Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559  (อ่าน 69756 ครั้ง)

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ถ้าจะยาก สงสารนายเอกอยู่นะเนี้ย อย่กรู้ว่าใครเป็นคนทำให้นายเอกลงมาโลกมนุษย์

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
มีคนแกล้ง โรเรเนสรึป่าวเนี้ย แล้วฟารันจะทำงัยต่ออะ

ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3


ฟารันหื่นไปแล้ว ทำเกินไปนะ แต่ก็ชอบนะ :z1:

ออฟไลน์ mumamayza

  • ลั้ลลา !! ไปวันๆ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :z13: จิ้มๆคนเขียน  :ruready รอนานแว้ว มาต่อไวไวนะจ่ะ  :ling1:

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กลัวว่าจะพิสูจน์ออกมาแล้วไม่ใช่เทพมากๆเลยยย ฮืออออ

รอตอนใหม่อยู่นะ

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ณ แดนเทพ

        วิมาณโอ่งโถงสีขาวสว่างถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีแดงชาติ มันเคยงดงามและหรูหราทว่าสภาพในตอนนี้กลับเละเทะจนเหมือนเพิ่งผ่านสงครามมาก็ไม่ปาน เหล่านางอัปสรข้ารับใช้หลายสิบตนกุลีกุจอเก็บกวาดเครื่องเรือนที่หักกระจายอย่างแข็งขัน พวกนางมิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อยด้วยเพราะการได้ทำงานป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้บุรุษรูปงามนั้นพาให้ใจเบิกบาน
 
         อามินอสเทพบุตรเกศทองสว่างที่ยามนี้นั่งทอดหุ่ยเปลือยท่อนบนอย่างสบายใจอยู่หน้าประตูบานหนึ่งในบ้าน เขายักคิ้วหลิ่วตาให้เหล่านางอัปสรเป็นระยะตามวิสัยหนุ่มจ้าวสำราญ แต่ก็ยังไม่ลืมจะใส่ใจบทสนทนากับอีกคนที่อยู่ในห้องหลังบานประตู


“เฟรทริส ออกมาเถอะ”


“ไปให้พ้น!”


“อย่างน้อยก็ออกมากินอะไรหน่อยน่า เจ้าอยู่ในนั้นมานานเกินไปแล้วนะ”


“ข้าเป็นเทพข้าอิ่มทิพย์! ฮึก”


“ไม่ต้องร้องหรอกน่า โรเรเนสไม่เป็นอะไรหรอกเชื่อข้าสิ”


“ข้าไม่ได้ร้อง!”


“แต่เสียงเจ้าอู้อี้มากเลยนะ”


“ข้าเป็นหวัด!”


“เทพไม่เป็นหวัดนะเฟรทริส”


“เงียบไปเลยไอ้นกบ้า!”


“หึๆๆๆ นี่เด็กดื้อ ถ้าเจ้าไม่ยอมเปิดข้าจะพังเข้าไปเองนะ”


“นกโง่ เจ้าเข้ามาไม่ได้หรอกข้าลงอาคมไว้”

        กริ๊ก! อามินอสบิดลูกบิดประตูแล้วเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย เฟสทริสที่นั่งอยู่บนเตียงถลึงตาแทบเหลือกกับสิ่งที่เขาไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้

“จะ เจ้า เข้ามาได้ยังไงข้าลงอาคมไว้แล้วนะ”


“อืมใช่เจ้าลงอาคมไว้....แต่ว่าลืมลงกลอนประตูน่ะ”

        เทพนักรบคำรามกร้าวอย่างเจ็บใจกับความซื่อบื้อของตัวเองก่อนจะจมหน้าลงกับหมอนอย่างเด็กงอแง อีกฝ่ายเดินมานั่งลงข้างเตียงอย่างเย็นใจเขาไม่ได้ใส่ใจอารมณ์ฉุนเฉียวตรงหน้าเลยซักนิด

“นี่ เฟรทริส”


“งื่อออ”


“ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆสิ”


“ไม่!ออกไปซะ ฮื่อ”


“นี่ถึงเจ้าจะนอนงอแงอยู่แบบนี้หรือว่าจะพังบ้านอีกซักกี่รอบมันก็ไม่ช่วยให้โรเรเนสกลับมาได้หรอกนะ”

          ทว่าเฟรทริสกลับเงยหน้าขึ้นมาตะโกนใส่พร้อมตาแดงๆที่เพิ่งแห้งน้ำไปหมาดๆ

“แล้วเจ้าช่วยอะไรได้มั่งเล่า! ทำอะไรไม่ได้ก็ไปให้พ้นเลย เจ้าไม่เข้าใจข้าหรอก เมียก็ทิ้งแถมน้องรักก็ยังต้องลงไปเป็นคนอีก ตอนนี้ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว!”


“อะไรกัน เจ้ายังมีข้านะ”


“ไม่นับโว๊ยยยยยยย!” เฟรทริสค้อนให้แล้วกัดฟันกรอดก่อนจะพูดความในใจออกมาอย่างกึ่งตัดพ้อ


“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นโรเรเนส ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมหาเทพต้องห้ามไม่ให้ข้าพาเขากลับมา ก็แค่ฆ่าเขาซะ!พอตายก็ได้กลับมาเป็นเทพแท้ๆ นี่มันเป็นแค่เรื่องผิดพลาดข้าแค่จะทำให้มันถูกต้อง แล้ว แล้ว ไอ้เทวรูปบ้าบอนั่นอีก มันกลายร่างเป็นโรเรเนสแล้วแท้ๆแต่ทำไม ทำไมจู่ๆมันถึงมีเทวรูปโผล่ขึ้นมาได้ ข้าไม่เข้าใจและข้าก็ไม่ชอบเลยด้วย”

           พูดจบเขาก็คอตกเป็นหมาหงอย  ใบหน้าของบุรุษเทพนักรบผู้ห้าวหาญยามนี้กลับเหมือนแค่เด็กไร้เดียงสาผู้ถูกขัดใจในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ อันที่จริงเฟรทริสก็เป็นคนซื่อๆตรงๆอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเทพชั้นสูงแต่ด้วยนิสัยแบบนี้ทำให้มีหลายอย่างหลุดรอดสายตาเขาไปได้ตลอด อามินอสมองวงหน้านั้นแล้วถอนหายใจก่อนแววตาเอ็นดูก็ปรากฎขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“เฟรทริส ที่เหล่ามหาเทพไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้เพราะทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เทพเจ้าก็มีโชคชะตาที่ถูกขีดไว้เหมือนนุษย์นั่นแหละ การที่น้องเลี้ยงเจ้าต้องลงไปเป็นมนุษย์ข้าเชื่อว่ามันก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดอยู่ดีไม่ว่าจะอย่างไร”


“ม่ายจริงอ่ะ เจ้าจะบอกว่าข้อผิดพลาดทุกอย่างเป็นเรื่องตั้งใจงั้นหรอ เช่นนั้นถามหน่อยถ้าเทพกำหนดชีวิตมนุษย์แล้วใครกำหนดชีวิตเทพ”


“ผู้ที่ทำหน้าที่นั้นไม่มีหรอก หากแต่กระดานพยากรณ์ก็เขียนเอาไว้ว่าชีวิตเทพแต่ละคนจะต้องเป็นอย่างไร”


“แล้วใครเขียนกระดานพยากรณ์”


“เท่าที่ข้าเคยเห็นก็ไม่มี อาจารย์เคยพูดว่าทุกอย่างถูกเขียนขึ้นโดยการกระทำของเหล่าเทพ มันเป็นเหตุเป็นผลกันอยู่”


“แล้วโรเรเนสทำอะไรผิดล่ะถึงต้องลงไปเป็นมนุษย์น่ะฮึ”


“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความโง่เขลาเบาปัญญาของพวกมนุษย์ที่เชื่อคำภีร์ที่ถูกดัดแปลงอย่างไม่มีเงื่อนไข คืออย่างนี้คำภีร์ที่เหล่านักบวชใช้กันอยู่น่ะเป็นข้อความที่ถูกบอกต่อกันมาตั้งแต่มนุษย์ยังไม่มีตัวหนังสือทั้งเรื่องหลักคำสอนและศาสนพิธี รวมทั้งเมื่อเวลาผ่านไปก็ถูกสังคยานาและเติมแต่งขึ้นอีก จึงทำให้พระคำภีร์ทางศาสนาที่ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันที่ความผิดเพี้ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะเรื่องการอันเชิญเทพที่ไม่มีใครทำมานานแล้วข้อมูลหลายอย่างขาดหายไป

แต่เดิมนั้นเทวีอนามอเฟียเป็นเทวีแห่งศิลปะ แต่ด้วยความงามของนางจึงทำให้มนุษย์ยกย่องนางว่าเป็นเทพแห่งความงามแทนและเปรียบนางว่างามดั่งดอกไม้ จนท้ายแล้วก็ถูกเข้าใจว่านางเป็นเทพแห่งดอกไม้ทั้งปวงไปเสีย

ส่วนโรเรเนสนั้นก็เป็นเทพแห่งพันธุ์พืชซึ่งหมายถึงพืชทุกชนิดรวมถึงดอกไม้ด้วย แต่ด้วยความที่เหล่าชาวไร่ชาวนาสวดขอพรจากโรเรเนสบ่อยๆจึงกลายเป็นว่าเขากลายเป็นเทพสำหรับผลผลิตทางการเกษตรเสียอย่างนั้น

ครั้นเมื่อยามที่เหล่านักบวชสวดเรียกเทวีอนามอเฟียพวกเขาก็เอ่ยว่า ขออันเชิญองค์เทพผู้งดงามผู้ทรงเป็นเทพแห่งมวลไม้งามทั้งมวล ซึ่งพวกเขาเข้าใจว่ากำลังเรียกเทวีอนามอเฟียอยู่แต่อันที่จริงพวกเขากำลังเรียกโรเรเนสอยู่ต่างหาก เข้าใจรึยัง”


           เฟรทริสนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทวนสรุปสิ่งที่เข้าใจ

“นี่ นี่เจ้าหมายความว่า จริงๆแล้วพวกนักบวชสวดเรียกโรเรเนสแทนที่จะเรียกอนามอเฟียโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวงั้นรึ”


“ประมาณนั้น”


“แต่เดี๋ยวสิเช่นนี้ทำไมไม่มีใครรู้เรื่อง ข้าก็ไม่รู้ โรเรเนสก็ไม่รู้”


“อ่ามมม....อันที่จริงเขารู้กันทั้งสวรรค์แล้วนะว่าทำไมน้องเจ้าถึงลงไปเป็นคนได้ แต่ที่โรเรเนสไม่รู้คงเพราะตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจพิธีกรรมนั่นเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนเจ้า....มันก็ปกติอยู่แล้วนี่ที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับชาวบ้านเขาเลย”


“บังอาจ!” เฟรทริสขว้างหมอนที่อยู่ใกล้มือใส่หน้าหล่อที่ยิ้มเย้ยตนอยู่


“มาทำเป็นพูดดี ถ้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่หยุดพิธีไว้เล่า”


“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก”


“ข้ออ้าง เนี่ยมันเป็นความผิดเจ้าแท้ๆ”


“อ่าว อะไรกันเมียหนีก็โทษข้าน้องหายก็โทษข้า”


“ใช่!ความผิดเจ้า! ข้าจะโทษเจ้าในทุกๆอย่าง ต่อให้เป็นเรื่องแค่หอยทากลื่นล้มข้าก็ถือว่าเป็นความผิดเจ้า!”


“เอาแต่ใจเสียจริงแม่หนูน้อย”


“เรียกข้าว่าอะไรนะไอ้นกบ้า!”

           เฟรทริสได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนด้วยคำที่เขาเกลียดที่สุดก็โกรธจัดเลือดขึ้นหน้า จึงกระโจนเข้าหาหมายจะต่อยซักเปรี้ยงแต่ก็มิทัน เพราะอามินอสได้กางปีกสีเงินส่องสว่างออกแล้วพุ่งหนีขึ้นไปด้านบน ทำให้เทพเกศแดงคว้าได้แค่อากาศเท่านั้น


“ไอ้คนขี้โกง!”

          เฟรทริสตะโกนด่าโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าปีกของอามินอสนั้นถือเป็นจุดอ่อนของเฟรทริส เฟรทริสชอบปีกคู่นี้มาก(แต่เกลียดเจ้าของที่สุดฮึ!) เมื่อพบครั้งแรกจึงอยากได้มาเป็นพาหนะมาก แต่เมื่อนานวันไปก็ยิ่งชอบปีกคู่นี้มากขึ้น มากจนทนมองไม่ได้ เพราะเห็นทีไรก็อ่อนระทวยทุกที(แต่ยืนยันอีกทีว่าเกลียดเจ้าของปีกจริงๆนะฮึ!) จนท้ายแล้วต้องขอให้มหาเทวีอาราอัสประทานสร้อยวิเศษที่ช่วยบรรเทาอาการมาไว้สวมใส่

           ทว่าสร้อยวิเศษนั้นตอนนี้ไม่อยู่แล้ว มันหายไปพร้อมกับเมียทั้ง8ของเขา ง่ายๆก็คือเมียหนียังไม่พอยังขโมยของไปอีกด้วย...โถ เมียรัก

            เช่นนี้เฟรทริสจึงไม่อาจทนมองอามินอสตรงๆยามกางปีกได้เลย อีกทั้งทำให้เขาไม่ยอมโดยสารพาหนะตัวเองไปไหนมาไหนอีกด้วย
           อามินอสรู้ถึงข้อนี้ดี และเขาก็พึงใจมากที่เฟรทริสกลายเป็นแบบนี้เพราะมันทำให้เขาจะทำอะไรก็ได้กับอีกฝ่ายโดยที่อีกฝ่ายขัดขืนมิได้ แต่อามินอสก็ยังไม่เคยทำอะไรลงไปเลย

          เทพบุตรปีกเงินค่อยๆลงมานั่งบนขอบเตียงพร้อมด้วยยิ้มแบบคนขี้แกล้งของเขา เฟรทริสสำผัสได้ถึงแสงสว่างทางด้านหลังจึงไม่ยอมหันไปยามนี้เขาเสียเปรียบเป็นที่สุด


“ดี เป็นแบบนี้เจ้าจะได้นิ่งๆเสียหน่อย จะยอมคุยกันดีๆไหม”


“......”


“เฟรทริส”


“ข้าจะทำตัวดีๆถ้าเจ้าหุบปีกลงไป” เขาตอบกลับไปด้วยเสียอ่อยๆงอนๆ เหมือนเด็กดื้ออ้อนขอขนม อามินอสรู้สึกว่านี่มันน่ารักจนทนไม่ไหวอยากจะรังแกเสียตอนนี้


“มิได้หรอก เจ้ายังอยู่ในช่วงอารมณ์แปรปรวนถึงข้าหุบปีกลงไปเจ้าก็ไม่ยอมสงบหรอก”


“ถ้างั้นก็หันหลังคุย”


“หัดเอาชนะใจตัวเองบ้างเถอะ กับอีกแค่มองปีกข้าตรงๆยังทำไม่ได้แล้วเจ้าจะไปช่วยโรเรเนสได้อย่างไร”


           ได้ยินเช่นนั้นก็ฉุกใจคิด เขาจึงค่อยๆหันมามองทางด้านหลังอย่างช้าๆ

 แต่เพียงแค่ได้เห็นปีกคู่นั้นเต็มตาหัวใจก็เต้นระส่ำอย่างยากจะเข้าใจ แถมใบหน้าก็แดงซ่านซักพักก็เริ่มอ่อนระทวยเหมือนจะไม่มีแรง เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงหลุบตาลงต่ำไม่ยอมทนดูปีกนั้นอย่างตรงๆ แล้วสงเสียร้องอิดออดอยู่ซักพักก่อนจะเอ่ยปากพูดไปด้วยเสียงเบาๆ

“ข้าหันมาแล้วนะ ทีนี้บอกได้ไหมว่าข้าจะช่วยน้องข้ายังไง” เขาพูดด้วยเสียงกระเง้ากระงอน ดวงตากลมโตดูหงอยลงไปริมฝีปากเชิดเป็นเป็ดแสดงชัดเจนถึงความอึดอัดใจ


“เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ทำได้เพียงแต่ให้พรแก่เขาไม่ให้ต้องเจอความเดือนร้อนมากเกินไปเท่านั้น” 


“ไม่เห็นจำเป็นเลย เดี๋ยวพิสูจน์ได้ว่ามีangel syrup เขาก็ได้อยู่สบายๆในวังแล้ว แต่ข้าไม่ได้ต้องการให้เขาอยู่สบายข้าต้องการเขาคืน”


“ข้าไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นแบบนั้นน่ะสิ”


“ทำไมเล่า?”


“เพราะไอ้ขุนนางที่ชื่อโยเฮนนั่นแหละตัวดี มันเป็นขุนนางทุจริตที่ต้องการปกปิดเรื่องของตนไว้ พอมันรู้ว่ามีเทพลงมาก็กลัวว่าเทพจะบอกเรื่องความประพฤติมันให้ฟารันรู้ มันเลยพยายามทำให้ฟารันเชื่อว่าโรเรเนสไม่ใช่เทพยังไงล่ะ อย่างไอ้เจ้าเทวรูปนั่นก็เป็นของปลอม ของจริงกลายร่างเป็นโรเรเนสไปแล้วเจ้าก็เห็น แต่เจ้านี่กลับสร้างของปลอมขึ้นมาเพื่อตบตาทุกคน ข้าถึงบอกว่าโรเรเนสจะต้องลำบากอย่างไรล่ะเจ้านี่มันทำได้ทุกอย่างให้น้องเจ้ากลายเป็นคนโกหก”


“เลวจริง เราทำอะไรไม่ได้เลยหรอ”


“ก็อย่างที่ข้าบอก ทำได้แค่ให้พรกับสร้างปาฏิหารเล็กๆน้อยๆให้เจ้ากษัตริย์หน้าหล่อมันฉุกใจคิดขึ้นมาบ้างว่าโรเรเนสน่าจะเป็นเทพ แต่จะทำมากกว่านี้ไม่ได้นะไม่เช่นนั้นพวกมหาเทพต้องห้ามเราอีกแน่”

           เฟรทริสที่ยังไม่ยอมเงยหน้าเลยตั้งแต่หันมา เขาเม้มปากแน่นแล้วทำแก้มบ่องอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะค่อยๆสงบจิตใจลงแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด หากเป็นยามปรกติเขาก็คงอาละวาดบ้านแตกไปแล้ว แต่ตอนนี้อามินอสยังกางปีกอยู่ความรู้สึกของเขาจึงถูกคุมเอาไว้

“แต่ว่านะ angel syrup มันเป็นสีใสๆจริงหรอ”  คราวนี้เป็นฝ่ายอามินอสที่ต้องถลึงตามอง  อีกคนที่ก้มหน้าก้มตาพูดก็เริ่มรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆที่มองตน


“ถึงข้าไม่เห็นแต่ก็รู้นะว่าเจ้ามองอยู่ มองข้าแบบนั้นทำไมล่ะ”


“นี่เจ้าเคยมีเมีย8คนจริงหรือเนี่ย”


“ก็ ก็ เวลาทำเรื่องแบบนั้นข้าไม่จำเป็นต้องมานั่งดูของตัวเองนี่นา”


“ไม่เคยเสร็จข้างนอกหรอ หรือว่าช่วยตัวเองอะไรแบบนี้”


“ไอ้คนลามก! งื่อ ข้าไม่ได้ต่ำแบบเจ้านะ!”


“โฮ่ นี่ขนาดข้ากางปีกอยู่ยังพยศได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย เจ้านี่ฤทธิ์เยอะเสียจริง”


“หุบปีกเสียสิเจ้าจะได้รู้ว่าฤทธิ์ข้ามีแค่ไหน” อามินอสหลิ่วตามองแล้วก็นึกเรื่องสนุกๆขึ้นมาได้ จึงยอมเสกให้ปีกตนหายไป


“เสร็จข้าล่ะไอ้นกชั่ว!”

          ฉับพลัน ไวดั่งใจคิดเฟรทริสกระโจนเข้าบีบคออีกฝ่ายทันที แต่แทนที่อีกฝ่ายจะพยายามปัดป้องกลับยกสองแขนโอบรอบเอวคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แล้วสะบัดปีกออกกางก่อนจะห่อร่างคนในอ้อมแขนตนไว้อีกชั้นหนึ่ง เท่านี้เทพจอมพยศก็ตกอยู่ในอ้อมแขน(อ้อมปีก?) ของเขาเรียบร้อยแล้ว

“อะ อะ อะไรกันเนี่ย ปะปล่อยข้านะ คนบ้า” เฟรทริสใช้สองมือดันอกอีกฝ่ายให้ออกห่างและดิ้นขลุกขลักเพื่อประท้วงอยู่ซักพักก่อนจะสิ้นฤทธิ์ด้วยแพ้แก่ปีกเงิน อามินอสหัวเราะเบาๆพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท


“เจ้าต้องโดนลงโทษที่ทำลายข้าวของนะ ข้าจะให้เจ้าอยู่แบบนี้จนเจ้าจะยอมกอดข้าตอบ”


“อี๋ โรคจิต”


“เขาเรียกว่าละลายพฤติกรรม เราควรจะสนิทกันไว้นะเพราะเชื่อข้าเถอะอีกหน่อยเจ้าต้องมีเรื่องพึ่งข้าอีกเยอะ”

           เขาพูดพลางขยับแขนตนให้กอดกระชับเข้าไปอีก ร่างในอ้อมกอดก็อึดอัดขัดเขินจนไม่รู้จะไปมองตรงไหน พอเงยหน้าก็เจอปีกงามสว่างชวนหลงไหลจนรู้สึกแปลกๆ จะมองหน้าก็เจอหน้าหล่อสุดกวนที่เห็นแล้วอยากจะต่อยซักเปรี้ยง พอก้มหน้าก็เห็นร่างกายกำยำสมส่วนน่าอิจฉา เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่หลับตาปี๋

นั่งไปได้ซักพักเขาก็เมื่อยจึงเริ่มขยับตัวอยู่หลายรอบ แต่ไม่ว่าเมื่อยแค่ไหนก็พยายามฝืนตัวไม่ให้เอาตัวเองไปอิงกับอีกฝ่าย เขานั่งแข็งทื่อเป็นรูปปั้นอยู่แบบนั้นนานเท่าที่จะนานได้

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพักใหญ่ๆหลังจากนิ่งหลับตามาได้นานพอสมควร เฟรทริสก็ก้มลงซบอกอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย  ดูท่าเขาจะเปลี่ยนใจเสียแล้ว


“โอ้ นี่เจ้ายอมแล้วรึ”

           ทว่าเสียงตอบกลับไม่ใช่เสียงพูดแต่เป็นเสียงกรนเบาๆให้ได้ยิน  เทพนนักรบผู้นั่งหลับตาไปๆมาๆก็หลับไปเสียจริงๆ เจ้าของปีกเงินเห็นเช่นนั้นหัวเราะน้อยๆอย่างเอ็นดู แล้วจึงบรรจงประคองร่างนั้นให้นอนลงบนที่นอนพร้อมทั้งห่มผ้าให้เรียบร้อย

เขาก้มมองวงหน้าซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆนั้นครู่หนึ่งแล้วเริ่มเรียกอีกฝ่าย


“เฟรทริส”


“........”


“แม่หนูน้อย”


“........”

           เมื่อทดสอบแล้วว่าหลับจริงเขาจึงยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงราวกระซิบ

“ข้าขอโทษนะที่ข้าทำให้เมียเจ้าหนีไปแล้วยังเรื่องที่ข้าไม่ยอมหยุดพิธีอันเชิญเทพอีก แต่ทั้งหมดที่ข้าทำก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ ไม่โกรธใช่ไหม”


“...........”


“ไม่ตอบแปลว่าไม่โกรธนะ”


“...........”


“งั้นเพื่อยืนยันว่าเจ้าไม่โกรธ ข้าขอจูบเจ้านะ”


“.........”


“ไม่ตอบก็แปลว่าไม่ปฏิเสธนะ”



เขาอมยิ้มมองอย่างอ่อนโยนก่อนจะฉวยโอกาสก้มลงจุมพิตที่กลีบริมฝีปากแดงอย่างแผ่วเบา

เบาเหมือนขนนกสีเงิน

แล้วก็เดินจากไป

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai5: :katai5: :katai5:

ขออภัยจริงๆที่มาลงช้า ช้ามว๊าก   :z6: แต่งานยุ่งจริงๆคะสาบาญให้ฟ่าผ่าจิ้งจกตาย  อ่าว?
จะพยายามมาอัพเรื่อยๆนะคะ ช่วงนี้งานเข้า คงจะช้าหน่อยแต่ไม่หายคะ ขอบคุณที่มาอ่านกันนะคะ

ป.ล. นี่เป็นอีกคู่ ขอฝากคู่เฟรทริสและอามินอสไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ม๊วฟ  :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2014 17:01:21 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
น่ารักอ่ะะะ เฟทริส แพ้ทางตลอดเลยย  :mew3:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
จะทำอะไรก็แพ้ทางไปหมดเลย ฮ่าๆ

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คู่นี้ก็น่ารัก><

แอบเป็นห่วงโรเรเนสนะเนี๋ย มาต่อไวไวนะ :katai1:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ไม่ปลื้มอามินอสอย่างแรง เห็นแก่ตัว เจ้าชู้ด้วย ไม่สมควรกับเฟรทริสสักนิดเลยอ่ะ ออกจะใส่ซื่อบริสุทธ์ เจอคนแบบอามินอสเข้าไปก็มีแต่เสียๆอ่ะ ไม่ปลื้ม รู้สึกพระเอกเรื่องนี้จะเป็นเหมือนกันหมดน่ะ เศร้าใจๆ อย่าซีเรียด อินๆๆจัดๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
 :a5: o22

จะ จะ ใจเย็นๆนะคะ เดี๋ยวความรักจะทำให้พฤติกรรมเค้าดีขึ้นเองคะ (หะ?) 5555555555555555 :laugh:
:katai5:

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นคู่ที่กร๊าวใจมากกกกกกกก
อ่านตอนแรกๆก็เล็งไว้แล้วว่าคู่นี้จะต้องน่ารัก แล้วก็น่ารักจนอยากรู้ว่าในอดีตไปเจอกันอีท่าไหน ><

ดีใจที่ยังมีเฟรทริสไว้คอยชั่ว ต่อไปต้องให้พรอะไรสักอย่าง ขอให้โรเรเนสปลอดภัยย

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6

ออฟไลน์ crystal_on

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-0
    • ไอ้หน้าหวานกับประธานสุดโหด

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คน แต่งหายนานเลย  รออยู่นะ
 :katai4:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

           หากจะกล่าวว่าสปันเทียเป็นดินแดนทะเลทรายก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะอย่างที่รู้กันโดยสามัญสำนึกว่าผืนทะเลทรายนั้นไม่มีแม่น้ำผ่านเป็นแน่ ทว่าอาณาจักรแห่งนี้กลับมีแม่น้ำสายใหญ่ถึงสองสายขนาบประเทศเอาไว้ นั่นคือแม่น้ำยูไรและแม่น้ำไทลา สองเส้นเลือดใหญ่ที่สร้างความรุ่งเรืองให้แก่อารายธรรมบริเวณนี้

ทิศเหนือจรดผืนทะเลซึ่งเป็นช่องแคบนามว่าฟอรุม ล่องเรือข้ามไปเพียง 1 สัปดาห์ก็จะถึงโอเรนเดล  อาณาจักรบนเทือกเขาเขียวขจีที่ซึ่งผู้คนมีผิวขาวและภูมิประเทศมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว

ทิศใต้ติดกับฟาซีดารี อาณาจักรทางใต้ที่มีภูมิประเทศไม่ต่างจากสปันเทียนัก และมักเป็นคู่แข่งกับสปันเทียมาตลอด

ทิศตะวันออกติดกับซีบีเรียน เมืองแห่งหุบเหวและขุนเขาที่ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ทองทำและหินอัญมณี อีกทั้งยังเป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดบนทวีปนี้ ทั้งเรื่องเล่าเก่าแก่ เวทย์มนต์และจุดเริ่มของศาสนาเกิดขึ้นที่นี่ ว่ากันว่าซีบีเรียนมีเทวรูปองค์ปฐมของเทพนับร้อยองค์แต่ก็ยังไม่เคยมีใครพิสูจน์ในเรื่องนั้น

ทิศตะวันตกติดกับทะเลทรายเว้งว้างนามว่าเธโลส ที่ก็ยังไม่มีใครทราบได้ว่าสุดขอบทะเลทรายเป็นที่แบบไหน

บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำยูไรและไทลานั้นเป็นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกดี ทว่าลึกเข้ามาใจกลางเมืองนั้นจะเริ่มแห้งแล้งลงเรื่อยๆจนถึงตัวเมืองเอนนัค เมืองหลวงแห่งสปันเทียที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือพื้นราบปกติถึงสองร้อยเมตร นับเป็นชัยภูมิที่ดียามเมื่อเกิดสงคราม แต่จะเป็นปัญหาตรงที่ว่า ตัวที่ราบสูงนี้ดินเป็นหิน ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ผู้คนอยู่ได้โดยการค้าขาย
จนกระทั่งถึงรัชสมัยขององค์ซูเมอร์ราห์โอ องค์ราห์โอองค์ที่856 ก็ได้ริเริ่มการผันน้ำเข้าสู่ตัวเมือง  ขุดคลองและคูน้ำมากมายในเมืองหลวงอีกทั้งยังขุดแม่น้ำล้อมรอบเมืองหลวงไว้อีกชั้นหนึ่ง เช่นนี้เมืองเอนนัคจึงเต็มไปด้วย โรงอาบน้ำ น้ำพุ ธารน้ำไหลมากมายมีทั้งให้ใช้บริโภคและตกแต่งเมือง

โดยเฉพาะพระราชวังหลวงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดใจกลางเมืองเอนนัค ที่ร่มรื่นเย็นสบายผิดกับสภาพภูมิอากาศปรกติของประเทศด้วยตัวอาคารถูกสร้างด้วยอิฐดินเนื้อหนาที่ป้องกันความร้อนและกักเก็บความเย็น อีกทั้งระบบน้ำที่สร้างขึ้นเป็นสายลำธารภายในและเหล่าแมกไม้นานาพันธุ์ที่ปลูกตกแต่งไว้ทำให้ พระราชวังแห่งนี้เย็นสบายอย่างน่าประหลาดใจ

ลมร้อนพัดโบกปะทะหน้างามให้เส้นผมปลิวไปกับลม เขายกมือขึ้นเพื่อปัดปอยผมบางส่วนที่บังหน้าไว้ก่อนจะสูดหายใจอย่างสดชื่นให้กับเช้าที่สดใส นี่เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่โรเรเนสได้ลงมาเป็นมนุษย์ เขาได้รับการปรนิบัตรอย่างดีจากข้ารับใช้ในวังด้วยองค์ราห์โอให้เขาอาศัยอยู่ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ทำให้คนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องราวเข้าใจว่าเขาเป็นเพียงพระสหายต่างชาติที่มาพักรักษาตัวอยู่ที่สปันเทียเท่านั้น ถึงแม้จะผิดวิสัยไปเสียหน่อยที่องค์ราห์โอกำชับให้ดูแลแขกคนสำคัญคนนี้ให้ดี แต่ตัวเองกลับไม่ได้เจอหน้าแขกคนนี้เลย

 ใช่ หนึ่งเดือนมาแล้วที่โรเรเนสไม่ได้คุยกับฟารันเลย อันที่จริงเรียกว่าไม่ได้พูดคุยแบบจริงจังกันเสียมากกว่า

 ที่เป็นเช่นนี้มิใช่เป็นฝ่ายฟารันที่ไม่ใส่ใจ แต่เป็นฝ่ายนี้ต่างหากที่ไม่ยอมเจอ  พอถูกเรียกพบก็ให้หมอบอกว่าไม่สบาย พอฝ่ายนั้นมาหาก็หนีไปซ่อนห้องอื่นไม่ก็แกล้งหลับหรือกระทั่งจงใจ ‘แอบ’ เวลาฟารันเดินผ่านมา ที่ทำแบบนี้ก็ด้วยตัวเขานั้นรู้สึกว่าไม่พร้อมจะเจอหน้าอีกฝ่ายเพราะภาพความทรงจำและความรู้สึกถึงสัมผัสทุกอย่างที่คนผู้นั้นได้ทำยังคงตกผลึกทิ้งร่องรอยไว้ในใจและตามส่วนต่างๆของร่างกายของเขาอย่างมิอาจลบเลือน เพียงแค่นึกถึงฟารันขึ้นมาเท่านั้นร่างกายและผิวหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวอย่างน่าอึดอัดใจ หากได้เจอหน้ากันตรงๆเขาคงไม่อาจทนมองสายตาคมปราบนั้นได้แน่ เขาจึงพยายามหนีหน้าอย่างไม่ปิดบังและสามารถเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทสำหรับเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก แต่เทพหนุ่มก็จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องหัวใจของเขาเอง

ฝ่ายกษัตริย์หนุ่มก็รู้ตัวว่าถูกหนีหน้าอย่างรุนแรงจึงมีเพียงสองสัปดาห์แรกเท่านั้นที่เขาพยายามจะเจอตัวอาคันตุกะหน้าหวานผู้นี้ หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากเจอเขาก็ไม่พยายามอีกเลยเว้นเสียแต่บางครั้งที่ทั้งสองได้เจอหน้ากันโดยบังเอิญตามทางเดินในตอนที่คนตัวเล็กหนีเขาไม่ทัน แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะราห์โอหนุ่มก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใดต่ออีกฝ่ายเลยเพียงแค่ทักทายตามมารยาทด้วยใบหน้าเย็นชาเรียบเฉยแล้วจากไปอย่างเร่งรีบเหมือนมีธุระตลอดเวลา

 นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับกรณีที่ต้องพบหน้ากันตรงๆโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเกิดขึ้นน้อยมากเพราะส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่หลีกเลี่ยงได้ หลายครั้งถ้าทั้งสองอยู่ในบริเวณใกล้กันจะไม่มีการเดินเข้ามาทักทายกันแต่อย่างใดและทุกครั้งที่บังเอิญหันไปเจอกันฟารันก็จะมองเลยผ่านไปเหมือนไม่เห็นอะไร อันที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลังเหมือนกลับตาลปัตรกลายเป็นฝ่ายฟารันแทนที่หนีหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่วิธีการนั้นต่างกันฟารันไม่ได้วิ่งหนีหรือแกล้งหลับ เขาใช้ชีวิตอย่างปรกติเพียงแค่ทำเหมือนโรเรเนสไม่ได้อยู่ร่วมวังกับเขาเท่านั้นเอง

ทว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจเทพหนุ่มเป็นอย่างมากการที่รับรู้ว่าตัวเองไร้ตัวตนสำหรับอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกอึดอัดอัดอั้นอย่างยากจะอธิบาย ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะฟารันโกรธที่ตนหนีหน้าในช่วงแรกหรือเพราะอะไร พอเขาถามไถ่เรื่องนี้กับหมอหลวงและลากลอซก็ถูกบอกว่าอย่าใส่ใจ จนเมื่อเบื่อหน่ายที่จะเซ้าซี้เขาก็ไม่ถามความเรื่องฟารันกับใครอีกได้แต่เก็บความทุกข์ใจไว้เงียบๆ และปล่อยให้หัวใจจมอยู่กับความสับสน สับสนอย่างที่สุดด้วยใจหนึ่งก็ไม่อยากเจอหน้าเพราะกลัวความรู้สึกแปลกๆของตัวเองแต่อีกใจก็เจ็บปวดเหลือเกินกับท่าทีเย็นชาเช่นนั้น


ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งจิตใจของเขาเองและจิตใจของราห์โอหนุ่ม....นี่สินะ การเป็นมนุษย์ ช่างสับสนวุ่นวายและเจ็บปวดนัก


 “ท่านโรเรเนสคะ โปรดอย่างออกไปนอกระเบียงตอนนี้สิคะ ท่านหมอกำกับไว้ว่ามิให้ท่านถูกแดด” ผิวหน้าขาวเนียนสะท้อนแสงตะวันดูผ่องเสียให้แสบตาหันมาอย่างเบื่อหน่าย
“โธ่ ชาช่าก็วันนี้มันอากาศดีนี่นา”
“ท่านอยากจะไปที่สวนไหมล่ะคะ เดี๋ยวอิฉันจะให้เจ้าชามันไปเป็นเพื่อน”
“อย่าเลย น้องชายเจ้ามีงานต้องทำรวมทั้งเจ้าด้วย ไปทำสิ่งที่ต้องทำเสียเถิด อาการข้าดีขึ้นมากแล้วข้าไปที่สวนคนเดียวได้” 

สาวใช้ผิวแทนผมดำขลับลังเลเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไป เจ้าของห้องชั่วคราวมองนางเดินหายไปจนลับตาจึงหันกลับไปเท้าสองมือลงกับรั้วระเบียงอีกครั้ง

คนที่จะพอเป็นเพื่อนกันเขาได้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกข้ารับใช้ที่เขาได้พบเจอ คนเหล่านั้นชอบเขาเป็นอย่างมากด้วยชื่นชมในหน้าตาก็หนึ่งเหตุและด้วยเวทนาเห็นเป็นคนความจำเสื่อมก็ด้วยอีกหนึ่งเหตุ ทำให้คนรอบข้างใจดีกับเขาเป็นพิเศษเขาก็ตอบแทนกลับไปด้วยมิตรไมตรี  แต่ฉไนเจ้าบ้านกลับเย็นชาใส่เขาได้เช่นนั้นนะ

หน้าสวยเม้มปากบางลงก่อนจะหันหลังเดินผละจากระเบียงมา เขาเดินเรื่อยออกจากห้องนอนตนอย่างเงียบๆ ช่วงเช้าเป็นเวลาของการทำงาน ทุกคนในวังตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุดต้องทำงานของตนเอง เว้นแต่แขกอย่างเขาที่ว่างไม่มีอะไรทำ ยามนี้จึงเป็นการดี ที่เขาจะเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปโดยไม่ต้องมีใครมาวุ่นวาย

ตามโถงทางเดินนั้นไร้ผู้คน รอบๆนั้นมีห้องหับมากมายซึ่งถูกปิดไว้มีเพียงประตูห้องของเขาเท่านั้นที่เปิดอ้า ส่วนห้องอื่นๆโดยรอบนั้นเงียบเชียบ ห้องเหล่านี้เป็นห้องรับรองสำหรับพระราชอาคันตุกะยามเมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้นบริเวณนี้ถึงจะมีชีวิตชีวาขึ้นได้ และเมื่อเดินเลยออกไปจะเป็นส่วนห้องพักของเหล่าราชวงศ์ซึ่งโรเรเนสไม่เคยย่างเข้าไปถึง เขามองไปในทิศทางนั้นแล้วชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินไปในทิศที่ไม่คุ้นเคยแล้วเดินผ่านบรรดาห้องต่างๆไปอย่างเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเหมือนเสียงพูดคุยของคนกลุ่มหนึ่งดังแว่วมาจากห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาไม่ได้สนใจจนเกือบจะเดินผ่านห้องนั้นไปเสียแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นก่อน

“ข้าอ่านรายงานของท่านแล้ว แต่ที่ยังไม่ลงตราประทับให้เพราะมันยังมีบางจุดที่ต้องแก้ไขอยู่”

เสียงที่คุ้นเคยของราห์โอหนุ่มดังออกมา ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยแล้วถลาไปแอบหลังหนึ่งในบานประตูไม้ที่ปิดไว้  แต่เสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไปในห้องนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าเจ้าของเสียงจะรับรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น เขายืนฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองและการทำงานทั่วไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก ในหัวรับรู้แต่เสียงทุ้มหนักแน่นมีอำนาจนั้นเพียงเท่านั้นเอง

 พลันความสงสัยใคร่รู้ก็ก่อตัวขึ้นเจ้าของตาเชื่อมเศร้าจึงค่อยชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อลอบมองบุคคลผู้อยู่หลังโต๊ะทำงาน
เขาเพียงอยากรู้ว่าในยามนี้ตนจะสามารถทนมองใบหน้าของชายคนนี้ได้อยู่ไหม แต่ก็ได้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ยากอยู่เหมือนกันเมื่อได้มองหน้าคมเข้มสมส่วนไร้ที่ติที่กำลังคร่ำเคร่งดูเองสารบนโต๊ะสลับกับปรึกษาพูดคุยกับเหล่าขุนนางหลายคนที่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตรงนั้น แม้นจะดูน่ากลัวอยู่บ้างแต่ก็กลับน่ามองและชวนหลงไหลอยู่ในที

เห็นเช่นนี้แล้วก็ต้องขบริมฝีปากบางของตนเก็บอารมณ์วูบวาบที่ฉีดขึ้นจนแดงซ่านไปทั้งพวงแก้มทันที จมูกโด่งได้รูปรับกับตาคมนั่นพาลทำใจเขาให้สั่นระรัวอย่างไม่อาจเข้าใจได้ จนผ่านไปหลายอึดใจก็ไม่อาจละสายตาได้แม้จะสั่งตัวเองให้เลิกมองแต่ใจเจ้ากรรมก็ไม่อาจทำตามสมอง

                เหมือนเคยทำแบบนี้มาก่อน....

ตาหวานแสนซุกซนจดจ้องใบหน้าคมสันอย่างหลงไหลเหมือนตกอยู่ในภวังค์ กระทั่งเจ้าของหน่วยตาคมรู้สึกตัวจึงหันตวัดตาไปมอง การประสานตาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก็คลาดกันไปด้วยร่างเล็กสะดุ้งหนีแล้วหลบหายไปหลังประตู เขายืนพิงบานไม้อย่างพลั่นพรึงกลัวว่าจะถูกจับได้ กลัวว่าจะถูกรังแกเช่นวันนั้นอีก ใช่ฟารันเห็นเขาแล้ว แน่ใจเลยทีเดียวว่าฟารันรู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงนี้…ทว่า

“ส่วนทางด้านงานของกระหม่อมนั้น...”
เสียงของท่านหมอหลวงเอ่ยขึ้นทำลายความคิดฟุ้งซ่านของเขาไป ท่านหมอคงกำลังจะรายงานเกี่ยวกับการรักษาตัวเขาให้องค์ราห์โอฟัง
“การรักษาอาคันตุกะคนสำคัญของฝ่าบาทเป็นไปได้ด้วยดี ยามนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับอีกทั้ง...”
“ท่านหมอ”
“กระหม่อม?”
“อะไรที่มันไม่สำคัญก็ข้ามๆไปก่อนเถอะ ข้าขอฟังแต่เรื่องที่มันสำคัญจริงๆเท่านั้น”

               ไม่สำคัญ....

“อ่า...เอิ่ม...”
“เรื่องวิจัยของสภาเพทย์ไปถึงไหนแล้ว”
“เรื่องนั้นกำลังดำเนินการไปด้วยดีกระหม่อม หากแต่จะมีขัดข้องบ้างก็ตรงที่....”

สรรพเสียงที่เหลือเหมือนละลายหายไปหมดแล้วเขาไม่ได้ยินอะไรอีกต่อจากนั้น...จริงสินะเขาไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายมานานนับเดือนแล้ว ไม่ได้มีความหมายใดๆเลย ไม่ได้สำคัญอันใดทั้งนั้น ไร้ตัวตน ถึงแม้เขาจะโผล่พรวดเข้าไปยืนกลางห้อง ก็คงไม่อาจเรียกความสนใจใดๆให้อีกฝ่ายได้แม้นแต่น้อย ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอันใดเลย การหลบอยุ่หลังประตูนี้ก็ไม่สำคัญอะไรแม้แต่น้อย ตาเศร้าหลุบลงมองต่ำก่อนจะผละออกจากตรงนั้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

 :ling2: :ling2: :katai1:ไม่มีข้ออ้างอ่ะ ที่หายไปนาน มีแต่คำว่าขอโทษอะฮื่ออออออออออออ  :hao5:
หลังจากนี้จะหายไปไม่เกิน 1 เดือนแล้วกันนะคะ(เผื่อไว้ได้นานมากๆ)
:mew5:

ขอบคุณที่อุตส่าห์มาอ่าน ขอบคุณมากคะ

ออฟไลน์ Oo๐FosfoggY๐oO

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 442
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
มาต่อแล้ว ดีใจอย่างกะได้โล่ อย่าหายไปไหนนานอีกนะคะคนเขียน :hao5:

อีตาบ้ากล้ามาว่าเทพคนสวยของเค้าไม่สำคัญ แอบขโมยออกจากวังได้มั้ยเนี่ย
อย่าให้เห้นว่ามาง้อเชียวนะ :m16:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2014 23:42:26 โดย Oo๐FosfoggY๐oO »

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กลับมาแล้ว!!!
รีบๆมาอัพต่อเป็นการชดเชยที่หายไปนานนะ
บวกเป็ด :mew1:
ปล.อย่าลืมแก้วันที่อัพเดทล่าสุดนะ คนอื่นจะได้รู้ละมาอ่านตอนใหม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2014 00:29:02 โดย Deery »

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
ฟารัน​งอนแล้วมั่งงงง

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
เรื่องนี้น่ารักอ่ะ55 มาต่อนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maew189870

  • รักทุกคนนะคับ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 736
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
อยากให้เข้าสนใจ  อาการแบบนี้เรียกว่าอะไรนะ?

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

                   พระราชวังแห่งนี้นั้นมีสวนอยู่มากมายแม้แต่ในราชฐานชั้นในก็ยังมีทั้งสวนแนวตั้งสวนแนวนอน แต่สวนที่โรเรเนสมาเยือนบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นสวนหย่อมขนาดกลางที่อยู่ใกล้ห้องพักของเขามากที่สุด

สวนเล็กๆแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยไม้หลากพันธุ์เหนือสูงขึ้นไปบนหลังคาเป็นช่องกระจกใสเพื่อให้แสงแดดได้ส่องถึง เขามักจะใช้เวลาหลายชั่วโมง ณ สวนแห่งนี้ ที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อดูจากขนาดและยิ่งรู้ว่าเป็นสวนในระบบปิดก็สร้างความชื่นชมให้แก่เขาเป็นอันมากถึงสถาปนิกและผู้ดูแลที่สรรสร้างสวนน้อยๆนี้ขึ้นมา

เขานั่งลงกับพื้นหญ้านิ่มสบายก่อนจะมองไปรอบๆอย่างคุ้นเคย พืชพันธุ์เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขาเข้ากับชีวิตบนสวรรค์แม้เขาจะไม่สามารถจำความอะไรได้แต่เขากลับจับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพืชได้โดยไม่ต้องเสียเวลานึก ทั้งเรื่องดิน น้ำ พันธุ์ และสารพัดองค์ความรู้ที่มีล้น ฉะนั้นไม่ว่ามองไปตรงจุดไหนที่มีพืชย่อมสร้างความสบายใจให้เขาเป็นอย่างมากเพราะเขารู้จักทุกอย่างที่เขาเห็น มันทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดมืดแปดด้านเหมือนเรื่องอื่นๆที่เขาพยายามนึกถึง อีกทั้งเขายังคิดด้วยซ้ำว่าการอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคยแบบนี้ไปเรื่อยๆจะทำให้เขาจำอะไรได้เพิ่มขึ้นมาบ้าง

ซึ่งสำหรับเขามันก็ได้ผลอยู่บ้างเพราะความทรงจำหลายอย่างก็ค่อยๆกลับมาทีละน้อยหลายๆวันครั้ง แต่ก็มักจะเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์ความเป็นเทพของเขาเลย เรื่องส่วนใหญ่ที่เขาพอจะจำได้ก็มีแต่ภาพตัวเองทำงานโปรยพรอยู่ในห้องพันธุ์พืชในวิมาณของตน กับเรื่องเจ้าซาลาเปาแมวตัวขาวฟูของเขา จำตอนที่โดนซาลาเปางอนได้ จำตอนที่โดนซาลาเปานอนทับได้ เรื่องอีกสารพัดที่ซาลาเปาทำแต่เรื่องที่ควรจะจำได้ เช่นคำสวดอ้อนวอนของชาวสปันเทียหรือแม้แต่ความลับของพวกมนุษย์ที่มีแต่เทพเท่านั้นที่รู้เขาก็นึกไม่ออก ดูท่าเรื่องต้นไม้และแมวจะกินพื้นที่ในชีวิตเขามากเกินไปหน่อย

ลึกๆแล้วการที่จำเรื่องพาหนะตัวเองได้มากขึ้นก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกคิดถึงเจ้าแมวยักษ์ตัวฟูขึ้น แต่ก็นับเป็นโชคดีที่อย่างน้อยบนโลกมนุษย์นี้มีบางสิ่งที่ทำให้เขาคลายเหงาลงได้บ้าง บางสิ่งที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างร่าเริงก่อนจะกระโดดใส่พร้อมกับพวงหากที่แกว่งไกวอย่างอารมณ์ดี

“อ๋า หยุดนะกีก้า ฮ่าๆๆ ไม่เอาน่า”

เจ้าหมาตัวฟูสีเทาเห่าตอบอย่างร่าเริงก่อนจะวิ่งไปรอบๆตัวเขา กีก้าเป็นสุนัขขององค์ราห์โอแต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบเจ้ากีก้านี้กลับมาถูกใจโรเรเนสเป็นอย่างมากเรียกได้ว่าเทพหนุ่มองค์นี้เป็นคนๆเดียวที่ทำให้กีก้ายอมห่างจากเจ้าของสุดที่รักของมันได้
กีก้านั้นเป็นหมาพิเศษเพราะเป็นหมาพันธุ์ดีสง่าสมตำแหน่งสุนัขทรงเลี้ยงด้วยพ่อของมันนั้นเป็นไซบีเรียนฮัสกิ้นผู้กล้าหาญ มีขนสีขาวแซมเทาสวยงามตลอดตัวอีกทั้งดวงตาสีฟ้าใสที่งดงามอย่างหายาก ทำให้กีก้ามีลักษณะที่ดีพร้อมตามแบบฉบับฮัสกี้เช่นเดียวกับพ่อของมัน

ทว่าจุดด้อยจุดเดียวที่เจ้าหมาหน้าแป้นแล้นตัวนี้จะมีก็คือนอกจากสายพันธุ์จากทางพ่อแล้วมันยังมีสายพันธุ์จากทางแม่ที่ต่างกันสุดขั้วมาผสมด้วย นั่นก็เพราะแม่ของกีก้าเป็นหมาน้อยพันธุ์คอร์กี้ขาสั้นหูโต
กีก้าผู้เป็นลูกครึ่งจึงกลายเป็นฮัสกี้ผู้สง่างามที่มาพร้อมกับขาสั้นเตี้ย ....

“พอเถอะน่ากีก้าอย่าเสียงดังสิมานี่มานั่งนี่เร็ว”
เจ้าหมาน้อยปรี่ไปนั่งข้างๆเด็กหนุ่มก่อนจะเอาคางไปหนุนตักอย่างสบายใจ เขาก้มมองมันอย่างเอ็นดูแล้วค่อยๆลูบขนนุ่มๆของมันอย่างเบามือ
“นี่ถ้าเจ้าของเจ้ารู้ว่ามาติดข้าแบบนี้เขาคงไม่พอใจข้าเป็นแน่ ฮึ กีก้า เราจะทำคนอื่นเขาเดือนร้อนนะรู้ไหม” แต่เจ้าหมาผู้ไม่รู้ความก็ยังนอนสบายไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“อ้าว หนีมาเล่นตรงนี้อีกแล้วไอ้เตี้ย” 
เสียงลากลอซดังมาจากด้านหลังทำให้กีก้าลุกพรวดขึ้นมาทันที มันเห่าใส่อย่างไม่พอใจอยู่สองสามครั้งก่อนจะเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วดมๆตามนิสัยหมา ดูท่าหมาตัวนี้จะโกรธใครไม่เป็นจริงๆ

“สวัสดี ท่านลากลอซมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
โรเรเนสลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวทักทาย อีกฝ่ายเดินย่างเข้ามาในสวนพร้อมชุดสีน้ำเงินพอดีตัวที่เป็นเครื่องแบบของตำแหน่งเลขาส่วนพระองค์เหมือนปรกติอย่างที่เคยใส่ทุกวัน

“เรื่อยเปื่อย พอดีประชุมเสร็จแล้วก็เลยผ่านมาเห็นท่านอยู่คนเดียวก็แปลกใจ”

“อืม ข้าอยากไปไหนมาไหนคนเดียวบ้างน่ะ ไม่อยากรบกวนเด็กรับใช้กับท่านหมอ”

“แน่ใจนะว่าท่านแข็งแรงพอ”

“อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว อันที่จริงอยากเที่ยวสวนในวังให้ครบทุกสวนเลย แต่ติดตรงที่อยู่ได้แต่ในเขตชั้นใน ซึ่งในเขตชั้นในข้าก็ไปมาหมดทุกสวนแล้ว”

“อ๋อหรอ น่าเสียดายนะถ้าได้ออกไปข้างนอกบ้างก็ดีใช่ไหมล่ะ ข้าเชื่อว่าท่านต้องชอบสวนหลวงที่อยู่ท้ายวังแน่ๆ ถ้าได้ออกไปล่ะจะทึ่งใหญ่อย่างกับป่าแน่ะ”

“ขนาดนั้นเชียวหรอ”

“อื้ม ใช่อันที่จริงเรียกว่าอุทยานหลวงน่าจะเหมาะกว่าเพราะใหญ่มาก แถมยังเป็นที่จัดงานเลี้ยงบ่อยๆฟารันน่ะชอบให้พวกเพื่อนๆไปรื่นเริงกันในสวนมากกว่าในวังน่ะ หมอนั่นบอกว่าจัดงานในวังเล่นอะไรไม่ค่อยสนุก”

“เอ๋ มันต่างกันยังไงหรอ”

“นิสัยห่ามๆของเขาน่ะ เล่นบ้าเล่นบออะไรไม่รู้คราวก่อนมีงานเลี้ยงเขาก็ท้าให้พวกผู้ชายมาว่ายน้ำแข่งกันแต่ห้ามถอดชุดใส่อะไรมางานเท่าไหนก็ให้โดดน้ำลงทั้งชุดนั้นเลย พิเรนณ์ไหมเล่ามีองค์ชายเกือบจมน้ำเพราะดันใส่ทองมาเต็มตัว”

หน้าหวานหัวเราะร่าเมื่อได้ฟัง อีกฝ่ายก็ยิ้มแบบหน่ายๆเมื่อพูดถึงเจ้านายตนแต่แววตาก็ยังปนขำ

“สารพัดแหละที่เจ้านั่นคิดจะเล่นในสวนน่ะก็เลยชอบจัดงานข้างนอกมากกว่าถ้าไม่ใช่งานทางการน่ะนะ บ้าๆบอๆไปเรื่อย”

“ท่านลากลอซพูดถึงองค์เหนือหัวแบบนั้นจะดีหรอ”

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นดีกับเพื่อนนะรักเพื่อนมากแล้วคนก็รักมากเหมือนกัน”

“อ้อ”

 เด็กหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆก่อนจะเบนสายตาไปจับจ้องที่พื้น พลางในใจก็หวนคิดถึงเรื่องอื่นหน้าตาที่ร่าเริงเมื่อครู่หมองลงไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงบางสิ่ง แล้วเขาก็เอ่ยถามทั้งที่ยังมองนิ่งอยู่กับพื้น
“ท่านลากลอซ ข้าถามอะไรหน่อยสิ” 

“อื้มว่ามาสิ”

“เห็นเรียกองค์ราห์โอสนิทแบบนั้นคบกันมานานแล้วหรอ”

“ก็ตั้งแต่เด็กๆล่ะ แล้วก็ไปเจออะไรด้วยกันมาเยอะแยะ”

“ก็ต้องรู้ใจกันสุดๆเลยใช่ไหมล่ะ”

“ใช่แล้ว”

“ถ้างั้น...ข้าถามได้ไหมว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนแบบไหน”

“หืม? ถามแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า....ท่านดูไม่สบายใจเลยนะ”
 
เด็กหนุ่มเงยหน้ามาสบตาแบบลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปอีก แล้วค่อยๆพูดอย่างเอียงอาย

“ก็...ไม่รู้สิ ข้า ข้าไม่เข้าใจที่เขาทำกับข้าน่ะ ตอนเจอกันครั้งแรกก็มาช่วยแล้วก็ดีกับข้าแต่ว่าหลังจากนั้นก็ทำแบบนั้น” 

ผิวแก้มขาวแดงระเรื่อขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องน่าอายที่ฟารันกระทำกับตนต่อหน้าธารกำนัลเมื่อเดือนก่อน  คนสนิทหนุ่มพยักหน้าช้าๆเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร เขาจึงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

“อืม...หมอนั่นจริงๆเป็นคนอารมณ์แปรปรวนน่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแล้วก็มักแสดงออกมาตรงๆ แต่ลึกๆไม่มีอะไรหรอกนะ ก็แค่เป็นคนตรงๆน่ะ”

“งั้นหรอ”

“อื้ม ก็เป็นพวกคิดอยากจะทำอะไรก็ทำเลยน่ะ อย่างว่าเขามักทำตามใจตัวเองจนชินเพราะว่าเป็นกษัตริย์”

“ถ้างั้น....ตอนนี้ข้าก็ถูกเกลียดแล้วใช่ไหม?”

“หา? ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ ท่านบอกว่าเขาเป็นคนตรงๆรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น แสดงว่าตอนนี้เขาต้องเกลียดข้ามากๆเลยใช่ไหม เพราะว่าที่ผ่านมาเขาไม่ยอมคุยกับข้าเลยเวลาเจอกันก็พูดคำสองคำเหมือนอยากจะหนีข้าไปเร็วๆ เขาต้องรังเกียจข้ามากแน่ๆถึงทำเหมือนไม่อยากมองไม่อยากเจอด้วยแบบนั้น” 
ปากบางพรั่งพรูคำพูดออกมาพร้อมตาเศร้าที่ดูเจ็บปวด ลากลอซมองฝ่ายนั้นอย่างแปลกใจก่อนจะค่อยๆพูดปลอบ

“ไม่จริงหรอก ท่านคิดมากไปเองนะ”

“มันจริงนะ เขาทำแบบนั้นจริงๆ...หรือ...เป็นเพราะโกรธข้าที่ช่วงแรกไม่ยอมเจอหน้าเขา”

“เอิ่ม  จริงๆปรกติเจ้านั่นไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรแบบนั้นหรอกนะ ข้าว่าอาจจะเครียดเรื่องงานเลยทำให้ช่วงนี้ดูบึ้งตึงกว่าปรกติล่ะมั้ง อย่าว่าแต่ท่านเลยกับคนอื่นช่วงนี้ก็เหมือนจะโดนแบบนั้นไปด้วยคงเพราะช่วงนี้เครียดเรื่องงานนั่นแหละ”

แต่แม้นจะได้ฟังเหตุผลเช่นนั้นหน้าสวยก็ยังแลดูเศร้าอยู่ดี ลากลอซจึงพยายามพูดต่อ
“แต่ว่านะ...จริงอยู่ที่เจ้านั่นเป็นคนตรงๆนะแต่ก็ไม่ทุกเรื่องหรอก บางอย่างที่รู้สึกอ่อนไหวมากๆก็อาจจะทำตรงข้ามเหมือนพวกปากไม่ตรงกับใจไปเลยก็ได้ เหมือนอ่า...พยายามระงับความรู้สึกตัวเองน่ะเพราะบางอย่างถ้าทำตามใจไปเลยก็คงจะไม่ดี”

 โรเรเนสได้ฟังก็พยายามขบคิดแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจว่าฟารันจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรเขาจึงเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย
ฟารันจงใจเย็นชาใส่เขาเพราะไม่ต้องการแสดงความรู้สึกบางอย่าง? อย่างนั้นหรือไม่น่าจะใช่ 

เขาออกจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ลากลอซพูดนักเพราะจากสิ่งที่เขาเจอ ดูอย่างไรก็เป็นการแสดงออกถึงความไม่ใส่ใจและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็คิดว่าป่วยการที่จะถามความต่อจึงได้แต่ถอนหายใจน้อยๆอย่างท้อใจ ก่อนจะพูดจากลบเกลื่อนไป

“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยพูดให้ข้าคลายใจ ข้าก็คงแค่คิดมากไปเองนั่นแหละ”

หน้าหวานยิ้มน้อยๆให้อย่างเป็นมิตรเพื่อให้อีกฝ่ายคลายใจ ฝั่งนั้นเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้ารับก่อนจะใช้จังหวะนี้เปลี่ยนเรื่องพูด

“เอ้อจริงสิ ข้ากะจะถามท่านเสียหน่อยว่าท่านทำอะไรกับสวนนี้หรือเปล่า”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ข้าแค่มานั่งเล่น”

“แค่นั่นหรอ อืม...แปลกจริงๆ”

“ทำไมหรอ”

“คือ ท่านสังเกตไหมล่ะว่าไม้ดอกในสวนนี้มันเริ่มผลิดอกผิดฤดูน่ะ”  เลขาหนุ่มพูดพลางชี้นิ้วไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ที่ปลายยอดของมันนั้นมียอดอ่อนผลิตูมขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าสังเกตอยู่ว่ามันแปลกๆ ไปถามคนสวนเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันตามปรกติในช่วงนี้ของปีจะไม่มีดอกไม้หรอกนะ” 

โรเรเนสมองยอดอ่อนของต้นไม้ต้นนั้นก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆให้
“เป็นเพราะมันได้รับความรักจากข้าล่ะมั้ง”

“โอ้ ไม่ยักรู้ว่าต้นไม้รับรู้แบบนั้นได้”

“ได้สิ ต้นไม้มันมีความรู้สึกนะแล้วก็มีวิญญาณด้วยถ้าพวกมันรับรู้ถึงความรักของเราพวกมันก็จะรักเราตอบยังไงล่ะ”

“วิเศษไปเลย แบบนี้แสดงว่าเจ้านั่นคงรักต้นไม้ตัวเองไม่พอแน่ในสวนกระจกดอกไม้ถึงไม่เคยออกดอกเลยนอกจากเจ้าต้นกุหลาบจันทราเท่านั้นที่ยอมมีดอกให้”

“เห? กุหลาบจันทรา?ที่ไหนกัน?”

“อ่อ ท่านยังไม่รู้เรื่องสวนส่วนพระองค์ของราห์โอใช่ไหมเล่า เป็นสวนกระจกที่มีแต่ไม้เมืองหนาวน่ะอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในนี่ล่ะ”

หน้าสวยตาโตขึ้นด้วยแปลกใจและกระตือรือล้น
“จริงรึ ข้าไม่เคยได้ยินเลยท่านบอกข้าหน่อยสิว่ามันอยู่ตรงไหน”    

“เป็นสวนลับน่ะท่านไม่เคยเห็นหรอก อีกอย่างถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็คงเข้าไปไม่ได้ด้วยเป็นสวนลอยที่อยู่ตรงตึกปีกขวา เมื่อเดินไปจนสุดทางเดินจะเจอบันไดวนเล็กๆอยู่เดินขึ้นไปเรื่อยๆตามเสียน้ำตกไปก็จะเจอเอง แต่ว่าตามปรกติมันจะถูกปิดอยู่นะ”

“มีน้ำตกด้วยงั้นรึแปลกจังมันเป็นสวนแบบไหนกัน”

“เป็นสวนที่ฟารันปลูกเองสร้างเองน่ะ ตั้งใจจะเอาไว้ปลูกไม้เมืองหนาวสภาพในนั้นเลยเย็นกว่าอากาศภายนอกอยู่มาก แต่ก็คงเย็นไม่พอมั้งนะเพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูกาลเจ้านั่นก็ไม่เคยทำให้ดอกไม้ออกดอกได้เลยซักดอกมีแต่กุหลาบจันทราเท่านั้นแหละที่ยอมออกดอกให้ ที่เหลือในสวนก็เขียวขจีเสมอต้นเสมอปลายไม่มีสีสันอื่นเพิ่มขึ้นมาเลย แต่ก็นะปลูกไม้เมืองหนาวในสปันเทียไม่ตายก็ถือว่าเก่งแล้ว”

------------------เดี๋ยวมาต่อนะฮะ :katai4: :katai4: :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2014 17:01:59 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จิ้มๆ
บวกเป็ด  :mew1:

ออฟไลน์ plengpit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
รออยู่น้าาาาาาาาาาาาาาา :monkeysad:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
ยิ่งอ่านยิ่งไม่ปลื้มพระเอก สงสารโรเรเนสจัง ทำไหมนายเอกผมต้องเป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อนด้วยนะไม่เข้าใจ แบบนี้ก็เสียเปรียบแย่ คึคึ เป็นเอามากเรา แต่ก็ดีที่มาต่อให้ครับ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
แฟนตาซีที่หื่นนิดๆ
ชอบครับ แปลกดี

ออฟไลน์ plengpit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
“เป็นสวนลับน่ะท่านไม่เคยเห็นหรอก อีกอย่างถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็คงเข้าไปไม่ได้ด้วยเป็นสวนลอยที่อยู่ตรงตึกปีกขวา เมื่อเดินไปจนสุดทางเดินจะเจอบันไดวนเล็กๆอยู่เดินขึ้นไปเรื่อยๆตามเสียน้ำตกไปก็จะเจอเอง แต่ว่าตามปรกติมันจะถูดปิดอยู่นะ”

ถูกปิด นะจ้าาาา

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ต่อ....

           “แล้วองค์ราห์โอไปได้กุหลาบจันทรามาจากไหนกัน มันเป็นไม้ดอกหายากนี่นาตามปรกติถ้าไม่บังเอิญเจอในป่าก็ไม่มีทางได้เห็นหรอกแล้วยิ่งเอามาปลูกไว้เป็นของตัวเองนี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย”

“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้แฮะ”

เป็นเช่นที่โรเรเนสพูดกุหลาบจันทรานั้นเป็นกุหลาบเมืองหนาวที่มีความพิเศษ ด้วยลักษณะของมันนั้นเป็นที่มาของชื่อ กุหลาบชนิดนี้จะออกดอกเฉพาะคืนจันทร์เพ็ญเท่านั้น หนึ่งเดือนก็จะออกดอกเพียงหนึ่งหนและเพียงคืนเดียว แถมยังงดงามพิสดารกว่าพืชชนิดไหนๆ ด้วยดอกของมันนั้นยามปกติจะเป็นสีนวลๆคล้ายสีงาช้างแต่เมื่อยามแสงจันทร์สาดมาต้องกลีบดอกของมันจะสะท้อนแสงเป็นประกายคล้ายผิวของไข่มุก งดงามอย่างมิอาจวางตากล่าวกันว่าแสงสะท้อนของมันเมือเห็นในยามค่ำคืนนั้นนวลสว่างจนมองเหมือนเห็นเป็นรัศมีน้อยๆล้อมรอบดอกมันเลยก็ว่าได้ กลิ่นของมันก็หอมรัญจวนยิ่งกว่ากุหลาบชนิดไหนๆ จนเคยมีคนพยายามจะนำมันมาสกัดเป็นน้ำหอมหากแต่เมื่อดอกแสนงามถูกตัดออกจากต้นมันก็จะตายลงอย่างทันทีน้ำหอมกลิ่นกุหลาบจันทราจึงมิเคยกำเนิดขึ้น

ด้วยคุณสมบัติประการทั้งปวงจึงทำให้ดอกไม้ชนิดนี้เป็นที่ปรารถนาของทุกผู้คนที่อยากจะมีบุญได้พบเห็น เพราะนอกจากจะสวยงามจับตาแล้วนั้นก็ยังหายากเสียยิ่งกว่ายาก แล้วยิ่งการที่กุหลาบจันทราจะเติบโตและเบ่งบานในเคหะสถานของมนุษย์นั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย   

จากความทรงจำเท่าที่จะระลึกได้เทพหนุ่มจำได้ว่ากุหลาบจันทราเพียงพุ่มเดียวที่เบ่งบานอยู่ภายใต้อาคารได้นอกเหนือจากการอยู่ในป่าก็คงจะมีแต่ในวิมาณบนสวรรค์ของตนเท่านั้น 

เรื่องที่ตอนนี้มีคนมาบอกว่ามีกุหลาบจันทราที่เติบโตแข็งแรงพร้อมออกดอกอยู่ในพระราชวังหลังนี้ก็เหมือนได้ยินว่าพระอาทิตย์กำลังตกที่ทิศตะวันออกฉันใดฉันนั้น

โรเรเนสอยากเห็นกุหลาบจันทราพุ่มนั้นด้วยกายเนื้อของมนุษย์นี้แทบขาดใจ จริงอยู่ว่าในความทรงจำของการเป็นเทพนั้นเขาเคยได้ใกล้ชิดและสัมผัสกับดอกไม้ชนิดนี้มาแล้ว ทว่าเมื่อได้ลงมาในร่างมนุษย์เขากลับพบว่ามีบางอย่างแปลกไป  การรับรู้จากกายหยาบและสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่   ที่รู้สึกว่าคุ้นเคยกลับมิคุ้นเคย   ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัส แม้กระทั่งแค่การเหยียบย่างลงผืนหญ้านุ่มด้วยเท้าเปล่าก็สร้างความรู้สึกรื่นภิรมย์ใจอย่างน่าประหลาด มันชัดเจนและเต็มตื้นอย่างมิเคยประสพแล้วหากร่างกายนี้และสัมผัสนี้ได้ไปพบกับดอกไม้แสนงามเช่นกุหลาบจันทรานั่นแล้วเล่า เชื่อได้ว่าเขาคงสุขใจเป็นที่สุดเป็นแน่

ร่างบางเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวใจระส่ำระส่ายด้วยปรารถนาอยากจะได้เห็น

“แล้วเมื่อไรจะเป็นคืนจันทร์เพ็ญล่ะท่านลากลอซ”

“อืม.....รู้สึกว่าจะเป็นวันนี้ล่ะ”

“หา! แล้วถ้าข้าอยากจะไปดูกุหลาบจันทราล่ะต้องทำยังไงท่านพาข้าไปได้ไหม”

“ขออภัยด้วยจริงๆ คืนนี้ข้าไม่ว่างอีกอย่างถ้าไปขอฝ่าบาทให้ข้าพาท่านไปไหนมาไหนยามวิกาลสองต่อสองฝ่าบาทก็คงไม่ยอมแน่”

             นั่นสิ เขาคงไม่อยากให้เราไปคลุกคลีกับคนของเขา

“เอ่อ แต่ว่าท่านจะไปคุยกับฝ่าบาทตรงๆเลยก็ได้นะ สวนนั้นเป็นสวนส่วนพระองค์อย่างที่ข้าบอกถ้าไม่ได้รับอนุญาติก็เข้าไปไม่ได้หรอก”

หน้าหวานหลุบตาลงต่ำอย่างเศร้าสร้อยปากก็บ่นขมุบขมิบเมื่อได้ยินข้อเสนอนั้น

“เขาอยากจะคุยกับข้าเสียที่ไหนเล่า”

“หืม?ท่านว่าอะไรนะ” 

“เอิ่ม ไม่มีอะไรหรอกท่าน”

“อ่อ”

“แต่คือ...อันที่จริง..”

 โรเรเนสอึกอักลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอื้อมสองมือไปกุมไว้กับมืออีกฝ่าย ลากลอซออกสีหน้าตกใจอยู่เหมือนกันแต่ไม่ก็ไม่ได้ชักมือกลับ

“ท่านลากลอซ ท่านช่วยพูดกับฝ่าบาทแทนข้าหน่อยสิตอนนี้ถ้าให้ข้าไปเจอหน้าเขาเองข้าคงทำไม่ได้หรอกนะ”

“เอ่อ ท่าน ปล่อยเถอะแบบนี้ไม่ดีนะ”

“นะนะ ข้าอยากไปดูดอกกุหลาบจริงๆนะ”

“ปล่อยมือข้าก่อนดีกว่านะ นะ”

“ลากลอซ!”

เสียงตะหวาดดังขึ้นดั่งฟ้าลั่น ทั้งสองสะดุ้งพลันเลขาหนุ่มก็กระชากมือกลับเหมือนไฟลวกใบหน้าไร้สีเลือดอย่างฉับพลัน เพียงเสี้ยวอึดใจที่เขาเห็นว่าผู้เอ่ยนามนั้นเป็นใครหัวใจก็ล่นไปที่ตาตุ่ม

“บรรลัยแล้ว”  เขาเอ่ยอย่างราบเรียบตรงข้ามกับหน้าตาสุดๆ เจ้ากีก้าลุกขึ้นวิ่งลัดสวนตรงไปข้างหน้าซึ่งเป็นต่ำแหน่งที่เจ้าของมันยืนอยู่ มันเห่าอย่างร่าเริงพร้อมกระดิกหางโดยไม่รับรู้ถึงบรรยากาศอึมครึมรอบๆตัวเลย

องค์ราห์โอมาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้

กาลเวลาหยุดนิ่งไปขณะหนึ่งก่อนที่ลากลอซจะเริ่มขยับตัว เขาอึกอักเล็กน้อยพยายามคลายอาการเกร็งของตนลงแล้วยิ้มแหยๆให้เจ้านายตน

“เอ้า!ฝ่าบาท บังเอิญจังเลยเนอะ แหม่...อ่า...” 

หากแม้นการจ้องมองฆ่าคนได้ป่านนี้ลากลอซคงตายไปแล้ว ด้วยองค์ราห์โอมองตรงมาที่ลากลอซอย่างอาฆาตมาดร้ายมุ่งหวังที่จะปลิดชีพเสียบัดนี้ ด้านเลขาหนุ่มก็ใจดีสู้เสือ เขาสูดหายใจเต็มปอดก่อนจะพูดจาอย่างสบายๆแบบที่ตัวเองเป็น

“กระหม่อมอธิบายได้”

“หุบปาก”

“อืม”

.........

“คือจริงๆแล้วกระหม่อมก็แค่”

“หุบปาก”

“อ่า”

..........

เหมือนอากาศรอบตัวจะหยุดนิ่งพร้อมกาลเวลา หนุ่มน้อยตาเศร้าตกใจกลัวจนไม่กล้ามองหน้าใครได้แต่ก้มหน้านิ่งมองพื้นพร้อมกับขบริมฝีปากแน่น

ท่านลากลอซแย่แล้ว เป็นเพราะเราแท้ๆ

ยามนี้ในหัวของเขารับรู้เพียงแค่กษัตริย์หนุ่มเกลียดเขาและการที่ฝ่ายนั้นเห็นเขายืนคุยกับคนสนิทแถมยังเล่นกับสุนัขของตนเองก็คงจะหัวเสียเป็นอย่างมาก นี่ก็คงกำชับไม่ให้ลากลอซมาคุยกับเขาด้วย พอเข้ามาเห็นว่าลูกน้องขัดคำสั่งก็ย่อมจะโกรธเป็นธรรมดา แน่ล่ะใครจะอยากให้คนของตัวเองไปสนิทสนมกับคนที่ตัวเองเกลียดเล่า

หน้าสวยค่อยๆฝืนใจช้อนตาขึ้นมองบุรุษหนุ่มที่กำลังโกรธเกรี้ยว พลันก็ได้พบกับตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองมาทางตนครู่หนึ่งก่อนฝ่ายนั้นจะบ่ายหนีไปมองทางอื่น เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเอื้อนเอ่ยอออกไปทำลายความเงียบ

“ทรงอย่ากริ้วท่านลากลอซเลย เป็นข้าเองที่เข้าไปคุยกับเขาก่อน”

นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่บุรุษหนุ่มที่เมินหน้ามองไปทางอื่นเหมือนไม่ได้ฟังจะหันกลับมามองคู่สนทนาของตน แต่แววตาที่ส่งออกมาคราวนี้นั้นต่างออกไปอย่างน่าประหลาด เป็นตาคมคู่เดียวกันจริงหรือที่เมื่อครู่ดูกราดเกรี้ยวน่ากลัวด้วยความโกรธา แต่ตอนนี้กลับดูเจ็บปวดทรมาณอย่างล้ำลึกลงไปข้างใน ม่านตาสีดำสนิทดูผิวเผินเหมือนจะนิ่งเรียบไร้อารมณ์ใดๆหากแต่ได้มองจนจมลงไปจะพบความปวดร้าวอยู่ในนั้น

คราวนี้เป็นฝ่ายเทพหนุ่มที่ต้องประหลาดใจเขาไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของฟารันมาก่อน แววตาเศร้าดิ่งลึกแบบนั้น ทำไมกัน ทำไมถึงต้องปวดร้าวถึงเพียงนั้น  พลันความรู้สึกแปลกๆก็เกิดขึ้นอย่างมิอาจเข้าใจได้ ณ เวลานั้นดวงตาสีม่วงเข้มของเด็กหนุ่มก็วาวไปด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่เมื่อองค์ราห์โอเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาก็เบือนหน้าหนีไปทันทีพร้อมกับถอนหายใจหนักๆอย่างหงุดหงิด

“ลากลอซตามข้าไปที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้”

เขาเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเดินจากไป เลขาหนุ่มลังเลเล็กน้อยกับคำสั่งนั้นก่อนจะหันไปมองคนข้างๆว่าเป็นอะไรมากไหม แต่โรเรเนสก็ส่ายหัวช้าๆ เพื่อแสดงออกว่าตนสบายดีทั้งๆที่ดวงตายังรื้นน้ำ ลากลอซนั้นจ้องมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเดินจากมาเพื่อปล่อยให้เด็กหนุ่มทบทวนบางอย่างอยู่คนเดียว

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ padloms

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :katai2-1: รอตอนต่อไปฮะ สู้ๆ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด