ห้องที่หมอหลวงพาเขาเข้าไปเป็นเพียงห้องรับรองเล็กๆแต่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนหรูหรา มีชายสูงวัยแต่งตัวหรูหราเต็มยศ 4-5คนนั่งอยู่บนตั่งฝั่งขวาและมีพวกนักบวชชั้นสูงแต่งชุดขาวนั่งอยู่บนตั่งฝั่งซ้าย ถอยออกไปตรงกลางมียกพื้นที่ปูพรมอย่างดีเป็นที่ประทับขององค์ราห์โอที่สวมใส่เครื่องทรงเป็นเสื้อผ้าฝ้ายคอกว้างและกางเกงขายาวเนื้อผ้าเดียวกันที่แลดูสบายๆและธรรมดาสามัญยิ่งกว่าใครในห้อง ลากลอซคนสนิทยืนอยู่ข้างที่ประทับเขาแต่งกายด้วยชุดแขนยาวสีน้ำเงินปักดิ้นเงินตัดเข้ารูปพอดีตัวยาวถึงเข่าซึ่งเป็นเครื่องแบบประจำตำแหน่งของเขา
โรเรเนสถูกพาเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นเข้าไป ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวจนรู้สึกอึดอัดใจ พวกขุนนางประดับยศด้วยเพรชพลอยแสบตามองเขาด้วยสายตาคุกคามส่วนพวกนักบวชกลับหน้าซีดทำท่าเหมือนอยากจะลงกราบเขาแต่ก็ไม่กล้า บรรยากาศเย็นชาที่ปกคลุมห้องเล็กๆห้องนี้ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตนคงไม่ใช่เทพสำหรับคนในนี้แล้วกระมัง...
เขาเข้าไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใกล้กับองค์ราห์โอพร้อมหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาที่กษัตริย์หนุ่มมองมาช่างดูทรมาณใจเหลือเกิน ทรงพิศมองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าชุดคลุมบางเบาตัวหลวมยาวถึงข้อเท้ายิ่งทำให้ดูตัวเล็กลงไปอีก ฟารันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่าท่านถูกพามาที่นี่เพราะอะไร” ผู้ถูกถามเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายพบเนตรเหยี่ยวคมกร้าวที่ทำให้รู้สึกสะท้านไปถึงขั้วหัวใจแม้นตัวเองจะเป็นเทพก็อดใจสั่นมิได้
“ทราบดี”
“เช่นนั้นข้าขอเริ่มที่คำถามง่ายๆ...ท่านเป็นใคร”
“ท่านทราบอยู่แล้ว”
“เรื่องนี้เลยจุดที่ข้าจะทำตามใจได้ไปเสียแล้ว มันไม่สำคัญว่าข้าจะคิดอย่างไรตอบคำถามมาเสียเถิด”
“เทพแห่งพืชพันธุ์นามว่าโรเรเนส”
เสียงฮือฮาดังขึ้นภายในห้องจนองค์ราห์โอต้องสั่งปรามให้เงียบ
“ทุกคนได้ยินชัดแล้วนะว่าชายผู้นี้กล่าวว่าอะไรมีใครจะถามอะไรอีกไหม” ชายวัยกลางคนที่ไว้เคราคนหนึ่งในหมู่ขุนนางยกมือขึ้น
“ว่าอย่างไรท่านโยเฮน”
“ขอกระหม่อมซักถามเขาได้หรือไม่ฝ่าบาท”
“ตามใจ” ขุนนางผู้นั้นโค้งให้กษัตริย์ตนก่อนจะเบนสายตามาที่เด็กหนุ่มหน้าห้อง
“ท่านลงมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”
“เทวรูปองค์ปฐมเปลี่ยนจากหินอ่อนมาเป็นกายเนื้อให้แก่ข้า”
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เทวรูปองค์ปฐมก็ไม่มีแล้ว แต่กลายเป็นท่านแทน”
“ใช่ ยามข้าตื่นมาพบตัวเองอยู่บนแท่นประดิษฐานที่ว่างเปล่าเทวรูปองค์นั้นได้กลายเป็นข้าไปแล้วในยามนี้”
พลันจู่ๆขุนนางผู้เอ่ยถามก็ยกยิ้มขึ้นมาเหมือนจะเย้ยหยันและเหล่านักบวชหน้าตาซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด โรเรเนสรู้สึกผิดสังเกตุกับสีหน้าของคนเหล่านี้
“แต่ว่าวันก่อนข้าได้ทูลฝ่าบาทให้ทรงลองไปตรวจดูในวิหารก็พบว่าเทวรูปขององค์โรเรเนสยังอยู่ดีเหมือนเดิม”
“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้”
“นั่นเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นพวกนักบวชก็อยู่กับข้า” เสียงทุ้มเย็นเยียบดังลงมาจากคนที่อยู่บนยกพื้น โรเรเนสหันไปก็พบแต่แววตาเย็นชา
“จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนข้าตื่นมาแท่นประดิษฐานยังว่างเปล่าอยู่เลย” เด็กหนุ่มตกใจและร้อนรน เขาไม่เข้าใจว่าเป็นด้วยเหตุใดกันแน่ โยเฮนขุนนางสูงวัยเห็นสีของจำเลยตนก็ได้ทีซักไซ้ต่อไปอีก
“ยามท่านตื่นงั้นรึ? มีใครเป็นพยานเห็นตอนท่านกลายร่างเป็นมนุษย์บ้างล่ะ หากไม่มีเช่นนี้ก็เชื่อถือไม่ได้หรอกนะเพราะเป็นคำพูดของท่านฝ่ายเดียว”
ผู้ถูกถามเม้นปากแน่นสนิททั้งโกรธและอึดอัด นี่เป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เทวรูปนั้นไม่มีทางจะยังอยู่ตรงนั้นเช่นเดิมได้ เขาอดคิดได้ว่าต้องมีคนจงใจกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรและทำได้อย่างไร
“เช่นนี้ข้าขอถามหน่อยหากท่านเป็นองค์โรเรเนสจริง ท่านเสกให้ต้นไม้งอกได้ไหม”
“เมื่ออยู่ในร่างเทพทำได้ ยามนี้เป็นมนุษย์ทำไม่ได้”
“ท่านมีพลังเวทย์ใดใดไหม”
“ไม่มี กล่าวอีกครั้งข้าอยู่ในร่างมนุษย์ ร่างนี้ไม่สามารถรองรับอำนาจเช่นนั้นได้”
“เช่นนั้นท่านก็ต้องมีความรู้ที่เหนือไปจากมนุษย์จริงไหม ท่านทราบไหมว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร”
“ไม่ทราบ”
“บนสวรรค์เป็นเช่นไร”
“ไม่ทราบ”
“แต่ท่านเป็นเทพท่านจะไม่รู้ได้อย่างไร”
“ข้ายังปรับตัวอยู่ ร่างนี้ใหม่และอ่อนแอมากมันยังไม่สามารถรองรับองค์ความรู้และความทรงจำของเทพได้ในคราวเดียวหากแต่ต้องใช้เวลา”
“เช่นนี้ท่านก็ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะให้เชื่อว่าเป็นเทพได้อย่างไร”
“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”
“ไร้สาระ!” สิ้นคำหมิ่นประมาทของโยเฮน หัวหน้านักบวชที่ทนต่อพฤติกรรมจาบจ้วงมานานก็ลุกขึ้นประท้วง
“บังอาจสิ้นดี!ท่านดูหมิ่นองค์เทพมากไปแล้ว”
“องค์เทพงั้นรึ? วันก่อนท่านกับฝ่าบาทก็ได้ไปดูที่วิหารแล้วนี้ว่าเทวรูปยังอยู่ปรกติดี เช่นนี้บุคคลผู้นี้ก็เป็นแค่คนหน้าเหมือนที่พวกนักบวชจ้างมาเพื่อตบตาฝ่าบาทเท่านั้นเอง เพื่อผลประโยชน์และความน่าเชื่อถือของฝ่ายตนพวกท่านย่อมทำได้อยู่แล้วนี่”
“บ้าบอ!มันไม่มีทางที่มนุษย์จะมีหน้าพิมพ์เดียวกับเทพเช่นนี้หรอก ฝ่าบาทโปรดฟังความเห็นของฝ่ายข้าด้วย” ประโยคหลังนักบวชอวุโสหันไปพูดกับเหนือหัวด้วยท่าทางอ้อนวอน
“กระหม่อมเชื่อว่าเทวรูปที่อยู่ในตอนนี้เป็นของปลอมที่เจ้าพวกขุนนางชั่วมันทำเลียนเอาไว้แม้จะยังไม่มีหลักฐานและข้อพิสูจน์แต่เชื่อว่ากระหม่อมต้องพิสูจน์ได้ในวันหนึ่ง”
“อย่ามากล่าวหาข้าแบบนั้นนะ! พระราชฐานชั้นในข้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปอยู่แล้วเทวรูปองค์ปฐมเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นจะไปทำของปลอมมาได้อย่างไร”
“โยเฮนให้นักบวชพูดให้จบก่อน”
“และก็ถือว่าทำได้แนบเนียนมากเพราะแม้นกระหม่อมเองก็ยังดูไม่ออกว่าต่างจากของเดิมตรงไหน แต่ฝ่าบาทเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะตัดสินความในวันสองวันมิได้ โปรดให้เวลาองค์เทพได้พิสูจน์องค์เถิด ข้าเชื่อว่ายามนี้องค์เทพได้มาสถิตย์อยู่กับเราจะต้องมีปาฏิหารเกิดขึ้นให้เป็นที่ประจักษ์อย่างแน่นอน ตามวิสัยของผู้มีบุญญาธิการสวรรค์จะต้องเข้าข้างโปรดพระองค์ทรงรอดู อีกทั้งยังมีข้อคิดเห็นทางการแพทย์จากท่านหมอหลวงที่น่าเชื่อถืออีกเช่นนี้ก็รับรองได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นเทพตัวจริงแน่นอนฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทหากเป็นองค์เทพจริงนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่ใช่ก็ถือว่าพระองค์ทรงตกอยู่ในอันตรายนะพะยะค่ะเพราะการที่ให้คนที่ถูกจ้างวานมาหลอกลวงพระองค์มาป้วนเปี้ยนอยู่ในพระราชฐานชั้นในเช่นนี้เราไว้ใจอะไรไม่ได้เลยว่าคนพวกนี้คิดชั่วอะไรอยู่ ตบตาคนในวังได้ขั้นหนึ่งแล้วขั้นต่อไปจะลอบปลงพระชนม์ก็ย่อมได้ โปรดรีบตัดสินความในคราวนี้เสียเถิดอย่าปล่อยให้เนินนานออกไปเลย” ขุนนางโยเฮนแย้งขึ้นอีก
ฟารันมองชายสูงวัยทั้งสองคนสลับไปมาก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ลำพังแค่เรื่องเทวรูปก็บอกได้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เทพจริงๆ แต่เรื่องผลการตรวจร่างกายจากท่านหมอก็มาค้านความคิดนั้นไว้อีก เช่นนี้เขาก็มิอาจตัดสินได้เพราะไม่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของทั้งสองฝ่ายได้ แต่จะปล่อยทิ้งให้ค้างคาก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ แล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรดี?
เขาเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มผมม่วงที่อยู่ใกล้ๆ เสื้อตัวหลวมเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนที่ยังมีรอยจ้ำแดงๆปรากฎอยู่ วงหน้างามหายใจช้าๆอย่างอึดอัดส่งให้พวงแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อน่าหมั่นเขี้ยว ริมฝีปากบางเม้มลงพร้อมสีหน้าวิตกกังวลทว่าเขากลับคิดว่ามันน่ามองเสียจริง
ฟารันหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดกับชายสูงวัยทั้งสองที่ยังยืนรอคำตอบอยู่
“ข้ารู้แล้ว่าจะพิสูจน์อย่างไร” ทุกสายตาหันมามองเขาเป็นตาเดียวและจดจ่อเฝ้ารอ
“พวกท่านเคยได้ยินเรื่องAngel syrupไหม” ทุกคนออกอาการตกใจและเหมือนจะรู้ดีว่ามันคืออะไร เว้นแต่โรเรเนสเท่านั้นที่ไม่ทราบว่าคนอื่นแตกตื่นเรื่องอะไร คราวนี้ลากลอซคนสนิทของราห์โอผู้ยืนสงบนิ่งมานานก็เกิดอาการร้อนรน
“เอ่อ ฝ่าบาทอย่าเลยมัน....” ฟารันยกมือขึ้นห้ามสหายของตนไม่ให้พูดต่อก่อนจะยืนขึ้นแล้วก้าวช้าๆพร้อมพูดต่อไป
“angel syrup หรือน้ำเชื่อมเทวดาว่ากันตามความเชื่อเก่า แกนกายของบุรุษเทพเทวาจะขับน้ำวิสุทธิ์สีใสเมื่อยามถึงจุดสุขสมออกมา ต่างจากของมนุษย์ที่เป็นน้ำสีขาวขุ่น อีกทั้งยังหอมหวานจนถูกเรียกว่าเป็นน้ำเชื่อม” สองขาแกร่งก้าวลงไปใกล้เด็กหนุ่มผมยาวที่มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากคนอื่นรอบๆห้อง
“ผู้ที่จะมีangel syrupได้นั้นมีเพียงผู้ที่เป็นเทพหรือผู้ที่มีเชื้อเทพเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้และมีบันทึกเอาไว้ชัดเจน หลายคนในที่นี้ก็คงเคยได้ยินว่าแม่ทัพฝ่ายเหนือของเราก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพและก็คงเคยรับรู้มาว่าน้ำวิสุทธิ์ของเขาผู้นั้นก็เป็นสีใสซึ่งพิสูจน์สถานะกึ่งเทพของเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว”
กษัตริย์หนุ่มหยุดยืนเมื่อถึงระยะประชิดตัวกับผู้ที่อ้างตนเป็นเทพ อีกฝ่ายก้มหน้าหนีตาคมนั้นอย่างอึดอัดเขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูกและหัวใจเริ่มเต้นระส่ำ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชายคนนี้เขาต้องรู้สึกแปลกๆด้วย
“มองตาข้าสิ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาเหมือนอยากให้ได้ยินแค่สองคน ตาเศร้าเชื่อมช้อนมองตอบตามคำขอริมฝีแดงเรื่อยังคงเม้มสนิท ชายหนุ่มพิศใบหน้างามนั้นก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนโยน
“ยืนยันหรือไม่ว่าเจ้าเป็นเทพ”
“ข้าคือเทพ”
“เช่นนั้นข้าต้องขอพิสูจน์นะ” เสียงพูดนั้นแผ่วเบาราวกระซิบแต่ก็แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าขี้แกล้งกว่าร่างเล็กจะไหวตัวทันก็สายไปเสียแล้ว
สองแขนแกร่งดึงคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนแล้วก้มลงกระกบริมฝีปากลงอย่างแนบแน่น ลิ้นสากสอดเข้าตักตวงความหวานจากอีกฝ่ายดั่งปรารถนาจะดูดดึงลมหายใจให้หมดสิ้น ส่งให้ความร้อนวูบวาบไหลแล่นลงไปจนถึงเบื้องล่าง
“อื้อออออ!” เสียงครางประท้วงพร้อมออกแรงดิ้นอยู่ในวงแขนแต่ก็ไม่ทำให้การกระทำดังกล่าวหยุดลงเลยมีแต่ทวีความหวานซ่านหนักหน่วงซ้ำไปมาให้เหนื่อยอ่อน ลิ้นสากไล้เลียกระหวัดดึงอย่างเร่งร้อนพลางแขนแกร่งก็กอดกระชับผู้ประท้วงตนให้ร่างแนบชิดขึ้นไปอีก...แนบแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย
ผู้คนรอบข้างพากันแตกตื่นโวยวาย หลายฝ่ายพยายามห้ามการกระทำอันอุอาจของราห์โอหนุ่ม หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปขัดจังหวะตรงๆเพราะกลัวจะโดนโทษทัณฑ์
หัวใจเด็กหนุ่มระส่ำไม่เป็นจังหวะเรี่ยวแรงที่แทบไม่มีอยู่แล้วก็พลันหมดไปจนสิ้นฤทธิ์ขัดขืน ลมหายใจของเขาถูกช่วงชิงไปหมดเมื่อจังหวะดูดดื่มเริ่มเนิบช้าลงจนอีกฝ่ายถอนปากออกหน้างามทำได้เพียงเผยอปากหอบน้อยๆอยู่ใต้วงแขนบุรุษตาคม แม้นแรงจะยืนก็แทบไม่มี ความร้อนซ่านแผ่ไปทั่วตัวทั้งใบหน้าแลแก่นกายเบื้องล่าง
หากแต่ที่ผ่านไปเป็นเพียงบทนำด้วยขณะที่ฟารันโอบอีกฝ่ายไว้ด้วยแขนข้างเดียวมืออีกข้างนั้นก็ถกเลิกผ้าเนื้อบางที่คลุมร่างกายเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะล้วงเข้าคว้าส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน
“อ๊ะ อ๊า อื้อ!ไม่นะ” ร่างบางสะดุ้งหนีมือสากหากแต่ก็แค่ทำให้ตัวเองจมลงสู่อ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีกเท่านั้น
“รู้สึกไวเหมือนกันนะ แต่จูบนิดเดียวก็เป็นเสียขนาดนี้แล้ว”
“อ๊ะ อ๊ะ ฟารัน อึก...ฮ้า”
“ก็บอกแล้วไงว่าต้องพิสูจน์ หากแก่นกายของเจ้าขับน้ำangel syrupออกมาได้จริงข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าเป็นเทพ”
ราห์โอหนุ่มคลึงเค้นท่อนเนื้อสีชมพูอย่างคล่องแคล่วก่อนจะรูดขึ้นลงเป็นจังหวะซ้ำ จุดนั้นแข็งร้อนดั่งไฟสุ่มพาลให้ใจคลั่ง ร่างบางบิดเร่าสองมือพยายามป่ายปัดมือหยาบนั้นออกจากช่วงล่างของตนแต่ก็ไร้ผล พวงแก้มแดงระเรื่อพร้อมกับปากที่เผยอหอบหายใจถี่ๆ เขาสะท้านน้อยๆแล้วซบหน้าหนีลงที่แผงอกอีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้
“อึก อ๊ะ ฟะ ฟารัน ยะ..อ้า”
เขาไม่อาจต่อต้านได้และไม่อาจระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนได้อีกด้วยจึงได้แต่ครางกระเส่าอย่างน่าอายอยู่แบบนั้น
ถึงตอนนี้หมอหลวงและลากลอซก็ไม่อาจยืนเฉยอยู่ได้ทั้ งสองพุ่งเข้าไปห้ามนายตน ลากลอซนั้นถึงกับสบถออกมาด้วยความโกรธในพฤติกรรมบ้าระห่ำเช่นนี้
“หยุดสิเว่ยฝ่าบาท! บ้าไปแล้วหรือไงฮะ”
เขาฉุดมือไร้มารยาทนั้นออกจากใต้ชุดเด็กหนุ่มที่ร้องเสียงกระเส่าอย่างอ่อนแรง ก่อนจะถูกมือข้างเดียวกันนั้นคว้าคอเสื้อตนเองไว้
“ไม่ต้องมายุ่ง!” ฟารันตะหวาดเกรี้ยวจนคนรอบข้างกลัวหัวหด เว้นแต่ลากลอซที่ยังสู้ตาคมนั้นอย่างไม่ไหวติง
แต่เพียงแค่อึดใจเท่านั้นสายตาของคนสนิทก็เลื่อนจากนายของตนไปมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างตกใจ เมื่อหันกลับไปดูร่างในอ้อมแขนก็พลันทรุดลงกับพื้นไปต่อหน้า เขาปล่อยมือจากคอเสื้อคนสนิทแล้วลงไปประคองร่างนั้นไว้
“นี่เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ!โรเรเนส!”
โรเรเนสหอบหายใจอย่างหนักสองมือสั่นเทากุมอกตัวเองไว้ ผิวหน้างามกลับซีดจนไร้เลือด หัวใจของเขาเต้นแรงจนรู้สึกทรมาณแทบขาดใจ...... เทพหนุ่มกำลังจะช๊อค
เมื่อเห็นเช่นนั้นหมอหลวงก็ลงมาสมทบพร้อมกลับตรวจดูอาการก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้แล้วพูดกับราห์โอด้วยความโกรธ
“ข้าบอกท่านแล้วว่าร่างกายนี้ยังใหม่นัก หัวใจของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้การทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วเกินไปอาจฆ่าเขาได้นะฝ่าบาท” จบคำหมอก็คว้าตัวคนไข้ตนมาไว้เอง
“ทางที่ดีทรงอย่าเพิ่งเข้าใกล้เขาเลย หากพระองค์ต้องทำเรื่องบัดสีเช่นนี้กับเขาอีกก็โปรดรอให้หัวใจของเขาแข็งแรงกว่านี้เถิด”
องค์ราห์โอชะงักไปด้วยคำพูดของหมอหลวง
“.......” แล้วบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ.....
ฟารันนิ่งสงบมองดูร่างนั้นหอบหายใจอย่างอ่อนแรงอยู่ซักพัก ก่อนแววตาคมกร้าวจะปรากฎขึ้นอีก
“ได้!” เสียงกังวานดังขึ้นทำลายความเงียบ
“เช่นนี้ ข้าจะมอบบุรุษผู้นี้ให้อยู่ในความดูแลของท่านหมอหลวง” เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบห้อง เหล่าขุนนางและนักบวชก้มหน้างุด ไม่มีใครกล้าสบตากร้าวของกษัตริย์เลือดร้อนองค์นี้แม้แต่คนเดียว
“ยามนี้ข้าจะยังไม่ตัดสินว่าเขาเป็นเทพหรือเป็นผู้ร้าย ฉะนั้นจงปฏิบัติต่อเขาเช่นอาคันตุกะทั่วไปจนกว่าข้าจะพิสูจน์สถานะของเขาได้หลังจากนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาเป็นอันขาด”
สิ้นคำตรัสองค์ราห์โอก็สาวเท้าก้าวออกจากห้องไปโดยไม่หันมามองอีกเป็นครั้งที่สอง
มาเพิ่มอีกตอนแล้วค่าาาา ตอนนี้ก็รู้กันแล้วนะคะว่าความหมายที่แท้จริงของ Angel syrup นั้นคืออะไรรรร ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านนะคะ เป็นไปได้ก็อยากให้คอมเมนต์ด้วยฮะๆ
คราวหน้า จะเกิดอะไรขึ้นอีก ฟารันจะพิสูจน์ความเป็นเทพของโรเรเนสได้หรือไม่ โปรดติดตามนะคะ ขอบคุณค่าาา 