด้วยตัวนอนนาบอยู่บนหินอะไรซักอย่างแข็งๆ ร่างกายหนักอึ้งผิดปรกติและปวดหัวอย่างเหลือร้าย

เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แต่ขณะกำลังเค้นความคิดที่ข้างกายก็รู้สึกเหมือนมีมดมากมายมาเดินไต่แขนยุบยับไปหมด เขาเอียงคอหันไปมองตามสัญชาตญานแต่ภายใต้ความมืดเขาย่อมไม่เห็นสิ่งใด ความกลัวแล่นขึ้นมาจากเบื้องลึก เขาพยายามหยัดกายให้ลุกขึ้น และก็พบว่ามันช่างเป็นสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกินที่จะลากสังขารอันหนักอึ้งนี้ออกไป รู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคย รับรู้ได้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปรกติเกิดแก่ร่างกายของเขา หากแต่ก็ยังนึกสิ่งใดไม่ออก รู้แต่เพียงเวลานี้ควรหนีให้ห่างฝูงมดประหลาดที่ส่งเสียงยามเคลื่อนตัวคล้ายทรายไหลซู่ซ่านี้ให้พ้น

เขาขยับตัวและตกลงมาจากแท่นหินที่ตนนอนอยู่เมื่อครู่ สองมือไขว่คว้าหาที่ยืดเหนี่ยวในความมืด พลันสัมผัสได้ถึงขาโต๊ะตัวหนึ่งจึงพยายามใช้โต๊ะนั้นพยุงตัวขึ้นมา เจ้าตัวคว้าผ้าคลุมโต๊ะมาห่อร่างเปลือยของตนไว้ เสียงคล้ายเครื่องโลหะตกกระทบพื้นเมื่อดึงผ้าตามด้วยเสียงซ่าประหลาดเหมือนเม็ดทรายครูดไปกับโลหะดังตามมา

ตรงหน้าเขามีกลิ่นไอเย็นของฝนโชยมาปะหน้าหน้าเป็นระยะ ตนจึงพยุงร่างกายอันหนักอึ้งตรงไปยังทิศที่มีอากาศหายใจ จนเมื่อร่างชนเขากับแผ่นไม้หนาเขาจึงใช้ร่างทิ้งน้ำหนักดันสิ่งที่เชื่อว่าเป็นประตูให้เปิดออก

ชายหนุ่มหลุดผัวะออกมาจากห้องอับนั้น พลันแสงจันทร์วันเพ็ญก็สาดเขาไปในห้อง สิ่งที่ตอนแรกคิดว่าเป็นมดอันที่จริงเป็นเม็ดทรายสีขาว ที่กระจายตัวอยู่รอบห้องและพวกมันกำลังเคลื่อนตัวตรงเข้าหาใจกลางห้องที่เป็นแท่นหิน เหล่าเม็ดทรายจำนวนมากไหลเลื้อยขึ้นไปบนแท่นแล้วค่อยๆรวมตัวกันอย่างช้าๆทีละน้อยเหมือนจะสร้างบางสิ่งขึ้นมาบนแท่นหินนั้น

เขาหันมองรอบกายเห็นเป็นลานหินรูปจัตุรัสอยู่ตรงหน้าล้อมรอบด้วยทางเดินและอาคาร สภาพเหมือนเพิ่งมีฝนตกมาหมาดๆ ไอชื้นที่ปะทะร่างกายทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน ยามนี้คิดแค่ว่าควรหาที่ที่อุ่นกว่านี้เสียหน่อยและนุ่งอะไรที่ดีกว่านี้

เขาจึงเริ่มออกเดินอย่างอ่อนแรงทุกย่างเก้าที่เหยียบไปแทบเข่าทรุด แต่ก็พยายามใช้มือหนึ่งยันกำแพงเอาไว้ จนเมื่อเดินเข้ามาถึงตัวอาคารทึบที่มีทางเดินยาวออกไปสองข้างมีแสงสว่างจากคบเพลิงข้างกำแพงอาการหนาวสั่นก็น้อยลง แต่ก็ยังไม่ทันได้เบาใจเสียงตะโกนก็ดังมาจากเบื้องหลัง

“เฮ้ย!นั่นใครกันน่ะ!” หันหลังตามเสียงไปก็เห็นชายสองคนในชุดคล้ายเครื่องแบบที่ทำจากผ้าดิบสีหม่นพร้อมเกราะทำจากหนัง มือของพวกเขาทั้งสองจับฝักดาบที่ห้อยข้างตัวขณะวิ่งตรงเข้ามา

ความตกใจกลัวแล่นเข้าขั้วหัวใจสองเท้าออกวิ่งด้วยสัญชาตญาณ หากแต่หนีไปได้ไม่ไกลก็ล้มลงด้วยขาอ่อนแรง เหงื่อกาฬแตกท่วมปอยผมสีม่วงอ่อนแนบลู่ไปกับหน้า หอบถี่ด้วยความเหนื่อยและหวาดกลัว

“เจ้าเป็นใครกันทำไมมาอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในได้!” ปลายดาบโค้งเงาสะท้อนแสงจ่ออยู่กับผิวหน้าเนียนที่ระเรื่อแดงด้วยเลือดฝาด
“..........”
“เจ้าเป็นสายลับใช่ไหม!”
“..........”
“ตอบมา!”  มือหยาบกร้านจิกเข้ากับผมแล้วกระชากขึ้นให้ลุกนั่ง เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดน้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวสองมือคว้าฝ่ามือที่จิกผมอยู่อย่างอัตโนมัติ  ทหารทั้งสองมองพิศร่างกายขาวเนียนที่เห็นได้ชัดขึ้นมื่อผ้าผืนบางลงไปกองกับพื้น

       ร่างเปลือยของชายผู้นี้ไม่ได้บอบบางผอมแห้ง ทว่ามีสัดส่วนสมบูรณ์เช่นเด็กหนุ่มที่เหมือนเพิ่งโตเต็มที่ไปหมาดๆ ด้วยร่างกายเช่นนี้หากจะขัดขืนต่อสู้ก็น่าจะพอมีกำลังอยู่ ทั้งสองจึงยังไม่ลดดาบลง หากแต่ท่าทางหมดแรงเหมือนคนป่วยไข้ทำให้เหมือนว่าหนุ่มผมยาวผู้นี้ไม่น่าจะตอบโต้อะไรพวกตนได้ ฝ่ายที่ยืนเฉยๆ จึงพูดกับเพื่อนที่จิกกำผมเชลยไปว่า

“ดูท่าไม่น่าสู้ได้ มันอาจเป็นแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจอาจมีพวกของมันแอบอยู่ตามจุดอื่น”
“บัดซบ! แบบนี้ต้องรีบรายงานผู้บังคับบัญชาโดยด่วน”  แต่ยังมิทันได้ขยับไปไหนทั้งสามก็เห็นชายวัยกลางคนน่าเกรงขามย่างสามขุมเข้ามาอย่างทะมัดทะแมง
“มีอะไรกัน ข้าได้ยินเสียงตะโกน” ทหารทั้งสองยืนตรงทำความเคารพและเรียกชายผู้นั้นว่าผู้บังคับบัญชา แต่ชายผึ่งผายผู้นั้นกลับตะลึงงันกับร่างขาวสว่างที่มีสีหน้าเจ็บปวดอ่อนแรงตรงหน้าไปชั่วขณะ สายตาหื่นกระหายโลมเลียร่างตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง
“เราเจอเจ้าหมอนี่ตรงทางเดินครับ น่าจะเป็นตัวล่อของพวกสายลับถึงมาป้วนเปี้ยนในเขตชั้นในได้”
“อื้ม ดีงั้นเจ้ารีบไปบอกทหารเวรทุกคนให้ตรวจดูให้ทั่วพื้นที่ ส่วนเจ้าลากไอ้หนุ่มนี่ไปที่ห้องกับข้า ยังมิต้องเอาไปขัง ข้าจะเค้นความจากเจ้านี่เสียก่อน”

สองทหารรับคำหนักแน่น ผู้ที่ตัวเปล่าวิ่งออกไปทันทีส่วนคนที่ยังกำเส้นผมเปลี่ยนท่าทางเป็นจับเชลยพาดบ่าแล้วเดินตามหัวหน้าตนไป

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

มาต่อแล้วค่าาาาา สั้นไปหน่อยขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้พยายามเขียนอยู่คะแต่ไม่ค่อยมีเวลา อ่ามอ่ามแหง่มแหง่ม(ไม่รู้จะพูดอะไร)  :hao5:
ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ เย๊เฮเย๊เฮ :hao7:

หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่3 เย๊เฮเย๊เฮ
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 06-05-2014 21:54:23
โรเรเนสลงมาหรอเนี่ยยย กลัวโดนทำร้ายสงสาร  :mew4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่4 เย๊เฮเย๊เฮ
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 12-05-2014 23:22:51


       กุญแจมือเป็นโซ่ห้อยติดอยู่กับกำแพง มันล็อคแน่นอยู่กับข้อมือ สองแขนถูกชูสูงร่างเนียนที่หอบน้อยไร้สิ่งปิดบังนั่งอยู่ในห้องคุมขังที่สร้างซ้อนไว้ในห้องบัญชาการอีกที ประตูลูกกรงยังไม่ถูกปิดผู้ที่นำพาเข้ามายังยืนดูอยู่ตรงหน้า

“ให้ไปรายงานฝ่าบาทหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ต้อง”

“หืม?”

“นี่ดึกเกินไป อีกอย่างแค่นกต่อไร้ทางสู้คนเดียวไม่ต้องไปทูลให้ระคายเบื้องพระบาท เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะรายงานไปเอง เจ้าไปรวมกับคนอื่นเถอะตามจับพวกที่เหลือมาให้ได้ เดี๋ยวข้าจะสอบสวนเสียหน่อย”

สิ้นคำสั่งทหารหนุ่มก็ละออกไป ทิ้งให้ผู้บังคับบัญชาอยู่กับเชลยเพียงสองคน  ชายแก่ที่ยังดูแข็งแรงดีจ้องมองร่างตรงหน้าอย่างปรารถนา เขาลงนั่งยองๆ ข้างหน้าเด็กหนุ่ม ที่ตื่นกลัวและดูไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมาอยู่ในสภาพนี้ได้”

พูดเรื่องอะไร!

“หึ แปลกจริง ดูท่าเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย งั้นคำถามง่ายๆ นะเจ้าชื่ออะไร”

ริมฝีปากบางเปิดออกเหมือนจะเปล่งเสียง แต่ก็ต้องปิดลงเมื่อไม่รู้จะพูดอะไรออกมา สองคิ้วขมวดลงเพื่อนึกคิด

นั่นสิเราชื่ออะไร?

เราเป็นใคร?

เราเป็นใคร?


หยาดน้ำใสเอ่อขึ้นมาอีกเมื่อตระหนักได้ว่าตนลืมสิ้นทุกสิ่ง เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะจำได้ แต่พอจะนึกให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาก็ทำไม่ได้เลย หน้าหวานขบริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยความปวดใจ

“จำไม่ได้รึ? หรือแกล้งจำไม่ได้? หึๆๆ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังต้องไต่สวนเจ้าตามหน้าที่ล่ะนะ”

 สายตาหื่นกระหายจ้องเหมือนจะกลืนกินก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ในส่วนผิวราบที่ท้องน้อย ฝ่ายนั้นสะดุ้งหนีมือหยาบอย่างหวาดกลัว แต่ก็มิอาจขัดขืน มือนั้นไล่ขึ้นไปยังยอดออกสีชมพูก่อนจะบีบแน่นลงจุดนั้น

“อ๊ะ! อย่า”

“โอ้ พูดได้ด้วยมิได้ใบ้หรอกรึ”
 
นิ้วกร้านคลึงเค้นอย่างสนุกกับยอดแดงที่เริ่มแข็งเป็นไตตามอารมณ์ซ่านร้อน ผู้ถูกกระทำรู้สึกได้ว่าเริ่มร้อนไปทั่วร่างโดยเฉพาะส่วนหว่างขา เสียงครางประท้วงขัดขืนดังหวานหู

“อ๊า อ๊ะ อื้อ ยะ  อ้า ”

“ไหน บอกมาซะดีๆ ว่าใครส่งเจ้ามา”

“อื้มมม อื้อ”

“ปากแข็งจริง”

ชายแก่ลามกก้มหน้าจมลงกับยอดอกอีกข้างขบกัดลงเบาๆ แล้วใช้ปลายลิ้นดุนดันอย่างรุนแรงสลับกับดูดดึงส่วนปลายนั้น ร่างเปลือยสั่นสะท้านน้อยๆ เสียงโซ่เหล็กกระทบผนังจากการบิดเร่าพยายามหนีการสัมผัสของอีกฝ่าย สองมือเอื้อมลงไปลูบไล้ที่ขาอ่อนด้านในแล้วบีบเค้นเข้ากับส่วนโคนขาหนีบส่งผลสะท้านไปถึงท่อนเนื้อนุ่มนิ่มที่เริ่มพองแข็งขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้สัมผัสโดยตรง

“อ๊าาา! อ๊ะ อ๊ะ ไม่” 

ฝ่ามือจับแน่นกับโคนขาแล้วใช้นิ้วโป้งกดวนหยอกเย้าใกล้ๆกับเนื้อนิ่มที่เป็นส่วนฐาน ชายแก่หัวเราะอย่างพึ่งใจที่ได้รังแกหน้างามไร้ทางสู้

กายท่อนบนขยับหนีปากสกปรกแต่สะโพกท่อนร่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาเขาเริ่มไหลปริมออกมา ทั้งกลัว ทั้งโกรธและสับสน และก็คิดอะไรไม่ออกซักอย่าง สำคัญยิ่งกว่านั้นหัวใจที่เต้นโครมครามนั้นรุนแรงเหมือนจะทะลักออกมา ทรมาน หายใจไม่ออก เหมือนจะช็อคตายเพราะใจเต้น
ใครก็ได้

----------------------------------------------------------------------

เหล่าทหารเวรวิ่งวุ่นไปให้ทั่วสร้างความประหลาดใจให้ทหารองครักษ์ที่ลงมาเดินทอดน่องหลังจากได้ผลัดเวรเป็นอย่างมาก เครื่องแบบขององค์รักษ์นั้นต่างจากพวกทหารเวรยามระดับล่างเล็กน้อย ด้วยมีเครื่องประดับยศเป็นดาวสีเงินกลัดอยู่ที่หน้าอก
เขาเห็นท่าทางร้อนรนและเสียงตะโกนให้ตามหาคนวุ่นกันไปหมดจึงรั้งทหารเวรคนหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าให้หยุดเพื่อถามความ

“เกิดอะไรขึ้น มีคนลอบเข้ามารึ”

“ใช่ขอรับ ตอนนี้จับผู้ลักลอบมาได้คนหนึ่ง แต่คาดว่าจะมีคนอื่นอีกจึงพยายามตามหากันขอรับ”

“แล้วมีคนไปทูลฝ่าบาทแล้วรึยัง”

“น่าจะยังขอรับท่านหัวหน้ากองทหารเวรสั่งไม่บอกเพราะเห็นว่าดึกแล้ว”

“บ้าน่า!ถ้ามีคนลอบเข้ามาในพระราชฐานชั้นในขนาดนี้ จะไม่แจ้งฝ่าบาทให้ระวังพระองค์ได้อย่างไร ไร้สาระ แล้วเจ้าคนที่จับได้ลักษณะเป็นอย่างไร”

“น่าจะเป็นต่างชาติ เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวผมยาวสีม่วงอ่อนขอรับ แต่ว่าไร้อาวุธและดูไร้ทางสู้ด้วยไม่แน่ใจว่าเป็นนกต่อหรือมีจุดประสงค์อะไรกันถึงส่งคนไร้ความสามารถแบบนี้เข้ามาได้”

“นำไปขังไว้ที่คุกใต้ดินรึยัง”

“ยังขอรับ ท่านหัวหน้ากองทหารเวรขังไว้ในห้องบัญชาการขอรับ”

“แปลกจริง เอาเถอะเดี๋ยวข้าจะไปทูลฝ่าบาทเอง”

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่4.2 เย๊เฮเย๊เฮ
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 12-05-2014 23:29:13


ก่อนหน้านั้นมินานเท่าไรกษัตริย์แห่งสปันเทียผู้มีตำแหน่งเป็นองค์ราห์โอ กำลังนั่งเล่นหมากรุกอย่างเอาเป็นเอาตายกับคนสนิท เขาสวมฉลองพระองค์ที่เป็นผ้าฝ้ายแขนยาวขายาวสบายๆทั้งเสื้อยาวและกางเกง สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงเพลิงตัดกับผ้าขาว ผมหยักน้อยๆสีดำดูชื้นไม่เป็นทรง หน้าเข้มเท้าแขนลงกับโต๊ะหมากรุกพลางกวาดสายตาคมปราดไปยังตัวหมากตรงหน้า

“ฝ่าบาท...”  หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มมีลักษณะดูดีทั้งรูปร่างหน้าตาและกิริยาอยู่ในชุดนอนสบายๆคล้ายกันเพียงแต่ไม่ได้สวมเสื้อคลุมรุงรังนั่งอยู่อีกฟากของกระดานหมากรุก หน้าตาเขาเบื่อหน่ายอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด

“อะไร ลากลอซ”

“ปล่อยกระหม่อมไปนอนเห๊อะ”

“เจ้าก็หลับไปเล่นไปก็ได้นิ เดี๋ยวพอถึงตาเจ้าข้าปลุกเอง”

 คนสนิทถอนใจยาวแล้วแล้วนวดขมับตัวเองเบาๆ

“ฝ่าบาทก็น่าจะไปบรรทมได้แล้วนะ มันดึกแล้วนา”

“ก็ข้าไม่ง่วงนิ”

“ไม่ง่วงหรือแค่ไม่อยากนอน ท่านเกรงว่าจะฝันแบบนั้นอีกใช่ไหมเล่า”

ฟารันราห์โอเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย

“ข้าก็กำลังแก้ปัญหาเรื่องนั้นอยู่ไง”

“กระหม่อมทูลตามตรงนะ การเล่นหมากรุกไม่ช่วยให้ความลามกโสมมคาวโลกีย์ในใจฝ่าบาทมันลดลงหรอกนะ”

“เฮ่ย พูดดีหน่อยๆ”

“ก็หรือไม่จริงเล่า ฝ่าบาทพยายามหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจจากฝันบาปๆหื่นๆของฝ่าบาทมากี่ครั้งแล้ว มันก็ไม่ได้ผลเสียหน่อย ฉะนั้นก็ปล่อยมันไปเหอะ ยังไงพระองค์ก็ได้แต่ฝันทำจริงไม่ได้อยู่แล้วจะกลัวอะไร”

“เรื่องจำพวกนี้แค่คิดก็บาปแล้ว การที่ข้าฝันสกปรกกับองค์เทพนี่ยังไม่น่าเป็นห่วงอีกรึ”

“นี่ฝ่าบาทจะทรงรู้สึกผิดขนาดนี้ไหมเนี่ยถ้าฝ่ายที่ถูกกระทำในฝันต่ำช้าของฝ่าบาทเป็นเทวีอนามอเฟีย”

“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงไม่ เพราะยังไงนางก็ต้องลงมาเป็นมเหสีของข้าอยู่แล้วจะฝันหรือทำจริงก็ไม่ผิดหรอก.....แต่พูดไปก็เท่านั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วนี่”

ฟารันหมายถึงพิธีกรรมอันเชิญเทพที่จัดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนและก็ล้มเหลวไปอย่างไม่เป็นท่า แม้นตัวเขาเองไม่ต้องการมีมเหสี แต่การมีสตรีรูปงามมาอยู่ข้างกายคงช่วยให้ความฝันฟุ้งในใจหายไปได้บ้าง การมีเมียเป็นตัวเป็นตนอาจช่วยให้เขามีขอบเขตจัดการกับไฟราคะที่สุมอกได้แทนที่จะไปลงกับพวกนางโลมที่ไม่ช่วยอะไรเลย

เพราะฝันบาปๆนั่นเอง ที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ก่อนหน้าที่จะฝันความปรารถนาของเขาก็มีอย่างปรกติเท่าๆกับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ทั่วๆไป แต่เพราะฝันนั่นแหละฝันที่ดำเนินนานมาร่วมสองเดือนที่แปรใจเขาให้ร้อนรุ่มจนการเยือนหอนางโลมเป็นไปอย่างถี่ขึ้น
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย  ด้วยคนที่อยู่ในฝันเขานอกจากเป็นเทพแล้ว...ยังเป็นผู้ชายอีกด้วย

“วันนี้มีแต่เรื่องน่าโมโห ทั้งเรื่องฝันที่ไม่ยอมหายไปและเรื่องพิธีกรรมบ้าบอนั่นอีก”

เขากล่าวขึ้นพลันนึกถึงพิธีอันเชิญเทพที่แสนจะไร้สาระและองค์เทวรูปองค์ปฐมที่ตอนนี้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าศักดิ์สิทธิ์จริงไหม

             ที่มาขององค์เทวรูปมหัศจรรย์นี้ว่ากันว่าแต่เดิมเมื่อสมัยองค์ราห์โอองค์แรกก่อตั้งสปันเทีย มีเรื่องเล่ากันว่าองค์เทพได้ประทานเทวรูปองค์ปฐมให้เป็นขวัญเมืองแก่สปันเทียไว้สององค์ คือเทพแห่งความงามเทวีอนามอเฟียและเทพแห่งความสมบูรณ์โรเรเนส

เทวรูปทั้งสองนั้นถูกประดิษฐานอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างอยู่ ณ ใจกลางพระราชวัง ตัววิหารนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นักด้านในมีจตุรัสโล่งกว้างอยู่ตรงกลาง สองฟากของจตุรัสมีห้องเล็กๆอยู่ห้องละฝั่ง ฝั่งขวาเก็บองค์เทวรูปของเทพโรเรเนสส่วนห้องฝั่งซ้ายเก็บองค์เทวรูปของเทวีอนามอเฟีย

พิธีกรรมอันเชิญเทพเกิดขึ้นที่ห้องฝั่งซ้ายที่ประดิษฐานองค์เทวีผู้ที่กล่าวกันว่างามว่าสตรีใดใดในสามโลกเมื่อช่วงหัวค่ำ เพื่ออันเชิญพระองค์ลงมาเป็นมเหสีของฟารันองค์ราห์โอองค์ปัจจุบัน

ตามตำนานเล่ากันว่า มีแต่เทวรูปองค์ปฐมนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำพิธีอันเชิญเทพได้ โดยทั้งรูปร่างหน้าตาทุกอย่างถูกเล่าว่าเป็นลักษณะที่แท้จริงขององค์เทพ ดังนั้นเห็นเทวรูปขององค์เทวีอนามอเฟียงามเท่าใด ตัวจริงของพระนางก็งามเท่านั้น

เช่นนี้วิหารนี้จึงเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีแต่คนในราชวงค์และนักบวชชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปภายใน ด้วยมนุษย์ปุถุชนไม่คู่ควรพอที่จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงขององค์เทพ

ทว่าเรื่องนี้อาจจะต้องเปลี่ยนไป

เมื่อมีสิ่งที่สั่นคลอนความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เทวรูปไปเสียแล้ว ด้วยพิธีอันเชิญเทพนั้นล้มเหลวเพราะองค์อนามอเฟียไม่ลงมาสถิตยังเทวรูป เทวรูปในวิหารจึงยังคงร่างเป็นหินอยู่ดังเดิม

ตอนที่พิธีกรรมจบลงเทวรูปขององค์พระแม่ก็ไม่มีที่ท่าว่าจะเปลี่ยนไปเลย ยังคงร่างเป็นอิฐหินอยู่เช่นเดิมมิได้กลายเป็นร่างเนื้อหนังของมนุษย์ ท้ายแล้วองค์ราห์โอก็เกิดรำคาญใจจึงบอกให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปเสีย แม้ว่าหัวหน้านักบวชจะขอให้มีคนเฝ้าวิหารไว้ก่อนเพราะยังไม่ทราบได้ว่าองค์เทวีจะกลายร่างเป็นคนเมื่อใด อาจเป็นวันหรือนานเป็นเดือนก็เป็นได้

แต่ฟารันก็ไม่ฟังเขากลับคิดเสียว่านี่เป็นเพียงพิธีกรรมโบราณที่งมงาย ไม่เคยมีบันทึกด้วยซ้ำว่าเคยทำได้จริงมีแต่ขั้นตอนไม่กี่ข้อให้ทำตามเท่านั้น เขาโกรธเพราะรู้สึกโง่ ที่หลงเชื่อไปได้ว่าก้อนอิฐก้อนหินจะกลายร่างเป็นคนจริงๆไปได้

มันไร้สาระที่สุด หากเทวรูปนี้มิใช่ของปลอมพิธีกรรมนี้ก็เป็นพิธีกรรมที่เป็นไปไม่ได้มาแต่แรกแล้ว 

โกรธตัวเอง โกรธนักบวช พาลโกรธไปยังเทวรูปและองค์เทพ

เช่นนี้เขาจึงไล่ทุกคนไปเสียให้พ้นบริเวณแล้วสั่งไม่ให้ใครเข้าใกล้วิหารอีกจนกว่าเขาจะอนุญาต และนั้นมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

วิหารถูกทิ้งให้ตกอยู่ในความสงัดเช่นเดียวกับตอนก่อนจะมีใครเขาไป ไม่ได้เผื่อใจไว้เลยว่าจะเกิดเหตุอันใดภายในวิหารนั้น




ฟารันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเอนหลังลงพิงกับพนักเก้าอี้ ไม่กี่อึดใจจากนั้นองครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องบรรทมแล้วคุกเขาข้างหนึ่งลงเคารพองค์ราห์โอ

“พระอาญามิพ้นเกล้า มีคนลักลอบเข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นในพะยะค่ะ ตอนนี้จับได้แล้วหนึ่งคนพวกทหารเวรคาดว่ายังมีพวกมันอีกจึงตามหากันอยู่พะยะค่ะ”

“เฮ้ออ มันจะมาทำไมกันวันนี้ มีแต่เรื่องวุ่นๆทั้งวันเลยให้ตายสิ ถ้าจับได้แล้วก็เอาไปรวมๆที่คุกใต้ดินก่อนแล้วกัน ได้ความยังไงค่อยมาบอกข้าพรุ่งนี้เช้า”

“พะยะค่ะ”

“ว่าแต่ลักษณะมันเป็นยังไงล่ะเจ้าคนที่ถูกจับได้น่ะ ฤทธิ์เยอะมากไหม”

“ไม่พะยะค่ะ เห็นพวกทหารเวรบอกว่าน่าจะเป็นตัวเบนความสนใจเสียมากกว่า เพราะอ่อนแอจนไม่น่าทำอะไรได้ รูปร่างหน้าตาก็น่าเป็นเด็กหนุ่มต่างชาติ เพราะมีผิวขาวและผมยาวสีม่วงอ่อนพะยะค่ะ”

ฟารันตาเบิกโพลงแล้วตะโกนถามอย่างร้อนใจ

“ตอนนี้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน!”

“เอ่อ...หะ ห้องหัวหน้ายามอะ ฝ่าบาทเดี๋ยว!จะทรงไปไหน อย่าออกไปยามนี้นะพะยะค่ะ”

ฟารันวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่ลังเลโดยมีทหารองครักษ์วิ่งตามไปห้ามอยู่ติดๆ เหลือแต่ลากลอซที่นั่งอึ้งอยู่ที่เดิม

หรือว่า....แทนที่เทวีจะลงมาแต่กลับเป็น....




.-----------------------------------------------------------------------------



ตอนฟารันไปถึงนั้นความรู้สึกมากมายทะลักจนเขาต้องชะงัก ทั้งตกใจ สับสน โกรธ ปิติ แต่ที่รู้ๆอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดในทั้งหมดส่งเขาให้พุ่งออกไปกระชากชายแก่ลามกที่กำลังไซ้ซอกคอเด็กหนุ่มที่ตัวสั่นทั้งน้ำตากระเด็นออกไปไกลก่อนจะนำเสื้อคลุมของตนคลุมร่างนั้นไว้ แล้วดิ่งไปตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้าชายแก่

“สวะ!กล้าทำแบบนี้ในวังของข้าหรอ”

“พระอาญามิพ้นเกล้า แต่ชะชายผู้นี้เป็นแค่”

“หุบปาก!แล้วกุญแจมา” เขาคว้ากุญแจที่ผู้น้อยยื่นให้อย่างหวาดกลัวไปปลดพันธนาการคนถูกยึดติดกำแพง อีกฝ่ายที่กลัวจนตัวสั่นโผเข้ากอดร่างสูงและเพ้อพูดออกมาโดยไม่ได้คิด

“ฟารัน” ถูกเพรียกหาด้วยเสียงอันบางเบาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องเป็นชื่อนี้

“ฮึก ฟารัน”

เจ้าของชื่ออุ้มอีกฝ่ายขึ้นด้วยสองแขนแกร่งแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดไม่จา



.......------------------------------------------------------------



             ห้องนอนขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเดิมถูกใช้เป็นห้องที่เตรียมไว้สำหรับว่าที่องค์มเหสี แต่ด้วยเวลาจำกัดจึงจัดแจงให้เด็กหนุ่มปริศนาเข้ามาพำนักเสียก่อน  เขาได้รับการตอนรับเป็นอย่างดีทั้งได้ชำระร่างกายนุ่งเสื้อผ้าและทานนมอุ่นๆตอนที่อยู่บนเตียง  หลังจากวางแก้วลงในถาดที่หญิงรับใช้ถืออยู่ไปเมื่อครู่เขาก็ต้องฉงนในท่าทีของคนมากมายที่อยู่ในห้อง

ที่ข้างกายเขามีชายที่ตนเรียกไปว่าฟารัน และที่ปลายเตียงมีชายชุดขาวโกนหัวเกลี้ยงหลายคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นชายชราที่ดูสูงศักดิ์กว่าคนอื่นเขาก้าวออกมาแล้วลงก้มคำนับจนหน้าผากจรดพื้นแล้วคนอื่นก็เริ่มทำตามรวมทั้งฟารันด้วย

“ขออภัยองค์เทพที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น จนทำให้เกิดเรื่องร้ายกับท่านทรงอย่าพิโรธพวกทหารโง่เลย พิธีกรรมอันเชิญเทพจัดขึ้นอย่างลับๆพวกทหารไม่รู้ได้ว่าจะมีองค์เทพลงมาจุติ อีกทั้งพวกข้าพเจ้ามิได้อยู่เฝ้าวิหารให้นานพอจึงไม่มีใครไปรับตัวท่านให้สมเกียรติต้องโปรดอภัยด้วย”

ชายชราเอ่ยขึ้นทั้งยังไม่เงยหน้า พวกเขาค้างอยู่ในท่านั่นเหมือนรอให้เด็กหนุ่มตอบรับอะไรบางอย่าง ตัวเขานั้นยังไม่เข้าใจอะไรนักแต่เขาก็ไม่ตระหนกมากกับท่าทางนอบน้อมที่คนอื่นมีให้ เพราะเขารู้สึกได้ว่าเคยเห็นภาพผู้คนคำนับตนมาบ่อยครั้งแล้วเพียงแต่นึกว่าไม่ออกว่าอย่างไรหรือเมื่อใด เช่นนี้เขาจึงส่งเสียงตอบรับออกไปอย่างแผ่วเบาเพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นมานั่งตามปรกติ

“เหตุใดท่านถึงลงมาแทนองค์เทวีอนามอเฟีย” ฟารันเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเฉยไม่มีทีท่ายำเกรงแต่อย่างใด ตามวิสัยของคนที่อยู่จุดสูงสุดผู้ไม่เคยต้องนอบน้อมกับใคร

ทว่าตาเศร้ากลับเลื่อนลอยก่อนหลุบลงและไร้คำตอบ

ทำไมถึงเป็นเรา?

นั่นสิทำไมเราถึงอยู่ที่นี่?

แล้วก่อนหน้านี้เรามาจากไหน?

เราเป็นใคร?


คิ้วน้อยๆขมวดหากันอย่างหนักใจ ความรู้สึกบางอย่างบอกได้ว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ตัวเขาไม่คุ้นเคยไม่ใช่ร่างกายของเรา แต่ก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมหัวหน้านักบวชจึงกล่าวทำลายความเงียบขึ้น

“อย่าพึ่งซักไซ้ท่านเลยฝ่าบาท ร่างกายมนุษย์ยังใหม่และอ่อนแอนักให้องค์ท่านได้พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูกำลังก่อนเถิด” ฟารันพยักหน้าอย่างช้าๆโดยไม่ละสายตาออกจากคนตรงหน้า จนคนถูกจ้องรู้สึกร้อนแปลกๆบนผิวหน้า

ทุกคนลงคำนับเขาอีกครั้งก่อนจะค่อยๆทยอยเดินออกไป องค์ราห์โอออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาหันมามองเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนประตูบานใหญ่จะปิดลง

แล้วชายเกศม่วงก็ถึงกาลหลับใหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ขออภัยจริงๆที่มาอัพช้า เขียนช้าอัพช้า เวลาน้อยหย๋อยๆ คราวหน้าจะพยายามทำทุกอย่างให้เร็วขึ้นนะคะ  :z3: :z3:

ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านมากๆคะ ขอบคุณคะ ฮึ้ออออออออออ :hao5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่4 แล้วคร๊าบบบบบบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 12-05-2014 23:44:21
ลุ้นมากๆกลัวไอ้แก่นั้นมันทำร้ายย ดีที่ฟารันมาทันนนน ใจหายยยย  :mew4: :hao5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพตอนใหม่แย้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-05-2014 14:58:52


          องค์เลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าวนั้นเป็นแมวตัวใหญ่มาก เวลาท่านเลียหน้าเทพโรเรเนสนั้นจะเจ็บได้เรื่องอยู่เพราะลิ้นแมวเป็นที่ทราบกันว่าสากมาก องค์แมวเหมี๊ยวตัวขาวฟูนั่งเลียขาหน้าตัวเองอยู่ก่อนสายตาจะเลื่อนมาเห็นคนตรงหน้าจึงเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากำลังจะโดนแมวจู่โจมจึงร้องห้ามออกไปตามวิสัย


“ไม่เอาน่าซาลาเปา หยุดนะ ซาลาเปา อย่าเลียสิซาลาเปา ซาลาเปา!”

โรเรเนสสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางยามเช้าอันสดใสพร้อมแสงแดดอ่อนๆและเสียงนกร้องร่าเริง

ที่ไหนเนี่ย?

เขานึกทบทวนหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่ละลำดับทั้งที่ยังนอนอยู่ ความทรงจำนั้นค่อยๆกลับมาแล้ว แม้นจะไม่ครบถ้วนทุกอย่างแต่ส่วนสำคัญนั้นก็นึกออกได้

ใช่ เขาเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์นามโรเรเนส มีแมวยักษ์เป็นพาหนะและแทนที่จะดูแลต้นไม้อยู่ในวิมาณตน ก็ดันต้องลงมาเป็นมนุษย์แทน.....

แทนใครซักคนที่ยังนึกชื่อไม่ออก แต่ที่แน่ๆมันเกิดเหตุผิดพลาด มีพิธีอันเชิญเทพเกิดขึ้นและเป็นเหตุให้เขาต้องลงมาตกระกำลำบากจนเกิดเหตุที่ขยักแขยงขึ้นเมื่อคืนนี้

จนกระทั่งฟารันเข้ามาช่วยไว้

ฟารัน..... เขาจำไม่ได้หรอกว่าชายคนนี้เป็นใครจำได้แต่ว่าชื่อฟารัน เขาจำอะไรเกี่ยวกับโลกมนุษย์ไม่ได้เลยแม้นแต่โลกเทพก็ยังจำไม่ได้ในตอนนี้  เขามั่นใจว่าตนเคยรู้มากกว่านี้ ช่วงชีวิตหลายพันปีของการเป็นเทพมีความรู้มากมายอยู่ในหัว ทว่าตอนนี้เหลือเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่ก็เป็นชื่อ ชื่อตนเอง ชื่อแมว ชื่อฟารัน และอีกสารพัดพันธุ์พืชที่จู่ๆก็แล่นเข้ามาในหัว
แต่นอกนั้นก็ยังนึกอะไรไม่ออก มีแต่ความรู้สึกคุ้นๆและคลับคล้ายคลับคราเป็นส่วนมาก แม้นกระทั่งพี่ชายตน...ใช่จำได้ว่ามีพี่ชาย ไม่ใช่พี่แท้ๆหรอก เป็นคนโผงผางอยู่มาก แต่ยังนึกหน้าและชื่อไม่ออก

โรเรเนสถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เคราะห์กรรมอันใดถึงทำให้ตนต้องลงมาอยู่ในกายหยาบอันแสนอ่อนแอของมนุษย์เช่นนี้ ไหนจะความหิวโหย ความว้าวุ่นใจและความเจ็บไข้อีกล่ะ ยังไม่รวมถึงจิตใจที่ยากจะหยั่งอีกยิ่งไม่มีพลังเวทย์เช่นเทพอยู่แล้วเขาจะอยู่รอดไปได้อย่างไร โรเรเนสยังนึกไม่ออกเลย

เขาค่อยๆหยัดกายขึ้นมาอย่างช้าๆ ร่างมนุษย์นี้ยังใหม่และอ่อนแอคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเขาจะสามารถบังคับร่างกายนี้ได้คล่อง คงเป็นเช่นนนี้กระมังความทรงจำมากมายของเขาจึงยังไม่กลับมา ด้วยร่างกายอันแสนอ่อนแอนี้เพียงแค่รองรับดวงจิตของเขาได้ก็นับว่าอัศจรรย์มากแล้ว นับประสาอะไรกับองค์ความรู้มากมายของเทพนั่นอีกเล่าคงต้องใช้เวลานานพอดูกว่าความทรงจำจะทยอยมาเต็มเติมหัวเล็กๆของมนุษย์นี้ได้

ใช่ คงอีกนานไม่รู้ว่าแค่ไหน สัปดาห์? เดือน? ปี? ความทรงจำของเขาจึงจะสมบูรณ์ได้

ม่านตาสีฟ้าใสหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมือเรียวเอื้อมไปเปิดผ้าม่านที่ขึงล้อมเตียงกว้างนี้อยู่ แสงแดดที่ลอดเข้ามาจ้าพอตัว เขาย่างลงจากเตียงอย่างช้าๆ ชุดที่สวมใส่เป็นเหมือนเสื้อตัวยาวทอจากฝ้ายเนื้อดี มันยาวพอที่จะปกปิดส่วนสำคัญแต่ก็มิได้ยาวเลยเข่าจึงยังเห็นรอยนิ้วมือน่ารังเกียจที่ผู้บัญชาการลามกนั้นทิ้งไว้ให้

สองขาก้าวได้ไม่มั่นคงนักพยายามจะเดินออกไปยังประตูห้องแต่พอดีกันนั้นบานประตูตรงหน้าก็เปิดเข้ามาผู้ที่เปิดคือชายวัยกลางคนที่ยังดูไม่ถึงกับแก่มากนักแต่ผมกลับเป็นสีขาวเรียบและผิวกายสีแทนแต่งกายด้วยชุดคลุมตัวยาวตามนิยมของอาณาจักรนี้

 เขายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะก้มลงคำนับจนหน้าผากจรดพื้น

“อย่าทำเช่นนั้นเลยปฏิบัติต่อข้าเช่นคนปรกติเถิด”

“หามิได้ เพราะไม่แน่ว่าหลังจากนี้ข้าจะได้ทำเช่นนี้อีก สามวันที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน”

“สามวัน!”

“ใช่ ท่านหลับไปสามวันจนองค์ราห์โอต้องเรียกข้ามาดูท่านนี่ไง” ชายคนนั้นลุกขึ้นทั้งยังยิ้มอยู่

“ข้ามีนามว่าชัคบา เป็นหมอหลวงประจำราชสำนักหลังจากท่านหลับไปได้หนึ่งวันปลุกเท่าใดก็มิยอมตื่นองค์ราห์โอจึงร้อนใจมากถึงกลับตามข้ามาดู ว่าแต่ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” 

ชัคบาถามพร้อมพยุงโรเรเนสไปนั่งที่มุมหนึ่งของห้องแล้วรินน้ำให้ อีกฝ่ายเอ่ยขอบคุณอย่างแผ่วเบาก่อนจะพูดต่อหลังจากได้ดื่มอย่างกระหาย

“เหนื่อยและเหมือนร่างกายหนักมาก อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก”

“คงด้วยท่านกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว หากรับร่างใหม่นี้ได้ทุกอย่างคงจะดีขึ้นเอง”

“พวกนักบวชบอกข้าว่าเรื่องอันเชิญเทพเป็นความลับ แต่ทว่าท่านก็รู้ว่าข้าเป็นใคร”

“ไม่มีใครบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นเพราะหลายเรื่องในวังนี้เป็นความลับที่แม้แต่คนในครอบครัวขององค์ราห์โอก็ไม่อาจล่วงรู้ แต่ด้วยข้าเป็นหมอและไม่ใช่คนโง่ เมื่อข้าตรวจร่างกายท่านจึงได้รู้ว่ามีบางสิ่งผิดไป ตัวข้านี้รู้จักร่างกายมนุษย์ดี จึงทราบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์เช่นท่านจะมีลักษณะใหม่หมดจดเช่นเด็กแรกเกิดได้ คนเราเมื่อโตมักจะต้องทิ้งร่องรอยของการเจริญเติบโตเอาไว้ทั้งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าและที่ต้องตรวจดู แต่ร่างกายของท่านนั้นไม่มีร่องรอยเช่นนั้นเลยเหมือนเกิดมาแล้วก็เป็นเช่นนี้ทันที ไม่ได้ผ่านวัยเด็กมาเช่นมนุษย์ผู้อื่น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอเหมือนเพิ่งหัดได้ใช้งานเช่นเด็กเล็กของท่านอีก จึงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าร่างกายนี้ถูกเนรมิตขึ้นมามิได้เกิดด้วยการคลอดเช่นคนทั่วไป”

ตาเชื่อมได้ยินดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆอย่างชื่นชมเพราะแม้จะเป็นหมอที่พิจาราณาทุกอย่างตามเหตุผลที่พิสูจน์ได้ แต่บุคคลผู้นี้ก็ยังใจกว้างพอที่จะยอมรับเรื่องเหลือเชื่ออย่างร่างเนรมิตของเขาได้อีก 

“ท่านหมอนี่ใจกว้างจริง เชื่อเรื่องที่หาข้อพิสูจน์แบบนี้ด้วยหรอ”

“ข้าเป็นศาสนิกชนที่ดีนะ หากพอจะจำได้ข้าสวดให้ท่านเป็นประจำ”ถึงตอนนี้แววตาสดใสของโรเรเนสก็กลับหมองลง

“คงต้องขออภัยในเรื่องนี้ ข้าต้องสารภาพตามตรงว่ายามนี้ข้าไม่สามารถจดจำสิ่งใดๆได้เลยในตอนที่ข้าเป็นเทพอยู่บนสวรรค์”

“จริงรึท่าน ท่านพอจะทราบไหมว่าทำไม” น้ำเสียงและสีหน้าของหมอหลวงเปลี่ยนไป เขาดูเป็นกังวลขึ้นมาก

“เอ่อ...ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันคงเพราะร่างมนุษย์ยังรับดวงจิตของข้าไม่ได้ครบถ้วนน่ะ ก่อนหน้าข้าจำอะไรไม่ได้เลยแม้นแต่ชื่อตัวเอง ยามนี้จำได้แต่ชื่อแมวแถมยังจำได้แต่ชื่อเล่นของมันอีก แล้วก็ชื่อตัวเองกับพวกพันธุ์พืชเยอะแยะนับไม่หมดที่ค่อยๆโผล่มาในหัว คงต้องใช้เวลากว่าข้าจะจำทุกอย่างได้ ตอนนี้ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมืองที่ข้าอยู่นี่ชื่อ รู้สึกแต่ว่าวังนี้คุ้นๆชอบกล” ในท้ายประโยคเขามองไปรอบๆห้องอย่างพินิจ ใช่ตอนเป็นเทพเขาต้องคุ้นเคยกับมากจ้องมองวังวังนี้เป็นแน่เขารู้สึกได้เช่นนั้น
“ตอนนี้ท่านอยู่ที่พระราชวังรานาราจา ซึ่งอยู่สูงเหนือขึ้นมาจากมหานครเอนนัคเมืองหลวงแห่งสปันเทีย”

ใช่!สปันเทีย ชื่อนี้คุ้นหูนัก

“ว่าแต่ทำไมดูท่านหมอหลวงถึงหนักใจนักที่ข้าจำความมิได้ หรือท่านต้องการถามอะไรจากข้างั้นรึ”  หมอหลวงทำหน้าหนักใจแล้วถอนหายใจ

“ก็ไม่เชิงหรอกท่าน แต่อย่างที่ข้าบอกสามวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ข้าไม่ทราบหรอกว่าเรื่องพิธีอันเชิญเทพนั้นมีใครรู้บ้างแต่ที่แน่ๆ พวกขุนนางระดับสูงหลายคนรู้เรื่องนี้ และพวกนั้นสงสัยในความเป็นเทพของท่านจึงต้องการการพิสูจน์”

“พิสูจน์? ข้านึกว่าคำพูดของกษัตริย์เป็นสิทธิ์ขาดเสียอีก ถ้าฟารันเชื่อว่าข้าเป็นเทพจะต้องทำอะไรอีก”

“มันไม่ง่ายเช่นนั้นสิท่าน ฝ่ายขุนนางกับฝ่ายนักบวชเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ทั้งสองฝ่ายขัดผลประโยชน์กันอยู่เรื่อยๆ พวกขุนนางเชื่อว่าพวกนักบวชเอาศาสนาและความเชื่อมาเป็นเครื่องมือควบคุมประเทศ การที่นักบวชอันเชิญเทพลงมาสำเร็จเป็นเหมือนการตบหน้าพวกตน ดังนั้นเจ้าพวกขุนนางทั้งหลายจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ฝ่ายนักบวชหมดความน่าเชื่อถือ รวมถึงเรื่องที่ท่านเป็นเทพด้วยจนตอนนี้แม้นแต่องค์ราห์โอก็เริ่มจะหวั่นไหวแล้ว”

“หวั่นไหว พวกขุนนางพูดอะไรทำไมฟารันถึง....”

“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นพูดอะไร แต่ข้าก็ได้บอกความเห็นของข้าเรื่องร่างกายที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปของท่านให้ฝ่าบาททราบแล้วและก็ดูจะทรงเชื่อด้วย แต่ฝ่ายขุนนางคงมีเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้จึงทำให้ทรงลังเล เช่นนี้จึงมีรับสั่งให้เมื่อยามท่านตื่นให้พาท่านไปสอบถามเสียให้แน่ชัดหลังจากท่านอาบน้ำและรับประทานอาหารแล้วข้าจะพาท่านไปเอง”

เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่เขาต้องเจอเรื่องอะไรอีกล่ะนี่

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-05-2014 15:08:08

ห้องที่หมอหลวงพาเขาเข้าไปเป็นเพียงห้องรับรองเล็กๆแต่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนหรูหรา มีชายสูงวัยแต่งตัวหรูหราเต็มยศ 4-5คนนั่งอยู่บนตั่งฝั่งขวาและมีพวกนักบวชชั้นสูงแต่งชุดขาวนั่งอยู่บนตั่งฝั่งซ้าย ถอยออกไปตรงกลางมียกพื้นที่ปูพรมอย่างดีเป็นที่ประทับขององค์ราห์โอที่สวมใส่เครื่องทรงเป็นเสื้อผ้าฝ้ายคอกว้างและกางเกงขายาวเนื้อผ้าเดียวกันที่แลดูสบายๆและธรรมดาสามัญยิ่งกว่าใครในห้อง ลากลอซคนสนิทยืนอยู่ข้างที่ประทับเขาแต่งกายด้วยชุดแขนยาวสีน้ำเงินปักดิ้นเงินตัดเข้ารูปพอดีตัวยาวถึงเข่าซึ่งเป็นเครื่องแบบประจำตำแหน่งของเขา


โรเรเนสถูกพาเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นเข้าไป ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวจนรู้สึกอึดอัดใจ พวกขุนนางประดับยศด้วยเพรชพลอยแสบตามองเขาด้วยสายตาคุกคามส่วนพวกนักบวชกลับหน้าซีดทำท่าเหมือนอยากจะลงกราบเขาแต่ก็ไม่กล้า บรรยากาศเย็นชาที่ปกคลุมห้องเล็กๆห้องนี้ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตนคงไม่ใช่เทพสำหรับคนในนี้แล้วกระมัง...


เขาเข้าไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใกล้กับองค์ราห์โอพร้อมหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาที่กษัตริย์หนุ่มมองมาช่างดูทรมาณใจเหลือเกิน ทรงพิศมองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าชุดคลุมบางเบาตัวหลวมยาวถึงข้อเท้ายิ่งทำให้ดูตัวเล็กลงไปอีก ฟารันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยถาม


“ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่าท่านถูกพามาที่นี่เพราะอะไร” ผู้ถูกถามเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายพบเนตรเหยี่ยวคมกร้าวที่ทำให้รู้สึกสะท้านไปถึงขั้วหัวใจแม้นตัวเองจะเป็นเทพก็อดใจสั่นมิได้

“ทราบดี”

“เช่นนั้นข้าขอเริ่มที่คำถามง่ายๆ...ท่านเป็นใคร”

“ท่านทราบอยู่แล้ว”

“เรื่องนี้เลยจุดที่ข้าจะทำตามใจได้ไปเสียแล้ว มันไม่สำคัญว่าข้าจะคิดอย่างไรตอบคำถามมาเสียเถิด”

“เทพแห่งพืชพันธุ์นามว่าโรเรเนส”

                เสียงฮือฮาดังขึ้นภายในห้องจนองค์ราห์โอต้องสั่งปรามให้เงียบ

“ทุกคนได้ยินชัดแล้วนะว่าชายผู้นี้กล่าวว่าอะไรมีใครจะถามอะไรอีกไหม” ชายวัยกลางคนที่ไว้เคราคนหนึ่งในหมู่ขุนนางยกมือขึ้น

“ว่าอย่างไรท่านโยเฮน”

“ขอกระหม่อมซักถามเขาได้หรือไม่ฝ่าบาท”

“ตามใจ”  ขุนนางผู้นั้นโค้งให้กษัตริย์ตนก่อนจะเบนสายตามาที่เด็กหนุ่มหน้าห้อง

“ท่านลงมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”

“เทวรูปองค์ปฐมเปลี่ยนจากหินอ่อนมาเป็นกายเนื้อให้แก่ข้า”

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เทวรูปองค์ปฐมก็ไม่มีแล้ว แต่กลายเป็นท่านแทน”

“ใช่ ยามข้าตื่นมาพบตัวเองอยู่บนแท่นประดิษฐานที่ว่างเปล่าเทวรูปองค์นั้นได้กลายเป็นข้าไปแล้วในยามนี้”

                  พลันจู่ๆขุนนางผู้เอ่ยถามก็ยกยิ้มขึ้นมาเหมือนจะเย้ยหยันและเหล่านักบวชหน้าตาซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด โรเรเนสรู้สึกผิดสังเกตุกับสีหน้าของคนเหล่านี้

“แต่ว่าวันก่อนข้าได้ทูลฝ่าบาทให้ทรงลองไปตรวจดูในวิหารก็พบว่าเทวรูปขององค์โรเรเนสยังอยู่ดีเหมือนเดิม”

“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้”

“นั่นเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นพวกนักบวชก็อยู่กับข้า” เสียงทุ้มเย็นเยียบดังลงมาจากคนที่อยู่บนยกพื้น โรเรเนสหันไปก็พบแต่แววตาเย็นชา

“จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนข้าตื่นมาแท่นประดิษฐานยังว่างเปล่าอยู่เลย” เด็กหนุ่มตกใจและร้อนรน เขาไม่เข้าใจว่าเป็นด้วยเหตุใดกันแน่ โยเฮนขุนนางสูงวัยเห็นสีของจำเลยตนก็ได้ทีซักไซ้ต่อไปอีก

“ยามท่านตื่นงั้นรึ? มีใครเป็นพยานเห็นตอนท่านกลายร่างเป็นมนุษย์บ้างล่ะ หากไม่มีเช่นนี้ก็เชื่อถือไม่ได้หรอกนะเพราะเป็นคำพูดของท่านฝ่ายเดียว”

              ผู้ถูกถามเม้นปากแน่นสนิททั้งโกรธและอึดอัด นี่เป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เทวรูปนั้นไม่มีทางจะยังอยู่ตรงนั้นเช่นเดิมได้ เขาอดคิดได้ว่าต้องมีคนจงใจกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรและทำได้อย่างไร

“เช่นนี้ข้าขอถามหน่อยหากท่านเป็นองค์โรเรเนสจริง ท่านเสกให้ต้นไม้งอกได้ไหม”

“เมื่ออยู่ในร่างเทพทำได้ ยามนี้เป็นมนุษย์ทำไม่ได้”

“ท่านมีพลังเวทย์ใดใดไหม”

“ไม่มี กล่าวอีกครั้งข้าอยู่ในร่างมนุษย์ ร่างนี้ไม่สามารถรองรับอำนาจเช่นนั้นได้”

“เช่นนั้นท่านก็ต้องมีความรู้ที่เหนือไปจากมนุษย์จริงไหม ท่านทราบไหมว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร”

“ไม่ทราบ”

“บนสวรรค์เป็นเช่นไร”

“ไม่ทราบ”

“แต่ท่านเป็นเทพท่านจะไม่รู้ได้อย่างไร”

“ข้ายังปรับตัวอยู่ ร่างนี้ใหม่และอ่อนแอมากมันยังไม่สามารถรองรับองค์ความรู้และความทรงจำของเทพได้ในคราวเดียวหากแต่ต้องใช้เวลา”

“เช่นนี้ท่านก็ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะให้เชื่อว่าเป็นเทพได้อย่างไร”

“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”

“ไร้สาระ!” สิ้นคำหมิ่นประมาทของโยเฮน หัวหน้านักบวชที่ทนต่อพฤติกรรมจาบจ้วงมานานก็ลุกขึ้นประท้วง

“บังอาจสิ้นดี!ท่านดูหมิ่นองค์เทพมากไปแล้ว”

“องค์เทพงั้นรึ? วันก่อนท่านกับฝ่าบาทก็ได้ไปดูที่วิหารแล้วนี้ว่าเทวรูปยังอยู่ปรกติดี เช่นนี้บุคคลผู้นี้ก็เป็นแค่คนหน้าเหมือนที่พวกนักบวชจ้างมาเพื่อตบตาฝ่าบาทเท่านั้นเอง เพื่อผลประโยชน์และความน่าเชื่อถือของฝ่ายตนพวกท่านย่อมทำได้อยู่แล้วนี่”

 “บ้าบอ!มันไม่มีทางที่มนุษย์จะมีหน้าพิมพ์เดียวกับเทพเช่นนี้หรอก ฝ่าบาทโปรดฟังความเห็นของฝ่ายข้าด้วย” ประโยคหลังนักบวชอวุโสหันไปพูดกับเหนือหัวด้วยท่าทางอ้อนวอน

“กระหม่อมเชื่อว่าเทวรูปที่อยู่ในตอนนี้เป็นของปลอมที่เจ้าพวกขุนนางชั่วมันทำเลียนเอาไว้แม้จะยังไม่มีหลักฐานและข้อพิสูจน์แต่เชื่อว่ากระหม่อมต้องพิสูจน์ได้ในวันหนึ่ง”

“อย่ามากล่าวหาข้าแบบนั้นนะ! พระราชฐานชั้นในข้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปอยู่แล้วเทวรูปองค์ปฐมเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นจะไปทำของปลอมมาได้อย่างไร”

“โยเฮนให้นักบวชพูดให้จบก่อน”

“และก็ถือว่าทำได้แนบเนียนมากเพราะแม้นกระหม่อมเองก็ยังดูไม่ออกว่าต่างจากของเดิมตรงไหน แต่ฝ่าบาทเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะตัดสินความในวันสองวันมิได้ โปรดให้เวลาองค์เทพได้พิสูจน์องค์เถิด ข้าเชื่อว่ายามนี้องค์เทพได้มาสถิตย์อยู่กับเราจะต้องมีปาฏิหารเกิดขึ้นให้เป็นที่ประจักษ์อย่างแน่นอน ตามวิสัยของผู้มีบุญญาธิการสวรรค์จะต้องเข้าข้างโปรดพระองค์ทรงรอดู อีกทั้งยังมีข้อคิดเห็นทางการแพทย์จากท่านหมอหลวงที่น่าเชื่อถืออีกเช่นนี้ก็รับรองได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นเทพตัวจริงแน่นอนฝ่าบาท”

“ฝ่าบาทหากเป็นองค์เทพจริงนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่ใช่ก็ถือว่าพระองค์ทรงตกอยู่ในอันตรายนะพะยะค่ะเพราะการที่ให้คนที่ถูกจ้างวานมาหลอกลวงพระองค์มาป้วนเปี้ยนอยู่ในพระราชฐานชั้นในเช่นนี้เราไว้ใจอะไรไม่ได้เลยว่าคนพวกนี้คิดชั่วอะไรอยู่ ตบตาคนในวังได้ขั้นหนึ่งแล้วขั้นต่อไปจะลอบปลงพระชนม์ก็ย่อมได้ โปรดรีบตัดสินความในคราวนี้เสียเถิดอย่าปล่อยให้เนินนานออกไปเลย” ขุนนางโยเฮนแย้งขึ้นอีก


ฟารันมองชายสูงวัยทั้งสองคนสลับไปมาก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ลำพังแค่เรื่องเทวรูปก็บอกได้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เทพจริงๆ แต่เรื่องผลการตรวจร่างกายจากท่านหมอก็มาค้านความคิดนั้นไว้อีก เช่นนี้เขาก็มิอาจตัดสินได้เพราะไม่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของทั้งสองฝ่ายได้ แต่จะปล่อยทิ้งให้ค้างคาก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ แล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรดี?

เขาเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มผมม่วงที่อยู่ใกล้ๆ เสื้อตัวหลวมเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนที่ยังมีรอยจ้ำแดงๆปรากฎอยู่ วงหน้างามหายใจช้าๆอย่างอึดอัดส่งให้พวงแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อน่าหมั่นเขี้ยว ริมฝีปากบางเม้มลงพร้อมสีหน้าวิตกกังวลทว่าเขากลับคิดว่ามันน่ามองเสียจริง

ฟารันหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดกับชายสูงวัยทั้งสองที่ยังยืนรอคำตอบอยู่

“ข้ารู้แล้ว่าจะพิสูจน์อย่างไร” ทุกสายตาหันมามองเขาเป็นตาเดียวและจดจ่อเฝ้ารอ

“พวกท่านเคยได้ยินเรื่องAngel syrupไหม”  ทุกคนออกอาการตกใจและเหมือนจะรู้ดีว่ามันคืออะไร เว้นแต่โรเรเนสเท่านั้นที่ไม่ทราบว่าคนอื่นแตกตื่นเรื่องอะไร คราวนี้ลากลอซคนสนิทของราห์โอผู้ยืนสงบนิ่งมานานก็เกิดอาการร้อนรน

“เอ่อ ฝ่าบาทอย่าเลยมัน....” ฟารันยกมือขึ้นห้ามสหายของตนไม่ให้พูดต่อก่อนจะยืนขึ้นแล้วก้าวช้าๆพร้อมพูดต่อไป

“angel syrup หรือน้ำเชื่อมเทวดาว่ากันตามความเชื่อเก่า แกนกายของบุรุษเทพเทวาจะขับน้ำวิสุทธิ์สีใสเมื่อยามถึงจุดสุขสมออกมา ต่างจากของมนุษย์ที่เป็นน้ำสีขาวขุ่น อีกทั้งยังหอมหวานจนถูกเรียกว่าเป็นน้ำเชื่อม” สองขาแกร่งก้าวลงไปใกล้เด็กหนุ่มผมยาวที่มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากคนอื่นรอบๆห้อง

“ผู้ที่จะมีangel syrupได้นั้นมีเพียงผู้ที่เป็นเทพหรือผู้ที่มีเชื้อเทพเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้และมีบันทึกเอาไว้ชัดเจน หลายคนในที่นี้ก็คงเคยได้ยินว่าแม่ทัพฝ่ายเหนือของเราก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพและก็คงเคยรับรู้มาว่าน้ำวิสุทธิ์ของเขาผู้นั้นก็เป็นสีใสซึ่งพิสูจน์สถานะกึ่งเทพของเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว”

กษัตริย์หนุ่มหยุดยืนเมื่อถึงระยะประชิดตัวกับผู้ที่อ้างตนเป็นเทพ อีกฝ่ายก้มหน้าหนีตาคมนั้นอย่างอึดอัดเขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูกและหัวใจเริ่มเต้นระส่ำ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชายคนนี้เขาต้องรู้สึกแปลกๆด้วย

“มองตาข้าสิ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาเหมือนอยากให้ได้ยินแค่สองคน  ตาเศร้าเชื่อมช้อนมองตอบตามคำขอริมฝีแดงเรื่อยังคงเม้มสนิท ชายหนุ่มพิศใบหน้างามนั้นก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนโยน

“ยืนยันหรือไม่ว่าเจ้าเป็นเทพ”

“ข้าคือเทพ”

“เช่นนั้นข้าต้องขอพิสูจน์นะ”  เสียงพูดนั้นแผ่วเบาราวกระซิบแต่ก็แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าขี้แกล้งกว่าร่างเล็กจะไหวตัวทันก็สายไปเสียแล้ว

สองแขนแกร่งดึงคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนแล้วก้มลงกระกบริมฝีปากลงอย่างแนบแน่น ลิ้นสากสอดเข้าตักตวงความหวานจากอีกฝ่ายดั่งปรารถนาจะดูดดึงลมหายใจให้หมดสิ้น ส่งให้ความร้อนวูบวาบไหลแล่นลงไปจนถึงเบื้องล่าง

“อื้อออออ!” เสียงครางประท้วงพร้อมออกแรงดิ้นอยู่ในวงแขนแต่ก็ไม่ทำให้การกระทำดังกล่าวหยุดลงเลยมีแต่ทวีความหวานซ่านหนักหน่วงซ้ำไปมาให้เหนื่อยอ่อน  ลิ้นสากไล้เลียกระหวัดดึงอย่างเร่งร้อนพลางแขนแกร่งก็กอดกระชับผู้ประท้วงตนให้ร่างแนบชิดขึ้นไปอีก...แนบแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย

ผู้คนรอบข้างพากันแตกตื่นโวยวาย หลายฝ่ายพยายามห้ามการกระทำอันอุอาจของราห์โอหนุ่ม หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปขัดจังหวะตรงๆเพราะกลัวจะโดนโทษทัณฑ์

หัวใจเด็กหนุ่มระส่ำไม่เป็นจังหวะเรี่ยวแรงที่แทบไม่มีอยู่แล้วก็พลันหมดไปจนสิ้นฤทธิ์ขัดขืน  ลมหายใจของเขาถูกช่วงชิงไปหมดเมื่อจังหวะดูดดื่มเริ่มเนิบช้าลงจนอีกฝ่ายถอนปากออกหน้างามทำได้เพียงเผยอปากหอบน้อยๆอยู่ใต้วงแขนบุรุษตาคม แม้นแรงจะยืนก็แทบไม่มี ความร้อนซ่านแผ่ไปทั่วตัวทั้งใบหน้าแลแก่นกายเบื้องล่าง

หากแต่ที่ผ่านไปเป็นเพียงบทนำด้วยขณะที่ฟารันโอบอีกฝ่ายไว้ด้วยแขนข้างเดียวมืออีกข้างนั้นก็ถกเลิกผ้าเนื้อบางที่คลุมร่างกายเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะล้วงเข้าคว้าส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน

 “อ๊ะ อ๊า อื้อ!ไม่นะ” ร่างบางสะดุ้งหนีมือสากหากแต่ก็แค่ทำให้ตัวเองจมลงสู่อ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีกเท่านั้น

“รู้สึกไวเหมือนกันนะ แต่จูบนิดเดียวก็เป็นเสียขนาดนี้แล้ว”

“อ๊ะ อ๊ะ ฟารัน อึก...ฮ้า”

“ก็บอกแล้วไงว่าต้องพิสูจน์ หากแก่นกายของเจ้าขับน้ำangel syrupออกมาได้จริงข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าเป็นเทพ”

ราห์โอหนุ่มคลึงเค้นท่อนเนื้อสีชมพูอย่างคล่องแคล่วก่อนจะรูดขึ้นลงเป็นจังหวะซ้ำ จุดนั้นแข็งร้อนดั่งไฟสุ่มพาลให้ใจคลั่ง ร่างบางบิดเร่าสองมือพยายามป่ายปัดมือหยาบนั้นออกจากช่วงล่างของตนแต่ก็ไร้ผล พวงแก้มแดงระเรื่อพร้อมกับปากที่เผยอหอบหายใจถี่ๆ เขาสะท้านน้อยๆแล้วซบหน้าหนีลงที่แผงอกอีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้

“อึก อ๊ะ ฟะ ฟารัน ยะ..อ้า”

 เขาไม่อาจต่อต้านได้และไม่อาจระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนได้อีกด้วยจึงได้แต่ครางกระเส่าอย่างน่าอายอยู่แบบนั้น
ถึงตอนนี้หมอหลวงและลากลอซก็ไม่อาจยืนเฉยอยู่ได้ทั้ งสองพุ่งเข้าไปห้ามนายตน  ลากลอซนั้นถึงกับสบถออกมาด้วยความโกรธในพฤติกรรมบ้าระห่ำเช่นนี้

“หยุดสิเว่ยฝ่าบาท! บ้าไปแล้วหรือไงฮะ”
เขาฉุดมือไร้มารยาทนั้นออกจากใต้ชุดเด็กหนุ่มที่ร้องเสียงกระเส่าอย่างอ่อนแรง ก่อนจะถูกมือข้างเดียวกันนั้นคว้าคอเสื้อตนเองไว้

“ไม่ต้องมายุ่ง!” ฟารันตะหวาดเกรี้ยวจนคนรอบข้างกลัวหัวหด เว้นแต่ลากลอซที่ยังสู้ตาคมนั้นอย่างไม่ไหวติง

แต่เพียงแค่อึดใจเท่านั้นสายตาของคนสนิทก็เลื่อนจากนายของตนไปมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างตกใจ เมื่อหันกลับไปดูร่างในอ้อมแขนก็พลันทรุดลงกับพื้นไปต่อหน้า เขาปล่อยมือจากคอเสื้อคนสนิทแล้วลงไปประคองร่างนั้นไว้

 “นี่เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ!โรเรเนส!” 

โรเรเนสหอบหายใจอย่างหนักสองมือสั่นเทากุมอกตัวเองไว้ ผิวหน้างามกลับซีดจนไร้เลือด หัวใจของเขาเต้นแรงจนรู้สึกทรมาณแทบขาดใจ...... เทพหนุ่มกำลังจะช๊อค

เมื่อเห็นเช่นนั้นหมอหลวงก็ลงมาสมทบพร้อมกลับตรวจดูอาการก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้แล้วพูดกับราห์โอด้วยความโกรธ

“ข้าบอกท่านแล้วว่าร่างกายนี้ยังใหม่นัก หัวใจของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้การทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วเกินไปอาจฆ่าเขาได้นะฝ่าบาท” จบคำหมอก็คว้าตัวคนไข้ตนมาไว้เอง

“ทางที่ดีทรงอย่าเพิ่งเข้าใกล้เขาเลย หากพระองค์ต้องทำเรื่องบัดสีเช่นนี้กับเขาอีกก็โปรดรอให้หัวใจของเขาแข็งแรงกว่านี้เถิด”



องค์ราห์โอชะงักไปด้วยคำพูดของหมอหลวง

“.......” แล้วบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ.....



ฟารันนิ่งสงบมองดูร่างนั้นหอบหายใจอย่างอ่อนแรงอยู่ซักพัก ก่อนแววตาคมกร้าวจะปรากฎขึ้นอีก

“ได้!” เสียงกังวานดังขึ้นทำลายความเงียบ

“เช่นนี้ ข้าจะมอบบุรุษผู้นี้ให้อยู่ในความดูแลของท่านหมอหลวง” เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบห้อง เหล่าขุนนางและนักบวชก้มหน้างุด ไม่มีใครกล้าสบตากร้าวของกษัตริย์เลือดร้อนองค์นี้แม้แต่คนเดียว

“ยามนี้ข้าจะยังไม่ตัดสินว่าเขาเป็นเทพหรือเป็นผู้ร้าย ฉะนั้นจงปฏิบัติต่อเขาเช่นอาคันตุกะทั่วไปจนกว่าข้าจะพิสูจน์สถานะของเขาได้หลังจากนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาเป็นอันขาด”

 สิ้นคำตรัสองค์ราห์โอก็สาวเท้าก้าวออกจากห้องไปโดยไม่หันมามองอีกเป็นครั้งที่สอง


 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

มาเพิ่มอีกตอนแล้วค่าาาา ตอนนี้ก็รู้กันแล้วนะคะว่าความหมายที่แท้จริงของ Angel syrup นั้นคืออะไรรรร ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านนะคะ เป็นไปได้ก็อยากให้คอมเมนต์ด้วยฮะๆ
คราวหน้า จะเกิดอะไรขึ้นอีก ฟารันจะพิสูจน์ความเป็นเทพของโรเรเนสได้หรือไม่ โปรดติดตามนะคะ ขอบคุณค่าาา
:z2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 19-05-2014 16:33:41
อื้อหือ ต่อหน้าต่อตาธารกำนัล

ปล. อาจจะไม่ได้มาเม้นท์บ่อยๆ แต่ก็ติดตามอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-05-2014 16:35:35
ขอบคุณมากๆคะ หะหะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 19-05-2014 19:26:38
พึ่งเข้ามาอ่าน ชอบแนวแฟนตาซีมากเลย
เป็นกำลัวใจให้อีกคนนะ  รีบๆมาอัพต่อนะอยากอ่านต่อไวไว   o13
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 19-05-2014 20:09:49
นึกว่าฟารันจะได้ชิมแล้วสะอีกกก  :z1:
ปล. ลงวันที่ บ้างก็ดีน่ะ จะได้รู้ว่ามาต่อ บางทีก็ไม่ทันได้สังเกต  :hao4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 19-05-2014 21:46:54
อ้อ ขอบคุณที่มาอ่านคะ เดี๋ยววันหลังจะลงวันที่ด้วยอิๆ

ป.ล.มีใครพอจะทราบบ้างว่าคำว่า new สีส้มๆที่กระพริบๆหลังกระทู้มันมายังไงเวลาอัพตอนใหม่อยากให้มีคำว่า new มากระพริบบ้าง 55555+
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 19-05-2014 22:58:23
สงสารเรโรเนสนะเนี่ย   :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 20-05-2014 20:53:30
อยากอ่านต่อแล้ว  ลุ้นๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: ceylon ที่ 20-05-2014 22:23:47
ติดตามค่ะติดตามม  :katai2-1:
เนื้อเรื่องแปลกๆดี ปูมาเยอะมาก 555
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: minibusez ที่ 21-05-2014 01:32:40
ฟารันนี่ใจร้อนจริง  :ruready
กำลังคิดว่าซาลาเปาน่าจะได้ลงมาด้วยเนอะ โรโรเนสจะได้ไม่เหงา

ป.ล.มีใครพอจะทราบบ้างว่าคำว่า new สีส้มๆที่กระพริบๆหลังกระทู้มันมายังไงเวลาอัพตอนใหม่อยากให้มีคำว่า new มากระพริบบ้าง 55555+
ตอบ new สีส้มๆ มันแสดงว่ากระทู้ที่ยังตัวเราเองยังไม่ได้อ่าน(ทั้งเจ้าของอัพตอนใหม่ และคนแสดงความคิดเห็น) พอเรากดเข้าไปอ่านแล้วกลับไปหน้าเดิม new มันจะหายไปค่ะ (ไม่รู้ว่าเข้าใจไหม แฮะๆ หรือเราเข้าใจผิดไม่รู้)
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-05-2014 10:07:02
ถ้าจะยาก สงสารนายเอกอยู่นะเนี้ย อย่กรู้ว่าใครเป็นคนทำให้นายเอกลงมาโลกมนุษย์
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 21-05-2014 12:14:14
มีคนแกล้ง โรเรเนสรึป่าวเนี้ย แล้วฟารันจะทำงัยต่ออะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 21-05-2014 14:52:53


ฟารันหื่นไปแล้ว ทำเกินไปนะ แต่ก็ชอบนะ :z1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: mumamayza ที่ 23-05-2014 11:34:13
 :z13: จิ้มๆคนเขียน  :ruready รอนานแว้ว มาต่อไวไวนะจ่ะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] อัพใหม่แย้ววว
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 23-05-2014 16:22:54
กลัวว่าจะพิสูจน์ออกมาแล้วไม่ใช่เทพมากๆเลยยย ฮืออออ

รอตอนใหม่อยู่นะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ 60 % 27/5/2014
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 27-05-2014 00:17:08
ณ แดนเทพ

        วิมาณโอ่งโถงสีขาวสว่างถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีแดงชาติ มันเคยงดงามและหรูหราทว่าสภาพในตอนนี้กลับเละเทะจนเหมือนเพิ่งผ่านสงครามมาก็ไม่ปาน เหล่านางอัปสรข้ารับใช้หลายสิบตนกุลีกุจอเก็บกวาดเครื่องเรือนที่หักกระจายอย่างแข็งขัน พวกนางมิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อยด้วยเพราะการได้ทำงานป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บุรุษรูปงามนั้นพาให้ใจเบิกบาน
 
         อามินอสเทพบุตรเกศทองสว่างที่ยามนี้นั่งทอดหุ่ยเปลือยท่อนบนอย่างสบายใจอยู่หน้าประตูบานหนึ่งในบ้าน เขายักคิ้วหลิ่วตาให้เหล่านางอัปสรเป็นระยะตามวิสัยหนุ่มจ้าวสำราญ แต่ก็ยังไม่ลืมจะใส่ใจบทสนทนากับอีกคนที่อยู่ในห้องหลังบานประตู


“เฟรทริส ออกมาเถอะ”


“ไปให้พ้น!”


“อย่างน้อยก็ออกมากินอะไรหน่อยน่า เจ้าอยู่ในนั้นมานานเกินไปแล้วนะ”


“ข้าเป็นเทพข้าอิ่มทิพย์! ฮึก”


“ไม่ต้องร้องหรอกน่า โรเรเนสไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อข้าสิ”


“ข้าไม่ได้ร้อง!”


“แต่เสียงเจ้าอู้อี้มากเลยนะ”


“ข้าเป็นหวัด!”


“เทพไม่เป็นหวัดนะเฟรทริส”


“เงียบไปเลยไอ้นกบ้า!”


“หึๆๆๆ นี่เด็กดื้อ ถ้าเจ้าไม่ยอมเปิดข้าจะพังเข้าไปเองนะ”


“นกโง่ เจ้าเข้ามาไม่ได้หรอกข้าลงอาคมไว้”

        กริ๊ก! อามินอสบิดลูกบิดประตูแล้วเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย เฟสทริสที่นั่งอยู่บนเตียงถลึงตาแทบเหลือกกับสิ่งที่เขาไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้

“จะ เจ้า เข้ามาได้ยังไงข้าลงอาคมไว้แล้วนะ”


“อืมใช่เจ้าลงอาคมไว้....แต่ว่าลืมลงกลอนประตูน่ะ”

        เทพนักรบคำรามกร้าวอย่างเจ็บใจกับความซื่อบื้อของตัวเองก่อนจะจมหน้าลงกับหมอนอย่างเด็กงอแง อีกฝ่ายเดินมานั่งลงข้างเตียงอย่างเย็นใจเขาไม่ได้ใส่ใจอารมณ์ฉุนเฉียวตรงหน้าเลยซักนิด

“นี่ เฟรทริส”


“งื่อออ”


“ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆสิ”


“ไม่!ออกไปซะ ฮื่อ”


“นี่ถึงเจ้าจะนอนงอแงอยู่แบบนี้หรือว่าจะพังบ้านอีกซักกี่รอบมันก็ไม่ช่วยให้โรเรเนสกลับมาได้หรอกนะ”

          ทว่าเฟรทริสกลับเงยหน้าขึ้นมาตะโกนใส่พร้อมตาแดงๆที่เพิ่งแห้งน้ำไปหมาดๆ

“แล้วเจ้าช่วยอะไรได้มั่งเล่า! ทำอะไรไม่ได้ก็ไปให้พ้นเลย เจ้าไม่เข้าใจข้าหรอก เมียก็ทิ้งแถมน้องรักก็ยังต้องลงไปเป็นคนอีก ตอนนี้ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว!”


“อะไรกัน เจ้ายังมีข้านะ”


“ไม่นับโว๊ยยยยยยย!” เฟรทริสค้อนให้แล้วกัดฟันกรอดก่อนจะพูดความในใจออกมาอย่างกึ่งตัดพ้อ


“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นโรเรเนส ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมหาเทพต้องห้ามไม่ให้ข้าพาเขากลับมา ก็แค่ฆ่าเขาซะ!พอตายก็ได้กลับมาเป็นเทพแท้ๆ นี่มันเป็นแค่เรื่องผิดพลาดข้าแค่จะทำให้มันถูกต้อง แล้ว แล้ว ไอ้เทวรูปบ้าบอนั่นอีก มันกลายร่างเป็นโรเรเนสแล้วแท้ๆแต่ทำไม ทำไมจู่ๆมันถึงมีเทวรูปโผล่ขึ้นมาได้ ข้าไม่เข้าใจและข้าก็ไม่ชอบเลยด้วย”

           พูดจบเขาก็คอตกเป็นหมาหงอย  ใบหน้าของบุรุษเทพนักรบผู้ห้าวหาญยามนี้กลับเหมือนแค่เด็กไร้เดียงสาผู้ถูกขัดใจในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ อันที่จริงเฟรทริสก็เป็นคนซื่อๆตรงๆอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเทพชั้นสูงแต่ด้วยนิสัยแบบนี้ทำให้มีหลายอย่างหลุดรอดสายตาเขาไปได้ตลอด อามินอสมองวงหน้านั้นแล้วถอนหายใจก่อนแววตาเอ็นดูก็ปรากฎขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“เฟรทริส ที่เหล่ามหาเทพไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้เพราะทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เทพเจ้าก็มีโชคชะตาที่ถูกขีดไว้เหมือนนุษย์นั่นแหละ การที่น้องเลี้ยงเจ้าต้องลงไปเป็นมนุษย์ข้าเชื่อว่ามันก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดอยู่ดีไม่ว่าจะอย่างไร”


“ม่ายจริงอ่ะ เจ้าจะบอกว่าข้อผิดพลาดทุกอย่างเป็นเรื่องตั้งใจงั้นหรอ เช่นนั้นถามหน่อยถ้าเทพกำหนดชีวิตมนุษย์แล้วใครกำหนดชีวิตเทพ”


“ผู้ที่ทำหน้าที่นั้นไม่มีหรอก หากแต่กระดานพยากรณ์ก็เขียนเอาไว้ว่าชีวิตเทพแต่ละคนจะต้องเป็นอย่างไร”


“แล้วใครเขียนกระดานพยากรณ์”


“เท่าที่ข้าเคยเห็นก็ไม่มี อาจารย์เคยพูดว่าทุกอย่างถูกเขียนขึ้นโดยการกระทำของเหล่าเทพ มันเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่”


“แล้วโรเรเนสทำอะไรผิดล่ะถึงต้องลงไปเป็นมนุษย์น่ะฮึ”


“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความโง่เขลาเบาปัญญาของพวกมนุษย์ที่เชื่อคำภีร์ที่ถูกดัดแปลงอย่างไม่มีเงื่อนไข คืออย่างนี้คำภีร์ที่เหล่านักบวชใช้กันอยู่น่ะเป็นข้อความที่ถูกบอกต่อกันมาตั้งแต่มนุษย์ยังไม่มีตัวหนังสือทั้งเรื่องหลักคำสอนและศาสนพิธี รวมทั้งเมื่อเวลาผ่านไปก็ถูกสังคยานาและเติมแต่งขึ้นอีก จึงทำให้พระคำภีร์ทางศาสนาที่ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันที่ความผิดเพี้ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเรื่องการอันเชิญเทพที่ไม่มีใครทำมานานแล้วข้อมูลหลายอย่างขาดหายไป

แต่เดิมนั้นเทวีอนามอเฟียเป็นเทวีแห่งศิลปะ แต่ด้วยความงามของนางจึงทำให้มนุษย์ยกย่องนางว่าเป็นเทพแห่งความงามแทนและเปรียบนางว่างามดั่งดอกไม้ จนท้ายแล้วก็ถูกเข้าใจว่านางเป็นเทพแห่งดอกไม้ทั้งปวงไปเสีย

ส่วนโรเรเนสนั้นก็เป็นเทพแห่งพันธุ์พืชซึ่งหมายถึงพืชทุกชนิดรวมถึงดอกไม้ด้วย แต่ด้วยความที่เหล่าชาวไร่ชาวนาสวดขอพรจากโรเรเนสบ่อยๆจึงกลายเป็นว่าเขากลายเป็นเทพสำหรับผลผลิตทางการเกษตรเสียอย่างนั้น

ครั้นเมื่อยามที่เหล่านักบวชสวดเรียกเทวีอนามอเฟียพวกเขาก็เอ่ยว่า ขออันเชิญองค์เทพผู้งดงามผู้ทรงเป็นเทพแห่งมวลไม้งามทั้งมวล ซึ่งพวกเขาเข้าใจว่ากำลังเรียกเทวีอนามอเฟียอยู่แต่อันที่จริงพวกเขากำลังเรียกโรเรเนสอยู่ต่างหาก เข้าใจรึยัง”


           เฟรทริสนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทวนสรุปสิ่งที่เข้าใจ

“นี่ นี่เจ้าหมายความว่า จริงๆแล้วพวกนักบวชสวดเรียกโรเรเนสแทนที่จะเรียกอนามอเฟียโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวงั้นรึ”


“ประมาณนั้น”


“แต่เดี๋ยวสิเช่นนี้ทำไมไม่มีใครรู้เรื่อง ข้าก็ไม่รู้ โรเรเนสก็ไม่รู้”


“อ่ามมม....อันที่จริงเขารู้กันทั้งสวรรค์แล้วนะว่าทำไมน้องเจ้าถึงลงไปเป็นคนได้ แต่ที่โรเรเนสไม่รู้คงเพราะตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจพิธีกรรมนั่นเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนเจ้า....มันก็ปกติอยู่แล้วนี่ที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับชาวบ้านเขาเลย”


“บังอาจ!” เฟรทริสขว้างหมอนที่อยู่ใกล้มือใส่หน้าหล่อที่ยิ้มเย้ยตนอยู่


“มาทำเป็นพูดดี ถ้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่หยุดพิธีไว้เล่า”


“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก”


“ข้ออ้าง เนี่ยมันเป็นความผิดเจ้าแท้ๆ”


“อ่าว อะไรกันเมียหนีก็โทษข้าน้องหายก็โทษข้า”


“ใช่!ความผิดเจ้า! ข้าจะโทษเจ้าในทุกๆอย่าง ต่อให้เป็นเรื่องแค่หอยทากลื่นล้มข้าก็ถือว่าเป็นความผิดเจ้า!”


“เอาแต่ใจเสียจริงแม่หนูน้อย”


“เรียกข้าว่าอะไรนะไอ้นกบ้า!”

           เฟรทริสได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนด้วยคำที่เขาเกลียดที่สุดก็โกรธจัดเลือดขึ้นหน้า จึงกระโจนเข้าหาหมายจะต่อยซักเปรี้ยงแต่ก็มิทัน เพราะอามินอสได้กางปีกสีเงินส่องสว่างออกแล้วพุ่งหนีขึ้นไปด้านบน ทำให้เทพเกศแดงคว้าได้แค่อากาศเท่านั้น


“ไอ้คนขี้โกง!”

          เฟรทริสตะโกนด่าโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าปีกของอามินอสนั้นถือเป็นจุดอ่อนของเฟรทริส เฟรทริสชอบปีกคู่นี้มาก(แต่เกลียดเจ้าของที่สุดฮึ!) เมื่อพบครั้งแรกจึงอยากได้มาเป็นพาหนะมาก แต่เมื่อนานวันไปก็ยิ่งชอบปีกคู่นี้มากขึ้น มากจนทนมองไม่ได้ เพราะเห็นทีไรก็อ่อนระทวยทุกที(แต่ยืนยันอีกทีว่าเกลียดเจ้าของปีกจริงๆนะฮึ!) จนท้ายแล้วต้องขอให้มหาเทวีอาราอัสประทานสร้อยวิเศษที่ช่วยบรรเทาอาการมาไว้สวมใส่

           ทว่าสร้อยวิเศษนั้นตอนนี้ไม่อยู่แล้ว มันหายไปพร้อมกับเมียทั้ง8ของเขา ง่ายๆก็คือเมียหนียังไม่พอยังขโมยของไปอีกด้วย...โถ เมียรัก

            เช่นนี้เฟรทริสจึงไม่อาจทนมองอามินอสตรงๆยามกางปีกได้เลย อีกทั้งทำให้เขาไม่ยอมโดยสารพาหนะตัวเองไปไหนมาไหนอีกด้วย
           อามินอสรู้ถึงข้อนี้ดี และเขาก็พึงใจมากที่เฟรทริสกลายเป็นแบบนี้เพราะมันทำให้เขาจะทำอะไรก็ได้กับอีกฝ่ายโดยที่อีกฝ่ายขัดขืนมิได้ แต่อามินอสก็ยังไม่เคยทำอะไรลงไปเลย

          เทพบุตรปีกเงินค่อยๆลงมานั่งบนขอบเตียงพร้อมด้วยยิ้มแบบคนขี้แกล้งของเขา เฟรทริสสำผัสได้ถึงแสงสว่างทางด้านหลังจึงไม่ยอมหันไปยามนี้เขาเสียเปรียบเป็นที่สุด


“ดี เป็นแบบนี้เจ้าจะได้นิ่งๆเสียหน่อย จะยอมคุยกันดีๆไหม”


“......”


“เฟรทริส”


“ข้าจะทำตัวดีๆถ้าเจ้าหุบปีกลงไป” เขาตอบกลับไปด้วยเสียอ่อยๆงอนๆ เหมือนเด็กดื้ออ้อนขอขนม อามินอสรู้สึกว่านี่มันน่ารักจนทนไม่ไหวอยากจะรังแกเสียตอนนี้


“มิได้หรอก เจ้ายังอยู่ในช่วงอารมณ์แปรปรวนถึงข้าหุบปีกลงไปเจ้าก็ไม่ยอมสงบหรอก”


“ถ้างั้นก็หันหลังคุย”


“หัดเอาชนะใจตัวเองบ้างเถอะ กับอีกแค่มองปีกข้าตรงๆยังทำไม่ได้แล้วเจ้าจะไปช่วยโรเรเนสได้อย่างไร”


           ได้ยินเช่นนั้นก็ฉุกใจคิด เขาจึงค่อยๆหันมามองทางด้านหลังอย่างช้าๆ

 แต่เพียงแค่ได้เห็นปีกคู่นั้นเต็มตาหัวใจก็เต้นระส่ำอย่างยากจะเข้าใจ แถมใบหน้าก็แดงซ่านซักพักก็เริ่มอ่อนระทวยเหมือนจะไม่มีแรง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงหลุบตาลงต่ำไม่ยอมทนดูปีกนั้นอย่างตรงๆ แล้วสงเสียร้องอิดออดอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยปากพูดไปด้วยเสียงเบาๆ

“ข้าหันมาแล้วนะ ทีนี้บอกได้ไหมว่าข้าจะช่วยน้องข้ายังไง” เขาพูดด้วยเสียงกระเง้ากระงอน ดวงตากลมโตดูหงอยลงไปริมฝีปากเชิดเป็นเป็ดแสดงชัดเจนถึงความอึดอัดใจ


“เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ทำได้เพียงแต่ให้พรแก่เขาไม่ให้ต้องเจอความเดือนร้อนมากเกินไปเท่านั้น” 


“ไม่เห็นจำเป็นเลย เดี๋ยวพิสูจน์ได้ว่ามีangel syrup เขาก็ได้อยู่สบายๆในวังแล้ว แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้เขาอยู่สบายข้าต้องการเขาคืน”


“ข้าไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นน่ะสิ”


“ทำไมเล่า?”


“เพราะไอ้ขุนนางที่ชื่อโยเฮนนั่นแหละตัวดี มันเป็นขุนนางทุจริตที่ต้องการปกปิดเรื่องของตนไว้ พอมันรู้ว่ามีเทพลงมาก็กลัวว่าเทพจะบอกเรื่องความประพฤติมันให้ฟารันรู้ มันเลยพยายามทำให้ฟารันเชื่อว่าโรเรเนสไม่ใช่เทพยังไงล่ะ อย่างไอ้เจ้าเทวรูปนั่นก็เป็นของปลอม ของจริงกลายร่างเป็นโรเรเนสไปแล้วเจ้าก็เห็น แต่เจ้านี่กลับสร้างของปลอมขึ้นมาเพื่อตบตาทุกคน ข้าถึงบอกว่าโรเรเนสจะต้องลำบากอย่างไรล่ะเจ้านี่มันทำได้ทุกอย่างให้น้องเจ้ากลายเป็นคนโกหก”


“เลวจริง เราทำอะไรไม่ได้เลยหรอ”


“ก็อย่างที่ข้าบอก ทำได้แค่ให้พรกับสร้างปาฏิหารเล็กๆน้อยๆให้เจ้ากษัตริย์หน้าหล่อมันฉุกใจคิดขึ้นมาบ้างว่าโรเรเนสน่าจะเป็นเทพ แต่จะทำมากกว่านี้ไม่ได้นะไม่เช่นนั้นพวกมหาเทพต้องห้ามเราอีกแน่”

           เฟรทริสที่ยังไม่ยอมเงยหน้าเลยตั้งแต่หันมา เขาเม้มปากแน่นแล้วทำแก้มบ่องอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะค่อยๆสงบจิตใจลงแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด หากเป็นยามปรกติเขาก็คงอาละวาดบ้านแตกไปแล้ว แต่ตอนนี้อามินอสยังกางปีกอยู่ความรู้สึกของเขาจึงถูกคุมเอาไว้

“แต่ว่านะ angel syrup มันเป็นสีใสๆจริงหรอ”  คราวนี้เป็นฝ่ายอามินอสที่ต้องถลึงตามอง  อีกคนที่ก้มหน้าก้มตาพูดก็เริ่มรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆที่มองตน


“ถึงข้าไม่เห็นแต่ก็รู้นะว่าเจ้ามองอยู่ มองข้าแบบนั้นทำไมล่ะ”


“นี่เจ้าเคยมีเมีย8คนจริงหรือเนี่ย”


“ก็ ก็ เวลาทำเรื่องแบบนั้นข้าไม่จำเป็นต้องมานั่งดูของตัวเองนี่นา”


“ไม่เคยเสร็จข้างนอกหรอ หรือว่าช่วยตัวเองอะไรแบบนี้”


“ไอ้คนลามก! งื่อ ข้าไม่ได้ต่ำแบบเจ้านะ!”


“โฮ่ นี่ขนาดข้ากางปีกอยู่ยังพยศได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย เจ้านี่ฤทธิ์เยอะเสียจริง”


“หุบปีกเสียสิเจ้าจะได้รู้ว่าฤทธิ์ข้ามีแค่ไหน” อามินอสหลิ่วตามองแล้วก็นึกเรื่องสนุกๆขึ้นมาได้ จึงยอมเสกให้ปีกตนหายไป


“เสร็จข้าล่ะไอ้นกชั่ว!”

          ฉับพลัน ไวดั่งใจคิดเฟรทริสกระโจนเข้าบีบคออีกฝ่ายทันที แต่แทนที่อีกฝ่ายจะพยายามปัดป้องกลับยกสองแขนโอบรอบเอวคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แล้วสะบัดปีกออกกางก่อนจะห่อร่างคนในอ้อมแขนตนไว้อีกชั้นหนึ่ง เท่านี้เทพจอมพยศก็ตกอยู่ในอ้อมแขน(อ้อมปีก?) ของเขาเรียบร้อยแล้ว

“อะ อะ อะไรกันเนี่ย ปะปล่อยข้านะ คนบ้า” เฟรทริสใช้สองมือดันอกอีกฝ่ายให้ออกห่างและดิ้นขลุกขลักเพื่อประท้วงอยู่ซักพักก่อนจะสิ้นฤทธิ์ด้วยแพ้แก่ปีกเงิน อามินอสหัวเราะเบาๆพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท


“เจ้าต้องโดนลงโทษที่ทำลายข้าวของนะ ข้าจะให้เจ้าอยู่แบบนี้จนเจ้าจะยอมกอดข้าตอบ”


“อี๋ โรคจิต”


“เขาเรียกว่าละลายพฤติกรรม เราควรจะสนิทกันไว้นะเพราะเชื่อข้าเถอะอีกหน่อยเจ้าต้องมีเรื่องพึ่งข้าอีกเยอะ”

           เขาพูดพลางขยับแขนตนให้กอดกระชับเข้าไปอีก ร่างในอ้อมกอดก็อึดอัดขัดเขินจนไม่รู้จะไปมองตรงไหน พอเงยหน้าก็เจอปีกงามสว่างชวนหลงไหลจนรู้สึกแปลกๆ จะมองหน้าก็เจอหน้าหล่อสุดกวนที่เห็นแล้วอยากจะต่อยซักเปรี้ยง พอก้มหน้าก็เห็นร่างกายกำยำสมส่วนน่าอิจฉา เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่หลับตาปี๋

นั่งไปได้ซักพักเขาก็เมื่อยจึงเริ่มขยับตัวอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าเมื่อยแค่ไหนก็พยายามฝืนตัวไม่ให้เอาตัวเองไปอิงกับอีกฝ่าย เขานั่งแข็งทื่อเป็นรูปปั้นอยู่แบบนั้นนานเท่าที่จะนานได้

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพักใหญ่ๆหลังจากนิ่งหลับตามาได้นานพอสมควร เฟรทริสก็ก้มลงซบอกอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย  ดูท่าเขาจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว


“โอ้ นี่เจ้ายอมแล้วรึ”

           ทว่าเสียงตอบกลับไม่ใช่เสียงพูดแต่เป็นเสียงกรนเบาๆให้ได้ยิน  เทพนนักรบผู้นั่งหลับตาไปๆมาๆก็หลับไปเสียจริงๆ เจ้าของปีกเงินเห็นเช่นนั้นหัวเราะน้อยๆอย่างเอ็นดู แล้วจึงบรรจงประคองร่างนั้นให้นอนลงบนที่นอนพร้อมทั้งห่มผ้าให้เรียบร้อย

เขาก้มมองวงหน้าซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆนั้นครู่หนึ่งแล้วเริ่มเรียกอีกฝ่าย


“เฟรทริส”


“........”


“แม่หนูน้อย”


“........”

           เมื่อทดสอบแล้วว่าหลับจริงเขาจึงยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงราวกระซิบ

“ข้าขอโทษนะที่ข้าทำให้เมียเจ้าหนีไปแล้วยังเรื่องที่ข้าไม่ยอมหยุดพิธีอันเชิญเทพอีก แต่ทั้งหมดที่ข้าทำก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ ไม่โกรธใช่ไหม”


“...........”


“ไม่ตอบแปลว่าไม่โกรธนะ”


“...........”


“งั้นเพื่อยืนยันว่าเจ้าไม่โกรธ ข้าขอจูบเจ้านะ”


“.........”


“ไม่ตอบก็แปลว่าไม่ปฏิเสธนะ”



เขาอมยิ้มมองอย่างอ่อนโยนก่อนจะฉวยโอกาสก้มลงจุมพิตที่กลีบริมฝีปากแดงอย่างแผ่วเบา

เบาเหมือนขนนกสีเงิน

แล้วก็เดินจากไป

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai5: :katai5: :katai5:

ขออภัยจริงๆที่มาลงช้า ช้ามว๊าก   :z6: แต่งานยุ่งจริงๆคะสาบาญให้ฟ่าผ่าจิ้งจกตาย  อ่าว?
จะพยายามมาอัพเรื่อยๆนะคะ ช่วงนี้งานเข้า คงจะช้าหน่อยแต่ไม่หายคะ ขอบคุณที่มาอ่านกันนะคะ

ป.ล. นี่เป็นอีกคู่ ขอฝากคู่เฟรทริสและอามินอสไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ม๊วฟ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 27-05-2014 01:11:32
น่ารักอ่ะะะ เฟทริส แพ้ทางตลอดเลยย  :mew3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 27-05-2014 06:31:27
จะทำอะไรก็แพ้ทางไปหมดเลย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 27-05-2014 08:52:16
คู่นี้ก็น่ารัก><

แอบเป็นห่วงโรเรเนสนะเนี๋ย มาต่อไวไวนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 27-05-2014 11:41:08
ไม่ปลื้มอามินอสอย่างแรง เห็นแก่ตัว เจ้าชู้ด้วย ไม่สมควรกับเฟรทริสสักนิดเลยอ่ะ ออกจะใส่ซื่อบริสุทธ์ เจอคนแบบอามินอสเข้าไปก็มีแต่เสียๆอ่ะ ไม่ปลื้ม รู้สึกพระเอกเรื่องนี้จะเป็นเหมือนกันหมดน่ะ เศร้าใจๆ อย่าซีเรียด อินๆๆจัดๆๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 27-05-2014 13:01:51
 :a5: o22

จะ จะ ใจเย็นๆนะคะ เดี๋ยวความรักจะทำให้พฤติกรรมเค้าดีขึ้นเองคะ (หะ?) 5555555555555555 :laugh:
:katai5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 27-05-2014 23:04:48
เป็นคู่ที่กร๊าวใจมากกกกกกกก
อ่านตอนแรกๆก็เล็งไว้แล้วว่าคู่นี้จะต้องน่ารัก แล้วก็น่ารักจนอยากรู้ว่าในอดีตไปเจอกันอีท่าไหน ><

ดีใจที่ยังมีเฟรทริสไว้คอยชั่ว ต่อไปต้องให้พรอะไรสักอย่าง ขอให้โรเรเนสปลอดภัยย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 08-07-2014 00:45:05
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: crystal_on ที่ 24-07-2014 00:59:22
 :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 24-07-2014 02:32:31
คน แต่งหายนานเลย  รออยู่นะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่สุดๆ21/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 21-08-2014 22:44:51

           หากจะกล่าวว่าสปันเทียเป็นดินแดนทะเลทรายก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะอย่างที่รู้กันโดยสามัญสำนึกว่าผืนทะเลทรายนั้นไม่มีแม่น้ำผ่านเป็นแน่ ทว่าอาณาจักรแห่งนี้กลับมีแม่น้ำสายใหญ่ถึงสองสายขนาบประเทศเอาไว้ นั่นคือแม่น้ำยูไรและแม่น้ำไทลา สองเส้นเลือดใหญ่ที่สร้างความรุ่งเรืองให้แก่อารายธรรมบริเวณนี้

ทิศเหนือจรดผืนทะเลซึ่งเป็นช่องแคบนามว่าฟอรุม ล่องเรือข้ามไปเพียง 1 สัปดาห์ก็จะถึงโอเรนเดล  อาณาจักรบนเทือกเขาเขียวขจีที่ซึ่งผู้คนมีผิวขาวและภูมิประเทศมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว

ทิศใต้ติดกับฟาซีดารี อาณาจักรทางใต้ที่มีภูมิประเทศไม่ต่างจากสปันเทียนัก และมักเป็นคู่แข่งกับสปันเทียมาตลอด

ทิศตะวันออกติดกับซีบีเรียน เมืองแห่งหุบเหวและขุนเขาที่ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ทองทำและหินอัญมณี อีกทั้งยังเป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดบนทวีปนี้ ทั้งเรื่องเล่าเก่าแก่ เวทย์มนต์และจุดเริ่มของศาสนาเกิดขึ้นที่นี่ ว่ากันว่าซีบีเรียนมีเทวรูปองค์ปฐมของเทพนับร้อยองค์แต่ก็ยังไม่เคยมีใครพิสูจน์ในเรื่องนั้น

ทิศตะวันตกติดกับทะเลทรายเว้งว้างนามว่าเธโลส ที่ก็ยังไม่มีใครทราบได้ว่าสุดขอบทะเลทรายเป็นที่แบบไหน

บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำยูไรและไทลานั้นเป็นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกดี ทว่าลึกเข้ามาใจกลางเมืองนั้นจะเริ่มแห้งแล้งลงเรื่อยๆจนถึงตัวเมืองเอนนัค เมืองหลวงแห่งสปันเทียที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือพื้นราบปกติถึงสองร้อยเมตร นับเป็นชัยภูมิที่ดียามเมื่อเกิดสงคราม แต่จะเป็นปัญหาตรงที่ว่า ตัวที่ราบสูงนี้ดินเป็นหิน ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ผู้คนอยู่ได้โดยการค้าขาย
จนกระทั่งถึงรัชสมัยขององค์ซูเมอร์ราห์โอ องค์ราห์โอองค์ที่856 ก็ได้ริเริ่มการผันน้ำเข้าสู่ตัวเมือง  ขุดคลองและคูน้ำมากมายในเมืองหลวงอีกทั้งยังขุดแม่น้ำล้อมรอบเมืองหลวงไว้อีกชั้นหนึ่ง เช่นนี้เมืองเอนนัคจึงเต็มไปด้วย โรงอาบน้ำ น้ำพุ ธารน้ำไหลมากมายมีทั้งให้ใช้บริโภคและตกแต่งเมือง

โดยเฉพาะพระราชวังหลวงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดใจกลางเมืองเอนนัค ที่ร่มรื่นเย็นสบายผิดกับสภาพภูมิอากาศปรกติของประเทศด้วยตัวอาคารถูกสร้างด้วยอิฐดินเนื้อหนาที่ป้องกันความร้อนและกักเก็บความเย็น อีกทั้งระบบน้ำที่สร้างขึ้นเป็นสายลำธารภายในและเหล่าแมกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกตกแต่งไว้ทำให้ พระราชวังแห่งนี้เย็นสบายอย่างน่าประหลาดใจ

ลมร้อนพัดโบกปะทะหน้างามให้เส้นผมปลิวไปกับลม เขายกมือขึ้นเพื่อปัดปอยผมบางส่วนที่บังหน้าไว้ก่อนจะสูดหายใจอย่างสดชื่นให้กับเช้าที่สดใส นี่เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่โรเรเนสได้ลงมาเป็นมนุษย์ เขาได้รับการปรนิบัตรอย่างดีจากข้ารับใช้ในวังด้วยองค์ราห์โอให้เขาอาศัยอยู่ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ทำให้คนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องราวเข้าใจว่าเขาเป็นเพียงพระสหายต่างชาติที่มาพักรักษาตัวอยู่ที่สปันเทียเท่านั้น ถึงแม้จะผิดวิสัยไปเสียหน่อยที่องค์ราห์โอกำชับให้ดูแลแขกคนสำคัญคนนี้ให้ดี แต่ตัวเองกลับไม่ได้เจอหน้าแขกคนนี้เลย

 ใช่ หนึ่งเดือนมาแล้วที่โรเรเนสไม่ได้คุยกับฟารันเลย อันที่จริงเรียกว่าไม่ได้พูดคุยแบบจริงจังกันเสียมากกว่า

 ที่เป็นเช่นนี้มิใช่เป็นฝ่ายฟารันที่ไม่ใส่ใจ แต่เป็นฝ่ายนี้ต่างหากที่ไม่ยอมเจอ  พอถูกเรียกพบก็ให้หมอบอกว่าไม่สบาย พอฝ่ายนั้นมาหาก็หนีไปซ่อนห้องอื่นไม่ก็แกล้งหลับหรือกระทั่งจงใจ ‘แอบ’ เวลาฟารันเดินผ่านมา ที่ทำแบบนี้ก็ด้วยตัวเขานั้นรู้สึกว่าไม่พร้อมจะเจอหน้าอีกฝ่ายเพราะภาพความทรงจำและความรู้สึกถึงสัมผัสทุกอย่างที่คนผู้นั้นได้ทำยังคงตกผลึกทิ้งร่องรอยไว้ในใจและตามส่วนต่างๆของร่างกายของเขาอย่างมิอาจลบเลือน เพียงแค่นึกถึงฟารันขึ้นมาเท่านั้นร่างกายและผิวหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวอย่างน่าอึดอัดใจ หากได้เจอหน้ากันตรงๆเขาคงไม่อาจทนมองสายตาคมปราบนั้นได้แน่ เขาจึงพยายามหนีหน้าอย่างไม่ปิดบังและสามารถเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทสำหรับเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก แต่เทพหนุ่มก็จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องหัวใจของเขาเอง

ฝ่ายกษัตริย์หนุ่มก็รู้ตัวว่าถูกหนีหน้าอย่างรุนแรงจึงมีเพียงสองสัปดาห์แรกเท่านั้นที่เขาพยายามจะเจอตัวอาคันตุกะหน้าหวานผู้นี้ หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากเจอเขาก็ไม่พยายามอีกเลยเว้นเสียแต่บางครั้งที่ทั้งสองได้เจอหน้ากันโดยบังเอิญตามทางเดินในตอนที่คนตัวเล็กหนีเขาไม่ทัน แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะราห์โอหนุ่มก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใดต่ออีกฝ่ายเลยเพียงแค่ทักทายตามมารยาทด้วยใบหน้าเย็นชาเรียบเฉยแล้วจากไปอย่างเร่งรีบเหมือนมีธุระตลอดเวลา

 นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับกรณีที่ต้องพบหน้ากันตรงๆโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเกิดขึ้นน้อยมากเพราะส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่หลีกเลี่ยงได้ หลายครั้งถ้าทั้งสองอยู่ในบริเวณใกล้กันจะไม่มีการเดินเข้ามาทักทายกันแต่อย่างใดและทุกครั้งที่บังเอิญหันไปเจอกันฟารันก็จะมองเลยผ่านไปเหมือนไม่เห็นอะไร อันที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลังเหมือนกลับตาลปัตรกลายเป็นฝ่ายฟารันแทนที่หนีหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่วิธีการนั้นต่างกันฟารันไม่ได้วิ่งหนีหรือแกล้งหลับ เขาใช้ชีวิตอย่างปรกติเพียงแค่ทำเหมือนโรเรเนสไม่ได้อยู่ร่วมวังกับเขาเท่านั้นเอง

ทว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจเทพหนุ่มเป็นอย่างมากการที่รับรู้ว่าตัวเองไร้ตัวตนสำหรับอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกอึดอัดอัดอั้นอย่างยากจะอธิบาย ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะฟารันโกรธที่ตนหนีหน้าในช่วงแรกหรือเพราะอะไร พอเขาถามไถ่เรื่องนี้กับหมอหลวงและลากลอซก็ถูกบอกว่าอย่าใส่ใจ จนเมื่อเบื่อหน่ายที่จะเซ้าซี้เขาก็ไม่ถามความเรื่องฟารันกับใครอีกได้แต่เก็บความทุกข์ใจไว้เงียบๆ และปล่อยให้หัวใจจมอยู่กับความสับสน สับสนอย่างที่สุดด้วยใจหนึ่งก็ไม่อยากเจอหน้าเพราะกลัวความรู้สึกแปลกๆของตัวเองแต่อีกใจก็เจ็บปวดเหลือเกินกับท่าทีเย็นชาเช่นนั้น


ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งจิตใจของเขาเองและจิตใจของราห์โอหนุ่ม....นี่สินะ การเป็นมนุษย์ ช่างสับสนวุ่นวายและเจ็บปวดนัก


 “ท่านโรเรเนสคะ โปรดอย่างออกไปนอกระเบียงตอนนี้สิคะ ท่านหมอกำกับไว้ว่ามิให้ท่านถูกแดด” ผิวหน้าขาวเนียนสะท้อนแสงตะวันดูผ่องเสียให้แสบตาหันมาอย่างเบื่อหน่าย
“โธ่ ชาช่าก็วันนี้มันอากาศดีนี่นา”
“ท่านอยากจะไปที่สวนไหมล่ะคะ เดี๋ยวอิฉันจะให้เจ้าชามันไปเป็นเพื่อน”
“อย่าเลย น้องชายเจ้ามีงานต้องทำรวมทั้งเจ้าด้วย ไปทำสิ่งที่ต้องทำเสียเถิด อาการข้าดีขึ้นมากแล้วข้าไปที่สวนคนเดียวได้” 

สาวใช้ผิวแทนผมดำขลับลังเลเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไป เจ้าของห้องชั่วคราวมองนางเดินหายไปจนลับตาจึงหันกลับไปเท้าสองมือลงกับรั้วระเบียงอีกครั้ง

คนที่จะพอเป็นเพื่อนกันเขาได้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกข้ารับใช้ที่เขาได้พบเจอ คนเหล่านั้นชอบเขาเป็นอย่างมากด้วยชื่นชมในหน้าตาก็หนึ่งเหตุและด้วยเวทนาเห็นเป็นคนความจำเสื่อมก็ด้วยอีกหนึ่งเหตุ ทำให้คนรอบข้างใจดีกับเขาเป็นพิเศษเขาก็ตอบแทนกลับไปด้วยมิตรไมตรี  แต่ฉไนเจ้าบ้านกลับเย็นชาใส่เขาได้เช่นนั้นนะ

หน้าสวยเม้มปากบางลงก่อนจะหันหลังเดินผละจากระเบียงมา เขาเดินเรื่อยออกจากห้องนอนตนอย่างเงียบๆ ช่วงเช้าเป็นเวลาของการทำงาน ทุกคนในวังตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุดต้องทำงานของตนเอง เว้นแต่แขกอย่างเขาที่ว่างไม่มีอะไรทำ ยามนี้จึงเป็นการดี ที่เขาจะเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปโดยไม่ต้องมีใครมาวุ่นวาย

ตามโถงทางเดินนั้นไร้ผู้คน รอบๆนั้นมีห้องหับมากมายซึ่งถูกปิดไว้มีเพียงประตูห้องของเขาเท่านั้นที่เปิดอ้า ส่วนห้องอื่นๆโดยรอบนั้นเงียบเชียบ ห้องเหล่านี้เป็นห้องรับรองสำหรับพระราชอาคันตุกะยามเมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้นบริเวณนี้ถึงจะมีชีวิตชีวาขึ้นได้ และเมื่อเดินเลยออกไปจะเป็นส่วนห้องพักของเหล่าราชวงศ์ซึ่งโรเรเนสไม่เคยย่างเข้าไปถึง เขามองไปในทิศทางนั้นแล้วชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินไปในทิศที่ไม่คุ้นเคยแล้วเดินผ่านบรรดาห้องต่างๆไปอย่างเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเหมือนเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาจากห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาไม่ได้สนใจจนเกือบจะเดินผ่านห้องนั้นไปเสียแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นก่อน

“ข้าอ่านรายงานของท่านแล้ว แต่ที่ยังไม่ลงตราประทับให้เพราะมันยังมีบางจุดที่ต้องแก้ไขอยู่”

เสียงที่คุ้นเคยของราห์โอหนุ่มดังออกมา ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยแล้วถลาไปแอบหลังหนึ่งในบานประตูไม้ที่ปิดไว้  แต่เสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไปในห้องนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าเจ้าของเสียงจะรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น เขายืนฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองและการทำงานทั่วไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ในหัวรับรู้แต่เสียงทุ้มหนักแน่นมีอำนาจนั้นเพียงเท่านั้นเอง

 พลันความสงสัยใคร่รู้ก็ก่อตัวขึ้นเจ้าของตาเชื่อมเศร้าจึงค่อยชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อลอบมองบุคคลผู้อยู่หลังโต๊ะทำงาน
เขาเพียงอยากรู้ว่าในยามนี้ตนจะสามารถทนมองใบหน้าของชายคนนี้ได้อยู่ไหม แต่ก็ได้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ยากอยู่เหมือนกันเมื่อได้มองหน้าคมเข้มสมส่วนไร้ที่ติที่กำลังคร่ำเคร่งดูเองสารบนโต๊ะสลับกับปรึกษาพูดคุยกับเหล่าขุนนางหลายคนที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตรงนั้น แม้นจะดูน่ากลัวอยู่บ้างแต่ก็กลับน่ามองและชวนหลงไหลอยู่ในที

เห็นเช่นนี้แล้วก็ต้องขบริมฝีปากบางของตนเก็บอารมณ์วูบวาบที่ฉีดขึ้นจนแดงซ่านไปทั้งพวงแก้มทันที จมูกโด่งได้รูปรับกับตาคมนั่นพาลทำใจเขาให้สั่นระรัวอย่างไม่อาจเข้าใจได้ จนผ่านไปหลายอึดใจก็ไม่อาจละสายตาได้แม้จะสั่งตัวเองให้เลิกมองแต่ใจเจ้ากรรมก็ไม่อาจทำตามสมอง

                เหมือนเคยทำแบบนี้มาก่อน....

ตาหวานแสนซุกซนจดจ้องใบหน้าคมสันอย่างหลงไหลเหมือนตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งเจ้าของหน่วยตาคมรู้สึกตัวจึงหันตวัดตาไปมอง การประสานตาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก็คลาดกันไปด้วยร่างเล็กสะดุ้งหนีแล้วหลบหายไปหลังประตู เขายืนพิงบานไม้อย่างพลั่นพรึงกลัวว่าจะถูกจับได้ กลัวว่าจะถูกรังแกเช่นวันนั้นอีก ใช่ฟารันเห็นเขาแล้ว แน่ใจเลยทีเดียวว่าฟารันรู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงนี้…ทว่า

“ส่วนทางด้านงานของกระหม่อมนั้น...”
เสียงของท่านหมอหลวงเอ่ยขึ้นทำลายความคิดฟุ้งซ่านของเขาไป ท่านหมอคงกำลังจะรายงานเกี่ยวกับการรักษาตัวเขาให้องค์ราห์โอฟัง
“การรักษาอาคันตุกะคนสำคัญของฝ่าบาทเป็นไปได้ด้วยดี ยามนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับอีกทั้ง...”
“ท่านหมอ”
“กระหม่อม?”
“อะไรที่มันไม่สำคัญก็ข้ามๆไปก่อนเถอะ ข้าขอฟังแต่เรื่องที่มันสำคัญจริงๆเท่านั้น”

               ไม่สำคัญ....

“อ่า...เอิ่ม...”
“เรื่องวิจัยของสภาเพทย์ไปถึงไหนแล้ว”
“เรื่องนั้นกำลังดำเนินการไปด้วยดีกระหม่อม หากแต่จะมีขัดข้องบ้างก็ตรงที่....”

สรรพเสียงที่เหลือเหมือนละลายหายไปหมดแล้วเขาไม่ได้ยินอะไรอีกต่อจากนั้น...จริงสินะเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายมานานนับเดือนแล้ว ไม่ได้มีความหมายใดๆเลย ไม่ได้สำคัญอันใดทั้งนั้น ไร้ตัวตน ถึงแม้เขาจะโผล่พรวดเข้าไปยืนกลางห้อง ก็คงไม่อาจเรียกความสนใจใดๆให้อีกฝ่ายได้แม้นแต่น้อย ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอันใดเลย การหลบอยุ่หลังประตูนี้ก็ไม่สำคัญอะไรแม้แต่น้อย ตาเศร้าหลุบลงมองต่ำก่อนจะผละออกจากตรงนั้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

 :ling2: :ling2: :katai1:ไม่มีข้ออ้างอ่ะ ที่หายไปนาน มีแต่คำว่าขอโทษอะฮื่ออออออออออออ  :hao5:
หลังจากนี้จะหายไปไม่เกิน 1 เดือนแล้วกันนะคะ(เผื่อไว้ได้นานมากๆ) :mew5:

ขอบคุณที่อุตส่าห์มาอ่าน ขอบคุณมากคะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Oo๐FosfoggY๐oO ที่ 21-08-2014 23:31:01
มาต่อแล้ว ดีใจอย่างกะได้โล่ อย่าหายไปไหนนานอีกนะคะคนเขียน :hao5:

อีตาบ้ากล้ามาว่าเทพคนสวยของเค้าไม่สำคัญ แอบขโมยออกจากวังได้มั้ยเนี่ย
อย่าให้เห้นว่ามาง้อเชียวนะ :m16:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 22-08-2014 00:23:30
กลับมาแล้ว!!!
รีบๆมาอัพต่อเป็นการชดเชยที่หายไปนานนะ
บวกเป็ด :mew1:
ปล.อย่าลืมแก้วันที่อัพเดทล่าสุดนะ คนอื่นจะได้รู้ละมาอ่านตอนใหม่
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 22-08-2014 06:00:41
ฟารัน​งอนแล้วมั่งงงง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 22-08-2014 09:43:41
เรื่องนี้น่ารักอ่ะ55 มาต่อนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 27/5/2557
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 22-08-2014 13:57:46
อยากให้เข้าสนใจ  อาการแบบนี้เรียกว่าอะไรนะ?
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนใหม่ประจำวันที่ 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 23-08-2014 14:11:57

                   พระราชวังแห่งนี้นั้นมีสวนอยู่มากมายแม้แต่ในราชฐานชั้นในก็ยังมีทั้งสวนแนวตั้งสวนแนวนอน แต่สวนที่โรเรเนสมาเยือนบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นสวนหย่อมขนาดกลางที่อยู่ใกล้ห้องพักของเขามากที่สุด

สวนเล็กๆแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยไม้หลากพันธุ์เหนือสูงขึ้นไปบนหลังคาเป็นช่องกระจกใสเพื่อให้แสงแดดได้ส่องถึง เขามักจะใช้เวลาหลายชั่วโมง ณ สวนแห่งนี้ ที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อดูจากขนาดและยิ่งรู้ว่าเป็นสวนในระบบปิดก็สร้างความชื่นชมให้แก่เขาเป็นอันมากถึงสถาปนิกและผู้ดูแลที่สรรสร้างสวนน้อยๆนี้ขึ้นมา

เขานั่งลงกับพื้นหญ้านิ่มสบายก่อนจะมองไปรอบๆอย่างคุ้นเคย พืชพันธุ์เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขาเข้ากับชีวิตบนสวรรค์แม้เขาจะไม่สามารถจำความอะไรได้แต่เขากลับจับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพืชได้โดยไม่ต้องเสียเวลานึก ทั้งเรื่องดิน น้ำ พันธุ์ และสารพัดองค์ความรู้ที่มีล้น ฉะนั้นไม่ว่ามองไปตรงจุดไหนที่มีพืชย่อมสร้างความสบายใจให้เขาเป็นอย่างมากเพราะเขารู้จักทุกอย่างที่เขาเห็น มันทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดมืดแปดด้านเหมือนเรื่องอื่นๆที่เขาพยายามนึกถึง อีกทั้งเขายังคิดด้วยซ้ำว่าการอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยแบบนี้ไปเรื่อยๆจะทำให้เขาจำอะไรได้เพิ่มขึ้นมาบ้าง

ซึ่งสำหรับเขามันก็ได้ผลอยู่บ้างเพราะความทรงจำหลายอย่างก็ค่อยๆกลับมาทีละน้อยหลายๆวันครั้ง แต่ก็มักจะเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์ความเป็นเทพของเขาเลย เรื่องส่วนใหญ่ที่เขาพอจะจำได้ก็มีแต่ภาพตัวเองทำงานโปรยพรอยู่ในห้องพันธุ์พืชในวิมาณของตน กับเรื่องเจ้าซาลาเปาแมวตัวขาวฟูของเขา จำตอนที่โดนซาลาเปางอนได้ จำตอนที่โดนซาลาเปานอนทับได้ เรื่องอีกสารพัดที่ซาลาเปาทำแต่เรื่องที่ควรจะจำได้ เช่นคำสวดอ้อนวอนของชาวสปันเทียหรือแม้แต่ความลับของพวกมนุษย์ที่มีแต่เทพเท่านั้นที่รู้เขาก็นึกไม่ออก ดูท่าเรื่องต้นไม้และแมวจะกินพื้นที่ในชีวิตเขามากเกินไปหน่อย

ลึกๆแล้วการที่จำเรื่องพาหนะตัวเองได้มากขึ้นก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกคิดถึงเจ้าแมวยักษ์ตัวฟูขึ้น แต่ก็นับเป็นโชคดีที่อย่างน้อยบนโลกมนุษย์นี้มีบางสิ่งที่ทำให้เขาคลายเหงาลงได้บ้าง บางสิ่งที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างร่าเริงก่อนจะกระโดดใส่พร้อมกับพวงหากที่แกว่งไกวอย่างอารมณ์ดี

“อ๋า หยุดนะกีก้า ฮ่าๆๆ ไม่เอาน่า”

เจ้าหมาตัวฟูสีเทาเห่าตอบอย่างร่าเริงก่อนจะวิ่งไปรอบๆตัวเขา กีก้าเป็นสุนัขขององค์ราห์โอแต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบเจ้ากีก้านี้กลับมาถูกใจโรเรเนสเป็นอย่างมากเรียกได้ว่าเทพหนุ่มองค์นี้เป็นคนๆเดียวที่ทำให้กีก้ายอมห่างจากเจ้าของสุดที่รักของมันได้
กีก้านั้นเป็นหมาพิเศษเพราะเป็นหมาพันธุ์ดีสง่าสมตำแหน่งสุนัขทรงเลี้ยงด้วยพ่อของมันนั้นเป็นไซบีเรียนฮัสกิ้นผู้กล้าหาญ มีขนสีขาวแซมเทาสวยงามตลอดตัวอีกทั้งดวงตาสีฟ้าใสที่งดงามอย่างหายาก ทำให้กีก้ามีลักษณะที่ดีพร้อมตามแบบฉบับฮัสกี้เช่นเดียวกับพ่อของมัน

ทว่าจุดด้อยจุดเดียวที่เจ้าหมาหน้าแป้นแล้นตัวนี้จะมีก็คือนอกจากสายพันธุ์จากทางพ่อแล้วมันยังมีสายพันธุ์จากทางแม่ที่ต่างกันสุดขั้วมาผสมด้วย นั่นก็เพราะแม่ของกีก้าเป็นหมาน้อยพันธุ์คอร์กี้ขาสั้นหูโต
กีก้าผู้เป็นลูกครึ่งจึงกลายเป็นฮัสกี้ผู้สง่างามที่มาพร้อมกับขาสั้นเตี้ย ....

“พอเถอะน่ากีก้าอย่าเสียงดังสิมานี่มานั่งนี่เร็ว”
เจ้าหมาน้อยปรี่ไปนั่งข้างๆเด็กหนุ่มก่อนจะเอาคางไปหนุนตักอย่างสบายใจ เขาก้มมองมันอย่างเอ็นดูแล้วค่อยๆลูบขนนุ่มๆของมันอย่างเบามือ
“นี่ถ้าเจ้าของเจ้ารู้ว่ามาติดข้าแบบนี้เขาคงไม่พอใจข้าเป็นแน่ ฮึ กีก้า เราจะทำคนอื่นเขาเดือนร้อนนะรู้ไหม” แต่เจ้าหมาผู้ไม่รู้ความก็ยังนอนสบายไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“อ้าว หนีมาเล่นตรงนี้อีกแล้วไอ้เตี้ย” 
เสียงลากลอซดังมาจากด้านหลังทำให้กีก้าลุกพรวดขึ้นมาทันที มันเห่าใส่อย่างไม่พอใจอยู่สองสามครั้งก่อนจะเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วดมๆตามนิสัยหมา ดูท่าหมาตัวนี้จะโกรธใครไม่เป็นจริงๆ

“สวัสดี ท่านลากลอซมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
โรเรเนสลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวทักทาย อีกฝ่ายเดินย่างเข้ามาในสวนพร้อมชุดสีน้ำเงินพอดีตัวที่เป็นเครื่องแบบของตำแหน่งเลขาส่วนพระองค์เหมือนปรกติอย่างที่เคยใส่ทุกวัน

“เรื่อยเปื่อย พอดีประชุมเสร็จแล้วก็เลยผ่านมาเห็นท่านอยู่คนเดียวก็แปลกใจ”

“อืม ข้าอยากไปไหนมาไหนคนเดียวบ้างน่ะ ไม่อยากรบกวนเด็กรับใช้กับท่านหมอ”

“แน่ใจนะว่าท่านแข็งแรงพอ”

“อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว อันที่จริงอยากเที่ยวสวนในวังให้ครบทุกสวนเลย แต่ติดตรงที่อยู่ได้แต่ในเขตชั้นใน ซึ่งในเขตชั้นในข้าก็ไปมาหมดทุกสวนแล้ว”

“อ๋อหรอ น่าเสียดายนะถ้าได้ออกไปข้างนอกบ้างก็ดีใช่ไหมล่ะ ข้าเชื่อว่าท่านต้องชอบสวนหลวงที่อยู่ท้ายวังแน่ๆ ถ้าได้ออกไปล่ะจะทึ่งใหญ่อย่างกับป่าแน่ะ”

“ขนาดนั้นเชียวหรอ”

“อื้ม ใช่อันที่จริงเรียกว่าอุทยานหลวงน่าจะเหมาะกว่าเพราะใหญ่มาก แถมยังเป็นที่จัดงานเลี้ยงบ่อยๆฟารันน่ะชอบให้พวกเพื่อนๆไปรื่นเริงกันในสวนมากกว่าในวังน่ะ หมอนั่นบอกว่าจัดงานในวังเล่นอะไรไม่ค่อยสนุก”

“เอ๋ มันต่างกันยังไงหรอ”

“นิสัยห่ามๆของเขาน่ะ เล่นบ้าเล่นบออะไรไม่รู้คราวก่อนมีงานเลี้ยงเขาก็ท้าให้พวกผู้ชายมาว่ายน้ำแข่งกันแต่ห้ามถอดชุดใส่อะไรมางานเท่าไหนก็ให้โดดน้ำลงทั้งชุดนั้นเลย พิเรนณ์ไหมเล่ามีองค์ชายเกือบจมน้ำเพราะดันใส่ทองมาเต็มตัว”

หน้าหวานหัวเราะร่าเมื่อได้ฟัง อีกฝ่ายก็ยิ้มแบบหน่ายๆเมื่อพูดถึงเจ้านายตนแต่แววตาก็ยังปนขำ

“สารพัดแหละที่เจ้านั่นคิดจะเล่นในสวนน่ะก็เลยชอบจัดงานข้างนอกมากกว่าถ้าไม่ใช่งานทางการน่ะนะ บ้าๆบอๆไปเรื่อย”

“ท่านลากลอซพูดถึงองค์เหนือหัวแบบนั้นจะดีหรอ”

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นดีกับเพื่อนนะรักเพื่อนมากแล้วคนก็รักมากเหมือนกัน”

“อ้อ”

 เด็กหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆก่อนจะเบนสายตาไปจับจ้องที่พื้น พลางในใจก็หวนคิดถึงเรื่องอื่นหน้าตาที่ร่าเริงเมื่อครู่หมองลงไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงบางสิ่ง แล้วเขาก็เอ่ยถามทั้งที่ยังมองนิ่งอยู่กับพื้น
“ท่านลากลอซ ข้าถามอะไรหน่อยสิ” 

“อื้มว่ามาสิ”

“เห็นเรียกองค์ราห์โอสนิทแบบนั้นคบกันมานานแล้วหรอ”

“ก็ตั้งแต่เด็กๆล่ะ แล้วก็ไปเจออะไรด้วยกันมาเยอะแยะ”

“ก็ต้องรู้ใจกันสุดๆเลยใช่ไหมล่ะ”

“ใช่แล้ว”

“ถ้างั้น...ข้าถามได้ไหมว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนแบบไหน”

“หืม? ถามแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า....ท่านดูไม่สบายใจเลยนะ”
 
เด็กหนุ่มเงยหน้ามาสบตาแบบลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปอีก แล้วค่อยๆพูดอย่างเอียงอาย

“ก็...ไม่รู้สิ ข้า ข้าไม่เข้าใจที่เขาทำกับข้าน่ะ ตอนเจอกันครั้งแรกก็มาช่วยแล้วก็ดีกับข้าแต่ว่าหลังจากนั้นก็ทำแบบนั้น” 

ผิวแก้มขาวแดงระเรื่อขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องน่าอายที่ฟารันกระทำกับตนต่อหน้าธารกำนัลเมื่อเดือนก่อน  คนสนิทหนุ่มพยักหน้าช้าๆเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร เขาจึงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

“อืม...หมอนั่นจริงๆเป็นคนอารมณ์แปรปรวนน่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแล้วก็มักแสดงออกมาตรงๆ แต่ลึกๆไม่มีอะไรหรอกนะ ก็แค่เป็นคนตรงๆน่ะ”

“งั้นหรอ”

“อื้ม ก็เป็นพวกคิดอยากจะทำอะไรก็ทำเลยน่ะ อย่างว่าเขามักทำตามใจตัวเองจนชินเพราะว่าเป็นกษัตริย์”

“ถ้างั้น....ตอนนี้ข้าก็ถูกเกลียดแล้วใช่ไหม?”

“หา? ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ ท่านบอกว่าเขาเป็นคนตรงๆรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น แสดงว่าตอนนี้เขาต้องเกลียดข้ามากๆเลยใช่ไหม เพราะว่าที่ผ่านมาเขาไม่ยอมคุยกับข้าเลยเวลาเจอกันก็พูดคำสองคำเหมือนอยากจะหนีข้าไปเร็วๆ เขาต้องรังเกียจข้ามากแน่ๆถึงทำเหมือนไม่อยากมองไม่อยากเจอด้วยแบบนั้น” 
ปากบางพรั่งพรูคำพูดออกมาพร้อมตาเศร้าที่ดูเจ็บปวด ลากลอซมองฝ่ายนั้นอย่างแปลกใจก่อนจะค่อยๆพูดปลอบ

“ไม่จริงหรอก ท่านคิดมากไปเองนะ”

“มันจริงนะ เขาทำแบบนั้นจริงๆ...หรือ...เป็นเพราะโกรธข้าที่ช่วงแรกไม่ยอมเจอหน้าเขา”

“เอิ่ม  จริงๆปรกติเจ้านั่นไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรแบบนั้นหรอกนะ ข้าว่าอาจจะเครียดเรื่องงานเลยทำให้ช่วงนี้ดูบึ้งตึงกว่าปรกติล่ะมั้ง อย่าว่าแต่ท่านเลยกับคนอื่นช่วงนี้ก็เหมือนจะโดนแบบนั้นไปด้วยคงเพราะช่วงนี้เครียดเรื่องงานนั่นแหละ”

แต่แม้นจะได้ฟังเหตุผลเช่นนั้นหน้าสวยก็ยังแลดูเศร้าอยู่ดี ลากลอซจึงพยายามพูดต่อ
“แต่ว่านะ...จริงอยู่ที่เจ้านั่นเป็นคนตรงๆนะแต่ก็ไม่ทุกเรื่องหรอก บางอย่างที่รู้สึกอ่อนไหวมากๆก็อาจจะทำตรงข้ามเหมือนพวกปากไม่ตรงกับใจไปเลยก็ได้ เหมือนอ่า...พยายามระงับความรู้สึกตัวเองน่ะเพราะบางอย่างถ้าทำตามใจไปเลยก็คงจะไม่ดี”

 โรเรเนสได้ฟังก็พยายามขบคิดแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจว่าฟารันจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรเขาจึงเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย
ฟารันจงใจเย็นชาใส่เขาเพราะไม่ต้องการแสดงความรู้สึกบางอย่าง? อย่างนั้นหรือไม่น่าจะใช่ 

เขาออกจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ลากลอซพูดนักเพราะจากสิ่งที่เขาเจอ ดูอย่างไรก็เป็นการแสดงออกถึงความไม่ใส่ใจและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็คิดว่าป่วยการที่จะถามความต่อจึงได้แต่ถอนหายใจน้อยๆอย่างท้อใจ ก่อนจะพูดจากลบเกลื่อนไป

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยพูดให้ข้าคลายใจ ข้าก็คงแค่คิดมากไปเองนั่นแหละ”

หน้าหวานยิ้มน้อยๆให้อย่างเป็นมิตรเพื่อให้อีกฝ่ายคลายใจ ฝั่งนั้นเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้ารับก่อนจะใช้จังหวะนี้เปลี่ยนเรื่องพูด

“เอ้อจริงสิ ข้ากะจะถามท่านเสียหน่อยว่าท่านทำอะไรกับสวนนี้หรือเปล่า”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ข้าแค่มานั่งเล่น”

“แค่นั่นหรอ อืม...แปลกจริงๆ”

“ทำไมหรอ”

“คือ ท่านสังเกตไหมล่ะว่าไม้ดอกในสวนนี้มันเริ่มผลิดอกผิดฤดูน่ะ”  เลขาหนุ่มพูดพลางชี้นิ้วไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ที่ปลายยอดของมันนั้นมียอดอ่อนผลิตูมขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าสังเกตอยู่ว่ามันแปลกๆ ไปถามคนสวนเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันตามปรกติในช่วงนี้ของปีจะไม่มีดอกไม้หรอกนะ” 

โรเรเนสมองยอดอ่อนของต้นไม้ต้นนั้นก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆให้
“เป็นเพราะมันได้รับความรักจากข้าล่ะมั้ง”

“โอ้ ไม่ยักรู้ว่าต้นไม้รับรู้แบบนั้นได้”

“ได้สิ ต้นไม้มันมีความรู้สึกนะแล้วก็มีวิญญาณด้วยถ้าพวกมันรับรู้ถึงความรักของเราพวกมันก็จะรักเราตอบยังไงล่ะ”

“วิเศษไปเลย แบบนี้แสดงว่าเจ้านั่นคงรักต้นไม้ตัวเองไม่พอแน่ในสวนกระจกดอกไม้ถึงไม่เคยออกดอกเลยนอกจากเจ้าต้นกุหลาบจันทราเท่านั้นที่ยอมมีดอกให้”

“เห? กุหลาบจันทรา?ที่ไหนกัน?”

“อ่อ ท่านยังไม่รู้เรื่องสวนส่วนพระองค์ของราห์โอใช่ไหมเล่า เป็นสวนกระจกที่มีแต่ไม้เมืองหนาวน่ะอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในนี่ล่ะ”

หน้าสวยตาโตขึ้นด้วยแปลกใจและกระตือรือล้น
“จริงรึ ข้าไม่เคยได้ยินเลยท่านบอกข้าหน่อยสิว่ามันอยู่ตรงไหน”    

“เป็นสวนลับน่ะท่านไม่เคยเห็นหรอก อีกอย่างถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็คงเข้าไปไม่ได้ด้วยเป็นสวนลอยที่อยู่ตรงตึกปีกขวา เมื่อเดินไปจนสุดทางเดินจะเจอบันไดวนเล็กๆอยู่เดินขึ้นไปเรื่อยๆตามเสียน้ำตกไปก็จะเจอเอง แต่ว่าตามปรกติมันจะถูกปิดอยู่นะ”

“มีน้ำตกด้วยงั้นรึแปลกจังมันเป็นสวนแบบไหนกัน”

“เป็นสวนที่ฟารันปลูกเองสร้างเองน่ะ ตั้งใจจะเอาไว้ปลูกไม้เมืองหนาวสภาพในนั้นเลยเย็นกว่าอากาศภายนอกอยู่มาก แต่ก็คงเย็นไม่พอมั้งนะเพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูกาลเจ้านั่นก็ไม่เคยทำให้ดอกไม้ออกดอกได้เลยซักดอกมีแต่กุหลาบจันทราเท่านั้นแหละที่ยอมออกดอกให้ ที่เหลือในสวนก็เขียวขจีเสมอต้นเสมอปลายไม่มีสีสันอื่นเพิ่มขึ้นมาเลย แต่ก็นะปลูกไม้เมืองหนาวในสปันเทียไม่ตายก็ถือว่าเก่งแล้ว”

------------------เดี๋ยวมาต่อนะฮะ :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 23-08-2014 15:47:44
จิ้มๆ
บวกเป็ด  :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 23-08-2014 15:50:15
รออยู่น้าาาาาาาาาาาาาาา :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 23-08-2014 18:03:57
ยิ่งอ่านยิ่งไม่ปลื้มพระเอก สงสารโรเรเนสจัง ทำไหมนายเอกผมต้องเป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อนด้วยนะไม่เข้าใจ แบบนี้ก็เสียเปรียบแย่ คึคึ เป็นเอามากเรา แต่ก็ดีที่มาต่อให้ครับ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 23-08-2014 19:01:21
แฟนตาซีที่หื่นนิดๆ
ชอบครับ แปลกดี
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] 23/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 23-08-2014 19:51:55
“เป็นสวนลับน่ะท่านไม่เคยเห็นหรอก อีกอย่างถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็คงเข้าไปไม่ได้ด้วยเป็นสวนลอยที่อยู่ตรงตึกปีกขวา เมื่อเดินไปจนสุดทางเดินจะเจอบันไดวนเล็กๆอยู่เดินขึ้นไปเรื่อยๆตามเสียน้ำตกไปก็จะเจอเอง แต่ว่าตามปรกติมันจะถูดปิดอยู่นะ”

ถูกปิด นะจ้าาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5/2 25/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 25-08-2014 16:56:08
ต่อ....

           “แล้วองค์ราห์โอไปได้กุหลาบจันทรามาจากไหนกัน มันเป็นไม้ดอกหายากนี่นาตามปรกติถ้าไม่บังเอิญเจอในป่าก็ไม่มีทางได้เห็นหรอกแล้วยิ่งเอามาปลูกไว้เป็นของตัวเองนี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย”

“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้แฮะ”

เป็นเช่นที่โรเรเนสพูดกุหลาบจันทรานั้นเป็นกุหลาบเมืองหนาวที่มีความพิเศษ ด้วยลักษณะของมันนั้นเป็นที่มาของชื่อ กุหลาบชนิดนี้จะออกดอกเฉพาะคืนจันทร์เพ็ญเท่านั้น หนึ่งเดือนก็จะออกดอกเพียงหนึ่งหนและเพียงคืนเดียว แถมยังงดงามพิสดารกว่าพืชชนิดไหนๆ ด้วยดอกของมันนั้นยามปกติจะเป็นสีนวลๆคล้ายสีงาช้างแต่เมื่อยามแสงจันทร์สาดมาต้องกลีบดอกของมันจะสะท้อนแสงเป็นประกายคล้ายผิวของไข่มุก งดงามอย่างมิอาจวางตากล่าวกันว่าแสงสะท้อนของมันเมือเห็นในยามค่ำคืนนั้นนวลสว่างจนมองเหมือนเห็นเป็นรัศมีน้อยๆล้อมรอบดอกมันเลยก็ว่าได้ กลิ่นของมันก็หอมรัญจวนยิ่งกว่ากุหลาบชนิดไหนๆ จนเคยมีคนพยายามจะนำมันมาสกัดเป็นน้ำหอมหากแต่เมื่อดอกแสนงามถูกตัดออกจากต้นมันก็จะตายลงอย่างทันทีน้ำหอมกลิ่นกุหลาบจันทราจึงมิเคยกำเนิดขึ้น

ด้วยคุณสมบัติประการทั้งปวงจึงทำให้ดอกไม้ชนิดนี้เป็นที่ปรารถนาของทุกผู้คนที่อยากจะมีบุญได้พบเห็น เพราะนอกจากจะสวยงามจับตาแล้วนั้นก็ยังหายากเสียยิ่งกว่ายาก แล้วยิ่งการที่กุหลาบจันทราจะเติบโตและเบ่งบานในเคหะสถานของมนุษย์นั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย   

จากความทรงจำเท่าที่จะระลึกได้เทพหนุ่มจำได้ว่ากุหลาบจันทราเพียงพุ่มเดียวที่เบ่งบานอยู่ภายใต้อาคารได้นอกเหนือจากการอยู่ในป่าก็คงจะมีแต่ในวิมาณบนสวรรค์ของตนเท่านั้น 

เรื่องที่ตอนนี้มีคนมาบอกว่ามีกุหลาบจันทราที่เติบโตแข็งแรงพร้อมออกดอกอยู่ในพระราชวังหลังนี้ก็เหมือนได้ยินว่าพระอาทิตย์กำลังตกที่ทิศตะวันออกฉันใดฉันนั้น

โรเรเนสอยากเห็นกุหลาบจันทราพุ่มนั้นด้วยกายเนื้อของมนุษย์นี้แทบขาดใจ จริงอยู่ว่าในความทรงจำของการเป็นเทพนั้นเขาเคยได้ใกล้ชิดและสัมผัสกับดอกไม้ชนิดนี้มาแล้ว ทว่าเมื่อได้ลงมาในร่างมนุษย์เขากลับพบว่ามีบางอย่างแปลกไป  การรับรู้จากกายหยาบและสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่   ที่รู้สึกว่าคุ้นเคยกลับมิคุ้นเคย   ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส แม้กระทั่งแค่การเหยียบย่างลงผืนหญ้านุ่มด้วยเท้าเปล่าก็สร้างความรู้สึกรื่นภิรมย์ใจอย่างน่าประหลาด มันชัดเจนและเต็มตื้นอย่างมิเคยประสพแล้วหากร่างกายนี้และสัมผัสนี้ได้ไปพบกับดอกไม้แสนงามเช่นกุหลาบจันทรานั่นแล้วเล่า เชื่อได้ว่าเขาคงสุขใจเป็นที่สุดเป็นแน่

ร่างบางเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจระส่ำระส่ายด้วยปรารถนาอยากจะได้เห็น

“แล้วเมื่อไรจะเป็นคืนจันทร์เพ็ญล่ะท่านลากลอซ”

“อืม.....รู้สึกว่าจะเป็นวันนี้ล่ะ”

“หา! แล้วถ้าข้าอยากจะไปดูกุหลาบจันทราล่ะต้องทำยังไงท่านพาข้าไปได้ไหม”

“ขออภัยด้วยจริงๆ คืนนี้ข้าไม่ว่างอีกอย่างถ้าไปขอฝ่าบาทให้ข้าพาท่านไปไหนมาไหนยามวิกาลสองต่อสองฝ่าบาทก็คงไม่ยอมแน่”

             นั่นสิ เขาคงไม่อยากให้เราไปคลุกคลีกับคนของเขา

“เอ่อ แต่ว่าท่านจะไปคุยกับฝ่าบาทตรงๆเลยก็ได้นะ สวนนั้นเป็นสวนส่วนพระองค์อย่างที่ข้าบอกถ้าไม่ได้รับอนุญาติก็เข้าไปไม่ได้หรอก”

หน้าหวานหลุบตาลงต่ำอย่างเศร้าสร้อยปากก็บ่นขมุบขมิบเมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น

“เขาอยากจะคุยกับข้าเสียที่ไหนเล่า”

“หืม?ท่านว่าอะไรนะ” 

“เอิ่ม ไม่มีอะไรหรอกท่าน”

“อ่อ”

“แต่คือ...อันที่จริง..”

 โรเรเนสอึกอักลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอื้อมสองมือไปกุมไว้กับมืออีกฝ่าย ลากลอซออกสีหน้าตกใจอยู่เหมือนกันแต่ไม่ก็ไม่ได้ชักมือกลับ

“ท่านลากลอซ ท่านช่วยพูดกับฝ่าบาทแทนข้าหน่อยสิตอนนี้ถ้าให้ข้าไปเจอหน้าเขาเองข้าคงทำไม่ได้หรอกนะ”

“เอ่อ ท่าน ปล่อยเถอะแบบนี้ไม่ดีนะ”

“นะนะ ข้าอยากไปดูดอกกุหลาบจริงๆนะ”

“ปล่อยมือข้าก่อนดีกว่านะ นะ”

“ลากลอซ!”

เสียงตะหวาดดังขึ้นดั่งฟ้าลั่น ทั้งสองสะดุ้งพลันเลขาหนุ่มก็กระชากมือกลับเหมือนไฟลวกใบหน้าไร้สีเลือดอย่างฉับพลัน เพียงเสี้ยวอึดใจที่เขาเห็นว่าผู้เอ่ยนามนั้นเป็นใครหัวใจก็ล่นไปที่ตาตุ่ม

“บรรลัยแล้ว”  เขาเอ่ยอย่างราบเรียบตรงข้ามกับหน้าตาสุดๆ เจ้ากีก้าลุกขึ้นวิ่งลัดสวนตรงไปข้างหน้าซึ่งเป็นต่ำแหน่งที่เจ้าของมันยืนอยู่ มันเห่าอย่างร่าเริงพร้อมกระดิกหางโดยไม่รับรู้ถึงบรรยากาศอึมครึมรอบๆตัวเลย

องค์ราห์โอมาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้

กาลเวลาหยุดนิ่งไปขณะหนึ่งก่อนที่ลากลอซจะเริ่มขยับตัว เขาอึกอักเล็กน้อยพยายามคลายอาการเกร็งของตนลงแล้วยิ้มแหยๆให้เจ้านายตน

“เอ้า!ฝ่าบาท บังเอิญจังเลยเนอะ แหม่...อ่า...” 

หากแม้นการจ้องมองฆ่าคนได้ป่านนี้ลากลอซคงตายไปแล้ว ด้วยองค์ราห์โอมองตรงมาที่ลากลอซอย่างอาฆาตมาดร้ายมุ่งหวังที่จะปลิดชีพเสียบัดนี้ ด้านเลขาหนุ่มก็ใจดีสู้เสือ เขาสูดหายใจเต็มปอดก่อนจะพูดจาอย่างสบายๆแบบที่ตัวเองเป็น

“กระหม่อมอธิบายได้”

“หุบปาก”

“อืม”

.........

“คือจริงๆแล้วกระหม่อมก็แค่”

“หุบปาก”

“อ่า”

..........

เหมือนอากาศรอบตัวจะหยุดนิ่งพร้อมกาลเวลา หนุ่มน้อยตาเศร้าตกใจกลัวจนไม่กล้ามองหน้าใครได้แต่ก้มหน้านิ่งมองพื้นพร้อมกับขบริมฝีปากแน่น

ท่านลากลอซแย่แล้ว เป็นเพราะเราแท้ๆ

ยามนี้ในหัวของเขารับรู้เพียงแค่กษัตริย์หนุ่มเกลียดเขาและการที่ฝ่ายนั้นเห็นเขายืนคุยกับคนสนิทแถมยังเล่นกับสุนัขของตนเองก็คงจะหัวเสียเป็นอย่างมาก นี่ก็คงกำชับไม่ให้ลากลอซมาคุยกับเขาด้วย พอเข้ามาเห็นว่าลูกน้องขัดคำสั่งก็ย่อมจะโกรธเป็นธรรมดา แน่ล่ะใครจะอยากให้คนของตัวเองไปสนิทสนมกับคนที่ตัวเองเกลียดเล่า

หน้าสวยค่อยๆฝืนใจช้อนตาขึ้นมองบุรุษหนุ่มที่กำลังโกรธเกรี้ยว พลันก็ได้พบกับตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองมาทางตนครู่หนึ่งก่อนฝ่ายนั้นจะบ่ายหนีไปมองทางอื่น เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอื้อนเอ่ยอออกไปทำลายความเงียบ

“ทรงอย่ากริ้วท่านลากลอซเลย เป็นข้าเองที่เข้าไปคุยกับเขาก่อน”

นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่บุรุษหนุ่มที่เมินหน้ามองไปทางอื่นเหมือนไม่ได้ฟังจะหันกลับมามองคู่สนทนาของตน แต่แววตาที่ส่งออกมาคราวนี้นั้นต่างออกไปอย่างน่าประหลาด เป็นตาคมคู่เดียวกันจริงหรือที่เมื่อครู่ดูกราดเกรี้ยวน่ากลัวด้วยความโกรธา แต่ตอนนี้กลับดูเจ็บปวดทรมาณอย่างล้ำลึกลงไปข้างใน ม่านตาสีดำสนิทดูผิวเผินเหมือนจะนิ่งเรียบไร้อารมณ์ใดๆหากแต่ได้มองจนจมลงไปจะพบความปวดร้าวอยู่ในนั้น

คราวนี้เป็นฝ่ายเทพหนุ่มที่ต้องประหลาดใจเขาไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของฟารันมาก่อน แววตาเศร้าดิ่งลึกแบบนั้น ทำไมกัน ทำไมถึงต้องปวดร้าวถึงเพียงนั้น  พลันความรู้สึกแปลกๆก็เกิดขึ้นอย่างมิอาจเข้าใจได้ ณ เวลานั้นดวงตาสีม่วงเข้มของเด็กหนุ่มก็วาวไปด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่เมื่อองค์ราห์โอเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาก็เบือนหน้าหนีไปทันทีพร้อมกับถอนหายใจหนักๆอย่างหงุดหงิด

“ลากลอซตามข้าไปที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้”

เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเดินจากไป เลขาหนุ่มลังเลเล็กน้อยกับคำสั่งนั้นก่อนจะหันไปมองคนข้างๆว่าเป็นอะไรมากไหม แต่โรเรเนสก็ส่ายหัวช้าๆ เพื่อแสดงออกว่าตนสบายดีทั้งๆที่ดวงตายังรื้นน้ำ ลากลอซนั้นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเดินจากมาเพื่อปล่อยให้เด็กหนุ่มทบทวนบางอย่างอยู่คนเดียว

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5/2 25/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 28-08-2014 19:48:30
 :katai2-1: รอตอนต่อไปฮะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5/2 25/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 28-08-2014 20:12:13
 :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5/2 25/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 28-08-2014 22:53:22
ทำไมฟารันปากแข็งแบบนี้
สงสารจัง
บวดเป็ดให้แล้วนะ :L2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5/2 25/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: LoveYoukissme ที่ 28-08-2014 23:41:31
ฟารันใจร้าย  :fire: :fire: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 30-08-2014 00:50:25


              แสงจันทร์นวลผ่องสาดฟุ้งไปทั่วผืนฟ้า ยามเมื่อมันกระทบยอดเมฆก็เกิดสะท้อนเห็นเป็นขอบสีขาวเรืองๆดูแปลกตา คืนจันทร์เพ็ญนั้นแปลกนักด้วยเหมือนมันจะมีเวทย์มนต์อยู่ในตัวเอง ดวงจิตดวงใจทุกดวงภายใต้แสงเดือนมักจะไม่เป็นปรกติอย่างที่เป็น เมื่อเคยทุกข์กลับสุขได้และเมื่อเคยสงบก็กลับว้าวุ่นได้เช่นกัน เป็นเพราะจันทร์หรือเป็นเพราะสิ่งใดหรือเพราะเสียงหวูดหวิวของสายลมนั่นปะไรที่บาดใจอยู่

เหตุใดใจดวงน้อยถึงกลัดกลุ้มและสับสนถึงเพียงนี้

โรเรเนสนอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าเวลานี้นั้นมันกี่ยามแล้วแต่ไม่ว่าจะข่มตาเพียงไรก็ไม่อาจจะหลับลงได้ ด้วยเพราะเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ที่ได้เจอไป ทั้งทุกข์ สับสน และไม่เข้าใจ

เขาทุกข์เป็นอย่างหนักที่รับรู้ว่าฟารันเกลียดเขา จะด้วยเพราะประชดที่ช่วงแรกเขาหนีหน้าหรือเพราะอะไรก็ตามแต่เขามั่นใจว่าฝ่ายนั้นต้องกำลังโกรธเขามากเป็นแน่ไม่เช่นนั้นจะทำเย็นชาใส่เขาไปทำไมกัน

เขาสับสนว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี ในเมื่อฝ่ายนั้นนิ่งมาเขาก็ควรจะนิ่งตอบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดีหรือไม่ ไม่ต้องใส่ใจไม่ต้องคุยกันไปเลยก็น่าจะดีหรือเขาจะรวบรวมความกล้าแล้วไปจัดการเรื่องนี้เองโดยตรง เขาอาจเข้าไปขอโทษที่ทำตัวไร้มารยาทในช่วงแรกสารภาพไปว่าที่เขาหนีหน้านั้นเป็นสิ่งไม่ดีแล้วถ้าหากทำเช่นนั้นแล้ว แล้วฟารันยังมีปฏิกิริยาเย็นชาอยู่เช่นเดิมเขาก็คงต้องยอมรับ

แต่ในขณะนี้เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจตัวเองอย่างมากที่สุด เขารู้ตัวว่าทั้งอารมณ์ความคิดและการกระทำหลายอย่างของเขานั้นมันช่างโง่เง่าเป็นที่สุด

 ข้อแรกเขาเป็นเทพแต่ทำไมต้องออกอาการเกรงกลัวต่อมนุษย์ธรรมดาอย่างฟารันด้วย แม้นจะเตือนตัวเองอยู่หลายครั้งว่าถ้าเจอให้เชิดหน้าไว้แต่เอาเข้าจริงเขาก็ลืมตัว ทำไม่ได้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองอีกฝ่าย

ข้อสอง ทำไมเขาต้องใส่ใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วย อันที่จริงเขาก็ออกจะสบายใจที่ฟารันไม่เข้ามายุ่งกับชีวิตของเขาเพราะอยู่ใกล้ทีไรก็รู้สึกอึดอัดขัดเขินตลอดๆ แต่พอฟารันห่างออกไปจริงๆก็เกิดเสียใจขึ้นมาแทนเอาแต่น้อยใจเหมือนเด็กๆ เจ็บใจตัวเองที่ทำตัวไม่ดีใส่อีกฝ่ายในตอนแรกจนทำให้กลายเป็นแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันแบบสุดขั้วและไม่มีทีท่าว่าเขาจะเข้าใจตัวเองได้ในเร็ววัน

เขาพลิกตัวอย่างแรงอีกครั้งพร้อมกับหน้ามุ่ยๆและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแสงจันทร์สาดพาดเรือนผมสีม่วงจางและเลยออกไปยันปลายเท้า

พรุ่งนี้ต้องคุยให้ได้

เขาคิดกับตัวเองด้วยสายตามุ่งมั่น ยามนี้ตัวเขาเองไม่อาจทราบได้ว่าอะไรเป็นอะไรแม้แต่เรื่องของตัวเองยังจำมิได้นับประสาอะไรกับความเป็นมนุษย์ที่เขากำลังเป็นอยู่ เขาก็คงตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจตัวเองเพียงแต่ว่าตอนนี้ เขาคิดได้แค่ว่าเมื่อมีปัญหาก็ต้องพูดคุย พรุ่งนี้เขาจะต้องพบกับฟารันให้ได้และจัดการปัญหาให้หมดไปเพื่อให้ไม่ต้องทุกข์ใจอีกต่อไป หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง หลายครั้งที่ผ่านมาเขาอาจควบคุมจิตใจและการกระทำตัวเองไม่ได้ แต่พรุ่งนี้เขาต้องทำให้ได้เขาต้องคุยกับฟารันให้ได้

แพขนตาหนากระพริบถี่สองสามครั้งก่อนจะปิดลงแล้วนิ่งไป ตัดสินใจได้แล้ว  สบายใจ นอน....

แลเมฆก็เคลื่อนคล้อยผ่านไปเกิดเป็นเงาจางเลื่อนผ่านบรรดาข้าวของเครื่องใช้ในห้องเรื่อยๆไปจนแล้วจนเล่า ผ่านไปเหมือนมากมายไม่สิ้นสุด

เขาลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่ง

หลับไม่ได้เสียแล้ว ช่วงเวลาที่เขาจะต้องหลับได้ผ่านพ้นไปแล้วยามเมื่อคนเราตาตื่นจนเลยเวลาง่วงปรกติไปแล้วนั้นก็เป็นการยากที่จะข่มตาลงอีก อีกเรื่องแปลกๆแสนยุ่งยากของร่างกายมนุษย์ โรเรเนสถอนหายใจกับตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายแต่ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาก่อนหน่วยตาที่เต็มไปด้วยความเบื่อจะแปรเป็นวาวโรจน์ร่าเริง หน้าหวานหันไปมองพระจันทร์ดวงโตนอกหน้าต่างแล้วก็อมยิ้มให้กับตัวเอง

----

                  พระราชวังยามค่ำคืนนั้นงดงามไม่แพ้ยามกลางวัน หากแต่อุณหภูมินั้นหนาวเย็นกว่ากันมากจนเขาต้องกอดกระชับเสื้อคลุมตัวหนาของตนเอาไว้เมื่อยามก้าวเดินและโชคดีที่พื้นกระเบื้องหินเย็นเยียบไม่อาจสัมผัสแผ่นเท้าบางที่สวมรองเท้าผ้ากำมะหยี่ได้ โรเรเนสย่างผ่านโถงทางเดินที่เงียบเชียบไปเหมือนแมวขโมยที่ระวังรอบตัวกลัวใครจะมาเห็น แสงไฟจากโคมที่แขวนไว้รายทางวูบไหวเล็กน้อยตามแรงลมแผ่นที่ผ่านไป ก้าวอย่างรวดเร็วแต่แผ่วเบาผ่านบานประตูไม้สลักลายมากมายไป

จนพ้นทางเดินเขาก็หลุดมาอยู่ ณ โถงกว้างโปร่งสบายที่มีเสาหินใหญ่เรียงรายอยู่โดยรอบ โถงนี้ถูกตกแต่งด้วยไม้นานาพันุ์หลายจุดและเต็มไปด้วยที่นั่งหย่อนใจ แต่นี่ก็มิใช่จุดหมายหรอกเพราะเขาวิ่งผ่านที่โล่งนี้ไปยังอีกฟากของห้องแล้วหายไปกับทางเดินเล็กๆอีกสาย มุ่งตรงไปยังจุดที่เขาภาวนาว่ามันจะถูกต้อง และแล้วเมื่อมาจนสุดทางเดินเขาก็เจอสิ่งที่อยากเจอพอดี

 บันไดวนสู่สวนกระจกที่ปีกขวา

เขายิ้มกับตัวเองแล้วเดินตรงเข้าไปผลักบานประตูลูกกรงสีเงินให้เปิดออกมันไม่ได้ลงกลอนอย่างที่เขาหวังไว้จึงเป็นการง่ายที่เขาจะเดินขึ้นไปด้านบน  วนขึ้นสูงขึ้นไปจนเริ่มได้ยินเสียงน้ำตกแว่วมาแต่ไกลๆ

 ทว่าจนเมื่อเดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบตัวเองยืนอยู่กลางห้องโล่งๆไร้เครื่องเรือน มันเป็นห้องที่ถูกปูด้วยอิฐตั้งแต่พื้นไปยังเพดาน มีช่องให้ลมเข้าเป็นช่องเล็กๆเรียงไปตามกำแพงพอแสงจันทร์ส่องลอดช่องลมเข้ามาก็จะเห็นเป็นเส้นยาวๆหลายเส้นพาดอยู่กับพื้นและผนังฝั่งตรงข้าม นอกนั้นก็เป็นแค่พื้นที่โล่งๆไม่มีแม้นแต่คบเพลิง

ทว่าเสียงน้ำตกกลับชัดเจนอยู่ใกล้ๆ

เขาหรี่ตามองไปรอบๆอย่างตั้งใจไม่คิดว่าตัวเองจะโดนหลอก แต่ก็ไม่คิดว่าลากลอซจะบอกข้อมูลเกี่ยวกับสวนกระจกทั้งหมดให้แก่เขาเพราะตอนนั้นก็คงไม่คิดว่าเขาจะแอบมาที่สวนคนเดียวแบบนี้ แลเมื่อไตร่ตรองและพิศมองไปรอบๆตัว เขาก็ตัดสินใจเดินไปที่ผนังแน่นทึบที่อยู่ใกล้ๆแนบหูลงกับอิฐที่เย็นเฉียบแล้วตั้งใจฟังก่อนจะเริ่มไล่คลำและออกแรงกดไปตามแนวผนังจนในที่สุดส่วนหนึ่งของผนังก็เหมือนจะขยับจมลงไป

นั่นปะไร

เขาออกแรงผลักให้ส่วนนั้นของผนังจมลงไปทีละน้อยแรงเสียดส่งเสียงดังครืดๆเสียดหู จนเมื่อมันหยุดเขาก็พบว่าตัวเองได้เปิดบานประตูลับสำเร็จแล้วเพียงแค่แรงดันอีกเล็กน้อยบานประตูอิฐพอดีตัวก็เปิดออกเผยให้เห็นห้องที่ซ่อนอยู่ด้านใน


อากาศชื้นเย็นโชยปะทะหน้าให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเจอมาก่อน กลิ่นชื้นหอบเอากลิ่นหญ้าและกลิ่นหอมแปลกๆออกมาด้วย เสียงซู่ซ่าของน้ำตกดังขึ้นชัดเจนทันทีที่ประตูเปิดกว้างจนสุดแล้วโรเรเนสก็ต้องตกตะลึงกับภาพสวนขจีตรงหน้า เขาค่อยๆเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปเมื่อเข้าไปถึงก็ยิ่งตื่นตามากขึ้นไปอีกเพราะสวนแห่งนี้ถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

พื้นนิ่มปูด้วยหญ้าและตกแต่งด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นไม้พุ่ม ไม้เลื้อย และไม้ยืนต้นขนาดกลาง พวกมันไม่ได้ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบนักแต่ก็สวยงามมากตามธรรมชาติของมัน มีทางเดินบางจุดที่ปูด้วยแผ่นหินศิลา มีลำธารสายเล็กๆไหลผ่านจากฝั่งหนึ่งของห้องไปยังอีกฝั่ง

แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คงเป็นโดมน้ำตกกระจกที่สูงขึ้นไปหลายเมตร แม้นจะอยู่สูงขนาดนั้นก็ยังสามารถมองเห็นสายน้ำที่ไหลผ่านผิวกระจกได้อย่างดีทำให้เมื่อยามแสงจันทร์ส่องผ่านแผ่นกระจกเคลือบน้ำนี้เข้ามาที่พื้นสวนด้านล่างจะปรากฏเป็นเงาลายน้ำเคลื่อนไปมาเหมือนอยู่ใต้ทะเล ส่วนผนังทั้งซ้ายขวานั้นก่อด้วยอิฐศิลาแต่ถูกเจาะช่องทั้งสองฝั่งให้มีซุ้มประตูโค้งเรียงยาวไปทั้งผนังตรงซุ้มโค้งที่ถูกเจาะนี้เองที่ได้เห็นม่านน้ำตกซึ่งเป็นน้ำทีไหลลงมาจากหลังคา แม้นจะยืนห่างออกมามากแต่ไอน้ำที่เกิดจากการกระทบพื้นของม่านน้ำตกทั้งส่องฝั่งก็ยังฟุ้งมาไล้เลียผิวหน้าขาวให้รู้สึกเย็นชื้นขึ้นได้อยู่ดี ส่วนผนังท้ายสวนซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับทางเข้านั้นเป็นกระจกใสเช่นเดียวกับหลังคาโดมซึ่งส่วนด้านล่างนั้นมีประตูกระจกเปิดโล่งออกสู่ระเบียงด้านนอกได้

ช่างเป็นสวนที่สวยงามและพิสดารอย่างที่สุด เรียกได้ว่าน่าจะเป็นสวนในร่มที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นเลยก็เป็นได้ ตัวห้องนั้นเงียบเชียบมีแต่เสียงน้ำตกเท่านั้นที่ดังชัดอยู่ในความมืด ไร้แสงใดๆจากโคมไฟมีเพียงแสงจันทร์เพ็ญดวงโตที่สาดจ้าลงมาถึงพื้นหญ้า ความมืดเย็นและบรรยากาศอันแสนสงบทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในป่า

โรเรเนสถอดรองเท้าผ้าออกปล่อยให้ฝ่าเท้าสัมผัสหญ้านุ่มเมื่อย่างลงไปในสวน  เขาเดินลัดผ่านลำธารสายเล็กและพุ่มไม้เตี้ยๆไป แหวกฝ่าม่านของพืชตระกูลเคราฤษี เดินเรื่อยไปจนเกือบจะถึงท้ายสวน แล้วเขาก็หยุดยืนบริเวณท้ายสวนตรงนั้นเองที่ได้เห็นพุ่มไม้หนามมีก้านสีดำสนิท


กุหลาบจันทราชูช่อมากมายอยู่เหนือก้านหนามและใบสีเขียวเข้มของมัน งดงามอย่างน่าหลงใหลกลีบของมันมีสีนวลสะอาดตาเมื่อยามเงาเมฆเคลื่อนมาบัง แต่เมื่อยามต้องแสงจันทร์ผิวกลีบสีมุกของมันก็สะท้อนแสงเกิดเป็นวงรัศมีรอบๆดอกของมันจริงๆ

เด็กหนุ่มเกศม่วงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ลืมเสียสิ้นทุกสิ่งไม่แม้นจะสังเกตใดใดรอบตัว ลืมแม้กระทั่งอุณหภูมิที่เย็นต่ำกว่าปรกติของห้องนี้ เขาถึงกับถอดเสื้อคลุมตัวโคร่งแสนเกะกะทิ้งลงพื้นแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆพุ่งไม้หนาม ค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นระริกด้วยความตื่นเต้นเข้าไปสัมผัสกลีบบางอย่างแผ่วเบา มันละเอียดนุ่มอย่างไม่อาจบรรยายแต่ก็เรียบลื่นยิ่งกว่าผ้าไหมเนื้อดีผืนใดๆในโลก   กลิ่นของมันรัญจวนใจอย่างลุ่มลึก เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ฟุ้งจางอยู่รอบๆ หากแม้นพยายามสูดดมอย่างจริงจังจะไม่รู้สึกว่ามีอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายแล้วหายใจอย่างปรกติกลิ่นหอมของมันก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  เขายิ้มให้แก่ดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าและรู้สึกสนุกขึ้นมากับประสบการณ์ใหม่นี้

ลูบไล้ไปทั่วตั้งแต่ตัวกลีบ ใบ หรือแม้นแต่ก้านหนามของมัน ดอมดมและเพ่งพิศสีสันที่แปรไปของดอกไม้ประหลาดนี้อย่างกระตือรือร้นและแล้วเขาก็ตัดสินใจทำบางอย่าง

“เจ้างามมากจริงๆจนข้าอดใจไม่ไหว เช่นนี้แล้ว....อภัยให้ข้าเถอะนะ” พูดจบเขาก็ก้มลงไปจุมพิตที่กลีบดอกอย่างแผ่วเบาแต่ก็เนิ่นนานเสมือนดั่งผีเสื้อโผลงมาเกาะเกสร  คราวนี้เมื่อแสงจันทร์ต้องกระทบทั้งเนื้อหน้าและผิวดอกก็ยากจะบอกได้ว่าสิ่งใดงดงามกว่ากันเมื่ออยู่ใต้เดือนเพ็ญ กุหลาบหรือคนล้วนงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
แลถึงจุดนี้ผู้ที่เร้นกายเพื่อลอบมองภาพที่งดงามที่สุดก็จำต้องปรากฏกายออกมา
“ผู้ชายดีๆเขาไม่ขโมยจูบหญิงสาวแบบที่เจ้าทำหรอกนะ” 

เจ้าของหน้าสวยสะดุ้งหนีจากดอกกุหลาบก่อนจะหันไปมองต้นเสียงอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ได้พบว่าที่ข้างตัวมีบุรุษผู้หนึ่งได้มายืนอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมือใดไม่ทราบได้ เขาผู้นั้นสวมชุดเหลือบทองปักลายอร่ามตัดพอดีตัวยาวเรื่อยลงไปถึงหน้าแข้งพ้นชายเสื้อลงไปก็เป็นบูทหนังสีน้ำตาลเข้ากับชุด ส่วนด้านบนคอปกตั้งแต่ตัวเสื้อกลับผ่าลึกลงไปจนถึงหน้าอก ช่วงเอวคาดด้วยเข้มขัดสีทองทั้งหมดทั้งมวลบ่งบอกฐานันดรศักดิ์ได้อย่างครบถ้วน

“ราห์โอ!”  โรเรเนสโพล่งขึ้นและตั้งใจจะลุกหนีแต่อีกฝ่ายลงมาจับแขนเขาไว้ก่อน

“อย่ากลัวเลยข้าสัญญาว่าจะไม่ทำแบบวันนั้นอีก”

เด็กหนุ่มผู้ยังไม่ไว้ใจพยายามดึงมือให้หลุดและเขยิบตัวหนียามที่อีกฝ่ายย่อตัวลงมานั่งใกล้ๆ เมื่อร่างสูงเห็นอาการตระหนกเช่นนั้นก็ยอมปล่อยมือแล้วค่อยๆนั่งลงช้าๆโดยไม่ผลีผลามทำสิ่งใด เหมือนเวลาที่เจ้าของพยายามเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ที่ยังไม่เชื่อง

แล้วต่างฝ่ายต่างก็นิ่งกันไปเหมือนรอบางสิ่ง
เงาเมฆเคลื่อนคล้อย เสียงน้ำตกไหลดังอยู่รอบตัวหากแต่มีเพียงเท่านั้นในทั้งหมดของสรรพเสียงเมื่อทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ปริปากพูดอันใดออกมา จนเมื่อเงาสลัวเลื่อนไปให้แสงเดือนสาดพาดวงหน้างามที่ระเรื่อแดงเทียมริมฝีปากและเห็นชัดถึงแววตาคมปราบดุจเหยี่ยวของบุรุษเกศดำได้ชัดขึ้น  ยามนั้นตาหวานเศร้าก็หลุบหนีอีกฝ่ายจนเหลือให้เห็นเพียงการกระพริบสองสามครั้งของแพขนตา

ต้องไม่หนีอีก บอกตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่หนีอีก

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวคนตัวเล็ก อีกอึดใจหนึ่งเขาจึงยอมจ้องตาคนตรงข้ามอีกคราก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยท่าทีที่ยังประหม่าเล็กน้อย
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่”

“หนึ่งเดือนมีเพียงคืนเดียวที่กุหลาบจะบานคิดว่าข้าจะพลาดรึ”
เขาพูดทั้งที่ตายังจ้องเขม็งไปที่คนตัวเล็กอย่างไม่ไหวติง โรเรเนสพยายามฝืนมองใบหน้าคมเข้มนั้นอยู่ซักพักแต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องก้มหนีลงไปอีก ความรู้สึกแปลกวูบวาบขึ้นอีกครั้งเมื่อต้องมองหน้ากับชายคนนี้ เป็นอะไรไปนะ?

“เจ้าหน้าแดง”  ผู้ที่จ้องมองสังเกตเห็นอาการนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปนขำพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“เปล่านะ” คนตัวเล็กออกอาการคัดค้านอย่างจริงจังแต่นั่นยิ่งทำให้ดูไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นไปอีก

“จริงสิ นี่ยิ่งแดงใหญ่แล้ว”

“ไม่จริงเสียหน่อย นี่มันกลางคืนท่านเห็นไม่ชัดหรอก”

“งั้นหรอ จะว่าข้าตาไม่ดีงั้นสิถ้างั้นต้องเข้าไปดูให้ชัดๆหรือเปล่าถึงจะเชื่อถือได้”

จบคำฟารันก็ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆอย่างกระชั้นชิดจนคนร่างเล็กออกอาการผงะ ระยะที่ห่างกันไม่กี่กระเบียดทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงลมหายใจของกันและกัน ตาคมพิศมองผิวแก้มเนียนที่แดงซ่านเพื่อพิสูจน์คำพูดตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปจ้องตาอีกฝ่าย

แล้วสองตาก็ประสบมอง
แล้วเวลาเหมือนหยุดนิ่ง
เป็นเพียงช่วงเวลาแค่อึดใจแต่เหมือนเนิ่นนานกับครั้งแรกที่ได้มองเห็นอีกฝ่ายกันอย่างเต็มตา
ตาเศร้าคู่นั้นกับแพขนตาที่เรียงตัวลากลงไปยังหางตาตกๆ ปรือมองตอบมาอย่างขัดเขิน
ใบหน้าแดงซ่านแบบเด็กแรกรุ่นเช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่เชิดขึ้นเล็กน้อยเหมือนเด็กๆพาให้ความรู้สึกที่พยายามข่มกดไว้มานานล้นขึ้นมาในใจ มากขึ้น มากขึ้น จนแรงปรารถนาถูกฉายชัดในแววตาอย่างมิอาจปกปิด

เช่นนี้เทพหนุ่มที่ถูกจ้องก็มิอาจทานทนได้อีกแล้วกับตาคมเข้มที่มองลึกดุจเหยี่ยวเพ่งเหยื่อของอีกฝ่าย ความรู้สึกซ่านร้อนเมื่อยามใกล้ชายคนนี้นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ  หัวใจเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะและการจ้องมองนี้ก็เหมือนจะทำให้เขาละลายลงไปให้ได้ เขาขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยแล้วเบือนหน้าหนีไป

พลันตาคมที่ออกอาการวาวโรจน์ก็แปรไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายหนีหน้า เขามองหน้าหวานด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะพูดเสียงแผ่วคล้ายกระซิบด้วยน้ำเสียงเรียบเศร้า

“เกลียดข้าหรือเปล่า” 

แต่เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำถามเขาจึงหันกลับมาด้วยสีหน้าสับสนก่อนจะพูดสวนไปอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าต่างหากที่อยากจะถามท่านเช่นนั้น”  ราห์โอหนุ่มถอยกลับไปพร้อมสีหน้าประหลาดใจ

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”

“ก็...ก็ท่าน เย็นชาแล้วก็ไม่ยอมคุยกับข้าเลย”

“ก็เจ้าหนีหน้าข้า อย่าปฏิเสธนะข้ารู้อยู่ว่าเมื่อต้นเดือนก่อนเจ้าพยายามหนีข้า”

พอได้ยินแบบนั้นโรเรเนสก็มองตอบด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“โกรธหรอ” 

ฟารันมองคนตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดูเมื่อเห็นกิริยาหงอยๆแบบนั้นก่อนจะพูดต่ออย่างเรียบๆ
“ไม่ใช่ หากแต่ข้าคิดว่าเจ้าเกลียดข้าถึงได้หนีหน้าข้าแบบนั้น ข้าเลยไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจเลยคิดว่าถ้าห่างกันไปแบบนั้นเจ้าจะสบายใจกว่า อีกอย่างทุกครั้งที่เราเจอกันเจ้าก็เหมือนไม่อยากจะเจอ”

“จริงหรอ”

“จริงสิ ก็เจ้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา”

“เปล่านะ”

“เจ้าไม่เห็นหน้าตัวเองล่ะสิ อย่างเมื่อตอนกลางวันนั่นก็อีกแค่เจอหน้าข้าก็น้ำตาคลอแล้ว แล้วไหนจะวันก่อนๆอีกขนาดมองหน้าข้าตรงๆยังไม่อยากจะมองเลยไม่ใช่หรอ”

“ก็ ก็นั่นมันเพราะ...มันแปลกๆ ข้าไม่ได้เกลียดท่านนะมันแค่แปลกๆข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันข้าเลยทนอยู่ใกล้ท่านไม่ได้ แล้วส่วนเรื่องเมื่อตอนกลางวันนั่นมันก็เพราะท่านนั่นแหละทำหน้าเศร้าแปลกๆจนข้ารู้สึกแย่ตาม”

“หืม?ที่ว่าแปลกๆยังไงกัน”

“ก็ มันน่าอึดอัดแล้วในตัวข้าก็ร้อนๆ แล้วก็ใจเต้นแรงมากเลยตั้งแต่ที่ท่านทำแบบนั้นวันนั้น มัน มันทำให้ข้าอึดอัดแล้วก็หายใจไม่สะดวก ข้ากลัวว่าถ้าเป็นแบบนี้ข้าจะหน้ามืดเหมือนวันนั้นอีก”

แต่พอได้ยินจนจบคำฟารันพยักหน้ารับคำด้วยสายตากรุ้มกริ้มและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
 “อ่อ....อื้ม”   

“อะ  อะไรหรอ”

“ไม่แปลกหรอก สาวๆหลายคนที่เจอข้าก็เป็นแบบเจ้าเหมือนกัน” 

“ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้รุ้สึกกับท่านแบบนั้นเหมือนที่พวกผุ้หญิงเป็นนั่นท่านเข้าใจผิดไปแล้วนะ ข้าว่านี่มันเป็นเพราะหัวใจข้ายังไม่แข็งแรงต่างหาก”

 “อ้อ งั้นหรอ ถ้างั้นบอกข้าหน่อยว่าตอนนี้สุขภาพเจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ก็ดีขึ้นบ้าง”

“โอ้ ถ้าอย่างนั้น”

ฟารันขยับตัวเหมือนจะเข้าหา แต่โรเรเนสก็รีบเขยิบหนีก่อนจะโพล่งออกไปอย่างฉับพลันด้วยสีหน้าประท้วงอย่างสุดฤทธิ์
“แต่นั่นไม่ได้แปลว่าข้าจะทำเรื่องแบบนั้นได้แล้วนะ!” 

คนตัวเล็กระแวดระวังอย่างเต็มที่กับทุกท่าทีของอีกฝ่ายโดยการจับยึดเสื้อผ้าตัวเองไว้อย่างแน่นเหนียว กษัตริย์หนุ่มที่เห็นอาการขัดขืนแสนน่ารักแบบนั้นก็เผลอหลุดขำออกมาอย่างทนไม่ได้ แต่โรเรเนสออกจะไม่ชอบใจที่โดนหัวเราะจึงลุกหนีแล้วไปหยิบเสื้อคลุมที่ตนทิ้งไว้มาสวมให้กระชับก่อนจะยืนมองอีกคนด้วยสายตาค้อนน้อยๆ

ฟารันพยายามสงบสติอารมณ์แล้วจึงยืนขึ้นก่อนจะยื่นมือออกไปหาเด็กหนุ่ม
“ข้าว่าเรื่องนี้เราน่าจะออกไปคุยกันข้างนอกนะ” 

โรเรเนสยังมองมือข้างนั้นอย่างไม่ไว้ใจ ฟารันจึงพูดต่อด้วยซุ่มเสียงที่อ่อนโยนขึ้น

“ข้าสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำแบบวันนั้นอีก มาเถอะ” 

หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 30-08-2014 00:54:08
อย่างละล้าละลังและไม่แน่ใจ นิ้วเรียวก็โผล่พ้นแขนเสื้อตัวยาวออกมาเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนออกไปแตะกับปลายนิ้วอีกฝ่าย ฟารันจูงมือเด็กหนุ่มให้เดินตามออกไปที่ระเบียงด้านนอก ซึ่งถูกขวางกั้นเอาไว้เพียงแผ่นกระจกบาง พวกเขาเดินพ้นออกจากสวนมาสู่ระเบียงโล่งกว้างด้านนอกที่มีเพียงม้านั่งตัวยาวเพียงตัวเดียวที่ตั้งอยู่ ดาวบนฟ้าดูถนัดชัดมากขึ้นเมื่ออยู่ด้านนอกพอๆกับลมที่พัดโชยมาปะทะคนตัวเล็กกระชับเสื้อคลุมให้มิดชิดมากขึ้นเมื่อพบว่าอากาศนั้นเย็นกว่าที่คิดไว้มาก

“ยามกลางวันก็จะร้อนมาก ส่วนยามกลางคืนก็เย็นเยือกเป็นเช่นนี้เสมอในสปันเทีย” 

 โรเรเนสยื่นหน้าออกไปมองนอกระเบียงแลเห็นแสงไฟอยู่เป็นบางจุดจากบ้านเมืองอันแสนศิวิไลด้านล่าง
“ช่างต่างกันอย่างน่าประหลาด”

“ใช่ต่างกันมาก”

ลมแรงพัดมาอีกระลอกจนเด็กหนุ่มต้องกอดตัวเองไว้เมื่อลมหนาวผ่านไปเขาถึงกับจามออกมาด้วยร่างกายไม่เคยชิน ตามปรกติเวลาแบบนี้เขาคงนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนแล้วไม่เคยเลยซักครั้งที่จะออกมาตากลมอย่างที่เป็นอยู่ ฟารันเห็นเช่นนั้นก็มองอย่างเฉยเมยทว่าจู่ๆก็ดึงคนตัวเล็กเข้าไปกอดเสียอย่างนั้น แต่โรเรเนสยันกายให้ห่างตามสัญชาติญาณ แต่แล้วก็นิ่งไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแค่กอดตนเพื่อให้อุ่นเฉยๆมิได้ทำไปมากกว่านั้น

“สัญญาก็คือสัญญาราห์โอตรัสแล้วไม่คืนคำหรอก”  กษัตริย์หนุ่มก้มลงไปยิ้มให้กับอีกคนที่สูงแค่คาง แม้นฝ่ายนั้นไม่ได้เงยมามองตอบแต่ก็เห็นแล้วว่าหน้าแดงๆดั่งลูกตำลึงนั้นกำลังบ่ายหนีแผงอกแน่นอย่างเอียงอาย

“เจ้าจะซุกหน้าลงไปกับไหล่ข้าเลยก็ได้นะจมูกจะได้อุ่นขึ้นด้วย”

“มะ ไม่”

“ตามใจ”

...........

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่านานเกินไปตาหวานจึงเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างสงสัยแต่ก็เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยที่มองออกไปยังเมืองเบื้องล่างเหมือนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังกอดคนอื่ยอยู่ เขาจึงเอ่ยปากทักท้วงขึ้นมา

“เอิ่ม ข้าไม่เป็นไรแล้วท่านปล่อยข้าเถอะ”

“หืม ปล่อยทำไมล่ะ”

“ก็ข้าไม่หนาวแล้วไง”

“คิดว่าข้ากอดเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้าหนาวหรือไร”

“เช่นนั้นกอดข้าทำไมเล่า”

“อยากทำ” 

“ฮื่ออออ” ร่างเล็กส่งเสียงครางหงุดหงิดในลำคอออกมาเหมือนเด็กถูกขัดใจ แล้วจึงตามด้วยการถอนหายใจแบบเซ็งๆ 

แต่องค์ราห์โอไม่ถือสากลับลอบยิ้มให้กับกิริยาเหล่านั้นแทนก่อนเปลี่ยนเรื่องเพื่อพูดต่อ
“ว่าแต่พูดถึงเรื่องที่เราสองเข้าใจผิดกันไปเอง สรุปว่าเจ้าไม่ได้เกลียดข้าแต่ที่หนีหน้าในตอนแรกเพราะเชินใช่ไหม”

“อ่า ข้าไม่ได้เกลียดท่านแต่ข้าไม่ได้เขินนะบอกแล้วว่ามันแปลกเฉยๆ”

“แล้วแต่จะเรียก ว่าแต่ได้รู้แบบนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

“ไม่รู้สิ....”

   ตาเศร้าก้มหน้างุดด้วยอาการเย็นชาที่อีกฝ่ายกระทำใส่ตอนก่อนหน้ายังติดตรึง การจะบอกว่าตอนนี้สบายดีหายน้อยใจทันทีที่ได้คุยก็คงจะยังไม่ใช่  ร่างสูงลอบมองใบหน้าหงอยอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกมาด้วยเสียงที่อ่อนโยน

“ข้าขอโทษ”

คำพูดแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากคนที่ไม่น่าจะยอมโอนอ่อนให้ใครทำให้ผู้ฟังถึงกลับเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความประหลาดใจ เขาจึงต้องย้ำให้แน่ชัดอีกครั้งด้วยคำพูดเดิม

“ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าทำกับเจ้าแบบนั้นเลยอันที่จริงข้าน่าจะคุยกับเจ้าให้รู้เรื่องมากกว่าจะหลีกหนีไปเช่นนั้น”

“อย่าพูดแบบนั้นเลย ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษมันเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้ท่านเข้าใจผิด”

กษัตริย์หนุ่มสบตาอีกฝ่ายนิ่งอึดใจหนึ่งแล้วจึงพยักหน้ารับช้าๆ

“อืม..ถ้าเข้าใจกันแบบนี้ก็ ถือว่าเราดีกันแล้วใช่ไหม”

“ก็หากท่านไม่ทำตัวเย็นชาอีกมันก็คงไม่มีอะไร”

“แน่นอน”

 “อ่อแต่ติดอยู่นิดนึง”

“อะไร?”

“ท่านยังไม่ยอมปล่อยข้า”

รอยยิ้มอันอ่อนโยนแปรไปเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางน่ารักแบบนั้น มันกลายเป็นรอยยิ้มที่เอ็นดูปนขี้แกล้งเหมือนจะหมั่นเขี้ยว แต่นั่นก็เป็นเพียงวูบหนึ่งเท่านั้นก่อนเจ้าของตาคมจะดึงสีหน้าให้กลับไปเรียบเฉยเหมือนแกล้งไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำท้วงของอีกฝ่าย
“อยู่แบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ”

“ก็มันแปลกๆ”

“แปลกอะไรผู้ชายกอดกันไม่เป็นไรหรอก ถ้าเจ้าเป็นผู้หญิงสิถึงจะดูไม่งาม”

“มันไม่ดีต่อสุขภาพหัวใจข้านะ ท่านกอดข้าแบบนี้ใจข้าเต้นแรงมากเลย”

“จะบอกว่าเดี๋ยวเจ้าจะหัวใจวายตายเพราะข้ากอดงั้นรึ ไม่จริงล่ะม้างข้าก็ยังเห็นเจ้าสบายดีอยู่”

“ม่ายหรอก” โรเรเนสพูดตอบด้วยเสียงอ่อยๆ

   คนขี้โกง...........

“ว่าแต่น่าคิดเหมือนกันนะว่าข้าทำได้แค่ไหน”

“หา?” คราวนี้เด็กหนุ่มเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ

“ก็สุขภาพหัวใจเจ้ายังไม่พร้อมจะให้ข้าเค้นAngel syrupใช่ไหมเล่า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพร้อมแล้วล่ะ”

“อ่าม...เอ่อ..เดี๋ยวท่านหมอก็บอกท่านเองกระมัง”

“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธข้า เจ้ารับปากหรือไม่ว่าหากท่านหมอกล่าวว่าเจ้าหายดีแล้วเจ้าจะยอมข้าแต่โดยดี”

“.............”

“หรือหากเจ้าล้มลงไปอย่างครั้งนั้นอีก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะตายจริงๆหรือแสร้งทำเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสจากข้า”

คนตัวเล็กนิ่งคิดอยู่นิดนึงก่อนจะตอบออกไป

“ถ้าท่านไม่เชื่อใจข้าเช่นนี้   งั้น....ถ้าข้าพร้อมข้าจะเป็นคนบอกท่านเอง”

แต่อีกฝ่ายที่ได้ฟังไม่สนใจในท้ายประโยคเขายังกอดเด็กหนุ่มไว้แล้วพูดต่อ
“เป็นคำตอบที่ดี แต่ยังไม่ดีที่สุด”

“หา?”

“ข้ายังไม่รู้นี่ว่าเจ้าจะพร้อมเมื่อใด สัปดาห์ เดือน ปี ข้าปล่อยให้คนแปลกหน้าอาศัยอยู่ในบ้านโดยไม่มีสถานะชัดเจนนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ ถ้าพิสูจน์ได้เร็วๆว่าเจ้าเป็นเทพจริงจะได้จัดการทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว”

หากมองในมุมของฟารันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนี้โรเรเนสเข้าใจได้ดีเพราะกษัตริย์ต้องฟังคำรอบข้างและตัดสินทุกอย่าง อย่างมีหลักฐาน เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นหากแม้นองค์ราห์โอยังซื่อสัตย์ไม่ได้การที่จะหวังให้คนอื่นทำบ้างก็คงจะยาก เช่นนั้นการที่เขาจะขอให้ฟารันเชื่อเขาโดยไม่ต้องพิสูจน์เรื่องAngel syrupก็คงเป็นไปไม่ได้ หากแต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้าพอจะให้อีกฝ่ายสัมผัสตัวเช่นนั้น เขาเองก็ไม่กล้ารับปากจริงๆว่าถึงเวลาที่ท่านหมออนุญาตให้ทำได้เขาจะยอมอีกฝ่ายหรือไม่

“ถ้าแบบนั้นท่านจะให้ข้าทำอย่างไรล่ะ แต่ว่าถ้าจู่ๆจะมาทำแบบนั้นข้าก็ ก็ กลัวว่า...” 

“ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่ทำอะไรอุกอาจแบบคราวนั้นอีกแล้วแต่ว่าต้องมีการทดสอบเพื่อที่ข้าจะได้รู้ว่าเจ้าพร้อมไหม”

“ท่านจะทดสอบข้าอย่างไร?”

ผู้ที่ได้ฟังคำถามทำเป็นเคร่งขรึมครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะพูดอย่างเรียบๆ

 “ก็อย่างเช่น.... ถ้าข้ากอดแบบนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” พูดจบเจ้าของอ้อมกอดก็กอดกระชับให้แน่นขึ้นอีก จนรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของคนตัวเล็กที่ค่อยๆสูบฉีดมากขึ้นจนใบหน้าเริ่มแดงหนักขึ้นกว่าเก่า

“ข้าไม่รู้ แต่ แต่มันร้อนๆ” 

องค์ราห์โอลอบยิ้มก่อนจะก้มลงกระซิบเบาๆที่หูของอีกฝ่าย

“ข้าถึงถามในตอนแรกไงว่าข้าทำได้แค่ไหน ถ้าการกอดยังไม่ทำให้เจ้าหัวใจวายตายงั้นก็ถือว่าไม่เป็นไรใช่ไหม”

“.............”

“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะจะตายไหม”

ฟารันจุมพิตลงที่พวงแก้มของเด็กหนุ่มซึ่งอายจนต้องร้องประท้วงออกมาแล้วอิดออดขอให้ร่างสูงปล่อยตน

“ระ ราห์โอปล่อยข้าเถอะ”

หากแต่ไม่แม้นจะฟังคำท้วงเขาก้มลงไปประทับปากตนกับผิวแก้มแดงอีกครั้ง แม้ฝ่ายนั้นจะบ่ายหนีแต่ก็ไม่พ้นโดนหอมจนได้

“ราห์โอ”

“มีเหตุผลหน่อยสิ ถ้าข้าไม่ทดสอบจะรู้ได้ไงว่าหัวใจเจ้ารับได้แค่ไหน”

 แต่ร่างเล็กไม่อาจทานรับความรู้สึกวาบหวามนี้ได้มากนัก เรี่ยวแรงเขาน้อยลงเรื่อยๆและลมหายใจก็เหมือนจะหลุดลอยหายไปเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของชายคนนี้ อันที่จริงอย่าว่าแต่กอดเลยแค่ให้เขามองหน้าฟารันเฉยๆก็จะละลายอยู่แล้ว เขาจึงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเว้าวอนก่อนจะขอร้องออกไปด้วยเสียงที่เริ่มสั่นน้อยๆ

“ดะ ได้แค่นี้ล่ะ ได้โปรดเถิดหัวใจข้า มัน....” 

แต่จู่ๆคำพูดก็กลืนหายไปเหลือเพียงตาหวานๆที่มองส่งไปอย่างอ้อนวอน ริมฝีปากบางเม้มลงอย่างประหม่า หากแต่ทั้งหมดนั้นน่ารักเกินกว่าจะทนไหว เช่นนั้นแค่ชั่วอึดใจของการประสานตาจึงตามมาด้วยการประกบกันของริมฝีปาก
ร่างสูงโน้มตัวลงไปจูบโดยไม่แม้นจะชั่งใจ เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยด้วยความกลัวและพยายามขัดขืน

“อื้อออ!”

เขาร้องตกใจหากแต่อีกฝ่ายก็กระทำลงไปอย่างอ่อนโยนเนิบช้าและแนบแน่น ความดูดดื่มซาบซ่านที่เริ่มก่อตัวสูบเอาพลังทั้งหมดให้หายไป ทีละน้อย ทีละน้อยจนความผวาค่อยๆคลายตัว ลิ้นสากสอดเข้าไปเก็บเกี่ยวรสหวานนุ่มจากอีกฝ่ายดั่งผึ้งดูดน้ำหวานที่ละน้อย ทีละน้อย อย่างนุ่มนวล

“อือ อืมมม”

เสียงประท้วงพลันเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างคล้อยตามพร้อมกับลมหายใจขาดห้วง สองมือกำสาบเสื้อคนร่างสูงไว้แน่นแล้วเมื่อหัวใจดวงน้อยพลันหล่นหายแลหลงลืมไปกับการกระทำอันซ่านร้อนแต่หอมหวาน นิ้วเรียวยาวเหล่านั้นก็คลายออกก่อนจะเริ่มเคลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอคนที่สูงกว่าเอาไว้

 จังหวะซ้ำๆถูกส่งจากผู้นำสู่ผู้ตามเหมือนพร่ำสอน จนเมื่อเครื่องโอฐหวานนิ่มของเด็กหนุ่มเรียนรู้ที่จะคล้อยตามอย่างถูกต้องกิจกรรมนี้ก็เป็นไปอย่างลื่นไหลเพลิดเพลินเช่นการเต้นรำ ทีละน้อย ทีละน้อย....

 และยามที่ทุกอย่างถึงจุดที่เหมาะสมพลันระดับของความร้อนก็ทวีเป็นหนักหน่วงยิ่งขึ้นเช่นการไล่เสียงของตัวโน๊ต มันเริ่มไล่ขึ้นเป็นความเร่าร้อนปลุกปั่นจนระทวย แรงขึ้นและแรงขึ้น ทว่าก่อนจะถึงจุดที่เต็มอิ่มนั้น.....

ฉับพลันเจ้าของตาคมก็ถอนปากออกกะทันหันเหมือนกลั่นแกล้ง ปล่อยให้ริมฝีปากบางเผยอค้างอย่างปรารถนา สายตาเว้าวอนปนสงสัยถูกส่งออกมาจากดวงตาหวานเศร้านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยอารมณ์ที่คั่งค้างทำให้ชั่วแวบหนึ่งเขาหวังให้อีกฝ่ายการะทำต่อ  หากแต่สติที่หลงเหลือฉุดให้เขาเข้าใจได้ว่ากำลังโดนทดสอบเทพหนุ่มเลยรู้สึกเขินอายต่อปฏิกิริยาของตนเป็นอันมาก เขาจึงออกอาการเหนียมและทำหน้าเหมือนโดนจับได้ว่ากระทำผิด ก่อนจะซุกหน้าลงกับบ่ากว้างของอีกฝ่ายคล้ายอยากจะหายไป ร่างสูงลอบมองกิริยานั้นอย่างเอ็นดูแล้วก็พูดกระเซ้าเล่นด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยน

“สอนง่ายเหมือนกันนะเรา”

แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบอะไรได้แต่ซบหน้านิ่งเหมือนเด็กๆ องค์ราห์โอไม่จึงไม่เย้าต่อซ้ำยังปรารถนาให้อยู่อย่างนี้ไปนานๆ ท้ายแล้วทั้งสองจึงยืนกอดกันอย่างนิ่งเงียบท่ามกลางหมู่ดาวนับล้านที่พยายามสู้แสงจันทร์


 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

จบไปอีกตอนขอบพระคุณที่มาอ่านกันนะคะ หวังว่าจะสนุกนะคะ เอิ๊ก ใสๆหวานๆเตรียมไว้ก่อนจะเลือดพุ่ง เอิ๊ก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 30-08-2014 01:16:32
มาจิ้มๆก่อนนะ
บวดเป็ดให้แล้ว
เป็นกำลังใจให้นะ ชอบเรื่องนี้มากเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 30-08-2014 01:24:24
อุ้ย! จูบกันแล้ว
สงสัยจะมีบททดสอบใหญเร็วๆนี้ กิกิ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 30-08-2014 11:23:07
โรเรเนส น่ารัก :กอด1: :กอด1:
:pig4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 30-08-2014 11:30:39
 :-[ โอ้ย เขิน น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 30-08-2014 12:14:10
ราโอนี้ร้ายจริงๆ นายเอกผมยิ่งไร้เดียงสายุ หวังว่าราโอจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ เดียวบอกคนแต่งมห้เปลี่ยนพระเอกเลยนิ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: pare_140 ที่ 30-08-2014 12:14:27
น่ารักกก :mew3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 30-08-2014 15:01:58
เขินนนนนนนนนน
 :o8:  :-[  :impress2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: jamlovenami ที่ 30-08-2014 18:50:47
ดีกันไม่ทันไร ก็หวานใส่เลยนะฟารัน  :hao7:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi แฟนตาซีจ้าา] ตอนที่5 เต็ม 30/8/2557
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 30-08-2014 22:05:06
ว้ายยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1 (nc)13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 13-09-2014 00:27:15
แม้นสวนกระจกยามราตรีของพระราชวังแห่งสปันเทียจะอบอวลไปด้วยความหอมหวาน หากแต่ในเวลาเดียวกันเบื้องล่างลงไปชีวิตหลังตะวันลับของเมืองหลวงกลับพลุกพล่านวุ่นวายไปด้วยเสียงอึกทึกของบรรดาชายหญิงที่รักสนุก โดยเฉพาะย่านนางโลมที่ไม่เคยหลับไหล เสียงเฮฮาของนักเที่ยวและนางคณิกาคละเคล้าปนกับเสียงต่อยตีของคนเมา หลายผู้สุขล้นหลายผู้บอบช้ำหลากหลายมั่วซั่วกันไปในย่านอาไคอา แห่งนี้

ภายในอาคารที่ตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยเหล่าผ้าม่านมากมายและโคมไฟหลากสีที่ส่องสว่าง เมื่อเดินผ่านเข้าไปในซุ้มประตูก็จะพบห้องโถงที่เต็มไปด้วยสาวงามร้องเรียกหาลูกค้ากันเซ็งแซ่ แม่เล้าตัวอ้วนยิ้มร่าอย่างเป็นมิตรทักทายบุรุษทั้งหลายอย่างคุ้นเคยด้วยส่วนมากเป็นลูกค้าประจำ เหล่าแขกเหรื่อมากหน้าจับจองหญิงงามนุ่งน้อยหุ่มน้อยเป็นของตนเองมากได้เท่าที่จะจ่ายไหว บ้างก็มาเพื่อหาที่สังสรรค์กับเพื่อน บ้างก็ตั้งใจมาเที่ยวหญิงอย่างจริงจัง และมีบางครั้งที่บางคนใช้ที่อโคจรมาเป็นที่ซื้อขายและวางแผนทำการชั่ว

โยเฮนขุนนางสูงวัยหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์ไวน์อยู่ในห้องรับรองส่วนตัว  เขาหัวร่องอหายอยู่กับสาวๆที่นั่งขนาบข้างหยิบอาหารมากมายเข้าปากและหันไปพูดคุยกับสหายอีกสองคนที่อยู่ในสภาพเดียวกัน เหล่าขุนนางวัยกลางคนดูระรื่นสุขอุราจนน่าทุเรศกับกิริยาตะกละตะกลามที่แสดงออกมา พวกเขาดื่ม กินมาหลายชั่วโมงจนท้ายสุดเมื่อถึงเวลานัดหมายก็ต้องเชิญบรรดาหญิงบริการทั้งหลายให้ออกไปก่อนด้วยอ้างว่าต้องคุยเรื่องสำคัญ  หากแต่ผู้ที่จะพูดเรื่องสำคัญนั้นไม่ใช่ขุนนางทั้งสามในห้อง แต่เป็นผู้ที่มาใหม่อย่างไม่ให้ซุ่มเสียงและไม่ทันตั้งตัว

“สภาพอุบาทว์เหมือนเดิม”

 เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางหน้าต่างแต่เมื่อทั้งสามหันไปก็พบเพียงผ้าม่านที่โบกไสว โยเฮนคิ้วขมวดด้วยความงุนงงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาก็พบว่าเจ้าของเสียงได้มายืนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องเสียแล้ว

ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างเปรียวผมสีเงินเขาแต่งกายด้วยชุดที่แลดูทะมัดทแมงสีดำสนิท สองข้างเอวมีอาวุธประเภทมีดสั้นเหน็บอยู่ บริเวณลำคอตั้งแต่ส่วนที่อยู่ใต้ปกเสื้อมีแถบผ้าสีดำพัดรอบไล่ขึ้นไปถึงจมูกทำให้เห็นใบหน้านั้นได้เพียงครึ่งเดียวจุดรวมสายตาจึงเป็นม่านตาสีเทาที่แลดูเย็นชาและไร้ความรู้สึกเป็นที่สุด

“นักฆ่าเงาข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงแบบนี้” 

โยเฮนออกเสียงดุแต่อีกฝ่ายไปสนใจเอาแต่จ้องพิศพวกขุนนางด้วยสายตารังเกียจ โดยหนึ่งในนั้นที่มีรูปร่างอ้วนแลดูกลัดมันเอ่ยทักทายอีกฝ่ายขึ้น

“สวัสดีท่านนักฆ่าเงาข้ามีนามว่าคาฮูม ข้าได้ยินกิติศัพท์ของท่านมามากแล้วขอบอกว่าประทับใจในความสามารถของท่านจริงๆได้ข่าวว่าท่านไม่เคยทำงานพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว” 

ผู้ถูกเกล่าถึงไม่ได้สนใจแม้จะมอง แต่โยเฮนกลับหัวเราะในลำคอกับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหยียด

“ไม่ถูกนักหรอกคาฮูมเพื่อนรัก หากจะพลาดก็มีครั้งหนึ่งก็ตอนที่เขาคนนี้นี่ล่ะปล่อยให้เจ้าเทพหัวม่วงนั่นรอดมาได้จนพวกเราต้องมาลำบากตามล้างตามเช็ดกันอยู่นี่ไง” 

คราวนี้ปรากฎแววโรจน์โกรธขึ้นในแววตาที่เย็นชานั้นเขาตอบโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ครานั้นท่านสั่งให้ข้าซุ่มสังหารเทพสตรีที่จะลงมาแต่ที่ลงมากลับเป็นเทพบุรุษ ข้าไม่ทำก็ถูกแล้วเพราะนั่นถือว่าท่านไม่ได้สั่ง การที่ข้าอุตส่าห์ไปบอกเจ้าหัวหน้ายามคนของท่านก็บุญแค่ไหนแล้ว ไปโทษไอ้แก่หื่นที่เห็นแก่กามราคะนั่นเถอะที่ทำให้แผนท่านเสีย”

“ปากดีเหมือนเดิมนะไอ้เด็กเวร จะพุดอะไรก็พูดไปเถอะยังไงข้าก้ยังเป็นลูกค้าของเจ้าอยู่คราวนี้พาคนที่ข้าต้องการจะพบมาด้วยหรือไม่”

“พามา แต่เห็นสภาพของพวกท่านแล้วเริ่มไม่อยากให้เจอแล้ว”

“โฮ่ นี่เห็นว่าข้าต้อยต่ำขนาดไม่คู่ควรจะพบท่านพ่อมดคาราซัสผู้ยิ่งใหญ่สหายเจ้านักหรือไง”

“เปล่าหรอกเขาหวงข้าเฉยๆ”

เสียงใสๆดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดิมเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมที่ยาวลงไปถึงเท้าและมีกระเป๋าหนังใบใหญ่อยู่ในมือ ดวงตาสีฟ้าสดใสและผมสีทองสว่างบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคนมาจากทางเหนือ หน้าตาเริงร่าของเขาเหมือนเด็กที่กำลังจะได้เล่นของสนุก หากพิจราณาโดยคร่าวๆเหมือนเป็นเด็กอายุแค่12-13 ปีเท่านั้น 
ขุนนางรุ่นลุงทั้งสามมองเด็กน้อยอย่างงงวยก่อนจะสบตากันไปมา โยเฮนเห็นแบบนี้ก็ต่อว่าอย่างฉุนเฉียว

“ไหนเจ้าว่าจะพาท่านพ่อมดมายังไง ไหงพาเด็กมาแทน”  เจ้าของตาฟ้ายกยิ้มแล้วตอบกลับไป

“ลุงเอ๋ย แก่แล้วยังตาไม่ถึงอีกข้านี่แหละพ่อมดคาราซัสผู้โด่งดัง” 
โยเฮนมองเด็กน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วสถบออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“ปัญญาอ่อน! จะให้ข้าเชื่อรึว่าเด็กเพี้ยนแบบนี้เป็นพ่อมด!” 

ฟ้าววววว ฉึก 

เสียงมีดสั้นวิ่งผ่านอากาศตัดปลายเส้นผมของขุนนางปากเสียไปเล็กน้อยก่อนจะปักลงที่อีกฟากหนึ่งของกำแพงบรรยากาศทั้งมวลตกอยุ่ในความยะเยือกทันที ผู้ที่ขว้างมันออกไปเอ่ยด้วยเสียงเรียบแต่จริงจังดังขึ้นในความเงียบทั้งมวลนั้น

“หากเจ้าพูดจาสามหาวเช่นนั้นกับข้าและท่านพ่อมดอีกมันจะไม่แค่ตัดเส้นผมเท่านั้น”

เช่นนี้การเจรจาธุรกิจจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น หลายนาทีต่อมาขุนนางแก่ทั้งสามจึงนั่งล้อมวงกันอย่างเรียบร้อยพลางพลัดเปลี่ยนกันดูสินค้าที่เป็นขวดเล็กๆบรรจุน้ำสีใสอย่างสนอกสนใจพร้อมกับฟังพ่อมดตัวน้อยบรรยายสรรพคุณของสิ่งที่อยู่ในขวดไปด้วย

“ตัวยามีลักษณะเหนียวเหมือนน้ำเชื่อมและมีรสหวาน แต่ไร้สีไร้กลิ่นระยเวลาการออกฤทธิ์คือ1หยดต่อ1วัน ขวดนึงมี100หยดก้ออกฤทธิ์ได้100วันอย่างที่รู้ ถ้าซื้อตอนนี้มีโปรโมชั่นซื้อ2ขวดแถมน้ำยาฟ้าเหลืองขนาดทดลองให้อีกขวด หรือจะเลือกเป็นแพคเก็จก็ได้ถ้าอยากซื้อแค่ขวดเดียวจ่ายเพิ่มเป็นเหรียญทองอีก100เหรียญนักฆ่าเงาจะบริการฆ่าเมียเก่าให้โดยคิดครึ่งราคา แต่โปรโมชั่นนี้จะไม่สามารถใช้ได้ถ้าท่านขอให้ข้าทดสอบสิ้นค้าให้ดู”

คาฮูมตาแก่อ้วนมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาชื่นชมแบบกระหายหิว
“ขายเองทำเองเก่งจริงนะหนูเอ้ย!ท่าน...พ่อมด”

“แหงล่ะข้าไม่ได้น่ารักอย่างเดียวเสียหน่อย” 
พ่อมดน้อยเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจแล้วก็ยิ้มเล่นหูเล่นตาตามนิสัยแก่แดดแก่ลมของเขา

“ถ้าไม่ทดสอบสินค้าพวกข้าจะรุ้ได้อย่างไรว่าน้ำยาวิเศษของท่านเปลี่ยนพวกที่มีangel syrupให้เป็นคนธรรมดาได้”
 โยเฮนถามขึ้นขณะที่เขามองขวดแก้วใสในมือ ผู้ถูกถามจึงหันควับมาขยายความ

“ไม่ๆท่านเข้าใจผิดแล้วยาของข้ามีฤทธิ์เพียงแค่เปลี่ยนน้ำพิสุจน์สีใสให้กลายเป็นสีขาวขุ่นเหมือนมนุษย์ปรกติเท่านั้นไม่ได้เปลี่ยนให้คนที่กินกลายเป็นคนธรรมดาขึ้นมาได้ หากเทพความจำเสื่อมคนที่ท่านว่าดื่มยานี่เข้าไปน้ำกามของเขาก็แค่จะเปลี่ยนสีเป็นสีขาวแบบทั่วๆไปแค่นั้น มันไม่ได้มีผลต่อความจำหรือสถานะเทพของเขา”

“ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะได้ผล มันไม่ได้มีพวกเทพจำแลงหรือพวกมนุษย์ครึ่งเทพอยู่แถวนี้เสียหน่อย”
พ่อมดคาราซัสเงียบลงไปเล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้มเหมือนมีเลศนัยตรงข้ามกับนักฆ่าเงาที่ดูไม่สบอารมณ์ไม่อย่างมาก

“งั้นดูนี่ให้ดีๆ....นี่พวกท่านโชคดีมากเลยนะที่จะได้เห็นตามปรกติข้าไม่ยอมทำแบบนี้ให้ใครดูหรอกนะ...เว้นซะแต่เงินถึงจริงๆ”

พูดจบเจ้าหนูพ่อมดก็ถลกเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นแล้วเปลื้องผ้าส่วนล่างให้หลุดออกไปเผยให้เห็นทุกส่วนสัดที่ขาวชมพูของเด็กน้อยที่ย่างเข้าช่วงวัยรุ่นได้ถนัดถนี่ หากนี่ยังสร้างความแตกตื่นแก่ลุงๆในห้องไม่มากพอล่ะก็ไม่ต้องห่วงเพราะทันทีที่ผ้านุ่งหลุดลงไปมือน้อยๆก็กอบกำส่วนเนื้อสีชมพูของตัวเองแล้วคลึงเล่นอย่างชินมือพร้อมทั้งส่งเสียงหวานกระเส่าออกไปเหมือนยั่วเย้า

“อื้มมม.... ฮ่าห์..... อ๊ะ”

ขุนนางทั้งสามอึ้งมองส่วนนั้นด้วยอารมณ์ที่ยากจะบรรยาย เสียงครางดังอยู่ระยะหนึ่งพร้อมท่อนเนื้อน้อยๆที่เป่งแดงขึ้นมาทว่าขณะที่การแสดงกำลังดำเนินไปไม่นานนักนั้นเสียงประท้วงก็ดังขึ้น

“พอแล้วไอ้บ้า!”  นักฆ่าเงาตะคอกก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พ่อมดตัวน้อย ฝ่ายนั้นตวัดค้อนใส่แล้วพูดอย่างกระฟัดกระเฟียด

“จะมาห้ามทำไม คนเขาขายของอยู่”

“ก็มัวแต่เล่นไร้สาระอยู่นั่นแหละชอบโชว์นักหรือไง มานี่!”  เขาคว้าเอวเด็กน้อยไปแล้วจับมานั่งตักที่เบาะใกล้ๆ ก่อนจะใช้สองมือล่วงล้ำลงไปยังส่วนล่าง มือหนึ่งจับต้นขาให้ยกขึ้นอีกมือกำแก่นกายน้อยๆไว้แล้วรูดขึ้นลงอย่างรุนแรง จนผู้ถูกกระทำสะดุ้งตัว

 “รีบๆทำให้มันเสร็จๆไปซะ ไม่ใช่มัวแต่เล่น”

“อ๊ะ เดี๋ยว!”  ส่วนนั้นทวีความพองแดงขึ้นทันตาและเสียงกระทบเปียกก็ดังชัดเจนรับรู้ได้ถึงความคล่องแคล่วชำนาญของผู้ที่กำลังใช้มืออยู่ จนเมื่อผ่านไปไม่ถึงนาทีอาการของคนตัวเล็กก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เสียงร้องแหลมของเด็กที่ยังไม่ถึงวัยเสียงแตกดังหวานไปทั่วห้อง

“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า มะ มัน อ้า” เด็กน้อยจิกมือทั้งสองเข้ากับเสื้อของคนด้านหลัง เขาเหงื่อแตกกาฬไปทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณต้นขาขาวที่เห็นหยาดเหงื่อผุดไหลอยู่หลายจุด

เสียงครางสลับเสียงหอบดั่งวนเวียนไม่มีจังหวะเว้นด้วยถูกกระทำอย่างไม่ยั้งจนส่วนแดงๆนั้นโยกไหวตามแรงกระแทกของกำมือ

 “ไม่ อ๊า!!!” ร่างเล็กสะดุ้งเกร็งเมื่อนิ้วโป้งเลื่อนขึ้นมากดคลึงวนส่วนยอดที่เป็นศูนย์รวมประสาทอย่างถี่ๆก่อนจะกลับไปออกแรงเค้นดึงตั้งแต่ส่วนโคนขึ้นไปถึงปลายขึ้นลงเป็นจังหวะอีกครั้ง ทั้งสองอย่างถูกทำซ้ำอย่างหนักหน่วงรวดเร็ว

“ฮะ อ๊า อ๊า  อื้อ อ๊ะ อ๊าาาาา!” ร่างเล็กๆก็เริ่มบิดเกร็งมากขึ้นพร้อมกลับส่งเสียงร้องที่ทำให้ผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายในห้องรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแท่งหยุ่นสีแดงก็สุดจะทานทนไหวจึงฉีดน้ำสีใสออกมาให้เห็น บรรดาขุนนางแก่ที่มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกระหายก็พลันหลุดออกจากภวังค์เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้มีangel syrup

“พ่อมดคาราซัสเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ ไม่แปลกใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมเขาถึงเชี่ยวชาญศาสตร์เวทย์ตั้งแต่เด็ก”
 นักฆ่าเงาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและแววตาไร้อารมณ์เช่นเดิมเหมือนไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีเด็กนอนหอบไร้แรงอยู่บนตักตัวเอง เขาเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าหนังที่อยู่ใกล้ๆแล้วหยิบยาขวดใสมากรอกปากเด็กและเทส่วนหนึ่งลงที่ปลายนิ้วตน

“จะ จะทำอะไรน่ะ” พ่อมดตัวน้อยที่ยังหอบอยู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับหน้าแดงๆที่ชุ่มเหงื่อ

“รอบแรกเสร็จช้าไปหน่อย เลยจะทำให้ไวขึ้น”  ว่าแล้วนักฆ่าหนุ่มก็ใช้นิ้วที่โชกไปด้วยน้ำยาสอดลึกเข้าไปในร่างกายของเด็กน้อย ก่อนะจะละเลงเล่นอย่างชำนาญพร้อมมืออีกข้างที่จัดการกับแท่งเนื้อส่วนหน้า

“อ๊าาาาา!”  เสียงหวานดังขึ้นอีกคราคราวนี้หนักหนาไปกว่าเดิมทั้งท่าทางร่างกายที่บิดเร่าและเสียงครางออดอ้อนขยี้ใจ ความรู้สึกเสียวซ่านปวดหนึบริ้วแล่นไปทั้งร่างเมื่อนิ้วกร้านเบียดสีกับผิวในอ่อนนุ่ม คราแรกเขากระตุกน้อยๆเมื่อรู้สึกถึงนิ้วที่เริ่มสอดเข้ามาจดเมื่อมันเข้าลึกจนมิดจนแน่นอาการเกร็งก็เริ่มหายไปตอนที่นิ้วนั้นเริ่มขยับ อย่างช้าๆบดเบียดอย่างช่ำชองซ้ำแล้วซ้ำเล่าและค่อยๆถี่ขึ้น

สิ่งนี้ดำเนินไปซักพักจนผ่านไปไม่กี่ลมหายใจสายน้ำสีขาวขุ่นก็พ่นพุ่งออกมาอย่างมิอาจกลั้น

เหล่าขุนนางแก่ที่ลืมหายใจเป็นครั้งที่สองก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งกับผลลัพธ์ที่ได้มาอย่างว่องไว แลเจ้าของสายตาว่างเปล่าผู้ชอบรังแกเด็กเอ่ยขึ้นอย่างห้วนๆแบบไม่ใส่ใจ

“เห็นชัดแล้วใช่ไหมว่ายานี่ทำให้น้ำกามเปลี่ยนจากangle syrup เป็นน้ำสีขาวขุ่นแบบคนธรรมดาได้ ทีนี่จะซื้อหรือไม่ซื้อก็รีบตอบมาพวกข้าจะรีบไปแล้ว”


                 -----


        อีกนิดก็จะเช้าแม้นมองไม่เห็นแสงที่ปลายขอบฟ้าก็ยังรู้สึกได้ พ่อมดตัวน้อยยืนมองหอนางโลมที่ตนเพิ่งออกมาอยู่บนดาดฟ้าของอาคารอีกฟาก ฮูดเสื้อถูกดึงขึ้นมาสวมเพื่อปกปิดบางส่วนของใบหน้าให้เห็นได้ลำบากหากถูกมองขึ้นมา แต่สำหรับคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกลับเห็นสายตาหม่นของเขาได้เป็นอย่างดีด้วยในหัวเล็กๆนั้นยังคงวนเวียนไปด้วยคำถามที่โยเฮนเอ่นถามเขาก่อนจะจากมา

ข้าถามหน่อยได้ไหมว่าทำไมท่านถึงเกลียดเทพนักทั้งที่ท่านก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพแท้ๆ

ทำไมนะรึ?  ไม่จำเป็นต้องตอบหรอกแค่รู้ไว้ว่าพวกเทพน่ะ อยู่แค่บนสวรรค์นั่นแหละดีแล้วไม่ควรสลอดสอดเสือกลงมายุ่งกับมนุษย์หรอก
นั่นแหละที่ควรจะรู้ ส่วนเหตุผลที่เหลือเป็นเรื่องที่ขี้เกียจจะพูดและไม่ใช่กงการของใครทั้งนั้น

“พวกนั้นเหมาไปจนหมดก็ดีแล้วนี่ เจ้ายังมีอะไรที่ให้อารมณ์เสียอีกรึคาจิ?”  นักฆ่าเงาเอ่ยเรียกเด็กน้อยด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนมเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจ หากแต่คาจิตอบคำถามด้วยคำถามอีกข้ออย่างไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาเลย

“นี่ไซรัส ตอบข้าหน่อยว่าถ้าองค์ราห์โอรู้ว่าเทพองค์นั้นไม่มีangle syrupจะเป็นอย่างไร”

“หากไม่มีangle syrupก็ไม่ถือว่าเป็นเทพ เช่นนี้ก็จะถูกข้อหาหลอกลวงกษัตริย์มีโทษถึงตาย ซึ่งเจ้าก็ต้องการแบบนั้นมิใช่รึ”

“ใช่...นั่นดีแล้ว เขาจะต้องขอบคุณข้าแน่ถ้ารู้ว่าข้าช่วยเขากลับสวรรค์”

“..........”

“..........”

“ไม่กลัวโดนสวรรค์ลงโทษหรือไงคาจิ”

“เจ้าก็ไม่เห็นกลัว”

“นี่ไม่ใช่ศาสนาของข้า”

“เจ้ามีศาสนาด้วยหรอ”

“ไม่มีและไม่สน ไม่เคยมีเทพช่วยอะไรข้าอยู่แล้ว”

“ใช่ ถูกแล้ว พวกเทพน่ะมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก”

ความเงียบได้เข้ามาแทนบทสนทนาอีกคราก่อนบรรยากาศอึมครึมจะเปลี่ยนไปเมื่อคาจิเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ว่าแต่....วันนี้เจ้าน่ะทำให้ข้าหงุดหงิดยิ่งว่าพวกเทพบ้าบออะไรนั่นอีกนะ”

“โกรธข้าทำไม ไม่มีอะไรน่าโกรธ”

พอได้ยินดังนั้นเด็กน้อยก็หันควับมาค้อนก่อนจะเปลี่ยนท่าทีจากนิ่งๆเป็นเกรี้ยวกราดขึ้นมาบัดดล

“ก็เจ้าน่ะมันคนบ้า! คนโรคจิตทำไมต้องทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นด้วยเล่า”


“เรื่องอะไร?”
“ยังมีหน้าจะมาถาม ก็ที่เจ้ารีดน้ำข้านั่นไง โรคจิต!”

“อ่อถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ต้องถามกลับว่าใครกันแน่ที่โรคจิต เจ้าอยากจะทำช้าๆให้พวกนั้นมันดูนานๆหรือไง ข้าช่วยรีบๆทำให้มันเสร็จๆก็ดีแล้วไม่ใช่รึ หรืออันที่จริงอยากโชว์”

 เด็กน้อยเหวี่ยงแขนตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรงก่อนจะตะคอกเสียงดัง
“คนงี่เง่า ถ้ามันถลอกขึ้นมาจะทำยังไงข้ายังไม่ทันโตเลยนะ”

“รู้ตัวด้วยหรอว่ายังเด็กอยู่ ถ้างั้นเรื่องแรดก็ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ”

“ไอ้บ้า! ไซรัสไอ้คนบ้า!คอยดูเถอะถ้าข้าโตข้าจะจับเจ้าทำเมีย”

“หึ รอไปอีกสิบชาติเถอะพอเจ้าโตข้าก็ทิ้งเจ้าแล้ว”

“ไม่จริงหรอกเจ้าอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีข้า อีกอย่างเรายังไม่เคยมีอะไรกันจริงๆเลย ข้ารู้เจ้ารอข้าโตกว่านี้ใช่ไหมล่ะแล้วถึงจะทำแบบนั้นใช่ไหมล่ะ มันไม่มีทางหรอกนะที่เจ้าจะไม่คิดอะไรกับเด็กน่ารักอย่างข้า ใช่ไหมๆๆๆ” 
 เขาดึงชายเสื้ออีกคนอย่างคะยั้นคะยอจะเอาคำตอบ อีกฝ่ายจึงยกยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินหนี

“แรดแล้วยังพูดมากอีกนะ”

“ว่าไงนะ!”  ขาเล็กๆวิ่งตามไปติดๆก่อนจะโดนฝ่ายนั้นอุ้มแล้วโฉบหายไปกับฟ้ามืด

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

เรื่อย เรื่อย มาเรียง เรียง นกบินเฉียง อยากตาย.....

ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ ก็มาๆหายๆแบบนี้ล่ะค่ะ อภัยด้วย

อยากเขียนได้ถี่ๆจัง....

หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1(nc) 13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 13-09-2014 03:00:16
อ่านรวดเดียวเลย สนุกค่ะชอบๆๆๆ
อันที่จริงบท nc ลงที่เล้าเป็ดได้เลยนะคะ
ไม่ต้องเซ็นเซอร์ก็ได้ค่ะ ลงไปเลยจะดีกว่านะ^^
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1(nc) 13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-09-2014 04:04:31
มีเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่เรื่อยๆ เลย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1(nc) 13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 13-09-2014 09:20:20
มีปมซับซ้อนให้ติดตาม
มาอัพอีกนะ
บวกเป็ด
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1(nc) 13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 13-09-2014 10:09:34
เฮ้อดูยุ้งๆนะเรื่องนี้ ซับซ้อนเกิน
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1(nc) 13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 13-09-2014 10:12:22
สนุกมากจ้า o13
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1(nc) 13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: @Lucifer_Prince@ ที่ 14-09-2014 12:23:05
อิสองคู่หูนี่มันเป็นอะไรกันแน่นะ  ทำไมคาจิถึงเกลียดเทพ  แล้วเจ้าไซรัสอีก
ขอให้พวกขุนนางชั่วทำไม่ได้ตามแผนเถิ้ดดด
รีบมาต่ออีกนะคัฟฟฟฟ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.1(nc) 13/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 14-09-2014 17:32:19
น่ารักซะจริงๆ-.... - :hao7:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.2 25/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 25-09-2014 00:42:55
ตอนที่โรเรเนสตื่นขึ้นก็เลยไปช่วงสายแล้วแต่ก็ไม่มีใครมาปลุกจนกระทั่งลืมตาขึ้นมานั่นแหละถึงรู้ตัวว่าวันนี้ตื่นเลยเวลาปรกติ หากแต่ก็เข้าใจได้เพราะเมื่อคืนเขาเข้านอนดึกมาก อีกทั้งกว่าจะข่มตาหลับได้ก็กินเวลายืดออกไปอีก ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นค่อนข้างรบกวนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก เขาครุ่นคิดถึงมันจนผล็อยหลับและยังนึกถึงมันอยู่ในขณะนี้ที่เขานอนนิ่งทั้งลืมตาไม่แม้นแต่คิดจะลุกจากที่นอนในช่วงสายอันแสนสบายนี้ แพขนตากระพริบช้าๆสองสามครั้งพร้อมสายตาที่เหม่อลอยมองจ้องขึ้นไปที่เพดาน

จูบนั่น...

ใช่มันวนเวียนแม้นจะอยู่ในฝันจนตอนนี้ที่รู้สึกตัวเขาก็ยังคิดถึงมันอย่างไม่อาจปฎิเสธได้ เป็นทั้งสิ่งที่น่าอายและน่าประหลาดใจ  แต่ที่รบกวนเขาไปมากกว่านั้นคือเขาค้นพบว่ารสจูบแสนพิศดารที่มั่นใจว่าแม้ตอนอยู่บนสวรรค์ตนก็ยังมิเคยเจอนั้น

...มันดีมาก

พวงแก้มเริ่มแต้มสีเลือดระเรื่อขึ้นเมื่อระลึกได้ถึงข้อนี้ อันที่จริงเขาคิดว่ามันดี ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับเพราะรู้สึกละอายเกินไปก็ตาม

ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั้นยังหลอกหลอนอีกทั้งริมฝีปากที่ประทับดูดดึงนั้นก็ยังชัดเจนสว่างในความคิดแม้กระทั่งตอนนี้ เทพหนุ่มขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวม้วนหนีด้วยอายตัวเองกับความทรงจำวาบหวามนั้น

เรานี่มันแย่ที่สุด ไร้ยางอายเป็นที่สุด

ช่วงจังหวะที่กำลังพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้หมดไปเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนแปลง ตอนแรกเมื่อช่วงตื่นเขายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอพลิกตัวมาตะแคงข้างถึงได้รู้สึกว่ามีบางสิ่งเปียกๆอยู่ที่หว่างขา

หรือว่า!!!

โรเรเนสกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เขาดึงผ้าห่มออกและก้มดูใต้ร่มผ้าของตนก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ฟารันทำแก่เขาก่อนนอนส่งผลไปถึงตอนหลับฝันของเขาด้วย จึงเป็นเหตุให้แก่นกายของเขาขับน้ำออกมาในตอนค่ำคืน แน่นอนว่ามันใสราวกับน้ำเชื่อม

“นี่ข้าเป็นพวกมักมากในกามไปแล้วหรอเนี่ย”

ถูกเอ่ยขึ้นด้วยเสียงละห้อยและคอที่ตกเหมือนลูกหมา แต่ทว่าฉับพลันโรเรเนสก็เริ่มคิดว่าควรจะเอาไปให้ฟารันดูไหมเรื่องจะได้จบ
อาจจะไม่...

เพราะคนอย่างฟารันต้องอยากเห็นด้วยตาตัวเองแน่และเมื่อฟารันรู้เรื่องนี้ ตัวเขาเองก็คงจะไม่พ้นตกเป็นเหยื่อการกระทำอันอุกอาจน่าอายเช่นที่ผ่านมามิหนำซ้ำคงยิ่งกว่าที่เคยเจอ สิ่งที่คาดเดาได้ว่าจะเกิดคือเมื่อกษัตริย์หนุ่มเห็นว่าเขาเกิดอาการ ฝันเปียก ก็คงจะพูดทำนองว่า

“เจ้าไม่ได้แกล้งเอาน้ำเชื่อมมาหยอดเล่นใช่ไหม?” หรือไม่ก็

“ข้าขอพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตัวเองก่อนเถอะ”

และฟารันก็คงจะ...

ทำนั่น....

ทำนี่....

ซึ่งจะทำให้เขารู้สึก....

ชอบ? ..... เหมือนเมื่อคืน....

ไม่นะ!!!!!

เจ้าของตาหวานดึงผ้าห่มมาคลุมโปงตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงแล้วดิ้นกระฟัดกระเฟียดไปมาเหมือนเด็กโดนขัดใจ ด้วยหงุดหงิดตัวเองที่ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกที่ร่างกายนี้ได้รับได้

“ข้าเกลียดร่างนี้! ข้าเกลียดร่างนี้!”

ใช่ร่างกายมนุษย์นี้น่ารังเกียจด้วยมิอาจปิดบังความรู้สึกใดใดได้อีกทั้งยังทำให้จิตใจไขว้เขวไปในทางเสื่อม ต้องเป็นเพราะกายหยาบนี่ล่ะที่ทำให้เขากลายเป็นคน มักมากในกาม อย่างที่ตัวเองคิด...ช่างน่าละอายยิ่งนักโรเรเนสเอ๋ย

แต่กิริยาหงุดหงิดงอแงเหมือนเด็กๆก็ต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงเรียกพร้อมเคาะประตูดังมาให้ได้ยิน คงจะเป็นกลุ่มหญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่ประจำในการดูแลเขา แต่ไม่สำคัญว่าจะเป็นใครเพราะอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นพวกมักมากในกามได้ เทพหนุ่มผู้ไม่ประสีประสาต่อทุกอย่างในโลกมนุษย์จึงเทน้ำดื่มในเหยือกลงที่จุดเกิดเหตุให้คราบใสถูกชะหายไปจากผืนผ้า ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้พวกนางเข้ามา แน่นอนว่าพวกนางเข้าใจผิดในคราแรกว่าน้ำที่เลอะเทอะบนเตียงนั้นเป็นสิ่งอื่นแต่ก่อนที่จะคิดไปไกลกว่านั้นบุรุษผู้นั่งทำหน้าเหนียมอยู่บนเตียงก็พูดขึ้นก่อน

“อภัยในความซุ่มซ่ามของข้าด้วยพอดีจะดื่มน้ำแต่กลับทำหลุดมือ”

เมื่อเข้าใจถึงเหตุสีหน้าแปลกใจจึงคลายกลายเป็นเป็นห่วง ด้วยพวกนางรู้ว่าชายคนนี้เป็นผู้ป่วยซึ่งเป็นสหายขององค์ราห์โอที่เดินทางมาสปันเทียเพื่อมารักษาตัวกับท่านหมอหลวงจึงอาจมีบ้างที่ผู้ป่วยจะพลาดพลังมือไม้อ่อนหรือเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยตามประสาผู้อ่อนแอ นางข้ารับใช้จึงรีบเข้ามาประคับประคองเขาห่วงใยก่อนทุกคนจะเริ่มทำหน้าที่ปรกติโดยผลัดเปลี่ยนผ้าปูเตียงขณะที่เขารับประทานอาหารเช้าในส่วนห้องรับแขกด้านนอก ซึ่งคราวนี้เป็นที่น่าแปลกใจเพราะผู้ที่นำอาหารเสิร์ฟนั้นไม่ใช่ชาช่าหญิงรับใช้คนสนิทของตน จุดนี้เขาจึงต้องเอ่ยถามออกไปด้วยเพราะเพื่อความปลอดภัยของเขาท่านหมอหลวงไม่ยอมให้ใครนำอาหารมาเสิร์ฟให้เขานอกเหนือจากชาช่าเลย

“ชาช่าไปไหนเสียเล่า”  หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายหันมายิ้มให้ก่อนจะตอบ

“ชาช่าไม่สบายตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้หัวหน้าคนใช้จึงให้นางพักเจ้าค่ะ”

“งั้นรึ นางเป็นอะไรมากไหม”

“ท้องร่วงนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”

“แปลกจริงปรกตินางเป็นคนแข็งแรงมากแถมยังกินได้สารพัดอีก”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบว่านางไปกินอะไรแผลงมา แต่ว่าคงไม่มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”

โรเรเนสมองอาหารเช้าในสำหรับอย่างครุ่นกิน ก่อนจะเริ่มลงมือกินไปอย่างไม่ใส่ใจหญิงรับใช้หน้าใหม่ที่เป็นผู้เสิร์ฟอาหารยังเฝ้าอยู่อย่างใจจดใจจ่อ แม้นเขาจะชวนคุยและถามชื่อเพื่อให้นางคลายความเกร็งแต่นางผู้ไม่คุ้นหน้าก็ยังมีอาการตื่นๆอย่างอธิบายไม่ถูกอยู่ดี

จนกระทั่งเขาหยิบแก้วนมขึ้นมาดื่มแล้วก็เอะใจบางอย่างจนถึงกับผละหน้าออกมา
“นมนี่มัน!”

“อะ อะไรเจ้าคะ นะ นมมันทำไมเจ้าคะ” หญิงรับใช้ผู้เป็นคนเสิร์ฟออกอาการลุกลี้ลุกลนทันทีที่เห็นหน้าตื่นตระหนกของผู้เป็นนาย โรเรเนสมองดูแก้วนมอย่างตกใจก่อนจะพูดต่อ

“ทำไมมันหวานได้?ปรกติไม่ใช่รสนี้นี่”

นางผู้นั้นอึกอักตอบไม่ถูก หญิงรับใช้คนอื่นที่อยู่ด้วยก็เห็นผิดสังเกตเช่นกันจึงหันมามองนางเป็นตาเดียวทว่า...

“อร่อยดีนะ ข้าชอบ”

 แล้วเขาก็ซัดโฮกที่เดียวหมดแก้วโดยไม่สงสัยอะไรเลย บรรยากาศทั้งมวลเมื่อครู่จึงมลายไปกลายเป็นปรกติทุกอย่างและหลังจากที่เด็กหนุ่มอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าเรียบร้อยก็ถึงคราวท่านหมอหลวงเข้ามาตรวจอาการ ครั้นเมื่อสั่งให้หญิงรับใช้ทั้งหมดออกไปเพื่อทำการตรวจ โรเรเนสก็ตัดสินใจปรึกษาบางอย่างกับอีกฝ่าย

“ท่านหมอ...ข้ามีเรื่องจะถาม” ตาเศร้าพูดเสียงอ่อยอย่างอึดอัด หมอหลวงพยักหน้ารับอย่างสนใจแล้วรอรับฟัง

“คือว่า ท่านจำเรื่องที่ท่านบอกข้าได้ไหมว่าปรกติแล้วร่างกายของมนุษย์  อ่าม...ที่เป็นผู้ชายวัยเจริญพันธุ์ มัน ตอนเช้าตรงนั้นมันจะ จะตื่นตัวอย่างที่ท่านบอกว่า ว่ามันปรกติ”

“ใช่แล้ว มีอะไรรึท่านยังกังวลเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”

“มิใช่หรอกแต่ว่า...ข้าสงสัยถ้ามันมีอะไรมากกว่านั้นจะถือว่าผิดปรกติไหมท่าน”

ท่านหมอมองหน้าอีกฝ่ายอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเริ่มขำออกมาเบาๆ แต่นั่นยิ่งกลับทำให้เด็กหนุ่มร้อนใจไปยิ่งกว่าเดิม ตาหวานๆละห้อยน้อยเหมือนลูกหมาก่อนเขาจะเปลี่ยงเสียงกึ่งอู้อี้ออกมา

“ท่านหมอ....อย่าขำสิ ข้าจริงจังนะ”

“มันมีน้ำข้นๆใสๆออกมาใช่ไหม?”

“ช่าย....มันแย่มากไหม”

“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านมนุษย์เพศชายที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์นั้นเป็นกันได้ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นตอนต้นๆ ถึงแม้ร่างกายท่านจะไม่ใช่เด็กแรกรุ่นขนาดนั้นแต่ก็ถือเป็นร่างกายที่ใหม่กำลังปรับตัวสู่การเป็นมนุษย์ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา”

“ข้าไม่ได้เป็นพวกมักมากในกามใช่ไหม นี่ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”

“ฮ่าๆๆๆ ไม่จำเป็นต้องหนักใจไปไม่ถือว่าแปลกอะไร ต้องยินดีด้วยซ้ำว่าตอนนี้ท่านแข็งแรงดีและสุขภาพสมบูรณ์ดีแล้ว”

เด็กหนุ่มที่ยังแก้มแดงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังเช่นนั้น

“แต่ว่า มันไม่ใช่จู่ๆจะเป็นแบบนี้ขึ้นมาหรอก ถ้าเป็นเด็กอายุ11-13ก็เป็นไปได้ที่ร่างกายมันจะขับน้ำออกมาเองโดยเจ้าตัวไม่ได้รับการกระตุ้นจากสิ่งอื่น แต่ถ้าโตกว่านั้น....ก็ต้องดูว่าเมื่อคืนนี้ไปทำอะไรมาหรือว่าฝันถึงอะไรอยู่”

คราวนี้ตาหวานหลุบหนีเหมือนถูกจับได้ว่าทำผิดหมอหลวงเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดูแต่ก็ไม่สาวความต่อ ด้านโรเรเนสที่รู้สึกอึดอัดใจก็พยายามคิดเรื่องพูดเรื่องอื่นจนกระทั่งฉุกคิดได้ว่าท่านหมอพูดอะไรออกมาก่อนหน้านี้

“เอ..ว่าแต่เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้าแข็งแรงดีแล้ว”

“อ้าใช่ ท่านหายดีแล้ว”

“หะ? ยังไงนะท่านหายคือ?”

“จากการที่ข้าตรวจท่านและการที่ร่างกายท่านขับน้ำนั้นออกมาได้ตามธรรมชาตินั้นบอกได้ว่าท่านแข็งแรงสมบุณณ์ดีแล้วรวมทั้งหัวใจท่านด้วย พูดง่ายๆก็คือ...มันถงเวลาที่ท่านต้องให้องคืราหืโอพิสูจน์ความเป็นเทพของท่านแล้ว”

“ไม่นะ!”

“หืม...ทำไมกัน มิใช่ว่าท่านอยากให้มันจบๆไปหรืออย่างไรเสียท่านก็มีangel syrupอยู่แล้วนี่หลังจากนี้สถานะความเป็นเทพของท่านจะได้ไม่อยู่ในความสงสัยอีกต่อไป”

“ตะ...แต่..แต่ ข้ายังไม่พร้อมนะ”

“ร่างกายท่านพร้อมแล้ว”

“แต่หัวใจข้ายังไม่พร้อม”

“หัวใจท่านพร้อมแล้ว”

“ไม่ข้าหมายถึงสภาพจิตใจน่ะ”

“อ่อ”

“เช่นนั้น ข้าอยากจะขอเวลาซักหน่อยท่านอย่างเพิ่งบอกฟารันนะ”

“จะให้ข้ากล่าวเท็จกับราห์โอเห็นทีจะไม่ควร”

“โธ่ นะเรื่องนี้เมื่อข้าพร้อมข้าจะเป็นคนบอกเขาเองไม่นานหรอกนะ”

“โอ้ นี่ข้าถูกเทพขอร้องให้โกหกหรือเนี่ยหึๆ”

“อภัยข้าเถอะท่านหมอ ท่านก็ถ้าฟารันรู้เขาต้องไม่หยุดแค่พิสูจน์สถานะเทพของข้าแน่ๆ”

“หืม นี่ท่านกำลังจะบอกว่าองค์ราห์โอจะ...”

“ใช่ๆ ฟารันเขาจะ จะต้อง...”

โฮ่ง!
เสียงลั่นกังวานของหมาน้อยกีก้าดังเข้ามาจากหน้าประตู มันวิ่งแผล็วเขามาในห้องก่อนจะกระโจนเข้าใส่เทพหนุ่มอย่างร่างเริง

“กีก้า?” โรเรเนสก้มลงขยี้หัวสุนัขอย่างเอ็นดู พวงหางสีขาวเทากระดิกดีใจพร้อมกับอาการตะกายอย่างตื่นเต้นของเจ้าหมา

“หืม แปลกจริงปรกติบริเวณนี้มันเข้าไม่ได้นี่นาเว้นเสียแต่ว่า”
ข้อสังเกตของท่านหมอยังไม่ถูกเอ่ยออกมาแต่ก็ไม่ผิดจากที่เขาคาดเมื่อเจ้าของสุนัขเดินย่างเข้ามาในห้องพร้อมคนสนิท

 “ข้าพามันมาเองล่ะท่านหมอ หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะ” 

“ถวายบังคมฝ่าบาท”
 หมอหลวงโค้งคำนับกษัตริย์หนุ่มอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเริ่มพูดคุยโดยทั้งสองเหมือนจะไม่ได้สังเกตอาการของเด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นๆเล็กน้อยพร้อมกลับก้มหน้าก้มตาซ่อนแก้มแดงระเรื่อของตนไว้

“วันนี้ทรงดูสดชื่นเป็นพิเศษ”

“งั้นรึ ข้าไม่ยักสังเกตตัวเอง” 

“ข้าจะทูลถามได้หรือไม่ว่ามีเรื่องพิเศษอันใด”

ฟารันเหยียดยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรแต่สายตากลับเปลี่ยนไปมองที่เทพหัวม่วงที่อยู่ข้างกันแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ลากลอซก็เอ่ยตอบขึ้นมาแบบหยอกๆ

“โฮ่!ท่านหมออย่างต้องถามให้เหนื่อยหรอกก็เรื่องที่ท่านเดาได้นั่นแหละ” 
หมอหลวงมองหน้าเลขาสนิทด้วยนึกคิดก่อนอีกฝ่ายจะพยักหน้าให้อย่างรู้กันเขาจึงหันไปมองคนไข้ตนที่ยืนเจี๋ยมอยู่ข้างๆ แล้ววกไปมององค์ราห์โอก็จึงได้ถึงบางอ้อ

โรเรเนสเห็นว่าทุกคนเงียบไปแลรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้อง จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนอย่างช้าๆ จนเมื่อได้สบตาคมที่ฉายแววอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเช่นนั้นเลือดลมเขาก็กลับฉีดพล่านขึ้นมาอีก ร่างสูงยิ้มเอ็นดูในหน้าหวานก่อนจะเอ่ยทัก
“สวัสดี”

“สวัสดี”
ตาเชื่อมเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วอย่างประหม่า ก็แน่ล่ะเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าหลังจากปฏิกิริยาของเขาเมื่อคืนที่มีต่อการจูบจะทำให้ฟารันทำอะไรเขาบ้างในวันนี้
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างล่ะวันนี้”

“ก็สบายดี”

ฟารันหลิ่วตามองอีกฝ่ายอย่างมีเลสนัยก่อนจะหันไปคุยกับท่านหมอแทน

“ท่านหมอคนไข้ของท่านหายดีรึยังล่ะ”

คราวนี้โรเรเนสถึงกลับขนลุกเกรียว เขาหันไปมองท่านหมอด้วยสายตาอ้อนวอน...อย่าบอกเขานะ
“อ่ามก็....”

“อย่างไรเล่าท่าน”

“แข็งแรงดีกระหม่อม”

          ไม่นะ

 “แต่ว่าหลังจากนี้ ข้าคิดว่ายังต้องดูอาการอีกซักพักข้ายังมิอาจฟันธงอะไรได้จริงจัง”

               เฮ้อ...

“โอ้งั้นรึ ก็ถือว่าดีถ้าข้าพาไปเดินเล่นก็พอจะได้ใช่ไหม”

“ได้สิฝ่าบาทเขาใช้ชีวิตปรกติได้เหมือนคนอื่นแล้วไม่ต้องประคบประหงมมาก เว้นแต่เรื่องนั้นที่ยังต้องขอเวลาอีกซักหน่อย”

“ดีถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอยืมตัวคนไข้ท่านไปเสียหน่อยเรามีเรื่องต้องคุยกันน่ะ”

“หา?”  หน้าหวานร้องเสียงหลงอย่างลืมตัวแต่คนอื่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาเลย

“ได้เลยฝ่าบาทเชิญตามสบาย”

แล้วกษัตริย์หนุ่มก็คว้าแขนเทพน้อยแล้วเดินออกไปทันทีโดยมีหมาเตี้ยวิ่งไล่ตามไปเป็นกำลังใจ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

เดี๋ยวมาต่อคับ ขอบคุณที่อุตส่าห์อ่านนะฮะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.2 25/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 25-09-2014 10:49:14
เวลาใกล้ตายของโรเรเนสใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสิ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.2 25/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: pare_140 ที่ 25-09-2014 17:37:39
 o13
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.2 25/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 25-09-2014 18:30:14
ลุ้น โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.2 25/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 30-09-2014 08:32:05
อ๊ากกกเพิ่งมีเวลาว่างอ่าน สนุกมากเลยแหละ
ไอ้พวกขุนนางพวกนี้นี่นะ ฮึ่ยยย เมื่อไหร่จะถูกจับได้ซักทีเนี่ย
เดี๋ยวถ้าโรเรเนสกินไอ้ยานั่นเรื่อยๆประจวบเหมาะกับการพิสูจน์ของฟารันพอดี
ดีไม่ดีดราม่าจะบังเกิด กรี๊ดดดดด(อินี่มันบ้า) อยากอ่านต่อๆ>
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.2 25/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 30-09-2014 12:27:17
มาต่อไวไวนะ :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่6.2 25/9/2557
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 30-09-2014 16:59:38
โฮ่ๆ   สนุกมากเฝย :hao6:
หัวข้อ: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7 งวดประจำวันที่ 9/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 09-02-2015 23:31:18
ท่านหมอหลวงและเลขาคนสนิทมองตามอย่างมีนัยยะแต่ต่างกันตรงที่คนแรกอย่างฉงนกลับอีกคนยิ้มกริ่มอย่างสนุก

“ก่อนหน้าเห็นท่านโรเรเนสเอ่ยว่าองค์ราห์โอมิใคร่จะชอบตนนักแถมที่ข้าเห็นก็เห็นว่าทั้งสองไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่น้อย เหตุไฉนวันนี้ถึงดูสนิทสนมกันได้”

“น่าจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนล่ะท่านหมอ”

“ท่านไปรู้อะไรมารึ”

“ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เมื่อวานตอนบ่ายองค์ราห์โอเห็นข้าอยู่กับท่านโรเรเนสสองต่อสองก็เกิดริษยาฉุนเฉียวอย่างหนักจนต้องเรียกข้าไปคุย แต่ข้าเองก็ทูลไปว่าเป็นความเข้าใจผิดอีกทั้งท่านโรเรเนสยังกำลังอยู่ในอารมณ์น้อยใจราห์โอด้วยซ้ำที่ไม่ใส่ใจตน  พอได้ยินแบบนั้นก็ทรงแปลกใจเป็นอย่างมากและอยากจะปรับความเข้าใจกับท่านโรเรเนสเป็นที่สุดแต่ตอนนั้นยังทรงเกรงว่าฝ่ายนั้นเขาจะกลัวข้าก็เลยทูลไปว่าให้ลองไปรออยู่ที่สวนส่วนพระองค์ดูเพื่อจะดวงดี”

             ท่านหมอนิ่งมองเลขาหนุ่มอย่างนึกคิดไม่กี่อึดใจก่อนจะเอ่ยถามต่อ

“เท่ากับว่าไม่ได้มีแต่ข้าใช่ไหมที่คิดว่าทั้งสองฝ่ายสนใจกัน”

“ชัดเจนเสียเพียงนั้นท่านยิ่งองค์ราห์โอนี่ท่านก็เห็นมาแต่ทรงพระเยาว์คงเดาได้ว่าพระองค์คิดอะไร”

“ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองจะได้ไปเจอกันที่สวนนั่น”

“ข้าก็แค่เดา ด้วยเมื่อคืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวงหากเท่าทราบ”

“ใช่ กุหลาบจันทราเบ่งบานเมื่อคืนวานอย่างที่ทราบ”

“และข้าก็บอกท่านโรเรเนสไปเช่นนั้น ฝ่ายนั้นดูกระหายใคร่อยากจะเห็นรบเร้าให้ข้าพาไปแต่ข้าก็ปฏิเสธ ข้าจึงคาดเดาไปว่าเขาอาจจะพอมีความซุกซนอยู่มากพอที่จะแอบไปดูดอกกุหลาบคนเดียวในยามค่ำ เช่นนั้นข้าจึงบอกให้ฝ่าบาทไปดักรอไว้และไม่ต้องลงกลอนประตูสวนก็เท่านั้นเอง”

              ครานี้หมอหลวงหลิ่วตามมองเด็กหนุ่มอย่างพินิจก่อนจะเบี่ยงสายตาไปจับจ้องสิ่งอื่น

“เจ้าเล่ห์อย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแต่เด็กจนโตเลยนะเจ้าเนี่ย”

“แน่น๊อน ข้าถึงเป็นพระสหายได้อย่างไรเล่า”

“หากแต่มันจะราบรื่นสมใจก็คงเป็นมิได้หรอก”

“ทำไมรึมันจะมีปัญหาอันใด...หรือท่านโรเรเนสมิใช่เทพแล้วล่ะท่านก็ไหนท่านบอกแต่แรกว่า...”

“แน่นอนว่าเขาเป็นเทพ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือไม่ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็ไม่มีทางราบรื่นไปได้แน่ ทั้งด้วยอุปนิสัยของทั้งคู่เอง สถานะทางสังคมแล้วไหนจะ....พวกผู้ประสงค์ร้าย”

“นี่อย่าบอกนะว่าท่านก็เชื่อเรื่องที่ท่าน..โยเฮน” ปลายเสียงของเลขาหนุ่มแผ่วลงจนเป็นกระซิบ

“เป็นแค่ลางสังหรณ์...เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้ข้าไม่รู้หรอก แต่คนเขาก็พูดกันเยอะอย่างที่ท่านน่าจะเคยได้ยินว่าขุนนางผู้นี้ไม่ซื่อซักเท่าใด”

“ทั้งข้าและฝ่าบาทก็เคยได้ยินมามากเกี่ยวกับท่านโยเฮนหากแต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆมาพิสูจน์ความทุจริตของเขาอีกทั้งก็เป็นอย่างที่ทราบว่าเหล่าขุนนางมักใส่ร้ายกันเพื่ออำนาจหน้าที่อยู่แล้วฝ่าบาทจึงไม่ทรงสามารถตัดสินใจทำอะไรกับเขาได้ ไม่แน่เขาอาจเป็นคนดีก็ได้นะท่านเพราะก็เห็นว่าท่านโยเฮนขยันขันแข็งถวายงานตั้งแต่ราห์โอองค์ก่อน ความดีความชอบก็มีมากท่านก็เห็นอยู่”

“ใช่ ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะตั้งข้อสงสัยในความจงรักษ์ภักดีของชายผู้นั้นเพียงแต่เรื่องอันเชิญเทพในครานี้ เขาออกจะดู....เดือนร้อนมากจนเกินปรกติ”

“อืม....ว่ากันตามตรงข้าก็แปลกใจที่ท่านโยเฮนดูจะไม่ชอบให้มีเทพอยู่ในวังเป็นเอามาก แต่ข้าว่าด้วยปรกติเขาออกตัวชัดเจนว่าไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้อยู่แล้วผสมกับที่เป็นคนจริงจังขี้หวาดระแวงท่านโยเฮนก็คงเกรงว่าพวกนักบวชจะมาหลอกลวงฝ่าบาทกระมัง ท่านก็พอทราบอยู่นี่ว่าพักหลังมีประชาชนร้องเรียนเรื่องนักบวชเอาศาสนามาหากินบ่อยๆช่วงนี้ศาสนจักรชื่อเสียมากอยู่”

                บทสนทนาเงียบลงไปพร้อมกับความนึกคิดที่เริ่มผุดขึ้นในใจเลขาหนุ่ม....แต่เขามิใช่คนผลีผลาม ยังก่อน มิอาจทำอะไรได้หากไม่มีหลักฐาน ยังก่อน...

--------

                เสียงฝีเท้าสาวเร็วไปตามทางเดิมเด็กหนุ่มผมม่วงแก้มระเรื่อด้วยไม่ทราบว่าเหนื่อยจากการเดิมเร็วๆหรือเพราะสิ่งใด

“ท่านจะพาข้าไปที่ไหนน่ะ” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับหยุดเดินก่อนจะมองไปรอบๆทางเดินที่ทั้งสองยืนอยู่แล้วหันไปคุยกับเจ้ากีก้าก่อนจะคุยกับคนด้วยซ้ำ

“เรี่ยดิน(ชื่อเล่นที่ฟารันเรียกกีก้า) ไปเล่นที่อื่นไป”

เจ้าหมาน้อยเอียงคอสงสัยพร้อมสงเสียงสูงๆในลำคอ

“ไปขอขนมกินในครัวไป ไปซี่ ไปเร็ว!”

            กีก้างุนงงเล็กน้อยแต่ก็เข้าใจได้ว่าเจ้านายไม่อยากให้ตนตามไปประกอบกับพอนึกถึงเรื่องขนมก็เลยยอมวิ่งกลับไปทางเก่า  เด็กหนุ่มมองตามหมาน้อยอย่างสิ้นหวังรู้สึกเหมือนไม่ปลอดภัยทันทีที่มันวิ่งหายไป แลเมื่อหันกลับมาก็พบกับแววตาเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจของคนที่ลากเขามา

“คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าตอนที่ไอ้หมาเตี้ยมันไม่อยู่งั้นรึ”

“เปล่าเสียหน่อย ข้าไม่ใช่คนคิดอะไรพรรค์นั้นอยู่แล้ว”

“หืม...นี่ว่ากระทบข้างั้นรึ” เจ้าของตาคมช้อนคางอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วจ้องแบบดุๆ แต่เด็กหนุ่มก็ยังดื้อสู้ตาทั้งที่เห็นได้ชัดว่าตนเองค่อนไปทางประหม่า

“หึ ดูท่าจะกล้าขึ้นนะหลังจากโดนจูบท่าจะอยากโดนอีกล่ะสิท่า”  ครานี้ตาหวานเม้มปากแน่นแต่ก็ยังมิยอมหลบตา จนอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหมายจะจูบ

จึงชักหน้าหนีแถมหลับตาปี๋เหมือนเด็กๆ ทว่าฝ่ายนั้นก็เพียงแค่จุมพิตลงบนหน้าผากมนก่อนจะหัวเราะอย่างชอบใจ

“ไม่ได้จะกัดเสียหน่อยกลัวอะไร” ฟารันเอ่ยด้วยหน้าเปื้อนยิ้มแอบรู้สึกหมั่นเขี้ยวคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ยค้อนมองตนเป็นอย่างมาก

 “ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดูน่ะ”

              เขาเอ่ยด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยนก็จะจูงมืออีกฝ่ายให้เดินไป แม้นจะไม่คุ้นชินแต่เด็กหนุ่มก็จำได้ว่าเป็นทางไปสวนที่ตนแอบมาเมื่อคืน ราห์โอจะให้เขาดูอะไรในสวนกันนะ?

แลเมื่อเดินไปถึงหน้าประตูลับที่ปิดอยู่กษัตริย์หนุ่มก็ดุนหลังเด็กหนุ่มเบาๆให้เดินไปข้างหน้า

“ลองเข้าไปดูให้ทั่วๆสิ ลองสังเกตดูว่ามีอะไรแปลกไปไหม”

          ฟารันเอ่ยเสียงเรียบเหมือนจะไม่มีอะไรแต่แววตาของเขาแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด เช่นนี้โรเรเนสก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย  จึงเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างใคร่รู้

สวนกระจกยามกลางวันนั้นก็งามต่างไปอีกแบบจากตอนกลางคืน บรรยากาศเย็นชื้นแตกต่างกับด้านนอกเป็นอย่างมากซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจด้วยเพราะแม้นจะเห็นอยู่ชัดๆว่าแสงแดดแรงกล้าของยามสายสาดส่องสว่างไสวไปทั่วแต่ก็ไม่มีวี่แววของความร้อนแผ่ลงมาแม้แต่น้อย คงด้วยการออกแบบโดมและน้ำตกกระจกด้านบนเป็นแน่ที่ความคุมอุณหภูมิสวนแห่งนี้เอาไว้
เทพหนุ่มเห็นเหล่าพรรณไม้เขียวขจีมากมายได้เต็มตายิ่งกว่าเคยเมื่อทุกอย่างถูกฉายชัดด้วยแสงตะวัน เสียงน้ำไหล ไอเย็นและกลิ่นสดชื่น มีให้ดื่มด่ำไปเรี่ยทางเหมือนไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน จนกระทั่งเดินไปถึง จุดเดิมที่ท้ายสวน ณ พุ่มไม้หนามที่เขาได้แอบลักลอบมาเชยชมเมื่อคืน ความตื่นเต้นประหลาดใจก็ทวีขึ้นมาอย่างประหลาด ตาหวานเบิกกว้างอย่างนึกทึ่งก่อนจะรี่วิ่งเข้าไปหาไม้พุ่มนั้น

“นี่! นี่!มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!” เด็กหนุ่มละล่ำละลักพูดขณะจ้องเป๋งไปที่พุ่มไม้ตรงหน้า องค์ราห์โอที่เดินตามมาไม่ห่างยกยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นความร่าเริงของอีฝ่าย

“น่าแปลกไหมเล่า ดอกไม้ที่น่าจะบานเพียงคืนเดียวกลับยังอยู่ได้ข้ามวันมาได้ป่านนี้ ข้าพนันเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกบนโลกที่กุหลาบจันทราเบ่งบานได้ใต้แสงตะวัน”

            ก็เป็นเช่นนั้นเสียจริงๆ ด้วยดอกกุหลาบที่น่าจะร่วงหล่นไปเมื่อพระจันทร์ลับขอบฟ้ากลับยังชูช่อยู่เหมือนปรกติ เพียงแต่เหลือดอกเดียวเท่านั้นและเป็นดอกที่เทพหนุ่มประทับจุมพิตไปเมื่อคืน

โรเรเนสมองอย่าประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกริ่มอย่างมีชัยแล้วชายตาไปมองอีกคนที่ข้างกันด้วยตาหวานแบบหยอกเย้า

“ไงล่ะ นี่เพราะข้าเป็นเทพอย่างไรเล่าถึงได้เกิดปาฏิหารเช่นนี้ได้” เขาเอ่ยด้วยเสียงใสที่ปนความยโสเหมือนเด็กๆอยู่ในนั้น  ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะกระชากมาหอม ณ เดี๋ยวนั้น แต่ก็เพียงส่งเสียงหัวเราะต่ำๆในลำคอแล้วเหยียดยิ้มให้

“งั้นรึ ถ้าเช่นนั้นองค์เทพความทรงจำของท่านคงกลับมาแล้วสิ?”  ฟารันเรียกด้วยสรรพนามใหม่เพื่อเย้าเล่น

“มันเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

“เอ้า ก็เจ้ามีพลังทำให้ไม้ดอกบานเช่นนี่ก็แปลว่าความเป็นเทพลงประทับร่างแล้วสินะเช่นนี้ก็ต้องจำอะไรๆได้ทั้งหมดแล้วสิ”

เทพหนุ่มหน้ามุ่ยแล้วหลบตา เขาคิดทบทวนอยู่เล็กน้อย
“ก็พอจะจำได้อยู่หรอก”

“เช่นอะไร”

“ก็เรื่องบนสวรรค์”

“เรื่องนั้นไม่เอา มนุษย์บนโลกที่ได้อ่านคำภีร์ก็รู้เช่นกัน”

“เรื่องประวัติสปันเทียข้าก็จำได้รางๆ”

“เรื่องนั้นก็ไม่เอา ประวัติสปันเทียใครๆเขาก็รู้”

“เอ้า ถ้างั้นจะให้ข้าพูดถึงเรื่องอะไรท่านถึงจะเชื่อว่าข้าเป็นเทพเล่า”

“ก็....คำขอของข้าไง”

“ท่านขอให้ผลผลิตดีตลอดปีและประชาชนร่มเย็นเป็นสุข”

“เรื่องนั้นมันเดาได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

เด็กหนุ่มส่งเสียงครางในลำคอเหมือนเหมือนขัดใจแล้วค้อนน้อยๆส่งไป

“อะไรกันอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ตอบคำถามข้ามาได้ข้อเดียวข้าจะพอใจทันทีเลยล่ะ”

“?”

“ข้าขออะไรเจ้าในวันนั้น วันที่ข้าอยู่ในตรอกตอนข้าอายุ8ขวบ”

“วันนั้น??...ในตรอก”

             เด็กหนุ่มมองตอบไปด้วยดวงตาใสแป๋วอย่างไร้เดียงสา เขาไม่เข้าใจซักนิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ฟารันเห็นความว่างเปล่าในท่าทีของอีกฝ่ายจึงหลุ่บตาลงต่ำเหมือนจะข่มอารมณ์บางอย่างอยู่ในที 

แล้วเงียบ

จู่ๆอารมณ์คึกครื้นกึ่งหยอกล้อต่อล้อต่อเถียงนั้นก็ขาดหายไปเหมือนถูกมีดตัด มันหายไปเหมือนตกห้วงและที่เหลืออยู่กลับกลายเป็นบรรยากาศหนักอึ้งน่าประหลาดที่ยากต่อการเข้าใจ ไร้ที่มา เจือปนด้วยความเศร้าที่แผ่กระจายอย่างจางๆ
ฟารันนึกคิดบางอย่างโดยที่อีกฝ่ายไม่กล้าจะถามถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเช่นนี้อยู่ซักพัก ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเลื่อนลอยเหมือนไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่พูด

“ข้ายอมให้เจ้าลืมทุกอย่างในจักรวาลนี้เพื่อแลกกับการจำเรื่องนี้ได้เรื่องเดียวเลยรู้ไหม”
“มัน...มันสำคัญกับท่านมากสินะ”

“อืม...อาจฟังดูกตัญญูนะแต่ข้าพูดได้เลยว่ามันยิ่งกว่าตอนพ่อแม่ข้าตายอีก”

สวรรค์เรื่องสำคัญแบบนี้ข้าจำไม่ได้ได้อย่างไรกัน

          โรเรเนสเริ่มรู้สึกผิดที่ตนเองจำเรื่องนี้ไม่ได้จึงเดินเข้าไปใกล้ เหลือบมองใบหน้านิ่งที่ฉาบบางด้วยความเศร้านั้นด้วย      ตาหวานอ้อน

“นี่ ข้าสัญญานะว่าข้าจะดูแลต้นไม้ท่านให้ดีๆเลย แล้วพอความทรงจำข้ากลับมาข้าจะตอบคำถามทุกคำถามที่ท่านอยากรู้....แต่ให้เวลาข้าก่อนนะ”


            กษัตริย์หนุ่มนิ่งอึ้งมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แปลกใจกับท่าทีอ่อนหวานอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความจริงใจใสซื่อโดยไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน มันช่าง.....วูบหนึ่งที่จ้องมองแววตาที่จริงใจนั้น มันช่าง.....มีความสุข

ทว่าอารมณ์หวานหอมอบอุ่นก็โดนช่วงชิงไปโดยรอยยิ้มประหลาดของกษัตริย์หนุ่ม เช่นเดียวกับความคึกครื้นโดนความหนักอึ้งช่วงชิงพื้นที่แห่งห้วงเวลาไปเมื่อครู่ ด้วยเหตุผลบางอย่างฟารันยังมิยอมให้อารมณ์ลึกซึ้งของเขาปรากฎขึ้นต่อหน้าอีกฝ่ายในขณะนี้จึงจงใจเปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนท่าทีเป็นดั่งหนุ่มกระหายหื่นให้ร่งเล็กขวัญเสียขึ้นมาเสียอย่างนั้น

 “หึหึ...เช่นนั้นเราคงต้องใช้วิธีเดิมแล้วกระมัง”  หน้าหล่อกระลิ้มกระเหลี่ย สื่อให้รู้ชัดว่าหมายถึงอะไร ตาหวานจึงหน้าบึ้งขึ้นมาอีกแล้วถอยหนีทันที

“ก็หรือไม่จริงเล่า ข้าก็เคยบอกไปแล้วว่าเรื่องสถานะของเจ้ามันปล่อยให้ค้างคาเนิ่นนานไม่ได้”

“.......”

“เงียบทำไมเล่า เช่นนี้ถือว่ายินยอม”

“เมื่อคืนเราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะ”

“คิดว่าข้าจะผิดสัญญาหรือ ไม่หรอกไม่เชื่อข้าหรือไง?”

“.........”

หน้ามุ่ยหนีไม่ตอบกลับมา ฟารันเห็นแล้วนึกหมั่นเขี้ยวจึงดึงตัวเข้ามากอด
“อะ อะ อย่านะ”

“พอข้าใจดีด้วยหน่อยก็ต่อปากต่อคำเชียวนะ ต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้ว” 

           กระนั้นแล้วริมฝีปากหนาจึงลงประทับบดเบียดอีกฝ่ายก่อนจะล่วงล้ำดูดดื่มอย่างหวานละมุน เสียงครางเบาดังขึ้นแต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำนี้ได้  เกี่ยวกระหวัดตักตวงรสหวานอย่างตั้งใจครู่หนึ่งแล้วผละออก ปล่อยให้เด็กหนุ่มแก้มแดงซ่านที่เรี่ยวแรงถดถอยลงไปทุกขณะหอบกระเส่าน้อยๆอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะบรรจงลงจูบอีกครั้งอย่างเนิบนาบกระตุ้นช้าด้วยปลายลิ้นที่สอดรัด ย้ำจังหวะดูดดื่มซ้ำเป็นระยะช้าๆแล้วถอดออกเมื่อถึงจุดพึงใจ

หากคราวนี้ราห์โอหนุ่มยังมิอาจปล่อยอีกฝ่ายไปได้ง่ายเช่นคราวก่อนแต่กลับจูบลงที่ซอกคอแล้วซุกไซ้ขบเล่นอย่างช่ำชอง
“อ๊ะ อ๊ะ อื้มม ราห์โอ หยุดเถอะ อื้ออ”

แม้นจะเป็นการประท้วงแต่ก็เป็นการเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้มหวานกระเส่าทำให้องค์ราห์โอไม่คิดจะสนใจคำทักท้วงนั้น ตรงข้ามกลับเพิ่มการสัมผัสระหว่างกันจากแค่การซุกไซ้บริเวณคอเพื่อเป็นมือซุกซนที่เริ่มเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ จนลงไปถึงจุดที่...

“ยะ หยุดน้าาาา อ๊า!!!”
 เด็กหนุ่มตกใจตื่นจากภวังค์อันเคลิบเคลิ้มแล้วเริ่มดิ้นอย่างแรง ราห์โอที่ไม่ทันตั้งตัวก็จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไม่อย่างช่วยไม่ได้

“ไหนท่านสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำถ้าข้าไม่ยอม คนนิสัยไม่ดีๆ ข้า ข้า .....”  ตาหวานที่อยู่อารามตกใจระคนโกรธนิ่งคิดกับตัวเองว่าจะด่าอะไรดี

“ถ้าท่านยังขืนทำแบบนั้นอีกนะข้าจะโกรธท่านแล้วไม่พูดกับท่านอีก แล้วข้าจะแช่งด้วยสาบาญต่อสวรรค์ตรงนี้เลยขอให้ไม่มีลูกไม่มี...”

“อ่าพอๆ ข้ายอมแล้วอภัยข้าเถิด” องค์ราห์โอขัดขึ้นแม้นยังไม่จบประโยค  ก่อนจะยิ้มแกมขันให้แทน

“ยิ้มอะไรข้าจริงจังนะ นี่ข้าโกรธท่านะรู้ไหม”

 ทว่าแก้มแดงๆตากลมๆพร้อมกับปากที่มุ่ยลงกลับยิ่งทำให้ดูน่ารักเสียมากกว่า

“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญาหรอกแต่ว่า....ก็คิดว่าเจ้าจะพึงใจ”

โรเรเนสจ้องตาอีกฝ่ายอึดใจหนึ่งก่อนจะหลุบหนีด้วยตระหนักว่าแท้จริงแล้วเขาก็...พึงใจอยู่กับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ หากแต่เขายังมิอาจยอมรับความรู้สึกตนเองได้อีกทั้งยังมิคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้ทั้งขณะที่เป็นเทพและขณะที่เป็นคน จึงยังมิกล้าจะยอมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ที่ต้องมีการปลุกเร้าและมีการปลดปล่อย ความรู้สึกเขินอายทำให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่ควรให้เกิด จึงปฏิเสธอย่างแข็งขันถึงเพียงนี้

 แม้นตนเองจะตระหนักได้ด้วยปัญญาของเทพที่รู้ทันปราถนาของร่างกายมนุษย์และรู้ดีว่าแท้จริงแล้วตนเองต้องการสิ่งใดแต่ด้วยยังมิอาจยอมรับเขาจึงเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างไม่เต็มเสียง

“เราข้ามเรื่องนี้ไปเถอะนะ”

“เช่นนั้นก็ได้ แล้วนั่งคุยกันเฉยๆได้ไหม”

เทพหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ องค์ราห์โอจึงทรุดนั่งอย่างสบายๆลงบนพื้นหญ้าแล้วชักชวนให้ทำตาม บทสนทนาถูกเปิดขึ้นจากผู้เชื้อเชิญ ว่าด้วยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าผิวเผินนั้นเหมือนเป็นแค่การสนทนาในเรื่องที่ชายหนุ่มสองคนสนใจหากแต่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าในบทสนทนาสบายๆที่มีขึ้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคลายตื่นกลัวนั้นเต็มไปด้วยการลองภูมิความรู้เกี่ยวกับพืชที่องค์ราห์โอต้องการทดสอบอีกฝ่ายเสียทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของแต่ละพันธุ์ วิธีการดูแล รูปลักษณ์ในแต่ละฤดู ซึ่งนอกจากจะเป็นเหล่าพันธุ์ไม้ในโดมนี้ ยังลามไปยังแห่งอื่นที่ไกลแสนไกล แปลกแสนแปลกยากที่จะมีใครรู้จักอย่างถ่องแท้ เช่นเถาว์ไม้เลื้อยชีดาร์กลางทะเลทราย ดอกพาร์รีที่ขึ้นเฉพาะยอดผา กระทั่งต้นส้นสีแดงที่โตอย่างโดดเดี่ยวในเขาสวดมนต์ ซึ่งทั้งไม้ในห้องนี้และพันธุ์ไม้ทั้งหมดทั้งมวลเท่าที่ฟารันจะเอ่ยถึงได้ โรเรเนสก็รู้จักอย่างดีและดีเสียกว่าในหลายสิ่งจนคนฟังเผลอท้วงไปด้วยซ้ำว่าเขาแต่งเรื่อง

“เจ้าไปรู้เรื่องพืชมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”

“ข้าก็ตอบได้คำเดิมว่าข้าเป็นเทพ”

“แล้วที่เจ้าบอกว่าสวนของข้ามันไม่ถูกต้องนี่เจ้าคิดว่าจริงรึ ทั้งที่มันก็เจริญเติบโตได้ดีเพียงนี้”

“หากเพียงแค่รอดชีวิตไปวันๆท่านก็ทำได้ดีแล้ว แต่หากอยากให้พวกเขาเหล่านี้ออกดอกมาล่ะก็ท่านยังไม่เฉียดเลยด้วยซ้ำ” เด็กหนุ่มพูดอย่างเรียบมิได้ปนน้ำเสียงอวดดีแม้แต่น้อยแก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่คนฟังจะรู้สึกเช่นนั้น

“หึ แล้วเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้รึ”

“ถ้าเป็นวิธีการแบบมนุษยืข้าไม่แน่ใจว่าตนเองจะทราบอย่างแน่ชัด เพราะปรกติจะใช้เวทย์ของตนเองในการดูแลต้นไม้”

“บนสวรรค์งั้นสิ”

“อื้ม แต่ถ้าจะให้ข้าดูแลก็ได้นะ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะยอมออกดอกมาทักทายให้ข้าเช่นที่กุหลาบจันทรานั้นทำ”

“เพราะเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์งั้นสิ”

“อื้ม ใช่ต้นไม่มิได้มีความคิดซับซ้อนเช่นมนุษย์แต่พวกเขามีสัมผัสพิเศษ มีสัญชาตญาณและมีหัวใจ บางสิ่งสามารถรับรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์”

“แขวะข้างั้นสิ”

“อื้ม...อะ เอ่อ ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”

หนุ่มผมม่วงหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยเมื่อพลั้งปากพูดโดยไม่คิดออกไป หากแต่ฟารันมิได้ถือโทษจริงจังแต่กลับมองอย่างพินิจแล้วยกยิ้มอย่างเอ็นดู

“ตามปรกติพูดจาแบบนี้คนเขาจะหาว่าสติไม่ดีนะรู้ไหม เอ่ยว่าตัวเองเป็นเทพเป็นตุเป็นตะเช่นนี้” 

โรเรเนสก้มหน้าลงมองพื้นหญ้าพลางคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆพร้อมส่งสายตาหวานละห้อยไปให้

“นี่ ข้าถามจริงๆเถอะ”

“ว่าไง”

“ท่าน...ท่านไม่เชื่อข้าซักนิดเลยใช่ไหม”

ตาหวานเศร้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ฟารันนิ่งเงียบไร้ท่าทีจะตอบกลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

“เด็กบ้าเอ้ย เอาตรงๆเลยหรือไง”

พยักหน้า

เงียบ

ใบหน้าคมสันหันหนีไปทางอื่น แววตาครุ่นคิดด้วยพยายามเรียบเรียงคำพูด เขาหายใจเข้าลึกก่อนจะหันกลับมาสบตาหวานที่ยังจ้องเขม็งหมายจะเอาคำตอบอย่างไม่ลดละนั้นอยู่

“นี่...ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจนะว่าถึงแม้ข้าจะไม่เคร่งในเรื่องวิถีปฏิบัติและตัวข้าเองก็เป็นคนตรงไปตรงมา หากแต่ในบางเรื่อง บางกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ ความคิดเห็นอย่างส่วนตัวของคนในสถานะเช่นข้านั้น....”

“ข้าเข้าใจดี”

 ตาคมเข้มแปรเป็นแปลกใจเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายขัดกลางลำ

“อภัยข้าด้วยที่พูดขึ้นทั้งที่ท่านยังพูดไม่จบ แต่เรื่องสถานะของท่าน และสิ่งที่ต้องทำ ต้องตัดสินใจข้าเข้าใจดีว่าเรื่องนั้นต้องรอบคอบและ และหลายๆอย่าง แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านตัดสินใจไปเป็นอื่น ท่านคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องของข้าก็ตามที่สมควร แต่ ณ ตรงนี้ ที่เราอยู่กันแค่สองคน ข้า ข้าแค่ขอ ข้าแค่อยากรู้ อยากรู้เฉยๆแล้วจะไม่ถามอีก.....”

“......”

“ข้าอยากให้ท่านลืมเรื่องการเป็นราห์โอไปเสียขณะหนึ่ง แล้วกรุณาตอบข้าหน่วยว่า ถ้าท่านเป็นแค่ฟารัน ถามจริงๆลึกๆแล้วท่าน ท่านเชื่อข้าบ้างหรือไม่”

มันเป็นช่วงอารมณ์เช่นตอนที่มองหญ้าโบกไหวต้องสายลม หรือบางครั้งก็ดั่งเช่นการจ้องมองเกล็ดหิมะค่อยๆร่วงช้าๆลงแตะพื้น ด้วยมันเรียบง่าย เงียบสงบและชวนให้ติดตาม ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนนั้นนานแค่ไหน สิ่งที่ควรจะตอบได้ง่ายที่สุดกลับใช้เวลาอย่างละเอียดเนิบช้าเช่นการคลี่ออกของกลีบไม้ดอก ในการทบทวนนึกคิด ก่อนจะพูดออกมาท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้

ฟารันแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นสดใสก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะเรือนผมงามเงานั้นอย่างอ่อนโยน

“เชื่อสิ”

เช่นเดียวกับดอกไม้บานนั่นแหละ เมื่อยามที่ความจริงใจถูกเปิดเผยถูกคลี่ออกมาอย่างละเอียดอ่อนและสวยงาม มันก็บังเกิดให้เห็นเป็นดอกไม้ที่บานฉ่ำอย่างงดงามในแววตาที่หวานลึกนั้น รอยยิ้มผุดผาดขึ้นอย่างสดในเช่นยามเช้าปรากฎขึ้นบนหน้าสวยอย่างมิเคยเป็นมาก่อน เขายิ้มกว้างอย่างน่ารักพร้อมกับตาใสเป็นประกาย ทำเอาคนที่จ้องมองอยู่ถึงกับตะลึงไปเล็กน้อยกับมุมที่ไม่เคยเห็นเช่นนี้  เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้อย่างกระตือรือล้น มือเรียวทั้งสองยื่นออกมาแตะที่ตักอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองทันที

“ข้าดีใจที่สุดเลย ที่ท่านเชื่อข้าเช่นนี้”

ท่าทีร่าเริงเช่นนี้ก็น่ารักมากอยู่ แต่ด้วยไม่อยากให้ได้ใจนักกษัตริย์หนุ่มจึงปรามด้วยเสียงดุๆเล็กน้อย
“นี่อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ข้าจริงใจกับเจ้าเจ้าก็ต้องจริงใจตอบรู้ไหม สัญญากันก่อนว่าจะไม่ทำร้ายความรู้สึกกันเมื่อข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าต้องรักษาสิ่งนี้ไว้เข้าใจไหม”

“อื้ม แน่นอนเลยข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าไม่มีทางทำร้ายความรู้สึกท่านแน่นอนเพราะข้าเป็นเทพอย่างแท้จริงรับรองได้ ไม่ว่าท่านจะพิสูจน์ด้วยวิธีใด....แต่บางวิธีต้องค่อยๆทำนะ แล้วเอ่อ บางวิธีมันก็ใช้เวลามากจริงเช่นเรื่องความทรงจำของข้า  แต่ว่า ข้าสัญญาว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นจริงทุกประการ”

“ข้าเกลียดคนโกหกนะบอกไว้ก่อน หากจับได้ว่าเจ้าฉ้อฉลข้าจะไม่อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”

ช่วงแว่บแล่นหนึ่งที่โฉบเข้ามา โรเรเนสเหมือนจะจำได้ลางๆ เหมือนจะรู้สึกได้ว่าในอดีตนั้นชายผู้อยู่ตรงหน้าเขานี้เคยประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผู้เป็นองค์รัชทายาทไม่ควรจะพบเจอมาก่อน มันเจือจางไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เขารู้ได้ว่าฟารันฝังใจกับบางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อใจ หากเขาพลาดไปเพียงเล็กน้อย น้อยนิดที่บิดเบือนไปจะด้วยเหตุผลใดใดก็ตาม ชายคนนี้คงมิอาจอภัยให้เขาได้เป็นแน่นอน

เทพหนุ่มเกิดรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด อาจเป็นความรู้สึกจากช่วงเวลายามที่เป็นเทพสถิตย์อยู่บนสวรรค์กระมังทำให้เขารู้สึกเหมือนคุ้นเคยกับชายคนนี้มานาน จึงเอ่ยอย่างจริงจังเพื่อตอกย้ำให้เชื่อมั่นและสงบใจว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายความรู้สึกของคนที่ให้ความไว้วางใจเขาเป็นอันขาด

“ต่อให้ดาวร่วงจากฟ้าข้าก็ไม่มีวันผิดสัญญา”

หน้าหวานยิ้มละมุนขณะจ้องตาอีกฝ่ายในระยะประชิด จึงทำให้อดไม่ได้เลยที่จะยิ้มตอบในลักษณะเดียวกัน

“ข้าจะจำไว้”

เจ้าของตาเข้มคมเอ่ยเบาก่อนจะก้มลงประทับจูบบางๆลงที่หน้าผากของอีกฝ่าย  ขวยเขินแต่พยายามยิ่งแล้วเพื่อสงบลง เด็กหนุ่มแก้มแดงน้อยๆเมื่อฝ่ายนั้นละจากหน้าผากตนแล้วจ้องนิ่งอย่างจริงจังพร้อมทั้งส่งยิ้มจางๆที่อบอุ่นมาให้ ฝ่ายนั้นไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาไปจากหน้าสวยที่น่าหลงใหลได้เลย จึงเป็นเขาเองที่ต้องเสมองไปทางอื่นแทน ทว่ามิทันไรเครื่องหน้าที่แสดงอาการขวยนั้นก็แปรเป็นแปลกใจเมื่อตนนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้

“ว่าแต่ถ้าท่านเชื่อว่าข้าเป็นเทพเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงโทษที่กระทำ อ่าม ทำ...เรื่องแบบนี้กับข้ารึ รู้ใช่ไหมว่าทำเช่นนี้กับเทพนั้นไม่ดีเอาเสียเลย” โรเรเนสหันไปถามอย่างใคร่รู้แกมลำบากใจ แต่ราห์โอหนุ่มกับมิได้กังวลใจกับคำถามนี้นัก ซ้ำร้ายกว่านั้นยังบังอาจดึงตัวเทพหนุ่มขึ้นมานั่งบนตักเสียด้วยซ้ำโดยไม่สนเสียงทักท้วงงอแงของอีกฝ่ายเลย

“ไม่เห็นต้องสงสัยอะไร สวรรค์นั้นโปรดข้ายิ่งกว่าใครถึงได้ส่งเจ้ามาให้ข้านี่อย่างไร เชื่อลิขิตสวรร๕เถอะให้ข้ากอดเจ้าเช่นนี้ล่ะดีแล้ว”  ว่าแล้วก็แกล้งก้มลงหอมเนื้อแก้มละเอียดขณะที่อีกฝ่ายส่งเสียร้องกระเง้ากระงอนอย่างขัดใจ

คนอะไรคิดเอาแต่ได้….

......แลทั้งสองก็อ้อยอิงอยู่ในสวนนั้นจนโมงยามเลื่อนไหลผ่านไป

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ยังไม่ตายนะคะ ไรต์ยังไม่ตายT T แค่หายไปเกิดใหม่ค่ะ ขออภัย ยังมีใครอยู่ที่นี่ไหม ไหม ไหม ไหม (เสียงสะท้อนไปมาในหุบเขา)
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7 งวดประจำวันที่ 9/2/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 10-02-2015 05:46:35
เค้ารอเรืีองนี้มานานมากกกกกกกก ดีใจที่มาต่อค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7 งวดประจำวันที่ 9/2/2557
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 10-02-2015 06:16:23
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7 งวดประจำวันที่ 9/2/2557
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 10-02-2015 11:04:08
ยังไม่รู้อีกว่าตัวเองจะตายอ่ะโรเรเนส น้ำเชื่อมเจ้ากลายเป็นสีขุ่นแล้ว แถมผิดคำสัญญาอีก เกลียดดราม่า รอให้จบแล้วค่อยมาอ่าน ขี้เกลียดลุ้นเพราะไม่ชอบดราม่าที่เกิดเพราะความรักจากคนรัก จะดราม่าเพราะถูกศัตรูทพ เรารับได้นะ แต่เกิดจากคนรักทำให้เจ็บปวดแล้ว รับไม่ได้อย่างแรง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7 งวดประจำวันที่ 9/2/2557
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 10-02-2015 11:59:30
เดาได้ถึงมาม่าเส้นอืดค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7 งวดประจำวันที่ 9/2/2557
เริ่มหัวข้อโดย: morningflower ที่ 10-02-2015 19:53:27
โอ้ย ไม่อยากให้ดราม่าเลย   :hao5:
ท่านเฟรทริส ท่านให้พรน้องท่านหน่อยสิ 
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7 งวดประจำวันที่ 9/2/2557
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 10-02-2015 22:05:42
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากเลยค่ะ
แอบเห็นว่าคนเขียนชอบหายบ่อย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7-2 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 11-02-2015 22:42:53

       แสงสลัววาบไหวไปมาในยามมืด หากแต่ก็ทั่วถึงและเพียงพอสำหรับห้องทำงานขนาดใหญ่ ด้วยมันมากมายและหลายมุมไปด้วยเหล่าโคมไฟทรงสูงครอบแก้วที่ตั้งอยู่ทั่วไปในห้องสี่เหลี่ยม ที่เช่นเคยตกแต่งอย่างธรรมดาหากแต่ก็ยังสมพระเกียรติด้วยทุกสิ่งทำจากวัสดุชั้นดี ทั้งม่านผ้าไหมสีเลือดหมูตรงหน้าต่างทรงโค้ง พรมผืนบางทอด้วยลายละเอียดถี่ระยับด้วยดิ้นท้องซ้อนสลับกับไหมหายาก

โต๊ะทำงานตัวเขื่องจากไม้เนื้อดีสลักเสลาอย่างประณีตและปูผิวหน้าด้วยหินอ่อนตั้งอยู่กึ่งกางของห้อง ทับถมกองก่ายไปด้วยม้วนเอกสารมากมายที่เกือบจะมีระเบียบอยู่บนโต๊ะ อีกมากที่ชั้นหนังสือด้านหลังและที่เหมือนจะเป็นตำราเรียงตั้งสูงจากพื้นขึ้นมาก็มากโขอยู่  โทนสีหม่นทะมึนของเหล่ากระดาษที่เป็นทั้งม้วนและเล่มมากมายผสมกับสีเหลืองไหวของเปลวไฟทำให้บริเวณโต๊ะทำงานดูเป็นจุดที่ให้อารมณ์เคร่งขรึมจริงจังเป็นที่สุด

ทว่าก็ยังปรากฎวัตถุประหลาดแปลกปลอมตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของโต๊ะทำงานตัวนี้ มันดูเด่นดึงดูดและไม่เข้าพวกกว่าใครด้วยสิ่งนี้คือกระถางดอกไม้สีขาวมุกเล็กกระจ้อยร่อยน่ารักจนเหมือนจะไม่ใช่ของจริง มันเป็นบ้านหลังน้อยของดอกไม้สีฟ้าสด3ดอกที่ขนาดของมันรวมทั้งกิ่งแลใบก็พอเหมาะพอดีกันอย่างน่ารัก ยามดึกสงัดพวกมันทั้ง3ก็อยู่ในกาลหลับไหลหุบกลีบบอบบางเก็บไว้รอแสงรุ่งสางอีกครั้งถึงจะบานใหม่ คงจะมีแต่เจ้าของของมันกระมังที่ไม่หลับไม่นอนขมักขเม้นทำงานลืมวันลืมเวลาอยู่เช่นเคย

หากเพียงมีเล็กน้อยที่การทำงานวันนี้...ไม่สิ ระยะหลังนี้แลจะดูผ่อนคลายและไม่เคร่งเครียดเหมือนแต่ก่อน ก็ด้วยไม้ดอกสีฟ้าสดนี่ล่ะ ที่ทำให้ฟารันมีอะไรให้หย่อนใจขึ้นมาบ้างหลังจากต้องทำงานอย่างหนัก ทั้งอ่านราชโองการที่ขุนนางทูลเกล้าถวายและรายงานโครงการต่างๆอีกมากมาย เพียงแค่ดอกไม้สีฟ้าเหล่านี้นี่ล่ะ ที่เขาจะพักสายตามามองพวกมันอย่างเอ็นดูแล้วหวนนึกถึงคนให้อยู่บ่อยๆ

 ทั้งรอยยิ้มเริงร่าน่ารักตอนที่ยืนรอเขา เพื่อจะให้เจ้าดอกไม้จิ๊ดริดที่บังอาจออกดอกขึ้นมาได้อย่างผิดธรรมชาติ  ความตื่นเต้นตอนที่พบมันแทงยอดอ่อนขึ้นมาจากพื้นดินและแววตาที่ออกประหม่าเล็กน้อยตอนยื่นให้แล้วขอให้เขาดูแลมันอย่างดีจนกว่าจะโตพอที่จะอยู่ร่วมกับไม้ต้นอื่นได้อย่างปลอดภัยจึงค่อยนำไปลงดินอีกครั้ง
 
“ในสถานที่ที่ไม่ใช่ในธรรมชาติ ไม้ดอกบางชนิดนั้นเติบโตไม่ได้หรอกนะถ้าอยู่อย่างแออัดร่วมกับไม้ต้นอื่นเช่นนี้” นั่นคือคำอธิบายที่ให้ความรู้ใหม่แกองค์ราห์โอเป็นอย่างมาก แต่นอกเหนือจากความประทับใจในเรื่องนี้สิ่งหนึ่งที่เขากลับให้ค่ามากกว่าความรู้เรื่องพืชคือ

 ดอกไม้กระถางนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้จากโรเรเนส

ทำให้หวนนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งเมื่อแสนนานมาแล้วตอนที่เขาอยู่ในตอกแคบๆนั่น เจ็บปวด ทรมาณ สิ้นหวัง แต่เพียงสิ่งเล็กน้อยที่ปรากฎตรงหน้าก็เหมือนแสงแห่งชีวิตปรากฎขึ้นอีกครั้ง ด้วยวันนั้นถึงมีวันนี้ เขายังจำได้ไม่ลืม

“ประทานอภัยฝ่าบาท ท่านโยเฮนขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” เสียงทหารดังขึ้นจากทางหน้าประตู ถึงตอนนั้นที่ตื่นจากภวังค์เขาไม่ได้สังเกตุด้วยซ้ำว่าทหารเวรเฝ้าประตูผู้นี้เดินเข้ามาเมื่อไร

“ให้เข้ามาได้”

ชายแก่วัยกลางคนอาดเข้ามาอย่างเงียบเชียบ อย่างมั่นคงและดูยโสตามปรกติที่เป็น เขาโค้งคำนับองค์ราห์โอครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้โต๊ะทรงงานตามที่ถูกเชิญให้นั่ง
“ว่าอย่างไรท่านโยเฮน มาเสียดึกป่านนี้”

“ต้องขอประทานอภัยฝ่าบาทที่ข้ามารบกวนพระองค์ในโมงยามเช่นนี้ แต่พอดีเมื่อครู่ข้าเพิ่งเสร็จจากประชุมกับเหล่าขุนนางที่อยู่ในความดูแลของข้าในเรื่องการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการขุดคลองสาขาเพิ่มของพระองค์ ก็ใคร่จะมารายงานความเป็นไปว่าเรียบร้อยตามพระประสงค์ดีหากแต่ส่วนตัวข้าพเจ้าเองมีเรื่องสะกิดใจอยู่เล็กน้อย”

“ว่ามา”

“สร้างเขื่อน ขุดคลอง สร้างบึง คลังเสบียง โรงเรียน โรงหมอ โรงงาน อู่ต่อเรือ และขยายเหมืองขุดแร่”

“แล้ว?”

“นี่ยังไม่รวมเรื่องปศุสัตว์พันธุ์แปลก แลเมล็ดธัญพืชที่นำเข้ามาอีก อีกทั้งยังมีงานฝ่ายทหารและกองทัพหลวง”

“ก็อย่างไรเล่า”

“เล่นทำทุกอย่างพร้อมกันเช่นนี้เงินในพระคลังจะไม่เหลือน่ะสิฝ่าบาท”

“ไร้สาระ เมื่อแล้งที่แล้ว แล้งก่อนหน้า และก่อนหน้าไปถึงรัชสมัยของสเด็จพ่อ อาณาจักรเราเป็นแห่งเดี่ยวที่ผลิตผลผลิตได้ ส่งขายไปยังแดนอื่นเงินทองเป็นกอบเป็นกำ ไหนจะแร่หินและผลผลิตจากการประมงอีก แล้วก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกปีถ้าข้าไม่พัฒนาแล้วเงินมันจะมาจากไหน”

“นั่นก็จริงอยู่ แต่ใช้จ่ายแบบนี้ควบคุมและตรวจสอบลำบาก กระหม่อมคิดว่าน่าจะค่อยๆทำในส่วนที่สำคัญจริงๆนอกนั้นก็แต่บำรุงรักษาไปก่อนที่สำคัญพระองค์ไม่ได้ขึ้นภาษีมาหลายปีแล้วถ้าทรงดำริจะดำเนินการทุกอย่างต่อกระหม่อมมีความเห็นว่าควรจะขึ้นภาษีมาพัฒนาประเทศจะดีกว่า”

“ก็ดีนะ เก็บเฉพาะขุนนางกับพวกราชนิกูล เห็นว่าเงินเยอะถมเถ”

“ฝ่าบาทกระหม่อมแนะด้วยความหวังดี”

“ข้าล้อเล่นน่ะ ขอบใจท่านมากข้าจะรับฟังไว้หากเห็นท่าไม่ดีข้าก็จะจัดการเอง แต่อย่าห่วงไปเลยข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้ผลผลิตทางการเกษตรจะต้องดีขึ้นเป็นสิบเท่าตัวแน่นอน”

เขาเหยียดยิ้มอย่างมั่นใจพลางมองดอกไม้ในกระถางน้อยตรงหน้า ทำให้คู่สนทนาต้องเหลือบมองตาม พลันโยเฮนก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่เขาตั้งใจจะพูดกับองค์ราห์โอ อันที่จริงสำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนยิ่งกว่าเงินในพระคลังที่ร่อยหลอเพราะเขาและพรรคพวกยักยอกไปเสียอีก

“จะว่าไปช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ทรงสนิทสนมกับบุรษเกศม่วงผู้นั้นเป็นอย่างมากนะฝ่าบาท”

“ทำไมรึ”

“จะไม่ทรงไต่สวนเอาความกับเขาแล้วหรือกระไรฝ่าบาท จะทรงเสียสัตย์ด้วยเพราะหลงใหลกระหม่อมเห็นว่าไม่ควร”

“เหลวไหล ก็รู้กันอยู่แล้วว่าต้องรอคำยืนยันจากหมอหลวงในเรื่องนั้นเสียก่อน”

ขุนนางใหญ่แปรสีหน้าเป็นอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตามองกษัตริย์หนุ่มอย่างมีเลศนัย
“อย่าหาว่าข้าจุ้นจ้านหรือยุแยงเลย ท่านหมอหลวงก็เป็นผู้ใหญ่ในวังรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่รัชสมัยเสด็จพ่อของฝ่าบาท หากแต่ด้วยความเป็นหมอก็มักจะใจอ่อนเป็นเสมอ เขาเป็นหมอหาใช่ศาลจะซื่อสัตว์เที่ยงธรรมไปเสียทุกเรื่องก็คนไม่ใช่”

“นี่ท่านกำลังคิดว่าท่านหมอโป้ปดข้ารึ ทำเช่นนั้นอันตรายถึงลงทัณฑ์เชียวนะ”

“ข้าก็มิได้เอ่ยเช่นนั้น ท่านหมออาจไม่ได้ตั้งใจโป้ปดอะไรท่านแต่บุรุษเกศม่วงนั้นไม่เป็นที่รู้ได้ เขาอาจจะ เอิ่ม... ประทานอภัยฝ่าบาท หากจะพูดถึงคนสนิทคนใหม่ของพระองค์ในยามนี้ ยังไงเสียก็เป็นคนไม่รู้หัวนอนปลายตีน มาร่อนไปร่อนมาอยู่ในวังได้เป็นเดือนๆ แสร้งเจ็บบ้างแสร้งป่วยบ้างใครมันจะไปรู้ ไอ้เรื่องพวกนี้มันก็พูดยากป่วยใจหรือป่วยกายมันก็ป่วยคือกัน จุดนี้ท่านหมออาจจะมองเช่นนั้น ชายผู้นั้นอาจหายป่วยกายแล้วแต่ยังแสร้างป่วยใจให้ดูกันลำบากท่านหมอก็จึงคงไม่กล้าฟันธงว่าเขาหายดีแล้ว”

องค์ราห์โอหลุบตามองเพ่งที่ดอกไม้ในกระถาง คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ฝ่ายขุนนางเห็นถึงความลังเลก้พูดต่อไปอีกชุด

“ฝ่าบาท....จะหลอกข้าราชคนอื่นว่าเขาเป็นพระสหายตลอดไปมิได้หรอกนะกระหม่อม แล้วยิ่งคนที่รู้อยู่แล้ว พวกขุนนางชั้นสูงทั้งหลายก็เริ่มกังขากันใหญ่แล้วถึงขั้นแอบพูดกันไปว่าทรงหลงรูปชายผู้นั้นจนไม่สนถูกผิดอะไร แต่ท่านก็ทรงทราบดีว่าความมั่นคงภายในผลัดวันประกันพรุ่งไปก็ไม่เข้าท่า”

“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร”

“หากไม่ทรงปราถนาจะหักหาญน้ำใจเหมือนคนเถื่อนก็คงต้องใช้วิธีอ้อมๆ”

“อะไรกัน?”

“ง่ายนิดเดียว เขาผู้นั้นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มในวัยประมาณนั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมาย เพียงแค่กระตุ้นยามหลับฝันตื่นเช้ามาน้ำฝันที่กลั่นออกก็คงปรากฎขึ้นมาให้เห็นง่ายดาย ตามธรรมชาติเพียงเท่านั้นก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่รุนแรงไม่หักหาญ เจ้าตัวคงไม่ทันได้รู้ความเสียด้วยซ้ำ”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง แลก็ทำหน้าทึ่งเหมือนโดนสาดน้ำ เหตุใดเขาถึงไม่ได้นึกเรื่องนี้มาก่อนนะ แน่นอนว่าด้วยความไว้ใจจึงไม่เคยจะกระทำการอื่นใดนอกเหนือไปจากที่เคยคุยกันไว้ นั่นคือรอเจ้าตัวยอมรับเองว่าพร้อมแล้วค่อยกระทำ แต่วิธีแอบทำอย่างอ้อมๆนี่ไม่ได้คิดถึงเอาไว้

….. หรืออาจมีคิดบ้างแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะโดยส่วนตัวอยากเห็นสีหน้าเด็กหนุ่มตอนโดนกระทำมากกว่าโดนตอนหลับไม่รู้เรื่อง!

หากแต่แม้นถึงรู้ดังนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะทำเช่นนั้นหรือไม่ ด้วยไม่อยากรู้สึกผิดอันใดกลับการแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจในตัวอีกฝ่าย

“ถ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เชิญท่านกลับไปเสียเถิด ดึกแล้วพวกเราทั้งคู่ควรได้พักผ่อน”

ราห์โอเอ่ยขึ้นทั้งสีหน้ายังกังวล แต่ภายใต้ใบหน้าสุขุมเรียบเฉยของขุนนางใหญ่กลับซ่อนความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เขาค่อนข้างมั่นใจว่ากษัตริย์หนุ่มผู้นี้ต้องสนใจวิธีการนี้เป็นอย่างมาก แม้นว่าจะอยากหรือไม่อยากทำก็ตาม

จนเมื่ออาคันตุกะจากไป ชายหนุ่มยังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น ความขัดแย้งเกิดขึ้นกับความรู้สึกและเหตุผล เขามองออกนอกหน้าต่างสู่ฟากฟ้าสีน้ำเงินที่เปื้อนดาวระดาษฟ้าอยู่อึดใจ ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องของตนไป



           แสงจันทร์คืนนี้นับว่าสว่างพอตัวแต่ก็สลัวบางมิได้จ้าเหมือนจันทร์เต็มดวง มันสาดทาบลงมาบนผิวแก้มขาวเนียนดั่งปรกติที่มันจะทำ ในองศาที่พอเหมาะแลเจือจางบางครั้งด้วยเงาผ้าม่านที่โบกพริ้วตามสายลมตัดผ่านลำแสงเป็นระยะ
เจ้าตัวผู้หลับสนิทมิใดรู้สึกตัวใดๆหรอก ด้วยระยะหลังที่เริ่มแข็งแรงเขาก็สนุกสนามอยู่กับเจ้าหมาเตี้ยและเหล่าพันธุ์ไม้ ด้วยจู่ๆก็ได้รับมอบหมายงานเล็กน้อยในสวนให้เขาได้ตรวจดู ประกอบกับอาหารรสเริศที่ได้ลิ้มทั้งก่อนและหลังการหลับตื่นในทุกๆวันนั้นทำให้การเข้าสู้ห้วงฝันได้เร็วและนิ่งลึกเสียเหลือเกิน

เขาไม่ได้รู้สึกหรอกถึงสายตากังขาที่มองลงมา จับจ้องนิ่งอย่างสับสน ดวงตาคมเข้มและใบหน้าหล่อเหลาได้รูปเฝ้ามองการปิดสนิทของเหล่าแพขนตากับอีกทั้งริมฝีปากบางนั้น

ฟารันนิ่งมองด้วยสีหน้าเย็นชาหากวาวลึกในดวงตานั้นมีคำถามมากมาย จู่ๆเขาก็เกิดไม่มั่นใจถึงแม้อีกฝ่ายจะสัญญาว่าไม่มีหรอกการโกหกระหว่างกัน แต่กระนั้นเขาก็เกรงว่าคำสัญญาทั้งหลายที่ออกจากปากบางได้รูปนี้จะเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล

เขาค่อยๆนั่งลงข้างๆร่างขาวที่ทอดอยู่บนเตียง เฝ้ามองพิศละเอียดตั้งแต่วงหน้ายันเรือนร่างน่าพิศมัย มิได้อรชรอ้อนแอ้นเช่นสตรีหรอก มันสมบูรณ์พร้อมด้วยเครื่องร่างแบบเด็กหนุ่มนี่ล่ะ หากแต่ไม่ได้อัดแน่นด้วยมัดกล้ามเหมือนหนุ่มใหญ่หรือทหารศึก

 เป็นกล้ามเนื้อสวยงามของวัยเจริญพันธุ์ เมื่อสัมผัสดูก็จะรู้สึกได้ถึงชีวิตชีวาน่าลิ้มลองของเนื้อหนุ่มเช่นเดียวกับตัวเขานี่ล่ะ
หากแต่ที่อยู่ตรงหน้านั้นสร้างความสับสนให้ความรู้สึกของชายด้วยกันอย่างแน่นนอน ไม่เพียงแต่สตรีจะพึงหลงใหลร่างนี้ แต่บุรุษอย่างเขาก็กลับรู้สึกแทบจะทุกครั้งไป ทั้งงดงามและน่ารักน่าชังพาลหมั่นเขี้ยว

ฝ่ามือแกร่งเอื้อมสัมผัสแผ่วลงที่ผิวหน้า ไล้เลียความละเอียดไล่ไปยังริมฝีปากก่อนจะลูบผ่านคอระหงโดยไม่มีแม้ปฏิกิริยาใดๆที่รับรู้การถูกสัมผัสเลยแม้นแต่น้อย

 เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจลองเอื้อมลงต่ำแล้วแตะฝ่ามือลงบนขาอ่อนเบื้องล่างลูบไล้เรื่อยขึ้นไปจนถึงใต้ร่มผ้าแล้วลองจับให้กระชับและชัดเจนกว่าเดิมเล็กน้อย วนนิ้วไล้ซ้ำๆในจุดที่ใกล้กับโคนขาหนีบด้านใน

“อื้มมม” เสียงครางในลำคอดังออกมาเบาๆ หน้าหวานขมวดเกร็งเล็กน้อย ฝ่ามือที่ลุกล้ำหยุดการกระทำชั่วครู่ ใบหน้านั้นก็คลายลงและล่วงเข้าสู่การหลับใหลตามเดิม

กษัตริย์หนุ่มนิ่งมองใบหน้านั้นเล็กน้อยก่อนจะเลิกผ้าผ่อนให้สูงเลยพ้นเอวขึ้นไป เผยให้เห็นเนื้อเนียนขาวของต้นขาแลอีกทั้งท่อนเนื้อสีชมพูบริสุทธิ์ที่แม้นจะเห็นลางด้วยแสงมีน้อยแต่ก็ชัดเพียงพอสำหรับสัดส่วนน่าอายนี้

เห็นแล้วแหนะ....

คนนิสัยไม่ดีเกิดรู้สึกเอ็นดูสัดส่วนจุดนั้นของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างมิได้ตั้งใจ พลันก็คว้าเข้ากอบกุมทั้งฝ่ามือก่อนจะค่อยๆละเลงเล่นน้อยๆเพื่อกระตุ้น

“อื้อออ” ครานี้ผู้นิทราออกอาการมากกว่าคราวก่อน ด้วยมิเพียงใบหน้าที่ขมวดไป เรือนร่างที่ผ่อนคลายนอนนิ่งก็เริ่มเกร็งกร้าวขึ้นมา เมื่อฝ่ามือหนาเค้นเบาบีบขยุ่มและคลึงเล่นเป็นจังหวะ เนื้อตัวแลหน้าตาก็พลันแปรเป็นสีแดงด้วยเลือดสูบฉีด

“ฮ่าห์” เผยอปากบางอย่างมิรู้ตัวอาการทั้งหมดเป็นไปอย่างธรรมชาติลึกลงไปในเปลือกตาสู่โลกแห่งฝันก็เกิดภาพประหลาดที่เชื่อมโยงกับร่างกายภายนอกอย่างบังเอิญ

….เขาหลับฝันถึงฟารันอยู่ในขณะนี้

การกระตุ้นย้ำเบาๆไม่รุนแรงจนทำให้ตื่นได้แต่ก็เนิบนาบหนักแน่นถูกต้องในจุดสัมผัสจนเลือดสูบฉีดมาไหลเวียนให้อวัยวะนี้พองขึ้นและแข็งขืนขึ้นมาจนได้ ทีละน้อย ทีละน้อย ไม้ดอกงามที่กลางระหว่างขาก็เริ่มแบ่งบาน
 
ใช่มันเริ่มตื่นตัว และเมื่อการกระทำนั้นๆต่อเนื่องและมั่นคงไปเรื่อยๆมันก็กลายเป็นการชูชันดั่งไม้แดงชูช่อ

เหงื่อหยาดน้อยเริ่มผุดผาดขึ้นที่หน้าผากเด็กหนุ่ม ปลายนิ้วทั้งห้าเคลื่อนขึ้นลงจากส่วนโคนจนสุดปลายมิได้กอบกำแน่นกระชับ แค่ลงน้ำหนักให้พอดี ณ ปลายนิ้วแล้วก็น้อยๆแลรูดเร็ว

 ซ้ำๆ ขึ้นจนสุด กดลงเล็กน้อยแล้วดึงลงมา แล้วดันนิ้วรูดขึ้นไปอีกครั้ง ช้ำๆ ให้รู้สึก...

รู้สึก...

“อื้มมม”

รู้สึก...

“ฮ่าห์”

รู้สึกมากจน...



.....ปล่อย
แลจวนแลเจียน ทั้งการพวยพุ่งและการฟื้นตื่น ทั้งหมดนั้นไม่เกิดขึ้นเนื่องจากการหยุดกลางครันอย่างฉับพลันด้วยชักมือหนี ปล่อยดอกไม้แดงดอกงามเป่งเบ่งบานอาบแสงจันทร์ไว้เพียงนั้น ทั้งที่เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการปลดปล่อยแต่ท่อนเนื้อที่น่าสงสารกลับถูกทิ้งไว้ ปล่อยไว้ ก่อนเจ้าตัวจะรู้สึกตัวไปมากกว่านี้ ในช่วงที่จวนเจียนครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่รู้แน่ว่าโดนกระทำจริงหรือฝันไป

ฟารันก็จากไป....

ร่างกายอันร้อนรุ่มต่อสู้อย่างหนักหนาในโมงยามแห่งราตรี เลือดลมไหลเวียนอย่างไม่เป็นสุขจนท้ายหลังจากนั้น อันที่จริงเทพหนุ่มก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่ชัดเจนหนัก แม้นเผลอลืมตาก็ผล่อยร่วงผล่อยหลับลงไปอีก จนกระทั่งอีกหลายชั่วโมงให้หลังเมื่อตอนที่แสงตะวันเข้ามาแทนแสงจันทร์แล้วนั้นแหละ เขาถึงจะรู้สึกตัวได้เต็มที่อย่างแท้จริง

หากแต่ในโมงยามนี้ที่ดวงดาวยังเฝ้ามอง ร่างงดงามร่างนี้ยังทำปฏิกิริยาตามธรรมชาติของมันไปเรื่อยๆ จนทนไม่ไหวมันก็ขับน้ำคาวหวานนั้นออกมาเอง....

 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

พยายามทำตัวมีวินัย ไม่รู้จะได้กี่น้ำแต่ก็สู้ค่ะ!
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7-2 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 12-02-2015 01:17:06
ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เอ๊ยย
แหม ฟารันทำไรอ่ะ คริๆ
ว่าแต่น้ำเชื่อมเทวดาเราจะเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือยังอ่ะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7-2 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 12-02-2015 04:27:39
รอตอนหน้า ลุ้นว่านํ้าเชื่อมเทวดา (ทำไมดูหื่น) จะออกมาเป็นยังไง :katai2-1: :katai2-1:
วอนพี่เฟรริส (ชื่อถูกไหม) ช่วยเรโรนอสด้วยเถอะนะค่ะ รอตอนต่อไปน้าาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7-2 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 12-02-2015 08:14:05
จำเรื่องได้คร่าวๆ คงต้องอ่านใหม่ซินะTT TT
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7-2 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 12-02-2015 10:21:15
ยังเฝ้ารอ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7-2 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 12-02-2015 10:42:22
อร๊ายยย เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ สนุกมากๆ เลยค่ะ คือแบบชอบตอนมุ้งมิ้ง สวีทกันสองคน อ่านแล้วเขินมากๆ เลย  :-[ ฟารันหาเรื่องลวนลามตลอดเลยอ่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่7-2 11/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 12-02-2015 22:19:53
สนุกดีค่ะ อ่านเพลินมาก

นี่คือป ฏิกิริยาของวัยหนุ่มสิเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 15-02-2015 01:01:48
                เทพหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นเมื่อยามรุ่งเช้า เช้ากว่าปรกติที่เคยตื่นหลายชั่วโมงอยู่ เขามองไปรอบๆตัวด้วยความรู้สึกเหนื่อยประหลาดและสัมผัสเปียกลื่นมีอยู่ที่หว่างขา บัดนี้เขาเข้าใจดีแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา คงเพราะด้วยฝันประหลาดนั่นแหละที่ทำให้เขาร้อนรุ่มมาตลอดคืน

ใช่ฝัน พวงแก้มพลันแดงซ่านขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องในฝัน เขาฝันถึงฟารันแต่นั่นไม่แปลกหรอกที่แปลกคือสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเขาในฝัน ในฝันนั้นเขาอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบได้ แต่มันขาวโพลนและเวิ้งว้างไปสุดลูกหูลูกตา ร่างสองร่างกำลังแนบชิดอยู่ ณ ที่นั้น ไม่รู้กาลไม่รู้เวลา เขารู้แต่ว่าหนึ่งในนั้นคือเขาและอีกหนึ่งคือกษัตริย์หนุ่ม ที่สัมผัสแก่นกายส่วนร้อนของเขาอย่างไม่บันยะบันยัง ความรู้สึกนั้นชัดเจนจนเหมือนไม่ได้ฝัน เขารู้สึกได้มาจนถึงตอนนี้ในยามที่ตื่นมันยังเหมือนรอยประทับนั้นยังตรงสถิตยือยู่ที่หว่างขา

แต่ที่น่าอายไปกว่านั้นในห้วงฝันเขากลับไม่ได้ต่อต้านอะไรอีกฝ่ายเลย กลับปล่อยให้ตนถูกกระทำอย่างง่ายดายทั้งยังรู้สึกเหมือนจะเต็มใจให้ทุกอย่างเป็นไป เขาจำได้ น่าอายแต่ก็....น่าสนใจ

กอดก่ายกันอย่างเร่าร้อน ลมหายใจ สัมผัส เสียงของฟารัน ในฝัน เหมือนจริงจนมิอาจแยกแยะ ยังจำได้ด้วยซ้ำความรู้สึกเมื่อยามกอดแผ่นหลังกว้างนั้นไว้และริมฝีปากที่ประทับไปทุกส่วน เขาเห็นไม่เพียงใบหน้าแต่ทุกส่วนสัดอันกำยำของอีกฝ่ายประหลาดมากและชัดเจนมาก เขามั่นใจว่าเท่าที่จำได้เขายังไม่เคยเห็นเรือนร่างใต้ร่มผ้าของฟารันเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหตุใดกันภาพในฝันถึงชัดเจนคุ้นเคยและเหมือนเห็นด้วยตาถึงเพียงนั้น

ร่ายกายพลันร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เลือดลมสูบฉีดแรงเมื่อนึกย้อนถึงภาพฝัน เขาเม็มปากแน่นพยายามข่มอารมณ์ตน เกรงว่าส่วนอ่อนไหวนั้นจะแข็งขืนขึ้นมาอีกทั้งที่ไม่ต้องการ ตอนนี้เขาควรมีสติและจัดการกับร่างกันอันเปรอะเปื้อนนี่เสีย

โรเรเนสเลิกผ้าห่มออกอย่างเบื่อหน่าย เขาหมายว่าจะพบคราบใสที่ขับออกจากร่างเหมือนคราวก่อน ทว่าสิ่งที่ได้เห็นกลับทำให้ผิวแก้มแดงเรื่อแปรเป็นซีดเผือด

คราบเปียกลื่นที่สร้างรอยเปรอะอยู่ที่เนื้อหว่างขาและผ้าปูที่นอนมีสีขาวขุ่นดั่งน้ำนมหาใช่หวานใสดั่งน้ำเชื่อม

เป็นไปไม่ได้!

เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย สับสนจนไม่อาจคิดอะไรออก เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยเพราะเหตุอันใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนโดนอะไร รู้เพียงแต่ว่าต้องจัดการคราบนี้ก่อนที่คนอื่นจะมาพบ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเขายิ่งต้องรีบลงมือ ในขณะที่จัดการกับหลักฐานพลางก็ตะโกณออกไปให้หญิงรับใช้ได้รออยู่ก่อน
“ประเดี๋ยวก่อนชาช่า อย่าเพิ่งเข้ามา”

“เปิดประตูเดี่ยวนี้!”

ทว่าเสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงแหบห้าวของผู้ชายแทนจะเป็นหญิงสาว เด็กหนุ่มตระหนกและร้อนรนเขารีบจัดแจงคราบบนผ้าอย่างเร็วๆ ด้วยวิธีเท่าที่คิดออก

“ไปเรียกนางต้นห้องให้เอากุญแจมาไข!”

เขาขึงผ้าปูที่นอนใหม่ให้ตึงก่อนจะสอดมุมของมันให้เหมือนก่อนจะถูกรื้อ  พอดีกับการที่ประตูถูกเปิดออกเหล่าทหารสามสี่นายเดินเข้ามาพร้อมกับขุนนางสองคน เขาจำได้ทั้งสองคนแต่จำชื่อได้เพียงคนเดียวนั่นคือคนทางซ้ายที่มีนามว่าโยเฮน ส่วนอีกคนเคยเห็นอยู่กับฟารันแต่นึกชื่อไม่ออก

“พวกท่านมีธุระอะไร ไม่จำเป็นต้องเอะอะในยามเช้าเช่นนี้”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่พยายามทำให้ดูเป็นปรกติที่สุดขณะที่นั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงเหมือนเพิ่งตื่นมาไม่นาน
“ธุระของพวกข้านั้นสำคัญนักด้วยวันนี้ข้าจำต้องเปิดโปงคนลวงที่โกหกปั่นหัวองค์ราห์โอมานาน นั่นก็คือท่าน”

ขุนนางวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะปรายตาของเขาหัวจรดเท้า

ประจวบเหมาะอะไรแบบนี้นะ

โรเรเนสคิดในใจด้วยสงสัย มันช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่จู่ๆน้ำวิสุทธิ์ของเขาก็กลายเป็นสีขุ่นแทนที่จะเป็นใส ในวันที่จู่ๆคนพวกนี้ก็จะมาตรวจตรา

“ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง แต่พวกท่านเถอดเขามาแบบนี้ได้รับการอนุญาติจากองค์เหนือหัวแล้วหรือกระไร”

“แน่นอน ด้วยก่อนหน้าข้าแอบรู้มาจากนางในบางคนได้กล่าวว่า หลายครั้งหลายคราผ้าปูที่นอนของท่านนั้นมักมีคราบที่คาดเดากันได้ปรากฎอยู่”

“แล้วอย่างไร”

“ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจสำหรับพวกนางขี้ข้า ด้วยนางนั้นไม่รู้ว่าเจ้าคือผู้แอบอ้างเป็นเทพที่ควรจะขับน้ำคาวหวานออกมาเป็นสีใส ทว่าการที่คราบนั้นเป็นรอยของน้ำสีขุ่นพวกนางจึงนึกเห็นว่าไม่แปลกอะไรสำหรับคนหนุ่ม หากแต่แน่นอนนั่นไม่ใช่ข่าวดีเลยสำหรับคนที่รุ้อะไรเป็นอะไร เช่นนี้ข้าจึงนำความขึ้นทูลเกล้าฝ่าบาทและก็ทรงอนุญาติให้ข้ามาตรวจดูในวันนี้”

โกหกทั้งเพ เรื่องทั้งหมดที่ขุนนางผู้นี้พูดนั้นไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย วันนี้เป็นวันแรกที่แก่นกายของเขาขับน้ำที่มิใช่สีใสออกมาเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีนางรับใช้ผู้ทำความสะอาดคนใดจะเคยเห็นคราบน้ำที่เป็นสีขุ่นของเขามาก่อน อีกทั้งเรื่องแบบนี้ถ้าฟารันรู้เข้าเขาจะต้องเป็นผู้มาพิสูจน์ด้วยตนเองมิใช่ส่งคนอื่นมาเช่นนี้

หากแต่ดื้นรั้นไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะเขาคงไม่อาจห้ามการกระทำของคนเหล่านี้ได้อยู่แล้ว
“กังวลอะไรรึท่านสีหน้าไม่ค่อยดี”  ขุนนางอีกคนที่มากับโยเฮนเอ่ยถามด้วยลักษณะที่ไม่ได้ถามเพราะเป็นห่วงเขาแม้แต่น้อย

“นั่นสิ หึ หน้าซีดด้วยร้อนตัวสินะ” โยเฮนเหยียดยิ้มให้ก่อนจะหันไปสั่งการทหารที่ยทนล้อมรอบ

“รื้อให้หมด!”

เหล่าทหารกรูกันเข้าไปทึ้งรื้อและตรวจที่นอนเสียถ้วนถี่ บ้างก็ดูที่ผ้าปู บ้างดูที่ฟูกหรือกระทั่งผ้าห่ม หลังจากก้มๆเงยๆหาจุดที่เด่นเป็นคราบอยู่ซักพัก หนึ่งในนั้นก็ดึงเอาผ้าปูที่นอนผืนใหญ่มาทั้งผืนแล้วตรงมาทางขุนนางนายตน

“มีคราบที่ระบุไม่ได้อยู่ในจุดนี้ครับ”

ขุนนางทั้งสองดึงผ้าผืนนั้นไปสำรวจ แต่ก็พบเพียงรอยคราบอย่างที่บอกซึ่งในตอนนี้ด้วยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคราบอะไรและเกิดจากอะไร หากแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ยัดเยียดแลกล่าวหาขึ้นมาเสียดื้อๆ

“นี่มันต้องเป็นคราบสกปรกของน้ำวิสุทธิ์ของเจ้าเป็นแน่”

“แล้วมันใช่สีขุ่นไหมเล่า” เด็กหนุ่มย้อนกลับไปด้วยใบหน้าที่เริ่มตึงเล็กน้อย

“เจ้าคิดว่าการที่เจ้าเช็ดคราบมันออกไปจะทำให้เจ้าพ้นผิดงั้นรึ หน้าโง่ทำเป็นนี้ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าร้อนตัวถึงต้องทำลายหลักฐานแบบนี้”

“สิ่งที่ท่านพูดนั้นยืนยันไม่ได้”

“ความเป็นเทพของเจ้าก็ยืนยันไม่ได้เช่นกัน ทหาร!หาผ้าที่มันใช้เช็ดคราบผ้าปูที่นอนนี้ให้เจอมันต้องซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่ง รื้อให้หมด!”

ครานี้โรเรเนสกลับร้อนร้อยรนอย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะว่าคราบเปียกลื่นนั้นไม่ได้หายไปด้วยอันตราธาน แต่เป็นเขาเองที่เช็ดถูมันให้หาย ให้จางลงไป ด้วยสิ่งที่ใกล้ตัวเท่าที่จะหาได้และผ้าผืนนั้นที่ถูกนำมาใช้ก็แน่นอนว่ายังมีคราบขุ่นๆที่ถูกเช็ดออกติดอยู่ด้วย
สองขุนนางเห็นใบหน้าที่กลับซีดเผือดลงของเด็กหนุ่มจึงหันมายิ้มเย้ยให้กันอย่างมีชัย อีกฝ่ายที่รู้สึกถึงการหยามเหยียดเช่นนั้นก็ค้อนมองตอบก่อนจะขบริมฝีปากลงอย่างอึดอัดใจ
 
เขาพยามก้มมองต่ำไม่สนการร้นค้นของเหล่าทหารด้วยไม่ต้องการจะชี้โพรงให้กระรอก ไม่ต้องการให้ฝ่ายที่มาบุกรุกรู้หรือจับสังเกตุได้ว่าเขาซ่อนผ้าผืนนั้นไว้ที่ไหน ซึ่งก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นเมื่อผ่านไปนานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจอของชิ้นนั้นขุนนางทั้งสองก็เริ่มหงุดหงิด จนท้ายแล้วจึงสั่งให้ทหารหยุด แล้วจึงหันมามองหนุ่มเกศม่วงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

“ซ่อนของเก่งนักนะ คิดว่าเจ้าจะรอดตัวไปได้โดยง่ายงั้นรึ”

โยเฮนมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาประสงค์ร้ายขณะที่พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่ก็กลายเป็นสหายของเขาที่มาด้วยกันกลับคิดขึ้นมาได้ก่อน

“จับมันเปลื้องผ้าเสีย บนตัวมันต้องยังมีร่องรอยอยู่เป็นแน่!”

เจ้าของห้องแตกตื่นกับความคิดนั้นเป็นอย่างมาก เขาจับกระชับเสื้อตนทันทีแล้วถอยหนีอย่างตระหนก

“ทำแบบนั้นไม่ได้นะ!”

หากแต่หนีไปไม่ได้กี่ก้าวพวกทหารก็กรูกันเขามาจับแขนทั้งสองข้างเขาไว้ แม้นจะพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด

“กลัวอะไรเล่า เจ้าไม่มีอะไรต้องปิดบังมิใช่รึ”

“ยะ หยุดนะ ปล่อยข้า!”

มือสกปรกเอื้อมตรงไปที่ชายชุดเด็กหนุ่มหมายจะจับเลิกเสียให้เห็นเนื้อ ในขณะที่เหยื่อรูปงามพยายามคิดหาทางแก้ทั้งใบหน้าเปียกเหงื่อ

“ราห์โอสั่งห้ามทุกคนแตะตัวข้าท่านจำไม่ได้รึ!”

“อย่าเอาคำพระองค์มาอ้างให้แปดเปื้อนเหลวไหล ข้าก็บอกแล้วอย่างไรว่าได้รับคำสั่งมา”

“ทรงสั่งให้ตรวจสอบห้องข้าได้แต่ไม่ได้บอกให้แตะตัวข้าได้นี่ ถ้าเขายอมเช่นนั้นจริงก็ให้เขามายืนยันเองหากแต่มิใช่ ไม่ว่าท่านจะมีเหตุผลอันชอบธรรมเพียงใดในการกระทำเยี่ยงนี้ ก็เท่ากับท่านขัดคำสั่งราห์โออยู่ดี  ด้วยราห์โอเคยประกาศไว้ในห้องชุมนุมคราก่อนโน่นแล้วว่าใครก็ห้ามแตะตัวข้าเว้นแต่หมอหลวงเพียงเท่านั้น!”

ฝ่ามือที่หมายจะจับทึ้งกลับหยุดค้างกลางอากาศก่อนจะหดกลับไปอย่างขัดใจ

ทั้งหมดเงียบไปด้วยคิดคำนึง ใบหน้าของสองขุนนางออกอาการชัดว่าหนักใจระคนโกรธ แต่ก็ครุ่นคิดเป็นอันมากเพราะถึงแม้เขาจะพิสูจน์ได้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่เทพแต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าพระองค์จะทรงยอมหรือยินดีที่ให้เขา เห็น หรือ สัมผัสชายคนนี้ ด้วยเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าราห์โอทรงจะตัดสินพระทัยเช่นไรกับบุรุษรูปงามผู้นี้ แล้วอันที่จริงก็ทรงแสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาว่า เด็กหนุ่มเกศม่วงเป็นสมบัติของพระองค์

โยเฮนกัดฟันกรอดด้วยมิอาจทำได้ดั่งใจ

“ปล่อย!”

เขาสั่งด้วยเสียงกร้าว พวกทหารจึงยอมปล่อยและผละตัวออกอย่างง่ายดาย ขุนนางอีกคนออกอาการตกใจละลำละลักเมื่อด้วยเห็นเป็นดังนั้น
“แต่ท่านโยเฮน ถ้าไม่ทำแบบนี้เราก็ไม่อาจพิสูจน์ได้นะท่าน”

“ไอเด็กนี่มันพูดถูก คำสั่งของกษัตริย์เป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์มิอาจละเมิดได้ ทรงห้ามไว้แล้วว่าไม่มีใครนอกจากพระองค์และหมอหลวงที่จะสัมผัสตัวชายผู้นี้ได้”

เขาเอ่ยโดยไม่ได้มองสหายตนแต่แววตาดุดันอาฆาตยังประสบมองกับแววตาอีกฝ่ายที่ยังหอบเหนื่อยด้วยตกใจและโกรธอยู่ เทพหนุ่มจ้องตอบอย่างไม่ลดละเขาไม่คิดจะหลุบตาหนีจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมก่อน

“วันนี้เจ้ารอดไปได้แต่ไม่ได้แปลว่าอื่นๆเจ้าจะรอดได้ อย่าชะล่าใจไปนักเลย”

จบคำเขาก็ตวัดตากลับแล้วเดินรี่ออกจากห้องไปพร้อมพรรคพวกของตน ทิ้งเจ้าของห้องให้อยู่กับเศษซากเละเทะของการรื้อค้น
เขาทรุดนั่งแทบจะในทันทีเมื่อเสียงปิดประตูปังดังขึ้นตามหลังการจากลาของเหล่าทหาร ไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกอย่างไร มันจุกๆที่คอ รื้นๆที่ตาเหมือนอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ทั้งเหนื่อย ตระหนกและหนักใจ หนักอึ้งในใจอึดอันจวนจะอาเจียน ปากคอแห้งผากและปวดหัว เขามองไปรอบๆห้องอย่างสับสน

คิดไม่ออก มีหลายอย่างในหัวตอนนี้ที่สงสัยเต็มไปหมด ทั้งว่าทำไมน้ำที่ขับออกมาจึงเป็นสีขุ่น? ทำนางต้นห้องจึงหายไปหมด? ชาช่าไปไหม? คนใช้ไปไหน? ทำไมมันต้องไม่มีใครอยู่เลยเวลาที่เขาต้องการ? เกิดอะไรขึ้น? ฟารันต้องการแบบนี้จริงๆหรือ?
ไม่รู้ รู้แต่แค่อยากอาบน้ำ...........


*****************


                 โรเรเนสเดินออกมาจากห้องนอนแล้วตรงไปที่ห้องอาบน้ำที่ใกล้ที่สุดและเป็นห้องอาบน้ำที่เขาใช้ประจำ มันเงียบอย่างผิดปรกติและไม่มีใครอยู่ซักคน ทั้งที่น่าจะเริ่มได้ยินเสียงจอแจของเหล่าคนรับใช้ดังแว่วๆตามมุมต่างๆอย่างที่ควรจะเป็นแต่กลับไม่มีเลย ไม่มีใครเฝ้าอยู่หน้าห้องเขาเหมือนเคย ตามทางเดินก็ไม่เจอผู้ใด เรื่อยไปจนถึงห้องอาบน้ำก็ไม่มีใครเตรียมของไว้ให้ หากแต่ยังดีที่ตามปรกติจะมีผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมจัดเป็นชุดสำรองไว้ในห้องอาบน้ำอยู่แล้วเขาจึงสามารถชำระล้างเนื้อตัวของตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการบริการจัดแจงเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำจากใคร

ห้องอาบน้ำห้องนี้ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ กึ่งๆเป็นห้องอาบน้ำรวมเสียด้วยซ้ำเพราะมันมีไว้ให้บรรดาแขกคนสำคัญของกษัตริย์มาใช้บริการยามพักพิง หากแต่ขณะนี้ไม่มีอาคันตุกะใดๆ เขาจึงเป็นคนเดียวที่ใช้ที่นี่เป็นประจำ มันเป็นฆ้องน้ำที่สร้างจากหินเนื้อดีที่จะไม่เป็นคราบและตะไคร่เมื่ออยู่กับน้ำนานๆ ผนังรอบด้านมีรูปสลักนูนต่ำทาสีสวยอย่างวิจิตร กลางห้องเป็นสระน้ำรูปผืนผ้าที่รอบด้วยเสาหินและมีบันไดให้เดินลงไปยังสระ ที่ผนังด้านหนึ่งเป็นส่วนที่ติดกับสระน้ำและไม่มีพื้นที่ให้เดินเหมือนสามทิศที่เหลือ รูปสลักหัวสิงโตยื่นออกมาจากผนัง มันเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียวในสระนี้ ด้วยน้ำใสเย็นสะอาดไหลซู่ออกจากปากของมันอย่างสม่ำเสมอและตลอดเวลา หากแต่น้ำนั้นไม่เคยเอ่อท่วมด้วยระบบระบายและทำความสะอาดอย่างสร้างไว้อย่างดีตามจุดต่างๆทั่วก้นสระ

โรเรเนสเปิดตู้ไม้ที่ตั้งอยู่ในบริเวณแล้วหยิบผ้าออกมาสองพับพร้อมปิ่นปักผม วางทั้งหมดลงที่ขอบสระก่อนจะถอดผ้าตนแล้วใช้ปิ่นปักมวยผมที่ม้วนไว้ จากนั้นก็ลงไปในน้ำ เขาล้างเนื้อล้างตัวอย่างถ้วนถี่ด้วยไม่คิดจะอยากเหลือร่องรอยอะไรไว้กับตัว ตั้งแต่ปลายเท้ายันหน้าตาที่เขาตั้งใจชโลมน้ำให้สดชื่น

เมื่อขัดถูกทั่วตัวไประยะหนึ่งจึงเริ่มว่ายออกไปยังกลางสระซึ่งใต้น้ำที่หากดูแต่ผิวก็เข้าใจว่าเหมือนกันหมด ทว่าจุดกึ่งกลางสระกลับก่อสร้างพื้นให้สูงขึ้นมาเหมือนเป็นที่นั่งในหย่อนใจแช่น้ำอย่างไม่ต้องสนใจใครได้ เขานั่งลงที่จุดนั้นปล่อยหลังให้พิงกับพนักพิงที่อยู่ใต้น้ำเช่นกัน ปล่อยให้ร่างทั้งร่างไร้แรงแรงการควบคุมให้มันผ่อนคลายจากความเครียดเมื่อครู่

แล้วเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

ให้ตายสิ ข้าจะทำอย่างไรดี

จู่ๆเหมือนทุกอย่างที่กำลังไปได้ดีก็ล้มครืนลงมาเฉยๆด้วยเพราะเจ้าน้ำสีขุ่นที่ออกมาจากร่างกายเขา....ได้อย่างไรก็ไม่ทราบทั้งที่ก็เคยเห็นเป็นสีใสๆมาก่อนแท้ๆ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาสะกิดใจได้ว่าพวกขุนนาง ซึ่งไม่รู้มีกันกี่คนแต่ที่แน่ๆต้องมีโยเฮน จงใจทำบางอย่างกับร่างกายเขาให้เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โกรธแค้นกันมาจากปางไหน เหตุใดถึงอยากให้เขาตายและไม่รู้ว่าอย่างไรหรือวิธใด ด้วยเวทย์มนต์ของเหล่ามนุษย์นั้นในตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง อาจมีการทำพิธีบางอย่างจากพ่อมดบางคนทำให้เป็นเช่นนี้ หรือเปล่า? ไม่ทราบ

หรือกระทั่งมันอาจเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อยามที่เทพที่ลงมาเป็นมนุษย์อยู่บนโลกไปได้ซักพักน้ำวิสทุธิ์ก็จะพลันกลายเป็นสีขาวเหมือนเช่นมนุษย์ปุถุชนงั้นรึ? เขาก็ไม่รู้ ก็มันยังไม่เคยมีใครกลายเป็นเทพด้วยวิธีอันเชิญแบบที่เขาเจอนี่นา แลถึงแม้ตัวเขาจะได้กลับไปเป็นเทพก็คงตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากรณีเทพที่แปรสภาพจากเทวรูปองค์ปฐมนั้นควรมีลักษณะเช่นใดกันแน่ ด้วยกรณีการกลายเป็นมนุษย์ของเขานั้นมีพบได้น้อย มีองค์ความรู้ที่น้อยมากในหมู่มนุษย์และไม่มากไปกว่ากันในแดนเทพ

สำหรับอะไรที่นานๆเกิดทีแถมยังเป็นเหตุสุวิสัย(เพราะแต่เดิมผู้ที่ต้องลงมานั้นเป็นเทพีอนามอเฟียมิใช่ตัวเขา) ยิ่งยากแก่การคาดเดาไปใหญ่ว่าอะไรจะเป็นอะไรไปในทิศทางไหน คงเพราะเช่นนี้กระมังที่เขาไม่ได้รับสัญญาณการติดต่อหรือช่วยเหลือใดๆจากทางสวรรค์เลย คงเพราะทางนั้นก็อาจติดขัดอะไรบางอย่างที่ไม่อาจฝ่าผืนได้ก็เป็นได้ ในกรณีที่มีคนรู้น้อยเช่นนี้การจะตัดสินใจกระทำการใดๆลงไปของเหล่าเทพก็ต้องรอบครอบยิ่งขึ้นกว่าที่เคย

เอื้อมมือขึ้นจับท้ายทอยของตนก่อนจะนวดช้าๆอย่างเหนื่อยล้า คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันสีหน้านั้นเห็นชัดถึงการครุ่นคิดอย่างหนัก

“จะรอดไปได้กี่วันล่ะเนี่ย”

เขารำพึงกับตัวเองขณะเริ่มคิดถึงทางแก้ เขาเชื่อว่าน้ำวิสุทธิ์ที่แก่นกายเขาขับมาต้องกลับไปเป็นสีใสได้แน่ แต่ไม่รู้ว่าอย่างไร ซึ่งเรื่องนั้นเขาต้องให้ท่านหมอช่วยจัดการ ไม่ว่าจะวิธีไหน มันอาจมียาบางตัวที่ช่วยได้หรือหากเป็นเวทย์มนต์ก็ต้องให้ท่านหมอช่วยหาคนจัดการเรื่องนี้ แต่ในระหว่างนี้จะยังให้ฟารันรู้ไม่ได้ไม่ใช่แค่ไม่อยากโดนลงโทษ....แต่ก็ไม่อยากให้ฟารันเสียความรู้สึกเสียมากกว่า

เขาคงต้องบ่ายเบี่ยงไปเสียทุกทางเพื่อไม่เปิดเผยเรื่องนี้ หรือร้ายที่สุดคือหนีไปเลยก็เป็นได้ จนเมื่อความทรงจำของเขากลับมาได้หมด น้ำวุสิทธิ์นั้นมีสีใส ครบถ้วนกระบวนความคุณสมบัติความเป็นเทพ เมื่อนั้นค่อยกลับมาพบฟารันใหม่จะดีกว่าไหม ถึงแม้จะต้องทรมาณใจที่จะไม่ได้เจอหน้ากันอีกแต่ถ้าฟารันจับได้ถึงเรื่องน้ำสีขุ่นนี้ มันคงเป็นทรมาณที่แสนสาหัสยิ่งกว่าที่ต้องกลายเป็นคนโกหกในสายตาของอีกฝ่าย สู้หายไปเลยยังจะดีกว่า

ไว้ก่อนแล้วกัน!

พลางปล่อยร่างกายให้แผ่ทิ้งไปกับน้ำ ให้ละลอกคลื่นน้อยๆกระเพื่อนผ่านตัวไปแล้วปล่อยใจให้ไม่คิดสิ่งใด ยามนี้ขอพักก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ ไม่ต้องสนอะไรโรเรเนส ไม่ต้องสนอะไร ช่างมันไปเสียก่อน ช่างพวกขุนนาง ช่างพวกนักบวช ช่างฟารันไปด้วยประไรโรเรเนส....





ทว่า........





“รู้ไหมว่าข้าคาดหวังอะไร”
เสียงคุ้นเคยที่ทุ้มเย็นเยียบไร้อารมณ์ดังขึ้นแทรกระหว่างความเงียบและเสียงน้ำ




เทพหนุ่มลุกขึ้นนั่งแบบไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนจะหันไปมองด้านหลังช้าๆ ใจนึงยังหวังให้ตัวเองหูฝาดไป วูบหนึ่งเขาหวังให้หันไปแล้วไม่เจอใคร ทว่าหูเขาไม่ได้ฝาดและที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เป็นตัวเป็นตนชัดเจน

ใบหน้าไร้เลือดซีดเผือดเหมือนคนตาย จับจ้องอยูที่ชาย ณ ขอบสระในมือเขาผู้นั้นถือชุดที่เขาเพิ่งถอดวางไว้เมื่อครู่ ปลายนิ้วมืออีกข้างที่ว่างเปล่ากลับปรากฎเห็นเป็นเหมือนหยาดน้ำสีขุนข้นลื่นซึ่งเพิ่งปัดป้ายออกมาจากชุด ด้วยโรเรเนสนั้นไม่ทันสังเกตุว่าบางส่วนของน้ำสีขุ่นข้นของเขายังมีเหลือติดเป็นคราบอยู่บนชุดนอน

ซึ่งส่วนสุดท้ายที่เผลอเรอนั้นตอนนี้กลับอยู่บนปลายนิ้วของผู้มาเยือน ใช่เห็นได้อย่างชัดเจนมันมีสีขาวขุ่นหาใช่สีใสดั่งควรจะเป็นไม่ ใช่เขาเห็นแล้วและมองมาที่ผู้ที่อยู่กลางสระด้วยสายตาเย็นชายะเยียบเยือกปนอยู่กับอารมณ์มากมายที่ยังไม่สามารถอ่านได้ในตอนนี้

เหมือนหัวใจแลวิญญาณหล่นร่วงหายไปจากร่าง แต่ปากบางๆที่สั่นนั้นก็ยังฝืนเอ่ยนามของผู้มาเยือนอย่างแผ่นเบา ด้วยไม่อาจเหลือแรงให้เปล่งเสียงมากเท่าใดนัก เอ่ยขึ้นเหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่าจะพูดกับใครในห้องนี้....

“ฟารัน...”

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

มาลงเพิ่มแล้วเย่ ในที่สุดก็ผ่านพ้นวันวาเลนไทไปด้วยการเขียนฟิคจนได้เย่ๆ ดีใจจัง  :sad4: อยู่คนเดียวในวันวาเลนไทนี่ดีนะคะได้มีเวลาเป็นของตัวเองในขณะที่คนมีคู่เค้าทำไม่ได้เนอะ มีความสุขที่สุดเลย  :hao5: :hao7:

ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ

หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 15-02-2015 03:22:22
อ่านรวดเดียวเลย ลุ้นๆๆๆ ทำไมเป็นเทพแต่มีอุปสรรคเยอะงี้ล่ะ :a5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 15-02-2015 04:00:07
 :katai1: อ๋าาาาา ฟารันนนน จะทำไงต่อไปเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 15-02-2015 06:16:30
ใจหวิวเลยยยย  :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 15-02-2015 07:18:40
ก็เเล้วเเต่นะค่ะท่านฟารัน สั่งประหารน้องได้ก็ทำไปยังไงน้องก็กลับไปเป็นเทพอยู่ดี
ถ้าจะทำอย่างนั้นฉันบอกเลยว่าจะไม่เชียร์เธอต่อเเน่นอน โฮะๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 15-02-2015 08:19:18
ตายนะดีแล้ว ดีกว่าจะอยู่ให้เก็บซ้ำ แต่ดูแล้วคนแต่งคงจะทรมานนายเอกให้ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ปล่อยมันไป ว่าจะไม่อ่าน พออ่านแล้วอารมณ์เสีย รอจบค่อยมาอ่านที่เดียวขี่เกียจลุ้น
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 15-02-2015 09:33:44


เฮ้อ ออ .สนุกดีนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 15-02-2015 10:07:40
ง่าทำไมถึงไม่ใช่สีใสล่ะ? ฟารันอย่าทำร้ายเทพเลยนะ :mew4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 15-02-2015 10:12:26
ลุ้นมากกกก :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 15-02-2015 10:26:54
เหอะ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์  :serius2:

ขอให้เรื่องคลี่คลายเร็วๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 15-02-2015 11:04:29
ฟารันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  ฟังเรโ รเนสก่อนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน :heaven
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Foey ที่ 15-02-2015 11:31:56
ค้างสุดๆเลย   :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 15-02-2015 11:48:52
ค้างมากกกกกกกกกกก

ฟารัน ฟังก่อนดิ

ฟังก่อนนนนนนน

สงสารโรเรเนสอ่ะ

 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 15-02-2015 15:08:15
ไหงฟารันมาเจอเร็วงี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Saint ที่ 15-02-2015 20:43:24
 :z3: :z3: งื้อ มาต่อไวๆนะครับ ลุ้นๆ สนุกดี ชอบๆ  :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.1 15/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 16-02-2015 07:32:06
ไม่นะมาเร็วจังจะเข้าใจผิดไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 24-02-2015 02:03:56

“เจ้าไม่มีสิทธิเรียกชื่อข้า” เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นแข็งกร้าวเช่นเดียวกับแววตาวาวโรจน์ด้วยใจแค้น ก่อนจะข่มลงเล็กน้อยเพื่อพูดบางอย่างที่เขาคิดว่าสำคัญต่อ

“รู้ไหมข้าคาดหวังอะไรตอนที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดนั่นอยู่หลังประตู”

เมื่อครู่ฟารันก็อยู่ที่นั่นในขณะที่ข้าโดนค้นห้อง?

“ตอนแรกข้าก็กะเกณฑ์ว่าจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง.....”  ร่างสูงค่อยๆพูดด้วยใจเย็น ด้วยเหมือนพยายามข่มความรู้สึกบางอย่างไว้ขณะอธิบายความ เขาย่างเดินช้าๆแต่มั่นคงจากฝั่งหนึ่งของขอบสระ ค่อยๆไปสู่อีกฝั่งที่ใกล้คนที่อยู่ในน้ำมากกว่า ขณะนั้นก็ยังเอ่ย

“ข้ากะว่า หากน้ำพิสุทธิ์เจ้าขับเคลื่อนยามฝันขึ้นมาได้ข้าก็จะมาดูกับตาเองว่ามันใช่สีใสหรือไม่”

“ทะ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเช้านี้ข้า ข้าจะ”

หากแต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามนั้นกลับกล่าวต่อไป
“แต่ท่านโยเฮนได้ห้ามข้าเอาไว้ ด้วยเหตุว่าเกรงว่าเจ้า....จะออดอ้อนให้ข้าใจอ่อน เขาจึงอาสามาทำแทน...ซึ่งข้าก็อนุญาติ”

“..........”

“ตอนแรกข้าก็ว่ามันตลกนัก ที่เจ้าจะมาอ้อนข้าเพราะที่ผ่านมาก็เอาแต่หนีและข้าก็มั่นใจว่าตัวเองรู้จักเจ้าพอ...และรู้ว่าเจ้าต้องไม่ใช่คนเอาตัวรอดอะไรแบบนั้น.....แต่นั่นคงเป็นความโง่ของข้าเอง” เขาหยุดยืนแล้วสูดหายใจเข้าช้าๆ “ข้าจึงให้ท่านโยเฮนจัดการ แต่ด้วยใจร้อนจึงตามมาดูด้วย...แน่นอน ไม่มีใครรู้ และตอนนั้น ตอนที่ข้าเฝ้ามองและลอบฟังทุกอย่างที่เกิดขึ้น ข้าหวังนะ...”

ตาเศร้ามองดูผู้พูดอย่างปวดร้าว ความกลัวมากมายแล่นริ้วเข้าสู่จิตใจ...

“ข้าหวังว่าจะเห็นสีหน้าของผู้ไร้เดียงสา สีหน้าของคนไม่ประสีประสาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตามต่อด้วยสีหน้าคัดค้านของผู้ที่มั่นใจว่าตัวเองถูก ผู้ที่รู้อยู่กับหัวใจตัวเองว่าตัวเองบริสุทธิ์ รู้ว่าความจริงคืออะไรและกล้าที่จะเผชิญทุกการพิสูจน์...ตอนนั้นข้ามั่นใจ มั่นใจเลยว่าต้องเป็นแบบนั้น”

ครานี้เขาหยุดอีกครั้ง หยุดนิ่งแล้วหันมามองก่อนน้ำเสียงแล้วแววตาจะแปรไปในทางที่เจ็บปวด ทรมาณและเจ็บแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“แต่รู้ไหมข้าเห็นอะไร”

ใบหน้างามซีดเผือดดวงตาของเขารื่นน้ำขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกจุกอยู่ที่คออึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าเห็น....ข้าเห็นความกลัว กลัวว่าจะโดนจับได้ มันชัดเจนพอๆกับหน้าซีดๆของเจ้าของโดนค้นห้อง เพราะอะไรรู้ไหม” เขาขบฟันกรอดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเค้นตะคอกออกมา

 “เพราะเจ้ารู้อย่างไรเล่า!! ว่าตัวเองทำอะไรผิด!”

ร่างเนียนผงะไปเล็กน้อยด้วยตกใจกับเสียงตะคอกนั่น 

“มันเป็นแววตาของคนที่รู้อยู่เต็มอก รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าปิดซ่อนอะไรไว้ มันไม่ใช่แววตาของคนมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง!! แต่มันเป็นแววตาหวาดหวั่นของคนมีชะนักติดหลัง!!”

เสียงตะคอกดังต่อเนื่อง ก่อนจะท้นท่วมด้วยความปวดใจที่เจ้าตัวพ่นออกมา

“ตอนนั้นข้าก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง ข้าถกเถียงข้าย้อนแย้งทุกอย่างอยู่ในหัวมันเพราะอะไรรู้ไหม มันเพราะว่าข้าเชื่อ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่โกหกข้า ข้าจึงต้องตามมาดูเองให้เห็นกับตาว่าเจ้าไม่ได้ร้อนตัว ว่าที่เจ้าทำหน้าเหมือนคนผิดตอนถูกค้นห้องเป็นเพราะเจ้ากลัว แต่สุดท้ายข้ามันก็แค่ไอ้โง่!” เขาเควี่ยงชุดที่อยู่ในมือทิ้งไปกับพื้น “โง่ที่เชื่อคนอย่างเจ้า! เพราะเจ้ามันตลบแตลงตอแหลและไร้หัวใจ! มันสนุกมากใช่ไหมที่เล่นกับความรู้สึกคนอื่นน่ะหา!”

ร่างบางเริ่มสะอื้นน้อยๆ ริมฝีปากบางถูกขบด้วยใจที่รวดร้าว เขารู้ใช่ เขารู้ว่าไม่อาจแก้อะไรได้ ในเมื่อทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นความจริงและไม่คิดว่าเขาจะรับฟังคำแก้ตัวใดๆแม้นจะมีความจริงอื่นๆที่ยังไม่รู้มากแค่ไหน คงไม่แล้วไม่มีแล้ว หัวใจปวดร้าวพอกันทั้สองฝ่าย

ขาดไปแล้ว

ทั้งหมดที่เคยพยายามสร้างกันมา รู้ดีแล้ว รู้ดี หากแต่ก็ต้องพูดทั้งหมดออกไป ไม่เขาไม่เคยคิดจะโกหก แม้นกระทั่งจนแต้มเขาก็จะพูด

 เขาค่อยๆเผยอปากที่สั่นระริกนั้นแล้วเอ่ยแย้งออกมา

“ฮึก ไม่นะ  มันไม่ใช่แบบนั้นนะฟารัน”

“อย่าบังอาจมาเรียกชื่อข้าไอ้คนลวงโลก!”

เสียงตะโกณดังลั่นสาดใส่หน้า พาลให้หยาดน้ำตารินไหลลงมาอย่างไม่อาจกั้น 

“มันไม่จริงนะ ฮึก ข้า ข้าไม่เคยหลอกท่านไม่เลย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตอบมา!ว่าไอ้คราบสีขุ่นนี้มันไม่ใช่ของเจ้า!”

เด็กหนุ่มขบปากแน่นจนห้อเลือด เขาจะทำอย่างไรดีไม่มีอะไรให้เชื่อถือได้เลยแม้นแต่น้อย ไม่มีเลย
“แต่ก่อนหน้านี้มันเป็นสีใส ข้า ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้มัน อึก...”


“ไร้สาระ! จะบอกว่าจู่ๆมันก็เป็นไปเองงงั้นเหรอ! เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำลวงโง่ๆเช่นนั้นหรือไร หา! คิดว่าข้าโง่นักหรอ ถ้าคิดจะแกตัวทำไมไม่ทำให้มันฉลาดกว่านี้ เอาให้ฉลาดเหมือนตอนที่หลอกข้าแบบที่ผ่านมานั่นละดีไหม!”

“จะให้ข้าพูดเช่นไรในเมื่อความจริงมันมีแค่นั้น!”


เด็กหนุ่มสุดทนตะโกนสวนกลับไปก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วตัวสั่นปล่อยให้น้ำตาพรากลงมาเป็นสาย

ฟารันนิ่งมองด้วยตาคมปลาบ แววตาลุ่มลึกนั้นมองจ้องดั่งกรีดผิวชำแลกแทรกให้แหลกสลาย ความแค้นนั้นปรากฏลึกเข้าไปในแววตา

“จะบอกว่าน้ำสีขุ่นนี้มันแค่บังเอิญมาเกิดตอนนี้สินะ”

“........”

“ขึ้นมาเดี๋ยวนี้”

“?!”

ตาวาวน้ำพลันเบิกโพลงขึ้นมากับคำสั่งเช่นนั้น

“มะ..ไม่”

เสียงสั่นเครือเอ่ยไปอย่างหวาดหวั่น ราห์โอหนุ่มจึงย้ำคำด้วยเสียงหนักทั้งกัดฟันกรอด

“ข้าบอกให้ขึ้นมา”

โรเรเนสเบิ่งตามองนิ่ง....ก่อนจะส่ายหัวช้าๆ
ไม่..ฟารันในขณะนี้ไม่มีสติพอที่จะไว้ใจได้

แล้วก็เป็นดั่งเช่นที่ใจคิดด้วยราห์โอเดินลงน้ำทั้งที่ใส่เสื้อผ้าเขาพุ่งตรงมากลางสระหมายจะจับตัว   อีกฝ่ายก็ลนลานหนีหากแต่หาได้หนีพ้นไม่ ด้วยเมื่อพยายามว่ายไปอีกฝั่งราห์โอก็คว้าแขนเขาแล้วฉุดไปได้

“ได้โปรดเถิด! อย่า! อย่าทำอะไรข้าเลย”

ไม่ฟังคำทัดทานใดเขาก็ถูกลากขึ้นไปยังริมสระ ก่อนที่ฟารันจะจับขึ้นมานั่งประชิดตัวแล้วกล่าวด้วยเสียงกร้าว

“ก็ให้รู้กันไป!เช่นนี้จะได้ปฏิเสธไม่ได้!”

จบคำมือหยาบข้างหนึ่งก็ตรงเข้ากอบกำส่วนอ่อนไหวที่เพิ่งขับน้ำคาวหวานไปหมาดๆเมื่อคืน แลก็ยังหลงเหลือความรู้สึกซ่านน้อยๆจากอารมณ์ค้างเช่นนั้น ส่วนอีกข้างก็กอดแน่นยึดลำตัวไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดขณะกิจกรรมเริ่มดำเนินไป
ขย้ำเล่นเช่นเมื่อคืนที่แอบทำ แต่หนักหน่วงกว่าหมายจะให้สัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว

“อ้า!!! อ้า อย่า ฮึก อึก อื่อ”

เสียงหวานปนสั่วเริ่มดังขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว เมื่อถูกสัมผัสจุดอ่อนไหวเรี่ยวแรงก็พลันหายไปให้ไม่ได้ดิ้นหนีใดๆ แก่นกายตื่นตัวถึงแข็งขืนทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเมื่อชูชันขึ้นเป็นลำสีชมพูชัด มือขยุมขยำก็เปลี่ยนเป็นบีบรัดแล้วจับรูดถี่ๆโดยไม่สนใจการอ้อนวอน

“อ้า! อ้า อ๊ะ อ๊ะ อื้อ ฮึก ไม่ อย่า! อ๊า!”

ทั้งอายทั้งตกใจและไม่รู้จะทำเช่นไร แลสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่เอื้อให้เขามีสติจะทำอะไรทั้งนั้น แม้นเบื้องลึกอยากหลุดหนีหายไปไม่ให้ฟารันรู้มากกว่านี้ ไม่อยากให้น้ำสีขุ่นออกมาย้ำความผิดตัวให้หนักแน่นกว่าเดิมแต่ก็ทำไม่ได้ ต้องปล่อยให้มือร้อนนั้นกำรัดขยับเคลื่อนถี่ๆอยู่ตรงหว่างขาตน

“อ๊า!!!”

น้ำสีขุ่นพวยพุ่งมากมาจนเปรอะเลอะทั้งต้นขาและฝ่ามือ กิจกรรมทั้งหมดหยุดนิ่งไปกษัติรย์หนุ่มอึ้งมองคราบน้ำสีขาวมีฝ่ามือตนขณะร่างที่แดงระเรือไปทั้งตัวและเป็นมากที่หว่างขายังหอบกระเส่าอยู่กลางอกตน
ตาเศร้าเชื่อมนิ่งมองคราบนั้นที่หว่างขาตน

 ชัดเจน...ไม่มีอะไรให้เถียงได้อีกหรือจะให้แก้ตัวว่าอย่างไร?

เขาไม่กล้าหันไปมองสีหน้าของอีกคน ซึ่งหากหันไปก็คงได้เห็นแววตาปวดร้าวลึกระคนโกรธแค้นอย่างน่ากลัวนั่น
ฟารันนิ่ง กำลังคิดอะไรบางอย่างที่ทำให้ความโกรธทวีเพิ่มชัดบนใบหน้าก่อนจะคว้าผ้าดิบที่อยู่ใกล้ตัวมาห่อร่างเปลือยเปียกปอนนั้นอย่างลวกๆ  เด็กหนุ่มคืนสติและเริ่มตระหนกเมื่ออีกฝ่ายอุ้มตนพาดบ่าทั้งห่อผ้าอยู่

“ท่านจะพาข้าไปไหน!!”

ไม่มีเสียงตอบร่างกำยำนั้นเดินก้าวตรงไปอย่างเร็ว มีเพียงแผ่นหินบนพื้นที่ผ่านหน้าไปเร็วๆให้เห็นได้โรเรเนสจึงยังนึกไม่ค่อยออกว่าตนกำลังถูกพาไปในทิศทางไหน จนเมื่อเหมือนเข้าเขตห้องที่อยู่ใกล้ที่สุดเขาถึงรู้ว่าเป็นห้องที่ตนไม่คุ้นด้วยผืนพรมบนพื้นดูแปลกตา

แต่แล้วโลกกลับตาลปัตรพลิกด้านอย่างฉับพลันแล้วก็พบว่าแผ่นหลังของตนลงกระแทกลงบนผิวเตียง ฟารันจับเขาโยนขึ้นเตียงอย่างไม่ใยดี

เขาลนลานตกใจเมื่อสิ่งที่ไม่อยากนึกถึงแล่นแว่บเข้ามาในหัว ดวงตาแข็งกร้าวจากอีกฝ่ายไม่ได้มีเมตตาใดใดอยู่บ้างเลย

“ทะ ท่านจะทำอะไรน่ะ”

“ถ้าเจ้าไม่ใช่เทพ ทำเช่นนี้ก็ไม่ผิดสินะ” เสียงเย็นชาทำให้หนาวเยือก ฟารันถอดชุดเปียกน้ำของตนทิ้งก่อนจะลงกดอีกฝ่ายมิให้หนี

“อย่านะ! อื้อ!”

สุ้มเสียงแลขาดหายไป เมื่อถูกประกบปากอย่างทันทีลิ้นสากสอดใส่ดูดดึงอย่างหนักหน่วงแล้วเกี่ยวกระหวัดอย่างช่ำชองกึ่งกระตุ้นกึ่งลุกล้ำให้เหมือนระคนจะโอนอ่อนอีกใจก็ขัดขืนแล้วเสียงอู้อี้ก็มิอาจประท้วงใดใดได้ จนบดเบียดให้พึ่งใจจึงผละออก การประท้วงทั้งหมดก็สิ้นลงด้วยเด็กหนุ่มได้แต่หอบกระเส่าไร้เรี่ยวแรงร่างขาวๆสั่นน้อย ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหยาบเค้นลงไปเบื้องล่าง ร่างอันอ่อนไหวของเด็กหนุ่มก็ง่ายดายต่อการกระตุ้นขึ้นใหม่

ริมฝีปากนั้นก้มลงอีกครั้งเพื่อลิ้มเลียยอดอกสีชมพูแล้วบดลิ้นสากลงเสียดสีเขี่ยเล่น ร่างนั้นค่อยๆบิดหนีด้วยความซ่านกระสันที่แล่นริ้วไปทั่วร่าง

“อื้ออ ฮ่าห์”

มือหยาบลูบไล้ไปให้ทั่วจนความซ่านทวีเพิ่มไปเน้นชัดที่แก่นกาย อารมณ์กระสันแพร่ทั่วจนปวดเกร็งแถวท้องน้อย แลมือมือข้างหนึ่งก็ล่วงลงที่ช่วงคับส่วนหลังอย่างมิให้ตั้งตัวก็สอดใส่นิ้วเข้าไป

“อ๊า!! อย่า”

นิ้วแกร่งนั้นถูกดันล่วงลึกจนเข้าไปจนสุด ความอึดอัดพลันเกิดแก่ผู้ถูกกระทำ พวงแก้มแดงระเรือเช่นเดียวกับปากบางที่สั่นระริกแววตาตกใจปนอ้อนวอนถูกส่งออกมาจากหน้าสวยหวานนั้น หากแต่เมื่อดันจนสุดนิ้วนั้นก็เริ่มขยับเข้าออกอย่างหนักหน่วงแลเพิ่มเป็นสองสามโดยไม่สนใจเสียงครางและอาการบิดเร่าของเทพหนุ่ม มือเรียวเริ่มจิกกำผืนผ้าข้างตัวด้วยเสียวซ่านจุกแน่นจากสิ่งที่ไม่เคยเจอ

“อ้า อ้า อื้ออ ฮึก เอาออกเถอะ ไม่เอา ไม่เอา อึดอัด อ๊ะ!”

กระชากออกหลังจากขยับอยู่ไม่นาน ชั่วแว่บนั้นหนุ่มเกศม่วงหวังใจให้ทุกอย่างจบลงแล้ว แต่ก็ต้องสะดุ้งกายอีกครั้งเมื่อสิ่งที่เบียดแทรกมาแทนทีกับเป็นแกนกายใหญ่โตที่อีกฝ่ายค่อยๆบดดันเข้ามาอย่างเร็ว

“อ๊า! ไม่”

โรเรเนสเอียงหน้าหนีด้วยความเจ็บ ปากบางหอบหายใจเอาอากาศเข้าหาตนขณะส่วนแข็งร้อนของอีกฝ่ายถูกดันเข้ามาจนเกือบสุด
ขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นแล้วกดลงจนเกือบชิดอก เมื่อฝ่ายบนขยับขึ้นมาคร่อมแล้วเริ่มขยับสะโพกเข้าออก

 “อ๊าาาาาาา!”

เริ่มจากค่อยๆขยับจนไม่นานก็เป็นกระแทกกระทั้นอย่างดุดันจนเกิดเป็นเสียงกระทบเปียกเป็นจังหวะถี่ๆ ผู้กระทำไม่ได้สนใจเลยว่าตนเองหรือใครจะเจ็บไหม สองมือเรียวของเด็กหนุ่มจิกแน่นลงกับที่นอน เขาครางหวานปวดร้าวอยู่ข้างใต้ บ้างสะอื้น บ้างหอบสลับกับการร้องเสียงหลงในบางจังหวะของการกระทบกันด้านใน

“อ๊า อ๊า อ๊ะ อึก อื้อออ เจ็บ อ้า”

แก่นกายของร่างกำยำนั้นยังคงเสียดสีอยู่ภายใน ความเจ็บจุกปนเสียวเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

“ไอ้คนโกหก!”

“ฮึก ไม่ อ้า อ้า”

เบียดกระแทกอย่างรุนแรงจนร่างงามนั้นตัวโยนไปตามจังหวะ ศีรษะและเส้นผมแถกไถขึ้นลงไปกับผิวเตียงนุ่มทุกครั้งเมื่อสะโพกนั้นดึงออกและดันเข้า ตาหวานหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยอ้อนวอน

“ฮึก ฟารัน”

“อย่ามาเรียกชื่อข้า!”

ตอบกลับด้วยเสียงอันดังแล้วแววตารวดร้าวที่ทรมาณใจไม่ย่อนไปกว่าผู้ถูกทำ มันช้ำลึกลงในข้างในกษัตริย์หนุ่มผู้นี้  เขาเห็นวงหน้าหวานสวยของผู้ที่เขาไว้ใจ แก้มแดงนั้น ปากนั้น หยาดเหงื่อที่ผุดพรายและดวงตาเศร้ารื้นน้ำตาที่น่าสงสาร แต่มันไม่ใช่เลยแม้นจะดูไร้เดียงสาเหมือนเช่นเคยแต่ก็เป็นเพียงภาพลวงตา ด้วยทั้งมวลที่ผ่านมาเป็นเป็นการเล่นละคร เป็นแค่การลวงหลอกอย่างโหดร้ายที่เอาหัวใจและความไว้ใจของเขามาขยี้เล่น ใช่หลอกลวง!
มันผ่านมาแค่เดือนเดียวเท่านั้นสำหรับคำสัญญา
คำนั้นไง.........

“ต่อให้ดาวร่วงจากฟ้าข้าก็ไม่มีวันผิดสัญญา”

พูดพล่อยๆ

ก็พูดกันได้สินะ


มือหยาบขยับเปลี่ยนมาจับยกขาทั้งสองไว้แล้วพาดขึ้นที่บ่าของตนก่อนจะจับแน่นที่สะโพกกลมของอีกฝ่าย ไม่ให้ร่างของเด็กกหนุ่มฝ่ายขยับตามเมื่อตนกระแทก  แล้วเมื่อยึดไว้แล้วสะโพกแกร่งของราห์โอหนุ่มก็ซอยกระทบกระแทกช่องคับนั้นอย่างถี่เร็วและทั่วถึงชัดเจนกว่าเก่าด้วยร่างนั้นไม่อาจถูกดันหนี เสียงครางทวีดังร่านเร่าร้องระงม ความเจ็บแปรเป็นชาและความเสียวจากการสีก็คละเค้ากันไปด้วย

“อ๊าาา  อ๊ะ อ๊ะ อื้อ ยะ หะ อ้า อ้า อ๊า ฟะ”

เหมือนไม่เหลืออะไรเลยทั้งสัมปชัญญะและความคิด ลืมไปเสียสิ้นว่าตนเป็นใครหรือต้องการหรือไม่ต้องการอะไร มีเพียงตรงนี้ที่ปวดร้าวทั้งกายใจกำเนิดขึ้น สีหน้าโกรธแค้นและแววตาผิดหวังกอรปกับการกระทำอันป่าเถื่อนที่หว่างขาของอีกฝ่ายทำให้ใจเขาหลุดลอยสลายไปเหมือนดอกไม้ที่ถูกขยี้ย่ำด้วยฝ่าเท้า น้ำตาใสๆจึงไหลออกมาเฉยๆโดยไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร ระลึกได้แค่ว่าเสียใจ มันไม่ใช่เพราะการถูกทำทางร่างกายแต่เพราะมันชัดเจนแล้วว่าระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

ช่างสั้นเหลือเกิน....ทั้งหมดที่ดีๆ

จังหวะกระแทกยังดำเนินไปทั้งเสียงเปียกจากการะกระทบมันก็ปนกับเสียงหอบเสียงครางของทั้งสองฝ่าย จนเมื่อกระชั้นใกล้ถึงจุดความเสียวเกร็งก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จน

“อ๊าาาาาา!!”

น้ำกามจากแก่นกายใหญ่โตของร่างสูงฉีดอัดทะลักเต็มช่องคับแน่นพร้อมๆกับท่อนเนื้ออีกฝ่ายที่ถึงจุดจนขับน้ำขุ่นพุ่งเลอะเปรอะไปเสียเต็มเนื้อตัวทั้งสองฝ่าย

…..

….....

…………..

แลเขาก็ถอนออก

แลเขาอีกคนก็สลบไป

ดับไปดั่งเปลวเทียน.......

 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ต้องขออภัยในความบ่งพร่องของการวางพล๊อตและคิดเนื้อเรื่องของข้าเจ้า จึงทำให้ดราม่าขัดอกขัดใจนัก หากแต่ปมมันมาแล้วก็ต้องแก้ ไม่นานเท่าใดแด๋วคลี่คลายและฟ้าก็จะเป็นสีทองผ่องอำไพนะคะ

ขอบพระคุณที่อ่าน

หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 24-02-2015 02:25:22
ทำไมฟารันทำเยี่ยงนี้ล่ะเพคะฮืออออ :sad4: :sad4: :o12: :o12: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: supermyrainbow ที่ 24-02-2015 03:15:50
 :katai1: ชอบการผูกเรื่องของนิยายมาก

มันชวนให้น่าติดตามมากจริงๆ

รอตอนต่อไปนะ  :z13:

เอาเป็ดไป +1
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 24-02-2015 04:00:07
โถ่วว อุตส่าห์ถนอมมาเป็นเดือน ไอ้เสนาชั่ว!!!  :katai1: ม้ายยย ย ยย ฟารันทำไมทำแบบนี้
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 24-02-2015 04:11:01
มันค้างงงงง :z3: :z3: o22 :a5: :a5: :serius2: :serius2: :katai1: :katai1:
ฟารันก็อีกคน โว้ยยยยยย ท่านพี่มาเอาเรโรนอสกลับไปเลยค่ะ มันจะได้สำนึกซะบ้างงงง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 24-02-2015 07:31:23
ดราม่าละ คงต้องรอจบ ไม่อยากค้าง
กว่าคนแต่งจะมาแต่ละที

ทำเป็นพูดดี เห็นอัพทีไร ก้อ่านทุ้กกกกที
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 24-02-2015 12:16:00
กรี๊ดดด  อิหนูของป้า ฟารันใจร้าย :sad4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: kangteuk1995 ที่ 24-02-2015 13:37:53
ให้เทพองค์ไหนก็ได้ลงมาเอาตัวน้องกลับไปไม่ได้หรอ :o12:
ให้ฟารันมันสำนึกบ้าง :m16: ทำร้ายเรโรนอสยังงี้ได้ไง  :serius2:
พวกเทพแห่กันลงมาเอาคืนพวกเสนาชั่วแทนเรโรนอสด้วยนะ :angry2:
คนอารมณ์ร้อนยังงี้ไม่เหมาะกับเรโรนอสผู้ไร้เดียงสาเลย :fire:

ปล.จะเป็นไรมั้ย ถ้าจะบอกว่าค้างอ่ะ :ling1: มาอัพต่อเร็วนะ :katai4: ทั้งๆที่พึ่งอัพวันนี้  :katai2-1:
สนุกมาอยากอ่านแนวนี้มานานแล้ว o13
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 24-02-2015 15:51:13
ฟารันทำร้ายโรเรเนสเหลือเกิน

คนเขียนก็ทำร้ายจิตใจคนอ่านเหลือเกิน

มาต่อเร็วๆนะค่ะ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 24-02-2015 18:41:48
ความจริงจะปรากฎค่อยดูกันต่อไปแล้วกัน
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 25-02-2015 23:09:26
ช่างทำร้ายจิตใจกันได้  สงสารโรเรเนส :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 02-03-2015 23:23:38
 :hao5:  :hao5:  :hao5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่8.2 24/2/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 03-03-2015 05:42:52
 :call:  :call:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 03-03-2015 18:59:31
ยามนี้เฟรทริสกำลังวางแผน

วางแผนกำจัดแมว....

มิใช่ว่าเขาเป็นคนใจไม้ไส้ระกำที่ชอบรังแกสัตว์หรอก ด้วยอันที่จริงขนาดที่ใหญ่โตถึง 5 เมตรของท่านเลวิเลี่ยน ณ หม่าวหม่าว ตัวขาวฟูนั้นไม่อาจจะรังแกใดใดท่านได้เลย หากแต่ปัญหาชีวิจของเทพหนุ่มผมแดงในยามนี้นั่นคือ เมื่อหลังจากวันก่อน(ซึ่งสำหรับโลกมนุษย์นั้นคือหลายเดือน) หลังจากที่เขาได้ทำลายข้าวของอย่างคลุ้มคลั่งเพราะไม่อาจรับได้ที่โรเรเนสนั้นต้องลงไปเป็นมนุษย์แล้ว เจ้าแมวยักษ์หูพับตัวนี้ก็ตามติดเขาแจ จู่ๆก็ย้ายออกมาจากวิมาณขององค์เทพแห่งพืชพันธุ์ที่ตนครอบครองมาอยู่ประดิษฐานที่วิมาณของเทพแห่งนักรบผู้นี้เอง

และแน่นอนตามนิสัยแมว......

ท่านถือว่าท่านเป็นเจ้าของทุกสิ่ง วิมาณทุกหลังที่ท่านเยื้องย่างไปเหยียบถือเป็นสิทธิ์ขาดแล้วว่าเป็นของท่าน องค์เทพเทวา นางอัปสร หรือแม้กระทั่งเทพชั้นสูงองค์ไหนๆ ก็มิอาจยิ่งใหญ่ไปกว่าองค์ท่านหม่าวหม่าวผู้นี้ ดังนั้นในสายตาของท่าน เทพทั้งหลายเหล่านั้นก็คือบริวาณเท่านั้น

จะนั่งทับ นอนทับก็ย่อมได้ ด้วยจู่ๆเจ้าทาสผมยาวคนเก่าก็ลงไปเป็นมนุษย์เสียงั้น พวกนางอัปสรก็เอาใจไม่ถูกจริต นึกออกก็แต่เจ้าหัวแดงที่พอจะใช้งานได้ ท่านจึงตัดสินใจมายึดวิมาณเฟรทริสเสีย เช่นอย่างวันก่อนขณะที่องค์เฟรทริสนั้นกำลังบรรทมอยู่หลังจากอาละวาดบ้านแทบพัง ท่านเลวิเลี่ยนก็เดินไปนอนทับเสียอย่างนั้นแล้วจากนั้นก็ไม่ยอมไปไหนเลย

 ที่สำคัญท่านหม่าวหม่าวยังชอบนอนพิงลูกแก้วใสที่เอาไว้สอดส่องความเป็นไปของโลกมนุษย์อยู่ตลอด ทั้งนอนพิงนั่งพิง เวลาที่เฟรทริสพยายามจะดูว่าเทพผู้น้องที่อยู่บนโลกเป็นอย่างไรบ้าง เทพแมวตัวฟูก็จะขยับกายบังไม่ยอมให้เห็น ด้วยไม่อยากให้เฟรทริสอาละวาดอีก ด้วยเหตุนี้ล่ะเทพนักรบจึงไม่ได้รู้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างที่โลกมนุษย์

หากแต่เขายังไม่ยอมแพ้หรอก เจ้าลูกแก้วกลมใสนั่นคือเป้าหมายเขาจักต้องฝ่าพุงเจ้าแมวยักษ์ตัวนั้นเข้าไปดูลูกแก้วให้จงได้ เขาต้องการจะรู้ว่า ณ โลกเบื้องล่างขณะนี้เป็นเช่นไรบ้างและเขาควรจะทำอะไรบ้าง เทพหนุ่มยังเฝ้ารอ เขาแอบรอยู่หลังเสาต้นหนึ่งลอบมองเจ้าแมวสีขาวนั่งหันหลังพิงลูกโลกอย่างสบายใจ พร้อมทั้งยืดเหยียดขาหลังให้แผ่ออกไปเหมือนท่าเดียวกับคนเวลานั่งพิงกำแพงอยู่บนพื้น ส่วนลิ้นสากๆของมันก็กำลังเลียอุ้งเท้าหน้าอยู่อย่างตั้งใจ ดูท่าจะไม่ได้ระวังตัวมากนักเพราะไม่ได้เหลือบตาขึ้นมามองรอบตัวเลยแม้นแต่น้อย พวงหาก็กระดิกน้อยๆเหมือนกำลังผ่อนคลาย

ตอนนี้ล่ะที่จะเหมาะสม ตอนนี้ที่เจ้าซาลาเปานั้นมีช่วงโหว่ ด้วยกำลังของเทพนักรบเขาจะพุ่งเข้าไปอย่างเร็วแล้วไม่ให้เจ้าแมวทันตั้งตัวแล้วตรงเข้าแตะลูกแก้วใสใบนั้นทันทีเท่านั้นก็เรียบร้อย เพียงเสี้ยงวินาทีที่เขาสัมผัสดวงแก้วนั่นได้เข้าก็จะสามารถรู้เรื่องราวทุกอย่างบนโลกได้

ว่าแล้วเขาก็ทำตามแผนทันทีพุ่งตรงเข้าไปที่แมวไม่ได้ตั้งตัวตัวนั้น! แล้วก็!

ผัวะ! ขาหน้าขาวฟูพุ่งตบอย่างรวดเร็วจนเทพหนุ่มหัวขมำ

 “โอ๊ย!ไอ้แมวบ้า!

ผัวะ! ผัวะ! จัดไปสองดอกข้อหาปากเสีย

 “โอ๊ย!ไอ้ ไอ้อ้วน!

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! จะเอาใช่ไหม!

เจ็บนะเว่ย ไอ้ ไอ้แมวปัญญาอ่อนตัวอ้วนจนเลียไข่ตัวเองไม่ถึงงงงงงง

……………..

.......อย่าได้มีชีวิตอยู่เลยเอ็ง

หม่าววววววววววว!!!!” ท่านซาลาเปากระโจนเข้าใส่เทพหนุ่มเกศแดง งับหัวแล้วกระหน่ำตบ ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมแพ้ดิ้นหลุดแล้วกระโดนขี่หลังแมวก่อนจะตะกุยขนย้อนศรให้ทั่วตัว

นี่แหนะๆ ตบข้าใช่ไหม!อย่าได้ขนเรียบเลยแก! จะขยี้ให้ขนยุ่งทั้งตัวไปเลย!

การไปลูบขนแมวย้อนศรนอกจากแมวจะไม่ชอบเพราะรู้สึกไม่สบายตัวแล้วนั้น มันยังไม่ชอบเพราะต้องมานั่งเลียให้เรียบใหม่ตั้งแต่ต้นอีกด้วย ท่านซาลาเปาจึงดิ้นพล่านๆก่อนจะพลิกกลับได้ให้คู่ต่อสู้อยู่ข้างใต้แล้วใช้อุ้งเท้าหน้าล๊อคคอไว้ก่อนจะนอนตะแคงแล้วตะกุยร่างนั้นด้วยขาหลังอย่างเร็วๆ เฟรทริสผู้แข็งแกร่งก็พยายามหลบหลีกเท่าที่ทำได้ เมื่อหนีไม่ได้ก็ตอบโต้ด้วยการจกพุงรัวๆให้แมวหงุดหงิดเล่น

ย๊ากกกกกกกกกกกก

หม่าวววววววววววว

ต่างฝ่ายแหกปากข่มขวัญไม่หวาดหวั่นในการต่อสู้ องค์เทพทั้งสองคลุกวงในฟัดกันไปฟัดกันมาจนข้าวของกระจาย ชั่วขณะหนึ่งเฟรทริสตระหนักขึ้นมาได้ว่าในช่วงเวลาหลายพันปีที่ตนดำรงสถานะเป็นเทพนักรบมาอย่างยาวนานนั้นไม่มีศึกครั้งไหนจะรุนแรงเท่าครั้งนี้! ไม่มีศัตรูตนใดจะเอาชนะได้ยากเย็นเท่าแมวตัวนี้! การยกทัพไปรบพุ่งกับเหล่าจอมมารยังมิสู้ตีกับแมวเลยหากจะกล่าว อะเฮือก! ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก

ข้าวของแตกกระจายเครื่องเรือนพังยับเยิน การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดรุนแรงเป็นที่สุด เมื่อยามองค์อามินอสเดินเข้ามาสภาพห้องและสภาพทั้งสองฝ่ายก็ยับเยินเต็มที

“อ่าวเล่นอะไรกันอยู่รึ” อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เทพปีกนกหน้าหล่อเปรยขึ้นอย่างสบายอารมณ์ในชุดผ้าผ่อนน้อยชิ้นและไม่ใส่เสื้อเช่นเคย

เล่นบ้าอะไรมันจะกินข้าแล้วววววววววววววว” องค์เฟรทริสร้องโวยวายขณะท่านซาลาเปาที่ตัวยุ่งฟูกำลังงับศีรษะเขาแล้วยกตัวเขาลอยขึ้นมาเหนือพื้น

“โอ้ๆ โอ๋เอ๋ ไม่เอาน่าหม่าวๆปล่อยของเล่นของท่านลงเถิด”

“แง่ววว งื่อ” ท่านซาลาเปาส่งเสียงครางขู่ในลำคออย่างไม่พอใจ ปากก็ยังงับเหยื่อของตนแน่นอยู่ไม่มีที่ท่าว่าจะปล่อย บุรุษปีกนกจึงถอนหายใจน้อยๆก่อนจะพูดอย่างปลอบโยน

“ท่านหม่าว อภัยเจ้าตัวหัวแดงแสนสกปรกนี่เถิดท่าน”

“เฮ่ยๆอย่ามาว่าข้านะ”

“เจ้าตัวนี้มันโง่เขลาเบาปัญญาแถมยังเป็นเทพชั้นต่ำ ท่านทรงอย่างลดตัวลงไปคลุกคลีตีโมงกับเจ้านี้เลยจะเสียพระเกียรติเปล่าๆ”

“ที่แมวล่ะพูดดีเชียวนะ”

“เห็นไหมเล่าท่าน พูดยังไม่ทันขาดคำดูสิ มันรู้กาละเทศะเสียที่ไหนข้าพูดกับท่านอยู่แท้ๆ  ปล่อยเจ้านี่ลงเถิดท่านข้าสัญญาว่าจะชดใช้สิ่งที่เจ้านี่ทำทั้งหมดให้เอานะ”

“แง่ววว”

“จะแปรงขนให้ด้วย”

“งื่อออ”

“จะนวดให้ด้วย”

“.............”

“ข้าจะหานมมาถวายให้เยอะๆเลย เอาไหมล่ะ”

“แง่ว แง่ว งื่อ งื่มๆ”

“หืมจะให้เจ้าหัวแดงขอโทษก่อนงั้นหรอ”

“เรื่องอะไรล่ะเจ้านี่มันตบข้าก่อนนะ”

“เอาน่าเฟรทริส อย่างี่เง่าสิเจ้าก็รู้ว่าควรทำดีกับแมวให้มากๆ”

“เชอะ”

“ขอโทษเขาดีๆเสียแล้วข้ามีอะไรจะบอก เกี่ยวกับโรเรเนส”

เทพนักรบหูผึ่งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อบุคคลอันเป็นที่รัก เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำขอโทษไปอย่างเบาๆ

“ขอโทษนะหม่าว”

“แง่ว”

“เขาบอกว่าให้ดังๆ”

“โว๊ะ!”

“เอาเถอะน่า ท่านไม่อยากรู้เรื่องของโรเรเนสรึ ท่านก็รู้นี่ว่าท่านซาลาเปาไม่ยอมให้ท่านเข้าใกล้ลูกแก้วนั่นได้อยู่แล้ว”

เทพหนุ่มหัวแดงที่ตอนนี้แดงไปยันหน้าเพราะเลือดหัวไหลอาบเม้มปากลงเล็กน้อยอย่างลำบากใจก็จะค่อยๆพูดเสียงดังฟังชัด

“อภัยข้าเถิดท่านลาวิเลี่ยนผู้ยิ่งใหญ่ข้าน้อยผู้นี้โง่เขลาเบาปัญญาจึงคิดบังอาจกับท่าน ข้าสัญญาว่าจะ...อ่า จะไม่ทำร้ายท่านและไม่พูดจาไม่ดีใส่ท่านอีก...นะจ๊ะ....เหมียว?”

เจ้าแมวยักษ์ยืนนิ่งอยู่เล็กน้อยก่อนจะอ้าปากแล้วปล่อยให้เหยื่อของตนร่วงหล่นลงพื้นไป ก่อนจะเดินไปนั่งพิงลูกแก้วใสใบใหญ่นั้นตามเดิม แววตาโกรธเคืองยังมีให้เห็นอามินอสจึงต้องรีบพาเฟรทริสออกมาจากจุดเกิดเหตุก่อนที่ท่านแมวเหมียวจะอารมณ์เสียขึ้นมาอีกถ้าพวกเขาอยู่รกสายตานานเกินไป

“เจ้ามีอะไรจะบอกข้าเรื่องโรเรเนส” เทพเกศแดงเอ่ยขึ้นแทบจะในทันทีที่ตนพ้นเขตของห้องโถงมาได้ อีกฝ่ายยังไม่ตอบกลับในทันทีแต่กลับเดินรี่ไปยังอีกส่วนที่เป็นสวนพฤษชาติที่มีน้ำพุอยู่กลางลาน

“ล้างหน้าล้างตาเสียก่อนเถิดท่าน แดงเถือกไปหมดแล้ว” เขาเอ่ยด้วยใบหน้าเหยียดยิ้มคล้ายแหย่เล่น จริงๆอยากจะขำให้ดังๆแต่ก็กลัวว่าจะโกรธ คนอะไรอยู่ดีไม่ว่าดีก็ตีกับแมว

ฝ่ายนั้นวักน้ำมาลูบลวกๆแล้วเกล้าผมเผ้าเสียใหม่
 “ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไร ที่ข้าทำลงไปมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ เรื่องที่เกิดขึ้นอันที่จริงเจ้าก็มีส่วนผิดนะ”

“หืมมม เหตุใดมาลงที่ข้าได้”

“ก็เจ้าน่ะบังคับขืนใจ”

“หา”

“เอ้ย ข้าหมายถึงบังคับขัดใจข้าน่ะ”

“อย่างไรล่ะทีนี้”

 “การที่เจ้าไม่ยอมให้ข้าออกจาวิมาณทำให้ข้าไม่อาจไปหาลูกโลกใบอื่นมาใช้ดูความเป็นไปของโลกข้างล่างได้ ซึ่งนั่นก็บีบให้ข้าต้องเสี่ยงกับเจ้าแมวนั่น เจ้าก็รู้นี่ว่าเจ้าซาลาเปานั้นไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้ลูกแก้วนั่นเลย ทั้งที่นั่นก็สมบัติข้าแท้ๆ นี่ถ้าเจ้ายอมให้ข้าออกจากบ้านเรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น....ประมาณนี้ล่ะ”

เขาพูดออกไปแบบเร็วๆดั่งกลัวว่าจะไม่ได้พูด พูดจบก็หันหนีไปมองอย่างอื่นแล้วกล่าวเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียดื้อๆ
“นี่ข้าขี้เกียจถามซ้ำแล้วนะว่าเจ้าจะบอกอะไรข้า”

เทพพาหนะผู้มีผมสีทองสว่างดั่งเส้นไหมมิได้สนใจคำถามนั้นซักเท่าใดหรอก ด้วยกิริยาของอีกฝ่ายทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาถึงเรื่องหนึ่ง ที่เขาเคยคิดก่อนหน้านี้แต่ยังไม่แน่ใจ สิ่งนั้นก็คือเขาสังเกตุว่าหลังจากเขาโอบเฟรทริสด้วยปีกเงินเมื่อครั้งก่อนเฟรทริสก็ดูจะหนีห่างเขาบ่อยๆ เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าแปลกเพราะทั้งสองมีปากเสียงกันอยู่บ่อยๆการจะหนีหน้ากันบ้างมันก็มี หากแต่พวกเขาไม่ได้มีปากเสียงกันอันที่จริงเฟสทริสหนีเขาบ่อยๆจนไม่มีโอกาสได้ทะเลาะนัก ที่สำคัญไปกว่านั้นเขาสังเกตุเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมสบตาเขาเลยในยามที่พูดกัน ไม่ใช่แค่ครั้งนี้แต่หลายครั้งมาแล้วนับจากวันนั้น

อาการนี้ละม้ายคล้ายยามเมื่อเทพนักรบแพ้ปีกเงินของเขา อาการเขินปนคลั่งไคล้ตอนที่ได้เห็นปีกอันสวยงามที่สะท้อนแสงเรืองรอง ตอนนี้กลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งแม้นเขาไม่ได้กางปีกถึงแม้เฟรทริสจะไม่ออกอาการมากมายเหมือนตอนที่เห็นปีกแต่ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเหมือนว่ากำลังเขิน เขาอยู่ เขินน้อยๆไม่ได้มากมายแค่ไม่กล้ามองหน้าตรงๆเท่านั้น
อามินอสยิ้มขันอย่างเอ็นดูแล้วแสร้งเอ่ยถามกลับไป

 “เจ้าว่าอย่างไรนะ”

“ก็ถามว่าเรื่องที่จะบอกน่ะอะไร”

“หันมาคุยกันดีๆสิ จะหันหลังคุยกันทำไม”

“เออ แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

“เดี๋ยวนี้ไม่ยอมมองหน้ากันเลยนะ”

“ก็ข้าเบื่อขี้หน้าเจ้าไง ถ้าไม่ติดว่าไปไหนมาไหนเองไม่สะดวกเจ้าไม่ได้อยู่บ้านนี้หรอก”

“แหน่ะ นี่ก็เลยต้องไม่มองหน้าผู้สนทนาสินะ”

“ใช้ปากคุยไม่ได้ใช้ตาคุย จะมองหน้าไปทำไม”

“ทนความหล่อไม่ได้อะดิ๊”

ครานี้ได้ผลเฟรทริสหันควับมาทันที
“ไอ้บ้า!”

เทพหนุ่มนักรบรูปงามเม้มปากแน่นขณะจ้องเขม็งไปในดวงตาอีกฝ่าย.....

 ไม่เขาไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น มันเป็นแค่อุปาทาน ใช่!แค่คิดไปเอง! ก็จะอะไรเสียอีกเล่า ก็หลังจากเจ้านกบ้าบังอาจมาโอบเขาเมื่อตอนที่ไม่มีสร้อยป้องกันอาการแพ้ของเขา เขาก็รู้สึกอยู่บ่อยๆว่าความรู้สึกนั้นมันยังวนเวียนและคั่งค้างอยู่ภายในกาย ด้วยแม้นเทพพาหนะผู้นี้จะไม่ได้กางปีกออกมาความรู้สึกดั่งเช่นตอนโดนโอบกอดก็ยังอยู่ ซึ่งเขาไม่อาจเข้าใจและไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เลือดลมพลัยฉีดพล่านเมื่อต้องจ้องหน้าคมสันนั้นตรงๆไหนจะหัวใจที่เริ่มระส่ำอย่างไม่เคยนั่นอีกเล่า

จนล่าสุดเขาคิดว่าตนเองคงมีปัญหาที่อาการเช่นนี้ไม่หายไปทั้งที่ไม่ได้เห็นปีกเงินอีกแล้วเขาจึงไปหาองค์มหาเทวีผู้ที่เคยประทานสร้อยวิเศษที่ช่วยบรรเทาอาการคลั่งปีกของเขาเมื่อครั้งก่อนให้พระนางทรงช่วยเหลืออีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้มาเป็นสร้อย แต่ได้มาเป็นรอยสักรูปดาบที่สลักแน่นอยู่บนอกตรงต่ำแหน่งเหนือหัวใจ เช่นนี้เขาก็มั่นใจได้ว่าไม่ว่าอามินอสจะกางปีกใส่เขาอีกกี่ครั้งเขาก็ไม่มีทางจะเกิดอาการแพ้อย่างเช่นที่ผ่านมาได้

หากแต่เขาก็ยังไม่เคยลองว่ารอยสักได้ผลมากแค่ไหน เพราะเขาเริ่มไม่แน่ใจและไม่เข้าใจทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้กางปีก ทั้งที่เขามีรอยสักอันทรงฤทธิ์ เหตุใดหัวใจยังคงเต้นรัวผิดจังหวะจากเดิมเมื่อยามต้องอยู่ใกล้ชายคนนี้ด้วย

เขาไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจ จึงพยายามไม่คิดถึงเรื่องนี้และวกกลับเข้าหาสิ่งอื่นที่ควรจะใส่ใจ เฟสทริสเบื้อนหน้าหนีไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปรกติและดูจริงจังเคร่งขรึมมากที่สุด

“หากสิ่งที่เจ้าจะบอกเกี่ยวกับโรเรเนสนั้นไม่ใช่ข่าวดีก็จงรีบบอกในตอนที่ข้ายังพอทำใจได้ตอนนี้”

“ข่าวร้ายแน่นอน สั้นๆนะ โรเรเนสถูกกษัตริย์หนุ่มองค์นั้นปลุกปล้ำขืนใจไปเสียแล้ว”

…….

อะไรนะ

แรกนั้นเขาชาไปทั้งตัวและเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง แต่แล้วทั้งหมดก็พลันพวยพุ่งขึ้นมาในบัดดล!

โครม!!!

อัสนีบาตใหญ่ฟาดลงที่กลางสวนประกายไฟสีฟ้าแล่นแปรบปราบอยู่รอบกายเทพเกศแดง มือทั้งสองกำแน่นจนสั่นระริกเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ถูกขบจนเลือดซึม เปลือกตาปิดลงอย่างสนิทแน่นด้วยข่มอารมณ์ แม้นกายสั่นเทิ้มและลมหายใจจะถี่เร็ว โกรธแสนโกรธ ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ แต่ก็เพียงเท่านั้น เขาเตรียมใจไว้แล้วอันที่จริงก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในตอนที่เขาไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์นั้นได้ ซึ่งดีแล้วที่เขาไม่เห็นมันกับตาแต่จะดีกว่าถ้ามันไม่เกิดขึ้น

ความโกรธทรมาณสงสารและเจ็บแค้นแล่นพล่านไปทั่วตัวดั่งเห็นได้จากกระแสไฟที่สถิตอยู่รอบตัวเขา จนเมื่อมันค่อยๆจางลงเล็กน้อยด้วยการพยายามควบคุมจังหวะลมหายใจของเขา

“ข้าอยากฆ่ามันใจจะขาด หากมันไม่ตายข้าก็คงตายด้วยเจ็บแค้น”

“ท่านมีอำนาจจะทำเช่นนั้นได้ แต่ไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมใดใดเลยที่จะกระทำได้ที่สำคัญอีกเรื่องที่ข้าจะบอก ข้าไปหาท่านเทพพยากรณ์และได้ถามท่านถึงเรื่องนี้แล้ว”

เฟรทริสลืมตาขึ้นมาช้าๆแล้วเหลือบมองคนข้างๆอย่างใคร่รู้

“ท่านเอ่ยว่าสิ่งทั้งหมดนั้นมิใช่อุบัติเหตุ แต่มีเขียนกำหนดไว้แล้วในกระดานพยากรณ์”

ครานี้เทพหนุ่มหันมามองผู้พูดอย่างเต็มตาด้วยความไม่เชื่อ

“จะบอกว่าทั้งหมดนั้นถูกำหนดไว้แล้วงั้นรึ!ไร้สาระ ที่โรเรเนสโดนทำร้ายนี่ก็ถูกกำหนดงั้นรึ!เอาที่ไหนมาพูด”

“ข้าก็ไม่รู้แน่นนักหรอก แต่ท่านบอกว่าให้พาเจ้าไปเรื่องนี้ถ้าจะคุยต้องคุยซึ่งๆหน้าแล้วก็....”

“อะไร”

“เรื่องพวกนี้อันที่จริงเทพไม่มีสิทธิ์รู้ ไม่ว่าจะเป็นเทพองค์ไหนแม้นแต่บางเรื่องบนกระดานพยากรณ์ที่ปรากฏขึ้นท่านเทพพยากรณ์ก็ไม่อาจอ่านมันได้ แต่ว่าเรื่องของโรเรเนสนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญบางอย่างในภายภาคหน้าที่มันสำคัญกว่าแค่เรื่องการลงไปเป็นมนุษย์ไม่กี่วันของเขา ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแต่มันกวนใจข้านัก ทางที่ดีเราควรจะไปหาท่านเทพพยากรณ์เสียแต่ตอนนี้”

เรื่องอะไรกัน เหตุใดมันถึงกลับกลายเป็นจริงจังใหญ่หลวงขึ้นมาได้

เฟรทริสนิ่งคิดอย่างอึดอัดใจครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นสัญญาณว่าจะออกเดินทาง เทพพหนะจึงกางปีกออกทันทีเพื่อตอบรับคำสั่งนั้น แสงจ้าเงาวับจากปีกเงินเจิดจรัสงดงามดั่งเช่นที่มันเคยเป็น รัศมีเรืองรองทำให้เทพหนุ่มผู้หลงไหลนั้นใจสั่น แม้นจะไม่ได้มีอาการหนักดั่งก่อนๆด้วยมีรอยสักกันไว้แล้ว แต่เข้าก็ยังลังเลอยู่นานกว่าจะยอมขึ้นขี่หลังอีกฝ่ายให้เหมือนปรกติแต่ก่อนมานั้นได้

เขาต้องนึกถึงแต่เพียงน้องรักที่น่าสงสารเมื่อยามที่ทั้งสองโผขึ้นสู้ฟากฟ้า ต้องไม่สนใจอาการแปลกๆที่เกิดขึ้นด้วยเรื่องอื่นนั้นสำคัญยิ่งกว่า

--------------------

ขออภัยที่ลงช้านะคะ พยายามจะเร็วที่สุดเท่าที่รูปแบบชีวิตจะเอื้ออำนวยแล้ว แหะๆ :hao5:

ก็ตอนนี้มีแมวมานะคะ แล้วเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปก็อยากให้ตามกันต่อไปขอบคุณที่มาอ่านค่ะ

อ่ออีกอย่าง พอดีไปเจอโฆษณาของญี่ปุ่นมาเห็นแล้วนึกถึงซาลาเปา ณ หม่าวหม่ว เลย ก็อยากเอามาให้ดูว่าถ้าเป็นของจริงจะเป็นยางงาย น่ารักสุดๆเบยยยยย><

https://www.youtube.com/watch?v=2LoTdQqMwLk แมวยักษ์!


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: LadyMaidenLy ที่ 03-03-2015 19:30:25
สงสารโรเรเนสสสสส

อยากให้ท่านซาลาเปาลงไปช่วยจัง ต้องสนุกมากแน่ๆ55555

ท่านซาลาเปาน่าร๊ากกกกกก

อยากเอากลับบ้านนนน :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 03-03-2015 19:59:05
 :beat: :beat: ตบฟารัน
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 03-03-2015 20:09:10
อ่านแล้วหิววววว~

อยากกินซาลาเปาาา~
เดี๋ยวนะเดี๋ยว ผิดคิวแปป!?

ต้องสงสารโรเรเนสสิ
 :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-03-2015 20:21:40
มาลงต่อเร็วๆเถอะอยากรู้ความเป็นไปของโรโดเนสเรื่องอื่นพักไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: seven ที่ 03-03-2015 20:30:28
โอ๊ยยยยยยย อยากให้แมวลงมาช่วยโรเรเนสอ่าาาาา  :katai1:
สงสารโรเรเนสจับใจเลย  :m15:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 03-03-2015 20:40:45
ท่านพี่ กับซาลาเปามาช่วยเรโรเนสด้วยเถอะค่ะ นอเถอะ :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 03-03-2015 21:01:17
เฮ้อ เมื่อไหร่ไอ้ที่เศร้าๆจะหายไป ไอ้หวานๆจะมาแทนนะ เหนื่อยใจ สงสารนายเอกจัง เรื่องนี้ไม่ว่ายังไงนายเอกผมแพ้พระเอกหมดรูป เซ็ง ไม่ว่าเพศไหนฝ่ายรับก็ยังแพ้หมดรูปอยู่ดี
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 03-03-2015 21:25:33
ซาลาเปาน่าร้ากกก :m3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 03-03-2015 21:25:48
กร๊าซซซซซซว สั่งให้ต้นไม้พันคอมันตายเลยลูกแม่  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 03-03-2015 21:27:11
ไม่ชอบมาม่าอ่ะ รอจบทีเดียวค่อยมาอ่านได้มั้ยนะ  :ling1:

หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: maruko ที่ 03-03-2015 23:44:48
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน อยากว่า สนุกมากกกกกกกกก

ชอบปมเรื่องมากๆค่ะ ชวนให้ลุ้นไปกับโรเรเนสตลอด

อยากรู้ตอนต่อไปแล้ว ขอฟารันอย่าทำอะไรรุนแรงกับโรเรเนสอีกนะ !!  T______T
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 04-03-2015 09:22:17
รอตอนหน้า :hao3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 3/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 04-03-2015 09:27:03
เค้าตามไปอ่านธัญยวัลด้วยน่า
เป็นกำลังใจให้จ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 06-03-2015 22:46:02

           พวกเขาลงตรงตำแหน่งด้านหน้าของอาคารสูงใหญ่นั้นพอดี วิมาณของเทพพยากรณ์นั้นต่างไปมากจากวิมาณแห่งอื่นๆ ด้วยสถานที่ของท่านนั้นอยู่บนเทือกเขาบาวาอัน อันเป็นป่าดงดิบที่มีทุกสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดเองได้โดยมิได้ถูกมหาเทพสรรค์สร้างก่อกำเนิดขึ้นมาที่นี่ และลักษณะอาคารเปิดโล่งใหญ่โตพร้อมที่จะให้ทุกคนเข้าไปโดยมิมีการปิดกั้นด้วยท่านเทพพยากรณ์นั้นถือว่าเป็นเทพแห่งความรู้ด้วยในอีกร่างหนึ่ง วิมาณของท่านจึงมากด้วยความรู้ทั้งอดีตกาลและอนาคต คำภีร์ทั้งหลายของเหล่าเทพเท่าที่เคยมีนั้นรวมกันอยู่ที่นี่ มีเหล่าเทวาและเทวีมากมายเดิกกันขวั่กไขว่เอ่ยสนทนากันแต่เรื่องยากๆ หากจะเทียบให้เข้าใจโดยงานวิมาณของท่านเทพพยากรณ์ก็เปรียบเสมือนดั่งมหาวิทยาลัยที่รวมความรู้ทั้งมวลของจักรวาลไว้ ณ ที่แห่งนี้

สำคัญกว่านั้นบนเขาลูกเดียวกันนี้เป็นที่ที่อามินอสถูกพบอยู่ในไข่เงินก่อนจะฟักออกมาแลถูกเลี้ยงดูโดยท่านเทพพยากรณ์ผู้นี้ กล่าวโดยง่ายชายชราผู้เป็นเจ้าของวิมาณเป็นดั่งอาจารย์และบิดาของอามินอสนั่นเอง

แต่เรื่องความหลังและความเป็นไปของบุรุษปีกเงินนั้นยังมิใช่สิ่งที่จะต้องเล่าสู่กันฟังในยามนี้ ด้วยเรื่องเดือดร้อนแห่งสวรรค์เรื่องหนึ่งยังไม่ได้รับการคลี่คลายไขให้กระจ่าง นั่นเป็นเหตุให้เทพนักรบเร่งรีบเดินรี่เข้าสู่ตัวอาคารโดยทันทีที่มาถึง

“เฟรทริสเดี๋ยว”
ข้อมือของเขาถูกยึดไว้อย่างกระทันหันจากผู้ที่ตามมา แววตากลุ้มกังวลตวัดกลับมามองอีกฝ่ายที่รังเขาไว้อย่างน่ารำคาญ

“ข้าอยากจะบอกเจ้าไว้ ว่าอะไรที่มันถูกขีดไว้แล้วเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้”

“คิดว่าข้าไม่รู้งั้นรึ”

“เทพนั้นเติบโตและเรียนรู้ผ่านการเฝ้ามองมนุษย์ มีโอกาสน้อยมากที่เราจะได้ประสบพบเจออารมณ์มากมายนั้นด้วยตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะโหดร้ายและหนักหนาเพียงไร ข้าอยากให้เจ้าระลึกไว้ว่าในฐานะเทพโรเรเนสนั้นถือเป็นผู้ที่โชคดีที่สุด ที่ได้สร้างบุญและเติบโตขึ้นด้วยการเป็นมนุษย์ เทพหลายองค์ต้องอวตารและสะสมบารมีอย่างมากมายเพียงเพื่อลงไปเป็นมนุษย์ซักครั้ง เฟรทริส อานาคตของน้องเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คิดทั้งหมดที่เขาต้องเจอเป็นแค่การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตเท่านั้น เทพที่ยิ่งใหญ่นั้นต้องประสพมามากกว่ารอบรู้มากกว่า....และเข้าใจมนุษย์มากกว่า เข้าใจใช่ไหม?”

ตากร้าวของเทพหนุ่มแปรเป็นอ่อนไปแล้วหลุบลงอย่างช้าๆ ผู้พูดยังพูดต่อไปเมื่อรู้ว่าฝ่ายนั้นเริ่มสงบใจพอจะรับฟังขึ้นมาแล้ว

“อีกอย่าง ยิ่งทุกข์ยิ่งพบเจอยิ่งเติบโตท้ายแล้วก็ได้กับตัวเราเองนะ”

ผู้ฟังนิ่งไตร่ตรองอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างสงบใจ

“ขอบใจเจ้ามาก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีสาระกับเขาเหมือนกัน”

“เริ่มหลงแล้วล่ะสิ”

“ไอ้บ้า”

“อืม แบบนี้ดีกว่าเยอะ”

จบคำเขาก็เดินนำอีกฝ่ายไปยังส่วนในของวิมาณ เมื่อล่วงเข้าไปผ่านส่วนต่างๆทั้งห้องหับแลโถงและเขตสวน ผ่านทั้งเหล่าคนรู้จักและไม่รู้จัก เข้าไปยันส่วนสุดท้ายก็พบกับกระท่อมหลังเล็กๆตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางสวน

แรกเฟรทริสก็ไม่เข้าใจ ว่ามาทำอะไรกันในส่วนนี้เหตุใดเทพที่เป็นเจ้าของวิมาณอันใหญ่โตงดงามถึงได้มาอยู่ในกระท่อมเล็กๆในบ้านตัวเองด้วย แต่เมื่อเดินเข้าไปภายในกระท่อมก็พบกลับห้องโถงวงกลมขนาดใหญ่ที่ไม่น่าเป็นไปได้เมื่อมองจากภายนอก โถงนั้นสีดำมืดเหมือนกลางคืน แต่ทุกสิ่งในห้องกลับเห็นได้ชัดด้วยมันมีแสงในตัวเอง ทั้งกองม้วนกระดาษตำราและของแปลกๆรกๆที่หมกไปทั่วห้อง บนเพดานนั้นเป็นภาพย่อของจักรวาลที่มีดวงดาวเคลื่อนหมุนอยู่เป็นวง ที่ผนังรอบๆมีตัวหนักสือที่อ่านลำบากวิ่งสลับกันไปมาไม่อาจจับความได้ทัน

แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือตรงจุดใจกลางของห้องมีสมุดเล่มเขื่องใหญ่ประมาณครึ่งตัวคนวางกางอยู่บนโต๊ะทรงสูง บนกระดาษสีเหลืองอ่อนของมันนั้นปรากฎเป็นตัวอักษรเรียงบรรทัดกันไล่ลงมาเหมือนถูกเขียน ตัวอักษรเหล่านั้นปรากฏขึ้นทีละตัวจนจบคำ จบประโยค จบบรรทัด สุดท้ายเมื่อถูกเขียนจนหมดหน้ากระดาษอักษรทั้งหมดก็หายไป พลันก็เริ่มเขียนใหม่อีกครั้งตั้งแต่แรกที่มุมบน ความเร็วของการปรากฏของตัวอักษรแต่ละตัวนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียยิ่งกว่าการกวาดตา

นี่กระมังสมุดพยากรณ์ที่เขียนเรื่องราวโชคชะตาทั้งหมดของมวลมนุษย์และเหล่าเทพ

เทวาเกศแดงคิดขึ้นกับตนเอง เหล่ามนุษย์นั้นไม่เคยรู้เลยพวกเขามักคิดวาองค์เทพเป็นผู้กำหนดชีวิตมนุษย์ แต่อันที่จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยสมุดเล่มนี้นี่ล่ะเป็นผู้กระทำโดยไม่มีใครกำหนดหรือบงการอะไรได้ ไม่ได้เพียงชะตามนุษย์ชะตาเทพก็ถูกสิ่งนี้ขีดเขียนขึ้นมาเช่นกัน

“แปลกใช่ไหม?” เสียงของชายชราดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระพรวนที่ไม่รู้ว่ามาจากตรงไหน เมื่อหันมองตามเสียงก็พบชายชราผมสีดอกเลาและหนวดเคราที่ยาวครือกันไปจนเกือนถึงหัวเข่า เขาสวมชุดสีเทาที่ทอจากเนื้อผ้าหยาบ ไม่มีเครื่องทรงใดๆประดับตัวให้สมฐานะเทพเช่นเทพองค์อื่นๆ ชายชราเดินเข้ามาใกล้เทพหนุ่มทั้งสองอย่างช้าๆก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าสมุดเล่มนั้น ก่อนจะก้มมองตัวหนังสือที่วิ่งไปด้วยตาหรี่เล็ก

“อืม....เหมือนเดิมทุกกัปล์กัล”

เขายืนอ่านข้อความเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้อง จนองค์นักรบเริ่มทนไม่ไหวจะส่งเสียงกระแอมขึ้นมาเบาๆ แต่ผู้เฒ่าก็ยังนิ่งเฉยจนเสียงกระแอมนั้นต้องดังขึ้นเรื่อยๆเขาถึงจะหันมามองอย่างประหลาดใจ

“อ่อ...โอ้...อภัยข้าด้วยท่านองค์เทพ ข้าชรามากแล้วความจำก็ไม่ดีหูก็ไม่ดี”

“มิเป็นไรหรอกท่าน หากข้าเพียงแต่อยากแสดงความคำรพและทักทายเจ้าของบ้านก่อนเท่านั้น ข้าเฟรทริสเทพแห่งนักรบน่าแปลกเหลือเกินที่ท่านอามินอสเป็นเทพพาหนะของข้าแต่ข้ากลับไม่เคยเจอท่านผู้ชุบเลี้ยงเขามาเลย”

“โฮ่ ไม่แปลกหรอก ปรกติเขาจะเจอพ่อแม่อีกฝ่ายก็ตอนตกลงจะแต่งกันนั่นแหละ”

เฟรทริสเบิ่งตาด้วยตกใจต่างกับคนข้างๆที่กลับต้องกลั้นขำ

“ช่างเถอะๆ ก็ถือว่าได้เจอกันแล้ว อื้ม”  เขาเดินถอยออกมาจากสมุดเล่มหนาแล้วเหมือนจะความหาอะไรบางอย่าง

“ท่านสงสัยในเรื่องของ...เทพแห่งพืชพันธ์คนนั้นใช่ไหม”

“ใช่ ใช่ครับ” เฟรทริสกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีแล้วเข้าประเด็นอย่างตื่นเต้น“ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้และข้าจะทำอะไรได้บ้างให้เขากลับมาเป็นเทพโดยเร็ว”

“ปรกติชีวิตมนุษย์นั้นสั้น อีกไม่นานเขาก็ต้องกลับมาเป็นเทพอยู่แล้วไม่ใช่รึ”

“ใช่เพียงแต่....ข้าไม่ต้องการให้เขาทรมาณอีก ข้าต้องการให้เขากลับมาเสียเดี๋ยวนี้ หากมีสิทธิ์สังหารเขาได้หรือไม่เพื่อเขาจะได้กลับมาหรือมีวิธีใดบ้างที่จะยุติเรื่องทั้งหมดนี้”

ชายชราคุ้ยหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ขนาดมันไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือ เขาเปิดมันออกแล้วไล่ดูอักขระที่เรียงกันอยู่บนนั้น

“ทุกอย่างมีกฎของมันสวรรค์ก็มี หากเท่าที่ข้าอ่านนี้ข้าบอกได้ว่ามีบางอย่างที่พวกท่านไม่มีสิทธิ์รู้เพราะมันยังไม่ถึงเวลาเกิด อันที่จริงอนาคตเป็นสิ่งต้องห้าม หากรู้เห็นได้ก็เพียงบางส่วนฉะนั้น” เขาหุบหนังสือแล้ววางลงบนยอดของกองหนังสือข้างๆตัว

“ถึงแม้ข้าจะรู้ทุกอย่างแต่ก็สามารถบอกท่านได้แค่บางอย่าง”

“เช่นอะไรท่าน”

“เช่นว่าท่านไม่ควรทำอะไรเลยนอกจากเฝ้าดูอยู่เฉยๆและอวยพร”

“บ้าไปแล้ว!ไม่มีทาง!”

“เฟรทริส!” บุรุษปีกเงินที่นั่งข้างกันส่งเสียงปรามขึ้น เขาจึงสงบสติลงด้วยฉุกคิดได้ว่ามิควรพูดเช่นนั้นกับผู้อวุโส

“อภัยข้าด้วย ข้าทนไม่ได้หรอกนะเหตุอันใดโรเรเนสต้องลงไปตกระกำลำบากเช่นนั้นด้วย จิตของเขาบริสุทธิ์มากไม่เคยทำชั่วอันใด เรื่องทั้งหมดนี้ไม่สมควรจะเกิดอย่างยิ่ง ข้ามองไม่เห็นเหตุสมควรใดๆเลย”

“อืม....ถ้ามองในมุมว่าสมควรไม่สมควรท่านก็ถูก เพราะเขาไม่เคยกระทำการใดอันเป็นสิ่งผิดเลย หากแต่ข้าคงต้องบอกท่านว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เป็นผลมาจากอดีตแต่เป็นเพราะอนาคตต่างหาก”

ครานี้เทพหนุ่มเกิดฉงนขึ้นเมื่อได้ยิน ผู้เฒ่าโบกมือครั้งหนึ่งห้องที่รกรุงรังก็พลันหายกลายเป็นห้องโล่งที่มีเก้าอี้ให้นั่งสำหรับทั้งสาม เขาทรุดนั่งลงไปบนเบาะนุ่มแล้วผายมือเป็นการเชิยให้แขกทั้งสองลงนั่งเช่นเดียวกัน

“ท่านอามินอสก็ได้พูดกับท่านไปแล้วก่อนจะเข้ามาว่านี่เป็นการเตรียมการบางอย่างสำหรับอนาคตของเทพแห่งพืชพันธุ์คนนั้นใช่หรือไม่”

เฟรทริสมีสีหน้าประหลาดใจแลก็หันไปมองคนข้างๆเหมือนอยากจะได้คำตอบบางอย่าง  ฝ่ายเทพพาหนะก็ยิ้มให้ก่อนจะยักคิ้วเป็นอันว่าคิดตรงกัน ใช่เทพพยากรณ์รู้ไปเสียทุกสิ่ง

“ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง” ช่ายชราเอ่ยขึ้นให้ทั้งสองหันมาตั้งใจฟังต่อ

“ครั้งหนึ่งมีชาวประมง ผู้ที่เป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้านด้วยเขานั้นเป็นคนดีและมีน้ำใจให้ทุกคนเสมอหากแต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องร้าย ทำให้เรือเขานั้นอับปางลง” เขาหยุดอึดใจหนึ่งแล้วพลันถ้วยน้ำชาใบจิ๋วก็โผล่ขึ้นมา ชายชราจิบมันเล็กน้อยให้พอชุ่มคอ

“โชคยังดีเขาถูกช่วยไว้ แต่ในโชคดีนั้นก็มีโชคร้ายด้วยเรือที่มาช่วยเขาขณะลอยกลางทะเลนั้นเป็นเรือของโจรสลัด แต่โอ้ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด โจรสลัดน่ะดีกับเขามากๆแต่ที่ไม่ดีคือเหล่ากองทัพเรือของอาณาจักรที่โจรสลัดเพิ่งไปปล้นมานั่นแหละเป็นปัญหา พวกโจรสลัดนั้นมีคดีติดตัวจึงทำให้ถูกตามล่าเมื่อเหล่าโจรสลัดถูกจับ ชายชาวประมงก็ติดร่างแหไปด้วยเพราะทหารไม่เชื่อว่าเขาไม่ใช่โจรสลัด...ถึงตรงนี้เราคงจะพูดได้ว่าเขาโชคร้ายใช่ไหม?”

องค์เทพเกศแดงพยักหน้าน้อยๆและยังใคร่ครวญ

“เขามิได้ทำอะไรผิดพลาดเลย เขาไม่ได้เป็นโจรสลัดนั้นอย่างหนึ่ง เขาไม่ได้จงใจเข้าไปยุ่งกับโจรสลัด เขาไม่ได้จงใจจะให้ตนเรือล่ม สิ่งเดียวที่เขาจงใจนั่นก็คือเขาจงใจจะไปหาปลาซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อเลี้ยงชีพ อันที่จริงเขาไม่ได้ตัดสินใจอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย และเรื่องเลวร้ายทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยความโชคร้ายของเขาโดยแท้”

“ทีนี้ เมื่อเขาถูกจับเข้าคุก มันก็เป็นเหตุบังเอิญที่เขาได้อยู่ร่วมคุกกับนักปราชญ์ คนหนึ่งปราชญ์คนนี้ถือเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดของยุคสมัยเพราะเขาเป็นคนที่ใช้ความรู้ที่ตนวิเคราะห์ขึ้นมาและได้บอกแก่มนุษย์ผู้อื่นๆว่าโลกนั้นเป็นทรงกลม”

ชายชราเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพึมพำ สำหรับข้านั่นน่าประทับใจมาก

“แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รับได้นักปราชญ์ผู้นั้นถึงต้องถูกจับขังคุก แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือชายชาวประมงได้มีเพื่อนเป็นผู้ที่ฉลาดที่สุดและสอนทุกอย่างให้แก่เขาโดยผ่านการพูดคุยผ่านห้องขัง จนเมื่อหลายปีผ่านไปเขาก็อาจเรียกได้ว่าเป็นชาวประมงที่ฉลาดที่สุดเลยก็ว่าได้....ท่านเริ่มเห็นความโชคดีของเขาขึ้นมาบ้างหรือยัง”

“แต่เขาจะฉลาดขึ้นไปทำไมเล่าท่านในเมื่อเขาต้องอยู่ในคุกไปชั่วชีวิต”

“นั่นก็จริง หากแต่เขาไม่ได้อยู่ในนั้นไปชั่วชีวิตหรอกนะท่าน ด้วยเขาเมื่อเขาฉลาดขึ้นเขาก็สามารถวางแผนหลบหนีออกมาจากคุกนั่นได้ หากแต่น่าเศร้าที่เขาไม่อาจพาเพื่อนนักปราชญ์ผู้ชราหนีออกมาได้ ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ของเขาเสียชีวิตลงเพราะอ่อนล้าจากการหลบหนี แต่นั่นก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนด้วยก่อนตายเขาได้ขอให้ลูกศิษย์ของเขาที่มีอยู่หนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งก็คือชาวประมงคนเดิมของเรานั่นเอง สืบสานเจนารมณ์ของเขาต่อไป ทำให้หลังจากนั้นชายชาวประมงได้ศึกษาหาความรู้ตามแนวทางที่อาจารย์ได้สิน ตนเขาเองได้กลายเป็นนักปราชญ์สั่งสอนผู้คนไปทั่ว แม้ท้ายแล้วเขาจะยังถูกประหารด้วยสั่งสอนสิ่งที่ขัดกับหลักศาสนาแต่ชื่อของเขาก็ยังถูกจดจำไปอีกนานกลายเป็นบิดาแห่งศาสตร์ความรู้ของมวลมนุษย์"

“สุดท้ายเขาก็กลายเป็นบุคคลสำคัญ?”

“นั่นคือที่ข้าจะบอก ทุกชีวิตมักถูกกำหนดไว้แล้วชายคนนั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นชาวประมง แต่เขาถูกขีดไว้ให้เป็นบุคคลสำคัญ ฉันใดฉันนั้นองค์เทพแห่งพืชพันธุ์ก็ไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เป็นเพียงแค่เทพแห่งพืชพันธุ์แต่ชะตาของเขาถูกขีดให้มาเป็นสิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้น...มันก็เลยต้องลำบากซับซ้อนเช่นชีวิตของชาวประมงนั่นแหละ”

เฟรทริสเม้มปากสนิท แม้ลึกๆเขาจะเข้าใจแต่นั่นมันมนุษย์แต่โรเรเนสเป็นเทพมันจำเป็นต้องยุ่งยากเช่นมนุษย์ด้วยหรือ

“นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลยท่าน ชีวิตมนุษย์และเทพนั้นไม่เหมือนกัน ท่านมิควรยกมาเปรียบกันเทพทุกองค์ก่อนกำเนิดก็มักถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นอะไร เช่นท่าน เช่นข้า ทุกคนมีตำแหน่งหน้าที่เป็นของตนเองข้าไม่เคยได้ยินว่าเทพแห่งสายลมจะกลับกลายเป็นเป็นเทพแห่งเพลิงบ้างเลย เช่นนี้โรเรเนสจะกลายเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์ได้เยี่ยงไรท่าน”

ชายชรานิ่งฟังและพยักหน้าน้อยๆเหมือนคิดตาม แต่เมื่อฟังฝ่ายนั้นพูดจบไปไม่กี่ชั่วอึดใจเขาก็พลันยกยิ้มขึ้นแล้วมองเทพแห่งนักรบอย่างอ่อนโยนเอ็นดูเหมือนมองเด็กเล็กๆ

“เช่นที่ท่านพูดนั้นก็ถูก หากแต่ข้าต้องขอเห็นต่างในคำของท่านในบางข้อ” เขาสูดหายใจช้าแล้วเริ่มอธิบาย

“ข้อแรก มิใช่ทุกผู้ทุกองค์ในแดนสรวงนี้ที่จะถูกกำหนดมาชัดเจน ดั่งเช่นอามินอส ...ข้ายืนยันว่าสถานะและความเป็นมาของเขานั้นไม่ชัดเจนแม่นมหาเทพก็ไม่อาจบอกได้อย่างถูกต้อง ข้อนี้ท่านอลงไปตรองดู

ข้อสอง จริงอยู่ว่าไม่เคยมีเทพที่แปรสถานะ หากแต่ที่มีสถานะเพิ่มเติมก็มีมากไม่ใช่น้อย เช่นองค์เทวีแห่งงานศิลป์แต่เก่าก่อนพระองค์ก็ดูแลแต่ส่วนงานศิลป์ แต่เมื่อเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่แดนมนุษย์พระองค์ก็ลงไปช่วยปราบทุกข์เข็ญจนภายหลังได้รับการแต่งตั้งจากเหล่ามหาเทพให้ทรงกลายเป็นเทพแห่งการปกป้องควบคู่ไปกับการดูแลงานศิลป์ของท่าน หรืออย่างองค์เทพแห่งเสียงเพลงผู้ชอบทรงพิณก็ทรงเคยช่วยเหลือเหล่าเทวดาจากการโจมตีของพญามารเมื่อนานมาแล้วจนองค์ท่านเสียแขนไปข้างหนึ่งทรงพิณไม่ได้แต่ก็ยังได้ตำแหน่งเทพแห่งเสียงเพลงอยู่แถมพ่วงด้วยต่ำแหน่งเทพแห่งการเสียสละ

นี่คือสิ่งที่ข้าจะบอกท่าน ท่านเฟสทริส องค์โรเรเนสยังคงเป็ฯเทพแห่งพืชพันธุ์อย่างแน่นอนแต่หลังจากนี้เขาจะมีสถานะมากขึ้นโดยไม่อาจบอกท่านได้ว่าคืออะไร”

“แต่ท่าน ทั้งหมดที่ท่านเล่ามันคือสิ่งที่เกิดขึ้นบนสวรรค์ทั้งนั้น หากโณเรเนสต้องมีอันจะเปลี่ยนแปลเช่นเทพองค์อื่นทำไหมเขาต้องไปตกระกรรมลำบากเช่นมนุษย์ด้วย เรื่องชาวประมงนั้นข้าเข้าใจดีด้วยเขานั้นเป็ฯมนุษย์และความเจ็บปวดและความลำบากสามารถสร้างมนุษย์ที่วิเศษและเหนือกว่าผู้อื่นได้ แต่สำหรับเทพข้าไม่เห็นว่ามันจำเป็นเลย เทพไม่ใช่มนุษย์ทำไมเราต้องพัฒนาตัวเองด้วยวิธีเดียวกับมนุษย์ด้วยล่ะท่าน”

“เราไม่ใช่มนุษย์แต่เราก็ไม่ได้เหนือกว่ามากมายอย่างที่ท่านคิด เทพก็ลงไปเป็นมนุษย์ได้มนายืก็ไปเป็นเทพได้ ทั้งเทพละมนุษย์มีจุดเกิดและสิ้นสุด ที่สำคัญชีวิตของทุกมวลทั้งมนุษย์ สัตว์และเทพ อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์บางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้และพวกเราทั้งหมดมีชีวิตที่ถูกขีดไว้ด้วยสมุดเล่มนั้น”            เขาชี้ปลายนิ้วไปที่สมุดเล่มเขื่องเล่มเดิมที่กลางห้อง

“เราทั้งหมดไม่ต่างกันสำหรับสมุดเล่มนั้นที่ควบคุมทุกชีวิตอยู่ นั่นคือสิ่งที่ท่านควรเข้าใจ”

เทพหนุ่มเกศแดงจ้องมองสมุดเล่มนั้นอยู่นานเหมือนจะรอให้มันตอบโต้เขาทั้งที่เป็นไปไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหนือเทพยังมีบางสิ่งที่เป็นกฏเกณฑ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดทั้งหมดนี้ได้โดยไม่รู้ว่าอะไร เหนือการเวลาและการทำความเข้าใจ เช่นนี้เขาก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่ต้องเป็นไปแก่น้องชายของเขาได้ ไม่อาจเปลี่ยงแปลงหรือเทรกแทรงได้ ไม่อาจคาดเดาหรือวางใจได้
แต่แม้นจะเข้าใจแต่ก็ไม่อาจทำใจ เขาไม่อาจทนดูผู้เป็นที่รักทนทุกข์ทรมาณเช่นนี้ได้หรอก

“มันจะเลวร้ายไปกว่านี้ไหมแล้วข้าจะทำอะไรได้บ้าง” แววตาปวดร้าวส่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้นเขาจะเป็นเทพชั้นสูงที่แยกเรื่องหน้าที่และเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้(บ้างเล็กน้อย) แต่เมื่อเกิดเหตุกับผู้ใกล้ชิดก็ไม่อาจยินยอมต่อโชคชะตาได้โดยง่าย

“โอ้ ไม่เลวร้ายหรอกท่านชีวิตขององค์โณเรเนสเมื่อเทียบกับเรื่องของชาวประมงนับว่าองค์ท่านโชคดีอยู่มาก ที่สำคัญอีกหน่อยอะไรๆมันจะดีขึ้นอย่างแน่นนอน อย่าทำหน้าเช่นนั้นสิท่านข้ามิได้พูดปด ยามนี้เป็นช่วงที่เลวร้ายแต่เมื่อผ่านพ้นไปแล้วอะไรๆจะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับอาจไม่ดีเลิศเลออาจมีตกระกำลำบากหรือมีให้ช้ำใจบ้างแต่ก็ไม่แต่ไปกว่าที่เป็นนี้อยางแน่นอนข้ารับรองได้ องคืโรเรเนสไม่ได้อ่อนแอเหมือนภายนอกเขาหรอกนะท่าน เขาก็เป็นบุรุษเช่นเดียวกับท่านและเขาจะรับมือทุกอย่างได้ข้าบอกไว้ก่อนเลย”

“เอิ่ม...สมุดชะตาเขียนไว้เช่นนั้นหรือ มันจะดีกว่านี้ใช่ไหม?”

“แน่นอนท่าน หากแต่ถ้าท่านไม่สบายใจก็โปรดทำพิธีโปรยพรคุ้มป้องกันภัยให้เขาเสียวันนี้ ยามนี้เขาเป็นมนุษย์พรจากเทพเขาสามารถรับได้อยู่แล้ว ความรักและหวังดีของท่านจะเป็นเครื่องป้องกันเขาเอง โปรดใจเย็นอย่าวู่วามทำอะไรเหนืออำนาจของท่านเลยท่านเฟรทริส ยามนี้เขาไม่ใช่น้องชายของท่านแล้วเขาถือได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งแล้วสิ่งที่เทพพึ่งกระทำเมื่อหวังดีในตัวมนุษย์คือการให้พร จงกลับวิมาณแล้วไปให้พรองค์โรเรเนสเสียเถิดท่านนั่นเป็นทางเดียวที่ดีที่สุด”

เขาพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจขอลาในที่สุดด้วยรู้ว่าทั้งหมดที่ตนมีสิทธิ์จะรู้นั้นคงมีเพียงเท่านี้ ถามอะไรมากไปกวานี้ก็คงไม่ได้ เจ้าบ้านผู้แสนดีก็เดินไปส่งถึงหน้าวิมาณแล้วร่ำลาอย่างเป็นกันเองทั้งยังกำชับว่าคราวหน้าคราวหลังมีอะไรคาใจก็มาหาได้จะช่วยเหลือตามสมควร

หลังจากนั้นเฟรทริสกลับอามินอสก็บินกลับวิมาณ หากแต่แม้นขณะเดินทางสิ่งมากมายที่คาใจก็ยังผุดขึ้นมาอยู่เนืองๆ จนแล้วเฟรทริสก็จำต้องเอ่ยคำถามหนึ่งในสิ่งที่ค้างคาอยู่นั้นออกมา นั่นคือบางอย่างเกี่ยวกับเทพชราเมื่อครู่

“นี่เจ้านกบ้า ท่านเทพพยากรณ์เป็นเทพไม่มีแก่ไม่มีเสื่อมทำไมท่านถึงยังอยู่ในร่างชราเช่นนั้นไม่ยอมจำแลงร่างที่สวยงามเหมือนควรจะเป็น”

“เขาเคยบอกข้าว่าอยากเก็บภาพสุดท้ายของตนเองไว้ก่อนจะได้เป็นเทพพยากรณ์น่ะ”

“หา เขาเคยเป็นอะไรน่ะ เคยเป็นเทพแห่งความชรามาก่อนหรือไงถึงอยากคงความแก่ไว้น่ะ” เทพพาหนะเผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดแก้เสียให้ถูก

“ใช่ซะที่ไหนเล่า! พิเรนทร์จริงร่างที่เจ้าเห็นนั้นเป็นร่างก่อนตายยามเมื่อท่านเป็นมนุษย์น่ะ”

“ห่ะ?”

“อืม....ท่านเคยเป็นชาวประมงมาก่อน”

“..........”

ความทึ่งตะลึกยังค้างคาอยู่ในใจเทพนักรบไปอีกนานแม้นกระทั่งตอนที่ถึงวิมาณ

--------------------

ลูกโลกใบใสใหญ่เรืองแสงจ้ากว่าที่เคยเมื่อองค์เทพแห่งนักรมแตะฝ่ามือลงบนผิวหยุ่นๆของมันพลางร่ายเวทย์ปกปักษ์ลงไปยังแดนมนุษย์ ในการจับจ้องของบุรุษปีกเงินและแมวยักษ์ตัวขาวที่ตกลงคืนดีกันเรียบร้อย

เฟรทริสร่ายมนต์หลายบทยาวเหยียดที่จำเพาะเจาะจงให้ลงไปถึงบุรุษรูปงามเพียงผู้เดียวที่ขณะนี้นอนขดตัวโดดเดี่ยวอยู่ในห้องกว้าง แม้นจะเจ็บปวดที่ต้องเห็นสภาพทุกข์ทนของผู้เป็นที่รัก แต่เขาก็ทำได้เพียงส่งความรู้สึกอันห่วงหาและพรเท่าที่จะถึงไปได้เพียงเท่านั้น

เพียงขอ ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ แม้นจะไม่ด้วยดี แต่ก็ขอให้เป็นอย่างที่ควรเป็นและไม่เลวร้ายมากเกินไป....

เทพหนุ่มเกศแดงยังคงพึมพำบทเวทย์อย่างตั้งใจอยู่เช่นนั้น ยามเมื่อองค์แมวตัวขาวฟูย่างเขามาสบทบเขาก็ยังไม่ทันสังเกตุ จนเมื่อเจ้าแมวยักษืยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งจรดแตะไปบนผิวโลกใสนั่นแหละถึงได้รู้ว่าองค์หม่าว ก็กำลังพยายามช่วยทาสของตนอยู่เหมือนกัน....



ใช่ ทั้งหมดนั้นส่งลงไปถึงหน้างามราวรูปสลักนั่น

แล้วโรเรเนสก็รู้สึกตน อย่างน้อยๆ ถึงกระแสความอบอุ่นและเปี่ยมสุขบางอย่าง จนในห้วงฝันเขาเริ่มคิดแล้วว่าตนได้กลับมาส่าวรรค์เรียบร้อยแล้ว หากแต่ก็มิใช่หรอก...

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ......

ใช่ห้องนี้ ห้องเดิมนั่นแหละ ห้องที่เขาถูกขังอยู่ในนี้มาเกือบสัปดาห์แล้ว...

-----------------------------------


ยังอยู่ค่ะ แม้นจะอัพช้าแต่ยังไม่ไปไหนค่ะ และขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านและทุกท่านที่ยังอยู่นะคะ :hao5:

   
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 06-03-2015 23:02:29
ขอให้ดีวันดีคืน ความจริงเปิดเผยเร็วๆค่ะ  :call:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: LadyMaidenLy ที่ 06-03-2015 23:06:35
อัพแล้วววววววววววววว

ดีใจจังเลยค่ะ  :mew4:

เนื้อเรื่องดูสเกลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โรเรเนสคงมีภาระอันยิ่งใหญ่(?)รออยู่สินะ

สู้เขานะทาเคชิ!!!

ปล. ไรท์คะ อัพอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งก็โอเคนะคะ ไม่ห่างนานไปแล้วก็มีเวลาทำอย่างอื่นเน๊าะ อย่างงี้ก็ไม่ถือว่าช้าหรอกค่า
กำลังดีค่ะ (แต่เร็วกว่านี้ก็ไม่เกี่ยงนะคะ อิอิ)
แค่ไม่หายยาวเป็นเดือนเป็นอันว่าเริ่ดค่าาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 06-03-2015 23:28:16
อ่านแล้วชอบมากๆเลยยย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 07-03-2015 00:18:30
สงสารโรโรเนส  เฮ้อ แล้วยานั่นจะหมดฤทธิ์เมื่อไหร่
หรือจะไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้
แต่โรโรเนสกินไปแค่ครั้งเดียวเองนี่
อยากเห็นคนหน้าแตกอะ 555
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 07-03-2015 07:04:19
เพราะเทพแห่งสงครามเป็นเทพที่จิตใจแบบนี้รึเปล่านะถึงทำให้ไอ้ปีกเงินมันหวังจะกินตับอยู่เนี้ย โรเรเนสก็เจ็บซ้พต่อไป รักมากก็เจ็บมาก เฮ้อ น่าจะมีอะไรให้ไอ้ราชานั้นเสียใจบ้างที่ทำร้ายจิตใจของโรเรเนส
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 08-03-2015 00:38:14
สงสารเรโรเนส  เมื่อไรความจริงจะเปิดเผย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 08-03-2015 01:08:31
 :z3: กรี๊ดดดดด โรเรเนสฟื้นแล้ววววว อยากอ่านตอนต่อไปบนโลกมากเลยค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 08-03-2015 04:30:49
เมื่อไรอิหนูของป้าจะพ้นทุกข์ล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: supermyrainbow ที่ 08-03-2015 05:56:24
มาต่อเร็วๆนะ ชอบเรื่องนี้มาก

เนื้อหาน่าสนใจ ไม่เคยอ่านแนวนี้เลย

ฟารันอย่าใจร้ายนักนะ  ฟังกันหน่อย :o12: :sad4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 08-03-2015 08:39:19
แง้ น่าฉงฉานนนนนน :o12:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่9 100% 6/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 08-03-2015 10:44:16
ชอบจริงชอบจังเรื่องนี้
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10.1 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 12-03-2015 02:05:51

            แพขนตากระพริบถี่ๆก่อนเขาจะเริ่มตื่นเต็มตา หน้าสวยนอนมองเพดานอย่างทบทวนแล้วค่อยๆลุกขึ้นมาแลดูอิดโรย ผมเผ้าค่อนข้างกระเซิงและชุดที่สวมก็คล้ายเดิมๆตั้งแต่ตอนที่ป่วยหนักครั้งโน้น เขากวาดตามองดูห้องนอนหรูหรานี้อย่างเฉยเมย ก็เหมือนเดิม.....

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขาได้มองดูห้องนี้อย่างละเอียด ด้วยคราแรกที่ตื่นขึ้นมาอย่างเจ็บปวดเมื่อสัปดาห์ก่อน ตั้งแต่ตอนนั้นที่ฟารันทำแบบนั้นกับเขา เขาก็โดนขังอยู่ในห้องนี้มาร่วม7วันได้แล้วกระมัง...เขาเดา เพราะห้องนี้ไม่มีหน้าต่างเขาไม่อาจทราบได้เลยว่าเป็นยามกลางวันหรือกลางคืน ทำได้แต่เพียงเงี่ยหูฟังเสียงนกร้องในยามเช้าและจับความรู้สึกเย็นเยือกที่ต่ำลงในตอนกลางคืน นอกจากนั้นวิธีการเดาช่วงเวลาก็เป็นไปด้วยอาหาร เขาได้รับอาหาร 3 มื้ออย่างปรกติ ได้อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจากห้องอาบน้ำหินอ่อนห้องเล็กๆที่อยู่ติดกัน แต่ทุกกระบวนการเป็นไปโดยที่เขาไม่ได้เจอใครเลย

น่าแปลกมีอาหารส่งมาให้เขาผ่านช่องประตู ส่วนน้ำในอ่างก็ไหลลงมาจากท่อเสมือนว่าห้องนี้ออกแบบมาให้เป็นที่คุมขังนักโทษระดับสูงเช่นราชนิกูลอะไรประมาณนั้น แต่จุดนี้แหละที่ทำให้เขาประหลาดใจด้วยสถานะของเขาตอนนี้อันที่จริง ก็ควรจะลงไปอยู่ในคุกใต้ดิน ถูกแขวนห้อยไว้กับห้องทรมาณนักโทษหรือควรจะโดนประหารไปแล้วเสียมากกว่า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองยังได้อยู่ในห้องเช่นนี้

 เขาไม่ได้กลัวหลังจากกังวลและฟุ้งซ่านไปหลายวันกับความคิดต่างๆนานาว่าจะเกิดอะไรกับตัวเองบ้าง จู่ๆเขาก็ได้สติว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ทั่วไปความตายคือสิ่งดีที่ทุกอย่างจะพ้นทุกข์ทนไป เขาจึงสงบขึ้นมากและไม่ได้แยแสเรื่องการโดนประหาร ส่วนเรื่องการโดนทรมาณก็น่ากลัวอยู่บ้างแต่เขาก็รู้ว่าสำหรับแดนสรวงความลำบากในโลกนั้นถือเป็นสิ่งน่ายกย่อง ก็ถ้าเขาได้ตายอย่างทรมาณเมื่อกลับไปเป็นเทพก็อาจได้รับการสรรเสริญ

จะมองยังไงก็ดี ร้ายที่สุดก็แค่ตาย ตายก็ได้กลับบ้านได้เจอคนรู้จัก ครอบครัวและแมวด้วย ไม่เห็นมีอะไรต้องหนักใจ....ควรจะเป็นแบบนั้น อย่างไม่อาจเข้าใจได้ทั้งที่ออะไรๆก็น่าจะดีแต่ทำไมเขายังเจ็บปวด ไม่ได้กลัวใดใดเลยกับสิ่งที่จะเกิดแต่สิ่งที่เสียไปแล้วนี่สิที่ทรมาณใจ

ความรู้สึกดีๆที่มีให้แก่กัน กับผู้ชายบางคนที่เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างลึกซึ้งมันขาดหายไปเสียแล้ว ทั้งจากตัวเขาเองและอีกฝ่าย บัดนี้เขาไม่แน่ใจว่ารู้สึกอย่างไรกับผู้ชายคนนั้นแล้วในตอนนี้ จะว่าโกรธมันก็โกรธอยู่แต่ขณะเดียวกันก็เสียใจที่ตนก็เป็นฝ่ายโดนโกรธด้วย และความรู้สึกอีกมากมายที่เขาไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร เพียงแต่มันบาดลึกและเหมือนโหวงเหวงทุกทีที่คิดได้ว่าทั้งหมดมันผ่านไปแล้วและเขาก็กำลังจะจากกันไปอย่างไม่มีอะไรดีๆเหลือทิ้งอยู่เลย

หยาดน้ำก็วาวขึ้นที่ขอบตา มันน่าจะสบายใจกว่านี้ถ้าเขาปล่อยให้มันไหลลงมาแต่เขากลับข่มมันไว้แล้วพยายามให้มันหายคืนไป พลางก็คิดว่าชีวิตมุนษ์นั้นสั้นนัก ฟารันก็เช่นกันเป็นแค่มนุษย์ทั่วๆไปเพียงชั่วพริบตาเดียวตอนที่เขาเป็นเทพฟารันก็คงแก่ตายไปแล้วด้วยซ้ำ มันไร้สาระมากเกินไปที่เขาจะมาใส่ใจเศษธุลีเล็กๆเมื่อเทียบกับทั้งจักรวาลอย่างชายผู้นั้น 

ใช่เขาไม่ควรร้อง ไม่ควรสนใจ....

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาลูกเดินไปที่ประตูด้วยเข้าใจว่ามื้อเช้าคงมาถึงแล้วหากแต่ประตูนั้นเปิดออก ทหารสองคนยืนอยู่สองฟากบานประตูที่อ้ากว้าง ตรงกลางเป็นผู้บังคับบัญชาที่แต่งตัวต่างกันขึ้นมาเล็กน้อย ชายผู้นั้นเดินย่างเข้ามาแล้วเอ่ยเสียบเรียบแน่น

“การพิจราณาคดีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในวันนี้ ข้าได้รับคำสั่งมาให้พาท่านไปรับการไต่สวน”

ไม่น่าแปลกใจอะไร โรเรเนสไม่ได้แสดงอาการตกใจหรือกังวลใดใดเลยเขาเดินตามเหล่าทหารที่ขนาบข้างไปโดยที่ไม่ต้องจับกุม เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินเป็นจังหวะความเงียบที่เหลือเป็นทั้งหมดที่ปรกคลุมบริเวณนี้อยู่ เด็กหนุ่มค่อนข้างสงสัยอยู่บ้างกับสิ่งที่กำลังจะเกิดเขาจึงเอ่ยถามออกไปตามใจคิด

“องค์ราห์โอไม่ได้ตัดสินประหารข้าไปแล้วรึเขาน่าจะตัดสนใจได้แล้วนี่ว่าควรทำอะไรกับข้า ทำไมต้องไต่สวนด้วยหรือว่ามันเป็นระเบียบ”

ทหารหนุ่มที่เดินนำหน้ากล่าวตอบโดยไม่ได้หันมามอง
“จำเป็นต้องไต่สวน ด้วยผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นสารภาพออกมาหมดแล้วและยังมีข้อที่ไม่กระจ่างอยู่ด้วย”

ผู้สมรู้ร่วมคิด!” ครานี้เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงอย่างตกใจ มันจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดกันไปได้อย่างไร! ทำไมทุกอย่างเกิดวิปริตแบบนี้ 7วันที่ผ่านไปเกิดอะไรขึ้น!

เขาไม่ได้เอ่ยถามต่อเพราะไม่รู้จะเริ่มถามสิ่งใดและเรียบเรียงยังไง ความตระหนกตกใจผสมกับความงุงงงนเขามาปะดังอยู่ในคราเดียว จนเมื่อเดินผ่านห้องหับและอาณาเขตหลายส่วนของวังใหญ่ เขาก็ได้เข้ามาในห้องโถงขนาดกลางห้องหนึ่ง บุรุษมากหน้าหลายตานั่งกันอยู่บนอัฒจรรย์เตี้ยๆสองฟาก ทุกคนแต่งชุดขุนนางหลากสีสัน มีเหล่าทหารยืนอยู่ตามมุมต่างๆ ตรงกลางท้ายห้องด้านหน้าเป็นบัลลังค์ศาล กึ่งกลางห้องเป็นคอกเล็กๆที่ให้ผู้ถูกไต่สวนได้ยืน

ในจุดนี้ถือเป็นจุดรวมสายตาที่น่าตกตะลึง เพราะเขาพบบุคคลคุ้นเคยหลายคนอยู่ตรงนั้น เริ่มแรกในคอกข้างๆบัลลังศาล ท่านหมอหลวงและนักบวชที่คุ้นหน้า4คนยืนอยู่ในคอกนั้น จากสภาพที่ดูโทรมลงไปและต่ำแหน่งที่ยืนคาดเดาได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่มาดูการไต่สวนแต่เป็นหนึ่งในจำเลยของวันนี้ ถัดขึ้นไปก็เป็นส่วนกลางของบัลลังค์ มีชายชราดูแก่วิชาและน่าเกรงขามนั่งอยู่ชุดที่สวมใส่เป็นครุยสีกรมท่าเรียบง่ายแต่ดูภูมิฐานคาดว่าน่าจะเป็นศาล ลากลอสในชุดพอดีตัวสีน้ำเงินปักดิ้นทองชุดเดิมของเขายืนสงบนิ่งอยู่หน้าศาล แต่นั่นไม่ใช่คนสุดท้ายที่เขาเห็น ด้วยองค์ราห์โอก็นั่งอยู่ข้างกันกับบังลังค์ของศาล ตอนแรกกษัตริย์หนุ่มก็ไม่ได้มองมาที่เขาหรอกแต่เมื่อเข้าเดินเข้าไปใกล้คอกเล็กๆตรงกลางห้องเพื่อรับการไต่สวนฝ่ายนั้นก็เหลือบตามามอง....แววตาว่างเปล่าเหมือนมองไม่เห็นกัน

โรเรเนสยืนประจำที่ตรงกึ่งกลางห้อง สายตาประหลาดมากมายจ้องมองมาที่เขา ทั้งสงสัย สงสาร อ้อนวอน เกลียดชังแม้กระทั่งขบขันก็ยังมี เขามองสบไปที่ท่านหมอหลวงอย่างสับสนแต่ฝ่ายนั้นก็เพียงแค่ยิ้มน้อยๆส่งมาเหมือนบอกให้เขาสงบใจ
ลากลอซขยับเดินมาที่หน้าศาลก่อนจะเริ่มประกาศเสียงดังชัด


“ข้าพเจ้าลากลอซ อาคราเน่ หัตถ์ขวาแห่งราชบัลลังค์และผู้ใช้กฎหมายแห่งสปันเทียทำหน้าที่เป็นผู้จดบันทึกและตรวจสอบการไต่สวนในครั้งนี้ การไต่สวนจะดำเนินไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองฟากฝั่ง กระทำการตัดสินด้วยศาลและเหล่าคณะลูกขุนจำนวนหนึ่งที่อยู่บนที่นั่งฝั่งขวาด้านบนสุด ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งศาลและได้รับพระราชอำนาจพิเศษในการตัดสินจากองค์ราห์โออย่างถูกต้องตามกฎหมายในวันนี้คือ ท่านฮินมัน  ยาคุป องคมนตรีเอกแห่งสปันเทีย...โปรดทำความเคารพ”


ผู้คนในห้องโถงยืนขึ้นเป็นการให้เกียรติแก่การไต่สวนอันศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งราห์โอก้ต้องยืนขึ้นด้วยถัดจากนั้นเมื่อนั่งลงนักบวชรูปหนึ่งก็เดินมาขอให้เขาสาบาญต่ออง๕เทพว่าจะไม่โกหก ซึ่งนั่นก็ตลกสิ้นดี ถัดจากนั้นเขาก็ถูกนำไปยืนอยู่ในคอกเล็กๆอีกข้างของศาล

แล้วการไต่สวนก็ดำเนินขึ้น เริ่มแรกที่ท่านหมอหลวงเดินไปยืนที่คอกตรงกลาง ศาลเอยปากถามคำถามเปิดขึ้น

“ท่านหมอหลวง กรุณาเล่าสิ่งที่ท่านสารภาพให้พวกเราในห้องนี้ฟังกันอีกซักครั้ง”

“ได้ขอรับ...” เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสูดเข้าใหม่แล้วเริ่มพูด “ข้าพเจ้าชักบา โมรากุลที่2 ดำรงตำแหน่งหมอหลวงประจำรัชกาลแห่งองค์ราห์โอองค์ที่ 17 ขอสาบาญว่าคำกล่าวทั้งหมดเป็นความจริง ด้วยเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยข้าดำริขึ้นเองทั้งหมด เมื่อหลายเดือนก่อน ก่อนที่จะมีพิธีอัญเชิญเทพข้าได้รู้มาว่าจะมีการทำพิธีขึ้น ด้วยความกังวลว่าท่านองค์พระสังฆราชหรือองค์หัวหน้านักบวชจะเสียหน้าและถูกลงโทษด้วยไม่อาจอัญเชิญเทพมาได้ข้าจึงได้เดินทางขึ้นเหนือไปยังโอเรนเดลและได้พบกับชายผู้นี้” เขาชี้ไปทางผู้ที่อยู่ในคอกด้านซ้ายมือตนในขณะที่ฝ่ายนั้นแตกตื่นตกใจจนพูดไม่ออกกับเรื่องที่เขากำลังเล่า
“ข้าพบว่าชายผู้นี้มีใบหน้าเหมือนกับองค์เทพโรเรเนสเสียยิ่งกว่าเหมือนข้าจึงตัดสินใจวางยาลบความทรงจำของเขาเสีย เพื่อให้เขาไม่สามารถระลึกตัวได้ อีกทั้งยังได้พามาซ่อนอยู่ในเมืองหลวงก่อนพิธีจะเริ่ม ข้าได้ปรุงยาสูตรพิเศษที่ทำให้ผู้ดื่มเกิดหลงผิดในตัวตน ข้าทำให้เข้าเชื่อว่าเขาเป็นเทพหรืออีกนัยหนึ่งแท้แล้วชายผู้นี้ไม่ใช่เทพ เป็นเพียงชายชาวสวนในหมู่บ้านหนึ่งในชนบทของโอเรนเดล เขาถูกข้าลบความทรงจำ ถูกข้ากล่อมยาจนเข้าใจผิดคิดจริงว่าตนเป็นเทพ แท้แล้วเขาผู้นี้เป็นเพียงชายเสียจริตเท่านั้น!”


“ไม่จริง!” โรเรเนสตะโกนสุดเสียง เหงื่อกาฬเขาเริ่มแตก ช่างไร้สาระและไร้ข้อเท็จจริงเป็นที่สุด ทำไมกัน!ทำไมท่านหมอต้องรับผิดแทนเขาด้วย

“ข้ายังมิได้ถามเจ้า โปรดเงียบลงเถิด” ศาลกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น

“มะ ไม่นะ นี่มันบ้าที่สุดอย่าปล่อยให้เขาพูดเหลวไหลเช่นนี้สิ .....ท่านหมอทำไมท่านต้องโกหกด้วยบอกเขาไปสิว่าข้าเป็นเทพจริง อย่างที่ท่านเคยบอกข้าเรื่องร่างกายของข้าที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปนั่นไง บอกเขาสิ!” หน่วยตางามน้ำตาคลอเบ้าใบหน้าเขาแดงก่ำแต่ผู้คนที่อยู่ในห้องกลับแลดูเฉยเมยต่ออาการของเขานัก

“อย่างที่ข้ากล่าว ท่านผู้ทรงเกรียรติทุกท่านและท่านศาล ชายผู้นี้หลงผิดอย่างแท้จริงว่าตนเป็นเทพ ข้ายอมรับโดยดุษฎีว่าเป็นข้าเองที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ ด้วยตอนที่ข้าทำการรักษาเขาด้วยอ้างว่าหัวใจเขาไม่แข็งแรงนั่นก็ไม่ใช่ความจริงเลย เขาไม่ได้ป่วยอะไรทางร่ายกายแต่เป็นจิตที่ป่วยไข้เช่นคนเสียสติ ด้วยข้าเองนี้ให้ยากล่อมประสาทแก่เขาในทุกๆวันทำให้ตัวเขายิ่งเข้าใจตัวเองผิดไปมากยิ่งขึ้น ทั้งเข้าใจว่าตนเองป่วยเข้าใจว่าตัวเองเป็นเทพ”

เด็กหนุ่มสุดจะทนเขากัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนแทบห้อเลือด ลากลอซพยายามกล่อมให้เขานิ่งเสียด้วยยังไม่ถึงเวลาพูดเขาก็จำยอมที่จะไม่ก่อความวุ่นวายทั้งที่อัดอั้นแทบขาดใจ

“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเทวรูปองค์ปฐมนั้นเป็นเช่นไรในเมื่อท่านไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์เข้าไปในส่วนเทวาลัยชั้นใน อีกทั้งพิธีอัญเชิญเทพนั้นกระทำโดยมุ่งหมายจะอัญเชิญองค์เทวีอนามอเฟียลงมา เหตุใดท่านจึงพาตัวบุรุษเกศม่วงผู้นี้มาแทนจะพาสตรีที่หน้าคล้ายองค์เทวีมาแทน”

ท่านหมอนิ่งเงียบ เขาเหลือบตาไปมองนักบวชที่อยู่ในคอกจำเลยทั้ง4 ฝ่ายนั้นพยักหน้าน้อยๆเป็นสัญญาณให้เขาพูดต่ออกไป ผู้ที่ถูกไต่สวนเม้มปากเน้นสนิทก่อนจะสารภาพต่อ

“ท่านนักบวชชั้นสูงทั้ง 4 คนเป็นผู้มอบรูปพรรณสันฐานให้ข้าเอง พวกเขาเข้าไปสวดมนต์ตามปรกติก่อนจะวางอุบายใช้ดินเหนียวพิมพ์ลงที่ใบหน้าขององค์เทวรูปก่อนจะนำมาให้ข้าเพื่อตามหาคนที่มีพิมพ์เดียวกัน ส่วนเรื่ององค์อนามอเฟียเรื่องนั้นข้าก็ได้เตรียมสตรีอีกนางมีละม้ายคล้ายองค์เทวีเอาไว้แล้วแต่ก็ได้จัดเตรียมบุรุษเกศม่วงนี้ไว้ด้วยเผื่อเกิดข้อผิดพลาด และเมื่อหลังจากผลออกมาว่า...อ่า..ว่าพิธีนั้นไม่ส่งผลทางข้าและนักบวชทั้ง4ก็ตั้งใจจะส่งสตรีนางนั้นเข้ามาสวมรอยแทน หากแต่นางเกิดหวาดกลัวและหนีไปเสียก่อน ข้าจึงต้องแอบนำชายคนนี้เข้ามาในวังแทนเพื่อตบตาทุกคง...ตาตาองค์ราห์โอเพื่อรักษาชื่อเสียงของฝายศาสนจักรเอาไว้”

เสียงพูดคุยเริ่มจอแจขึ้นทันที เกิดการถกเถียงกันในกลุ่มเล็กๆทั่วไปในทั้งห้อง แต่แววตาของผู้ที่อยู่กึ่งกลางห้องกลับดูสงบนิ่ง ในขณะเดียวกันก็สงบอย่างประหลาด เป็นแววตาของคนที่ยอมทิ้งสิ้นแล้วทั้งชีวิตของตน


ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดใจก็แล่นริ้วอย่างกรีดลึดเข้าสู่กลางใจบุรุษอีกหลายคน ด้วยทั้งรักและเคารพท่านหมอหลวงผู้นี้กันเป็นอันมาก หลายฝ่ายเชื่อและผิดหวังอย่างทรมาณกับท่านหมอที่น่านับถือ หลายฝ่ายไม่เชื่อและยอมรับไม่ได้พลางออกปากให้ท่านหมอพูดใหม่ให้เป็นจริง

แต่เหนืออื่นใดผู้ที่เจ็บปวดที่สุดก็มีอยู่สองคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มหน้าสวยที่ถูกช่วยชีวิตไว้อย่างไม่จำเป็นเลยในความเห็นของเขา อีกคนคือชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาด้วยความนับถือยิ่งในหมอผู้นี้ ผู้เป็นทั้งอาจารย์และเป็นเสมือนญาติ ผู้อวุโสเพียงคนเดียวที่เขาไว้ใจและเหลืออยู่หลังจากที่พระบิดาจากไป

หากมองจากตำแหน่งของท่านหมอที่ยืนอยู่กลางห้องเช่นนี้ จะเห็นได้ชัดเลยว่าแววตาของบุรุษทั้งสองดูทรมาณไม่ต่างกันเลยทั้งคู่
แต่เขาจำเป็นต้องทำ ต้องทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองเจ็บปวดเพื่อความถูกต้องหนึ่งเดียวที่เขายึดมั่น ด้วยแรงศรัทธาต่อองค์เทพที่เขามีไม่เคยสร่าง


องค์เทพต้องสถิตอยู่ที่สปันเทีย เพื่อประโยชน์ทั้งปวงของคนทั้งแผ่นดิน


“ทุกท่านกรุณาเงียบด้วย” ลากลอซเปล่งเสียงขึ้นเสียงพูดคุยถกเถียงที่เกิดขึ้นในห้องก็พลันค่อยๆเงียบลง ศาลจึงได้ถามต่อ

“เหตุใดท่านถึงยอมพูดเช่นนี้ท่านหมอ ท่านรู้ใช่ไหมว่าท่านจะโดนโทษสถานใด”

“ข้าทราบดี เช่นนี้ข้าก็ยอมรับด้วยข้าผิดบาปกับชายผู้นี้ข้าพรากเขามาจากบ้านเกิด ทำลายเขาด้วยการทำให้เขาเสียจริต ทำให้เขาเสียความทรงจำ ทำลายชีวิตและความทรงจำทั้งหมดของเขา ข้าจึงสมควรจะชดใช้ที่ทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งไป เช่นนี้ท่านศาลและท่านทั้งหลาย โปรดละเว้นชายผู้นี้เขาเป็นเพียงคนบ้าเสียสติที่หลงผิดคิดว่าตนเป็นเทพเข้าไม่ได้มีเจตนาจะลวงหลอกผู้ใด ว่าอีกนัยหนึ่งเขาต่างหากที่เป็นเหยื่อหาใช่ผู้กระทำไม่ นั่นคือทั้งหมดที่ข้าจะพูด”

ไม่จริง!ข้าไม่ได้บ้า!ให้ตายเถอะ!” โรเรเนสตะโกณสุดเสียง เขาไม่อาจยอมรับได้กลับทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่และไม่อาจรับได้ถ้าผู้บริสุทธิ์อย่างท่านหมอต้องมารับผิดแทนเขา

ข้าเป็นเทพ! ข้าเป็นเทพ!” หยาดน้ำตากลมใสเริ่มไหลอาบหน้า ลากลอซต้องบังคับให้เขานิ่งอีกครั้งแต่ครานี้เขาไม่ยอม ไม่อาจให้เรื่องเหลวไหลนี้ดำเนินต่อไปได้ เขาหมายจะออกจากคอกแต่ยังดีที่พวกทหารมาจับตัวไว้ได้ก่อน แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะวุ่นวายไปกว่านี้เสียงกังวาลหนึ่งก็ดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง


เราจะรู้ได้อย่างไรว่าชายผู้นี้เสียจริตจริง เขาอาจแกล้งทำก็ได้แท้แล้วเขาก็แค่ผู้สมรู้ร่วมคิดนั่นแหละ” ขุนนางผู้นั้นไม่ใช่ใครนอกจากจะเป็นหนึ่งในคนสนิทของโยเฮนขุนนางชั่ว

เสียงพูดคุยดังขึ้นอีกครั้งหลายฝ่ายเริ่มตระหนักถึงข้อนี้และเรียกร้องให้หาทางพิสูจน์ว่าเด็กหนุ่มบ้าจริงหรือแค่แกล้งทำ

เช่นนั้นก็เอาเขามาไต่สวนซี่” ขุนนางอีกคนตะโกณขึ้น เมื่อเริ่มวุ่วายและคนแตกออกเป็นสองฝ่ายลากลอซก็จำต้องส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบอีกครั้งก่อนจะหันไปถามความเห็นของศาล

“ให้เป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านหมอและท่านนักบวชทั้ง4มีอะไรจะกล่าวต่ออีกไหม” ท่านหมอส่ายหัวปฏิเสธส่วนหนึ่งในนักบวชก็กล่าวสบทบ

“พวกเราทั้ง4ยอมรับในคำกล่าวทั้งหมดของท่านหมอหลวง....และ..และยอมรับผิดในทุกข้อกล่าวหา อีกทั้งขอยืนยันสบทบด้วยว่าชายคนนี้เป็นเพียงชาวสวนจากโอเรนเดลที่ถูกพวกเราวางแผนทำให้เสียจริตเพียงเท่านั้น เขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในแผนการลวงหลอกทั้งหมดนี้เลย และที่พวกข้ากระทำลงไปก็ด้วยเพียงต้องการรักษาชื่อเสียงของศาสนจักรและรักษาหน้าขององค์พระสังฆราชเท่านั้น และขอยืนยันด้วยว่าองค์พระท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้เลย”

“อืม...ดี จดไว้ได้ทั้งหมดหรือเปล่าท่านลากลอซ”

“ขอรับ”

“เช่นนั้นก็ เบิกตัวจำเลยอีกคนมาได้”

หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10.2 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 12-03-2015 02:08:09
โรเรเนสถูกพาตัวไปยังคอกกึ่งกลางห้อง ใบหน้าเขาแดงก่ำคราบน้ำตายังมีอยู่บนสองแก้มแต่แววตานั้นกลับดูกร้าวและอัดอั้นปวดร้าวเป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ ตามธรรมเนียมเจ้าต้องแนะนำตัวก่อนจะเริ่มรับการไต่สวนนะ โปรดแนะนำตัว”

หน้างามกัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยอย่างหนักแน่น

“ข้ามีนามว่าโรเนเนส องค์เทพแห่งพืชพันธุ์ ผู้พิทักษ์แห่งสปันเทียตามกำเนิด ....” เขาสูดหายใจลึกก่อนกล่าวต่อ “ข้ากำเนิดขึ้นมาจากคำสั่งขององค์คาออสผู้สร้างสรรค์โลก โลกที่พวกท่านทั้งหลายเหยียบยืนกันอยู่ในบัดนี้ ข้าถูกสร้างมาโดยองค์มหาเทวีคารามิสเพื่อห็เป็นเทพเบื้องซ้ายขององค์คาออสคู่กับองค์เฟรทริสผู้เป็นเทพเบื้องขวาแลเป็นเทพแห่งนักรบ แล้วหากจะพูดเรื่องความจำเสื่อม จริงว่าข้ายังจำความทั้งหมดไม่ได้แต่สิ่งที่ระลึกได้และเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆก็เป็นเรื่องบนสวรรค์หาใช่เรื่องชาวบ้านดาษดื่น ข้ายื่นยันว่าข้าเป็นเทพและไม่ได้เสียสติ พวกนักบวชและท่านหมอนั้นบริสุทธิ์ หากจะขัดใจที่รับไม่ได้ว่าข้าเป็นเทพก็ฆ่าข้าเสียอย่าให้มันลามไปถึงผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง”

“แต่องค์เทพต้องมีangel syrupแต่เจ้าไม่มีเช่นนี้จะเป็นเทพได้อย่างไร”

“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าด้วยเล่ห์กลอันใดจึงทำให้ร่างกายข้าเป็นเช่นนี้ แต่หากจะให้ข้าโป้ปดให้เป็นอื่น ด้วยศักดิ์ศรีแห่งเทพข้าก็ไม่อาจทำได้!”

เสียงฮือฮาดังขึ้นจากทั่วทุกมุมห้อง ครานี้ท่านศาลเปิดโอกาสให้ผู้คนในห้องได้เป็นฝ่ายถามเอง พอเป็นแบบนี้ก็เกิดมีคำถามมายกมายหลายเสียงไล่ระดมลงมาโดยที่เด็กหนุ่มก็หันตอบกลับไปอย่างทันทีในแทบทุกคำถาม

ไร้สาระ! ไม่มีangel syrupแล้วเจ้าจะเป็นเทพได้อย่างไร

“ก็ถ้าความโง่งมของพวกท่านมันบังตา ต่อให้ข้าพิสูจน์ได้ชัดเจนเพียงไรก็ไร้ประโยชน์”

“เจ้าความจำเสื่อม จะเชื่อได้อย่างไรว่าตนเองเป็นเทพ เจ้าจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแม้แต่ตัวเจ้าเองยังยืนยันกับตัวเองไม่ได้เลยว่าตัวเองเป็นใคร”

“ข้ารู้ตัวข้าดีมันไม่มีทางเป็นอื่นได้”

“เจ้าก็โดนเขากล่อมมา”

“ไม่จริงข้าเป็นเทพ!”

“เจ้าจะยืนยันความเป็นเทพได้อย่างไรกัน”

เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น อารมณ์โกรธขึ้นท่วมจนถึงตา ศาลส่งสัญญาณว่าให้ทุกคนพอได้ก่อนเขาจะกลับมาเป็นผู้ถามความเอง

“เรื่องที่เจ้าเป็นทพเราจำเป็นต้องปัดให้ตกไปด้วยเพราะหลักฐานเรื่องangel syrup ที่องค์ราห์โอยืนยันมาเองว่าเจ้าไม่มี ที่นี้ตอนนี้สถานะของเจ้าไม่ใช่เทพแต่มีเพียงสองที่ให้เจ้าได้เลือก 1.เป็นคนบ้า 2.เป็นผู้ร้ายสมรู้ร่วมคิด คิดดีๆ หากเจ้ายอมรับว่าบ้าเจ้าก็จะไม่ได้รับโทษหรอกนะ”

“คนบ้าที่ไหนเขาบอกว่าตัวเองบ้ากัน ถ้าข้ายอมเช่นนั้นพวกท่านก็จะประหารข้าพร้อมกับท่านหมอหลวงอยู่ดีเพราะการที่ข้าตอบแบบนั้นก็เท่ากับว่าข้ากลัวความผิดแบบนั้นมันก็ยืนยันด้วยคำพูดของข้าไปสิว่าข้าไม่ได้บ้า!”

“อืม ฉะฉานดี ตอบได้รอบคอบเช่นนี้เจ้าก็ไม่ได้บ้า”

“ใช่ข้าไม่ได้บ้า” เสียงแค่นขำดังลอดออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง

“ข้ายอมรับก็ได้ว่าข้าผิดเองทั้งหมด ตั้งใจลวงหลอกผู้คนโปรดประหารข้า ตัดสินข้า อย่าเอาคนที่ไม่เกี่ยวเข้ามาเลย”

“หากเจ้ากระทำทั้งหมดด้วยตัวเองเพียงคนเดียวงั้นเล่าให้ละเอียดได้ไหมว่าทำอย่างไร”

“.........”

“เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม มันต้องมีคนช่วยเจ้า”

“.........”


จนแต้ม...โรเรเนสกัดฟันแน่นแล้วก้มหน้านิ่ง ไม่ว่าทางไหนท่านหมอก็ต้องโดนลงโทษ แม้นเขาจะยอมเป็นคนร้ายหรือยอมเป็นคนบ้า ก็ไม่มีทางเลยที่ท่านหมอและนักบวชผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะโดนลงทัณฑ์ไปด้วย

จนแต้ม...เทพบ้าอะไรแม้นแต่คนที่ตัวเองห่วงใยก็ยังปกป้องไม่ได้ เทพบ้าอะไรที่มนุษย์ตัวเท่าเศษดินต้องมาเสียสละให้ ล้านปีที่เคยทำมาเหมือนไร้ค่าไปเลยเมื่อมาถึงจุดนี้ ส่วนเล็กๆตรงนี้ในห้องแคบๆ ไม่ใช่ภูผาใหญ่อย่างที่เขาเคยเสกสรร แต่ตรงนี้เท่านั้นเขากลับทำอะไรไม่ได้เลย เทพบางองค์อาจยินดีที่จะมีมนุษย์มาสละชีวิตให้ แต่ไม่ใช่เขา เขาเป็นเทพแห่งความงอกเงยหากต้องมีสิ่งใดล่มจมหรือสูญเสียไปเพราะตัวเขานั้นไม่อาจยอมได้

ไม่อาจยอมได้....จะทำร้ายเขาแบบไหนเขาก็จำยอมมาได้โดยตลอด หากแต่จะมาทำร้ายคนอื่นแบบนี้....ไม่ได้

เทพหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาด้วยตากร้าว สัมปชัญะดีๆพลันหายกระจายไปแรงโทสะที่ท่วมขึ้นส่งให้เข้าเค้นเสียงออกมาอย่างกระด้าง

“โง่งม”

“จะ เจ้าว่าอะไรนะ”

โง่!โง่กันหมด พวกเจ้าทั้งหลายเป็นมนุษย์ที่ขาดไร้ซึ่งสติปัญญาอย่างสิ้นเชิง จิตใจอันต่ำช้าละโมบด้วยอำนาจและการฉ้อฉนมันท่วมท้นอยู่ในห้องนี้ ทั้งเน่าทั้งน่าสอิดสะเอียด เจ้าพวกขุนนางตาบอดจิตวิญญาณอันต่ำตมพวกเจ้าไม่อาจระลึกได้เลยรึ ไม่อาจไตร่ตรองได้เลยรึ ทั้งหมดนี้ก็แค่ภาพลวงตา ต่ำแหน่งของพวกเจ้า อำนาจของพวกเจ้ามันก็แค่เศษธุลีแห่งองค์เทพทั้งปวง บาปหนักหนาเพียงไรที่พวกเจ้าบังอาจมาตัดสินผู้เป็นเทพ บาปหนาเพียงไรที่พวกเจ้าบังอาจจะลงทัณฑ์มนุษย์ผู้สูงส่งเช่นท่านหมอคนนี้

พอได้แล้ว!!!!!

เสียงกัมปนาถดังขึ้นดังฟ้าสั่นองค์ราห์โอลุกยืนขึ้นด้วยโทษะจริตพุ่งพล่าน

ข้าทนฟังเจ้าพล่ามไร้สาระและกระทำตนอันหยาบคายมามากพอแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลในที่นี้คือผู้ทรางเกียรติเจ้าไม่มีสิทธิ์หยามเหยียดพวกเขาเหล่านี้! คนคลั่งเช่นเจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาต่อว่าใครทั้งนั้น

หน้างามที่บัดนี้กัดกรอดถมึงทึงสบตากร้าวของอีกฝ่ายอย่างไม่หวาดหวั่น
เต็มที่ก็แค่ตายถ้าแย่กว่านั้นหน่อยพวกคนบริสุทธิ์อีก 5 คนก็ตายด้วย ถ้าไหนๆก็จะเป็นวันสุดท้ายเขาไม่ยอมจากไปโดยไม่ลุกขึ้นทำอะไรเช่นนั้นหรอก

“ข้าเป็นเทพ เป็นมาตลอด โรเรเนสเป็นนามของข้า!”  บุรุษทั้งสองจ้องตากันเขม็ง.....ไม่อาจเชื่อได้เลยว่าเคยเป็นคนที่เค้าเคลียกันมาก่อน เบื้องหน้าที่โกรธเกรี้ยวลึกลงไปในแววตาของทั้งสองกลับซ่อนความเศร้าลึกที่ต่างฝ่ายก็ไม่อาจเยียวยากันได้ทั้งคู่คั่งค้างอยู่


มันเจ็บลึกอย่างไม่อาจใช้คำศัพท์ใดมาอธิบายได้


หยาดน้ำตาใสเริ่มไหลริน รินลงมาโดยที่สีหน้ากร้าวร้าวนั้นยังอยู่ ริมฝีปากแดงสั่นระริกก่อนจะรวมลมหายใจที่มีอยู่เค้นคำพูดออกมาให้ชัดเป็นคำโดยไม่ปล่อยโฮออกมาเสียก่อน

“ข้า...อึก..ข้าไม่เคยโกหกเจ้า...ฟารัน ไม่เคย และไม่มีวัน ข้าคือโรเรเนส คนเดิมที่เจ้าเฝ้าอธิฐานมาให้ตั้งแต่เด็ก .....หากแม้นเจ้าอยากได้ข้อพิสูจน์...สิ่งเดียวที่ข้าให้ได้ในตอนนี้ ...ฆ่าข้าซะ”

!!!

“ฆ่าข้าตรงนี้แล้วกายหยาบนี้จะกลับคืน...มันจะกลับคืนเป็นเทวรูปองค์ปฐมเช่นเดิม ฆ่าข้าเสียตรงนี้”

ครานี้องค์ราห์โอกลับหน้าถอดสี เข้านิ่งไปด้วยไม่เชื่อหูตนเอง

“ฆ่าข้า...ฆ่าข้าเสีย” เทพหนุ่มเดินย่างลงจากคอกตรงมาทางบัลลังค์

ฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าเดี่ยวนี้!” เขาพุ่งตรงไปที่ฟารันเหล่าทหารกรูกันมาจับไว้แต่เราก็ดิ้นสุดแรงพลางตะโกนลั่นจนคอแทบแตก

ฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าาาาาาาาาาาาาาาา!!!!

ฉับพลันด้วยท้าทาย ฟารันกัดฟันแน่นก่อนจะชัดดาบออกจากฝักข้างเอวของทหารทีใกล้ตัวที่สุดแล้วตวัดเร็วจี้จ่อคอหอยบุรุษเกศม่วง


ทุกอย่างหยุดนิ่ง..........


ดาบเงาเงินสะท้อนแสงแวว ปลายแหลมขอมันจ่อนิ่งอยู่ที่คอระหงขาวเนียนของอีกฝ่าย ไม่เกิดการฟาดฟันกันขึ้นทุกอย่างเงียบเย็นเหมือนคืนเดือนมืด

จนกระทั่งเงาร้ายเริ่มปรากฎลึกลงไปในแววตาสีม่วงจางนั่น มันเหมือนจักรวาลทั่งมวลถูกดูดลงไปในความว่างเปล่านั้น ดวงตาของหน้างามที่จ้องมองลึกเข้าในตัวอีกฝ่ายนั่นไร้ซึ่งทุกสิ่งเท่าที่จะมีชีวิตแบบที่กษัตริย์หนุ่มจะรู้จัก มันว่างเปล่า เย็นชาและเปี่ยวด้วยอำนาจบางอย่างที่น่าขนลุก

ริมฝีปากบางงามนั้นเอ่ยขึ้นอย่างแผ่นเบา

“อย่านิ่งสิฟารัน....อย่านิ่ง”

จบคำร่างนั้นก็เป็นฝ่ายเคลื่อนเข้าหาคมดาบนั่นเอง ไสคอขาวเข้าลูบคมโลหะเงานั้นทีละน้อยจนค่อยๆจมลึกลงอย่างรวดเร็วเลือดสดพลันไหลออกมาให้ได้เห็น แต่ก่อนที่คมนี้จะบาดลึกผ่านผิวหนังลงไปได้ฟารันก็เหวี่ยงดาบทิ้งลงพื้นทันที หากแต่เลือดนั้นก็ยังไม่หยุดไหลมันไหลลงมาจนเกือบจะเรียกได้ว่าไหลอาบ


แล้วเด็กหนุ่มก็ร่วงลงสู่พื้นห้องโถง ผู้คนทั้งหลายกรูกันเข้ามาหา ท่านหมอข้ามคอกออกมาคนแรก ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก แต่สำหรับโรเรเนสภาพที่เห็นนับกลับเชื่องช้าเหมือนภาพเบลอๆ ผู้คนมากมายเริ่มเข้ามารุมเขาแล้วศีรษะเหล่านั้นก็บดบังหน้าคมที่ตื่นตะลึงนั้นให้พ้นไปจากสายตา


โรเรเนสไปแล้ว?....


เหมือนหัวใจหายไปเสียเฉยๆ

เหมือนวิญญาณทั้งมวลหล่นวูบหายไปใต้พื้นหิน

ฟารันนิ่งตะลึงอยู่ไม่นาน ก่อนสีหน้าของเขาจะแปรเป็นร้าวรานความปั่นป่วนปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งตัวออกจากฝูงชน เดินอย่างเร็วออกมาให้ไกล ไกล ไกลขึ้นอีก เร็ว และเร็ว เร็วขึ้นอีก ผ่านทุกอย่างผ่านทุกห้อง พ้นตัวอาคาร พุ่งออกไปอย่างไม่รู้ทิศทางจนเมื่อทุกอย่างแทบจะทะลักออกมาเขาก็พบตัวเองอยู่กลางสวนลับของตน

แล้วก็ทรุดลงอย่างไร้แรง สองมืออันสั่นเทายกขึ้นมาแววตาที่ท้นด้วยทรมาณมองดูมือคู่นั้นอย่างเจ็บปวดก่อนจะใช้พวกมันกอบกุมศีรษะของตนไว้แล้วโน้มตัวที่สั่นเกร็งของตนลงกับพื้นดิน จรดแน่นแนบมัน ร่างนั้นสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจกลั้นท้ายแล้วเขาก็ต้องเปล่งเสียงร้องคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!

 ร้อง......

 ร้องมันออกมา ...........

สองมือจิกเกร็งลงที่พื้นหญ้า

ก่อนเสียงจะขาดห้วงไป

แล้วแผ่วเบา...

เบาจนต้องเงี่ยหูฟังดีๆถึงจะได้ยิน

ได้ยินองค์ราห์โอองค์นี้สะอื้นอยู่

---------------

 ใจเย็นๆนะคะ ใจเย็นๆ(บอกตัวเอง?) เรื่องยังไม่จบค่ะ ยังไม่มีใครสิ้นชีพนะคะ บ้าคลั่งไปหน่อยก็อย่าถือสากันนะคะ  :z3: :z3: :z3:
 
ขอบคุณที่มาอ่าน[/
color]   :z10:[/size]
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 12-03-2015 02:31:26
 :z13: :z13: จิ้มก่อน เรโรเนสเด็ดขาดมากลูก
อยากบอกฟารันว่าอย่าร้องนะนาย คุณคนเเต่งบอกเรโรเนสยังไม่ตายนะ
รอตอนต่อไปว่าเรโรเนสตื่นขึ้นมาอีกทีฟารันจะทำตัวอย่างไงกันนนนน รอนะค่ะ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: supermyrainbow ที่ 12-03-2015 02:52:51
จะพบเจอกับความลำบากไปถึงไหนนะ

สงสารมาก ท่านหมอ เป็นคนดีจริงๆ >ㅁ<

เอาไป +1 ติดตามตอนต่อไป ลุ้นมาก มาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 12-03-2015 04:00:03
 :a5:  สะใจกับคำพูดโรเรเนส.พวกโง่.โง่ๆๆๆๆๆๆ โกรธ.
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 12-03-2015 07:19:22
ที่โรเรเนสไม่ตายเนี้ย จะให้มาทรมานเพิ่มใช่ไหมคนแต่ง ไอ้ฟาลันมันวิเศษมาจากไหนถึงต้องมาทรมานเพราะมันนะหา ไม่เข้าใจ อยู่ไปจะเกิดประโยชน์อะไร ก็แค่มนุษย์คนหนึ่งซึ้งไม่มีอะไรพิเศษเลย จะให้มีชีวิตอยู่เพื่อความทรมานอีกหรือไงนะ เซ็งขั้นรุนแรง  ปล่อยให้ค้างคาใจอีก อยากจะบ้าตาย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: aaoo ที่ 12-03-2015 07:28:35
ไม่น่ะ   ค้างอ่ะ  :katai1:
หนุกมากจร้าเราชอบแนวนี้มากเลย ติดตามจร้า :z1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 12-03-2015 08:28:00
ค้างอ่ะมาต่อด่วนเลย มาวันนี้เถอะนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: maruko ที่ 12-03-2015 08:47:07
ช่างบีบหัวใจอะไรเช่นนี้ โฮกกกก ตอนนี้โรเรเนสสุดยอดมาก !!

อ่านไปรู้สึกอารมณ์เหมือนถูกบีบคั้นตามตัวละครไปด้วย อินมากค่ะ T____T


หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 12-03-2015 09:55:00
อ๊ากงี้ก็ไปสวรรค์แล้วซิ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Phut ที่ 12-03-2015 10:03:11
ทำไมโรโรเนสไม่ตาย อยากให้ตายไปโลด ตายไปเลยยยยยยยยย

แล้วฟารันจะได้ตายทั้งเป็น !!
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 12-03-2015 10:16:09
ทรมาน ปวดตับบ
สงสารโรเรเนส ท่านหมอ และท่านนักบวช
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: paojijank ที่ 12-03-2015 10:58:14
สรุปว่ายังไม่กลับไปสวรรค์ซินะ
ตอนนี้อ่านแล้วปวดตับ....
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: kangteuk1995 ที่ 12-03-2015 13:29:18
ให้ฟารันตายทั้งเป็นนะดีแล้ว คนเขาอุตส่าห์เชื่อใจแต่ตัวเองทำลายมันเองกับมือเพราะหูเบา ก็สมควรโดนเอ้าคืนบ้าง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 12-03-2015 16:00:37
ค้างมากกก กำลังสนุก
สะใจตอนที่โรเรเนสบอกว่าพวกนั่นโง่โง่โง่
หึ้ยยยย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: LadyMaidenLy ที่ 12-03-2015 16:03:33
ฮึ่ยยยยยยยยยยยยย :z3: :z3:

หงุดหงิดคร่าาาาาาาาาาาา โรเรเนส กลับไปเลยก็ได้นะ
ทิ้งอิฟารันงี่เง่าไว้นี่แหละ ฮึ่ยยยยยยยยยยยย :m31: :fire: :angry2:
เห็นแล้วอยากทำลายทั้งเมืองให้ล่มจมเลยฮึ่ยยยยยยยยยยย

ท่านหมอ ท่านเป็นคนดีมาก ซึ้งใจ :hao5:

ไรท์เอาฟารันไปเก็บค่ะ! ฮึ่ยยยยย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 12-03-2015 16:10:32
เดี๋ยวนะ ทำไมหมอหลวงถึงโกหกละ
โดนบังคับหรอ โอ้ย ทำไมโรโรเนสถึงซวยแบบนี้
โอ้ยย ขัดใจอะ :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 12-03-2015 22:58:38
มันส์พะยะค่ะ

ให้โรเรเนสตายเถอะ ให้กลับไปเป็นเทพเถอะ
ปล่อยให้ฟารันทรมานแบบนั้นแหละ จะได้สำนึก

สุดท้ายนี้ ให้โรเรเนสกลับไปเป็นเทพเถอะค่ะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 12-03-2015 23:28:29
กรี้ดดดดดดดด
อยากให้กลายไปเป็นเทพเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 13-03-2015 00:00:53
บาดใจมั่กๆ. ไม่นึกว่าฟารันจะโง่ได้ถึงขนาดนี้
>.<
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 13-03-2015 00:34:44
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 13-03-2015 01:14:17
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 13-03-2015 01:18:14
อยากให้พี่ชายลงมาฆ่าให้หมดจริงๆแล้วนะเนี่ย :katai1:

สู้เค้าลูกกก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 13-03-2015 03:58:32
ทำไมมันปวดตับปวดไต ปวดกระเพาะ หอคอยยันไหปลาร้า(เกี่่ยวกับมั๊ย ??)ได้ขนาดนี้  :ling1:

สะใจกับคำพูดของโรเรเนสมากกกก.... พวกขุนนางหน้าโง่ที่ยึดติดกับอำนาจจนมิสนสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก

องค์ราห์โอก็พอกัน เป็นถึงกษัตริย์(วรรณะมนุษย์) อยากได้มเหสีที่สูงกว่าตน ซึ่งก็มีแต่เทพเท่านั้น พอทำพิธีอัญเชิญมาแล้ว กลับทำแบบนี้เนี่ยนะ... มันน่านัก

อ่านตอนนี้จบแล้ว อยากให้โรเรเนสได้กลับไปอยู่สวรรค์จังเลย สงสารนางมาก (แต่คนเขียนบอกว่าไม่มีใครตาย)

รออ่านตอนต่อไป... ขอความหน่วง ความปวดตับปวดไตจงมาเยื่อนองค์ราห์โอบ้าง ให้เทพอย่างโรเรเนสได้เอาคืนพวกเศษธุลีดินด้วยนะ (ขอแบบ อ่านแล้วสะใจนะคนเขียน)

ปล. กะจะมาให้กำลังใจคนเขียน แต่อ่านตอนนี้แล้วขอบ่นนิสนุงเถอะ (ไม่นิดแล้วมั้ง) เอาเป็นว่า... สู้ๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ผู้น่ารัก ที่ 13-03-2015 05:11:19
เป็นกำลังใจให้น่า รออ่านอยู่นะค่ะ สู้สู้
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 13-03-2015 05:36:19
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 13-03-2015 12:46:16
ที่จริงน่าจะฆ่าโรโรเนสไปเลยนะนี่ อยากให้กลับไปเป็นเทพเหมือนเดิมล่ะ

ทิ้งไอ้คนงี่เง่าไว้ที่นี่ซะ  :m16:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 13-03-2015 14:05:35
ค้างเหลือเกินนนนนนน
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่10 100% 12/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 13-03-2015 15:22:50
ท่านหมอ กันนักบวชเป็นคนดีมาก ซึ้งใจ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11.1 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 21-03-2015 00:51:32

           เหมือนมันจะเย็นหากแต่ก็ไร้ลมเป็นเพียงอุณหภูมิต่ำๆที่แขวนลอยอยู่รอบตัว เย็นเยียบยะเยือกจับขั้วหัวใจ ไม่อาจบอกว่าหนาวเพราะมันไม่ทำอะไรกับผิวกาย แต่ความเย็นนิ่งนั้นกลับแผ่ซ่านเข้าสู่แกนใจ มันเหมือนบาดแยกร่างทั้งร่างก่อนความเย็นนั้นจะแปรเป็นเหมือนมวลอะไรซักอย่างที่หนักอยู่รอบๆตัว

มันมืด มืดสนิดยิ่งกว่าคืนไร้ดาว

ทั้งตัวก็เริ่มหนักอึ้ง หนักจนแม้นกระทั่งอวัยวะภายในก็ไม่อาจทานรับน้ำหนักกดทับของร่างกายที่ห่อมันเองไว้ได้

กดลง กดลง จนเริ่มหายใจไม่ออกแลเหมือนรัดแน่นจนกายทั้งมวลหดยู่ รับรู้ได้ถึงกระดูกที่เกือบจะหักลั่น แล้วเขาก็ถูกดูดลงไป ดูดลงไปด้วยความหน่วงหนักเบื้องล่าง แรงดึงดูดสูบหายไปทั้งกาลเวลาและลมหายใจเมื่อพยายามดิ้นรนแล้วหันไปมอง เขาก็พบว่าหลุมดำที่ตนกำลังจมลงไปนั้นเป็นเพียงดวงตาเศร้าดวงหนึ่ง

มันว่างเปล่า ไร้ทุกอย่างเท่าทีรู้จักในชีวิตไร้ชีวาดั่งตอตะโกมอดไหม้  ไม่อาจควานหาความหมายใดๆ หรือแม้จะจับจ้องหาตัวตนที่อยู่ในนั้น มันเคว้งคว้างอย่างไม่อาจจะคิดถึงกระทั่งดวงตาของคนตายก็ไม่แม้นเหมือนเหือดหายดั่งที่เป็นอยู่ตอนนี้

และตอนนั้นเขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่เพียงดวงตาเท่านั้นที่ไร้สิ้น ทั้งหมดในตัวเขาทั้งชีวิตจิตใจและวิญญาณก็เหมือนจะหายไปพร้อมๆกับตาคู่นั้น ยิ่งมันสำแดงความดำมืดของมันมากเท่าใดตัวตนทั้งหมดของเขาก็ยิ่งจมหายเข้าไปมากเท่านั้น

เขาสูญเสียหมดทุกอย่างที่ระบุความเป็นคนในตัวเขาไปกับตานั่น  สูญเสียหัวใจและลมหายใจทั้งหมดไปกับตานั่น เหนืออื่นใด อื่นใดอันไกลโพ้น อื่นใดที่นานแสนนานจะได้พานพบ คนบางคนก็ได้หายไปกับตานั่นด้วยเช่นกัน….


          แล้วตาคมเข้มก็ลืมตื่นพบตัวเองนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ณ โต๊ะทรงงานตัวเขื่อง กองเอกสารมากมายยังรอการสะสางเปลวไฟโชติช่วงนิ่งสงบอยู่บนโคมสูง ไร้ลมในคืนนี้ สงัดเงียบเย็นมืดดั่งถูกสาป

ฟารันไม่รู้ตัวหรอกว่าเขางีบไปนานแค่ไหน เขาเพียงแค่นั่งพิงพนักเก้าอี้ไปเท่านั้นเท่าที่จำได้ภาพสุดท้ายแค่รู้สึกอ่อนล้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแล้วจึงหลับตาลงไป ซึ่งก็สมเหตุสมผลพอตัวอยู่เมื่หลายวันที่ผ่านมาเขาเอาแต่โหมงานเอกสารอย่างหนัก อะไรที่เคยผลัดออกไปก็ได้มาปัดฝุ่นตรวจทานก็คราวนี้

เขาเหมือนตัวตนหลุดหายไปในหลายวันนี้ จิตใจก็จมจ่อมอยู่กับบางสิ่งที่ไม่ใช่ตรงหน้า บางสิ่งที่ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้หลอกหลอนย้ำเตือนและคั่งค้างอยู่ในความทรงจำ ประทับแน่นจนเด่นชันเหมือนพบเห็นอยู่ทุกชั่วขณะ

แววตาว่างเปล่านั่น ก่อนที่คอระหงจะไสตัวเข้ากับคมดาบ

ตานั่น ไม่อาจมีได้เลย ในชีวิตใครซักคนที่จะมีดวงตาเช่นนั่น ดวงตาที่ไม่สนใจใดๆอีกแล้วในโลกนี้หรือแม้นกระทั่งโลกหน้า มันเหมือนเคยมีบางสิ่งอยู่ในนั้นแล้วพลันแตกสลายไป

ปวดร้าวลึกเข้าไป หลอกหลอนกรีดใจแม้นกระทั่งตอนนี้เมื่อนึดถึงตาคู่นั้นก็ยังปวดหนึบอยู่ในอก ไม่เลย ไม่เคยต้องการเห็นเป็นแบบนี้เลย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะพาทุกสิ่งพังทลายย่อยยับไปได้ขนาดนี้ ด้วยตัวเขาเองแท้ๆ ด้วยบ้าคลั่ง ด้วยโง่เง่า
จนตอนนี้ทั้งหมดนั่นเสียไปหมดแล้ว สิ่งสำคัญของเขา ยามนี้รู้สึกเหมือนตนเป็นคนตัวเปล่า หาใช่ราห์โอไม่ หามีทรัพย์สินหรือตัวตนใด ไม่แม้นกระทั่งเป็นตัวเองที่เขารู้จัก 

โดยไม่ได้ใช้เหตุผล เขาตะหนักรู้ได้ในวันนั้นนั่นแหละ วันที่ไม่อาจทานทน วันนั้นที่ความกดดันและเจ็บปวดทั้งมวลถาโถมท่วมท้นไปทั้งห้องพิจารณาคดี ไม่สามารถเป็นไปได้เลยที่จะไม่ปวดใจในสถาณะการณ์ที่เกิดขึ้น

มันทุเรศ ทุเรศตัวเองเสียเหลือทนที่มารู้ตัวเอาตอนที่รู้ว่าเขาจากไปแล้ว...ในตอนนั้นที่เขาคิดว่าเขาจากไปแล้ว ว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาตนเองมีตัวตนอยู่ได้อย่างไร อยู่มาเพื่ออะไรและต่อไปในชีวิตนี้เพื่อสิ่งใด เขาเพิ่งรู้ในตอนนั้นแหละ ชั่วแว่บแล่นที่ดวงตาอันดูดกลืนทั้งชีวิตนั่นเข้าไป

อันที่จริงแล้ว อย่างไร้คำอธิบายแต่ชัดเจนเหมือนไม่รู้ว่าดวงดาวคืออะไรแต่ก็เห็นมันอยู่ในทุกๆคืนนั่นแหละ เขาเข้าใจในตอนนั้นเลยว่าอันที่จริงเขาอยู่มาเพื่อรอคนๆนี้ ที่โผล่มาอย่างไร้เหตุไร้ผลคำเตือน เขาไม่รู้ว่าเขารู้สึกแบบไหนกับเด็กหนุ่มคนนั้นกันแน่ เขาไม่ได้เห็นเป็นเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องกราบไหว้ อีกใจหนึ่งในขณะที่รู้สึกว่าอยากครอบครองมันก็มีบางอย่างที่มากกว่าความต้องการนั้น มันประหลาดและไม่รู้ว่าทำไม

จนเมื่อเด็กหนุ่มเกศม่วงคนนั้นพังทลายลงไป โดยเขาทำลายลงไป กับมือเขานี่แหละที่ทำลายทุกสิ่งให้พินาศ กับสองมือและทิฐิ ด้วยความโง่งมและดื้อดึง ด้วยฤทธิ์โทสะและสารพัดอารมณ์พลุ่มพล่านที่เมื่อมองย้อนกลับไปก็ไม่เข้าใจได้ว่าทั้งหมดนั่นมันบ้าอะไรแล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้น

จนเมื่อโรเรเนสส่งตาไร้แววคู่นั้นมานั่นแหละ จนเมื่อเห็นชัดถึงคนที่แตกสลายไปแล้วต่อหน้าเขา  นั่นแหละที่ตอนนั้น...


มันหายไปทั้งหมดเลย


หล่นหายไปอย่างไม่มีคำอธิบาย


ทุกอย่าง ทุกความรู้สึก ความระลึกตัว หัวใจ ความฝัน ความหวัง ความเชื่อและชีวิต เหมือนเขาตายไปแล้ว


ณ เวลานั้น ชั่วขณะนั้นที่โรเรเนสล้มลงไปกับพื้นพร้อมทั้งกองเลือดที่ไหลนอง

เขากลายเป็นแก้วเปล่าๆที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น มองเห็นได้จับต้องได้แต่ใสกลวงไร้ชีวิตใดๆ เขาไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นเพราะอะไร เขาไม่สามารถจะคิดพิจราณาถึงมันได้หรอก คนหัวใจตายแบบเขาจะไปคิดอะไรที่ซับซ้อนแบบนั้นได้อย่างไร เขาไม่รู้หรอกว่าคิดอย่างไรกับความรู้สึกโหวงเหวงอันแสนทรมาณนี้ ไม่อาจรู้ได้ด้วยตรรกะเหตุผลใดๆ มันทั้งหมดล้วนเกิดจากหัวใจและการกระหนักรู้แบบแว่บแล่นไร้คำอธิบายทั้งนั้น

ไม่รู้ว่ายังทำอะไรได้ไหมหรือยังเหลือเศษส่วนใดให้เขาเก็บรักษาหรือไม่ สิ่งที่แตกสลายไปทั้งหมดนั่นยังจะกลับมาประกอบกันได้ไหม? ไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าตอนนี้ต้องเริ่มทำเท่าที่ทำได้

ผ่านมาแล้วหลายวัน สภาวะว่างไร้อย่างที่เขาเป็นในวันแรกได้บรรเทาลงไปบ้างแล้ว สัปชัญญะค่อยกลับมาแม้นทุกอย่างจะยังหลอกหลอนให้หวนไห้ แต่เขาก็ไหวตัวทัน พอจะตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง

องค์ราห์โอ ก้มดูเอกสารที่รอเขาลงนาม คำพิพากษา

  คำพิพากษาจากศาลและเหล่าคณะลูกขุน ที่ยามนี้พิจราณาได้เลยว่าไร้เหตุผลและจงใจอย่างชัดเจนที่จะให้คนทั้งหมดผิดอย่างร้ายแรง เขายังไม่ได้ทำอะไรกับสิ่งนี้ มีคนที่เขาต้องพูดคุยเสียก่อนให้กระจ่างในคืนนี้

--

คุกใต้ดินให้ความรู้สึกอับชื้นในทุกๆครั้งที่ไปเยือน ทางเดินนั้นคับแคบและทึบตันด้วยสองฝั่งเป็นหินหนา คบเพลิงเรียงรายแขวนข้างฝาเว้นระยะกันอย่างพอดี ห้องคุมขังในส่วนนี้เป็นส่วนที่อยู่บนสุดมักเป็นห้องขังชั่วคราวมากกว่าจะใช้คุมขังใครจริง ตอนนี้ก็แทบร้างนักโทษด้วยวังหลวงแห่งนี้ไม่มีนักโทษภายในเอาไว้คุมขังมานานแล้ว

ร่างสูงเดินย่างอย่างเงียบเชียบไปตามพื้นหินเย็น พร้อมกับทหารเวรคนหนึ่งที่หอบหิ้วตะกร้าหวายใส่บางสิ่งเดินตามมาด้วย เครื่องทรงของเขาดูเรียบร้อยกว่ายามปรติที่เคยด้วยครานี้ชุดของเขานั้นเป็นขุดตัดพอดีตัวทอจากไหมสีทองชั้นดี คอตั้งกลัดกระดุม เช่นเดียวกับแขนเสื้อที่ยาวพอดีไปถึงข้อมือ มันดูดีและสง่าสมฐานะผู้สวมใส่ หากประหลาดพิกลก็ตรงเขาเลือกจะสวมชุดนี้มาที่คุกใต้ดินมากกว่าจะใส่ไปงานเลี้ยง ด้วยเพราะสิ่งที่สำคัญต้องกระทำต่อไปมันมีมากกว่าแต่การพูดคุย

เขาเดินมาจนถึงหน้าห้องขังห้องหนึ่งแล้วหยุดยืน ผู้ที่อยู่ในนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้และกำลังเท้าแขนข้างหนึ่งพลางอ่านหนังสือเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ ถือเป็นห้องขังที่สะอาดและดูดีมีเครื่องใช้พอประมาณมีแม้กระทั่งเตียงนอนผู้ถูกคุมขังก็เหมือนแค่ผู้พักอาศัยเขาไม่ได้ถูกล่ามหรือทำอะไรให้เสียเกียรติแบบนั้น

ผู้ที่อยู่หลังลูกกรงรู้สึกได้เมื่อมีสีเท้าย่างเข้ามาและเขาก็ได้หันไปส่งยิ้มให้ผู้มาเยือนเมื่อฝ่ายนั้นมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง
 
“โอ้ ถวายบังคมฝ่าบาททรงมีธุระอะไรกับนักโทษอย่างข้ายามดึกดื่นหรือ”  ท่านหมดหลวงชัคบายืนขึ้นขณะพูด สีหน้าของเขาไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไรเลย ต่างจากคนอีกฝากที่ทำหน้าสลดดั่งตัวเองเป็นผู้ถูกคุมขังเสียเอง

ราห์โอสั่งให้ทหารเวรคนนั้นไขประตูเปิดออก ทหารชั้นผู้น้อยคนนี้สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักหรอกที่ต้องทำแบบนี้ด้วยรู้ว่ามันผิดคำสั่งที่หัวหน้าเขากำชับไว้ แต่กระนั้น ราห์โอก็ใหญ่กว่าหัวหน้าเขาแน่นอน

 ประตูลูกกรงเปิดออกบุรุษร่างสูงคว้าตะกร้าหวายนั่นมาจากทหารก่อนจะบอกให้เขากลับไปยืนเฝ้าทางเข้าไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวาย  เมื่อจบคำสั่งนั้นตนก็ย่างเขามาแล้วจัดแจงหยิบของในตะกร้ามาจัดวางอย่างดีบนโต๊ะไม้เล็กๆตัวเดียวนั่น

จาน ชาม ส้อม มีด ขนมปังและเค้กอบใหม่ ซุปข้าวโพดและที่น่ายินดีที่สุดคือไวน์สีเลือดชั้นดีที่ยังไม่ได้เปิดขวด เขาขัดแจงทำตนเหมือนพนักงานบริกรจัดวางอาหารให้ชายวัยกลางคนโดยไม่เคอะเขิน   ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูไม่ตื่นตระหนกที่ตัวเองได้รับการปฏิบัติแบบกลับข้างจากราห์โอผู้สูงส่งแต่กลับเหยียดยิ้มอย่างเศร้าประหลาดให้ชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้า

ท่านหมอหลวงลงนั่งที่เก้าอี้เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย อีกฝ่ายยังรั้งรอจนเขาขอให้นั่งชายหนุ่มถึงยอมทำ

ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศกระอักกระอ่วนน่าขันนี้ ฟารันก้มหน้านิ่งแล้วครุนคิดอย่างเคร่งขรึมก่อนเขาจะเอ่ยออกมา
“อ่าม...ข้า...หลังจากทั้งหมดนั้นข้าเชื่อว่า ....ข้าตัดสินใจหลายสิ่งผิดไป...ข้าอยากจะขอขมา”

 ท่านหมอไม่ตอบกระไรเขาเอื้อมมือไปคว้าก้อนขนมปังมาฉีกกินอย่างสบายใจ
“ท่านอาจจะแปลกใจอยู่เสียหน่อยว่าทำไมข้าถึงมาในวันนี้”

“โอ้ข้าไม่แปลกใจหรอก”  เขาเอ่ยขณะยังเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ  “มีคนมาเยี่ยมข้าอยู่เยอะมาก ข้าก็ได้ยินอะไรมามาก หลายคนโกรธแค้นแทนข้า ทั้งคนรู้จักบ้าง ลูกศิษย์บ้าง คุ้นๆเหมือนว่าข้างนอกนั่นมีคนถึงขั้นวางแผนลอบปลงพระชนเลยทีเดียว โอ้ทรงอย่าทำหน้าตกใจแบบนั้น เขาอาจจะพูดเล่นไม่ต้องคิดไปตามหาพวกเขาหรอกนะ”

ฟารันหลุบตาลงแล้วเอ่ยต่อ “ข้าก็คงสมควรจะโดนแบบนั้น แต่ข้าไม่ได้มาขอขมาท่านเพราะกลัวใครมาฆ่าหรอก”

“อืมคราวนี้ข้าเริ่มประหลาดใจแล้ว ทำไมราห์โอผู้สูงส่งต้องมาขออภัยจากข้าด้วยเล่า มันควรจะเป็นข้าไม่ใช่รึที่ต้องขอความเมตตาจากท่าน”

ชายหนุ่มเม้มปากแน่นด้วยสำนึกผิดเมื่อยินคำประชด แต่เขายังยืนยันที่จะเอ่ยคำขอโทษต่อไป “ท่านไม่ต้องยกโทษให้ข้าหรอก ข้าแค่อยากจะทำสิ่งนี้เท่านั้น....ข้าขออภัยในการกระทำอันเนรคุณและความโง่เง่าของข้าด้วย”

“ไปเจออะไรมาล่ะทีนี้ ทำไมถึงยอมเปลี่ยนท่าทีไปขนาดนี้”

ฟารันนิ่งนึก เขาไม่ได้เจออะไรหรอกมันเหมือนปรกติอย่างทุกวันแต่สิ่งที่ประสบผ่านมาทำให้ควันที่บังตามันเกิดสลายแล้วพลันก็ได้คืนสติพอที่จะคิดได้ อีกทั้งความรู้สึกโหวงเหวงอย่างประหลาดไร้คำอธิบายนั่นอีก

“ข้าไม่ได้เจออะไรเริ่ม แต่เหมือนหลังจากที่โรเรเนสทำแบบนั้น...หลังจากนั้นข้าก็รู้สึกเหมือนตายไปแล้วมันชาไปหมดทั้งตัว แล้วแม้กระทั่งผ่านไปแล้วหลายวันอาการที่ทุเลาลงก็ยังไม่ทำให้ข้าหายจากความรู้สึกว่างเปล่าอย่างน่าทรมาณนี้ได้ ท่านหมอข้าไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไรหรืออะไรจริงหรือไม่จริงและอะไรควรเป็นอะไร แต่ความรู้สึกนี้มันทำให้ทุกอย่างในชีวิตข้านั้นเหมือน...ไร้ความหมาย...ข้าไร้ตัวตน ...ข้า...”

“เหมือนเป็นศพเดินได้สินะ”

“ใช่ ความรู้สึกข้าหายไปทั้งหมด ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจของข้า ข้าไม่อาจยินดีกับสิ่งใดได้ ไม่อาจลิ้มรสแล้วเกิดความอร่อยได้ มันเหมือนทั้งหมดไม่มีอยู่จริงแม้กระทั่งตัวข้า  ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้   ใช่ตอนแรกที่ข้าเข้าใจวว่าเขาตายไปแล้วตอนนั้นข้าก็ตายไปด้วย แต่หลังจากที่รู้ว่าเขายังไม่ตาย...มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรข้ามากเลย”
 เขาคว้าแก้วไวน์ของตนขึ้นมาจิบแก้กระหาย
“มันเป็นเพราะตาคู่นั้นท่านหมอ ตาที่ว่างเปล่านั่นทำให้ข้ารู้ว่าข้าเสียเขาไปแล้วไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตาย เขาก็ไปจากข้าเสียแล้ว และข้าเป็นคนทำทั้งหมดข้าทำเขาหลุดมือไปเพราะตัวข้าเอง แล้วความรู้สึกทั้งหมดนั่นมันเหมือนทำให้ภาพลวงตาและความสับสนคิดผิดของข้าสลายไป มันสิ้นไปแล้วทั้งความโกรธทั้งทุกอย่าง มันเหลือแต่ความรู้สึกว่างๆแล้วมันก็คงทำให้ข้าได้เริ่มคิดทบทวน ว่ามันมีจุดบอดมากมายในการกระทำของข้า เมื่อมองย้อนกลับไปข้าก็เริ่มเห็นได้ทีละน้อยว่าข้ามองข้ามอะไรไป”

“เช่นอะไร”

ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นเสยผมตัวเองอย่างประหม่า เรื่องที่เขาได้ค้นพบเกี่ยวกับตัวเองมันทำให้เขารู้สึกเสียความนับถือในตัวเองอย่างมาก

“เช่น...ข้าน่าจะคุยกับท่านแบบนี้ตั้งแต่แรก” เสียงที่เอ่ยเหมือนเค้นออกมาด้วยรู้สึกเจ็บใจ “ข้าน่าจะฟังท่าน ทั้งที่ข้าก็ทำแบบนั้นมาทั้งชีวิต ข้าเชื่อท่านมาตลอดและไม่เคยตัดสินใจพลาดเลยซักครั้งแต่ครั้งนี้ข้ากลับฟังแต่อารมณ์โกรธของตัวเองอยู่ถ่ายเดียว ข้าไม่รู้ว่าข้าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไรแล้วมันเริ่มยังไง แต่ข้ามาคิดๆดูก็รู้สึกว่าที่ผ่านมาข้าโกรธบ่อยมากแล้วก็หงุดหงิดคนไปทั่ว”

“ข้ารู้ว่าเพราะอะไร” ท่านหมอมองนิ่งอย่างจริงจังไปที่ชายหนุ่ม ฝ่ายนั้นก็สบตาตอบด้วยใคร่รู้

“ท่านเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยตั้งแต่ขึ้นครองราชย์”

“ท่านจะบอกว่าข้าหลงอำนาจ?”

ชายผมสีดอกเลาชูแก้วไวน์ขึ้นและพยักหน้าน้อยเหมือนยินดีกับความสำเร็จของอีกฝ่าย
“ขอยินดีกับการเชิดหัวขึ้นจากโคลนตมที่พระองค์ทรงฝังตัวมานาน ใช่แล้วฝ่าบาท”

“แต่ข้ามิได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น”

“ไม่มีใครอยากจะเป็นแบบนั้น แต่ท่านก็คงไม่รู้ตัว”

ใช่ฟารันไม่รู้ตัวหรอก ด้วยทุกอย่างมันเป็นไปอย่างแนบเนียนด้วยพื้นฐานเขาก็เป็นคนมั่นใจในตัวเองอยู่สูงมากๆอยู่แล้ว และยิ่งได้ขึ้นเป็นราห์โอความรู้สึกมันก็เปลี่ยน 

อันที่จริงเขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายที่จะหลงระเริงกับอำนาจหรอกนะ
 แต่โดยไม่รู้ตัวเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนนั้นรู้ดีกว่าใคร ฉลาดกว่าใคร

อันที่จริงเขาไม่ได้หลงใหลความสุขสบายและคำเยินยอหรอกนะ
แต่เมื่อโครงการพัฒนาประเทศเริ่มไปได้ดี อะไรที่ไม่เคยมีใครทำเขาก็ได้ทำเป็นคนแรกและมันก็สำเร็จ นั่นเป็นเครื่องยืนยันให้กับเขาว่าความคิดของเขานั้นถูกความรู้ของเขานั้นมาก ไม่เคยมีใครทำให้ผืนดินแห้งแล้งแบบดินปนทรายของสปันเทียมีผลผลิตได้มากขนาดนี้

เขาไม่ใช่คนถ่อมตัว อะไรที่ตัวเองรู้สึกว่าเก่งก็ยอมรับได้โดยไม่กระดากว่าตัวเองเก่ง 
แต่นั่นมันเรื่องกายภาพ นั่นมันผืนดินผืนทรายไม่ใช่ใจมนุษย์ เมื่อเขาเอาความมั่นใจในตัวเองมาใช้ในบริบทที่ผิด ทุกอย่างมันก็พังลงเสียแบบนี้

องค์ราห์โอผู้ทนงซุกหน้าลงกับมือข้างหนึ่งตอนนี้เขาเหมือนเด็กผู้ชายที่หดหู่จากการกระทำผิดของตนมากกว่าจะเป็นกษัตริย์ ความคิดที่ว่าตนนั้นถูกเสมอนั้นโง่เง่ามาก ตอนนี้เขาต้องมาทำให้ผู้มีพระคุณมานั่งเสียเวลาชีวิตอยู่ในคุกพร้อมกับคดีติดตัวที่ไม่มีทางที่เขาจะเป็นผู้กระทำ

 ผู้บังเกิดเกล้า ผู้ใหญ่คนเดียวที่พึ่งได้หลังจากพระบิดาจากไป คนนี้

“โธ่ ท่านหมอ ข้าผิดไปแล้วอันที่จริง...ข้าน่าจะลงไปคุกเข่าขอขมา” พูดจบเขาก็ทำท่าว่าจะลงไปที่พื้นแต่ท่านหมอห้ามไว้ด้วยเสียงดุ

“ทำอะไรเป็นเด็กๆไปได้! ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้ไม่ต้องลงไปที่พื้น” ชายสูงวัยถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วมองชายหนุ่มอย่างเมตตาและเจ็บปวด

“อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของข้า ที่ตั้งแต่ท่านโตมาก็ไม่ได้ห้ามปรามท่านเพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท้ายแล้วท่านก็เคยชินครานี้พอข้ากลับมาเตือนท่านก็ไม่ฟังเสียแล้ว”

“.......”
-----------------
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 21-03-2015 00:56:57
“ข้านึกอยากโกรธท่านเสียหลายครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งที่ท่านนั้นก็ทั้งโง่ ทั้งทึ่ม ท่านต้องยอมรัยนะว่าท่านไม่ได้ฉลาดไปเสียทุกเรื่องในเรื่องที่ผ่านมาถือว่าท่านพลาดอย่างมหันต์และดักดานยิ่งกว่าควายที่ไถนาให้ท่านอยู่นอกเมือง”

ราห์โอบีบขมับตัวเองแน่นแล้วพูดอย่างเอื่อยๆ “เอาที่สบายใจเลยท่านหมอ ข้าสมควรแล้ว”

“ท่านขาดสติมากไปในหลายเรื่องที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นที่ตัวท่านเองและส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านไม่สามารถมีสติดีได้เมื่อเป็นเรื่องโรเรเนส ยอมรับเสียเถิดความปรารถนาที่ท่านมีต่อโรเรเนสนั้นรบกวนจิตใจท่านมากใช่ไหม”

“อืม ข้าก็พบว่าเป็นเช่นนั้น”

“โรเรเนสนั่นไม่ได้ทำอะไรท่านไม่ได้มีเล่ห์กระเท่อะไรกับท่าน เป็นท่านเองต่างหากที่หลงเขา คาดหวังเอากับเขาจนแล้วเมื่อโกรธที่เขาไม่ได้เป็นดั่งใจก็โกรธมากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะท่านคิดไปเอง คาดหวังไปเองฝ่ายเดียว เช่นนี้ข้าพูดถูกไหม”

“คงเป็นเช่นนั้น ด้วยใจหนึ่งข้าก็อยากได้เขา อีกใจข้าก็อยากผลักไสเขาด้วยข้าเองไม่ไว้ใจตัวเอง ว่าอาจสูญเสียสัมปชัญญะที่มีไปกับความงามที่ทำให้ข้าคลั่ง....คราวนี้ข้าก็เสียเขาไปจริงๆ....เวรเอ้ย!”
 
ครานี้ราห์โอก็ถึงกับกุมขมบอีกครั้งแลซัดไวน์เพื่มไปอีกแก้ว
“ข้าเข้าใจได้ว่าทำไมท่านถึงได้ทำพลาด แต่ก็คงไม่อาจบอกได้ว่าท่านไม่ผิด ท่านผิด ซื่อบื้อดักดานเสียยิ่งกว่าใคร นี่ถ้าท่านไม่ใช่ราห์โอข้าคงตีท่านไปแล้ว”

“ลากลอสก็พูดแบบนั้น”

“ข้าแปลกใจนักที่เขายังไม่ทำ เขาว่ายังไงบ้าง”

“ข้าจำไม่แม่นเขาไม่ยอมคุยกับข้าดีๆมาหลายวันแล้ว”

“เขาเคยเตือนท่านเรื่องนี้บ้างไหม”

“พูดเรื่อยๆแต่ข้าไม่ฟัง”

“อืม  ข้าแปลกใจจริงๆที่เขายังไม่ชกท่าน”

“ข้าก็อยากให้เขาทำเหมือนกัน ดีกว่าเย็นชากันแบบนี้”

“ก็ยังดีที่ท่านคิดได้ ไม่ได้เลยเถิดไปกว่านี้”

“ข้าก็เกือบแล้วล่ะมาคิดได้เอาตอนที่คิดว่าโรเรเนสตายไปแล้ว...”

“ว่าแต่โรเรเนสเป็นอย่างไรบ้าง”

“พ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ เห็นว่าตื่นมากินอะไรๆได้แล้วกินเสร็จก็นอนต่อ อันที่จริงเหมือนว่าเขากินแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ข้ารับใช้ที่ดูแลบอกว่าเหมือนเขาละเมอ แล้วก็พูดจาแปลกๆแบบไม่รู้เรื่อง.....ฟังเหมือนคนสติไม่ดีเลยจริงๆ”

ท่านหมอนิ่งไปซักพักก่อนจะเริ่มขยับตัว
 “ท่านพร้อมจะฟังเรื่องจริงแล้วหรือยัง”

“ท่านไม่ใช่คนที่จะโกหกข้าอยู่แล้วและครั้งเดียวที่ท่านโกหกคือเรื่องปั้นแต่งตอนอยู่ในห้องพิจารณาคดี ใช่เมื่อทบทวนดูในยามนี้ คนอย่างท่านไม่น่าจะพูดจาเหลวไหลไปได้”

“อืม เรื่องที่ข้าเล่าว่าข้าลบความจำโรเรเนสเพื่อส่งมาหลอกล่าท่านนั้นมันไม่มีความจริงแม้นแต่น้อย รวมทั้งนักบวชที่โดนคดีด้วยกันพวกเขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์”

“แล้วท่านและพวกเขาทำไมต้องยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อเด็กหนุ่มคนนั้นด้วย”

“เพราะข้าเชื่อในความรู้ของข้าและเหล่านักบวชเชื่อในศรัทธาของเขา ว่าโรเรเนสเป็นเทพจริง”

ฟารันเคร่งขรึมเขาขบกราบน้อยๆแล้วพยักหน้าช้าๆ
“ข้าจะยอมเชื่อท่านอีกซักครั้ง”

“แน่ใจแล้วรึว่าคราวนี้จะเลือกเชื่อใคร”

“ตั้งแต่เด็กข้าเชื่อท่านมาตลอดและข้าก็ทำถูกมาตลอด มาคราวหลังข้าเลือกไม่เชื่อท่าน....แล้วโรเรเนสก็เกือบตาย คราวนี้ข้าก็คงต้องกลับไปเชื่อท่านตามเดิมล่ะถูกแล้ว”

“ทั้งที่ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีหลักฐานพอที่จะเชื่อไหมว่าโรเรเนสเป็นเทพ?”

ฟารันขบริมฝีปากตัวเอง
“ในยามนี้สิ่งที่ข้าเชื่อ คือเชื่อใจไม่ใช่เหตุผลแบบนั้น ยามนี้เหตุผลและหลักฐานใครมันจะปั้นยังไงก็ได้ ข้าไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไรหรือใครจะพูดจริงหรือไม่จริง ข้าอยากเชื่อในตัวบุคคลที่ข้าไว้ใจอย่างเช่นท่านเสียมากกว่า ข้าไม่อยากสับสนกับหลักฐานมากมายเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว”

“ถูกแล้วเรื่องหลักฐานพวกนั้นมันเหมือนจะจริงและน่าเชื่อถือแต่ก็ภาพลวงตา เช่นความคิดที่ว่าถ้าโรเรเนสเป็นเทพแล้วต้องมีน้ำวิสุทธิ์สีใสนั่น ฝ่าบาทก็ทรงเดาไปเองทั้งนั้น จริงอยู่ว่ามนุษย์ครึ่งเทพและเทวดาจำแลงต้องมีangle syrup แต่ไม่เคยมีตำราไหนเขียนไว้ว่าเทพที่มาจากการอันเชิญแบบในกรณีของโรเรเนสจ้องต้องเหมือนกรณีอื่นๆด้วย”

ยิ่งฟังยิ่งเจ็บใจ ยิ่งนึกก็ยิ่งผิด พอมีสติมาฟังเหตุผลแบบนี้เขาก็จุกจนพูดไม่ออก  แต่ท่านหมอหลวงก็นึกคิดบางอย่างขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนพึมพำ

 “อันที่จริงข้าก็พลาดเองก่อนหน้าเขาก็เคยมี...ฝันเปียกมาบ้าง”

“หา!”

“แต่ตอนนั้นข้าก้ไม่ได้ตรวจว่าสีมันใสหรือเปล่าเพราะ เจ้าตัวเขาอายมากเลยทำลายหลักฐานทิ้งไปเสียก่อน”

“โธ่ ท่านหมอ”

“แต่เอาเถอะ หลักฐานอย่างเดียวที่พิสูจน์ได้จริงๆและข้ายืนยันได้คือรางกายของเขาเหมือนคนไม่เคยผ่านการเติบโตมาก่อนนั่นก็พอแล้วที่จะบอกว่าเขาเป็นเทพ เพราะเทพสามารถลงมาเป็นผู้ใหญ่ได้เลยไม่ต้องโตมาจากเด็ก อีกอย่างที่เห็นได้ด้วยตาและฝ่าบาทไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัวคือดอกไม้ในสวนท่านก็เกิดงอกงามมาได้อย่างประหลาดเรื่องนี้ก็พอจะเชื่อถือได้”

 “อืม...ทั้งที่ชัดเจนขนาดนี้ที่ผ่านมาข้ากลับไม่ได้ใส่ใจคำพูดท่านได้อย่างไรกัน”

ราห์โอหนุ่มคิดทบทวนหลายสิ่งแล้วก็หงุดหงิดในหัวใจ เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ข้าไม่น่าบอกเลยว่าจะเอาชายาเป็นเทพ ไม่งั้นไอ้เรื่องอันเชิญเทพนี่จะได้ไม่ต้องเกิดขึ้นให้ทรมาณใจกันเสียแต่แรก”

“แล้วคิดอย่างไรถึงรับสั่งไปเช่นนั้น อยากได้มากนักหรือเทวีน่ะ”

“ข้าไม่ได้อยากได้เมียเป็นเทเพ! แต่ตอนนั้นข้ารำคาญที่สุดคนมาเซ้าซี้ให้ข้าแต่งเมียเลยพูดจาส่งๆไป เพราะคิดว่าถ้าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จะได้จบๆกัน  ที่ไหนได้ เฮ้อ!”

“มองในแง่ดีก็เป็นบุญแผ่นดินที่อุตส่าห์มีเทพลงมาดูแลบ้านเมืองเรานะฝ่าบาท นี่อาจถูกกำหนดไว้แล้ว”

“เรื่องนั้นข้าไม่รู้หรอก แต่ว่าตอนนี้มีเรื่องทำให้ข้าคิดหนักอีกเรื่อง นอกเหนือจากเรื่องที่โรเรเนสเป็นเทพหรือไม่และนอกเหนือไปจากว่าพวกท่านจะต้องโดนอะไร"

 “ท่านพบอะไรแปลกไปอีกงั้นรึ”

“ข้าแปลกใจกับการกระทำต่อการพิจารณาคดีโรเรเนสของท่านโยเฮนมาก”

“โอ้ เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจลากลอสเคยพูดกับข้าอยู่บ้างนะฝ่าบาทว่าท่านโยเฮนไม่ได้ดีอย่างที่พวกเรารับรู้ แต่เท่าที่ข้ารู้ก็เห็นว่าท่านโยเฮนไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยเลยฉไนถึงเอะใจเช่นนั้น”

“ใช่ก่อนหน้าข้าคิดว่าเขาเป็นคนจริงจังและตรงไปตรงมามาก เขาเป็นคนที่ประวัติดีมาโดยตลอดไม่เคยถูกร้องเรียน ตรวจสอบได้ เขาเป็นเพียงขุนนางไม่กี่คนที่กล้าคัดค้านความคิดของข้าเมื่อเขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง เขาไม่ใช่คนประจบสอพลอยามที่อยู่กับข้าก็ยังดูทนงในความคิดตนเองเสียด้วยซ้ำ”

หมอหลวงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วหรี่ตาลงด้วยครุ่นคิด เขาพยายามคิดทบทวนอยู่หลายสิ่งแต่แล้วก็ส่งสายตาลังเลออกมา
“เท่าที่ข้ารู้จักเขามาค่อนชีวิต ข้าก็เห็นเหมือนกันท่านเขาไม่เคยมีประวัติเสียและไม่คิดว่าจะมีวี่แววร้ายกาจแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ว่า....”

“อะไร”

“ตั้งแต่พระบิดาของพระองค์สวรรณคต เขาก็ดูกระด้างไปและระแวดระวังเป็นพิเศษหลายครั้งเหมือนเกรงว่าจะมีคนคิดร้าย เขากลายเป็นผู้ปกครองที่เข้มงวดมากขึ้นกับเขตการปกครองที่เขาดูแล แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะเขาแค่เป็นห่วงราชวงค์ในช่วงเปลี่ยนผ่านก็ได้ เรื่องนี้ดูเหมือนเขาแปลกไปก็จริงแต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเขาคิดร้าย”

“คือแบบนี้ท่านหมอ ท่านยังไม่ทราบผลพิจารณาคดีใช่หรือไม่”

“ไม่อยู่แล้วฝ่าบาทและจะเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นถ้าจะทรงบอกกัน”

สีหน้าชายหนุ่มแลดูจริงจังและตึงเครียดมาขึ้น
“พวกเขาตัดสินให้ประหารท่านและนักบวชส่วนโรเรเนสก็ให้เอาไปทิ้งไว้นอกสปันเทียด้วยพวกเขาลงมติกันว่าเขาเสียสติและไม่ควรให้อยู่ภาระแผ่นดิน”

“โอ้ ฟังดูใจดำจริงๆ ว่าแต่จะประหารข้าวันไหนล่ะ”

“มันจะไม่มีการประหาร! ข้าเปลี่ยนคำตัดสินไม่ได้ว่าท่านผิดหรือไม่ผิดแต่ข้าเปลี่ยนวิธีลงโทษได้ ข้าจะเขียนลดโทษแล้วจัดการท่านด้วยวิธีอื่นแทน ว่าแต่ที่ข้าจะบอกคือมันผิดปรกติ”

“อะไรที่ผิดปรกติ”

“โทษประหารมันรุนแรงเกินไปสำหรับกรณีของท่าน ตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ก็แค่จำคุกที่นอกเมืองหรือส่งไปใช้แรงงานในเหมืองเท่านั้น ส่วนโรเรเนสพวกศาลก็ตัดสินออกมาแล้วว่าเขาบริสุทธิ์เป็นเพียงผู้ชายเสียจริตแต่ก็ยังกระทำโหดเหี้ยมส่งเขาให้ไปตายกลางทะเลทรายแบบนั้นอีก ซึ่งตามปรกติในกรณีอื่นๆหากศาลตัดสินว่าผู้ใดกระทำลงไปด้วยสติไม่ดีเขาคนนั้นจะต้องไม่โดนโทษและกลับไปใช้ชีวิตได้ ไม่ใช่เอาไปทิ้งให้ตายแล้วอ้างว่าเป็นภาระ นี่มันเป็นการตัดสินที่ประหลาดอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยผลตัดสินมันเกินเหตุไปเสียขนาดนี้

เมื่อสืบสาวกันมาก็ได้รู้ว่าคณะลูกขุนส่วนใหญ่เป็นคนสนิทของท่านโยเฮนและไปได้ยินอะไรแปลกๆผิดๆมาสุดท้ายก็เชื่อตามข้อมูลที่ได้จากท่านโยเฮนแล้วจึงตัดสินออกมาเช่นนี้ นี่คือที่พวกเขาบอกแก่ข้า แต่ว่าข้าคิดว่าอันที่จริง คณะลูกขุนพวกนั้นอาจได้สินบนบางอย่างจากท่านโยเฮนก็เป็นได้ถึงพวกเขาไม่สารภาพมากับข้าก็เถอะ”

“เช่นนี้ท่านเลยเริ่มสงสัยท่านโยเฮน”

“ใช่ ข้าไม่รู้ว่าท่านโยเฮนต้องการอะไรและทำไมต้องการกำจัดโรเรเนสและตัวท่านหมอมากขนาดนี้ มันดูผิดปรกติมากเกินไป ข้าไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดแต่เขาดูร้อนตัวเหลือเกินและข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องอันตรายมากที่จะให้ท่านอยู่ในสปันเทีย ท่านคิดว่าอย่างไร”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เห็นด้วย ข้าขอให้พระองค์ทรงเนรเทศข้ากับพวกนักบวชที่โดนคดีด้วยกันไปอยู่อาณาจักรฟิลินัส(ประเทศเพื่อนบ้านที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นนักบวช)แล้วกัน ที่นั่นข้ามีสหายอยู่เยอะกำลังอยากศึกษาเรื่องสมุนไพรหายากแถบนั้นอยู่พอดี มันน่าจะดีกว่าถ้าข้าออกนอกประเทศไปเลย”

“ได้ ซักปีนึงก็อภัยโทษแล้วข้าจะไปรับท่านกลับมา”

“แล้วโรเรเนสทท่านจะจัดการเช่นไร ให้เขาไปเขาก็คงอยู่เองไม่ได้แต่ให้เขาอยู่ก็อาจเสี่ยงโดนจัดการ.....ถ้าหากมีใครต้องการจะจัดการเขาล่ะนะ”

ราห์โอหนุ่มครุ่นคิด นั่นก็ถูกอยู่ก็ตายไปก็ตาย แต่เขาไม่อยากให้โรเรเนสต้องจากเขาไป

“ข้าขอเสนอเช่นนี้ได้ไหมฝ่าบาท”

“ท่านมีแผนอะไรก็ว่ามาท่านหมอ”

“ข้าคิดว่าตอนนี้ทุกคนกำลังคิดว่าโรเรเนสเป็นคนบ้า ท่านควรปล่อยให้ทุกคนเชื่อเช่นนั้นและให้คนเชื่อว่า พระองค์ทรงคิดเช่นนนั้นด้วย”

“ท่านจะให้ข้าแกล้งทำเป็นคิดว่าเขาเป็นคนบ้าทั้งที่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเขาเป็นเทพ?”

“ใช่ เราจำเป็นต้องทำแบบนั้นกับทุกคน แม้กระทั่งลากลอซ ท่านก็ต้องทำให้เขาเชื่อว่าโรเรเนสนั้นสติไม่ดีและหลงผิดคิดว่าตนเป็นเทพ ส่วนโรเรเนส...ท่านก็ต้องปล่อยให้เขาเข้าใจว่าท่านยังไม่เชื่อในตัวเขาอยู่” 

ฟังข้อเสนอนี้แล้วฟารันก็ปวดใจหลังจากนี้เขาคงต้องปล่อยให้เด็กหนุ่มหน้าสวยคนนั้นเข้าใจเขาผิดไปอีกนาน  แต่นั่นก็ควรทำและเป็นสิ่งที่เขาสมควรโดนไปด้วยในขณะเดียวกัน

“ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะข้ามีความเห็นว่า ถ้าทำให้โรเรเนสเป็นแค่คนธรรมดาคำพูดไม่น่าเชื่อถือ ผู้ที่คิดร้ายอาจละเว้นเขาไปได้เพราะว่า ข้าเชื่อว่าท่านโยเฮนมีสิ่งปิดบังอยู่ เป็นความผิดที่มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่รู้หากให้ทุกคนคิดว่าโรเรเนสเป็นเทพและทุกคนเชื่อฟังโรเรเนส ถึงตอนนั้นความลับของโยเฮนก็คงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป การทำให้โรเรเนสเป็นแค่เด็กหนุ่มไร้พิษสงนั้นปลอดภัยกับเขามากที่สุด และในระหว่างนี้นอกจากทำให้โยเฮนตายใจแล้วท่านก็จะยังมีเวลาส่งคนไปสืบความได้ว่าโยเฮนนั้นปิดบังอะไรอยู่ ทำไมร้อนตัวอยากจะสังหารปิดปากเทพเสียขนาดนี้”

กษัตริย์หนุ่มทิ้งตัวลงกับพนักพิง ส่อสายตาท้อแท้ออกมาอย่างไม่คิดจะปิดถ้าต้องทำตามคำท่านหมอเช่นนี้ความคิดที่อยากจะไถ่โทษหรือปรับความเข้าใจกับพ่อเทพตาเศร้านั้นจะกระทำได้อย่างไร

“ข้าบอกเขาไม่ได้หรอว่าข้ายอมรับแล้วว่าเขาเป็นเทพ อย่างน้อยเขาจะได้รู้สึกดีกับข้าบ้างเพราะตอนนี้เขาคงเกลียดข้าเข้ากระดูกดำไปแล้ว”

“ไม่ได้ๆ เพื่อความปลอดภัยของเขาและเพื่อแผนจับคนร้ายของพวกเรา พระองค์ต้องไม่ให้ใครรู้เป็นอันขาดแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่ควรรู้เพื่อความแนบเนียนนี้  ในเรื่องนี้ต้องทรงปล่อยให้เขาคิดว่าท่านใจไม่เชื่อในตัวเขาต่อไป

 แต่ว่าถ้าหากท่านอยากจะขอโทษท่านก็ทำไดอยุ่แล้วไม่ต้องห่วง ก็แค่บอกเขาไปว่าขอโทษที่ก่อนหน้านี้คิดว่าเขาเป็นคนโกหก บอกไปว่าเชื่อแล้วว่าไม่ได้หลอกกันแต่เปลี่ยนเป็นเชื่อว่าเขาทำลงไปเพราะบ้าแทนไม่ใช่ประสงค์ร้าย”

“นั่นมันก็เหมือนกันนั่นแหละท่านหมอ!ระหว่างคิดว่าเขาเป็นคนโกหกกับการคิดว่าเขาทำไปเพราะบ้า นั่นก็แปลว่าข้ายังไม่ยอมเชื่อว่าเขาเป็นเทพอยู่ดี”

“ก็ใช่ แต่เชื่อว่าเป็นบ้าฟังดูดีกว่าเป็นคนโกหกนะ”

“โธ่!”  ราห์โอหนุ่มกุมขมับตัวเองอีกครั้งแล้วกัดปากแน่น แต่ท่านหมอกลับดูสบายใจขึ้นมากเมื่อคิดออกว่าควรแก้ไขหลังจากนี้ยังไง ว่าแล้วเขาก็ชูแก้วไวน์ขึ้นสูงแล้วเอ่ยอย่างฮึกเหิม

“ยินดีกับทางออกที่งดงามและขอให้จับคนร้ายได้โดยไว ความจริงจะได้เปิดเผย ฮูเร่” ท่านหมอใช้แก้วตนแตะกับแก้วอีกฝ่ายแล้วยกซดอย่างยินดี ต่างกับชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามที่ยกแก้วไวน์มาซดเหมือนกันแต่แลดูเหมือนดื่มย้อมใจมากกว่ายินดี

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

คราวนี้ลงช้าไปมากต้องขออภัยจริงๆค่ะ งานงอกแทบลากเลือดทำอะไรไม่ทันซักอย่าง จะพยายามอัพเรื่อยๆนะคะไมรู้จะผ่านช่วงวุ่นวายนี้ไปได้ตอนนไหน พะเลีย

ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 21-03-2015 01:13:26
ดีใจจัง
มาต่อแล้ว

ชอบๆ
อยากให้โรเรเนามีแต่เรื่อวดีๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: saruttaya ที่ 21-03-2015 01:35:50
หลังจากนี้คงจะไม่มาม่ามากแล้วนะ ไหนๆพระเอกก็หายโง่แล้ว
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 21-03-2015 01:58:51
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 21-03-2015 04:17:37
ในที่สุดก็ตาสว่างซักที =.=
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 21-03-2015 05:56:27
สายไปไหมสำหรับผู้ชายแบบนี้มันเลวเกินบรรยายแล้วนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 21-03-2015 06:09:19
ว๊ายยยยยย พระเอกเริ่มีสมองแล้ววววววว~

 o13
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 21-03-2015 09:07:26
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 21-03-2015 09:07:54
 :katai1:  :katai1: โอยยยย เครียด ถึงสำนึกได้แตสำนึกได้แต่เราก็ไม่อภัยให้แกหรอกฟารัน หมั่นไส้!!  :z6:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-03-2015 09:38:49
ออกจะงงๆกับตอนนี้ แจ่งก็ชั่งเถอะ ดีใจที่ยังไม่ทิ้งนิยายไปไหน รีบมาต่อก็แล้วกันครับ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 21-03-2015 10:58:42
รอตอนต่อไปปปปป
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 21-03-2015 11:24:00
ในที่สุดก็รู้สึกตัวสินะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 21-03-2015 12:09:09
กว่าจะสำนึก. >.<
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 22-03-2015 15:29:19
มาต่อแล้ววววว  :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: plengpit ที่ 22-03-2015 20:11:58
 :L2: รอๆๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: howru ที่ 23-03-2015 09:52:44
แหม่ กว่าจะรู้สึกตัวได้นะพระเอก

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 02-04-2015 12:19:25
รอคอยเธอมาแสนนาน :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 02-04-2015 21:04:40
กลับมาเร็วๆๆๆๆๆๆๆๆ  :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่11 100% 21/3/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 03-04-2015 00:11:05
เรื่องนี้เนื้อเรื่องสนุกและน่าติดตามมากๆค่ะ(อ่านวันเดียวจบ)

แต่เสียดายที่ช่วงต้นๆเรื่องอัพห่างกันมากไปหน่อย

ทำให้ไม่ค่อยมี fc และทำให้คนสนใจอ่านเรื่องนี้น้อย

 เพราะไม่ค่อยมีคนมาเม้นตอบกระทู้

แต่เป็นกำลังใจให้นะคะ

 ขอให้มีแรงบันดาลใจในการแต่งต่อไปเรื่อยๆค่ะสู้ๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 06-04-2015 22:00:29

       ทุกอย่างเหมือนภาพซ้ำที่วนเวียน มันออกจะน่าเบื่อหน่ายที่ต้องพบกับสถาณการณ์แบบเดิมๆ คือการตื่นมาแล้วพบว่ามันมีอะไรมากมายผ่านไปแล้วเสียหลายวัน แต่กระนั้นลึกๆเขาก็คาดว่าครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องเจอะไรแบบนี้

โรเรเนสลุกขึ้นนั่งในเช้าวันหนึ่งเขาไม่ได้สนว่ามีอะไรผ่านไปบ้างแล้ว เขาคลับคล้ายคลับคราว่าหลับๆตื่นๆอยู่แต่ไม่รู้ตัวดีนักเหมือนจะละเมอเหมือนจะฝัน ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ตายไปจริงๆในบางช่วงหรือไม่ แต่เขาก็สนเท่ห์อยู่ว่าทำไมไม่มีซักแว่บหนึ่งที่เขากลับไปสวรรค์บ้าง ทว่าช่วงกึ่งเป็นกึ่งตายนั้นถือว่าสบายตัวอย่างประหลาด

นั่นถือเป็นประสบการณ์ที่ดีจนอยากจะตายไปเสียจริงๆแต่ก็ดันไม่ตาย โชคดีอยู่หน่อยนึงตรงที่ตื่นมาคราวนี้ความทรงจำเกี่ยวกับแดนสวรรค์ก็เพิ่มขึ้นมาก แม้นจะไม่ทั้งหมดแต่เข้าก็เหมือนจะจำอะไรได้มากขึ้น


ตอนนี้มันเป็นช่วงเช้าเกือบๆสาย แดดส้มอ่อนรำไรเข้ามาในห้องกลิ่อหอมของอาหารโชยอยู่ไม่ไกลคะเคล้าจางๆกับกลิ่นดอกไม้หลายกลิ่นที่เขาแยกได้ไม่ยากว่ามีอะไรบ้าง มือเรียวเอื้อมจับแผลที่คอมันมีผ้าพัดไว้อย่างดีและไม่รู้สึกเจ็บเสียเท่าไร เขานึกหวนไปถึงวันนั้นก็เกิดรู้สึกแย่ขึ้นมาหลายอย่างและการตื่นขึ้นมาแบบนี้ทำให้เขาต้องมานั่งกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ทำไมฟารันไม่ปล่อยให้เขาตาย?ยังอยากจะทำอะไรเขาต่ออีกหรือ แล้วท่านหมอนั่นเล่า.....โธ่ท่านหมอ

 เขาลงจากเตียงอ่อนนุ่มแล้วเดินไปยังห้องรับรองที่อยู่ใกล้ๆเพื่อกินอาหาร ซึ่งบอกได้เลยว่ามันอร่อยกว่าปรกติอย่างน่าประหลาดด้วยเพราะหิวหรืออย่างไรก็ไม่แน่ใจ ทั้งขนมปังและนมก็รสดีเสียมาก

เขากินอย่างจริงจังโดยไม่มีใครรบกวนจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคน2-3คนก้าวตรงมาที่ประตูห้องเขาถึงชะโงกหัวไปมอง เมื่อประตูเปิดแล้วเห็นว่าเป็นใครเขาก็ไม่ได้สนใจและจัดการอาหารต่อ

ลากลอสเดินเข้ามาพร้อมหญิงรับใช้อีกสอง พวกเขาแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่พบคนไข้นอนอยู่บนเตียงแต่เมื่อเห็นว่ามานั่งกินอาหารได้ปรกติในอีกห้องก็ยิ่งประหลาดใจใหญ่

“โอ้ นี่เจ้าตื่นจริงจังแล้วใช่ไหมเนี่ย” ลากลอสเอ่ยทักอย่างแปลกใจก่อนจะลงนั่งร่วมโต๊ะที่เก้าอี้ใกล้ๆ โรเรเนสพยักหน้าให้โดยที่ปากยังเคี้ยวตุ้ยอยู่

“เวลากลืนเจ็บคอไหม” 

ส่ายหัว

“แล้วเดินมานี่ไม่มึนหัวหรอ”

ส่ายหัว

“โฮ่ดีจริง เดี๋ยวข้าให้คนไปตามหมอมาดูอาการเจ้าอีกทีจะได้สบายใจ” คราวนี้เด็กหนุ่มตาเบิกโพลงแล้วรีบกลืนคำสุดท้ายก่อนจะพูดละล่ำละลัก

“ทะ ทะ ท่านหมอยังอยู่รึ!”

“ม่าย ท่านหมอหลวงชัคบาไม่อยู่กับเราเสียแล้ว หมอที่มารักษาเจ้าเป็นหมออีกคนในราชสำนัก”
โรเรเนสหน้าถอดสีแล้วเหมือนจะร้องไห้แต่อีกฝ่ายเห็นเช่นนั้นก็ห้ามเอาไว้ก่อน

“ท่านหมอยังไม่ตาย แต่ท่านหมอกับพวกนักบวชถูกเนรเทศไปอยู่ที่อื่น”

แต่แววตาเศร้านั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเสียเท่าไรเมื่อพบว่าคนดีๆแบบนั้นต้องโดนลงโทษให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
“ส่วนเรื่องของเจ้า....อ่าม จากเหตุการณ์วันนั้น”

หน้าสวยพลันนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีก มีอะไรมากมายจนเลวร้ายจนจำไม่ได้หมด แต่พอคืนสติมาคราวนี้เขาก็นึกขึ้นได้ถึงพฤติกรรมบ้าบิ่นและกร้าวของตน แล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมา

“อ่า...ลากลอส วันนั้นข้าทำตัวแย่มากๆเลยใช่ไหมข้าขอโทษท่านด้วยนะ”

“เอ้ย!ไม่ต้องหรอก ข้าเข้าใจได้ว่าเจ้าโกรธมากแต่มันก็..”

“ข้ามานึกดูตอนนี้ข้าไม่น่าโวยวายขนาดนั้นเลย มีคนที่ไม่เกี่ยวข้องอีกมากแล้วข้าก็ด่าเหมารวมไปเสียหมด ข้าไม่ได้อยากเป็นคนอารมณ์ร้ายแบบนั้นนะ....ตอนนั้นข้าอาละวาดหนักมากใช่ไหม”

“หนักอยู่”

เด็กหนุ่มก้มหน้างุด เขาไม่เคยโกรธมากขนาดนั้นเลยตั้งแต่เกิดมาและไม่ชอบมากๆเวลาที่คุมตัวเองไม่ได้แบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ต่างจากพวกมนุษย์กิเลศหนา เทพอย่างเขาควรควบคุมทุกอย่างได้ดีกว่านี้

“แต่ก็สะใจดีนะ”

“หา?”

เลขาหนุ่มยิ้มหยันที่มุมปาก

“ข้ากลับรู้สึกสนุกและสะใจมากที่เจ้าทำอะไรแบบนั้นถืงตอนท้ายมันจะโหดไปหน่อยก็เหอะ”

“ท่านนี่โรคจิตเหลือเกิน ข้าทำแบบนั้นท่านยังว่าดี”

“ลึกๆข้าก็เชียร์ให้เจ้าเดินเข้าไปตบราห์โออยู่”

พอได้ยินการกล่าวถึงชายคนนั้นเขาก็เม้มปากแน่นแล้วสลดหดหู่ไปอีก ความโกรธยังคุอยู่ในใจเคล้าผสมปนกับความเศร้า เขาไม่อยากพูดถึงผู้ชายคนนั้นเลย หากแต่ก็คงไม่อาจเลี่ยงอะไรได้มากในเมื่อยังอยู่ในบ้านคนๆนั้น

เขาแสร้งสานบทสนทนาต่อเหมือนข่มอารมณ์นั้นไว้ เขาอยากเข้มแข็งและดูเป็นปรกติที่สุดเมื่อพูดถึงผู้ชายคนนั้น

“พูดแบบนั้นไม่ดีนะท่านลากลอส ท่านไม่ได้อยู่ข้าง..ข้างราห์โอรึ”

“ข้าอยู่ข้างตัวเองเสมอ”

“โฮ่ ท่านนี่มั่นใจดีจริง”

“อันที่จริงเจ้าไม่ต้องเรียกข้าด้วยท่านแล้วนะ ตอนนี้สถานะเราเท่ากันแล้ว”

หน้าสวยขมวดคิ้วมองอย่างฉงน เขาไม่เข้าใจว่าคำตัดสินจะมีอะไรอื่นได้อีกนอกจากประหารเขาเสีย

“คือแบบนี้นะโรเรเนส จากการอาละวาดของเจ้าเมื่อคราวนั้นศาลตัดสินว่าเจ้า...อ่าม..สติไม่ดี ขออภัยที่ต้องพูดแบบนี้ แต่คือพวกเขาคิดว่าเทพที่พวกเขากราบไหว้กันอยู่ทุกวันไม่น่าจะคลั่งได้ขนาดนั้น...คือเจ้าต้องเข้าใจว่าตอนนั้นเจาขาดสติไปมาก ถึงแม้ข้าจะสะใจ แต่คนอื่นไม่คิดแบบนั้นนั่นแหละพวกเขาคิดว่าเจ้าหลงผิดจริงอย่างที่ท่านหมอชัคบาบอก จึงถือว่าเจ้าไม่มีความผิดฐานหลอกลวงราห์โอและถือว่าความผิดทั้งหมดของเจ้าเป็นโมฆะ แต่กระนั้นด้วยความที่เจ้ามีความรู้ด้านพฤษศาสตร์อยู่มากโขเลยให้รับราชการอยู่เป็นคนดูแลไม้ดอกของที่นี่...ประมาณนี้”

โรเรเนสนิ่งอึ้งไปแล้วค่อยๆลำดับความคิดที่ละส่วนในหัว

“เดี๋ยวนะ สรุปคือ...ข้าบ้า?”

“ก็..ก็ตรงๆคนอื่นเขาก็คิดแบบนั้น”

“ท่านก็คิดว่าข้าบ้า?”

“ไม่นะไม่ๆๆๆ ข้าไม่คิดว่าเจ้าบ้า....เจ้าแค่...เข้าใจตัวเองผิด”

“เจ้าก็ไม่คิดว่าข้าเป็นเทพสินะ”

“ขอโทษจริงๆ”

“แล้วนอกจากข้าจะบ้าแล้วข้าก็ยังโดนเก็บไว้เป็นคนสวนอีก”

“แล้วเจ้าจะไปอยู่ที่ไหนเล่า”

“ก็ไม่ส่งข้าออกประเทศไปเหมือนท่านหมอเล่า”

“ไม่เอาน่าเจ้าความจำเสื่อมนะจะอยู่ยังไง อีกอย่างราห์โอทรงดำริเช่นนี้ด้วย”

เด็กหนุ่มนิ่งงันแล้วเบือนหน้าหนี เขาเริ่มขบกรามแน่นยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธผู้ชายบ้าอำนาจเอาแต่ใจคนนั้น
“แต่นะ นั่นก็หมายถึงเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ได้นะ”

“หมายถึงข้าไปจากที่นี่ได้งั้นหรอ?”

“ไปเลยไม่ได้หรอก เจ้าเป็นคนไม่มีทะเบียนเร่ร่อนไปทั่วจะลำบากเปล่าแต่ถ้าออกไปเที่ยวเล่นนนอกวังน่ะพอจะทำได้”

พวงแก้มใสป่องขึ้นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เขาไม่ได้มีความผิดติดตัวอันที่จริงก็อยากจะหนีไปเลยแต่ก็เกิดฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“ลากลอสที่ที่ท่านหมอไปมันลำบากไหม”

“ไม่หรอกก็ถือว่าอยู่ได้ดี แต่ที่แย่ที่สุดเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอกับลูกสาวเขาอีกแล้วเพราะมันเป็นธรรมเนียมที่ครอบครัวจะไม่ติดต่อกับผู้ถูกเนรเทศ”

“เพราะท่านหมอถูกตัดสินให้ผิดสินะ ถ้าเขาไม่ผิดก็กลับมาได้ใช่ไหม”

“ก็ ประมาณนั้น”

“งั้นข้าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวข้าเป็นเทพสินะเขาถึงจะได้กลับมา”

คราวนี้เป็นฝ่ายเลขาหนุ่มที่เม้มปากเรียบอย่างหนักใจ สำหรับเขาโรเรเนสไม่ใช่เทพนั่นคือสิ่งที่ทุกคนยืนยันและการกระทำของโรเรเนสก็ยืนยันในข้อนั้น เรื่องนี้ถือว่าน่าเศร้าและเจ็บปวดสำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้และท่านหมอแต่โดยส่วนตัวเขาไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรได้มากไหมนอกจากสิ่งที่ราห์โอบอกเขามา

ราห์โอกล่าวกับเขาว่า เขาสงสัยว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการนำโรเรเนสมาทำให้ความจำเสื่อมและทำให้หลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นเทพ อาจเป็นผู้ใช้เวทย์บางคนและคนในที่จัดการเรื่องนี้ ซึ่งข้อสันนิษฐานนั้นยังไม่ชัดเจนแต่ก็คาดกันเอาไว้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับโยเฮน
เขาไม่ได้บอกว่าโยเฮนเป็นคนพาโรเรเนสมานั่นมันย้อนแย้งกันเกินไปแต่ราห์โอทรงเชื่อว่าโยเฮนน่าจะรู้ว่าใครทำและคนๆนั้นน่าจะเป็นอริของโยเฮน โยเฮนจึงพยายามอย่างไม่ปิดบังที่จะกำจัดโรเรเนสที่เป็นเหมือนเครื่องมือของอีกฝ่าย ราห์โอจึงกำชับให้เขาช่วยสืบหาว่าโยเฮนนั้นมีอะไรปิดบังหรือเป็นอริกับใครเขาไว้บ้าง

นั่นคือที่ลากลอสรู้มา 1.ท่านหมอไม่ผิด 2.โรเรเนสไม่ใช่เทพแต่เป็นเครื่องมือของใครไม่รู้ 3.และใครไมรู้คนนั้นเกี่ยวกับโยเฮนซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าโยเฮนคือคนผิด อีกฝ่ายผิดหรือผิดทั้งคู่

และทั้ง3ข้อนี้ลากลอสก็เชื่อสนิทใจโดยไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทจำเป็นต้องโกหกเขาในเรื่องเหล่านั้น ด้วยแท้ที่จริงแล้วโรเรเนสนี้เป็นเทพและเรื่องนี้เกี่ยวกับโยเฮนล้วนๆไม่ได้มีมือที่3มาทำให้ป่วนแต่อย่างใด หากแต่เพื่อรักษาสัจจะและแผนการที่นัดแนะกับท่านหมอไว้ฟารันจึงไม่อาจให้ใครแม้นซักคนล่วงรู้ได้ว่าโรเรเนสเป็นเทพ แม้แต่เพื่อนสนิทที่คบกันมานานขนาดลากลอสก็ไม่อาจรู้ได้เลย

“อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเทพก็ได้นะถ้าหากจะให้ท่านหมอพ้นผิด แต่เรื่องนั้นข้าคงบอกรายละเอียดเจ้าไม่ได้แต่อยากให้เจ้าวางใจว่าซักวันท่านหมอจะได้กลับมาแน่”

โรเรเนสไม่ค่อยเข้าใจว่าจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อช่วยให้ท่านหมอกลับมา แต่เขาก็ได้แต่พยักหน้ารับไปและเริ่มคิดทบทวนถึงทางเลือกของตัวเอง


           ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็ไม่รู้ได้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของใครกันบ้างที่เด็กหนุ่มตัดสินใจยอมทำงานเป็นคนดูแลพืชพันุ์อยู่ในวังไม่หนีไปไหน เจ้าตัวไม่ได้ให้เหตุผลอะไรกับใครเรื่องนั้นเขารู้อยู่ในใจแม้คนส่วนมากมองว่าเด็กหนุ่มสติไม่ดีคนนี้คงไม่กล้าออกไปอยู่ข้างนอกแต่ลำพังและออกจะเวทนาในตัวเขา แต่ลึกๆที่เขายังไม่หนีไปไหนเพราะเขาเชื่อว่าการไม่เอาตัวรอดแต่คนเดียวเป็นอะไรที่มีศักดิ์ศรีมากกว่า ที่สำคัญเขายังเชื่ออีกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ทำให้ท่านหมอชัคบาพ้นผิดได้

เช่นนี้ราห์โอก็ยังใจชื้นอยู่บ้างที่ฝ่ายนั้นยังอยู่ในสายตาไม่งั้นออกไปข้างนอกก็อาจถูกสายของโยเฮนสังหารได้ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจผิดไปว่าหนุ่มหน้าสวยนั้นยังพอจะอยู่ในจุดที่เขาจะเข้าหาได้แต่นั่นก็ไม่เลย

ด้วยสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดที่เขาทำนั้นเป็นเหตุให้หลังจากตื่นมาโรเรเนสก็ไม่ยอมคุยกับเขาอีก หากแม้นคุยก็ไม่มองหน้า คุยเฉพาะเรื่องงานเมื่อเลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลายครั้งที่เขาพยายามหาโอกาสให้ได้อยู่กันลำพังเพื่อปรับความเข้าใจแต่ก็ยังไม่มีวันไหนที่เขามีโอกาสเช่นนั้น ด้วยตัวเขาเองก็ได้ว่าและฝ่ายนั้นก็ไม่อยากจะเจอจึงทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ จึงทำได้เพียงให้มีคนค่อยดูแลสอดส่องแล้วรายงานเขาเป็นระยะว่าฝ่ายนั้นอยู่ดีหรือไม่อย่างไร บ้างก็ฝากลากลอสให้นำของกำนัลไปให้พร้อมจดหมายที่กี่ครั้งก็ไม่เคยถูกเปิดอ่าน

 คำขอโทษนั้นก็ไม่เคยจะไปถึงครั้นเมื่อพยายามจะไปเจอหน้าก็เกิดเหตุกระอั่กกระอ่อนพูดกันได้ไม่จบความ ครั้งหนึ่งราห์โอนั้นทนไม่ไหวบุกไปหาถึงห้องในยามค่ำคืนเพื่อจะขอโทษและอธิบายความ แต่เมื่อยามเห็นตาเศร้าที่รื้นน้ำทุกครั้งที่เห็นหน้าเขาเขาก็จำต้องหลีกมา เพราะทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้โรเรเนสก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดมันไม่ใช่เหมือนในครั้งก่อนนั้น ครั้งก่อนที่เราไม่คุยกันครานั้นเด็กหนุ่มออกแนวระแวงเขามากกว่ากลัวว่าจะโดนเขาทำมิดีมิร้ายอีก

 แต่คราวนี้โรเรเนสไม่ได้กลัว ไม่เลยไม่ซักนิดที่จะเกรงกลัวฟารันอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่มีมันเป็นความด้านชาที่ซ่อนความเจ็บแค้นไว้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกทรมาณใจที่ฝ่ายนั้นส่งมา เห็นชัดว่าไม่อยากพบไม่อยากเจอแค่อยู่ใกล้กันก็คงอึดอัดสะอิดสะเอียดจนจะร้องไห้แล้วกระมัง เหมือนทรมาณเหมือนรังเกียจและปนแค้น

ฟารันเคยเห็นมาแล้วคนที่เป็นแบบนี้แววตาแบบนี้ นานมาแล้วตั้งแต่สมัยสงครามนั่นก็เมื่อเขายังเด็ก ตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นหลังจากทัพของสปันเทียบุกไปตีเมืองหนึ่งมาได้ ช่วงขณะที่พักกองกันอยู่ในเมืองก็มีทหารนายหนึ่งฉุดคร่าสาวชาวบ้านมาขืนใจ แม่ทัพรู้ความก็จัดการตัดหัวของทหารคนนั้นเสียแลกล่าวกับทุกคนว่าเราเป็นทหารหาใช่โจรย่ำยีผู้หญิงมีโทษถึงตายสถานเดียว

หลังจากนั้นก็มีเรื่องต้องลำบากใจอีกเมื่อแม่ทัพผู้นั้นต้องเป็นคนนำศีรษะของทหารผู้นั้นไปคืนแก่มารดาของเขา ตอนนั้นแหละที่ฟารันได้แอบตามไปดูด้วย

แววตานั้นอธิบายเป็นคำพูดได้ยากมากๆ เมื่อต้องรับศพลูกชายจากคนที่ฆ่าลูกตัวเอง ท่านแม่ทัพต้องขอขมากับแม่ผู้ตายและครอบครัวแต่ที่ทำก็เป็นสิ่งจำเป็น แน่นอนว่าหญิงวัยกลางคนนั้นเข้าใจว่าทำไมลูกของนางสมควรตาย แต่มันก็เป็นการยากที่จะยอมรับในการกระทำของท่านแม่ทัพกับคนที่ฆ่าลูกของเธอ เป็นข้าศึกก็ไม่ใช่แต่เป็นคนชาติเดียวกันคนที่นางฝากฝังไว้ว่าจะดูแลกองทัพและลูกนางได้

แววตานางรื้นน้ำไม่ด่าทอไม่ต่อว่าอะไรไม่ยอมรับคำขอโทษหรือแม้แต่จะสนทนาอะไรทั้งนั้น ได้แต่พูดสั้นๆว่า

 “ท่านกลับไปเสียเถอะ”

แล้วนางก็เดินกลับหลังบ้านไป ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจหรอกว่านางรู้สึกอย่างไรแต่มันมากกว่าเศร้า มันหลายอย่างเหลือเกินทั้งเสียใจ โกรธ จำยอม แต่ชัดเจนว่าไม่อยากจะยุ่ง ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากเกี่ยงข้องอะไรได้วยอีก ต่างคนต่างอยู่กันไปเลยและก็เป็นเช่นนั้นจริงหลังจากนั้นไม่ว่าท่านแม่ทัพจะพยายามขอขมาแค่ไหนนางก็ไม่สนใจ นางไม่ได้ต้องการการชดใช้ใดๆ นางไม่สนใจอะไรแล้วขอแค่ต่างคนต่างอยู่ก็พอ


           ตอนนี้เขารู้สึกว่าโรเรเนสเป็นแบบนั้นอาจไม่ถึงขั้นที่แม่คนนั้นได้เสียลูกชายไป แต่น้ำตาของเด็กหนุ่มนั้นไม่ใช่แค่ความเศร้าแบบนั้น มันเหมือนคนที่ถูกฉกฉวยบางสิ่งไปและเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะพูดคุยถึงเรื่องเหล่านั้นได้ มันมีแค่ความคิดว่าอยากอยู่ห่างๆ ไม่อยากพูดไม่อยากคุย ไปให้ไกลๆหน้ากันเลยก็ดี ไม่ได้อยากได้คำขอโทษไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น

แล้วเขาจะทำอย่างไรเล่า แม้นทรมาณเจียนตายที่ไม่อาจให้ฝ่ายนั้นเข้าใจตัวเองได้แต่ทุกครั้งที่เข้าใกล้ก็เป็นการทำร้ายกันไปอีก เขาไม่ต้องการแบบนั้นเขาไม่ได้อยากตามใจตัวเองอีกแม้นจะทรมาณใจที่ไม่อาจเข้าใกล้ไม่อาจพูดคุยอะไรกันได้อีก แต่หากมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้เขาก็จำยอม ก็ได้แต่อยู่ห่างๆอย่างปวดร้าว

จนหลังๆมานี้กลายเป็นเขาเองที่พยายามหนีหน้าให้มากเข้าไว้ มีอะไรก็ต้องผ่านคนอื่นตลอดซึ่งถึงแม้จะทำแบบนั้นเขาก็ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่โรเรเนสต้องรับรู้เรื่องราวหรือข้อความใดๆก็ตามจากฟารันสีหน้าปรกติของเด็กหนุ่มก็แปรเป็นอึดอัดทุกครั้ง เหมือนคำสาปเหมือนยาขมใดใดในโลกนี้ที่เกี่ยวกับเขานั้นไม่อาจเข้าใกล้เด็กหนุ่มโดยไม่ทำร้ายจิตใจเขาได้เลยแม้นแต่น้อย

หลายครั้งเขาก็แอบคิด ว่าทำไมคนที่อยู่ใกล้เพียงกำแพงกั้นแค่นี้ถึงได้ไกลกันเหลือเกิน

หลายครั้งเขาก็แอบคิด ว่าแม้นจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันซักวันหนึ่งทั้งสองคงลืมไปแล้วว่าหน้าตาอีกฝ่ายนั้นเป็นอย่างไร

ความคิดนั้นวนเวียน

จนหนาวอก

จู่ๆเหมือนมันวาบลงลึกและเสียดแทง

ขณะนั้นในค่ำคืนหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่พระจันทร์เต็มดวงกุหลาบจันทราก็คงบานอีกครั้งแต่เขาไม่ได้เห็นมันมาซักพักแล้วล่ะ ด้วยรู้ดีว่าสวนส่วนตัวของเขามีใครเป็นผู้ดูแล หากเขาเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจออีกฝ่ายอยู่ในสวนแห่งนั้นก้คงไม่เป็นการดี เขาไม่ควรเลยแม้นซักครั้งที่จะให้คนๆนั้นเห็นหน้า เช่นนี้ถึงแม้จะเป็นสวนของเขาเป็นกุหลาบล้ำค่าของเขา เขาก็ไม่อาจจะไปดูได้เลย

เขาจึงได้แต่ยืนชมจันทร์อยู่ที่ริมระเบียงพลางเฝ้าระลึงถึงสิ่งสวยงามสองสิ่งที่งามละม้ายจันทร์ลอยเด่นนั้น แต่แล้วเมื่อวูบหนึ่งของลมหวานพัดเข้ามามันก็เหมือนแทรกลึกเข้ากลางใจและฝังแน่นอยู่ในนั้น เมื่อเขาระลึกได้ว่าเขาอาจจะลืมได้ ว่าวงหน้าขาวเนียนนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไร แน่นอนว่างดงามราวดวงจันทร์แน่นอนว่าขณะนี้ยังจำได้หากแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาจะยังจำได้ไหมว่าตนเองเฝ้าฝันถึงใครอยู่ร่ำไป

มันเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายนั้นจะลืมว่าเขาหน้าตาเป็นเช่นไร ลืมไปเสียให้หมดที่เกี่ยวกับฟารันถ้ามันทรมาณใจเขาก็ยินดีที่จะให้ลืม ลืมเสียให้หมดจนจำไม่ได้ไปเลยก็ดีว่ามีเขาอยู่บนโลก แต่ตัวเขานั้นไม่อยากลืมมันมีเหตุผลมากมายที่เขาไม่อยากลืมเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งเมื่อพบแล้วว่าเป็นเทพจริง ก็ยิ่งลืมไม่ได้ ไม่อาจลืมได้จากทั้งหมดของชีวิตที่เขาเติบโตมากับการสวดขอพรจากเทพองค์ที่เขาชอบที่สุด เช่นนี้ก็ไม่อาจลืมได้อีกทั้งความรู้สึกที่ซ้อนทับกันระหว่างมนุษย์ที่รักในตัวเองเทพและความรู้สึกรักที่ชายหนุ่มพึงมีแลเต็บไปด้วยแรงปรารถนาอาลัยอาวรณ์และโหยหา

ใช่เขารู้สึกตลอดมาตั้งแต่ก่อนโรเรเนสจะลงมาเป็นมนุษย์ ทุกครั้งที่เฝ้ามองเทวรูปองค์ปฐมของเทพแห่งพืชพันธุ์เขาก็รู้สึกปรารถนามาแต่เก่าก่อนแล้ว มันไม่ใช่สิ่งดีหรอกที่มนุษย์จะบังอาจหลงรักเทพหรือมีแรงปรารถนาต่อองค์เทพแต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรกับความรู้สึกตัวเองได้ จนเมื่อโรเรเนสลงมาเป็นมนุษย์มันก็เหมือนความฝันบ้าคลั่งที่ลงมาเป็นความจริง ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ทุกครั้งที่ได้พิสมองวงหน้าไร้ที่ตินั่น มันเหมือนเขาอยู่ในช่วงกึ่งจริงกึ่งฝันเหมือนเสียสติไปและเหมือนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทั้งสับสนและทรมาณแลฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อนอยู่ภายใน เขาหลงไปลุ่มหลงอย่างไม่อาจทอดถอนใจและสติทั้งปวง

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ตัวและไม่อาจยอมรับ ทั้งตอนก่อนและหลังเด็กหนุ่มได้ลงมายังโลก แต่ยามนี้นั้นชัดเจนว่าเขารู้สึกอย่างไรกับตาหวานเศร้านั่น แต่นั่นก็ไม่ทันแล้วไม่อาจทำอะไรได้แล้วมารู้ตัวแลระลึกถึงการกระทำของตนได้ในยามนี้ก็สายเกินไป

 เขาทำทุกอย่างพังไปแล้ว มันไม่อาจหวนคืนมาได้ตั้งแต่ตอนที่เขาจับอีกฝ่ายโยนขึ้นเตียง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นตัวเอง เขารู้ว่าโดนบังคับเช่นนั้นเป็นอย่างไร อดีตของเขาไม่หอมหวานแต่กระนั้นเขาก็ยังทำแบบนั้นกับคนอื่นทั้งที่เขาควรเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่จะอยากทำเรื่องแบบนั้น ทั้งที่เขารู้ดีทั้งที่ตัวเองก็... แต่ก็เหมือนลืมไปแล้วทั้งที่ไม่ควรลืมและควรระลึกไว้เสมอว่าอย่าทำแบบนั้นกับใคร แต่ก็พลาดไปเสียแล้วสมควรและสมน้ำหน้า


อยากเจอ อยากเห็นหน้าอีก นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนทุกครั้งที่เขาเศร้าใจหรือปวดร้าวอันใดเขาจะเข้าไปยังวิหารเพื่อเฝ้ามองเทวรูปองค์ปฐมของโรเรเนสเสียให้ชื่นใจแล้วทุกปัญหาก็พลันมลายไปในช่วงสั้นๆ แต่ยามนี้เทพเจ้ารูปงามองค์นั้นมาอยู่ใกล้เพียงไม่กี่เมตร มาพร้อมเนื้อหนังและลมหายใจแต่ไม่อาจพบกันได้เลยไม่อาจพิศดูวงหน้านั้นได้อีก เขาจะหลีกหนีความทรมาณใจนี้ไปในที่แห่งไหนได้อีกเล่าในเมื่อสิ่งเดียวที่ทำให้เขาคลายโศกได้นั้นเป้นสิ่งเดียวกันที่ทำให้เขาเจ็บ

เหม่อมอง ฟ้ายังเปื้อนด้วยผืนดาวระยิบระยับร่าเริงอย่างไม่สนใจว่าจะเกิดเหตุใดใดบนโลกนี้เลย ดาวไม่เคยรู้และคงไม่อาจรับรู้ องค์ราห์โอหันหลังให้กับท้องฟ้าแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่างมันเล็กน้อยแต่ก็ยากจะตัดสินใจตาคมเข้มแฝงแววเศร้าหมองทรมาณมองต่ำลงพื้นก่อนจะออกย่างเดินจากห้องตนเองไป



          มันเป็นเวลาดึกแล้วในตอนนี้และหนุ่มหน้าสวยคนนั้นก็คงหลับฝันไปนานแล้ว ซึ่งก็จริงในตอนที่เขาค่อยๆย่างเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสียงลมหายใจยังดังแผ่วสลับกับเสียงลมโชยหวิวแสงจันทร์ผ่องยังคงฉาบทับร่างขาวเนียนนั้นอย่างเคย

เขาเดินย่างเข้าไปใกล้แล้วยืนนิ่งมองผู้ที่หลับไหลอย่างสงบ เพียงแค่มองเท่านั้นพิศมองให้ละเอียดในทุกส่วน เหมือนไม่ได้เห็นมานานแล้ว ใบหน้ายามหลับนั้นแลดูผ่อนคลายและสงบนิ่ง นี่คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขาจะได้เห็นโรเรเนสในระยะใกล้เช่นนี้โดยไม่ทำให้เขาร้องไห้ไปเสียก่อน อกกระเพื่อมน้อยๆตามจังหวะลมหายใจที่คอนั่นยังมีแผลเป็นจากรอยดาบอยู่ ริมฝีปากนั้นยังคงระเรื่อเหมือนกลีบไม้ดอก แพขนตานั้นปิดสนิทเรือนผมสีม่วงอ่อนกระจายตัวน้อยๆบนหมอนนุ่ม งามสว่างสะท้อนแสงจันทร์และเห็นแล้วก็เย็นใจเป็นที่สุด

อยากจะบันทึกภาพนี้ไว้หากเป็นได้อยากให้เวลาทั้งหมดหยุดอยู่แต่เพียงเท่านี้แล้วจำไว้ให้ได้มากที่สุดทุกรายละเอียดที่คงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นเช่นนี้อีก เหมือนดั่งกุหลาบจันทราที่งามเหลือคณาแต่กลับให้เห็นกันได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เหมือนหีบสมบัติล้ำค่าที่แม้จะกอดไว้แนบตัวก็ไม่อาจรู้ได้ว่าข้างในบรรจุอะไรด้วยกุญแจที่จะไขหีบนั้นได้หล่นหายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงเท่านี้ เพียงแค่มอง แอบมองอย่างไร้ตัวตน อย่าตื่นเลยอย่าตื่นขอเวลาอีกซักหน่อยเถิด ขอเวลา....

ร่างขาวผ่องนั่นขยับตัวเล็กน้อย เขาบิดขี้เกียจนิดหน่อยแล้วเปลี่ยนท่านอนก่อนจะค่อยๆกระพริบตาช้าๆแล้วก็ลืมตาขึ้น

เขาลุกนั่งและมองไปรอบๆ

......ไม่มีใครอยู่ที่นั่น

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

หายไปนานแต่ไม่หายไปเลยน้าคะ ตอนนี้ชีวิตดราม่ามากๆต้องขออภัยที่ลงฟิคช้าแล้วอาจมีแบบนี้อีกในช่วงนี้ต้องขอโทษจริงๆค่ะ แต่ยังพยายามหาเวลาเขียนอยู่นะคะ ขอบคุณทุกคนที่ยังมาอ่านกันนะคะ ขอบคุณมากๆเลย  :sad4:
 
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 06-04-2015 22:08:58
รอค่าาาาาา รอครึ่งหลังนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 06-04-2015 22:23:55
ฟารันเคยโดนเหรอถึงบอกว่ารู้อ่ะ 5555 ขำๆนรอจ้ารอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Deery ที่ 06-04-2015 22:54:12
อ๊าก เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 06-04-2015 23:14:34
 :เฮ้อ: พระนางที่น่าสงสาร สู้ๆ นะคะ รออ่านอีกครึ่งหลังอยู่น้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 06-04-2015 23:33:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 07-04-2015 01:14:40
เป็นกำลังใจให้นะค้า
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 07-04-2015 02:23:32
อึดอัดจัง o22
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 07-04-2015 03:23:00
มันเศร้าดีแท้ เอาเป็นว่า ถ้าไม่พบเจอความความโศกเศร้า เราจะไม่รู้เลยว่า ความสุขมันหอมหวาน อบอุ่น ละมุนละไม มากขนาดไหน

สู้ๆๆๆ นะ คนเขียน o13 o13
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 07-04-2015 03:55:27
เย่ๆ มาต่อแล้ว
รอครึ่งหลังนะคะ

อึดอัดแทนสองคนนี้เลยอ่ะ ฮือออ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 07-04-2015 07:04:56
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 07-04-2015 07:58:09
ดีใจ คนแต่งมาอัพต่อแล้ว :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 07-04-2015 08:03:41
คิดถึงมากๆเลยยยยย  :really2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 07-04-2015 08:07:45
เหมือนรำพึงรำพัน จะผ่านช่วงนี้ตอนไหน ยังไม่มีความคืยหน้าของเนื้อเรื่องเลยครับ เมื่อไหร่จะจับตัวคนผิดมาลงโทษได้อะครับคาแต่ง คนแต่งก็สู้ๆนะครับ รอเสมอครับ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: pasallatel ที่ 09-04-2015 00:16:25
อยากอ่านต่อ  :m16:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 14-04-2015 00:46:32
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 18-04-2015 21:51:19
คนเขียนหายไปไหนนน คิดถึงๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 50% 6/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 26-04-2015 20:01:46
คิดถึงจังเลยย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 27-04-2015 00:45:15
         
            จู่ๆเขาก็หยุดมือที่กำลังกอบกำดินร่วนเนื้อละเอียดนั้นเสียแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองนั่งเหม่ออยู่แบบนั้น โรเรเนสกำลังคิดว่าลางสังหรณ์ของเขาน่าจะถูก อีกไม่นานเขาต้องเตรียมตัวต่อการมาถึงของบุรุษที่เขาเลี่ยงการพบเจอมานาน

มีคืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อนเขาตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความรู้สึกประหลาดเหมือนมีใครกำลังจ้องมอง แต่เมื่อมองสำรวจแลออกเสียงเรียกไปทั่วก็ไม่พบจริงๆว่าจะมีผู้ใดอยู่ร่วมห้องกับเขา กระนั้นก็เถิดเขาก็ยังมั่นใจว่าฟารันนั้นมาหาเขาที่ห้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรดลใจทำให้เขาคิดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกได้แบบนั้นจริง หลังจากนั้นเมื่อล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลันหลับฝันไปถึงความทรงจำบางอย่างที่เขาลืมเลือนไปแล้ว กับการมาเยือนของเด็กน้อยที่เฝ้ามองเขาวันแล้ววันเล่าพลางซบแก้มใสลงบนต้นขาหินอ่อนอันเย็นเฉียบของเทวรูป

แล้วเมื่อตื่นเขาก็คิดขึ้นได้ว่าควรจะสะสางความสัมพันธ์คาราคาซังนี้ซะ มันควรจะเรียบง่ายและจบสิ้นไปเสียมิให้เหลือเยื่อใยแห่งความหวังใดๆที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่ามันยังมีอยู่ ก็จนเมื่อเช้าวานนี้เขาก็เดินเข้าไปหาลากลอซและพูดไปอย่างเรียบง่ายว่าเขาต้องการพูดคุยกับองค์ราห์โอถึงเรื่องทุกอย่างในอดีต ปัจจุบันและอนาคตที่ระหว่างพวกเขามันควรจะเป็นไป แม้จะผิดธรรมเนียมไปเสียหน่อยที่จะเรียกให้กษัตริย์มาหาแทนที่ข้าราชการในระดับเขาจะต้องเป็นคนไปเข้าเฝ้าเอง แต่แน่นอนว่าสำหรับความรู้สึกที่เขามีต่ออีก่ายทำให้มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับชายผู้นั้น จึงได้ฝากบอกไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าอยากจะมาคุยหรือไม่ก็ได้

เขาไม่อาจล่วงรู้ได้หรอกว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทิ้งเวลาเป็นวันกว่าจะหาโอกาสมาพบเขาได้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้นและได้แต่ทำงานไปเรื่อยๆจนความรู้สึกว่าตนกำลังจะได้พบคนๆนั้นมันเกิดขึ้น

องค์ราห์โอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยากคุยด้วย แน่นอนว่าเขารู้สึกดีใจที่โอกาสจะปรับความเข้าใจนั้นมาถึงแล้วแต่ความกังวลกับคำตอบที่จะได้รับกลับมานั้นยังวนเวียน ความกระวนกระวายนั้นสุมอกมาตั้งแต่เมื่อวานท่ามกลางความวุ่นวายของภาระ ยามนี้เขาก็กำลังสาวเท้าอย่างหนักแน่นเดินตรงไปยังโถงทางเดินที่เชื่อมไปยังสวนและพยายามอย่างที่สุดที่จะระงับสติอารมณ์ของตนไว้เมื่อยามก้าวเข้าไปในเรือนกระจกนั้น แล้วยิ่งต้องข่มความรู้สึกมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเดินย่างเข้าไปใกล้แผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังวางกล้าต้นน้อยลงดิน

โรเรเนสนั่งอยู่เช่นนั้นกับชุดฝ้ายสีหม่นและผ้ากันเปื้อนเนื้อเดียวกัน ผมสีม่วงอ่อนของเขาถักเป็นเปียหลวมๆยาวไปถึงกลางหลังต้นคอสีขาวเนียนนั้นมองดูจากด้านหลังไม่อาจเห็นรอยแผลเป็นจากคมดาบได้แต่เมื่อเอนเอียงเมียงมองไปซ้ายทีขวาทียามทำงานก็เห็นได้บ้างกับซีกหน้าที่ผุดผาดและบางส่วนของรอยแผลที่ยังชัดเจนอยู่

“ลากลอสบอกว่าเจ้าอยากคุยกับข้า” 

มือเรียวผละออกจากงานที่ทำ เขาไม่แสดงอาการแปลกใจใดๆกับการมาเยือนและไม่แม้จะหันไปมอง
“ใช่แล้ว”

ฟารันกัดปากตัวเองแน่นเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้พร้อมทั้งเรียกขึ้นด้วยสุ้มเสียงเจือเศร้า
“โรเรเนส ข้า...”

“อย่าเข้ามา”

“.............”

“อภัยข้าด้วยหากต้องสนทนากับท่านอย่างไม่สมเกียรติ แต่ถ้าเราอยากจะพูดคุยกันอย่างจริงจังโปรดจงอยู่ในจุดที่ท่านยืนนั้นเถิด”

เขาหยุดยืนตามคำห้ามก่อนจะพยายามอีกครั้งแล้วเป็นฝ่ายเริ่มพูด
“ข้าขอโทษ”

“.............”

“ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพราะความเขลาของข้า เป็นความผิดของข้า ข้าขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ข้าทำลงไป ขอโทษสำหรับความไม่เชื่อใจ การเอาแต่ใจและทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าได้พลาดไป ข้า...”

ผู้ที่นั่งหันหลังยังนิ่งไม่มีเสียงตอบและคาดไม่ได้ว่ากำลังคิดหรือรู้สึกเช่นไรอยู่

“ให้โอกาสข้าเถอะ อภัยให้ข้าด้วย”

หน้าสวยหลุบตาลงต่ำ เขาทิ้งช่วงไปปล่อยให้อีกฝ่ายเฝ้ารออยู่พักหนึ่ง
“ท่านจะบอกว่าท่านเชื่อแล้วว่าข้าเป็นเทพ?”

องค์ราห์โอนิ่งงันไป คำพูดและคำเตือนของท่านหมอฝุดขึ้นในกระแสสำนึกของเขา
“ข้าบอกได้เพียงแค่ทั้งหมดที่ข้าทำได้นี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าและดีที่สุดสำหรับท่านหมอ”

“ท่านส่งเขาไปอยู่ที่อื่น!” เด็กหนุ่มกล่าเสียงเครือเขาเบี่ยงหน้ามาเล็กน้อยพอให้เห็นหางตาที่รื้นน้ำนั้น

“ถ้าท่านคิดว่าเพียงการไว้ชีวิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและปราณีที่สุดท่านก็เข้าใจผิดแล้ว เหตุผลเดียวที่ข้ายังอยู่นั่นคือต้องการทวงคืนความยุติธรรมให้ท่านหมอนั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องการที่สุด...ไม่ใช่การดูแลจากท่านหรือคำขอโทษของท่าน”

“มันมีหลายสิ่งที่เจ้ายังไม่อาจล่วงรู้และเข้าใจได้ โรเรเนสตอนนี้ข้าตาสว่างแล้วสัญญาว่าข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ข้าบอกได้แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้สิ่งที่เป็นอยู่มันคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ”

“นั่นก็ตามแต่ท่านจะตัดสินใจเถอะ ข้าก็เป็นแค่คนสวนไม่ใช่หรือ”

“ยกโทษให้ข้าเถอะนะ ขอให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีกซักครั้งเถอะ”

เทพหนุ่มเกศม่วงเงียบไปอีกครั้ง คราวนี้ทิ้งช่วงนานกว่าเดิมจนฟารันเกือบจะเอ่ยปากถามซ้ำอีกรอบแต่แล้วก็ชะงักไปเพราะผู้ถูกถามลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเดินห่างออกไป ท่ามกลางหมู่มวลพรรณพืชที่ค่อยๆเริ่มแตกยอดอ่อนบ้างเป็นพุ่มบ้างเป็นต้น
 
“ราห์โอข้าจะดูแลสวนของท่านให้ดีที่สุด”

เขากล่าวขณะก้าวย่างข้ามสะพานเล็กๆที่สร้างอยู่เหนือลำธารประดิษฐ์นั้นไปอีกฝั่ง

“ในยามนี้มีไม้ดอกหลายพันธุ์ในสวนแห่งนี้กำลังค่อยๆเบ่งบานตามใจปรารถนาของท่านและข้าจะพยายามกับอีกมากมายในนี้ที่ยังไม่ยอมออกดอก”

เขาเดินเลี้ยวเข้าไปยังใต้ต้นไม้ขนาดกลางๆต้นหนึ่งก่อนจะหันกลับมาทว่าก็ยังมิอาจมองเห็นกันและกันได้ด้วยแมกไม้ที่แผ่กิ่งนั้นบดบังหน้างามและคราบน้ำตายาดใสนั้นอยู่

“เว้นเสียแต่ต้นอนาไลต้นนี้ ที่จะบานเพียงสามปีครั้งในช่วงฤดูเหมันต์เท่านั้นและช่วงเวลานั้นไปผ่านพ้นไปแล้วต่อให้พยายามแค่ไหนหรือเรียกร้องมากเพียงใดนางก็ไม่อาจผลิบานดอกงามใดๆให้ได้ยลโฉม ทุกสิ่งทุกอย่างมีช่วงเวลาเหมาะสมของมันแล้วเมื่อมันได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ไม่อาจหวนคืนได้”

เสียงธารน้ำนั้นไหลรินแม้นจะแผ่นเบาแต่ก็ยังฟังชัดท่ามกลางเสียงซ่าของน้ำตกกระจกที่ครอบอยู่รอบด้าน ริมฝีปากระเรือนั้นเรียบสนิทสีของมันเด่นชัดอยู่ระหว่างสีเขียวๆของใบไม้ นั่นคือทั้งหมดที่ฟารันจะมองเห็นได้ เขาไม่อาจรับรู้ความรู้สึกใดๆผ่านสีหน้าของอีกฝ่ายทำได้แต่เพียงจ้องมองริมฝีปากงามนั้นและเฝ้ารอให้มันขยับเอื้อนเอ่ยออกมา

“ข้าสามารถยกโทษให้ท่านได้แต่ข้าไม่สามารถจะรู้สึกดีกับท่านได้ สิ่งที่ข้าต้องการบอกแก่ท่านก็คือข้าอยากให้ท่านเลิกคิดเสียทีว่าทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ช่วงเวลาผลิบานของอนาไลได้ผ่านไปแล้วท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้าหรือขอขมาใดๆแก่ข้า หากต้องการให้ข้ายกโทษให้ข้าก็ทำให้ได้แต่หากท่านต้องการความรู้สึกที่ข้าเคยมีให้นั่นคงเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีช่วงเวลาของมันเมื่อมันหมดไปแล้วก็เท่านั้นมันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจฝืนได้ หัวใจก็เช่นกัน”

“จะให้ข้าทำเช่นไร....ความทรมาณที่ข้ามีนี้ยังไม่พอจะชดใช้กระนั้นรึหากเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้มากกว่านี้ข้าก็ยอมเพียงแค่บอกมาว่าทำอย่างไรเราถึงจะกลับมาดีกันได้อีก”

“ข้าไม่รู้หรอก นี่มันเหนือเกินไปกว่าที่สิ่งใดในจักรวาลจะทำได้ ความคิดนั้นอาจพอจะจัดการได้จะขอให้ข้าคิดให้อภัยท่านั้นย่อมทำได้ แต่ความรู้สึกของคนนั้นไม่อาจจัดการได้ข้าจึงไม่สามารถรู้สึกดีกับท่านเหมือนเช่นที่ผ่านมาได้และข้าก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับในเรื่องของจิตใจนี้”

เขาขยับตัวเล็กน้อยแล้วเดินหายไปหลังลำต้นครานี้ก็ไม่อาจมองเห็นได้แม้ปลายเส้นผมเหลือเพียงเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนเป็นต้นอนาไลนั่นเองที่เป็นคนพูด

“ข้าเป็นเทพอยู่มาหลายพันปียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบังคับจิตใจคนได้อย่างไร การที่ท่านขอให้ข้ากลับไปรู้สึกกับท่านดั่งเช่นแต่เก่าก่อนนั้นข้าก็จนปัญญาเพราะแม้นใจข้าเองข้าก็สั่งมันไม่ได้”

“......โรเรเนส”

“ข้าเป็นเทพข้ายังทำไม่ได้แต่ถ้าท่านคิดว่าราห์โอทำได้ก็ทำ ข้าก็ขอให้ท่านเริ่มจากจิตใจของท่านก่อน....ทำให้มันไม่รู้สึกอะไรเช่นที่ข้าไม่รู้สึกแล้วกับท่าน”

บาดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจความเจ็บหน่วงนั้นหนักแน่นจนเขาพูดไม่ออก ฟารันนิ่งงันไร้สุ้มเสียงความรู้สึกนั้นถาโถมท่วมท้นขึ้นมาจนจุกแลพลันก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างตีบตันอยู่ในลำคอ เขากัดฟันแน่นเหมือนพยายามให้ทั้งหมดที่รื้นขึ้นในใจนั้นกลับย้อนลงไป เขาค่อยๆหายใจลึกๆก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ

“ข้าเข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มันสั่น
ตาเศร้าคู่งามค่อยๆเคลื่อนออกจากเงาไม้เขามองลอดใบไม้หนาทึบนั้นออกไปเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆใบหน้าหล่อคมสันนั้นดูทรมาณจนยากจะปิดมิด ตาคมนั้นหลุบลงมองต่ำจนปอยผมสีเข้มนั้นหล่นลงมาปรกหน้าในบางส่วน
นี่เป็นส่วนที่ยากที่สุดแต่เขาต้องทำ

โรเรเนสเดินออกมาจากแมกไม้นั่นแล้วค่อยๆย่างเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ฟารันมองร่างนั้นด้วยอารมณ์หลายอย่างทั้งโหยหาทั้งเจ็บปวด แววตาอ่อนโยนที่มองมาท้นไปด้วยความเศร้าและคำถาม ทั้งสองไม่ได้เอ่ยอะไรแก่กันจนกระทั่งเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดนิ่งในระยะที่ห่างกันพอตัวแต่ก็ใกล้มากพอที่จะเห็นสีหน้าของทั้งสองฝ่ายได้

“ข้าอาจมองหน้าท่านได้หลังจากนี้ แต่เราก็เพียงแค่ทำงานร่วมกันได้อยู่ร่วมชายคากันได้ เพียงเท่านี้ที่ข้าต้องการในความสัมพันธ์ของเราขอข้าเป็นเพียงแค่คนๆหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่นี่เถอะ”

ฟารันขบริมฝีปากแน่นเขาจ้องลึกลงไปในตาเศร้าคู่นั้นก่อนจะต้องเบือนหนีด้วยทนไม่ได้
“ท่านกลับไปเสียเถิดเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”

“เจ้ารู้อะไรไหม”

“...........”

“แม้นช่วงเวลาของการผลิดอกนั้นผ่านไปแล้วและแม้ไม่ว่าจะต้องรอนานเท่าใด แต่ซักวันหนึ่งอนาไลก็จะต้องผลิดดอกของมันมาอีกครั้ง และข้าก็ยินดีที่จะรอ”

“อย่ารอเลยเพราะถึงแม้จะมีฤดูกาลเป็นตัวกำหนดแต่อนาไลต้นนี้อยู่ผิดที่ผิดทางไม่มีอะไรการันตรีได้ว่ามันจะออกดอกได้ มันมาไกลเหลือเกินจากบ้านเกิดของมันมาสู่ดินที่มันไม่รู้จักสภาพที่มันไม่คุ้นเคยข้าไม่อาจรับประกันได้เลยว่าอีกสามปีหลังจากนี้หรือนานไปกว่านั้นมันจะออกดอกหรือไม่.....ท่านกลับไปเถิดกลับไปใช้ชีวิตของท่านส่วนอนาไลต้นนี้มันก็อยู่ได้อยู่แล้วถึงแม้ไม่มีท่านมีแค่ลำธารสายนี้ให้น้ำมันก็เพียงพอแล้ว”

ฟารันเลื่อนสายตามามองคนตรงหน้า ใบหน้างามนั้นเรียบเฉยแม้จะดูออกว่ามีคราบน้ำตาแต่ก็ชัดเจนในคำพูดของเขานั่นแล้วว่ามันจบเพียงเท่านี้
“ข้าไม่อาจจะล้างความรู้สึกที่มีต่อเจ้าได้แม้นที่ผ่านมาข้าจะทำตัวเช่นนั้น” เจ้าของตาคมนั้นเอ่ยขึ้น “และข้าก็ไม่อาจห้ามให้ตัวเองล้มเลิกความตั้งใจได้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้”

แล้วเขาก็เดินจากมาตามคำขอ หันหลังกลับออกไปจนสิ้นเสียงและไร้เงาของเขานั่นแหละ ตาหวานเศร้านั้นถึงยอมปล่อยน้ำตาออกมา

--------------- ----------------- ------------------
[/color][/b]
อีกวันหนึ่งของแดดจ้าที่ร้อนระอุ ฟารันกำลังสะสางงานอยู่ในห้องทรงงานร่วมกับลากลอสพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับเอกสารมากมายจนเกือบไม่ได้สนใจกองจดหมายที่เพิ่งมาใหม่เลย หากไม่เพราะลากลอสสังเกตุเห็นลายมือที่คุ้นคาประทับอยู่บนซองจดหมายฉบับหนึ่งนั่นแหละ พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าอะไรกำลังจะมาถึง

“ให้ข้าอ่านให้ไหม” ลากลอสถามพลางชูจดหมายฉบับนั้นขึ้น

“อ่านแล้วสรุปให้ข้าฟังก็พอ เนื้อหาจริงๆคงมีอยู่ไม่กี่บรรทัดนอกนั้นก็คงแค่เรื่องไร้สาระของเจ้านั่นอีกตามเคย”
คนสนิทค่อยๆฉีกจดหมายออกอ่าน ในนั้นมีจำนวนแผ่นกระดาษอยู่4-5แผ่นแต่เขาก็แค่กวาดตาไปมามากกว่าที่จะอ่านโดยละเอียดเพราะเป็นเช่นที่ราห์โอกล่าวว่าบุคคลผู้นี้มีน้ำมากกว่าเนื้อในใจความจดหมาย  ซึ่งอันที่จริงนั่นก็เป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว จนกระทั่งได้พบกับข้อความทิ้งท้ายที่เป็นใจความจริงๆของทั้งหมดเขาจึงเงยหน้าขึ้นมา

“สรุปได้ว่าเขามาถึงแล้ว”

“อะไรนะ” ราห์โอวางปากกาขนนกลงแล้วหันไปมองอย่างอึ้งๆ

“จดหมายนี้ถูกส่งมาจากนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เช่นนี้เขาก็คงมาถึงในวังนี้แล้วตอนนี้”  กษัตริย์หนุ่มเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ทำอะไรปุบปับตามใจแบบนี้ทุกทีสินะเจ้านั่นน่ะ”

“ก็ควรที่เขาจะมาอยู่หรอกก็ท่านเล่นส่งอาจารย์ของเขาไปนอกประเทศเสียนี่ เขารู้เรื่องทั้งหมดรึยังละ”

“ถ้าจะรู้ก็คงรู้จากเจ้าที่แอบบอกเขาไปนั่นแหละ”

“จะทรงไปรับเขาไหมฝ่าบาท”

“เจ้าก็ไปรับสิสนิทกันดีไม่ใช่หรอ”

“ไม่ล่ะ น่ากลัวจะตาย”

“ถ้างั้นก็ช่างมัน ถ้ามันอยากเจอข้าเดี๋ยวก็มาหาข้าเองแหละ เอาจดหมายอื่นส่งมาให้ข้าที”

ราห์โอลงมืออ่านจดหมายฉบับอื่นและสะสางงานต่อไป เขาไม่ได้พูดถึงเจ้าของจดหมายฉบับแรกอีกแม้จะยังรำคาญใจเกี่ยวกับเรื่องที่รับรู้ไปเมื่อครู่ก็ตาม คงมีแต่ลากลอสที่เหมือนจะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

-----------      --------------         -------------------
[/color][/b]

เป็นอีกวันในสวนกระจกที่หนุ่มเกศม่วงนั้นต้องทำงาน ด้วยพืชพันธุ์ในส่วนอื่นนั้นยังพอให้คนอื่นดูแลได้เพราะเป็นไม้ในเขตร้อนเว้นแต่ในสวนนี้ที่เป็นไม้เขตหนาวจึงต้องรับการดูแลเป็นพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญระดับองค์เทพกันเลยทีเดียวอย่างเช่นเขาเพื่อจะให้พวกมันผลิดอกออกผลกันได้บ้าง

โรเรเนสได้ขอให้มีเรือนหลังเล็กอีกหลังสร้างเป็นกระท่อมอยู่ในสวนแห่งนี้เพื่อเพาะกล้าอ่อนของเมล็ดพันธุ์ต่างถิ่น ในขณะที่เขากำลังตั้งอกตั้งใจหอบเจ้าต้นไม้น้อยๆนั้นออกมาลงดินที่ขุดเตรียมไว้เสียงบานประตูก็ดังขึ้น ตอนแรกนั้นเขาแอบตกใจอยู่เหมือนกันเพราะสวนแห่งนี้มีเพียงคนที่ฟารันอนาญาติเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ฉะนั้นวูบแรกเขาก็คิดไปว่าฟารันจะมาหา แต่เมื่อเงยหน้ามามองก็พบว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ยิ้มละไมเข้ามา

บุรุษผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวพอดีตัวคล้ายคลึงกับชุดประจำตำแหน่งที่โรเรเนสได้ แต่ต่างกันตรงเนื้อผ้าของชายผู้นี้ดูเหมือนเป็นผ้าฝ้ายที่ใส่สบายกว่ามาก หน้าตานั้นหล่อเหลาจมูกโด่งสันเป็นตาคมคู่นั้นทอประกายอันอ่อนโยนส่งมาที่เขา เรือนผมนั้นเป็นสีดำขลับแต่ดูเรียบร้อยดูดีด้วยเส้นผมละเอียดเล็ก แต่ลักษณะเด่นอีกอย่างที่น่าจะทำให้ชายคนนี้ดูใจดีเป็นพิเศษก็คงเป็นแว่นตาใสกรอบบางที่เขาสวมใส่อยู่

“ท่านคงเป็นโรเรเนสใช่ไหม?”  รอยยิ้มอบอุ่นนั้นดูดีเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นคนแปลกหน้าเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกไว้ใจได้เพราะท่าทางที่สุภาพของเขา

“ใช่ ยินดีที่ได้รู้จักท่านคือ...”

“ตัวข้านี้เป็นหมอมาใหม่จะและเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอชัคบา หลังจากนี้ข้าคงจะได้มาเป็นหมอหลวงของที่นี่โปรดเรียกข้าว่าหมอโฮอย่างที่คนอื่นเขาเรียกกันเถิด”

รูปร่างน่าตาดูดีสมส่วน ค่อนข้างน่าทึ่งว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งหมอหลวงอันเป็นตำแหน่งสำคัญของผู้ทรงปัญญาจะเป็นคนที่ดูเด็กขนาดนี้ จะว่าไปบุรุษผู้นี้น่าจะแกกว่าอายุ(กายมนุษย์)ของโรเรเนสเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

“หมอโฮ” เด็กหนุ่มเรียกตามอย่างไม่ขัดเขินเขายิ้มตอบให้อย่างน่ารักและพอใจที่จะจ้องมองเข้าไปในแววตาลึกอุ่นสีฟ้าใสที่อยู่หลังกรอบแว่นนั้นไม่ได้

“ข้าจำเป็นต้องสานต่องานของท่านอาจารย์ สำหรับการสร้างความคุ้นเคยนี้พวกเราจะเดินคุยกันไปได้ไหม” หน้างามพยักหน้าตอบน้อยๆก่อนจะย่างก้าวไปพร้อมกับอีกคน

“งานของหมอหลวงตามปรกติแล้วจะต้องดูแลแต่เพียงสมาชิกของราชวงศ์เท่านั้น หากแต่ท่านอาจารย์ได้รวมท่านไว้ในรายชื่อคนไข้ของเขาด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับตัวท่านเท่าที่ข้าทราบก็เพียงแค่ท่านเป็นชายความจำเสื่อมจากโอเรนเดลเท่านั้น นอกนั้นข้าก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรอีก อาจารย์เพียงแต่บอกข้าว่าหากข้าได้ตรวจร่างกายของท่านก็จะได้รู้ในสิ่งเดียวกับที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ ในจุดนี้ขอข้าถามท่านหน่อยได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วท่านเป็นใครและป่วยเป็นอะไร”

“นั่นสิข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าป่วยเป็นอะไร แต่ถ้าถามคนแถวนี้นอกจากเขาจะตอบกันว่าข้าความจำเสื่อมยังจะพูดอีกว่าข้านั้นสติฟั่นเฟือนเพราะหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นเทพ”

คราวนี้หมอหนุ่มหยุดชะงักแลมองมายังคู่สนทนาอย่างสงสัยเจือสงสารเล็กน้อย
“เป็นจริงอย่างที่ท่านอาจารย์บอกจริงๆด้วย”

“อะไรหรือ”

“ว่าเจ้านั้นเคยโดนรังแกใช่หรือไม่”  หมอหนุ่มจ้องมองด้วยแววตาอ่อนโยนจนผู้ถูกมองรู้สึกประหลาด โรเรเนสหลุบตาลงต่ำเขารู้สึกว่าหมอคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขาคุ้ยเคยอย่างประหลาดและพาลให้นึกถึงคนบางคนที่เคยมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้เช่นกัน ต่างกันตรงที่ท่านหมอคนใหม่ดูใจดีกว่ากันมากมายยิ่งนัก

“ไม่หรอก เรื่องมันผ่านไปแล้วและตอนนี้ข้าสบายดีไม่ได้ป่วยไข้อะไร ถ้าไม่นับเรื่องความทรงจำของข้าตัวข้านี้ก็สุขสบายดี”

“เช่นนั้นหรอกรึ แต่สีหน้าเจ้าไม่สู้ดีเลยนะ ให้ข้าตรวจหน่อยได้ไหม”  โดยเจ้าตัวยังไม่อนุญาติหมอหนุ่มก็จับข้อมืออีกฝายมาวัดชีพจร การสัมผัสตัวอย่างกระทันหันนั้นทำให้เด็กหนุ่มตกใจอยู่เหมือนกันแต่พอเห็นท่าที่จริงจังของหมอก็รู้สึกคลายใจเพราะเข้าใจได้ว่าฝ่ายนั้นคงแค่ทำตามหน้าที่ของตนเองจริงๆ

“เจ้ารู้ไหมร่างกายกับจิตใจคนเราเชื่อมถึงกันนะ ข้าบอกได้ว่าร่างกายเจ้านั้นแข็งแรงดีก็จริงแต่กระนั้นมันก็ยังบอกได้ว่าความทุกข์ที่อยู่ในใจเจ้านั้นมีมากจนจับได้แม้ดูด้วยตา”  เขาปล่อยข้อมือขาวนั้นแล้วจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

“คงจะเป็นคนที่ใจร้ายน่าดูถึงข่มเหงจิตใจคนที่น่ารักเช่นเจ้าได้”

“มะ ไม่หรอกท่านอย่างกล่าวแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันเลย” เด็กหนุ่มเกิดอาการขวยขึ้นเมื่อถูกชม เขาอมยิ้มน้อยๆเหมือนจะขำขัน อีกฝ่ายนั้นก็เห็นสนุกด้วยเลยหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดต่อ

“หะๆๆ อภัยข้าเถอะ เจ้าคงรู้สึกขนลุกน่าดูล่ะสิข้าไม่ได้มีเจตนาจะเกี้ยวเจ้าหรอกนะ ข้าก็แค่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้น”

“ไม่หรอก ข้าแค่ไม่คิดว่าจะเจอผู้ชายด้วยกันพูดหวานใส่แบบนี้บ่อยๆ”

“บ่อยๆงั้นรึ มีชายที่ไหนเกี้ยวเจ้าบ่อยหรือไร”

คราวนี้ยิ้มละไมของหนุ่มเกศม่วงนั้นจางลงด้วยความทรงจำอันหอมหวานที่เขาเคยมีกับคนบางคนที่เคยอ่อนโยนและใจดีได้หวนขึ้นมา หมอโฮรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเศร้านั้นจึงถามต่อไป

“ข้าถามได้ไหม ว่าเขาคือคนที่รังแกเจ้างั้นหรือ”

ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ หมอหนุ่มจึงเลื่อนสายตาลงมามองที่ต้นคอขาวที่ประทับรอยจางๆของคมดาบเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปแตะแผลเป็นนั้นอย่างแผ่วเบา ร่างขาวสะดุ้งน้อยๆแต่ก็ไม่ได้หนีมือ

“เขาทำกับเจ้าขนาดนี้เลยรึ”

แพขนตากระพริบช้าๆ ก่อนตาหวานเศร้านั้นจะช้อนมองสบตากับอีกฝ่าย พวกเขาจ้องมองกันอยู่ในระยะใกล้จนกระทั่งมีแขกมาเยือน

“นั่นปะไร!กะแล้วเชียว ดีนะที่ข้าไม่ได้เอาจดหมายนั่นให้ฝ่าบาททรงอ่านเอง” ลากลอสโพล่งขึ้นมาขณะสาวเท้าเข้ามาในห้อง

“ลากลอส!” หมอหนุ่มร้องขึ้นอย่างดีใจเขาผละมือจากหนุ่มตาหวานนั่นแล้วพุ่งเข้าไปหาผู้มาใหม่ทันที่ก่อนจะโผเข้ากอดสหายที่ไม่เจอกันนานเสียแน่นจนลากลอสต้องร้องโวยวายออกมา

“นะ แน่นไปแล้ว ปล่อย ปล่อยอื้อ อ่อก”

ชายผู้สวมแว่นใสผละออกตามคำขอแต่ยังยิ้มอบอุ่นนุ่มละไมให้ก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้แล้วพูดเสียงนุ่ม
“ลากลอสข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอกับเจ้า เจ้าสบายดีใช่ไหมข้าตอนที่ข้าเป็นหมออยู่ที่ชายแดนที่นั่นกันดารมาก จดหมายเจ้าไม่ค่อยจะมาถึงข้าเลยทั้งที่ข้าเขียนกลับมามากมายแล้วแท้ๆ”

ฝ่ายผู้ถูกถามไม่ได้ดูยินดีหรือรู้สึกดีใจไปด้วยกลับทำสีหน้าเหนื่อยใจและพยายามดึงมือตัวเองออกเหมือนรังเกียจ
“ข้าสบายดี เหมือนเคยๆที่เขียนไปในจดหมายนั่นแหละ ท่านคงได้อ่านบ้างถ้ามันไม่หายไปอย่างที่ท่านกล่าว”

“ในระยะเวลา 2 ปีข้าได้รับจดหมายตอบจากเจ้ามาแค่ 3 ฉบับเท่านั้นทั้งที่ข้าเขียนมาหาเจ้าประมาณ 100 กว่าฉบับได้ ที่เหลือมันคงจะสูญหายระหว่างทางจริงๆ”

“เอ่อ มันไม่ได้หายไปหรอก ข้าเขียนไปแค่นั้นจริงๆ”

“อ่อ” หมอหนุ่มหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่แล้วก็กลับมายิ้มอุ่นให้อีกฝ่ายจนได้ ลากลอสไม่สนใจแต่หันไปมองอีกคนที่อยู่ห่างไปเล็กน้อย

“สวัสดีโรเรเนส เป็นอย่างไรบ้าง”

“ต้นไม้สบายดีข้าก็สบายดี” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ ลากลอสจึงพยักหน้ารับก่อนจะวกกลับมาคุยกับคนตรงหน้า

“ท่านน่าจะไปหาพี่ท่านก่อนนะแล้วถึงค่อยมาที่นี่”

“เห?ท่านหมอโฮมีพี่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยรึ” คราวนี้พ่อคนสวนหน้าสวยก็เดินเข้ามาสมทบแล้วมองหมออย่างสงสัย แต่ลากลอสกลับมีท่าทีรำคาญเสียเต็มประดา

“นี่ท่านยังไม่ได้บอกเขาอีกรึ”

“ก็กำลังจะบอกอยู่ ใช่ข้ามีพี่ชายทำงานอยู่ที่นี่เจ้านั่นบ้างานมากจนข้าคิดว่าต่อให้ข้าไปหาเขาก็คงไม่มีเวลามาสนใจข้าอยู่ดี”

ส่วนท้ายนั้นเขาหันไปตอบกับเด็กหนุ่ม โรเรเนสก็ยังกระตือรือร้นที่จะถามต่อไป
“งั้นหรอดีจังเลย เขาทำงานอะไรล่ะข้ารู้จักไหม”

“เจ้ารู้จักแน่นอน พี่ชายข้ามีนามว่า ฟารันน่ะเจ้าน่าจะเคยได้ยินนะ”

..........
...............
!!!!!!!!

รอยยิ้มน่ารักหายไปจากหน้าสวยทันทีเขาอ้าปากค้างแล้วจ้องมองหมอหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง ลากลอสถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิดก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม

“น่ารำคาญใช่ไหมล่ะ คิดดูสิข้าต้องทนพี่น้องเอาแต่ใจคู่นี้มาตั้งแต่เด็กเลยนะ เอาล่ะโรเรเนสบุรุษผู้นี้ก็คือองค์ชายโฮรัน พระอนุชาลำดับที่ 1 ขององค์ราห์โอ”

องค์ชายยังยิ้มอ่อนให้เด็กหนุ่มที่ยังอึ้งและทำสีหน้าอธิบายยาก
“ขออภัยที่ไม่ได้บอกก่อน หลายปีหลังข้าเป็นหมอบ้านนอกอยู่กับชาวบ้านมานาน ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าข้าเป็นใครข้าจึงติดนิสัยแนะนำแต่ชื่อไม่ระบุต่ำแหน่งแบบนี้มานานแล้ว แต่เจ้าก็ยังเรียกข้าว่าหมอโฮได้แบบเดิมนะข้าชินแบบนั้นเสียมากกว่า”

“ชาวบ้านเรียกว่าหมอโฮ แต่คนในวังเรียกเขาว่าองค์ชายหมอ”

“อะ..องค์ชาย?..หมอ?”  เด็กหนุ่มกล่าวตามก่อนจะเม้มปากเรียบ เขาจ้องมองใบหน้านั้นอีกครั้งก่อนจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้นัก เพราะว่าเป็นพี่น้องกันนี่เองแต่กระนั้นก็ยังต่างกันเหลือเกินกับความอบอุ่นใจดีของผู้เป็นน้อง

ยามนี้เทพหนุ่มไม่แน่ใจว่าเข้าจะรู้สึกอย่างไร ยินดีหรือหนักใจ

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านที่ฮักยิ่ง สบายดีไหมค่ะ หายไปนานๆอีกแล้ว ก็งานสุมเหมือนเดิมล่ะค่ะ คราวนี้นี่มรสุมชีวิตเล็กๆ และยังไม่จบไม่สิ้น แต่ก็หาเวลามาเขียนฟิคได้(ก็เพิ่งจะมีเวลามาเขียนวันนี้) ขอโทษจริงๆนะคะ ยังไม่ได้ไปwsoค่ะยังเขียนอยู่แต่งานเยอะขนาด หวังว่าปิดเทอมจะมาโดยเร็วชีวิตปลายเทอมมันดราม่ามากๆเลยค่ะ

ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 27-04-2015 01:32:13
สู้ๆ นะคะ คนเขียนเราก็เข้าใจเหมือนกันนนน  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 27-04-2015 01:40:39
คนน้องน่ารักกว่าคนพี่อีก
สองคนนั่นก็ยังอึมครึมเหมือนเดิม แถมหนักกว่าเก่าอีก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 27-04-2015 01:58:25
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-04-2015 02:21:01
ภาษาสวยเเละหน่วงมาก TT
ยังดีที่มีน้องชายมาช่วยบรรเทาความหน่วง
เหมือนหมอโฮกับลากอสมี somethink wrong กันด้วย
หรือฉันคิดไปเองคนเดียว 5555


รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 27-04-2015 08:46:56
สมน้ำหน้าฟารันสุดๆๆๆ อ่านไปสะใจไป
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 27-04-2015 10:11:17
คนเป็นน้องนี้ให้อารมณ์แตกต่างจริงๆนั้นแหละ เหมือนจะมีคู่ใหม่เพิ่มมาหนึ่งนะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 27-04-2015 11:49:51
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 27-04-2015 18:04:42
เหมือนว่าฟารันจะมีคู่แข่ง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 02-05-2015 17:42:14
มาต่อแล้วววว กรี๊ดดด
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 05-05-2015 00:11:59
ตอนแรกๆนึกว่าจะเกิดฉากดราม่าหนักซะอีก :mew2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: coolmaoil ที่ 30-05-2015 18:07:10
เปลี่ยนพระเอกทันมั้ย  :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่12 100% 27/4/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 04-06-2015 11:17:49
เราคิดถึงแล้วน้าา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 50% 7/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 07-06-2015 00:34:40
           
        โรเรเนสรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากเมื่อตอนที่องค์ชายโฮรันออกปากว่าอยากให้เขาตามไปยังห้องสมุดที่มีตำราเกี่ยวกับยาและความทรงจำอยู่ เพราะถึงแม้จะเพิ่งพบกันท่านหมอคนใหม่ก็กระตือรือร้นเต็มที่ ที่จะหาข้อมูลเพื่อทำการรักษาให้ได้เร็วที่สุด เด็กหนุ่มจึงยอมผละงานของตนมาชั่วครู่เพื่อตามมาดูว่า ตนนั้นจะพอมีความหวังที่จะเรียกความทรงจำคืนมาหรือไม่ เช่นนี้แล้วทั้งสองรวมทั้งลากลอสจึงเดินกันไปตามทางเดินเพื่อไปที่ห้องสมุด ทว่าเส้นทางที่ต้องไปกลับเริ่มคุ้นตามากขึ้นเรื่อยๆจนท้ายแล้วแทนที่จะได้ไปต่อพวกเขากลับต้องมาหยุดอยู่หน้าห้องทรงงานของราห์โอแทน เห็นเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงส่งเสียงท้วงอย่างร้อนรน

“ไหนท่านบอกว่าจะไปห้องสมุด”

“เจ้าไม่เคยไปดอกรึ มันต้องผ่านห้องทรงงานของท่านพี่อยู่แล้ว เดี๋ยวข้าขอเข้าไปทักทายเขาเสียหน่อย โอ้ออกมาพอดี ท่านพี่!”

ราห์โอเดินออกมาเพราะได้ยินเสียงพูดคุยของคนที่คุ้นเคย พอดีกับเห็นน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนานยิ้มระรื่นเข้ามา หน้าเรียบนิ่งของเขาแปรเป็นหงุดหงิดใจเล็กน้อย
“ไม่เจอกันเสียนานเลยนะท่านพี่สบายดีรึ”

“สบายดี” เขาเหลือบตามองไปยังเด็กหนุ่มด้านหลังแล้วเอ่ยทักทายด้วยสุ้มเสียงที่อ่อนกว่าเดิมเล็กน้อย

“สวัสดีโรเรนส”

“สวัสดีฝ่าบาท” พวงแก้มแดงสบตาเมื่อยามพูดตอบแล้วก็หลุบหนีให้รู้ว่าไม่อยากสนทนาต่อ เจ้าของตาเศร้าแลดูอึดอัดกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันทีและบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองก็อึมครึมอย่างเห็นได้ชัด ชัดมากสำหรับหมอโฮที่หลิ่วตามองทั้งคู่ก่อนจะยกยิ้มอ่อนแต่มีเลศนัย

“ขออภัยหากข้ามารบกวนเวลาของท่านนะ ท่านพี่ท่านคงงานยุ่งอยู่ตลอดเวลากระมัง”

“งานข้าก็มีให้ทำทุกวันนั่นแหละแต่ถ้าเรื่องงานยุ่งนั้นก็แล้วแต่ช่วง”

“นั่นสินะ กำลังง่วนอยู่กับการเนรเทศใครอีกหรือเปล่า”

คราวนี้บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิมไปเสียอีก สองพี่น้องสบตากันนิ่งความกร้าวไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยเว้นเสียแต่คนน้องที่ยังยิ้มละมุนอย่างยียวน

“เรื่องนั้นเราก็คงจะมีเวลาคุยกันอีกยาว แต่ที่ข้าสนใจในตอนนี้คือคนไข้คนใหม่ของข้าน่ะท่านพี่” องค์ชายเอื้อมมือไปคว้าข้อแขนของเด็กหนุ่มแล้วจูงเข้ามาใกล้ตัว โรเรเนสยิ่งออกอาการอึดอัดเข้าไปใหญ่เมื่อต้องมาอยู่ใกล้สองพี่น้องขนาดนี้

“ได้คุยกันแล้วสินะ” ราห์โอเอ่ยเสียงเรียบไม่รู้ว่าถามคนไข้หรือคนเป็นหมอ แต่ก็เป็นองค์ชายที่ตอบกลับไป

“แน่นอน ข้าไปพบเขาที่สวนกระจกของท่านแหละท่านพี่ ดูคร่าวๆแล้ว” หมอหนุ่มเอื้อมมือไปช้อนคางน้อยๆนั่นแล้วสบตาให้อีกฝ่ายขวยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไล้มือไปสัมผัสแผ่วที่แผลบริเวณคอ “เขาเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรงดีแต่มีอะไรต้องตรวจต้องดูอยู่อีกเยอะเลย”

อย่างชัดเจนไม่ปิดบังแววตาริษยาปรากฎชัดในเนตรคมลึกของกษัตริย์หนุ่ม แลที่แทรกตัวอยู่ในม่านดำกร้าวนั้นเป็นความปวดร้าวเสียใจที่ผิวเผินอาจดูเหมือนน้อยใจด้วยซ้ำที่ได้เห็นภาพความสนิทสนมเช่นนั้นตรงหน้า ก็เด็กหนุ่มหน้าสวยไม่ได้มีทีท่าแม้แต่น้อยที่จะขัดขืนการจับต้องของอีกฝ่าย

ด้านองค์ชายหมอนั้นก็ยังสานต่อคำพูดด้วยอารมณ์ดี “ด้วยเพราะท่านอาจารย์ไม่อยู่แล้ว....ด้วยเพราะท่านพี่ส่งเขาไปอยู่เสียไกลแสนไกล เช่นนี้ข้าคงต้องถามท่านพี่เสียหน่อยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้รอยที่คอนี่มาอย่างไรแล้วท่านได้เขามาในวังได้อย่างไร เพราะดูท่าทางแล้วหากข้าถามเจ้าตัวตรงๆเขาคงไม่ใคร่จะบอกข้าโดยง่าย...ด้วยเพราะใครไม่รู้น่าจะทำร้ายจิตใจเขาทำให้ไม่อยากพูดถึงสิ่งที่ข้าถาม”

ฟารันหลุบตาลง คำพูดจี้ใจดำที่น้องชายเขาถนัดนั้นแทงลึกจนรู้สึกผิดซ้ำซ้อนย้ำความพลาดที่เขาได้กระทำ
“ไม่มีข้อมูลการรักษาอยู่ในบันทึกของอาจารย์เจ้าหรือไง”

“ท่านให้บันทึกเขาตอนท่านขังเขาไว้ในคุกไหมเล่า?” องค์ชายเอ่ยสวนด้วยเสียงกระด้างโกรธ ผิดจากเดิมราห์โอกลั้นหายใจนิ่งพยายามระงับอารมณ์ทุกอย่างไว้ ด้วยเพราะในฐานะคนผิดเขาไม่มีสิทธิ์จะโกรธคำพูดของใครทั้งนั้น

“อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับชายคนนี้ก็ถามลากลอซเอาดูเถิด ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว” เขาหลิ่วตามองเด็กหนุ่มฝ่ายนั้นก็สบตาตอบแต่แล้วก็หนีหน้าด้วยอาการเศร้า เช่นนั้นราห์โอจึงหันหลังเดินกลับไปในห้อง

“เจ้าเป็นหมอก็ฝากดูแลเขาด้วยแล้วกัน”

องค์ชายหมอหันไปมองหน้ากับลากลอซ ฝ่ายนั้นก็ยักไหล่ใส่เหมือนว่าก็ไม่เข้าใจราห์โองี่เง่าคนนี้เช่นกัน
“เช่นนั้นเราไปที่ห้องสมุดกันเถอะโรเรเนส เจ้าจะไปด้วยไหมลากลอซ”

“ไม่ล่ะ ข้าคงต้องช่วยงานราห์โอต่อ”

องค์ชายพยักหน้ารับคำแล้วก้มลงมองใบหน้าหวานเศร้านั้นก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“ไปกันเถอะนะ” เขาวางมือลงบนศรีษะนุ่มนั่นอย่างแผ่วเบา ทั้งยังสังเกตได้ว่าคนไข้ของเขาทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ โรเรเนสสูดหายใจเข้าแล้วผ่อนลงช้าๆเขาพยักหน้าขึงขังไล่อาการเศร้าให้จางไป

“ไปกันเถอะท่านหมอโฮ”
     
*********** ***********   ***********
          เสียงน้ำไหลรินลงกระทบผิวน้ำดังชัดเป็นสายเหมือนจับไม่ได้เลยว่ามีจังหวะไหนบ้างที่มันเริ่มสัมผัสกับผืนน้ำ ท่อน้ำที่ส่วนปลายหัวเป็นรูปสิงโตนูนออกมาจากผนังทั้งสามด้านสายน้ำนั้นเทซู่ออกมาอย่างสม่ำเสมอจากทั้งสามทิศแล้วกระเพื่อมเป็นวงซ้อมทับไปมา ห้องอาบน้ำห้องนี้ตบแต่งอย่างหรูหราด้วยเสาหินทรายและเหล่าเครื่องทอง บนเพดานนั้นก็มีลวดลายทาสีสดไว้บอกเล่าถึงการลงเล่นน้ำของเทพบางองค์ ส่วนเสานั้นแจะสลักฐานเป็นรูปกลีบบัวจนงามหยดแล้วก็ยังมิวายถูกฉาบทับด้วยทองแท้ซึ่งสะท้อนแสงกับน้ำให้อร่ามไปทั้งห้อง

หรูหราตามฐานันดรศักดิ์ห้องสรงน้ำส่วนพระองค์ของราห์โอแห่งนี้ถูกสร้างมานานแล้วตั้งแต่รุ่นท่านปู่ทรงบูรณะพระราชวังหลวงแห่งนี้ใหม่เสียหมด ครั้นเมื่อมาถึงรุ่นหลานอย่างฟารัน ก็มีหลายคราอยู่เช่นกันที่เขาคิดจะเลาะทองออกไปทำอย่างอื่นที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากกว่าเอามาห่อเสาหินให้เสียของ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำเพราะยังพอจะมีความเคารพต่อบรรพบุรุษอยู่บ้างและก็ยังใช้งานมันตามปรกติแม้จะเบื่อความหรูหราจนเขาแทบจะรู้สึกว่าไร้รสนิยมสิ้นดีกับห้องอาบน้ำแห่งนี้ ก็ช่วยไม่ได้ท่านปู่นั้นก็มีสนมเสียตั้งร้อยกว่าคน

ห้องอาบน้ำขนาดใหญ่นี้มีแต่ส่วนนั่งเล่นนอนเล่นไม่จำเป็นเต็มไปหมดเพื่อรองรับสนมจำนวนมากที่จะมาลงสรงน้ำเล่นกับท่านปู่ของเขา หน้าตามันจึงออกมาเป็นเช่นนี้แต่พอถึงคราวตัวเขาเองนั้นมันก็เกือบจะเหมือนเป็นห้องน้ำร้างๆไปเลยเมื่อเขามายืนแช่น้ำแต่เพียงผู้เดียว มือแกร่งกวักน้ำลูบไล้กดถูร่างกายไปทั่ว ใบหน้าคมสันเปียกปอนนั้นดูจริงจังแม้นไม่ได้ขบคิดมากความในเรื่องใด

“ใช้สถานที่ไม่คุ้มเสียเลย ท่านพี่ทำไมไม่หาสาวๆมาช่วยอาบน้ำเสียเล่า”  เสียงคุ้นเคยดังแว่วเข้ามาจากทางหนึ่งตามด้วยเสียงหย่อนตัวลงน้ำขององค์ชายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยร่างเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับพี่ชาย ใบหน้าเกลี้ยงเกลายามไร้แว่นตาน่าดูไม่แพ้คนพี่ แต่ผิดกันที่ผิวพรรณที่ออกจะผ่องกว่าเล็กน้อยทั้งที่ออกแดดมากกว่าแท้ๆ ส่วนรูปร่างนั้นหรือก็สันทัดสมบูรณ์น่าดูชมเป็นอย่างมาก

“เรื่องอาบน้ำนั้นข้าไม่เห็นข้อจำเป็นที่จะต้องให้ใครมาช่วย” ฟารันหลิ่วตามองน้องชายที่เดินเคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ

“เว้นเสียก็แต่เจ้าที่ชอบถือวิสาสะไปเสียทุกเรื่อง” โฮรันเดินเข้ามาประชิดตัวร่างแน่นเนื้อกำยำของผู้เป็นพี่ก่อนจะค่อยๆพิศมองใกล้อย่างละเอียด

“ท่านพี่ล่ะเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลย”

“ก็จะให้ข้ากลายร่างเป็นอะไรไปเสียเล่า”

“ร่างกายยังดูแข็งแรงเช่นเดิมแต่ก็ไม่ได้ดูแลส่วนที่ควรดูแลตามที่ข้าบอกเลย”

“เจ้าไปดูคนไข้ของเจ้าคนนั้นเถิด ข้าไม่ได้ป่วยอะไรเสียหน่อย”

“ตอนนี้ข้าเป็นหมอหลวงแล้วข้าก็ตรวจร่างราห์โอตามหน้าที่อยู่”

เขาไล้มองตั้งแต่ต้นคอเรื่อยลงไปยังแผงอกแน่นสีน้ำผึ้งอ่อนที่มีรอยขีดข่วนจางๆมากมาย มัดกล้ามเบียดแน่นเรียงตัวกำลังพอดีลงไปจนถึงท้องน้อยที่เด่นชัดด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัว มันบากนูนลากเป็นทางยาวตั้งแต่สะโพกผ่านช่องท้องแล้วไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆส่วนปลายสุดนั้นเห็นลางๆอยู่ใต้ผิวน้ำร่วมกับร่างกายเบื้องล่างส่วนอื่นๆ ผู้เป็นน้องชายเอื้อมมือไปแตะเบาๆที่แผลนูนก่อนจะค่อยๆลูบเบาๆเพื่อสัมผัสรอยแผล

“ท่านไม่ได้ทายาอย่างที่บอกเลยรึ”

“ถ้ามันแค่ทาได้เฉยๆข้าก็ทำไปแล้ว”

องค์ชายไล่นิ้วตามรอยแผลลงต่ำเรื่อยๆจนจมหายไปใต้ผิวน้ำ ฝ่ายผู้ถูกสัมผัสก็ไม่ได้มีที่ท่าอะไรเลยจนกระทั้งปลายนิ้วนั้นออกแรงกดลึกลงไปที่แผลตรงๆ เขาจึงออกอาการสะดุ้งน้อยๆก่อนจะขยับหนี สีหน้าเรียบนั้นเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดระคนหวั่น

“แผลเป็นมันจะเจ็บไม่หายหรอกท่านพี่ แต่หากท่านทายาแล้วนวดตามที่ข้าบอกมันจะเจ็บน้อยลงนะแล้วแผลมันก็จะยุบลงไปได้อีกด้วย”

ฟารันเบือนหน้าหนีใบหน้าแลดูอึดอัดและซ่านขึ้นเล็กน้อย เขาสูดหายใจลึกเพื่อไล่ความรู้สึกที่เหมือนอั้นเกร็งจนหายใจไม่ทั่วท้องทิ้งเสีย โฮรันมองหน้าพี่ชายตนก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ

“อ้อ ท่านอย่าบอกนะว่านอกจากความเจ็บมันยังรู้สึกแบบนั้นปนอยู่ด้วย”

“ใช่ ไม่มากเท่าเมื่อก่อนแต่ก็กระอักกระอ่วนเหลือเกินคงเป็นด้วยต่ำแหน่งของแผลนั่น ข้าจึงไม่ชอบเลย”

หมอหนุ่มก้มมองกายนั้นอย่างถ้วนถี่อีกครั้ง คิ้วสีน้ำตาลเข้มรับกับม่านมาเพ่งพินิจอย่างไตร่ตรองจริงจัง
“แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ท่านพี่จะไปยอมทายาในแผลเป็นส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย ไหนจะที่ตรงอก ตรงหลังและก็...นี่ไง” มือข้างเดิมจุมลงใต้ผิวน้ำแล้วกดเบาที่รอยบากอีกรอยบริเวณต้นขา “แผลตรงนี้ก็ยังนูนแข็งอยู่เช่นเดิม หากท่านไม่ชอบทำเองก็น่าจะให้คนอื่นทำให้บ้างนะ”

“ข้าไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัวเจ้าก็รู้”

“เช่นนั้นจะให้ข้าทาแผลให้เหมือนเมื่อก่อนงั้นรึ”  หมอหนุ่มยิ้มหยอกแต่อีกฝ่ายไม่นึกสนุกจึงดึงมือน้องชายออกแล้วพูดด้วยเสียงเชิงดุ

“ไม่เอาน่าโฮรันเราทำแบบตอนเด็กๆไม่ได้แล้วนะ”

“ก็นอกจากข้าและท่านแม่ทัพคามินมันก็ไม่มีใครอื่นจะช่วยทำแผลพวกนี้ให้ท่านได้แล้วนี่ท่านพี่ แล้วก็อย่างที่รู้ท่านคามินก็ตายในสงครามไปเสียหลายสิบปีแล้ว”

ฟารันตวัดตากร้าวใส่น้องชายตนก่อนจะเดินหนีไปนั่งอยู่ที่บันไดริมสระ โฮรันยืนนิ่งอยู่ครู่แลพึงระลึกได้ว่าพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป แม้นความปากเปราะจะเป็นวิสัยปรกติของเขาในหลายกรณีหากแต่มันย่อมต้องมีบางเรื่องที่ไม่ควรพูดส่งๆเหมือนไม่สำคัญ

“อภัยข้าด้วยท่านพี่ แต่กระนั้นก็เถิดเรื่องแผลเป็นของท่านหากรักษาได้ก็ควรทำมิใช่หรือ”

“ปล่อยมันไว้ข้าก็ไม่เดือดร้อนอะไร” กษัตริย์หนุ่มคว้าฟองน้ำที่อยู่ในชามข้างตัวมาขัดถูผิวกายในส่วนต่ำล่วงลงไป โฮรันเดินเข้าไปนั่งข้างพี่ชายก่อนจะอาสาถูแผ่นหลังนั้นให้ พวกเขาเงียบงันกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนโฮรันจะทำลายความเงียบลง

“โรเรเนสก็จะเป็นเช่นนี้”

“อะไรนะ?”

“แผลเป็นน่ะสิ---อีกอย่างข้ายังไม่ได้ตรวจร่างกายเขา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะต่างกับมนุษย์ทั่วไปมากไหมพวกเทพเนี่ย”
 “เจ้าพูดเรื่องอะไร”  การกระทำหยุดลงทั้งสองประจันหน้าน้องชายผู้ถือดียิ้มอ่อนซ่อนด้วยแววเจ้าเล่ห์

 “ท่านน่าจะบอกข้าได้นะว่าข้าพูดเรื่องอะไรอยู่”

 ทั้งสองสบตานิ่งก่อนผู้เป็นพี่จะหันกลับไปปล่อยให้น้องชายเช็ดแผ่นหลังให้ต่อ
“พูดเรื่องไร้สาระ”

“ก็โรเรเนสหน้าเหมือนเทวรูปองค์ปฐมขนาดนั้น แถมชื่อก็เป็นชื่อเดียวกันอีก”

“เจ้าไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เด็กคนนั้นพูด”

“โรเรเนสไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นเทพ”

“งั้นเจ้าก็เพ้อเจ้อ”

“ถ้าท่านอยากให้ข้าช่วยในสิ่งที่ทำอยู่ก็ควรบอกกับข้ามาตรงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“อยากรู้ก็ไปถามอาจารย์เจ้าสิ เขาบอกอะไรมันก็ตามนั้นแหละ”

“นี่ท่านพี่ไม่ได้อ่านจดหมายข้าจริงๆใช่ไหมเนี่ย---” องค์ราห์โอหันกลับมาคว้าฟองน้ำแล้วจัดการขัดถูส่วนอื่นของตัวเองต่อ ในขณะที่โฮรันลงนั่งแช่นิ่งอยู่ในน้ำ “ข้าขี้เกียจมาไล่หาเนื้อที่มีอยู่น้อยนิดในจดหมายของเจ้า แล้วหากมันมีอะไรสำคัญลากลอซก็คงบอกแก่ข้าแล้ว”

“เขาไม่รู้เรื่องน่ะสิถึงเข้าใจว่ามันไม่สำคัญ แสดงว่าท่านพี่ยังไม่ได้บอกเขาใช่ไหม---ในจดหมายข้าเขียนมาว่าข้าได้คุยกับอาจารย์แล้วและรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว---ไม่ต้องมองแบบนั้น ข้ามีสายอยู่เยอะนะเรื่องหาทางติดต่อกับนักโทษเนรเทศไม่ใช่เรื่องยากเลย”

ฟารันลงนั่งข้างกันแล้วทอดถอนใจ “ลากลอสไม่ได้รู้แบบที่พวกเรารู้ เจ้าเข้าใจใช่ไหม” องค์ชายพยักหน้ารับช้าๆแล้วขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา

“เช่นนี้เรื่องที่อาจารย์บอกข้ามันก็จริงทุกอย่างสินะ---ให้ตายเถอะท่านพี่---ปล้ำเทพเนี่ยนะ”

“หุบปาก” 

องค์ชายยังส่ายหัวช้าๆ แบบระอาใจ “แถมยังทำเขาอีกสารพัด---น่ารักขนาดนั้นทำลงได้ไง” ฟารันไม่ตอบโต้อะไร
ทั้งสองเงียบกันไปอีกเล็กน้อยก่อนโฮรันจะพูดขึ้นต่อ “เรื่องคนร้ายน่ะข้าพอมีสายอยู่ตามชายแดน อาจพอจะหาข่าวได้บ้าง---ส่วนโรเรเนสที่เป็นคนไข้ของข้าเนี่ย---ถือว่าข้าขอเลยแล้วกัน”

“ขออะไร” ราห์โอเงยหน้าขึ้นมองเขม็งส่วนองค์ชายนั้นก็เลิกคิ้วใส่แล้วพูดอย่างเสียมิได้ “ก็จะให้ทำอย่างไรเล่า เขาเกลียดท่านพี่ไปแล้วนิดูก็รู้ ฉะนั้นถ้าข้าจะทำอะไรท่านก็ไม่มีสิทธิมายุ่มย่ามนะท่านพี่”

ฟารันกัดฟันกรอดแต่ก็สงบอารมณ์ไว้ได้ เขารู้ทันความคิดของอีกฝ่ายและไม่ได้ยินดีแม้แต่น้อย “เขาเป็นผู้ชายนะ”

“วังนี้มีท่านพี่ชอบผู้ชายได้อยู่คนเดียวหรือไง---อันที่จริงทำไมท่านไม่บอกพวกอำมาตย์น่ารำคาญไปเลยล่ะว่าท่านชอบแบบไหน พวกนั้นจะได้ไม่ต้องสาระแนหาเมียให้ท่านอีก”

ฟารันผุดลุกขึ้นเดินออกจากสระไปยังชั้นวางผ้าเช็ดตัวก่อนจะคว้ามาใช้ผืนนึง “ข้าห้ามเจ้าไม่ได้แต่ข้าก็ไม่ได้ยินดี อย่าคิดไปว่าการนิ่งเฉยของข้าเป็นใบเบิกทางของเจ้า---จำไว้ข้าจะจับตาดูเจ้าอยู่ตลอด”

 เขาสวมเสื้อคลุมแล้วก้าวเดินออกจากห้อง โดยมีเสียงขององค์ชายตะโกนไล่หลังมา “ข้าไม่มีวันป่าเถื่อนเหมือนท่านหรอก”




          ท่านหมอโฮเป็นหมอที่ใจดีและดูจะใจกว้างมากกว่าที่โรเรเนสคาดไว้ เมื่อยามที่ฝ่ายนั้นบอกว่าจะเชื่อทุกอย่างที่เขาพูดและก็เป็นไปตามนั้นจริง โรเรเนสบอกเขาไปว่าตนเป็นเทพท่านหมอก็ไม่มีที่ท่าว่าจะตกอกตกใจ คราวแรกเขาคิดว่าท่านหมออาจเห็นเขาเป็นคนเสียจริตเหมือนคนอื่นๆ เลยทำเฉยเวลาเห็นเด็กพูดจาเหลวไหล แต่กลับเป็นการกระทำที่น่าตกใจที่วันถัดมาท่านหมอก้มลงคำนับเขาจนหน้าผากแตะพื้นก็แตกตื่นกันไปหมดทั้งวัง โรเรเนสจึงต้องขอให้เขาหยุด เขาก็สวนขึ้นมาอีก

“ก็จะให้ข้าปฏิบัติต่อเทพเยี่ยงไรเล่า”

 ก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาเกิดรู้สึกไม่อยากให้คนเห็นว่าเขาเป็นเทพ ครั้งแรกเขาไม่แน่ใจว่าหมอนั้นเชื่อเขาจริงหรือแสร้งทำเพื่อเอาใจ กระนั้นเมื่อตกลงกันได้ว่าทั้งสองจะปฏิบัติกันฉันมิตรเช่นเพื่อนทั่วไปเขาพึ่งกระทำนั่นก็ราบรื่นขึ้นมาอีกหน่อย โรเรเนสรู้สึกสบายใจกับความอ่อนโยนและใจดีของอีกฝ่าย หนึ่งคือท่านหมอดูเหมือนจะเชื่อจริงๆว่าเขาเป็นเทพแต่กระนั้นก็ยังสามารถพูดคุยกับเขาได้อย่างปรกติ สองคือเมื่อเชื่อเช่นนั้นท่านหมอก็ดูจะยินดีพาเทพเด็กน้อยไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก เรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าพึ่งใจมากที่สุด

โฮรันนั้นมักชอบพาโรเรเนสไปเที่ยวในเมืองเสมอๆ ตราบเท่าที่เขาเห็นว่ามันไม่มีอันตรายอะไรและน่ายินดียิ่งที่ได้เห็นเด็กหนุ่มร่าเริงอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามของเมืองหลวง โรเรเนสนั้นได้กล่องสำหรับเก็บของมาใบหนึ่งพร้อมสมุดเขาจะจดบันทึกอะไรก็ได้และเก็บของสำคัญได้ทุกอย่างที่เขาต้องการเพื่อให้เขาทบทวนความคิดความจำทั้งหมดซึ่งมันอาจช่วยให้ความทรงจำเขากลับมาได้มากขึ้น แล้วทางเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพื่อเรียกความทรงจำนั้นจะได้หายไปเสีย

เนื้อหาในบันทึกนั้นไม่เคยมีใครได้อ่านแต่ส่วนหนึ่งนอกเหนือจากความเห็นและความรู้สึกนั้นโณเรเนสก็บันทึกเรื่องราวในแต่ละวันที่ผ่านไปด้วย ทั้งเรื่องเจ้ากีก้าหมาน้อยที่โดนตัดขนเพราะอากาศร้อน ดอกไม้ที่เริ่มเบ่งบาน มื้อเที่ยงกับท่านหมอและตามด้วยอีกหลายมื้อที่เขามักจะกินด้วยกัน และอีกหลายอย่างที่พวกเขามักจะทำด้วยกันจนเขาอดสงสัยไม่ได้และถามขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองนั่งแช่เท้าอยู่ริมลำธารในอุทยานของวัง

“ท่านหมอโฮ ท่านไม่ต้องไปทำงานทำการอย่างอื่นหรือไรทำไมถึงมาหาข้าได้ทุกวัน” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอก โฮรันแค่นขำแบบเขินๆ

 “ก็มาอยู่กับเจ้านี่ไงงานการของข้า---เจ้าเป็นคนไข้ข้านี่นา”

“เล่นกับข้าทุกวันจะช่วยให้ข้าความทรงจำคืนมาหรือไร”

“รำคาญข้าเหรอ” โฮรันถามเสียงอ่อยแล้วถอนใจทิ้ง เด็กหนุ่มตกใจเล็กน้อยแล้วเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมทำหน้ารู้สึกผิด

“เปล่านะ ข้าก็แค่กลัวว่าข้าจะทำท่านเสียเวลาน่ะแทนที่ท่านจะได้ไปดูแลคนอื่นบ้าง” ฝ่ายนั้นหันมามองหน้าอ้อนๆนั้นอย่างเอ็นดูแล้วยิ้มอ่อน

“ไม่มีคำว่าเสียเวลาหากได้อยู่ใกล้เจ้า”

......แล้วโรเรเนสก็หัวเราะร่วน



“มันว่าอะไรนะ!” องค์ราห์โอหันมาถามคนสนิทอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ลากลอสผู้นั่งอยู่ข้างโต๊ะทรงงานทวนคำกลับมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ไม่มีคำว่าเสียเวลาหากได้อยู่ใกล้เจ้า” ราห์โอยังคงยืนอึ้งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ขณะมองออกไปเห็นเด็กหนุ่มผมม่วงกำลังวิ่งเล่นอยู่กับเจ้าหมากีก้าและน้องชายตนอย่างสนุกสนาน “มันไปสรรหาคำพูดเลี่ยนๆนี้มาจากไหนกัน”

“ไม่แค่นั้นนะฝ่าบาท ยังมี ข้าไม่เพียงจะรักษาความทรงจำเจ้าแต่ข้ายังต้องการจะรักษาหัวใจเจ้าด้วย หรือ ดอกไม้จะไม่เบ่งบานได้อย่างไรในเมื่อข้ายังรู้สึกเบ่งบานในหัวใจยามที่ได้อยู่ข้างเจ้า ไม่ก็แบบ ความป่วยไข้ที่ร้ายแรงที่สุดคือความคิดถึง อะไรประมาณนี้”

“ให้ตายเถอะ” ราห์โอสบถก่อนจะลงนั่งที่โซฟาใกล้ตัว “เจ้าคิดว่ายังไง”

“ไม่รู้สิ แต่พวกสาวๆ ชอบกันนะท่านก็รู้ว่าองค์ชายมีสาวๆ มาติดตรึมเลย”

“โรเรเนสจะชอบแบบนั้นหรอ”

“เขาชอบนะ แต่ไม่ใช่แบบหลงไหลกับคำหวาน---เขาหัวเราะทุกครั้งที่องค์ชายพูดจาเลี่ยนๆ คงคิดว่าเป็นมุขตลกกระมัง ไม่ก็จักกะจี้”

ราห์โอหันมองออกไปที่หน้าต่างด้านหลังอีกครั้ง แววตานั้นซ่อนความรู้สึกประหลาดมากมายเอาไว้ภายใน

“ฝ่าบาทพวกเขาดู---สนิทและมีความสุขกันมากเลยนะ”

“อืม”

“จะไม่ทรงทำอะไรหน่อยเหรอ”

ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาอยู่อึดใจหนึ่ง จนลากลอสเกือบจะถามซ้ำแต่ใบหน้าคมสันที่อ่านยากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย

“ไม่ใช่ว่าไม่ทำ แต่มันทำอะไรไม่ได้”

แล้วทั้งห้องก็เงียบลงเหลือแต่เสียงหัวเราะอย่างร่างเริงของเด็กหนุ่มแว่วเคล้ากับเสียงหมาเห่าดังเข้ามา




             ความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินไปได้ด้วยดีและดีขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งองค์ชายหมอจะมาช่วยเทพหนุ่มทำสวนด้วยเพื่อไม่ให้คนไข้ของเขาเสียงาน ทั้งสวนในอุทยาน ส่วนกลางแจ้งในตัววัง ส่วนหย่อมต่างๆและสวนในเรือนกระจก เช่นกันกับวันนี้ซึ่งถือเป็นวันอากาศดีอีกวันหนึ่ง โรเรเนสกำลังจัดการเล็มกิ่งไม้ดอกในอุทยานกลางแจ้งอยู่พอดีตอนที่องค์ชายโฮรันเดินเข้ามาพร้อมกับของว่าง

“ข้าเอาขนมมาให้พักกินเสียหน่อยเถอะ” เด็กหนุ่มหันมาทักทายผู้มาเยือนที่ยืนรออยู่ในศาลาพักแล้วรี่ไปกินขนมอย่างจริงจัง ระยะหลังมานี้โรเรเนสเจริญอาหารขึ้นมากแต่ไม่ยักอ้วน แถมหน้าตาก็ผุดผ่องสดใสด้วยได้รับการดูแลอย่างดีทั้งร่างกายและจิตใจเขานับว่าเป็นชายหนุ่มที่สุขภาพดีทีเดียวในตอนนี้ สามารถวิ่งเล่นกับเจ้าหมาเตี้ยได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกระทั่งทำงานสวนทั้งวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนล้า ตกเย็นก็กินดีและหลับลึกในทุกๆคืน โฮรันก็ยินดีที่คนไข้ตนเป็นเช่นนี้เพราะมันช่วยให้เห็นความต่างอย่างชัดเจนเลยว่าระหว่างเขากับพี่ชายนั้นใครปฏิบัติต่อเทพหนุ่มรูปงามองค์นี้ได้ดีกว่ากัน แม้จะไม่ได้รับคำเยินยอจากใครในเรื่องนี้แต่เขาก็รู้สึกกระหยิ่มอยู่ในใจ

“นี่เจ้าดูสวนอยู่คนเดียวรึ”

“ไม่หรอก คนสวนคนอื่นๆอยู่ด้านโน้นที่จริงอุทยานนี้สมบูณร์ดีแล้วข้าไม่จำเป็นต้องมาดูก็ได้ แต่ตอนนี้มันไม่ค่อยมีอะไรให้ทำแล้ว” เขาตอบทั้งยังเคี้ยวตุ้ยๆ

“หืม แล้วสวนกระจกล่ะเจ้าไม่ต้องทำอะไรกับมันแล้วรึ”

“ทำอะไรไม่ได้แล้ว รอเวลาอย่างเดียว”

“อ่อ ทุกอย่างมันมีช่วงเวลาของมันสินะ”

“ใช่”

อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง บริเวณที่พวกเขาอยู่เป็นสวนของไม้ดอกมีมากมายรวมทั้งไม้เถาว์เลื้อยเป็นระย้าลงมาตากต้นไม้หลายๆต้น ศาลาริมน้ำแบบโมร็อกโกสลักเสลาสวยงามด้วยลวยลายซับซ้อน ช่องประตูรอบๆ เป็นทรงโค้งและติดประดับด้วยม่านสีขาว ภายในมีทั้งโต๊ะและตั่งปูผ้าอย่างดีพร้อมกับหมอนอิงหลากสีอีกจำนวนมาก ไม้หอมนานาพันธุ์ปักอยู่ในแจกัญและโถรอบห้อง ทั้งสองนั่งกันอยู่ที่ตั่งไม้คนละฝั่งคั่นด้วยโต๊ะเตี้ยวางของว่าง สายลมอ่อนพัดเป็นระยะให้พอเย็นสบาย โฮรันจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่จริงจัง

“เจ้าชอบที่เราเป็นอยู่ไหม”

โรเรเนสยิ้มตอบรับให้ผู้ถามเล็กน้อยแล้วหันไปหยิบจอกไวน์มาจิบล้างคอ อีกฝ่ายจึงพูดสืบไป
“ข้าแค่อยากมั่นใจ ว่าข้าดูแลเจ้าได้ดี”

“ข้าชอบที่เราเป็นอยู่และข้าก็ชอบท่านมาก ท่านเป็นหมอที่ดีมากๆเลย” เทพหนุ่มตอบกลับด้วยเสียงนุ่มซ้ำยังยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ซ้ำยังเป็นสหายที่ดีด้วย”

องค์ชายยิ้มตอบอีกฝ่ายแต่กระนั้นสีหน้าก็ยังดูกังวลและจริงจังมากกว่า “โรเรเนสข้า---มันอาจฟังดูแปลกมากๆ คือเจ้าคงไม่ได้รังเกียจผู้ชายใช่ไหม ข้าหมายถึงจากที่พี่ข้าทำเจ้าอาจจะเกลียด”

เด็กหนุ่มหลุบตาลงและถอนหายใจอย่างอึดอัด องค์ชายวิตกเล็กน้อยแล้วพยายามพูดให้ดีเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายคงเริ่มไม่พอใจแล้ว “อภัยข้าด้วยที่ต้องพูดเรื่องพี่ชายข้าออกมา ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดเขาและไม่อยากนึกถึงเขาอีก แต่ข้าก็ไม่อยากให้เจ้ารังเกียจความรู้สึกที่ข้ามีให้ไปด้วยเพราะสิ่งที่เขาทำ”

โรเรเนสยังไม่ตอบอะไรเขาลุกขึ้นเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายก่อนจะลงนั่งข้างๆ กัน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท่านหมอโฮครู่หนึ่ง ฝ่ายผู้ถูกมองยิ้มให้อย่างประหม่า เขาตั้งท่าว่าจะเอ่ยบางอย่างแต่ไม่ทันได้พูดออกมาเด็กหนุ่มก็โผเข้ากอดเขาเสียแน่น

“โรเรเนส!!!!” หมอหนุ่มผู้ตระหนกหน้าแดงซ่านไปถึงหู เขานิ่งแข็งอยู่แบบนั้นเพราะตกใจและทำอะไรไม่ถูก


 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

สวัสดีค่ะ มาช้าค่ะ อ่า..................

ไม่มีอะไร...........

ขอให้สนุกนะคะ ขอบพระคุณที่มาอ่านค่ะ   


***แก้ไข้เพิ่มเติมพอดีดันเบลอลงข้ามเนื้อหาไปนิดหน่อยเลยเขามาเติมค่ะ [/color] 7/6/2558

 :z6:  :beat:  :sad4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 50% 7/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 07-06-2015 01:26:35
มาแล้ววววววววววววววว><
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 50% 7/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 07-06-2015 01:38:04
 :z13:  :z13:  :z13:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 50% 7/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 07-06-2015 01:52:38
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 50% 7/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 07-06-2015 02:12:26
ทำได้แค่หึงเท่านั้นแหละฟารัน
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 50% 7/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 07-06-2015 08:03:31
ปล่อยให้ค้างอีกแล้ว รักกับหมอโอก็ดีนะ ดูแล้วมีคงวามสุขมากกว่าเยอะเลย รอต่อไป
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 50% 7/6/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 07-06-2015 10:56:48
ชอบการบรรยายมากสนุกจังเลย มาต่อเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 08-09-2015 23:45:38

“โรเรเนส!!!!” หมอหนุ่มผู้ตระหนกหน้าแดงซ่านไปถึงหู เขานิ่งแข็งอยู่แบบนั้นเพราะตกใจและทำอะไรไม่ถูก
เด็กหนุ่มกอดเขาอยู่ซักพักก่อนจะถอยออกมาแล้วจ้องมองเขาตรงๆ โฮรันซึ่งยังหน้าแดงไม่หายพูดขึ้นอย่างหนักใจ

“ทำแบบนี้ข้าคิดมากนะ”

“ท่านหน้าแดง---ท่านอึดอัดหรือไม่ที่ข้าทำแบบนั้น”

“เอิ่มไม่หรอก ข้ายินดีหากเจ้าอยากจะกอดข้าอีกและข้ายินดีหากเจ้าจะทำมากกว่านั้น”
 
โรเรเนสเข้าใจความรู้สึกของท่านหมอรวมถึงความต้องการของอีกฝ่าย แต่เขากลับรู้สึกสับสนในอกตนเอง เขานั้นสามารถกอดโฮรันได้โดยไม่รู้สึกลำบากอะไร ออกจะอบอุ่นสบายใจด้วยซ้ำที่ได้อยู่ใกล้กัน ตรงข้ามกับองค์ราห์โอที่เมื่อก่อนนี้แม้เพียงมองตาตนก็ขวยจนทำอะไรไม่ถูก

 แล้วแบบไหนล่ะที่ควรจะเป็นความรู้สึกที่เขามีให้ท่านหมอนั้นตรงกับที่เขาได้รับหรือเปล่า และถึงแม้ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคย ไม่เคยหยุดคิดถึงฟารันได้เลยซักวันถึงแม้จะพยายามมากแค่ไหน

“อย่าใส่ใจสิ่งที่ข้าทำเลย---ต้องขออภัยที่ข้าละลาบละลวงท่าน”

“ไม่เป็นไรสหายกันกอดกันได้” ท่านหมอโฮยิ้มอย่างอ่อนโยนให้

“ข้ายังไม่ชินกับความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์จึงสับสนอยู่มากว่าข้าควรรู้สึกอย่างไร แต่ที่เป็นตอนนี้การเป็นสหายกับท่านข้ามีความสุขมากเลยนะ เวลาที่ข้ากอดท่าน ท่านทำให้ข้านึกถึงซาลาเปา อา ข้าคิดถึงซาลาเปาจัง”

“ซาลาเปา?”

“องค์ลาวิเลี่ยนแมวพาหนะของข้าบนสวรรค์ ตัวใหญ่อย่างนี้เลย”  เทพหนุ่มกางแขนออกกว้างแล้วยิ้ม

“นี่เจ้าเห็นข้าเป็นแมวหรือ”

“เปล่าแค่รู้สึกอุ่นใจเวลาอยู่ด้วย”

“ดีจัง---กอดกันอีกไหม?”

“ไม่เป็นไร” แล้วพวกเขาก็หัวเราะให้กันอย่างอารมณ์ดี

                          
           ยามค่ำนั้นเย็นสบาย บุรุษหนุ่มทั้งสองเดินคุยเรื่อยเปื่อยกันมาจนถึงห้องพักของโรเรนส ที่ตอนนี้ได้ย้ายออกมาอยู่ในส่วนที่ไม่ใช่ห้องบรรทมชั้นในแล้วแต่ก็อยู่ละแวกใกล้กัน เมื่อถึงที่หมายเด็กหนุ่มได้ผลุบหายเข้าไปในห้องครู่หนึ่งแล้วกลับออกมาพร้อมไม้ดอกสีขาวที่เพาะใว้ในกระถางใบจิ๋ว

“นี่คือเลล่าที่ข้าเล่าให้ท่านฟัง เจ้าตัวจิ๋วนี้ต้องดูและเป็นพิเศษข้าจึงยังเอาลงดินไม่ได้ถ้าไม่รังเกียจและไม่เป็นภาระจนเกินไปข้าอยากให้ท่านรับไว้แล้วช่วยดูแลมันด้วย” หมอหนุ่มเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจขณะเอื้อมมือไปรับเจ้าดอกไม้สีขาวดอกน้อยนั้นมาเพ่งพิศดู

“ไม่รบกวนหรอกของขวัญชิ้นแรกที่เจ้าให้ข้า ข้าต้องดูและมันอย่างดีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าข้าไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพืชหรอกนะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกข้าให้เลเล่กับท่านเพราะข้าคิดดีแล้ว ห้องของท่านมีระเบียงที่ผินหน้าออกสู่ทะเลสาบ ไอระเหยของน้ำจะดีมากๆ หากท่านวางมันไว้ที่ระเบียบ ห้องข้านั้นมองออกไปก็เจอแต่ตึกอีกฝั่ง ดูจะแห้งแล้งไปเสียหน่อย”

“โธ่ ข้าก็นึกว่าให้โดยเสน่หาที่แท้แค่อยากจะใช้ประโยชน์จากห้องข้ารึ” องค์ชายแสร้งพูดเหมือนดุแต่ก็รู้กันว่าเป็นเพียงการหยอก เด็กหนุ่มนั้นยิ้มตอบให้ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้

“เอ้อจริงสิ ท่านต้องใช้ลูกแก้ววางไว้ในกระถางด้วยนะเดี๋ยวข้าเข้าไปหยิบมาให้” เขาหายเข้าไปในห้องอีกครั้งแล้วรื้อค้นสิ่งของในกล่องไม้ที่ตนวางไว้บนระเบียง ระเบียงหินอ่อนที่ควรจะกว้างขวางแต่กลับเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้หลากขนาดเรียงกันอยู่  เจ้าของห้องกอบลูกแก้วใสขึ้นมากำมือหนึ่งแล้วห่อไว้ด้วยผ้าก่อนจะเดินกลับมาที่หน้าห้องตน

แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อสหายรูปงามนั้นหายไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่ ทว่าเสียงพูดเจื้อยแจ้วร่าเริงของท่านหมอโฮกลับดังขึ้นในส่วนที่เป็นโถงทางเดินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องนอนของเขานัก ฟังดูก็รู้ได้ว่ากำลังสนทนากับใครบางคนอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดเพราะไม่ได้ยินเสียงตอบรับกลับมา

โรเรเนสเดินออกจากทางเดินเล็กๆ เพื่อออกไปสู่โถงใหญ่ เมื่อพ้นออกมาเล็กน้อยเขาก็เห็นท่านหมอโฮยืนอยู่จึงรี่เข้าไปหาด้วยดีใจ แต่แล้วฝีเท้าก็ต้องชะลอช้าลงเมื่อคู่สนทนาคนนั้นเป็นองค์ราห์โอที่กำลังเดินผ่านโถงหลักนี้เพื่อไปพักที่ห้องบรรทมซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีก เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่เสียกลางทางไม่ได้ถอยหนีและไม่ได้ขยับเข้ามาหา เขากระชับห่อผ้านั้นไว้แนบอกเหมือนต้องการสร้างเกราะให้หัวใจตัวเอง ใบหน้าสดใสเจื่อลงไปเล็กน้อยเมื่อสบตาตรงๆ กับคู่สนทนาของสหายเขา

“อ่าวโรเรเนสมาแล้วหรอ นี่บังเอิญมากเลยข้าเห็นท่านพี่เดินผ่านโถงพอดีจึงได้รั้งไว้ มานี่สิ” หมอหนุ่มเชื้อเชิญแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวทั้งที่ก็เห็นได้ชัดว่าโรเรเนสนั้นอึดอัดใจแต่ก็ยังเรียกอย่างขันแข็ง เขาเดินเข้าไปหาสองพี่น้องที่มีสีหน้าผิดกันลิบลับ เขาไม่รู้หรอกว่าฟารันคิดอะไรใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น

“สวัสดี”

“สวัสดี”

คำทักทายตามมารยาทอันจืดชืดถูกเอ่ยขึ้นเหมือนในทุกๆ ครั้งที่ได้เจอกัน แล้วก็ไม่ได้สานต่ออันใดเพราะเด็กหนุ่มเมินไปไม่กล้ามอง องค์ชายผู้เป็นน้องเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นก็ยกยิ้มอย่างย่ามใจแล้วหันไปเอ่ยกับพี่ชายตน

“พอดีข้ามาส่งโรเรเนสที่ห้องเลยได้เจ้าดอกเลล่ามา โรเรเนสบอกว่ามันยังเด็กเกินกว่าจะลงดินและห้องของข้าเหมาะที่จะเพาะมันมากที่สุด ท่านพี่ว่ามันน่ารักไหม”

“อืม” กษัตริย์หนุ่มจ้องมองกระถางใบน้อยในมือน้องชาย

“น่ารักเหมือนเจ้าของนั่นแหละ” ประโยคนี้องค์ชายหันไปหยอกกับคนข้างตัวแต่ฝ่ายนั้นกลับอึดอัดเสียมากกว่าเลยเปลี่ยนเรื่อง

“หมอโฮข้าเอาสิ่งนี้มาให้” เขารับมาแล้วแกะดู “มันเป็นลูกแก้วที่เก็บความเย็นได้ดีหากนำไปแช่น้ำก่อนจะไปวางไว้ที่โคนต้นก็จะช่วยให้ต้นเลล่าเย็นและโตได้ดี” 

“ดีจังเลย ข้าดีใจมากเลยนะที่เจ้าให้เกียรติข้าดูแลต้นไม้ของเจ้าบ้าง” สายตาอ่อนโยนหวานละมุนจ้องมองไปที่วงหน้างาม แต่เด็กหนุ่มกลับหลุบตาหนีแล้วเหลือบไปมองบุรุษอีกคน

โรเรเนสก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนเองถึงทำเช่นนั้น แต่จู่ๆ เขาก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าฟารันจะมองพวกเขาทั้งสองด้วยสายตาเช่นไร แล้วเด็กหนุ่มก็ได้สบตาอย่างจริงจังกับอีกฝ่ายแบบที่ไม่ได้มองกันมานานแล้ว ไม่ได้รับรู้มานานแล้วว่าแววตากร้าวของฟารันเป็นอย่างไร

ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่เขาคิดฟารันไม่ได้ดูโกรธหรือเย็นชาเลย

 มันดูเศร้าและเต็มไปด้วยคำถาม

นี่คือที่เจ้าต้องการใช่ไหม

นั่นสิ เด็กหนุ่มประหวั่นใจเขาไม่รู้ ความหวาดระแวงแต่แรกที่มีต่อฟารันหายวับไปแทนที่ด้วยความรู้สึกประหลาดกระชากเขาให้ตื่น เขาหันกลับไปมองอีกคนที่ยังคงยิ้มละไมอุ่นหัวใจให้เขา

“มีอะไรรึสีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดีเลย” หมอหนุ่มเอ่ยถาม เขาไม่เอ่ยตอบแต่กลับมีท่าทางสับสนพะว้าพะวงกว่าเดิมก่อนจะตัดสินใจจากไป

“ข้าขอตัวก่อน” แล้วก็สาวเท้าเดินไป ความคิดและความรู้สึกมากมายผุดขึ้นจนไล่นตามไม่ทัน ทั้งคำถามและคำตอบที่ย้อนแย้งปนเปกันไปหมดในหัว นี่เขากำลังทำอะไรอยู่

รอจนเมื่อหายลับสายตาโฮรันจึงหันมากล่าวกับพี่ชาย “ลืมไปเลยว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าท่าน”

ฟารันยังมองไปยังจุดที่เด็กหนุ่มเดินลับตาไปทั้งที่เขาไม่อยูตรงนั้นแล้ว “หากเจ้ารู้สึกสนุกที่จะเย้ยหยันข้าก็ทำไปเถอะ แต่อย่าทำให้เขาลำบากใจ”

“นั่นสินะ คนรักที่ดีไม่ควรทำแบบนั้นหรอก” คราวนี้ตาคมกริบอันว่างเปล่าของราห์โอก็เลื่อนมามองตอบกับใบหน้ายียวน

“ตกลงกันแล้วหรอ”

“ก็ไม่เชิง”

“ก็ดีแล้ว” ฟารันตอบไปแบบส่งๆ เหมือนไม่ได้เดือดร้อนอะไรแล้วทำท่าจะเดินหนี แต่กิริยานั้นสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่อีกฝ่ายที่ยั่วโมโหไม่สำเร็จ

“คืนพรุ่งข้าจะพาโรเรเนสไปเที่ยวเทศกาลในเมือง”

“เทศกาล?”

โฮรันแค่นขำแล้วถอนใจ “จริงๆท่านพี่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับโรเรเนสเลยใช่ไหม”

“มาสอดรู้อะไรกับความรู้สึกข้า” ฟารันฉุนเฉียวขึ้นมาง่ายผิดคาด

“ก็พรุ่งนี้มันเป็นวันฉลองแห่งพืชพันธุ์ไงเล่าท่านพี่ เป็นงานประจำปีที่ชาวเมืองจัดขึ้นเพื่อสรรเสริญโรเรเนสท่านลืมได้ยังไงกัน”

ใบหน้าครุ่นคิดปรากฎขึ้นก่อนนำเสียงเรียบแต่จริงจังจะลอดออกมา “ข้าไม่ได้ลืม แต่แค่ไม่ได้คิดว่าเจ้าจะกล้าพาเขาไปในช่วงที่
อันตรายแบบนี้”

“คิดมากน่าท่านพี่ คนเยอะแยะใครจะไปกล้าทำอะไร”

“ก็คนเยอะนั่นแหละมันถึงไม่มีใครใส่ใจใครไง”

“งั้นข้าขององค์รักษ์สองคนสบายใจขึ้นไหม”

“จะทำให้สะดุดตาไปทำไม”

“แต่งเป็นสามัญชนกันให้หมดและข้าก็จะไม่ยอมให้เขาห่างตัวเลยข้าสัญญา”

องค์ราห์โอถอนใจระอา “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า แต่เจ้าก็รู้สถานการณ์ในตอนนี้อยู่”

“โธ่ ท่านพี่นี่มันเป็นงานที่จัดสำหรับโรเรเนสโดยเฉพาะเลยนะจะไม่ให้เขาไปดูหน่อยหรอ ข้ามั่นใจว่าเขาต้องชอบมากแน่ๆ มองดูจากสวรรค์กับลงมาเดินเล่นในงานเองไม่เหมือนกันหรอกนะ”

 ราห์โอลังเลแต่แล้วเขาก็ยอม “ข้าคิดว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่ อย่าทำให้ข้าคิดผิดในเรื่องนั้นล่ะ”

“แน่นอนท่านพี่ ข้าฉลาดกว่าท่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไปก่อนล่ะข้ายังมีนัดอีกยาวในค่ำคืนนี้”  แล้วองค์ชายก็เดินจากไปด้วยอารมณ์สบายใจเฉิบ ซึ่งทางที่เดินมันไม่ใช่ทางไปห้องนอนของเขา

“หัดเอาเวลาเที่ยวเล่นมาทำงานบ้างนะ”

---- -------------   ---------

   ตอนแรกท่านพี่ก็แปลกใจ เขาคงลืมไปแล้วว่ามันเป็นวันสำคัญของเจ้า แต่เขาก็อนุญาติแล้วและก็ดูยินดี ดูท่าเรื่องของเราจะง่ายกว่าที่ข้าคิดไว้นะโรเรเนส

นั่นคือสิ่งที่เขาได้ยินจากองค์ชายเมื่อเช้านี้ ตอนที่ฝ่ายนั้นเดินมาบอกว่าคืนนี้จะได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนกัน เรื่องดีใจก็ดีใจอยู่แต่การแสดงออกของเขาดูไม่ค่อยร่าเริงอย่างที่ถูกคาดหมาย ด้วยบางส่วนของสิ่งที่เขาได้ยินมันทำให้เขาปั่นป่วน

ฟารันไม่ได้สนใจจริงๆ ไม่ว่าเขาจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไร อันที่จริงฟารันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนี้มันวันอะไร

เด็กหนุ่มว้าวุ่นอยู่เป็นวัน ขัดอกขัดใจและก็ไม่เข้าใจด้วยมันน่าจะเป็นเรื่องดีแล้วที่ฟารันจะไม่มายุ่มย่ามกับเขาอีก แต่เป็นเช่นนั้นไปแล้วจริงหรือ ฟารันหมดใจกับเขาไปแล้วและที่เคยพูดไว้ว่าจะไม่ยอมแพ้นั่นคือเรื่องโกหกหรือไร

“คนงี่เง่า” เขาพึมพำพลางใช้บัวรดน้ำเทราดลงใส่พุ่มไม้ที่อยู่ในสวนกลางโถงทางเดิน แสงสว่างจากดวงอาทิตย์สาดลงมาได้จางๆ  ให้เห็นแก้มระเรือและปากบางเชิดขึ้นเหมือนเด็กโดนขัดใจ

“ข้าจะไปไหนกับใครมันก็ไม่สำคัญหรอก”  ตามต่อมาอีกด้วยเสียงงุบงิบอุบอิบระยะหนึ่งก่อนตนจะทรุดลงนั่งพร้อมวางของในมือ
เขาพยายามนึกถึงเรื่องสนุกๆ ที่น่าจะได้ทำวันนี้ ทั้งของกินของเล่นและงานแสดงตามท้องถนน ผู้คนจะประดับบ้านอย่างสวยงาม มีแต่คนร่าเริงพลุกพล่าน มีแต่สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเขา นี่เป็นวันดีของเขาแท้ๆ

 ภายในหัวน้อยๆ ท่องจำกับตนเองด้วยประโยคซ้ำเดิม แล้วก็เริ่มลุกขึ้นทำการงานของตนต่ออย่างตั้งใจก่อนจะเดินละจากสวนนี้ที่เสร็จสิ้นแล้วนี้ไปยังสวนถัดไป

ย่างกายข้ามผ่านอาคารและแมกไม้ลำธารภายในตึกไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คาดหมายว่าจะพบสิ่งใดแลลืมเผลอใจลอยไปชั่วครู่ว่าตนจะไปที่ไหน จู่ๆ เขาก็ต้องชะงักกลางครันเมื่อพบตัวเองมาอยู่ท่ามกลางห้องหับชั้นในที่คุ้นเคย บริเวณห้องที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้และแน่นอน จุดที่ยืนนั้นใกล้กับต้องทรงงานของราห์โอยิ่งกว่าอะไร

เขาตกใจสับสนอยู่ครู่หนึ่งแล้วตั้งท่าจะเดินออกมาแต่เสียงเปิดประตูในห้องที่อยู่ใกล้กันก็ดังขึ้นก่อน ตามด้วยเจ้าของห้องที่เดินออกมาพร้อมกระถางดอกไม้ในมือ

ฟารันเดินออกมาเหมือนว่ากำลังจะไปไหนซักที แต่ทั้งสองก็ต้องตกใจเมื่อได้เจออีกฝ่ายแบบไม่คาดหมาย

“โรเรเนส?”  เขาประหลาดใจกึ่งไม่เชื่อสายตาว่าบุรุษหน้าหวานจะมาโผล่อยู่ในบริเวณนี้ หนุ่มน้อยอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรจึงหลบตาหนีแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหม ฟารันเห็นท่าแล้วเกรงว่าอีกฝ่ายจะหวาดกลัวจึงไม่เข้าใกล้แล้วเอ่ยถามด้วยซุ่มเสียงอ่อนโยน

“มีธุระกับข้างั้นหรือ?” เด็กหนุ่มส่ายหัวช้าแล้วตั้งใจว่าจะขอตัวแต่ราห์โอก็พูดเข้าประเด็นเสียก่อน

“อันที่จริงข้ากำลังจะเอาสิ่งนี้ไปคืนให้เจ้า” เขาก้มลงมองกระถางดอกไม้ในมือ “และหากเจ้าไม่รังเกียจก็โปรดรับมันคือไปเสียเถิด”

คราวนี้โรเรเนสมองกลับอย่างประหลาดใจ ครูหนึ่งใบหน้าจึงแปรเป็นหม่นเศร้าแล้วริมฝีปากน้อยๆก็เผยอขึ้น

“ท่านโกรธข้าที่ข้าให้ดอกไม้องค์ชายเมื่อวานงั้นหรือ ท่านถึงไม่ต้องการมันแล้ว”

“ไม่ใช่นะ แต่เจ้าเคยบอกข้าไว้ว่าฝากให้ข้าดูแลจนตอนนี้มันโตเกินกว่าจะอยู่ในกระถางแล้วข้าจึงต้องการคืนแก่เจ้าเพื่อนำมันไปลงดิน” 

ฟารันนิ่วหน้ายามมองกิริยาน้อยอกน้อยใจของเด็กหนุ่ม เขาไม่เข้าใจว่าโรเรเนสจะสนใจอะไรกับสิ่งที่เขาทำ

“อีกอย่าง---เจ้ากับโฮรันเป็นสหายที่ดีต่อกัน การที่เจ้ามอบของให้แก่เขาก็เป็นน้ำใจอันปรกติแล้ว ข้าไม่มีสิทธิจะไม่พอใจในส่วนนั้น”

โรเรเนสรู้สึกได้ถึงความสับสนปั่นป่วนในใจ เขายายามสลัดทุกอย่างทิ้งแล้วเดินเข้าไปคว้ากระถางดอกไม้อย่างเร็ว แล้วถอยกลับมายืนที่เดิมยังไม่ตัดสินใจทำอะไร ต่างฝ่ายต่างเงียบฟารันนั้นเดาทางไม่ถูกเพราะเห็นว่าโรเรเนสไม่หนีและไม่ทำท่าว่าจะร้องไห้เมื่อเจอหน้ากันแบบแต่ก่อน หากแต่ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่พูด เขาจึงยังไม่หนีไปไหนเฝ้ารอจนกว่าเด็กน้อยจะมีปฏิกิริยากลับมา

เจ้าของแก้มแดงที่ก้มหน้ากอดกระถางเหลือบตาหวานเศร้าขึ้นมามองอีกฝ่าย เลื่อนไล่ขึ้นไปตั้งแต่ปลายเท้า ฉลองพระองค์ตัวยาวทำจากไหมสีม่วงอ่อนปักดิ้นเหลือบเงิน ร่างกายสูงสง่าผึ่งผายกำยำ ลำคอที่เชิดตรงจนถึงสันกรามที่พอดีได้รูป ปากนั่น จมูกโด่ง ไรผมดำขลับหยักศกเล็กน้อยและตาคมดุจเหยี่ยว กลับลงมาจ้องอีกครั้งที่ดอกไม้ในกระถางใต้คางตน
ความรู้สึกแบบเก่าๆ กลับมาแล้ว ทั้งความตื่นเต้นวาบหวานผสานกับความเศร้าใจ

“เย็นนี้ข้าจะออกไปข้างนอก”  เสียงใสเอ่ยแผ่วเพื่อหยั่งเชิง

“อืม โฮรันบอกข้าแล้ว---ระวังตัวเองดีๆ นะ”

“ท่านอนุญาติจริงๆ หรือ”

ตาหวานยังมองอ้อยอิ่ง ผู้ถูกถามต้องข่มอารมณ์นิ่งกับใบหน้าน่ารักเช่นนั้นแล้วยิ้มตอบให้เป็นมิตรที่สุดแล้วพยักหน้าให้ แต่โรเรเนสพอเห็นท่าว่าฟารันไม่ห่วงหวงอะไรเขาก็ออกกระสับกระส่ายแล้วถามต่อ

“ท่านยอมให้ข้าไปกับหมอโฮแน่นะ”

ฟารันเลิกคิ้วแปลกใจ ครั้งนี้หนุ่มหน้าสวยสนใจขึ้นมาด้วยว่าเขาจะคิดอย่างไร
“แน่สิ เขาเป็นสหายกับเจ้านี่เจ้าไม่ได้ต้องการเช่นนี้หรอกหรือ”

โรเรเนสพยักหน้ารับแบบถี่ๆ “ข้ายินดี เพราะข้าชอบเขามาก”

ฟารันแค่นขำแล้วยิ้มให้กับประโยคนั้น ใช่เจ้าชอบเขามาก
“งั้นดีแล้ว เที่ยวให้สนุกเถอะ ฝากที่ยวเผื่อข้าด้วยแล้วกันคืนนี้ข้าคงต้องอยู่เป็นประธานในพิธีบวงสรวง”

เด็กหนุ่มเข้าใจดีราห์โอต้องมีหน้าที่สำคัญในวันบวงสรวงอยู่แล้ว....บวงสรวง?  ความคิดบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจเขา
“บวงสรวงกับอะไรล่ะ”

เขาเอ่ยถามขึ้นมาน้ำเสียงและแววตาทำให้ฟารันนิ่งอึ้งและฉุกคิดได้ว่าตนเผลอพูดอะไรพลาดไป แต่ไม่ทันแก้ไขเด็กหนุ่มก็เดินหนีออกมาไม่โดยลา เสียงเรียกหาไล่หลังทำให้เขาเริ่มออกวิ่ง

“โรเรเนส!”

เทพเกศม่วงกอดของในมือขณะพุ่งตัวไป เขาไม่น่าสำนึกตนผิดไปได้เลย เทพของฟารันเป็นอิฐเป็นปูนอยู่ในวิหารนั่นหาใช่เขาที่เป็นคนเสียจริตที่ทรงเมตตาให้อยู่ในวัง จะมาน้อยใจหาแสงอะไรเล่า!

ราห์โอพยายามเร่งตาม แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชะงักเท้ากลางครัน เขาขบกรามแน่นอย่างเจ็บใจและลังเลเล็กน้อยก่อนจะยอมหันกลับ วันนี้เป็นวันแรกเลยทีเดียวที่โรเรเนสยืนคุยกับเขาดีๆ ถึงแม้จะไม่กี่คำและไม่นาน แต่ก็ดูท่าทีอยากจะสนทนามากกว่าแต่ก่อน อาจเพราะส่วนลึกในใจเด็กหนุ่มยังมีเขาเหลืออยู่กระมัง ถึงได้ใคร่สนว่าเขาจะมีท่าทีแบบไหนกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสองหรือเพียงแค่งุนงงสับสนกับอาการเฉยเมยของเขา .....อาการเฉยเมยที่เขาแสร้งทำเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายอยากให้ทำ

 ความไร้เดียงสาทั้งในเรื่องความรู้สึกของตัวเองและความรู้สึกของคนรอบตัวนี้ทำให้ฟารันเป็นห่วงเทพหนุ่มน้อยเสียเหลือเกิน เพราะหากบุรุษหน้าสวยผู้นี้ยอมกลับมาคุยดีกับเขาในอนาคต ทั้งเขาและน้องชายจะได้อยู่ในสถานะอะไรกับโรเรเนสเมื่อเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนต้องการอะไร

อะไรที่เจ้าทำแล้วมีความสุขข้ายอมได้ทุกอย่าง เพียงเปิดปากบอกเท่านั้นตัวข้าจะเป็นอย่างไรโปรดอย่าได้สนเลย โปรดอย่าได้สนเลย

 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 09-09-2015 00:17:42
วันนี้รอคอย...... กรี๊ดดดด อย่าน้อยใจไปเลยหน่าาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 09-09-2015 00:24:06
เฮ้อ  หน่วง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-09-2015 07:22:48
อืม ไม่เข้าใจกับตัวละครเลยจริงๆ ลดฑิฐิลงบ้างก็ดีนะเพื่ออะไรมันจะดีขึ้น
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 09-09-2015 08:31:34
 :เฮ้อ: เหนื่อยใจ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-09-2015 14:03:37
มาต่อแล้วดีใจจัง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 09-09-2015 14:34:24
เป็นพระเอกที่ฉลาดทุกเรื่องยกเว้นเรื่องหัวใจตัวเองจริงๆ - -"

โอ๊ยยยยย อ่านล่ะเหนื่อยแทน
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 09-09-2015 17:31:04
เพิ่งตามอ่านจบทัน เราพลาดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร 5555 :hao7:

จะบอกว่าช่วงตอนที่1-10สนุกและมันส์มากกกกกก
ลุ้นระทึกอยู่บ่อยๆ
แต่หลังจากคำตัดสิน ที่ให้โรเรเนสัป็นคนบ้า เราว่าเนื้อเรื่องมันเริ่มอืดๆ
ปนกับอารมณ์รำคาญพระเอก  :hao7:
นี่ถ้าคนเขียนมาต่อบ่อยกว่านี้รับรองคนอ่านเพิ่มขึ้นแน่ๆ

สู้ๆนะจ๊ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 10-09-2015 09:49:33
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 10-09-2015 11:33:53
แล้วแบบนี้เมื่อไรจะสมหวังล่ะหาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่13 100% 8/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 12-09-2015 00:03:09
ในที่สุดเรื่องนี้ก็มาต่อ ดีใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เด็กน้อยยังสับสนกับตัวเองอยู่เลย ยังไม่โตสินะ เอาเถอะ พยายามเข้าจะฟารัน ขอให้ได้ความรักกลับคืนมาไวๆ แต่ทำแบบนี้ก็ดีแล้ว ให้คนสับสนได้รู้ใจตัวเองไวๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 12-09-2015 02:17:28

       เสียงเครื่องดนตรีดังแว่วมาเป็นระยะจากหลายทิศทาง บ้างเด่นด้วยเสียงกลอง บ้างเด่ยด้วยเสียงพิณแต่ไม่ว่ามาจากทางไหนก็มักแทรกสนุกด้วยเสียงคนเฮฮากันไปทุกที ค่ำคืนครานี้แปลกหูแปลกตาถนนที่ปูด้วยหินทุกสายถูกประดับด้วยซุ้มโคมไฟหลากสียาวไปจนตลอด เช่นกันกับหน้าบ้านของผู้คนทั้งสองฟากที่แขวนโคมไว้ให้สว่างกับตบแต่งที่อาศัยตนด้วยดอกไม้ ร้านรวงต่างๆ มีคนคึกคักกลิ่นอาหารหลากชนิดอบอวลไปทั่ว

ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด หนุ่มสาวหลายคู่เดินเคียงกันเป็นดังเช่นคู่รัก บ้างก็เฮโลกันมาเป็นกลุ่มก้อนตามประสาวัยคะนอง เด็กหนุ่มที่ร่าเริงตื่นเต้นกับเทศกาลไม่ได้มีแต่ประชาชนคนทั่วไปเท่านั้น หนึ่งในนั้นเป็นเทพรูปงามที่ลงมาเที่ยวเล่นในแดนมนุษย์ด้วยตาวาวใสแป๋ว รี่เดินไปทั่วจนคนที่มาด้วยตามไม่ทัน

               โรเรเนสถูกจับแต่งตัวด้วยชุดของเด็กหนุ่มธรรมดา เป็นผ้าฝ้ายทอลายย้อมสีฟ้าใสตัดเย็บพอดีตัวไปจนถึงเข่า กางเกงนั้นเป็นสีขาวผ้าเนื้อเดียวกันแลดูสบายคล่องเมื่อยามที่เขาออกวิ่ง ส่วนผมยาวนั้นถักเป็นเปียเดียวอยู่ด้านหลังทำให้เมื่อยามเอี้ยวคอจะเห็นท้ายทอยขาวของเขาเป็นครั้งคราว เขายิ้มอย่างน่ารักเมื่อวิ่งนำองค์ชายที่อยู่ในเสื้อผ้าคลายกัน ต่างแต่ท่านหมอโฮมีเสื้อคลุมผ้าดิบสีเลือดหมูคลุมอยู่

เหมือนดั่งภาพฝันของใครหลายๆ คน ผู้คนมากมายต้องหยุดชะงักตะลึงมองหนุ่มรูปงามเกศม่วงผู้นี้ บางก็กระซิบกระซาบถามกันว่าเป็นต่างชาติมาจากไหน บ้างที่กรึ่มฤทธิ์สุราไปแล้วก็เพ้อว่าวันนี้โชคดีได้เจอเทพบุตร แต่หนุ่มผู้นั้นไม่ได้รับรู้ถึงผู้คนอื่นๆ หรอกเพราะเขากำลังสนใจอยู่กับแสงสีของงานต่างหาก 

เทพหนุมน้อยนั้นกระตือรือร้นกับทุกออย่างที่แปลกตา พวกเขาพบว่าตัวเองไปอยู่หน้าร้านหลายร้าน ทั้งร้านของของที่ระลึก ร้านขนม ร้านดอกไม้ แม้กระทั่งซุ้มสุรา เด็กหนุ่มชวนให้หยุดดูการแสดงในจตุรัสหลายจุด การประกวดประขันสาวงามและแข่งมวยปล้ำ แต่ไม่ทันคลาดสายตาโรเรเนสก็ลากองค์ชายไปที่ถนนอีกสายแล้ว นอกจากนี้เขายังส่งเสียงเจื้อแจ้วไปตลอดทางไม่ว่าตัวเองจะทำอะไร

“ท่านหมอโฮดูนี่สิ” เด็กหนุ่มยื่นรูปสลักแมวขาวทำจากไม้ชิ้นจ้อยให้อีฝ่ายดู

“ท่านหมอโฮดูโน่นสิ” เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่การแสดงปาหี่

“นี่มันอร่อยมากเลย” เขาพูดทั้งเสียงอู้อี้และจ้องมองขนมในมือด้วยตากลมโต

เป็นเช่นนี้ไปตลอดทาง สร้างความประหลาดใจให้หมอหนุ่มเป็นอย่างมากกับความซุกซนที่เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน จนกระทั่งผ่านไปเป็นชั่วโมงเท้าคู่นั้นก็เริ่มชะลอช้าลง ไม่แน่ใจว่าสิ้นฤทธิ์เพราะเริ่มเหนื่อยหรือเพราะผลจากเหล้ากลั่นที่เด็กหนุ่มรั้นจะลองดื่มให้ได้

ท้ายแล้วองค์เทพผู้คึกคะนองก็ลดระดับจากความคึกเป็นความเคลิ้ม

 “ไม่เมาแน่นะ” องค์ชายยิ้มหยอกขณะดึงแขนอีกฝ่ายมาคล้องควงเพื่อกันล้ม โรเรเนสนั้นยังมีทีท่าปรกติอาการต่างไปไม่มากเพียงแค่หน้าที่แดงขึ้นและตาหวานที่เยิ้มกว่าเคย โชคดีเขาดื่มแค่เล็กน้อย

“ข้าว่าข้าชอบเหล้ามากกว่าไวน์นะ”

“ฮ่าๆๆ ขอให้จริงเถิด หวังว่าเจ้าจะมีแรงไปจนถึงสถานที่ที่ข้าอยากให้ไปนะ”

“ท่านจะพาข้าไปไหนอะ ถ้าคิดไม่ดีข้าสู้ขาดใจเลยนะจะบอกให้”

โฮรันหัวเราะรับกับหน้าตาเอาเรื่องนั่นและพร่ำพูดว่าอีกฝ่ายนั้นเมาแล้ว 

พวกเขาเดินคล้องแขนกันไปตามตรอกแคบ มีองค์รักษ์ที่แต่งตัวกลมกลืนกับคนอื่นตามหลังอยู่อีกสองคน ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเหลวหรือไม่เพราะทหารหาญทั้งสองเริ่มกรึ่มกันแล้ว เนื่องด้วยองค์ชายไม่ทรงเข้มงวดเห็นว่าเป็นเทศกาลจึงปล่อยให้องค์รักษ์พอสนุกได้บ้างตามสมควร (อันที่จริงมากกว่าสมควรเล็กน้อย)

ตรอกนั้นต่างจากจุดอื่นตรงที่คนไม่พลุกพล่านและร้านรวงก็ขายแต่ดอกไม้ เครื่องหอมและของเกี่ยวกับพิธีกรรม ตะเกียงดวงน้อยแขวนห้อยอยู่เป็นระยะที่หน้าอาคารสองฟาก คนที่เดินไปมาถือถาดขนมและผลไม้ จนเมื่อเดินไปไม่ไกลพวกเขาก็ขึ้นเนินสูงขึ้นแล้วไปโผล่ในลานกว้างแห่งหนึ่งบนยอดเนิน ตรงหน้าที่เห็นเป็นอาคารสูงตระหง่านสีขาวสะอาดตั้งอยู่โดดเดี่ยวจากตึกแถวบ้านเรือนรอบๆ ผู้คนจำนวนหนึ่งเดินถือถาดใส่ดอกไม้และอาหารเข้าไปในตึกหลังนั้น บรรยากาศสงบเงียบเย็นสบาย

โรเรเนสตาโตมองแหงนขึ้นไปจนคอแทบหักและแม้จะจำความไม่ค่อยได้แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่อื่นใดนอกจากจะเป็น วิหารเทพเจ้าของเขาเอง

“นี่คือวิหารองค์เทพโรเรเนส สร้างขึ้นมา 500ปีแล้วหากเจ้าพอจะระลึกได้ที่สำคัญคือเป็นวิหารแห่งแรกของสปันเทีย...เจ้าอยากเข้าไปดูไหม”

โรเรเนสตื่นเต้นตาโตจนสติสร่าง เขาวิ่งจี๋เข้าไปในวิหารนั่นพร้อมกับสหายที่ร้องห้ามตาม กว่าโฮรันจะเข้าไปถึงตัวเด็กหนุ่มก็มาหยุดยืนอยู่หน้ารูปสลักใหญ่โตขององค์เทพรูปงามที่ต่างจากเขาลิบลับ

ทั้งสองยืนจ้องเทวรูปที่สูงหลายสิบเมตรด้วยอารมณ์ที่ปนเปกันไป เทวรูปนั้นดูหล่อเหลาล่ำสันน่าเกรงขาม สมกับเป็นเทพองค์สำคัญ สลักจากงาช้างบริสุทธิ์อยู่ในท่าประทับยืนมองตรงไปข้างหน้า ร่ายกายถูกห่อด้วยแผ่นทองและเถาว์ไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพืชพันธุ์อันอุดม

“เจ้าคิดว่ายังไง” หมอหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นเจ้าของวิหารตัวจริงยืนมองรูปจำลองนั้นอยู่นาน

“ดูดีกว่าข้าเยอะเลย”

“ไม่จริงหรอกน่า” เขาแค่นขำแต่เด็กหนุ่มไม่ขำด้วยและพูดต่อย่างจริงจัง

“จริงสิ สมเป็นเทพมากกว่าข้าอีก พอมองจากมุมนี้ข้ารู้สึกเหมือนเป็นเด็กอมมือเลย” หมอหนุ่มค่อยๆ หุบยิ้มตนลงแล้วพิศหน้างามข้างตนที่ยังแหงนมองเทวรูปอยู่

“เจ้าจำต้องให้อภัยพวกมนุษย์ที่ทำรูปสลักออกมาได้ไม่เหมือนเจ้า นั่นเพราะพวกเขาไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่งดงามขนาดนี้ได้โรเรเนส” ผู้พูดเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่หลุดมาปรกหน้าอีกฝ่าย เด็กหนุ่มยิ้มรับเล็กน้อยแล้วหันมามองตอบ

“ท่านเป็นคนปากหวานเสมอ”

“ข้าพูดความจริงต่างหาก แม้แต่คนปากเสียที่สุดก็ปฏิเสธความงามของเจ้าไม่ได้”

แพขนตาหนาหลุบลงต่ำ ใบหน้าที่สร่างฤทธิ์สุรากลับคืนขาวผ่องแต่ยังแต้มด้วยพวงแก้มแดงน้อยๆ เขาไม่ได้มีทีท่าเอียงอายแต่อย่างใด แต่กลับยังดูจริงจังกับสิ่งที่จะพูดต่อไป ดวงเนตรคู่งามช้อนขึ้นมาอีก

“มันไม่เกี่ยวกับความงาม แต่นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เหล่ามนุษย์ศรัทธาและคาดหวัง พวกเขาสร้างรูปสลักให้ออกมาน่าเกรงขามเพราะเชื่อว่าเทพของพวกเขาจะเป็นเช่นนี้ องค์ชายท่านคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากชาวสปันเทียรู้ว่าแท้แล้วเทพของพวกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้วุฒิภาวะเช่นข้า”

โฮรันนิ่งไปแล้วยิ้มอ่อน “ไม่ว่าจะอย่างไรก็เปลี่ยนความจริงที่เจ้าเป็นเทพไม่ได้หรอก” เขายังคงสุภาพและใจดี เด็กหนุ่มยิ้มรับแต่ออกเจื่อน คิดอะไรอยู่ไม่นานแล้วก็ตัดพ้อ

 “แต่พี่ชายท่านไม่คิดเช่นนั้นหรอก”

 “ทำไมต้องพูดถึงเขาอีก”

คราวนี้หมอหนุ่มมีปฎิกิริยาขึ้นมา เสียงถอนใจดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เด็กหนุ่มประหลาดใจกับน้ำเสียงที่เปลี่ยน เขาจึงเอ่ยถามแบบหวั่นๆ

“ท่านโกรธข้ารึ”

“เปล่า ไม่เลยเพียงแต่---ข้าไม่เข้าใจ เจ้าบอกว่าไม่ชอบเขาแต่เหมือนเจ้าจะนึกถึงเขาอยู่บ่อยๆ แม้กระทั่งตอนนี้เจ้าก็ยังดึงเรื่องที่เราคุยไปโยงกับเขาได้”

“ข้าขอโทษ” เจ้าของตาเศร้าโผเข้าจับแขนอีกฝ่ายพร้อมกับหน้าสำนึกผิด คิ้วที่ขมวดปมขององค์ชายจึงต้องคลายลงเมื่อใจอ่อนกับแววตาแบบนั้น
 
กระนั้นก็เถิดจู่ๆ เขาก็คิดเรื่องชั่วร้ายขึ้นมา

“ข้าน้อยใจจริงๆ นะ ทั้งที่ข้าทำขนาดนี้เจ้ายังนึกถึงแต่เขา หรือเจ้าอยากให้ข้าลงโทษเจ้าเหมือนเขาทำล่ะ”  โรเรเนสได้ยินก็บุ้ยปากใส่กระเง้ากระงอน

“ท่านจะปล้ำข้าใช่ไหม”

 “พะ..พี่ข้าทำแบบนั้นประจำเลยหรอ” โฮรันอึ้งกับคำตอบ

“ใช่...ท่านไม่ได้คิดจะทำแบบนั้นหรอกเหรอ”

“ไม่หรอก ข้าไม่ใช่คนเถื่อนแบบนั้น ข้าแค่...” 

หมอหนุ่มรูปงามโน้มตัวลงต่ำก่อนจะจุมพิตเบาๆ ลงที่ข้างแก้มใส เจ้าตัวผู้ถูกแกล้งตกใจผงะเล็กน้อยแต่ก็มิพ้น ส่วนอาการขวยนั้นมีปรากฎอยู่พริบตาแล้วจางไป

องค์ชายกลับมายืนในท่าเดิมแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เคืองอะไรมากจึงยังยิ้มให้แล้วกล่าวต่อ

“หวังว่าเจ้าจะไม่โกรธข้านะ ถ้าขอถือว่าทดแทนกับความน้อยใจของข้าที่เจ้าคิดถึงคนอื่นขณะเราอยู่ด้วยกัน”

“ข้าท่านถือเป็นเช่นนั้นข้าก็คงจะโกรธอะไรไม่ได้ หากแต่ข้าต้องบอกนะว่ามันเป็นสิทธิ์ของข้าว่าจะคิดถึงใครก็ได้”

“โถถังเสียใจจัง อยู่คุยแบบนี้เดี๋ยวข้าต้องเศร้าไปกว่านี้แน่ๆ ออกไปข้างนอกกันเถอะ”  เขาคว้ามือเด็กหนุ่มมากุมไว้แล้วจูงออกไปจากวิหาร อีกฝ่ายก็ว่าง่ายไม่ขัดขืนแต่ในใจก็ยังคิดเคืองอยู่เล็กน้อย

วันหลังต้องบอกเขาว่าอย่าทำอีก แต่ครั้งนี้คงต้องช่างมัน
 
อันที่จริงโรเรเนสรู้สึกอึดอัดมากกว่าจะเขินอายแบบที่เคยเป็นกับอีกคน เขาคิดสะระตะนึกย้อนเปรียบเทียบกับสิ่งที่โดนฟารันทำกับสิ่งที่โฮรันทำไปเมื่อครู่ แลไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกต่างกันเช่นนี้ ยามเมื่อมีเวลาดีๆ กับองค์ราห์โอเขาจะขวยเขินซ่านประหลาดในหัวใจแม้เพียงสัมผัสกันแผ่วเบา แต่พอเป็นชายผู้ที่เขาอยู่ด้วยได้อย่างสบายใจเช่นองค์ชาย พอถูกจุมพิตเล็กน้อยที่ข้างแก้มเขากลับไม่รู้สึกวามหวามอันใด มีแต่จะหงุดหงิดขัดใจด้วยรู้สึกบางอย่างว่ามันไม่ใช่

ถึงแม้เขาจะไม่ชอบสิ่งที่โฮรันทำ แต่ก็ไม่ต้องการให้เสียบรรยากาศเขาจึงไม่ว่าอะไรขณะเดียวกันก็แอบประท้วงเล็กๆ ด้วยการเงียบอยู่นานไม่หือไม่อือ จนโฮรันเริ่มรู้สึกได้ว่าถูกงอนจึงง้อด้วยขนมจำนวนมากและไม่นานเด็กหนุ่มก็เริ่มคลายอาการมึนตึงลง

พวกเขาเดินจูงมือบ้าง ควงแขนกันบ้างดูนั่นนี่ไปตลอดทางกระทั่งยามดึกล่วงมาก็ถึงเวลาอันควรที่องค์ชายหมอรอมานานเขาจึงเอ่ยชักชวนสหาย

“นี่โรเรเนส เดี๋ยวจะมีการแสดงที่จตุรัสตรงโน่นข้าอยากให้เราได้ดูด้วยกัน”

“อะไรรึ”

“จะมีการร่ายรำของนางระบำชื่อดังคนหนึ่ง ได้ยินมาว่างามมากแถมยังช่ำชองข้าล่ะอยากเห็นเป็นบุญตา” โฮรันพูดด้วยตาเป็นประกายปิดไม่มิด เทพหนุ่มหลุดขำออกมาเล็กน้อยที่เห็นผู้ชายใจดีตื่นเต้นกับผู้หญิงสวยขนาดนั้น

“ท่านหมอโฮ ข้าสงสัยจริงเทียวว่าท่านเที่ยวชมคนว่างามไปทั่วหรือเปล่า”

“ก็แค่ได้ยินคนเขาพูดมา”   

“อะไรที่ก็ย่อมน่าสนใจเป็นธรรมดา”

“ใช่ๆ เจ้าเข้าใจใช่ไหมไปกันเถอะ” พวกเขาเดินจูงมือกันเหมือนคู่รัก ฝ่าฝูงชนแออัดที่ขวางทางและเหล่าอาคาร จนเมื่อมาหยุดยืนร่วมกับฝูงชนกลางจัตุรัส โฮรันก็เริ่มพูดบรรยายสิ่งที่รู้มาเรื่อยๆ

 “การระบำแบบนี้เป็นวัฒนธรรมเดิมของสปันเทีย ปรกตินางระบำจะมีการประชันกันด้วยว่าใครนั้นทำได้ดีกว่า แม่นางผู้นี้ข้าเคยได้ยินมาว่านางเก่งที่สุดที่เคยมี ตัวข้าไปอยู่ชายแดนมาเป็นปีจึงยังไม่เคยได้ยลโฉมนางเสียที” โรเรเนสพยักหน้ารับช้าๆ แต่ก็ยังแอบอมยิ้มกับความกระตือรือร้นที่ยลโฉมสาวงามของอีกฝ่าย

ทว่าเขาก็รู้สึกขันอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเสียงเพลงดังขึ้นตามด้วยเสียงเชียร์โห่ร้อง แม่นางผู้นั้นก็ปรากฎกายขึ้นด้วยชุดสีแดงเพลิง ตัวเสื้อท่อนบนนั้นลอยโชว์เอวคอด กระโปรงผ้าบางถ่วงชายด้วยลูกปัดสะบัดไปมาตามแรงขยับแลเสียงกระพรวนที่ข้อเท้าของนางก็ดังรับเป็นจังหวะกับกลองตอนนางร่ายรำย่ำเท้าไปมา

นางนั้นงามสมคำร่ำลือ ผมดับขลับเงาเป็นกระกาย ผิวขาวผ่องเน้นให้ปากอิ่มแดงเด่นอยู่บนวงหน้า ม่านตาสีเขียวชวนสะกดใจให้ทั้งหมู่ทั้งมวลนิ่งงันไร้สติ แม้นจะมีความยั่วยวนอยู่ในทีแต่รอยยิ้มนั้นกลับดูหวานล้ำบริสุทธิ์ ดูออกได้ไม่ยากว่าถึงจะมีอาชีพให้ความบันเทิงแก่เหล่าบุรุษนางก็มิได้มีวิสัยดังสตรีร้อนเร่าเช่นสีชุดของนาง

ด้วยเหตุนี้กระมังองค์ชายถึงกับนิ่วหน้าขณะพิศเพ่งดูแล้วเปรยซ้ำกับตนเอง ว่า “หญิงงามเช่นนี้ไม่ควรปล่อยให้หากินอยู่ข้างทาง ควรพาเข้าวังเสียจะเหมาะกว่า” 

เด็กหนุ่มที่ยืนข้างกันได้ยินก็ยกยิ้ม พลันก็พบว่าแท้แล้วสหายที่รู้จักกันมาไม่นานผู้นี้น่าจะเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง คงต้องรอกดูกันต่อไปว่าในอนาคตขณะที่หมอหนุ่มป้อนคำหวานแก่ตน เขาจะพาสาวงามเข้าวังซักกี่คน

การแสดงดำเนินไปผ้าสีแดงสะบัดพริ้วไหวตามเสียงเพลง แดงฉานไปทั้งหมดทั้งปากทั้งชุดของนาง จนเมื่อแวบหนึ่งที่นางสลัดชายกระโปรงให้สยายออกโรเรเนสก็เหมือนจะเห็น...เลือด

เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ รอยเลือดนั้นก็หายไปเห็นเป็นผ้าแดงเช่นเดิมแต่เมื่อจ้องไปอีกซักพัก เขาก็เหมือนผ่านตาเห็นภาพเป็นเด็กหัวอาบเลือดอยู่อีกฝั่งของกลุ่มคนดู คราวนี้เขาเพ่งหนักกว่าเดิมจึงชัดแจ้งแก่ตาว่ามีเด็กหญิงเลือดท่วมตัวยืนอยู่ เขาตกใจร้องอุทานแล้วกระตุกเสื้อองค์ชายให้หันมาดู

“หมอโฮเด็กนั่น!”  ผู้ถูกเรียกหันมองตามแต่ตอนนั้นก็พบว่าเด็กนั่นหายไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นโรเรเนส ทำไมหน้าเจ้าซีดเช่นนั้น” หมอหนุ่มหันมาถามด้วยความกังวลแต่โรเรเนสยังนิ่งอึ้งกับการหายไปอย่างกระทันหันนั้น เขาไม่เชื่อว่าคนเราจะหายไปได้เฉยๆ แต่ทำอะไรไม่ได้จึงเงียบไปและพยายามกล่อมว่าคิดไปเอง

ทว่า อยู่ดีๆ กลิ่นเลือดก็คลุ้งขึ้นมา

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 12-09-2015 04:25:13
คนเขียนกลับมาแล้ว ดีใจจุง
อ่านทั้งของธัญวลัยแล้วก็ที่นี่เลย ><!!!
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 12-09-2015 06:40:34
ตามติด
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 12-09-2015 08:56:21
มาต่อเร็วๆ หมอโฮเราเป็นกำลังใจให้นะนายคือพระเอก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 12-09-2015 10:52:55
คค้าางงงงงงง :katai4:
เชียร์ฟารันคนโง่ เอื่อยเฉื่อยยจริงๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 12-09-2015 12:52:49
ไอ่ย่ะ จะมีเรื่องไม่ดีขึ้นอีกเหรอ?! :ling3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 12-09-2015 14:40:54
เด็กคนนั้นทำไหมถึงโผ่มานะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: someone0243 ที่ 12-09-2015 15:01:52
บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจเลยอ่ะ  :katai1: มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 14-09-2015 19:05:01
ฟารันทำอะไรอยู่!!!  :hao7:
ไม่ชอบหมอโฮเลย จ้องจะฉวยโอกาสอยู่ตลอด  :z6:
โรเรเนสคืนดีกับฟารันเร็วๆ นะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: lovely tham ที่ 28-09-2015 23:17:37
 :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 40% 12/9/2558
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 04-10-2015 05:05:02
อยากอ่านต่อแล้ววว
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 70% 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 16-10-2015 23:11:21

           เสียงเพลงยังดำเนินไปพร้อมจังหวะร่ายรำของสาวงาม แต่ถึงแม้จะข่มใจไม่ให้คิดอะไรแต่กลิ่นเลือดหาที่มาไม่ได้ก็ดึงสมาธิทั้งหมดของเขาไป โรเรเนสสอดส่ายสายตามองไปทั่วเพื่อหาต้นตอไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยกับการแสดงตรงหน้า เช่นกันกับคนอื่นๆ ที่โห่ร้องส่งเสียงเชียร์แก่นางรำ พวกเขาก็ไม่ได้ดูว่าจะรู้สึกถึงความผิดปรกติอันใด เด็กหนุ่มมองไปยังใบหน้าร่าเริงของผู้คนทั้งหลายที่เหมือนไม่ได้อยู่ร่วมเหตุการณ์เดียวกับเขา ก่อนจะหันไปมององค์ชายที่ข้างกาย

โฮรันไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจออะไรเลยกับกลิ่นเหม็นคลุ้งที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าละมุนนั้นยังยิ้มอ่อนให้กับการแสดง เทพหนุ่มเริ่มรู้สึกเอะใจจึงออกปากเรียก

“หมอโฮ” ไม่มีการตอบโต้ใดเกิดขึ้น แม้เขาจะย้ำเรียกอีกกี่ครั้งและด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างไรโฮรันก็ไม่ได้ยิน

พลันแล้วทุกเสียงก็หายไปพร้อมการมาของภาพที่ยืดช้า โรเรเนสไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วเขาแตกตื่นเหลียวมองรอบตัวก็เห็นผู้คนเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า เหมือนการเวลาถูกหยุดยืดให้หนืดหนาดออกไป

รู้ได้ทันทีว่ามีเวทย์มนต์บางอย่างครอบคลุมพื้นที่ไว้และไม่ว่าใครจะทำหรือมีเป้าประสงค์อะไรผู้นั้นก็หมายเล่นงานมาที่เขา เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลจากพลังเวทย์นี้

อะไรกัน!” เด็กหนุ่มร้อนใจและรู้ว่าไม่อาจให้ใครช่วยได้เพราะทุกคนรอบตัวตกอยู่ใต้พลังเวทย์กันหมดแล้ว ความรู้สึกหนักอึ้งประหลาดก่อตัวขึ้นแล้วในขณะที่ยังพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกลิ่นเลือดก็ชัดขึ้นอีกเหมือนอยู่ที่ปลายจมูก

เด็กหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูกก่อนจะเริ่มออกวิ่งเพื่อหวังให้ตนพ้นจากกลิ่นนั้น แต่ขณะที่วิ่งหาทางออกเขาก็เห็นเด็กคนนั้นผู้มีเลือดโชกยืนมองเขามาจากอีกฟากถนนก่อนจะวิ่งหนีไป

นี่เดี๋ยวสิ!” โรเรเนสตะโกนเรียกแล้ววิ่งตามสิ่งมีชีวิตเดียวที่เคลือนที่ได้ปรกตินั้นไป

นี่ฝีมือเธอใช่ไหม!” ไร้เสียงตอบรับแต่ขาเล็กๆ ยังวิ่งออกไป เทพหนุ่มยังไล่ตามเด็กนั่นด้วยความคิดประหลาด เขายังหวังว่าตนเองสามารถเจรจากับคนที่ทำแบบนี้ได้

 “ทำแบบนี้ทำไมน่ะ!” เขายังตะโกนไล่แผ่นหลังเล็กๆนั้นที่วิ่งเลี้ยวเข้ามุมไป โรเรเนสสาวเท้าตามไปแล้วพบว่าตนได้วิ่งเลี้ยวเข้ามาในตรอกแห่งหนึ่ง พลันเขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศแถวนี้นั้นต่างไป

           กลิ่นเหม็นและอากาศหนักๆหายไป เขาหายใจลึกหอบเหนื่อยขณะชะลอช้าฝีก้าวลง ตรอกที่เขาได้เข้ามาปูด้วยหินหยาบๆ มีขนาดเล็กมากกว่าทางสัญจรทั่วไปอีกทั้งยังไม่มีการตบแต่งใดเหมือนทางเดินสายอื่น สังเกตดีๆจึงทรายได้ว่านี้เป็นทางเดินด้านหลังของอาคารที่เรียงขนาบสองข้างทาง ตามปรกติคงไม่มีคนใช้เส้นทางนี้เว้นแต่ผู้อาศัยในตึกรามที่ตั้งเรียงอยู่

เขาเดินเข้าไปแล้วรับรู้ได้ว่าบริเวณนี้คงพ้นเขตอาคมมาแล้วเพราะกระแสลมนั้นพัดฉิวเป็นปรกติและไฟสว่างจากอาคารรอบๆ ก็ยังโบกไหวตามจังหวะลม

สิ่งที่เขาคิดได้รับการยืนยันให้ชัดขึ้นเมื่อเสียงครื้นเครงของผู้คนมากมายดังขึ้นทั้งเสียงโห่เฮของผู้ชายดังแทรกปนกับเสียงกรี๊ดกร๊าดหัวเราะต่อกระซิกของผู้หญิงจากอาคารนั้นอาคารนี้เรื่อยไปตามทาง กลิ่นหอมเอียนของเครื่องหอมนานาชนิดลอยมาตามลมพร้อมบทสนทนาสัปดนที่แว่วมาคู่กัน โรเรเนสจึงรู้ได้ว่าจุดที่เขาอยู่เป็นด้านหลังของย่านนางโลม

ผู้คนในอาคารเหล่านี้ยังคงสนุกสนานและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก เขามองไปรอบตัวเหมือนจะใจชื้นขึ้นเล็กน้อยแต่เมื่อกลับมามองที่ทางเดินก็ตกต้องใจที่เห็นเด็กคนนั้นมายืนอยู่เบื้องหน้า แต่ไม่ได้มีสภาพอาบเลือดหากแต่สวมเสื้อคลุมตัวยาวใบหน้าสะอาดสวยงามจิ้มลิ้มยืนยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจมองเขาอยู่

“ท่านเด็กกว่าที่ข้าคาดไว้มากและดูไม่ประสีประสาจนน่าผิดหวัง” เด็กน้อยคนนั้นกล่าว เทพหนุ่มระแวดระวังแล้วเอ่ยถาม

“เจ้าเป็นใคร เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึ” ปากบางเล็กนั้นเหยียดยิ้มก่อนตอบ “ถ้าเป็นตอนนี้ท่านคงจำอะไรไม่ได้หรอก แต่เมื่อกลับสวรรค์ไปแล้วท่านก็คงจะระลึกได้ว่าเคยทำอะไรไว้”

โรเรเนสตาเบิกโพลงกับคำพูดชวนฉงนนั้นหากไม่ทันตอบโต้เข้าก็ต้องหันหลังกลับเมื่อรู้สึกเย็นวาบด้วยจิตสังหาร ชายชุดดำที่โพกผ้ามิดชิดเหลือแต่ตาเดินย่างเข้ามาพร้อมดาบมันเงาในมือ!

“อยู่ไปก็รกโลกกลับสวรรค์อันสูงส่งของท่านไปเหอะองค์เทพ!” เสียงใสของเด็กน้อยดังสาปแช่งอย่างสะใจก่อนจะตามด้วยการหัวเราะ โรเรเนสออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตความกลัวตายผุดขึ้นตามธรรมชาติมนุษย์ขัดแย้งกับอารมณ์อยากตายที่เคยมีเมื่อก่อนอย่างลิบลับ

ไม่!” เขาแผดร้องออกเมื่อคมดาบตวัดผ่านศีรษะไปเล็กน้อยขณะเอี้ยวตัวหลบเป็นผลให้ดาบนั้นพลาดไปฟาดปักอยู่กับเสาไม้ ยื้อเวลาอีกเล็กน้อยให้เขาตะเกียดตะกายหนี

พวงแก้มแดงซ่าน เหงื่อแตกกาฬและลมหายใจหอบหนัก ในหัวนั้นว่าเปล่าปากนั้นยังคงพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่ามีคนได้ยินแต่เหล่าบุรุษทั้งหลายในห้องหอรอบด้านก็เมามายไร้สติกันเกินกว่าจะรับรู้ มีเพียงนางโลมบางคนที่แอบลอบมองเหตุสยองผ่านม่านแดงแล้วส่งเสียงกรีดร้องในจังหวะที่เทพหนุ่มสะดุดล้มลงไปกับพื้น

ใต้เงาจันทร์อันเย็นเหยียบครานี้องค์เทพคงสิ้นบารมีอย่างเดียวดายในการจับจ้องของหญิงคณิกาและแสงดาวระยับ ไร้เรี่ยวแรงจะหนีต่อ เพชรฆาตเลือดเย็นย่างเข้ามาแล้วง้างดาบขึ้นสูง แพขนตาหนาหลุบปิดลงอย่างยอมแพ้เตรียมพร้อมรับกับความเจ็บปวดอันสาหัส เสียงแผดกรีดร้องของหญิงคณิกากลุ่มนึงดังขึ้นใกล้ๆ ตามด้วยเสียงหวืดหวือแหวกอากาศของด้ามดาบ

ชิ้งงงงง

.....   

ไร้หยดเลือด?

ไร้ความเจ็บปวด?

......

เสียงคมดาบกระทบกันแทนที่จะเป็นเสียงฟันเนื้อหนังดังขึ้น แล้วทุกสรรพเสียงรอบด้านก็พลันเงียบไปเหมือนเวลาหยุดนิ่งเช่นก่อนหน้า เด็กหนุ่มที่ยังหลับตาปี๋รู้สึกได้ว่าความตายยังไม่มาถึง ตนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างแปลกใจ

ทว่ากลับต้องประหลาดใจเป็นเท่าทวียิ่งไปกว่าเดิมกับภาพตรงหน้า เมื่อเห็นบุรุษในชุดผ้าไหมสีขาวยืนต้านคมดาบของนักฆ่าด้วยดาบอีกเล่มในมือตน โรเรเนสละล่ำละลักก่อนจะโพล่งขึ้น

“ฟะฟารัน! ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“ข้าอยู่แถวนี้มาเป็นชั่วโมงแล้ว เจ้านั่นแหละทำไมมาอยู่ที่นี่”

บทสนทนาถูกขัดจังหวะเมื่อนักฆ่าตวัดดาบอีกครั้ง กษัตริย์หนุ่มเยื้ออาวุธในมือขึ้นต่อกรกับอีกฝ่ายพลางตะโกนไล่ให้เด็กหนุ่มหนีไป

วิ่ง!” โรเรเนสผุดลุกยืนอย่างทุลักทุเลพลางมองรอบตัวด้วยสงสัยว่าฟารันนั้นโผล่มาจากไหน ก่อนจะเห็นได้ว่าชั้นสองของตึกที่อยู่ข้างๆนั้นมีหน้าต่างเปิดอ้าอยู่

เขาโดดออกมาจากหอนางโลม!!
เด็กหนุ่มขบกรามแน่นด้วยโมโหแต่ก็ข่มไว้แล้วออกวิ่งตามคำบอก

ทางด้านราห์โอนั้นยังต่อสู้อยู่กับนักฆ่าอย่างช่ำชองจนเมื่ออีกฝ่ายพลั้งเผลอเขาก็ไม่ลังเลที่จะฟาดคมดาบลงใส่ร่างตรงหน้า ทว่าแทนที่จะมีเลือดแดงฉาน ร่างนั้นกลับสลายไปเป็นควันเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าที่สู้ไปนั้นเป็นเพียงร่างเงา

ฟารันไล่ตามเด็กหนุ่มไปจนถึงตัวแล้วคว้าข้อแขนของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะฉุดดึงและเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นไปอีก
“เจ้านั่นเป็นแค่ร่างอาคมฆ่าไม่ตาย มันอาจโผล่มาอีกได้เป็นสิบเราต้องรีบหนีให้พ้นแล้ว” กษัตริย์หนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเคร่งเครียดแต่โรเรเนสกลับมุ่ยหน้าใส่แล้วโหวกเหวกขึ้นถึงเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

ท่านมาเที่ยวผู้หญิง!!” หนุ่มน้อยนิ่วหน้าแก้มป่องจนแดงจ้องมองหน้าหล่อนั้นอย่างเอาเรื่อง
นี่มันไม่ใช่เวลามาหึงนะ!” ผู้พูดยังมีน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง แต่แววตานั้นกลับวาวโรจน์เหมือนเริงร่าอยู่แวบหนึ่ง
ข้าไม่ได้หึง แต่ท่านโกหก!ไหนว่าไปทำพิธีไง!”
“ไม่ได้โกหกแต่พิธีมันจบไปนานแล้ว อีกอย่างถึงข้าจะอยู่กับนางคณิกาข้าก็ไม่ได้มาเที่ยวอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”

ทั้งสองชะงักฝีเท้าลงเมื่อข้อสันนิษฐานก่อนหน้าเป็นจริง ชายชุดดำที่สลายไปยืนดักหน้าพวกเขาด้วยจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสิบ! พวกเขาหันกลับจะวิ่งไปอีกทางแต่ก็มีนักฆ่าในชุดเดียวกันโผล่มาล้อมไว้ ฟารันดึงโรเรเนสให้ไปหลบด้านหลังพร้อมตั้งดาบขึ้นเตรียมพร้อม

“ข้าบอกแล้วไงนี่ไม่ใช่เวลาจะมาหึง”

 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

เดี๋ยวมาต่อครัช



หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 70% 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 17-10-2015 01:43:30
รอนะคะ ดีใจมาก รีเฟรชมาแล้วเจอเรืองนี้
ฟารันมาทำอะไรที่หอคณิกาน่าสงสัยจริงๆ แถมองค์เทพยังหึงด้วยนี่สิ!!! ฟารันได้ใจใหญ่แล้ว ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 70% 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 17-10-2015 07:19:23
รอนะครับ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 70% 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 18-10-2015 12:36:27
กรี๊ดด เด็กน้อยขี้หึง น่าร้ากกกก : :m3:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 70% 16/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-10-2015 12:57:42
ปูเสื่อรอครับ :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 100% 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 23-10-2015 01:54:56


      เขาไล่มองดวงตานับสิบคู่ที่ล้อมตัวอยู่ จึงรู้ได้ว่าเหล่านี้เป็นเพียงร่างแยกที่ใช้อาคมหากแม้จะฟาดฟันไปอย่างไรถ้าอาคมยังอยู่ก็เปล่าประโยชน์ เว้นเพียงแต่หนึ่งในจำนวนนี้จะมีร่างจริงจึงอาจจัดการได้

แต่ชะตากรรมของพวกเขานั้นไม่ได้ถูกจับจ้องโดยเหล่านักฆ่านี้เท่านั้น ร่างเล็กๆร่างหนึ่งที่ไม่ทราบได้ว่าใช้วิธีใดในการย้ายตนขึ้นไปอยู่บนหลังคาอาคารได้ก้มมองต่ำลงมาเหยียดดูคนทั้งสองอย่างสมเพช

“ท่านปกป้องเขาไม่ได้หรอก รวมทั้งผู้ติดตามที่ท่านส่งออกไปตามคนมาช่วยก็เปล่าประโยนช์เช่นกัน พ้นตรอกนี้ออกไปคนทั้งหมดก็ตกอยู่ในมนต์ของข้า” เสียงใสนั้นเอ่ยกังวาล เหยื่อทั้งสองมองไปยังต้นเสียงก็เห็นเป็นเด็กน้อยที่อยู่ในชุดผ้าคลุม แต่คราวนี้โรเรเนสไม่อาจเห็นหน้าตาชัดเพราะหมวกฮูดนั้นคลุมอยู่

“เด็กนี่เป็นพ่อมด” รับรู้ได้โดยประสบการณ์ฟารันปรารภขึ้นกับตัวเอง ซึ่งแน่นอนเด็กนี่ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากจะเป็นพ่อมดคาราซัส ตัวน้อยที่เป็นคนทำให้น้ำเชื่อมของเทพอย่างโรเรเนสต้องแปรเป็นสีขาวขุ่น


 “ใครสั่งให้เจ้าทำแบบนี้!” ราห์โอตะโกนกร้าว“โอ้ไม่ ฝ่าบาทอย่าคิดไปเช่นนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวโดยล้วน” พ่อมดน้อยเอ่ยอย่างสบายใจแต่อารมณ์ก็กลับตาลปัตรเมื่อเทพหนุ่มออกปากเอ่ยถามขึ้นมา

“ข้าไปทำอะไรให้เจ้าเจ็บแค้นใจนักรึ เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย”

“หุบปาก!” เด็กน้องแผดเสียง “ถ้าท่านคิดจะเจรจากับข้าก็ลืมไปได้เลย สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่การถกเถียงพูดคุยหรอกนะ”

สิ้นคำนักรบชุดดำนับสิบก็พุ่งเข้ามาฟารันตัดสินใจดึงใช้แขนข้างที่ว่างโรเรเนสมาโอบไว้แนบอกเพราะศัตรูล้อมตัวเช่นนี้แม้หลบอยู่ด้านหลังก็ไม่อาจปลอดภัย เด็กหนุ่มอันเกิดรู้สึกขวยขึ้นแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรหนักใจเพียงแต่ตัวเองจะเป็นตัวถ่วงในการต่อสู้ครั้งนี้

 ซึ่งก็จริงเพราะองค์กษัตริย์พยายามรับมือจากคมดาบรอบด้านด้วยมือเดียวอย่างไม่ใคร่ถนัด กระนั้นก็ยังมีความโชคดีด้วยสังเกตได้ว่าหลังจากโดนแบ่งตัวเป็นสิบๆ คนเหมือนฝีมือในเชิงดาบของร่างควันเหล่านี้ก็อ่อนด้อยลงไปมาก

ฟารันฟาดฟันกับความอิรุงตุงนังรอบตัวโดยไม่สนใจคำประท้วงของคนในอ้อมแขนที่ร้องขอให้ปล่อยเขา


“อยู่แบบนี้ข้าจะทำท่านลำบากไปด้วยนะ ปล่อยข้าเถอะข้าหนีเองได้” ปากน้อยๆ ละล่ำละลัก แน่นอนว่าคำร้องของเขามีการตอบรับจากอีกฝ่าย แต่ไม่ใช่การปล่อยตัวเพราะองค์ราห์โอเปลี่ยนจากการโอบเด็กหนุ่มไว้แนบตัวเป็นยกขึ้นมาพาดบ่าแทนเพื่อความคล่องตัว

คนถูกยกร้องเสียงหลงแถมยังหวาดเสียวกับเงาสะท้อนคมดาบที่วาบผ่านไปมารอบตัวไม่รู้จะโดนตรงไหน ด้านองค์ราห์โอไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลยซักคำไม่ว่าโรเรเนสจะเอ่ยขอะไรออกไป จนกระทั่งการตวัดปลายดาบครั้งสุดท้ายก็พาทั้งสองฝ่าวงล้อมออกมาได้

ทันทีที่วิ่งพ้นออกมาเทพหนุ่มก็ถูกวางลง ยังไม่ทันทรงตัวได้ดีก็ถูกลากให้ออกวิ่งเพราะไอ้พวกร่างควันที่สลายไปกลับปรากฎตัวขึ้นมาอีกแล้วเริ่มออกไล่กวดเขาทั้งสอง

หากยังเป็นเช่นนี้ไปก็ไม่จบไม่สิ้นแม้พวกร่างเงาจะด้อยฝีมือเมื่อแยกร่างก็อาจต้านทานได้ไม่นานถ้าไม่ทำลายอาคมเสีย

ฟารันนึกหนทางที่จะจัดการพลันเสียงของพ่อมดน้อยก็ดั่งไล่มาจากด้านหลัง “อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้นะเจ้าบ้า”

ความคิดนึงแวบแล่นขึ้นมากษัตริย์หนุ่มก็ตวัดแขนส่งกริชที่เหน็บไว้แวกอากาศพุ่งตรงไปที่พ่อมดน้อย จนเฉียดฉิวจวนจะแทงแสกหน้ามีดสั้นปริศนาก็พุ่งมาสกัดกริชเล่มนั้นกระเด็นไป

ว่องไวปานกระพริบตาฟารันมองไปยังทิศที่มีดสั้นปริศนานั้นพุ่งมา ก็เห็นร่างเงาของชายคนหนึ่งแอบอยู่ที่ระเบียงอาคารอีกฝั่ง ชายคนนั้นแต่งตัวคล้ายนักฆ่าที่ล้อมเขา

 เป็นไปตามที่คิดว่านักฆ่าคนนี้ต้องเป็นต้นร่างของพวกทั้งหมดและคงทำงานให้พ่อมดเด็กคนนั้น ฟารันจึงไม่รอช้าส่งตัวเองพุ่งเข้าหาร่างจริงบนระเบียงนั้นแล้วเหวี่ยงดาบสุดแรงแขน!

เสียงเหล็กกล้ากระทบกันดังลั่น นักฆ่าเงายกดาบมารับคมดาบของอีกฝ่ายแทบไม่ทัน ไวอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองจ้องตาหมายจะเอาชีวิตกันทั้งคู่ ฟารันก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารบางอย่างที่แฝ้งเร้นความแค้นซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีสำหรับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก

การปะทะตอบโต้เกิดขึ้นอย่างฉับไวรุนแรง โลหะกล้าสะท้อนแสงจันทร์แลเห็นเป็นแสงวูบวาบสะบัดไหวไปมาในความมืดควบด้วยเสียงกังวาลกระทบหนักของพวกมัน ร่างเงาที่มีนับสิบก่อนหน้าสลายไปเพราะผู้ใช้คาถานั้นต้องประมือกับกษัตริย์หนุ่มอย่างยากลำบาก ทำให้โรเรเนสผู้เป็นอิสระไม่รอช้าที่จะออกวิ่งต่อเพื่อไปตามคนมาช่วย

พ่อมดน้อยผู้รู้ได้แล้วว่าต้องพึ่งตัวเองสำหรับภารกิจนี้เริ่มร่ายมนต์หวังจะจัดการกับเทพหนุ่ม แต่เขาก็ต้องประหลาดใจที่คำร่ายที่ตนพึมพำออกจากปากไม่ส่งผลอะไรกับองค์เทพ แลยังเห็นเจ้าของเกศม่วงวิ่งตรงไปยังปากทาง

“ผู้คนด้านนอกยังตกอยู่ในมนต์สะกดของข้า เจ้าไม่สามารถตามใครมาช่วยได้หรอก” เด็กน้อยในผ้าคลุมตะโกนบอกขณะวิ่งไล่ตามองค์เทพอยู่บนดาดฟ้าตึกแถว แต่ก็เพียงคำพูดก็ไม่อาจหยุดโรเรเนสได้แม้เจ้าตัวคนหนีจะยังไม่รู้ว่าควรใช้วิธีไหนเรียกสติคนอื่นที่อยู่ในภวังค์ให้กลับมาดี

พลันแล้วเขาก็หยุดนิ่งยืนหอบเหนื่อย เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปถามความ “แล้วเจ้าล่ะจะทำอย่างไรกับข้า นักดาบของเจ้าก็ติดพันอยู่ตรงโน้น เวทย์มนต์เจ้าก็ร่ายใส่ข้าไม่ได้แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”

เด็กน้อยยืนนิ่งอยู่ครู่นึ่งแล้วแปรสีหน้าเป็นโกรธเกรี้ยวกับคำถามเชิงปรามาสของอีกฝ่าย ร่างน้อยๆ นั้นหายวับไปทันทีแล้วโผล่มาด้านหลังโรเรเนสอย่างไร้ซุ่มเสียงพร้อมกับกริชขนาดเล็กในมือที่พุ่งเข้าใส่

แต่โรเรเนสก็หลบได้ทันเพราะตนจงใจให้เป็นแบบนี้ เขาคว้าข้อแขนที่พุ่งเฉียดแผ่นหลังของตนเมื่อครู่ไว้แล้วกระชากเด็กน้อยเข้ามาประชิดตัวก่อนจะคว้าแขนอีกข้างตามด้วยการออกแรงบีบแขนน้อยๆ ทั้งสองให้เจ้าตัวรู้สึก

“โอ้ยยยย ข้าเป็นเด็กนะ”

“อะไรกันเจ้าตั้งใจฆ่าข้าแต่พอโดนบีบแขนเข้าหน่อยมาอ้างความเป็นเด็กหรอ”

“ปล่อยนะ!”

เสียงร้องงอแงด้วยความตกใจดังลั่นจนชายชุดดำสหายผู้กำลังสู้ศึกถึงกลับเสียหลัก เขาหันมองตามเสียงด้วยความเป็นห่วงพ่อมดน้อย จนพลาดท่าเกือบโดนองค์กษัตริย์ตัดหัวขาดเฉียดไปแค่เพียงนิดเหลือทิ้งเป็นแผลเลือดซึมบนข้างแก้ม

“ตั้งใจหน่อยสิ ข้าเริ่มสนุกแล้วเชียวเมินกันแบบนี้มันไร้มารยาทนะ” ราห์โอเย้ยยิ้มเยือกเย็น นักฆ่าเงาเขม็งจ้องอย่างขุ่นเคืองแล้วเอ่ยเรียบ “ข้าจะรีบจัดการกับเจ้าเสียเดี๋ยวนี้” แล้วปรี่เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้งกวัดแกว่งดาบใส่กันอย่างช่ำชอง

ด้านเทพหนุ่มเห็นเด็กน้อยโวยวายตกใจก็ได้ทีปล่อยมือตนจากข้อแขนอีกฝ่ายตรงไปหยิกแก้มแดงทั้งสองเพื่อให้รู้สึกเจ็บ (แต่อันที่จริงเขาหมั่นเขี้ยวอยากหยิกแก้มแดงๆ นี้มาซักพักแล้ว)

“โอ๊ยยย ข้าเจ็บนะ” พ่อมดน้อยพยายามดึงมือเทพหนุ่มออก ตาก็หลับปี๋ด้วยน้ำตาพาลจะไหล

“นี่แน่ะ เด็กไม่ดีคลายมนต์เดี๋ยวนี้นะ”

“ไม่!”

ทั้งขู่ ทั้งปลอม ทั้งหลอกล่อ หยิกแก้มและจักกะจี้เด็กน้อยก็ยังดื้อ โรเรเนสจึงหยุดการกระทำทั้งหมดแล้วจับเขาไว้เฉยๆ แล้วนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่งสบตากับเด็กตรงหน้าเหมือนหยั่งเชิง

“ท่านต้องฆ่าข้าเท่านั้นข้าถึงจะยอมคลายมนต์ ไม่ท่านก็ตายไปซะ!”

“อ่อ ถ้าข้าไม่หายใจแล้วมนต์ถึงจะคลายใช่ไหม”

“เออ! รู้แล้วก็รีบตายๆไปซะข้าอาจจะปรานีให้นักฆ่าของข้าไว้ชีวิตราห์โอก็ได้”

“รับปากนะ”

“เออ พร้อมจะตายรึยังล่ะ”

“ดี ในนามของข้าเอง เทพโรเรเนสขอให้เจ้าสมพรปากในสิ่งที่รับไว้”

กล่าวจบโรเรนสก็สูดหายใจเต็มปอดแล้วกลั้นฮึบไว้อยู่นาน

ทันใดนั้นลมก็พัดมาวูบหนึ่งแล้วพลันเสียงโห่เฮของผู้คนมากมายที่เคล้าเสียงดนตรีก็ดังมาจากด้านนอก แสดงว่าผู้คนพ้นจากมนต์สะกดแล้วและพวกเขากำลังใช้ชีวิตปรกติในงานรื่นเริงเหมือนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตนเมื่อก่อนหน้า

เทพหนุ่มปล่อยลมหายใจออกอย่างโล่งเหนื่อยแล้วยิ้มน้อยให้พ่อมดที่ยังงุนงง

“ขี้โกงเป็นแบบนี้ได้ยังไง! เจ้าแค่กลั้นใจไม่กี่นานไม่ได้ตายเสียหน่อย”

“ถูกแล้วเมื่อข้าถามว่าหากข้า ไม่หายใจ มนต์ถึงจะคลายใช่ไหม เจ้าก็รับคำว่าใช่และแน่นอนในนามของข้าเองซึ่งเป็นเทพ เจ้ารับคำต่อหน้าเทพไปแล้วมันต้องเป็นไปตามนี้แหละ”

“ไม่จริง! มันไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนนี้เจ้ายังเป็นมนุษย์นี่”

“ร่างกายข้าเป็นมนุษย์ แต่วาจาที่กล่าวออกมาก็มาจากจิตของเทพอยู่ดีนี่มันกฎของโลก ขอโทษจริงๆ ปรกติข้าไม่เล่นเล่ห์หรอกแต่คราวนี้มันจำเป็น”


เสียงฝีเท้าหนักๆ มากมายดั่งเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น จนแล้วผู้ที่โผล่มาจากปากทางเข้าตรอกก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผู้ติดตามองค์กษัตริย์ที่ถูกส่งให้ออกไปตามคนมาช่วย เขามาพร้อมกับทหารลาดตระเวนหลายสิบคน

เด็กน้อยตื่นตะลึงแล้วตวัดตามองค้อนองค์เทพก่อนจะหาบวับไปอีกครั้ง ด้านนักฆ๋าเงาที่ได้ยินเสียงฝูงคนก็รู้ได้ว่าต้องทำเช่นไร ฟารันรู้ได้ว่าอีกฝ่านกำลังคิดหนีจึงรุกหนักฟาดฟันกระหน่ำไม่ยั้ง แต่ชายชุดดำนั้นก็หาจังหวะหลบหลีแล้วก็เกิดแรงระเบิดขนาดย่อมขึ้น ควันดำพวยพุ่งจนฟารันมองไม่เห็นอะไรเมื่อควันจางศัตรูของเขาก็หายไปแล้ว

“ขี้ขลาด!”

องค์ราห์โอย้ำเท้าหนักอย่างกริ้วโกรธตรงไปยังเหล่าทหารแล้วตะโกนลั่น “ไปจับพวกมันมาให้ได้!”

เหล่าทหารรับคำแล้วแยกย้ายกันไปตามซอกซอยเหลือเพียงบางคนไว้คุ้มกัน ฟารันเก็บดาบเข้าฝักใบหน้าของเขายังคงดูถมึงทึง เป็นเหตุในโรเรเนสเกิดรู้สึกหวาดขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมตรงเข้ามาเขาก็หลบตา

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เอ่ยออกมาด้วยเสียงนิ่งขรึม

“ข้าไม่เป็นไร และต้องขอโทษท่านด้วยที่เป็นเหตุของเรื่องอันตรายนี้”

“ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก ข้าก็เป็นคนอนุญาตให้เจ้าออกมาเที่ยวเอง---แต่ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เขาถอนใจเหนื่อยๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ

โรเรเนสก้มมองต่ำ อันที่จริงเขากลัวแทบแย่เมื่อตอนจะโดนฆ่าตอนนี้ก็อยากโดนปลอบมากๆ เด็กหนุ่มลอบมองสีหน้าอีกฝ่ายที่ยังนิ่งคงเพราะเหนื่อยและโกรธแต่ก็ยังมีอาการห่วงให้เห็นได้ชัด เขาจึงยกมือเรียวของตนดึงเสื้อของอีกคนให้เข้ามาใกล้แล้วเงยหน้ามองด้วยหน้าอ้อนๆ ราห์โอนั้นตะลึงกับใบหน้าน่ารักนั้นแล้วจึงยิ้มให้

มือที่ลูบอย่างแผ่วเบาบนศีรษะลดลงมาช้อนปลายคางมนนั้นขึ้นแทน ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าลงเข้าใกล้กันและกัน ทว่า

“โรเรเนสเจ้าเป็นอะไรไหม!” ท่านหมอวิ่งเข้ามาอย่างตระหนกพร้อมองค์รักษ์ทั้งสอง เด็กหนุ่มหันตามเสียงเรียกอัตโนมัติ องค์ราห์โอจึงต้องถอยออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ท่านหมอข้าไม่เป็นไร ราห์โอมาช่วยข้าไว้ทัน” เข้าเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ข้าเป็นห่วงแทบแย่” แล้วองค์ชายก็ฉวยตัวเด็กหนุ่มเข้าไปกอดเสียแน่น ลืมไปเลยว่ามีอีกคนยังยืนมองอยู่อย่างขุ่นเคือง

“ฮืม—ไม่คิดจะห่วงพี่เจ้าบ้างหรือไง” ราห์โอเอ่ยเข้ม โฮรันจึงปล่อยมือแล้วยิ้มให้พี่ชายตน

“อ่อ อภัยข้าเถิดท่านพี่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้และขอบคุณท่านจริงๆ ที่ปกป้องเขา”

“นั่นมันเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่วันหลังจะมาอยู่ดึกกลางเมืองกันแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”

“พวกเราก็เพลิดเพลินกันไปจริงๆ ว่าแต่บังเอิญเหลือเกินที่ท่านพี่อยู่ในละแวกนี้ได้”

พอท่านหมอเอ่ยขึ้นมาโรเรเนสถึงนึกขึ้นได้ถึงเรื่องหมองใจก่อนหน้า เขานิ่วหน้าเมื่อนึกได้ว่าฟารันยังไม่บอกว่ามาทำอะไรแถวหอนางโลม

“กลับไปถึงวังข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟัง”

“ไม่อยากรู้หรอก” หนุ่มเกศม่วงงึมงำขึ้นกับตัวเอง

“หืม เจ้าว่าอะไรนะ” โฮรันก้มหน้าลงมาถามแต่ได้รับการตอบกลับมาว่า ไม่มีอะไร เขาจึงปล่อยเลยไป กระนั้นบุรุษอีกคนที่ได้ยินชัดก็ยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวแต่ไม่พูดอะไร 

“กลับกันเถอะ เวลาเลยมาจะยามสองแล้ว” ราห์โอกล่าวขึ้นทุกคนจึงเริ่มเดินออกจากจุดเดิม ปล่อยพวกทหารทำงานกันพล่านไป แต่ขณะเมื่อหันหลังกลับโสตอันฉับไวของกษัตริย์หนุ่มก็จับความเคลื่อนไหวของบางสิ่งที่แวกผ่านอากาศมุ่งตรงมายังพวกเขา หางตาเหลือบไปก็เห็นวัตถุอันตรายชัดเจน

“โรเรเนสระวัง!”

 ตะโกนพร้อมพุ่งไปบังร่างของอีกคน เพียงเสี้ยววินาทีมีดสั้นที่ถูกปามาก็ปักแน่นเข้าใต้ไหปลาร้าของฟารัน

“ฟารัน!”

“ท่านพี่!”

“องค์ราห์โอโดนลอบทำร้าย!”

ทุกคนแตกตื่นปรี่เข้าหาองค์ราห์โอ ทหารบางคนที่มีสติดีมองเห็นทิศทางที่มีดมาก็ออกปากลั่น “มันอยู่บนยอดตึก!” ทหารหลายคนไม่รอช้าวิ่งไปตามทิศทาง

“ข้าไม่เป็นไรมากหรอก ไกลจุดหัวใจไปมาก” ฟารันเอ่ยอย่างเฉยเมยแลดูเหมือนจะไม่ได้เจ็บอะไรมาก เขาจับดามมีดเล็กๆ นั้นแล้วดึงออกอย่างง่ายได้

“มีดก็เล็กเท่านี้เอง” เลือดค่อยๆ ซึมออกมาตามปรกติอย่างที่บาดแผลควรจะมี แต่เทพหนุ่มกลับเห็นสิ่งผิดแปลกที่ทำให้เขาใจหายวาบไปเลย

“ทำไมเลือดท่านถึงเป็นสีดำล่ะฟารัน”

ผู้ถูกทักก้มมองแผลของตนอย่างเชื่องช้า ใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ลอยเลือดแล้วยกขึ้นมาดู ก่อนจะล้มลงไปเสียเฉยๆ

“มีดนี่มีพิษ!” องค์ชายรับตัวพี่ตนไว้ ความวุ่ยวายแตกตื่นหนักหนามากกว่าเดิม มีเพียงแต่เทพหนุ่มที่ยืนอึ้งมองร่างตรงหน้าซีดลงเรื่อยๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน

ฟารัน...

 
 ------------------

ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่าน เลิฟๆ เทคแคร์

 
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 100% 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: lovelypolly ที่ 23-10-2015 17:18:00
 :ling1:  :ling1: โอ้ยยยยย!!! ฟารัน อย่าตายน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 100% 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 23-10-2015 18:57:41
กรี๊ดดด ฟารันของอิป้า แข็งใจไว้เน้อ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่14 100% 23/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 23-10-2015 20:08:43
ตัดจบได้โหดร้ายทารุณจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา [yaoi ทะเลทราย] ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 24-10-2015 14:49:30


          ข้ารับใช้หลายคนนั้นไม่รู้อะไรมากแต่ก็ถูกปลุกขึ้นมาตามเสียงร้องโวยวาย พอจับความได้หน่อยก็เริ่มขยายเรื่องต่อกันแบบไม่มีมูลที่รู้กันคือราห์โอนั้นบาดเจ็บปางตาย บ้างก็พูดกันไปแล้วว่าถูกลอบปลงพระชนม์

เรื่องนี้รู้กันทันทีทั่ววังแม้จะถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดหรือบอกต่อไปมากกว่าเดิม แต่ความวุ่นวายก็แพร่กระจายไปพร้อมกับความหวั่นวิตก ไม่นานนักขุนนางทั้งหลายและหมอผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนก็มาถึงวังหลวง หมออวุโส 2 คนมาช่วยกันกับองค์ชายโฮรันเพื่อยื้อชีวิตที่เหลือน้อยเต็มทนขององค์เหนือหัว ส่วนพวกขุนนางนั้นก็จิตป่วนและโต้เถียงกัน พยายามคิดหัวแทบแตกว่าใครเป็นคนทำ

ด้านในห้องบรรทมนั้นมีความเครียดหนักหน่วงก่อตัว เสียงหัวใจของฟารันแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ตั้งแต่เดินทางมาถึง โฮรันจัดการดูดพิษออกจากปากแผลและถ่ายเลือดออกแต่ก็ดูจะช่วยไม่ได้มาก เมื่อตรวจพิษที่ได้จากปลายมีดถึงได้รู้ว่าเป็นพิษร้ายของงูชนิดหนึ่งที่ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่ในบริเวณนี้ เป็นงูประหลาดมี 2 หาง เรื่องเล่าของมันอยู่ในตำราการแพทย์โบราณแต่ก็ไม่เคยมีใครพบเจอเจ้าสัตว์ร้ายชนิดนี้อีกทั้งรายงานผู้ถูกทำร้ายก็ไม่เคยมี จนเหมือนงูปีศาจตัวนี้จะมีแต่ในนิทานเท่านั้น หากเมื่อองค์ราห์โอผู้มีอาการตรงกับตำราว่าไว้ทุกอย่างเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจนั้นก็มีมากเต็มไปหมด สวนทางกับความหวังที่น้อยลงไปเรื่อยๆ

“พิษนี้มีเรื่องเล่ากันมานานว่าหากโดนแล้วจะอยู่ได้เพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น” หมอชราท่านหนึ่งเอ่ยขณะโฮรันพยายามป้อนยาให้พี่ชาย

“ในตำรานั้นมีวิธีแก้พิษเบื้องต้นอาจยื้อเวลาออกไปได้อีกถึง 12 ชั่วโมงแต่พ้นจากนั้นไปก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ ฝ่าบาทคงทรงทราบว่าพิษชนิดนี้ไม่มีการระบุถึงยาแก้อย่างชัดเจน”

“ข้ารู้ แต่เราจะทำอะไรไม่ได้เลยหรือไง นอกเหนือจากความรู้ในตำราเราไม่อาจเข้าใจอะไรได้เลยเหรอเกี่ยวกับพิษนี้”


ถึงแม้จะเป็นหมอมือดีที่ควรตัดใจได้แล้วเมื่อมาถึงขั้นนี้ แต่เขาก็ยังพยายามคิดหาวิธีรักษาให้ได้ เขาทำทุกอย่างตามความรู้เดิม ที่มีเพื่อบรรเทาพิษ ตั้งแต่ป้อนยาที่มีธาตุเย็นสลับร้อนเพื่อปรับธาตุในร่างกาย ถ่ายเลือดเอาพิษออก ใช้ยาที่มีสรรพคุณซ่อมแซมภายในต้านกับพิษที่กำลังทำลายร่างกาย ทุกอย่างต้องทำอยู่ตลอดเวลาจะยื้อไว้ได้ถึง 12 ชั่วโมง แต่พิษนั้นเหมือนจะเพิ่มจำนวนในร่างกายไม่จบไม่สิ้น เพราะเลือดดำที่ถ่ายออกมามีมากจนเหมือนทั้งตัวไม่เหลือเลือดสีแดงอยู่เลย ด้วยกลัวว่าคนไข้จะตายเพราะเลือดหมดตัวเสียก่อนโฮรันจึงถ่ายเลือดตัวเองให้พี่ชายและหวังว่าเลือดพิษที่ไหลออกมาจากร่างที่นอนนิ่งจะเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงบ้าง

“ฟื้นเถอะท่านพี่ อย่าทิ้งข้าไว้เหมือนตอนนั้น”

เขาเอ่ยขึ้นพร้อมเหงื่อที่แตกกาฬแล้วฟุบหน้าลงข้างเตียงปล่อยให้เลือดจากร่างตนไหลไปตามสาย จนสุดท้ายหมอท่านอื่นต้องมาขอให้หยุดไม่เช่นนั้นเดี๋ยวได้ตายกันทั้งพี่ทั้งน้อง ท้ายแล้วการรักษาแบบนี้จึงต้องหยุดไปเหลือเพียงแต่คอยเฝ้าและดูอาการ

ผ่านไปแล้ว 4 ชั่วโมง อาการของราห์โอนั้นทรงกับที่ไม่มีหวังให้ดีขึ้น ได้แต่เฝ้ารอให้หนักไปกว่าเดิมจนหมดลมหายใจเมื่อครบ 12 ชั่วโมง

โฮรันไม่พูดอะไรกับใคร ถึงแม้จะพยายามรักษาน้ำใจคนอื่นเมื่อตอนที่ตนเดินออกมาแล้วถูกโรเรเนสกับลากลอสถามถึงอาการราห์โอ เขาก็ตอบไม่เต็มปากและพยายามไม่พูดอะไรต่อ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่โรเรเนสเขาก็ไม่อยากพูดด้วย อันที่จริงในฐานะแพทย์ถึงจุดนี้เขาควรจะต้องเป็นคนบอกให้ทุกคนทำใจได้แล้ว แต่เมื่อตัวเขาเองยังทำใจไม่ได้ก็คงไม่มีสิทธิ์ไปพูดแบบนั้นกลับใคร

ใบหน้าขององค์ชายกลับซีดและเหนื่อยอ่อนหลังจากไม่ได้นอนจนเช้า ลากลอสจึงไล่ให้เขาไปนอนแล้วตนมาเข้ามาเฝ้าแทน


“เขาเคยเฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง” สหายคนสนิทเอ่ยเสียงเรียบตอนที่เทพหนุ่มเดินเข้ามา “ทุกครั้งมันเหมือนปาฏิหาร”

โรเรเนสเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่อีกฝั่งของเตียง เฝ้ามองแผงอกแน่นนั้นขยับอย่างแผ่วเบาจนแทบเหมือนไม่ได้หายใจ คนสนิทที่นั่งอยู่ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองสบตาแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม

“เจ้าพอจะรู้บ้างไหมว่าในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะมีปาฏิหารได้กี่ครั้ง”

ผู้ถูกถามเม้นปากแน่น พลันน้ำตาที่คลอก็ไหลแหมะลงมาเหมือนเด็กๆ “ข้าขอโทษข้าเป็นเทพแท้ๆ แต่กลับทำอะรไม่ได้เลยแล้วก็ไม่รู้อะไรเลยด้วย” แล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มปล่อยตัวเองร้องไห้จนสะอื้นน้อยอย่างไม่อายใคร

“มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก คนที่สมควรถูกกล่าวโทษมันลอยนวลอยู่ข้างนอกนั่น”

“แต่ แต่เพราะพวกนั้นต้องการเอาชีวิตข้าทำไมถึงเป็นฟารันที่ต้องมาเป็นแบบนี้ ถ้าข้าตามมันก็ไม่เป็นไรข้าก็แค่กลับบ้าน แต่ฟารันเป็นมนุษย์ถ้าเขาตายมันก็จบกันเลยนะ!”

 ลากลอสกัดฟันด้วยความแค้นกับสิ่งที่สหายเขาเจอแล้วไม่พูดอะไรต่อ โรเรเนสพยายามหักห้ามน้ำตาตัวเองแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเหม่อมองใบหน้าที่ซีดไร้เลือดพลางก็คิดสารพัดสิ่ง ตามปรกติแล้วเมื่อมนุษย์มีปัญหาก็มักจะสวดขอพรจากเทพเจ้าและแน่นอนสำหรับอาณาจักรสปันเทียคนก็มักจะสวดขอกับเขาเพราะเป็นเทพประจำเมือง แต่ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย

เสียงงี๊ดๆ ดังขึ้นที่มุมหนึ่งเมื่อเขามองไปก็เห็นกีก้าเจ้าหมาเตี้ยนอนซมเศร้าสร้อยอยู่บนตั่งบุนวมที่ไกลๆ เจ้าหมาน้อยนั้นเข้าใจดีว่าเจ้านายมันกำลังแย่ แย่มากจนอาจไม่อยู่กับมันอีกแต่น่าแปลกที่มันไม่ยักเข้ามาเฝ้าเจ้าของมันใกล้ๆ

“หมามันจมูกดีน่ะ กลิ่นพิษงูน่าจะรบกวนระบบประสาทของมันมันเลยทนอยู่ใกล้ฟารันไม่ได้” ลากลอสบอกขณะหันมองเจ้าหมา

“น่าสงสารจัง ทั้งที่มันรักเจ้าของมากแท้ๆ”   โรเรเนสมองหมาน้อยที่จมูกมีน้ำมูกย้อยเพราะแพ้กลิ่นพิษอย่างเวทนา ก่อนจะหลับตาช้าๆ แล้วฟุบหน้าตัวเองลงที่ข้างเตียงความอ่อนเพลียและอาการเหนื่อยหนักจากความเครียดพาเด็กหนุ่มหลับไหลไปกับความฝันที่เกี่ยวเนื่องกับกาลก่อน ภาพแมวอ้วนฟูของเขาฝุดขึ้นมาเมื่อเคลิ้มใกล้หลับ

ซาลาเปาช่วยฟารันด้วยเถอะ

               
                ตอนแรกนั้นมันมืดสนิท ก่อนจะสว่างขึ้นจนกลายเป็นขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาไม่แลเห็นเส้นขอบฟ้า เขามองไปรอบตัวแล้วพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อฟื้นความทรงจำ

เราถูกมีดอาบยาพิษและภาพก็ตัดไป ---นี่เราตายแล้วรึ?

ความกังวลมากมายก่อตัวขึ้น เขายังมีห่วงอีกมากอยู่ที่โลกและมีหลายอย่างที่ต้องทำหรืออยากทำแต่กลับพลาดไปแล้วสายไปเสียแล้ว

“เคยได้ยินว่าสวรรค์นั้นมีแต่ความสุข นี่คงเป็นนรกกระมังข้าถึงได้ทุกข์ใจเพียงนี้”

เขาปรารภกับตัวเองไม่ได้หวังว่าจะมีใครได้ยิน แต่เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นสอดรับกับคำพูดเขา


“นี่ไม่ใช่สวรรค์หรือนรก และนรกสำหรับคนหยาบช้าเช่นเจ้ามันต้องเลวร้ายกว่านี้”  เสียงนั้นก้องกังวาลและหาทิศทางไม่ได้ เสียงทุ้มต่ำนี่เหมือนมาจากทุกที่ไม่อาจจับตัวตนจึงทำให้ฟังดูน่าเกรงขามยิ่งนัก

“ท่านเป็นใคร แล้วข้าอยู่ที่ไหน” ฟารันตะโกนกลับ

“เจ้าอยู่ระหว่างรอยต่อของโลกคนเป็นและโลกคนตาย เจ้าตายแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้วและข้าคือผู้ที่จะพาเจ้าไปสู่นรกโลกันตร์”


ฟารันยังไม่ออกอาการแตกตื่นหรือเสียใจอย่างที่ควรเป็น เขานิ่งครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะตอบโต้กลับไป “หากนี้เป็นรอยต่อระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย ตามพระคัมภีร์แล้วข้าต้องอยู่ที่แม่น้ำแห่งวิญญาณซึ่งเป็นที่ที่เทพแห่งการชำระล้างจะปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าผู้วายชนม์เพื่อถามคำถามถึงสิ่งที่คนๆนั้นกระทำเพื่อตัดสินใจอีกทีว่าจะส่งเขาไปนรกหรือสวรรค์ใช่หรือไม่”

เกิดความเงียบเข้าปกคลุม ทิ้งช่วงเป็นระยะเวลาหนึ่งเสียงทุ้มนั่นถึงตอบกลับมา “รู้ดีนี่ เช่นนั้นเจ้าก็สารภาพมาให้หมดสิว่าเจ้าทำบาปอะไรไว้บ้างข้าจะได้ตัดสินใจได้เร็วๆ”

“ก็ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านไม่มาปรากฎกายต่อหน้าข้าตามคัมภีร์ว่าล่ะ”

“ก็ถ้าไม่แล้วจะทำไม”

“ก็ถ้าไม่ข้าก็ไม่อาจพูดอะไรกับท่านได้เพราะถือว่าท่านไม่บริสุทธิ์ใจ”

“ปากดีเป็นแค่มนุษย์ที่ชีวิตเอาแน่เอานอนไม่ได้แล้วยังกล้าอวดดีอยู่อีก เจ้าไม่ใช่กษัตริย์อย่างที่เป็นแล้วนะ”

“ข้าเปล่า แต่ไม่ใช่ว่ามันเป็นกฎหรอกรึ ข้ามีสิทธิ์ที่จะไม่สารภาพคำใดใดแก่ท่านหากท่านไม่มาปรากฎกายให้ข้าเห็น พวกนักบวชเคยบอกข้าว่าถ้าเกิดกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเท่ากับว่าแท้จริงแล้วข้าไม่ได้อยู่ ณ แม่น้ำวิญญาณหรือที่ไหนๆ ใช่ข้าไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยและท่านก็ไม่ใช่เทพแห่งการชำระล้างด้วย เมื่อข้ารู้แบบนี้แล้วท่านจะยังยืนกรานว่าตนเองเป็นคนที่ไม่ได้เป็นอยู่ให้เสียเกียรติหรือไม่”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะพลิกเป็นดังกัมปนาถดั่งฟ้าล่ม เสียงหัวเราะดังลั่นจนปวดหูตามมาด้วยเสียงสบถด่า

 “ไอ้ทุเรศ นิสัยไม่มีเปลี่ยนเลย เออถ้าอยากเห็นก็จะให้เห็น”

ทันใดนั้นพื้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนมันไหวหนักตามจังหวะฝีเท้าที่ย่างเข้ามา ฟารันรู้ดีว่าพวกเทพนั้นมีพระวรกายใหญ่โตกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่านัก แต่เทพองค์นี้ท่าจะมหึมากว่าใครเพื่อนเพราะเสียงลือลั่นของฝ่าเท้าที่ใกล้เข้ามาบอกเช่นนั้น

และแล้วองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ก็มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย “ดูเสียให้เต็มตาเจ้าคนสู่รู้อวดดี ข้านี่แหละผู้เป็นเจ้าของจักรวาลทั้งมวล”

ฟารันแหงนหน้ามองขึ้นจนคอแทบหักกว่าจะเห็นยอดหัวได้ก็ต้องเพ่งจนปวดตา นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการไว้ นี่ไม่ใช่องค์เทพผู้มีพระพักตร์อันงดงาม แต่เป็น...

แมว

แมวอ้วนตัวขาวฟู หูพับ ตากลมโตที่ตัวใหญ่มหึมาใหญ่จนเมื่อเทียบสัดส่วนแล้ว มนุษย์อย่างเขาก็มีขนาดเท่านิ้วเท้าท่านเท่านั้น * ตอนนี้ฟารันรู้แล้วว่าเขาอยู่กับใคร


*หมายเหตุ ถ้ามเทียบกับเทพท่านซาลาเปาจะมีขนาดใหญ่ประมาณ 5 เมตร แต่ถ้าเทียบกับมนุษย์ท่านจะมีขนาดประมาณก๊อตซิล่า

------------------------
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 24-10-2015 16:12:52
โอ้ยยยยยยยยยยยยยย ไอ่เราก็นึกว่าใคร
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 24-10-2015 19:10:23
  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 24-10-2015 21:33:13
คิดถึงมากกกกกกกกกกกกกก  :ling1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 25-10-2015 00:21:06
ไม่ได้ออกมาซะนาน ออกมาทีนี่กร่างเชียว 555
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: lovelypolly ที่ 27-10-2015 00:21:22
โรเรเนสขอร้องแล้ว ช่วยฟารันให้ได้นะท่านซาลาเปา  :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 29-10-2015 15:28:32
ฮ่าๆๆ ท่านซาลาเปาผู้ยิ่งใหญ่มาแว้ววว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 30% 24/10/2558
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 29-10-2015 19:35:29
 :ruready
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 12-12-2015 14:37:29
ต่อ

“ท่าน...ซาลาเปา?”

“สามหาวใครอนุญาติให้เรียกชื่อเล่น!” ผัวะ! อ่อก! อุ้งเท้ามโหฬารขนาดโต๊ะกินข้าวตะบบลงบี้ผู้ที่อยู่แทบเท้าจนแทบจมดิน

“อภัยข้าด้วยท่านเลวิเลี่ยน” ผัวะ! ฟาดซ้ำให้บี้แบน

“โอ๊ย! อะไรกันท่าน” ปั่ก! ปั่ก!  กระทืบทับแล้วบดขยี้

 “อ่อก อ่า เดี๋ยวท่าน” ท่านมหาแมวหยุดมือ(เท้า)แล้วมองต่ำอย่างเหยียดๆ

ฟารันนอนราบอยู่กับพื้นรอยช้ำปรากฎขึ้นครู่หนึ่งก่อนหดหายไป เขายันตัวขึ้นแล้วกราดกร้าว
“อะไรของท่านเนี่ย!!”

“เจ้าตายอีกรอบไม่ได้อยู่แล้วกลัวอะไร”

ชายหนุ่มกัดฟันกรอดแม้นต่อหน้าเทพเขาก็ไม่ค่อยจะรู้สึกยำเกรงอะไร ใจหนึ่งก็คิดว่าเพราะอีกฝ่ายดูเป็นแมวมากๆ (ก็แมวนิ) จนรู้สึกเหมือนเห็นสัตว์หน้าขนเสียแทน องค์เทพหม่าวทรงรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอะไรจึงแสยะยิ้มเห็นเขี้ยวขาว

“บ้าบอแท้เจ้าเนี่ย ขนาดเป็นมนุษย์ก็ยังทำตัวเช่นนี้....เอาเถอะ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า” ขนาดคับฟ้าคับดินของแมวอ้วนหดลงเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่เท่ากับสัดส่วนที่เคยมีตอนอยู่กับเทพนั่นคือดูเหมือนสูงกว่าพื้นเพียง 5 เมตร

“เจ้าน่ะ หมดอายุขัยแล้ว!”

“งั้นรั้งข้าไวทำไม หมดอายุขัยก็ไปปรโลกสิ”

“ฮั่นแน่ะปากดี ข้าอุตส่าห์เขี่ยเจ้าขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งความตายนะ”

“เขี่ย?”

“เออ เคยเห็นแมวเขี่ยปลาทองในโหลไหมล่ะก็ใช้วิธีเดียวกันนั่นแหละ---แต่เอาเถอะไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเพราะข้าไม่ได้อยากจะช่วยเลยซักนิด นิสัยต่ำชาติถ่อยเช่นเจ้าควรตายจากโลกแล้วกลับที่กลับทางของเจ้าไปเสีย หากไม่เพราะ 2 เหตุผลที่ดีพอข้าคงไม่ทำแบบนี้แน่”

“เหตุผลอะไร”

“ข้อแรกมีเรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องกลับไปแก้ซึ่งมันเกี่ยวกับไอ้หัวม่วง ซึ่งถ้าเจ้าไม่ทำสวรรค์ได้ป่วนจากนี้แน่”
ฟารันขรึมลงอย่างอมทุกข์เมื่อเรื่องโยงเข้ามาถึงโรเรเนส “ทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรเรเนสถ้าข้าต้องแก้ไขสิ่งใดข้าจะทำ”

“หึ ก็ดี๊เพราะเหตุผลอีกข้อที่ข้าเขี่ยเจ้ามานั่นเพราะไอ้หัวม่วงมันขอมา”

  โรเรเนสอยากให้เราอยู่ต่อ ดีใจและปวดใจ รู้สึกดีที่ลึกๆแล้วฝ่ายนั้นยังต้องการให้เขาอยู่ต่อไม่ว่าจะด้วยแค่หวังดีกับประชาชนหรือสงสารเจ้าหมากีก้า แต่ความปรารถนาที่จะขอเขากลับไปมันพาให้ซาบซึ้งกับเด็กหนุ่มแสนดีที่เขาไม่อาจคู่ควรไม่ว่ากี่พบกี่ชาติ
แต่นั่นคือเหตุของคำว่าปวดใจ---ระยะหลังมานี้เขารู้สึกแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการการให้อภัยจากโรเรเนส แต่ต้องการการชดใช้ที่สาสมของเขาเองมากกว่า มันควรจะสาสมกับที่เขาทำไว้

“เพราะเช่นนั้นอย่างไรเล่า การตายมันถึงง่ายเกินไป” ท่านหม่าวรู้ได้ว่าฟารันคิดอะไรเอ่ยขึ้นพ้องกับความคิด
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังโลก หากแต่เจ้าต้องชำระล้างบาปที่ตัวเองก่อไว้ก่อน....แบบไม่ต้องผ่านนรกเพราะข้าจะเป็นผู้ชำระเอง”

แมวเหมียวสีขาวโบกหางอวบของตนอย่างแช่มช้าสบายใจ เสียงครางต่ำๆดังหึ่งพาให้กายสะท้าน ชายหนุ่มเพ่งดูใบหน้ากลมอิ่มนั้นแล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ข้าพร้อม”

คมเขี้ยวแยกแสยะตามด้วยคำพูดทิ้งท้าย “ไม่ต้องกังวลเจ้าตายอีกหนไม่ได้ดอก”

ปากนิ่มพุ่งเข้างับที่ลำคอและด้วยขนาดปากที่ใหญ่มันจึงยาวไปถึงอก เบื้องแรกเหยื่อรูปงามไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนักจนเมื่อฟันเรียงรายเหล่านั้นค่อยๆ ออกแรงกดกรีดเนื้อ

“อะ!..” เปล่งเสียงออกมาได้แผ่วในความเจ็บแรกก่อนจะทวีพล่านเมื่อแรกกดเพิ่มขึ้น “อ้า!”
และทันใดนั้น

 กึก! กรอบ! เขี้ยวแหลมงับเต็มแรงจนทะลุเนื้อ กระดูกแตกแหลกกรอบแล้วกระชากดึงฉีกทึ้งเหมือนเสือกินเหยือ เลือดทะลักสาดพุ่งเจิ่งนองไปกับพื้นขาวโพลน

“อ๊ากกกกกกกกกกกก!” ฟารันตัวแหว่งวิ่นร้องลั่นอย่าเจ็บปวด ขนปากที่เคยขาวเปื้อนเลือดโชกพุ่งลงมากัดกินเนื้อส่วนท้องแล้วใช้ขาหน้ายันยึดเศษร่างก่อนจะทึ้งดึงเนื้อขึ้นมากิน เสียงร้องแผดไกลเคล้าเสียงกระดูกหักกายสะบัดเร่ากระตุกตามกลไกที่ไม่อาจฝืน

ไม่ได้พิเศษอะไรมากด้วยเหตุการณ์นี้เป็นเพียงการกินเหยื่อทั้งเป็นของแมวซนๆ เท่านั้น เพียงแต่น่าชื่นใจเสียหน่อยตรงแมวอ้วนตัวนี้จะกินได้ไม่หมดไม่สิ้นด้วยเหยื่อของมันไม่ตายหากแต่ฟื้นขึ้นพร้อมร่างสมบูรณ์ให้กัดกินได้อีกครั้งซ้ำไปซ้ำมาวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์เหมือนผีที่ไม่ผุดไม่เกิด

.........

           ตอนนั้นโรเรเนสนั้นหลับฝันไป มิได้ล่องลอยไปไหนไกลหากแต่จิตไหลไปเวียนวนอยู่กับสวนของตนบนแดนสรวง อากาศเย็นสบายไม่จำเป็นต้องสร้างอุณหภูมิที่ต่างกันสำหรับพืชพันธุ์ใช้เพียงเวทมนตร์เล็กน้อยก็หล่อเลี้ยงทั้งหมดทั้งมวลของพฤษาเหล่านี้ได้

เขาเหม่อมองบ้านเก่าอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเริ่มทำงานเหมือนตามปรกติด้วยไม่รู้องค์ว่าตนฝันอยู่ กลิ่นหอมอบอวลอยู่รอบตัวแต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นที่เด่นแปลกไปจากอดีตจึงตามไปจนพบดอกกุหลาบจันทรากำลังผลิดอก
มือเรียวเอื้อมไปแตะอย่างแผ่วเบาหวังใจจะเพียงลูบคลำแต่ไม้ดอกน้อยก็หลุดหักออกมาจากก้านก่อนจะสลายกลายเป็นน้ำคามืออุ้งมือ
            แล้วเทพหนุ่มก็สะดุ้งตื่น ร่างตรงหน้ายังนิ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่เวลานั้นเลยไปยามบ่ายแล้วหลายชั่วโมงแห่งชีวิตเสียปล่าไปอย่างไม่จำเป็น! เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวดจนลากลอซและหมอที่พยายาบาลองค์ราห์โออยู่นั้นตกใจ เขาหน้าตื่นมองสหายสนิทครู่หนึ่งพลางทบทวนความฝันก่อนจะหันไปเรียกกีก้าให้ตามตนออกไป

“เจ้าจะไปไหนน่ะ”

“ไปเอากุหลาบจันทรามันช่วงฟารันได!” เขากล่าวขึ้นแล้ววิ่งจี๋ออกไปจากห้อง คำนั้นเป็นดังน้ำหยดลงดินแห้งความหวังในปาฏิหารเกิดขึ้นมาในห้อง ลากลอสไล่ตามด้วยความตื่นเต้น

 “เดี๋ยวสิ กุหลาบนั่นไม่ออกดอกในยามนี้เสียหน่อย”

“ข้าเป็นเทพข้าทำให้มันออกดอกได้”

“เยี่ยมเลย!”

โรเรเนสวิ่งตรงไปทางสวนกระจกพร้อมหมาเตี้ยที่ควบขาตาม ลากลอสผู้ไล่ตามไปเกิดนึกขึ้นได้ว่าควรไปตามองค์ชายตอนผ่านห้องบรรทมจึงเฉเข้าไปหาโฮรันที่นอนนิ่งด้วยอ่อนเพลีย เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วเขย่าเรียกอีกฝ่าย

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ตื่นเถิดเรามีความหวังขึ้นมาแล้ว” ใบหน้าคมคายอ่อนพริ้มนั้นผุดพรายไปด้วยเหงื่อกาฬและแดงก่ำ  โฮรันลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ แววตาอ่อนล้าหมดอาลัย

“นี่ท่านมีไข้เหรอเนี่ยองค์ชาย”

“ลากอส นี่กี่โมงแล้ว ท่านพี่ ท่านพี่ล่ะ” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาพร้อมอาการซมเมื่อพยายามหยัดกายลุก

 “ยามบ่ายแล้วแต่โรเรเนสรู้แล้วว่าจะรักษาอย่างไร ท่าน องค์ชายท่านมีไข้จริงด้วย” สหายสนิทเอื้อมมือแตะหน้าผากอีกฝ่าย โฮรันนั้นยังนิ่งไม่ใส่ใจต่อคำพูดของเพื่อน

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกลากลอส ข้าเป็นหมอข้ารู้มันไม่มีทางทำให้ท่านพี่ฟื้นตื่นมาหรอก”

“ทำไมพูดแบบนั้น ถ้าเราหวังปาฏิหารมันก็ไม่มีอะไรเชื่อได้มากกว่าคำของเทพอีกแล้ว” ทว่าเมื่อได้ยินผู้ฟังก็กลับก้มหน้างุดก่อนจะทิ้งตัวลงบนตักเพื่อนเหมือนสิ้นแรง

“ไม่มีเทพที่ไหนหรอก”

“ท่านพูดอะไรน่ะ”

“เขาเคยเป็นเทพแต่ตอนนี้เขาเป็นมนุษย์ เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นไม่ต่างจากพวกเทวดาตกสวรรค์เลย ดังนั้นข้าไม่เคยคิดว่าเขาเป็นเทพ ไม่เคยเลย”

“แต่ท่านบอกตลอดว่าท่านเชื่อ”

“ก็ข้าเป็นหมอจะทำร้ายจิตใจคนอื่นได้อย่างไร อีกทั้งข้าก็ชอบเขามากและอยากแกล้งท่านพี่---แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ท่านพี่กำลังจะตายเหตุเป็นเพราะข้า ข้าไม่สนใจอะไรแล้วและไม่อยากได้อะไรแล้ว ไม่เอาแล้ว”
       ท้ายเสียงหายห้วงแทรกเสียงเครือเขาซุกหน้าหนีลงกับตักลากอสผู้ก็รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ซึมออกมา องค์ชายนั้นเหมือนกลายเป็นเด็กที่งอแงจากที่เคยเป็นบุรุษสุขุมภูมิฐาน ความสิ้นหวังทำให้เขากล่าวพาลสหายสนิทรู้ดีว่าโฮรันไม่ได้หมายเช่นที่พูดจริง

“ท่านจะงอแงเหมือนตอนเด็กไม่ได้แล้วนะแล้วมาซุกตักผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันก็น่าอายออก”

“ตอนนั้นข้าก็ทำแบบนี้ ตอนที่ท่านพี่หายไป”

“ตอนนั้นท่านเพิ่ง 6 ขวบ ข้าเองก็เด็กเพียง 8 ขวบเท่านั้น”

“มันเหมือนกันเพราะข้าคิดว่าท่านพี่ตายแล้ว”

“แต่เขาก็รอดมาได้ เขารอดมาได้ตลอดไม่ว่าตอนนั้น ในสงครามหรือครั้งไหนๆ--- ลุกขึ้นเถิดองค์ชาย ข้ารับปากว่าเขาจะกลับมาถ้าหากท่านเชื่อ องค์เทพอยู่กับเราแล้ว”

           องค์เทพอยู่กับพวกเขาแล้วองค์เทพผู้ทรุดตัวลงนั่งข้างกอกุหลาบจันทราไร้ดอก ด้วยช่วงเวลาแห่งการเบ่งบานได้ล่วงเลยผ่านไป เจ้าหมาอาการตรงจมูกดีขึ้นอย่างทันทีที่ได้เข้าใกล้ไม้ดอกต้นนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพิษร้ายแปลกประหลาดสามารถรักษาได้ด้วยพืชชนิดนี้ หากแต่ยังไม่พอต้องเป็นยากลั่นจากดอกเท่านั้นที่จะสัมฤทธิ์ผล

แต่อย่างไรเล่าเมื่อยามนี้ไม่มีทางจะฝืนธรรมชาติไปได้ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้ถึงเวลาผลิดอกจะมีดอกได้อย่างไร?

“ที่ข้าเป็นคนได้ก็ผิดธรรมชาติเช่นกัน”

 องค์เทพยามนี้ไร้สิ้นความประหม่าหวั่นเกรงเขาเอื้อมมือไปแตะแผ่วที่กิ่งก้านตรงหน้านิ่งนานเพ่งระลึกถึงสิ่งที่ตนทำเป็นกิจวัตรยามเมื่ออยู่บนสวรรค์---ร่ายเวทย์เพื่อไม้งามจะเบ่งบานออกมา

ทว่าทิ้งระยะจนแขนล้าก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับจากลองครั้งแรกก็เพียรแล้วเพียรเล่าทั้งตั้งจิตอย่างที่เคยทำทั้งกล่าวร้องขอต้นไม้แสนงามให้รับฟังและช่วยกัน แต่กระทั่งยามเหงื่อผุดพรายเลือดฝาดพล่านทั่วก็ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาทิ้งแขนผ่อนพักหลายครั้งเมื่อล้าแล้วเริ่มใหม่ซ้ำไปซ้ำมายาวนานนับชั่วโมง เวลาสุดท้ายใกล้กระชั้นเข้ามา

เจ้าหมาน้อยร้องงี๊ดนอนหงอยเหมือนมันก็เข้าใจได้ ร่างขาวเนียนเริ่มหอบเหนื่อยความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วกายพร้อมกับอาการปวดมวลไม่อาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างมนุษย์นี้ เขาไม่สนและไม่คิดถึงมันพยายามยกแขนที่จู่ๆก็หนักอึ้งเหมือนถือทั่งขึ้นชูอย่างลำบาก พลังมหาศาลที่พยายามเรียกคืนมานั้นอาจหนักหนาไปสำหรับกายหยาบนี้

ออกดอกมาเถอะ เบ่งบานขึ้นเถอะนะได้โปรด

……………...


                รวยรินปริ่มสิ้นใจฟารันกระอักเลือดนอนแผ่อยู่บนพื้นเย็นเฉียบมีแมวยักษ์ตัวหนึ่งนั่งเลียอุ้งเท้าเปื้อนเลือดอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ปลายเท้า

“นี่ข้าสองจิตสองใจอยู่นะ ว่าข้าจะลดโทษให้เจ้ากึ่งหนึ่งดีไหมหรือยังไงดีเพราะจู่ๆข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าเคยโดน---โดนข่มขืนตอนอายุ11ใช่ไหม?”

เสียงฟี้ของลมที่ลอดออกจากช่องคอดังแผ่วเป็นคำตอบ เลือดยังผุดออกมาบ้างใบหน้าที่บิดเบี้ยวขยับตามริมฝีปากที่พยายามเอ่ย ความน่าอานาถเป็นเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยหวนคืนที่ละนิด ร่างกายแหว่งวิ่นฟื้นคืนเป็นร่างเดิมที่ไร้แม้รอยขีดข่วน นานเท่าใดกันนะ กี่วัน? กี่ปี? เขาโดนกินทั้งเป็นมากี่ร้อยรอบแล้ว? ความทรมาณพิลึกพิลั่นไร้บรรยายดำเนินมายาวนานเหมือนตลอดไป

“องค์รัชทายาทหายไปจากขบวนเสด็จตอน 8 ขวบโดนขายเป็นทาสใช้แรงงานเด็กอยู่ 3 ปีเศษแถมตอนท้ายก่อนจะได้กลับบ้านดันโดนข่มขืนเสียอีก”

อ่า...ใช่ตอนนั้นนานมากมาแล้ว กับตาแก่ใจสัตว์อ้วนสกปรก คนระย่ำเลวผู้คว้าไหดินเผาฟาดร่างเล็กที่ขัดขืนแล้วฉีกกระชากเสื้อผ้าจนวิ่น ย่ำยีเละเทะด้วยหื่นกาม

“แต่ก็ไม่เคยหมดหวังว่าจะได้กลับบ้านเพราะรู้ว่ามีคนสัญญาไว้แล้วว่าจะพาเจ้ากลับไป”

ดอกไม้ดอกน้อยสีม่วงสดผุดขึ้นอย่างทันตากลางก้อนหิน ในตอนนั้นตอนที่เด็กน้อยวัย 8 ขวบ ร้องขอต่อองค์เทพให้รับฟังแล้วดอกไม้ดอกนั้นก็ผุดขึ้นมาราวปาฏิหารเป็นคำตอบสำหรับคำขอ เขาขอให้เทพโรเรเนสพาเขากลับไปที แม้จะนานล่วงไป 3 ปีแต่เขาก็เชื่อเสมอว่ายังไงก็ต้องได้กลับบ้านเพราะองค์เทพสัญญาไว้แล้ว

ร่างกายกลับมาสมบูรณ์แต่หาได้มีเรี่ยวแรงจะหยัดยืน น้ำตารื้นเอ่อจนไหลรินออกมาเขายกแขนก่ายหน้าผากปิดตาคู่นั้นก่อนกายที่ไร้แม้ริ้วรอยจะสะท้านน้อยๆ แล้วพลางสะอื้น องค์เทพแห่งแมวก้มมองนิ่งสงบแล้วย่อองค์ลงหมอบข้างกัน

“เข้าใจได้ว่าเจ้าทำเพราะสำคัญผิดคิดว่าโรเรเนสเป็นคนอื่นไม่ใช่เทพโรเรเนส แต่กระนั้นก็เถอะไม่ว่าโรเรเนสจะเป็นเทพหรือไม่เจ้าก็รู้นี่ว่าไม่ควรทำกับคนอื่นแบบที่เจ้าเคยเจอ”

สะอื้นไห้ให้หมดสิ้นสิ่งที่ไม่อาจทำได้ชัดแจ้งยามเมื่อเป็นกษัตริย์ เจ็บมาตลอดทั้งตอนที่ทำร้ายลงไป เจ็บที่คิดว่าตนโดนหลอก เจ็บที่คนที่ไว้ใจหักหลัง แต่ยามเมื่อรู้ความจริงก็ดำดิ่งไปกว่าเก่า เจ็บกับความความรู้สึกผิดกับความรู้สึกดีๆ ที่เอาคืนไม่ได้ แต่ความเสียใจมันไม่พอหรอกการลงโทษทั้งหมดนี้ก็ไม่พอหรอก ทั้งที่ตนรู้วาอะไรไม่ควรทำแต่ก็ยังทำไม่มีข้ออ้างอะไรมาอ้างได้

เขามันชั่วช้าจริงๆ

ฟารันสูดลมหายใจเข้าแรงแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “นี่มันยังไม่สาสมกับสิ่งที่ข้าทำลงไป”

“โฮ่!” ท่านแมวหม่าวตาโตกลมแป๋วพลางฟาดหางแรงอย่างตื่นเต้น “งั้นรึ ยังอยากได้อีกรึแต่ข้าเบื่อรสชาติเจ้าแล้วนะ”

“จะฉีกทึ้งตบกระทืบข้าอย่างไรก็ได้” เข้าของขนฟูฝุดลุกนั่งแล้วจ้องมองอย่างจริงจัง

“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าควรทำอะไร”

“ให้ท่านลงโทษจนกว่าจะสาสม”

“ไม่ใช่ การชดใช้ความผิดนั้นมันไม่มีมาตรวัดหรอกว่าแค่ไหนคือพอมันก็เหมือนการแก้แค้นนั่นแหละ ถ้าคนยังแค้นอยู่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ชดใช้ไปกี่ร้อยกี่แสนปีมันก็ไม่หมด ทีนี้เจ้ารู้สึกผิดและต้องการชดใช้ความผิดหากเจ้าไม่รู้จักให้อภัยตัวเองเจ้าคงได้ชดใช้ความรู้สึกผิดอยู่ที่นี่ไปชั่วกัลปาวสานแน่ ตอนนั้นศพเจ้าก็เป็นอาหารหนอนไปแล้วและโรเรเนสก็ต้องเสียใจมากๆ”

“แล้วจะให้ข้าทำยังไง นี่มัน มันยังไม่พอ!”

“เออข้าก็คิดว่ามันยังไม่พอ ไม่รู้ว่าเจ้ากับข้าใครมันโรคจิตกว่ากันนะแต่ข้าแค่เตือนไว้ในสิ่งที่เจ้าควรทำ หลังจากนี้หาก ก็หากนะสมมติว่าเจ้าได้กลับไป ต้องรู้จักแก้ไขให้มันถูกสมองน่ะะใช้ให้มากๆ ไอ้หัวม่วงมันดูออกง่ายจะตายถ้าเจ้าตั้งใจเจ้าจะรู้เองว่าไอ้เทพอ่อนด๋อยป้อแป้นั่นมันอยากได้อะไร เข้าใจ๊”

“อืม”

“อืมพระบิดาเอ็งสิ! ข้าเป็นเทพ!”

“ขอรับ!”

“เออ งั้นก็จัดการซะอุปกรณ์อยู่ข้างๆนั่น”  ชายหนุ่มหันไปมองตามคำบอกก็พบเห็นดาบเล่มหนึ่งวางอยู่หน้ากระจกเงา เขาเข้าใจทันทีว่าคืออะไร และไม่คาดคิดถึงสิ่งนี้มาก่อนพลันหัวใจก็หล่นวูบรู้สึกสันหลังวาบจนมือไม้ชา

“เรามาลองอะไรที่มันโบราณกันหน่อยดีกว่า เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าเป็นเหตุให้คอไอ้หัวม่วงเป็นรอยดาบ ถึงจะตั้งใจแค่ขู่แถมเจ้าเทพง่อยนั่นจะทำตัวเองก็เถอะ แต่หันดาบใส่คนกำลังคลั่งก็ไม่ใช่อะไรที่ฉลาดหรอกนะ”

เมื่อโบราณกาลมาแล้วนักรบผู้หาญกล้าของเผ่าสปันโบราณซึ่งเป็นต้นสายของชนชาวสปันเทียมักมีวิธีประหารนักรบด้วยการให้สำเร็จโทษตัวเอง ใช้ดาบคู่ใจบาดคอหน้ากระจกแล้วดูตัวเองตายช้าๆ เป็นการกระทำสยดสยองชวนวิปลาสการฆ่าตัวตายนับว่ายากแล้วแต่การต้องดูตัวเองตายเป็นฝันร้ายที่บาดใจไปยังภพภูมิหน้าได้ทีเดียว ทว่าหากหลังจากฟารันทำสิ่งนี้เขาจะยังไม่ตาย....

ชายหนุ่มคุกเข่าลงหน้ากระจกเห็นชัดถึงใบหน้าของตนเอง หยิบดาบขึ้นอย่างแช่มช้าลังเลหากแม้แค่เชือดคอตนคงพอฝืนทำได้แต่ต้องลืมตาค้างเอาไว้แบบนั้น---แค่คิดมือมันก็ขยับไม่ออก

“กลัวอะไร ทำสิ”

มือที่กำด้ามดาบนั้นสั่นระริกริมฝีปากถูกขบกัดจนห้อเลือด เขาแข็งใจนึกถึงสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่สาสมแล้วตัดใจกระชากแขนบาดคมดาบลงลึกกลางคอหอยตนเองแล้วแผงอกแน่นก็ได้อาบเลือดต่างน้ำ หลอกหลอนดั่งฝันร้ายร่างแข็งทื่อไม่อาจขยับแม้อยากหลับตาก็เหมือนไม่สามารถบังคับฝืนใดใดได้ แล้วก็ล้มลงหน้ากระจกบานใหญ่ดูตัวเองตายที่ละน้อยภาพใบหน้าเจ็บปวดไร้เกียรติน่าสมเพช เคยเห็นมามากแล้วภาพคนตายน่าอนาถแต่ตรงหน้าเป็นใบหน้าเขาเอง

คาวเลือดคะคลุ้งแดงฉานก่อนจะดับมืดพลันชั่วครู่ก็สว่างจ้าอีกครั้ง เขาตื่นและเริ่มใหม่
“เป็นไง เป็นประสบการณ์ที่หายากนะ---เอ้า เอาอีก” เหมือนมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นบังคับร่างของเขาให้กลับมาอยู่ท่าเดิมที่คมดามจ่อคอตัวเอง “ไม่ต้องห่วงข้าจะช่วยทุ่นแรงให้ เจ้าจะไม่ได้หยุดหรอกจนกว่ามันสมควรแก่เวลา”

ฟารันมองเห็นถึงแววตาหวาดหวั่นของตนที่ระริกสะท้อนเงาอยู่ตรงหน้า การสำเร็จโทษตนเองดำเนินไป อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง ......

-----------------

           ร่างนั้นซีดเผือดเหมือนเลือดหาย โรเรเนสฟุบหน้าลงดินหอบเหนื่อยขณะแสงตะวันคล้อยต่ำจนใกล้จะเย็นย่ำ เด็กหนุ่มช้อนตาเศร้ามองกอไม้ที่ไม่ไหวติ่งไม่สะทกสะท้านและเขาก็ร้องไห้ออกมาเฉยๆ สะอึกสะอื้นปล่อยโฮเพราะสิ้นหวัง เขาไม่รู้ว่าตัวเองลงมาเป็นมนุษย์เพราะอะไรแต่ถ้าไม่มีฟารันก็ไม่รู้จะทำยังไง ความพันผูกเก่าก่อนนานมาที่เขาจำไม่ได้แต่รู้สึกได้บอกเขาว่าเขาควรอยู่เห็นฟารันมีชีวิตไปเรื่อยๆ นานมาแล้ว เก่ามากแล้วเรื่องระหว่างเขากับกษัตริย์หนุ่มนานมาตั้งแต่ยังไม่ลงมาเป็นมนุษย์แม้จะจำไม่ได้

หยาดน้ำตาหยดหล่นแหมะลงที่โคนต้น อาทิตยายอแสงสาดจ้าเป็นทางส้มสะท้อนเงาหยดน้ำข้างแก้มวาววับเหมือนแสงดาว องค์เทพร่ำไห้อีกครั้งในร่างมนุษย์หากคราวนี้ปวดประหลาดสิ้นหวังมากกว่าเคย แต่หยาดน้ำใสดังยอดเพชรนั่นเองที่ก่อเกิดปาฏิหาร

กลิ่นหอมแปลกที่เย้ายวนและคุ้นเคยเด่นแทรกกลิ่นไอดินขึ้นมา เด็กหนุ่มดีดตัวผุดนั่งแลเห็นตรงหน้าเป็นยอดดอกตูมของกุหลาบน้อย ความหวังและความดีใจท่วมท้นไม่อาจบรรยายเขาหันรีหัวขวางอยู่สองสามทีแล้วกลับมาตั้งสติเพ่งจิตอีกครั้ง คราวนี้ไม่แม้แต่จะแตะก้านดอกด้วยปลายนิ้วเพราะเวทย์มนต์ที่กลับฟื้นคืนสำแดงเดชเร่งการเจริญเติบโตขึ้นอย่างทันตา ไม่นานเท่าใดกอไม้หนามก็ผุดผาดไปด้วยดอกกุหลาบสีนวลนับสิบดอก สวยงามอย่างน่าพิศวงด้วยนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกที่กุหลาบจันทราแบ่งบานใต้แสงตะวัน 

โรเรเนสร้องไห้โฮเป็นคำรบสองแต่ครานี้ด้วยปิติเจียนสิ้นสติ “ขอบคุณ ขอบคุณ” เขาพร่ำพูดกับเหล่าดอกไม้งามแล้วก้มลงจูบกิ่งหนามตรงหน้าก่อนจะค่อยๆเด็ดดอกไม้สีมุกนั้นที่ละดอกอย่างเบามือ


                   องค์ชายโฮรันมองตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าเหมือนตัดใจด้วยสิ้นแสงตะวันก็สิ้นเช่นกันกับชีวิตราห์โอ ผู้คนนับร้อยในเขตวังพากันเศร้าสร้อยแลทำใจเตรียมพร้อมกับการสวรรคตที่เร็วเกินไป แต่ขณะที่ความหวังถูกทิ้งไปโรเรเนสก็วิ่งพรวดเขามาพร้อมดอกไม้ที่หอบมา

“หมอโฮ ข้าได้มันมาแล้ว!” ทุกคนในห้องหันมามองเด็กหนุ่มพลันตกตะลึงกับความงามและกลิ่นหอมล้ำของกุหลาบพันธุ์หายาก ทุกคนไม่คิดฝันว่าชาตินี้จะมีโอกาสเห็นกุหลาบจันทราออกดอกมากไปกว่านั้นคือออกดอกยามมีแสงอาทิตย์อีกด้วย

“เทพแท้ๆ พ่อคุณ” หญิงรับใช้นางหนึ่งพึมพำขึ้น ก่อนเสียงพึมพำจะทวีขึ้นในห้องแต่โรเรเนสไม่ได้ยินหรือสนใจจะฟังเขามุ่งแต่จะให้โฮรันกลั่นยาให้ซึ่งแน่นนอนหมอหนุ่มไม่รอช้าสั่งคนให้เอาอุปกรณ์มาทันที ลากลอสไล่ให้ทุกคนออกไปรอข้างนอกเพื่อให้องค์ชายทำงานสะดวก

“มันจะทันเวลาไหม มันจะทันเวลาไหม” เทพหนุ่มร้อนรนแต่ ถูกห้ามกิริยาไว้ด้วยสหายสนิทองค์ราห์โอรู้ดีว่าเวลานี้ผู้เป็นหมอต้องการสมาธิ

ขะมักเขม้นบดยาอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลาอันน้อยนิดไม่กี่อึดใจยาวิเศษก็ได้ที่ เขาจับยากรอกปากพี่ตนแล้วใช้บางส่วนทาพอกลงบนปากแผล ทุกคนยืนนิ่งรอเวลาที่ปาฏิหารจะสัมฤทธิ์ผล แต่จนเมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้าแล้วแทนที่ด้วยแสงเทียนก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทุกคนงงงวยแต่ยังไม่ถอดใจ โรเรเนสเดินเข้าไปใกล้ร่างที่นิ่งแล้วทรุดลงนอนแนบศีรษะตนลงกับอกกว้าง หลับตานิ่งพยายามฟังเสียงหัวใจที่เหมือนจะหายไป ใช่เมื่อแนบหูลงฟังเสียงหัวใจได้หยุดไปแล้ว

กลับมาฟารัน กลับมาได้แล้ว

“ข้ารอท่านอยู่นะฟารัน”

…..

…………

…………………

ตึก.... แรงบีบเกิดขึ้นอีกครั้ง ตึก.....แล้วตามด้วยอีกหลายครั้งหัวใจนั้นกลับมาเต้น เต้นขึ้นใหม่เหมือนเด็กแรกเกิดเทพหนุ่มหยัดกายขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างข้างใต้ตน

“ดูนั่นสิ!”
ลากลอสชี้นิ้วไปยังบาดแผลที่หดหายทันตาร่างกายที่ซีดไร้เลือดค่อยๆกลับคืนดังคนสุขภาพดี ท่านหมอโฮตาตื่นพุ่งเข้าไปจับชีพจรพี่ตนเขานิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นแล้วถอยออกมามองเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง

“เขาหายแล้ว....เขาหายแล้ว!พิษสลายไปหมดแล้ว!”
 องค์ชายโฮรันตะโกนลั่นผู้ที่ถูกกันอยู่ด้านนอกได้ยินก็ถือวิสาสะแห่ถลันกันเข้ามา ปาฏิหารเกิดขึ้นแล้วการส่งเสียงแสดงออกถึงความดีใจเซ็งแซ่ขึ้น นางข้ารับใช้คนเดิมวิ่งออกจากที่เกิดเหตุแล้วประกาศเสียงดังอย่างไม่สำรวมกิริยาว่าองค์ราห์โอรอดแล้ว

ผู้คนในวังต่างดีใจและโล่งใจไปตามกัน ทุกคนออกอาการยินดีกันถ้วนหน้าส่วนองค์เทพรูปงามนั้นเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ มองใบหน้าคมสันนั้นอย่างชื่นใจ

 :katai5: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

มาอัพแล้วจ้า ขออภัยหายไปนานอีกแล้วววว ช่วงนี้ทำโปรเจคจบเดี๋ยวปีหน้าก็เรียนจบ(มั้ง)แล้วเฮ่ หวังว่าจะจบ (เฮ่) หางานทำ (เฮ่) ปีใหม่เทียวไหนกันจ๊ะ
 :katai2-1: ขอบคุณที่ยังรออ่านนะคะ ว่าจะให้จบเรื่องนี้ภายในต้นปีหน้าไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจะยาวขนาดไหนหะหะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 12-12-2015 15:07:56
อ้าวพระเอกเคยโดนข่มขืนเหรอเนี่ยสยองมาก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 12-12-2015 16:02:22
ท่านซาลาเปาโหดมากกก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 12-12-2015 16:32:36
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 12-12-2015 19:26:29
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 13-12-2015 08:56:38
ท่านหม่าวๆแก้แค้นให้ทาสโหดมาก
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 13-12-2015 12:39:31
 :กอด1:ขอบคุณที่มาต่อนะครับ รอนานแล้ว
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 14-12-2015 00:56:11
ซาลาเปา นายไม่ได้มาเล่นๆนะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 14-12-2015 13:56:49
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 14-12-2015 15:43:05
กราบท่านซาลาเปารัวๆ ท่านเทพยอดเยี่ยมเหนือบรรยายมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 14-12-2015 21:23:41
เชื่อกันซักทีนะว่าเราโรเนสเป็นเทพ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 15-12-2015 01:27:34
หวังว่า พอฟารันตื่นมาแล้วจะหวาน ดีกับโรเรเนสมากๆนะ  ชอบเทพซาลาเปามาก 5555เข้าใจสรรหาวิธีการลงโทษ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: lovelypolly ที่ 15-12-2015 02:45:51
ท่านซาลาเปา ซาดิสแท้ o18
รอราโอฟื้น เดินหน้าจีบโรเรเนส  :z1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 15-12-2015 14:55:26
ท่านซาลาเปาาาาา FC
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 16-12-2015 20:42:39
หายไปนานมาก ดีใจที่กลับมาค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 14-02-2016 05:58:23
หายไปไหนแล้วคนแต่งง
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 14-02-2016 14:29:38
จิ้มๆ คนแต่งหายไปไหนนนน  :serius2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: ้Sin.7 ที่ 18-03-2016 04:41:24
โอ้ :katai4:ย อึดอัด บีบหัวใจ อยากเขย่าคอคนเขียนซ้ำแล้วซ้ำเหล่า โอ้ยยยยยยย อินนนนนนนน คนเขียนเก่งจนโมโห เธอทำเราจุก อึดอัด จะร้องไห้ก็ร้องไม่ได้ เจ็บปวดแทนตัวละครไปหมดแล้ว โอ้ยย :katai1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-03-2016 08:57:12
รอคนแต่งอยู่นะจ๊ะ :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 18-03-2016 13:31:56
รอออออออ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา ตอนที่15 100% อัพแล้นจ้าาาาาาา 12/12/2558
เริ่มหัวข้อโดย: peeranatyaikaew ที่ 26-03-2016 07:10:57
 :heaven :hao7: :katai1: :กอด1: :katai5:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Donna Nod ที่ 03-05-2016 12:56:53
เรียนคุณผู้อ่านที่รักแต่เราดูแลไม่ได้

ต้องขอโทษคุณผู้อ่านทุกคนสำหรับการห่างหายอีกแล้วของเราและหายนานมาก เราไม่มีข้ออ้างอะไรมากเพราะทุกอย่างเกิดจากการบริหารเวลาที่ไม่ได้เรื่องของเราเอง ทั้งนี้เราก็จำเป็นต้องมาแจ้งว่าเราจำเป็นต้องหายไปในคราวนี้เพราะกำลังทำทีสิสอยู่(ทั้งที่บอกว่าจะไม่มีข้ออ้างก็มีจนได้) แต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องบอกเพราะเราบริหารเวลาไม่ดีกลายเป็นว่าเราจึงต้องปั่นทีสิสแต่จะตอนแบบเกือบเดทไลน์ตลอดช่วงระยะเวลานับแต่ตอนล่าสุดที่เราหายไป ก็เพราะบ้าบออยู่กับทีสิสนี่แหละ มันบั่นทอนมากเพราะด้วยความที่คิดหัวข้อวิทยานิพนธ์ไม่ออกเลยต้องทำเรื่องที่ไม่ได้ชอบอะไรมาก ซึ่งเป็นความผิดพลาดของเราเองทำให้งานที่มหาวิทยาลัยชิ้นนี้เราไม่ค่อยคืบหน้า ตอนนี้ก็เช่นกันที่เรายังเขียนทีสิสอยู่และบ้าๆ บอๆ อยู่กับความสับสนในงานตัวเองเพราะเหมือนเข้าใจมันไม่ดีพอ

ดังนั้นจดหมายฉบับนี้จึงเป็นจดหมายขอโทษสำหรับพฤติกรรมสาบสูญของเราและขณะเดียวกันก็ขอ “ลา” ชั่วคราวไปปั่นทีสิส หากเราสามารถเขียนนิยายต่อและเรามาลงให้ได้เราจะทำนะแต่ต้องขอโทษและออกตัวไว้ก่อนว่าเรามีเหตุให้ต้องหายไป

                เราขอตัวไปทำทีสิสก่อนนะ

รักและขอบคุณ


หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: HISY ที่ 03-05-2016 14:13:19
รอได้จ้าาา
สู้ๆนะคะขอให้ทีสิสผ่านไวๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: ้Sin.7 ที่ 06-05-2016 22:15:19
 :กอด1: ขอให้ผ่านนะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: peeranatyaikaew ที่ 06-05-2016 22:30:05
 :mew6: :sad4: :L1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 12-08-2016 23:38:51
รอกลับมาต่ออยู่น้าาาาา

 :call:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 11-01-2017 03:38:56
นี่ก็ข้ามปีแล้ว ยังรออยู่น้าาาา
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 10-06-2017 06:58:09
ฮือออออออออสนุกมาก มันเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ค้นเจอนิยายเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญ เข้ามาอ่านอย่างงงๆ แต่มันกลับนิดใจจนหยุดไม่ได้ อย่างให้กลับมานะคะ ยินดีที่จะรอ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: มะลิ mali ที่ 16-06-2017 10:45:18
เป็นกำลังใจให้นะ สอบธีสิทผ่านแล้วกลับมานะคะ
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 18-07-2017 01:05:33
เรายังรออยู่นะ  :man1:
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 25-04-2018 17:49:22
 :katai1: กรี๊ดดดด โฮวววว จะร้องไห้ ฮือออ

ตอนแรกตามในธัญ แต่อยู่ดีๆเรื่องนี้ในธัญก็หายไปคล้ายลบออก

มาวันนี้คิดถึงและเอะใจ เลยลองเอาชื่อเรื่องมาเสิรช

สุดท้ายก็เจอ ฮือ  :monkeysad: ยังคิดถึงโรเรเนสอยู่นะคะ

คิดถึงท่านซาลาเปา ณ หม่าวหม่าว
หัวข้อ: Re: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 16-11-2021 21:10:54
อะเอิ่มมม ไม่ทราบว่าทีลิสเสร็จยังอะฮับ