Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Angel Syrup น้ำเชื่อมเทวดา จดหมายขอขมาจากผู้เขียน 3/5/2559  (อ่าน 69588 ครั้ง)

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ข้อตกลงในการใช้ชีวิต ณ แดนเป็ดน้อยแห่งนี้ค่ะ


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




----------------------------------------------




สวัสดีคะ


นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

ติดขัดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ

ติได้ชมได้ ด่าเยอะๆก็ได้

ช่วงแรกๆน่าเบื่อหน่อยก็ทนหน่อยนะคะ 55555 เป็นช่วงเกริ่นเรื่อง

ว่าด้วยเรื่องความรักระหว่างคนกับเทพ แฟนตาซีนิสๆ เป็นแนวอารายธรรมโบราณ โทนๆเปอร์เซีย บาบิโลนน่ะค่ะ

ส่วนเรื่องNC....มีแน่แค่ยังไม่มา - -+

ขอให้สนุกนะคะ  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :hao7:



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2016 12:59:05 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ปฐมบท ก่อนกาล

     นานแสนนานมาแล้วทุกสิ่งเริ่มขึ้นจากความมืดมิดและว่างเปล่า จักรวาลนั้นกว้างใหญ่เหลือคณาทว่าเมื่อฝ่าเมฆหมอกมวลสารทั้งหลายที่เคว้งคว้างอยู่กลางที่ว่างมืดหม่นนั้น  กลับพบเพียงดาวเคราะห์โลกโดดเดียวอยู่เพียงดวงเดียวสำหรับจักรวาลทั้งจักรวาล 

นามของจักรวาลแห่งนี้คือโฮโปราไทต์ ซึ่งเป็นที่บรรจุดาราจักรทางช้างเผือก


ที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่


ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรื่อง


 เหล่ามนุษย์แสนวุ่นวายพัฒนาไปจนถึงขีดสุดและจบลงด้วยการทำลายตัวเอง จบสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่แสนศิวิไล


หลังจากนั้นหลายแสนกัลป์อยู่เหมือนกันจักรวาลทั้งใบก็ขยายตัวกว้างจนถึงจุดหนึ่งก็หดตัวลง หดเล็กเสียงยิ่งกว่าหน่วยนับใดๆเท่าที่เคยมีมนุษย์นิยามกันเอาไว้


จบสิ้นกันแล้วจักรวาลนามโฮโปราไทต์

ครานั้นมหาเทพทั้งสี่ของจักรวาลโฮโปราไทต์อันได้แก่ มหาเทวีคารามิส  มหาเทวีอาราอัส มหาเทพดาโกซ  และมหาเทพวาเรเรีย  ได้ใช้พลังทั้งปวงโอบอุ้มหน่วยจักรวาลน้อยๆนั้นไว้

จนเมื่อพลังงานของมันเสถียร ธ ทั้งสี่จึงสร้างจักรวาลขึ้นมาใหม่จากวัตถุดิบเดิม โดยให้ชื่อแก่มันว่า ไอโนทรอต จากนั้นจึงสรรค์สร้างดวงดาว ฝุ่นละออง และสภาพแวดล้อมทั้งหลายขึ้นเพื่อให้เหมาะเจาะพอดีที่จะเกิดโลกมนุษย์แห่งใหม่ขึ้นมา


ทุกรายละเอียดทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้นนั้น บันดาลให้เกิดเหล่าสิ่งมีชีวิตทิพย์หรือโอปปาติกะมากมายผุดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ทั้งสัตว์เทพ พืชพรรณ เหล่านางฟ้าเทวดาและเทพองค์ใหม่ๆจุติขึ้นมาบนสวรรค์กล่าวกันได้ว่าการสร้างโลกและจักรวาลใหม่ขึ้นมาก็ได้สร้างดินแดนแห่งใหม่ขึ้นมาบนสวรรค์นี้ด้วยเพื่อรองรับดูแลความวุ่นวายที่จะตามมาหลังจากที่โลกใหม่มีมนุษย์ถือกำเนิด

 ด้วยมนุษย์นั้นยุ่งยากนัก

เทพบางองค์เกิดใหม่ บางองค์อยู่มาตั้งแต่โลกเก่า บางองค์ได้เลื่อนขั้น และอีกหลายองค์ก็หมดบุญรอไปเกิดในกายหยาบบนโลกมนุษย์ ประชากรบนสวรรค์ไม่มีทางมีมากล้นแดนสรวงอันมโหฬารได้เลยซักครั้ง


จากนั้นยามเมื่อทุกสิ่งพอเหมาะแก่เวลาอันควรเกิด 
ดาวเคราะห์ดวงใหม่ก็ถือกำเนิด มันถูกเรียกด้วยชื่อเดียวกับที่ดาวเคราะห์ดวงเก่าเคยถูกเรียก

“โลก”

ตัวโลกนั้นถูกสรรค์สร้างขึ้นจากองค์มหาเทพทั้งสี่ เช่นเคย

มหาเทวีอาราอัสให้กำเนิดมนุษย์

มหาเทพวาเรเรียให้กำเนิดสรรพสัตว์

มหาเทวีคารามิสให้กำเนิดภูมิประเทศบนผืนดิน

มหาเทพดาโกซให้กำเนิดภูมิประเทศใต้ผิวน้ำ


เมื่อมันถือกำเนิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างพอที่จะปล่อยวางได้ องค์มหาเทพก็ได้ละหน้าทีดูแลโลกใบใหม่ให้แก่เทพชั้นรองๆลงมา
 ธ หนึ่งในนั้นที่หากไม่กล่าวถึงนั้นคงไม่ได้นั่นก็คือเทพคาออส เทพองค์เดียวที่เกิดจากการปฏิสนธิในครรภ์ขององค์มหาเทวีคารามิส

คาออสเป็นเทพหนุ่มรูปงามที่เป็นเทพชั้นสูงมาแต่โลกเก่า ถือเป็นเทพแห่งการออกแบบ ทรงออกแบบทั้งรูปร่างของเหล่าภูเขา ทุ่งหญ้า สายน้ำ และแม้นกระทั่งหุบเหว ทรงสร้างแต่งภูมิทัศน์ของโลกขึ้นมาเป็นงานที่สารต่อจากที่เหล่ามหาเทพได้เริ่มต้นไว้

จนเมื่อทุกอย่างเข้าที่ แลมนุษย์กลุ่มแรกเริ่มออกล่าสัตว์ โลกใบน้อยก็ถึงจุดที่ลงตัว ขั้นถัดไปนั้นคือการแต่งเติมเล็กน้อยและดูแลบำรุงให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรเป็น องค์คาออสจึงทูกลาเหล่ามหาเทพ พระมารดาและเทพองค์อื่นๆว่าจะขอไปบรรทมสินธุ์เพื่อพักผ่อนจากการทำงานหนัก ทิ้งหน้าที่ดูแลโลกไว้ให้เทพองค์อื่นและเทพ เฟรทริส บริวารเก่าที่ตามรับใช้มาตั้งแต่โลกเดิมทำหน้าที่แทน

ทว่าก่อนจะลาไปบรรทมนั้นเทพคาออสได้เอ่ยกับพระมารดาไว้ว่า

 “เทพชั้นสูงที่เป็นบริวารลูกมีเพียงเทพเบื้องขวาองค์เดียว ขอองค์แม่ให้ใครก็ได้สร้างขึ้นมาอีกองค์ให้เป็นเทพเบื้องซ้ายลูกด้วยเถิด จะให้เป็นแบบใดใครสร้างก็ได้ทั้งนั้นแต่ให้มีลำดับชั้นทัดเทียมกับเฟรทริสก็พอจะได้สมดุลย์กัน”

ด้วยคำพูดนี้นี่เอง เทพองค์ใหม่จึงได้ถือกำเนิดขึ้น


โรเรเนส คือนามนั้น


เทพที่งามพร้อมสรรพและครบถ้วนทุกคุณสมบัติของความสูงศักดิ์

ทว่าขาดอยู่เพียงความเดียงสา

เดียงสา ในเรื่องของมนุษย์

เดียงสาในเรื่องของความรัก


เรื่องในครั้งนี้จึงเกิดเป็นความรักระหว่างคนกับเทพ

หนึ่งเป็นเทพชั้นสูงผู้อ่อนเยาว์

อีกหนึ่งเเป็นกษัตริย์มนุษย์เผด็จการผู้ถือดี

จุดเริ่มต้นนั้นง่ายดาย

แต่จุดจบก็ไม่ทราบได้ว่าจะลงเอยเช่นไร

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2014 14:41:22 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนที่1 โรเรเนส


ท้องฟ้าสีสางถือเป็นกาลปกติของที่แห่งนี้ ทั่วทั้งบริเวณมีรัศมีสว่างไสวนวลสะอาดอย่างไร้แหล่งกำเนิด กลิ่นหอมหวลของไม้นานาพันธุ์ฟุ้งขจรคละเคล้าจนมิอาจแยกแยะ ไร้โมงยามดั่งสำแดงอยู่มานานชั่วกัลป์ ไร้ขอบเขตดั่งเส้นขอบฟ้าที่ร่นถอยห่างออกไปทุกขณะ เรียกขานกันอย่างดาษดื่นว่า สวรรค์ หากแต่ในที่นี้เราจะขอเรียกว่าโลกเทพ


ล้านกัปล้านกัลป์มิอาจกล่าว ณ ที่ซึ่งเหล่าทวยเทพสถิตอยู่อย่างรื่นภิรมณ์ใจ เลื่อนไหลเวียนผ่านทุกสิ่งเป็นอนัตตาตั้งอยู่แล้วดับไป  เอกบุรุษหนึ่งที่ตั้งอยู่ ณ ขณะที่กล่าวมีนามว่าเทพโรเรเนส ผู้ทรงสถิตอยู่ในวิมาน


ภายในวิมานอันโอ่โถง มีลูกแก้วใบหนึ่งซึ่งโรเรเนสเฝ้ามองอย่างใส่ใจอยู่ทุกวัน มันเป็นดวงแก้วใสใบใหญ่เท่าตัวคนสะท้อนภาพมากมายซ้อนทับกันไปมา เหล่านั้นที่เห็นอยู่เป็นบรรดาทุกชีวิตที่อยู่บนโลก หน่วยตาเรียวปรืองดงามจดจ้องหน้าต่างส่องโลกใบนี้อย่างเหม่อลอย ริมฝีบากบางได้รูปขบลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว  เขานั่งนิ่งอยู่หน้าสิ่งนี้โดยไม่ขยับเลยซักนิด แสงสะท้อนของดวงแก้วสาดเข้าตัวยิ่งขับให้วงหน้าหมดจดน่าหลงใหลยิ่งขึ้น มันสะท้อนไล่ขึ้นไปยังกระบังหน้าสีเงินที่ประดับอยู่บนเรือนผมยาวสีม่วงจาง ทอดเป็นเงาพาดลงไปถึงครุยสีขาวเหลือบที่ชายแผ่กว้างไปกับพื้น

จดจ้องอย่างหลงใหล องค์เทพแห่งความอุดมเอื้อมนิ้วเรียวของตนไปแตะอย่างแผ่นเบาที่แก้วเบื้องหน้า เค้าชื่อ ฟารัน บุรุษมนุษย์ผู้นั้นมีชื่อว่าฟารัน

ปรากฏชัดเห็นเป็นภาพของวงหน้าเข้มคมสันชวนพิศขึ้นบนใบแก้ว ผมสีดำเงาชุ่มโชกราบติดไปกับศีรษะ กล้ามเนื้อเนียนแน่นสมส่วนชวนละลายเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำ เห็นชัดแทบทุกส่วนที่อยู่พ้นผิวน้ำที่สูงเพียงแค่ต้นขา สองมือแกร่งกวัดน้ำขึ้นลูบเนื้อตัวอย่างถ้วนถี่

โรเรเนสมองภาพตรงหน้าอย่างเพ้อพินิจ ครั้นความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาทำให้ผิวแก้มสีขาวนวลแปรเป็นสีแดงจัด สายตาหวานเศร้าเขม็งมองอย่างจดจ่อ

บางสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายกับตัวเองได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกแปลกพิกลที่ไม่มั่นใจว่าคือสิ่งใด หากแต่ก็ทำให้เขารับรู้ว่าตนเองไม่อาจละสายตาไปจากชายคนนี้ได้เลย


 ทว่าจนเมื่อเสียงกระทบของที่เคาะประตูโลหะดังขึ้นที่ด้านหลัง การลอบมองทุกอย่างจึงจบสิ้นอย่างรวดเร็ว เพียงกวาดมือผ่านใบแก้วแล้วภาพทั้งหมดก็ปลิวหายไปขณะเดียวกับที่บานประตูหินอ่อนบานเขื่องถูกผลักเข้ามา

“โรเรเนสท่านทำอะไรอยู่” ชื่อถูกเอ่ยขึ้นจากชายผู้เข้ามา ร่างกายสมบูรณ์สมบุรุษเพศ พร้อมเครื่องเกศสีแดงเพลิงปรากฏอยู่ที่ประตู เทพเฟรทริส องค์เทพแห่งนักรบ นั่นคือพระนามของท่าน ผมหยักศกที่เคยยาวระบ่าถูกมันรวบขึ้นเป็นหางม้า ตาโตคมกร้าวบ่งบอกถึงลักษณะที่มุ่งมั่น ต่างหูห่วงทองห้อยประดับอยู่ทั้งสองข้าง ร่างกายท่อนบนเปิดเผยชัดเจนแก่ทุกสายตา ด้วยเพราะครุยที่สวมทับอยู่นั้นเป็นผ้าตาข่ายสีทองขลิบขอบแดงเนื้อบางเบาดั่งผ้าส่าหรี สองขาสวมกางเกงแบบอินเดียโบราณสีเลือดยาวกรอมเท้าก้าวเข้ามาอย่างผึ่งผาย เมื่อย่างเข้ามาจวนประชิดตัวจึงเห็นถึงสัดส่วนที่ต่างกันอย่างชัดเจน โรเรเนสสูงเพียงระดับตาขององค์เทพผู้เป็นพี่เท่านั้น

“ท่านพี่...ข้ารออยู่พอดี” เจ้าของตาเชื่อมอึกอักตอบเล็กน้อย ตาคมมองเห็นถึงพิรุธจึงยิ้มหยอกก่อนจะชะเง้อมองข้ามไหล่อีกฝ่ายไปยังลูกแก้วด้านหลัง แต่เห็นเพียงลูกแก้วที่ฉายภาพทั่วๆไปเท่านั้นจึงไม่ได้เอะใจอันใด ได้แต่ถามไปอย่าซื่อบริสุทธิ์ตามนิสัยกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

“งานท่าจะหนักนะท่าน กรำงานถึงกับหน้าแดงเชียว” เฟรทริสเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบไม่ใคร่จะฉุกใจใดๆเลย แต่ตาเศร้าก็หลุบหนีด้วยร้อนตัวก่อนจะช้อนมองอย่างตรงๆ
“ก็ทั่วไปล่ะท่านไม่มีอะไรหรอก”
 “งั้นรึ อืม..ดีล่ะ งั้นเราไปกันดีกว่าก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้”

เขาเอ่ยอย่างธรรมดาที่สุด ก่อนจะเดินนำหน้าเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องด้านใน โดยไม่สนเรื่องมารยาทใดๆ
สองพี่น้องต่างสายเลือดนั้นเป็นเช่นนี้
คนหนึ่งกล้าหาญ เคร่งครัด และซื่อตรงเป็นที่สุด ทุกสิ่งในใจฉายออกมาทางตาคมใสอย่างชัดแจ้ง
อีกคนเงียบขรึม ถือตัว แฝงด้วยความเร้นลับนับร้อยประการใต้วงหน้างามและตาเศร้า

------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2014 14:41:52 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
           ภายในห้องที่ทั้งสองเดินเข้าไปนั้น เป็นห้องโถงกว้างหลังคานั้นเปิดโล่ง ที่พื้นผิวเบื้องล่างถูกปกคลุมไปด้วยผืนหญ้านิ่มหนาทว่าสภาพแวดล้อมก็ดั่งป่ารกชัดแต่จะดูดีกว่าเสียหน่อยด้วยพันธุ์พืชนับล้านๆชนิดถูดจัดหมวดหมู่และจัดเรียงกันอย่างดี ตั้งแต่ต้นไม่ใหญ่สิบคนโอบไปยังตะไคร่น้ำก็ยังมี ด้วยนี่คือห้องทำงานของเทพเจ้าของวิมาณองค์นี้นี่เอง

หากสิ่งที่ทั้งสองสนใจนั้นมิใช่เหล่าพฤกษา แต่คือซาลาเปาลูกใหญ่สูงห้าเมตรวางอย่างสงบนิ่งอยู่ ณ ใจกลางห้องต่างหาก....ใช่ซาลาเปาขาวๆนุ่มๆ


            องค์เทพผู้สวมครุยสว่างเยื้องกลายเข้าไปใกล้ ใช้มือตบเบาๆที่ซาลาเปายักษ์สองสามครั้ง แล้วซาลาเปาก็เปลี่ยนพื้นผิวขาวละเอียดเป็นขนฟูฟ่องขึ้นมาในบัดดล ก้อนนิ่มกลมก็กลายร่างเป็นแมวอ้วนพันธุ์สก๊อตติสโฟล(หูตูบ)ขนหนาสีขาวสะอาดตา มันผงกหัวขึ้นมามองเจ้าของด้วยสายตาง่วงงุน ก่อนจะค่อยๆยืนเหยียดแข้งขาจนหางสั่นไล่ความขี้เกียจออกไป แล้วนอนหมอบต่ำเพื่อให้นายของตนขึ้นขี่หลัง


นี่คือท่านเทพเลวีเรี่ยน  ณ หม่าวหม่าว สัตว์เทพพาหะนะของโรเรเนส ท่านองค์เลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าวทรงเป็นมหาเทพแห่งแมวทั้งปวง ยิ่งใหญ่กว่าราชาราชสีห์ทั้งสิบสองโลกรวมกัน มวลมนุษย์นั้นนับถืออย่างทั่วถึง ทรงมีวิหารประจำองค์เยอะเสียยิ่งกว่าเทพโรเรเนสนายของตนเสียอีก ด้วยทรงมีพระวรกายฟูนุ่มอุดมสมบูรณ์จนเกือบเผละจึงถูกเรียกว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวยและโชคลาภ มีฤทธาสูงส่งด้วยกรงเล็บศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดภัยร้ายและจอมมารทั้งปวงได้อย่างหมดจด มนุษย์ผู้ใดมีพระฉายาหรือรูปเคารพไว้บูชาจะประสพพบแต่ความมั่งคั่งดังนี้เอย...

ทว่าโรเรเนสกลับเรียกท่านด้วยพระฉายาน่าเอ็นดูว่า ซาลาเปา ซึ่งมีแต่โรเรเนสเท่านั้นที่เรียกได้เทพอื่นใดแม้นจะเป็นถึงมหาเทพทั้งสี่ก็มิมีอำนาจจะเรียกซาลาเปาได้เลย หากเรียกก็ต้องเรียกด้วยความนอบน้อมบูชาอย่างเต็มยศว่า เทพเลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าว เสียทุกครั้ง


 โรเรเนสยกมือลูบศีรษะท่านซาลาเปาด้วยความเอ็นดูเพียงหนึ่งครั้ง เครื่องทรงประดับพระองค์ก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง เจ้านายรูปงามขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังท่านตัวฟูก่อนจะมองลงมาที่เทพเฟรทรีสด้วยตาฉงนเล็กก็น้อย

“ท่านพี่จะทรงซาลาเปาไปกับข้ารึ แล้วท่านอามินอสล่ะ”

เพียงแค่ได้ยินนามนั่นเพียงนิดเดียว สีหน้าของเฟรทรีสก็แปรเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่ายเสียพื้นไปอย่างนั้น เค้ากรอกตาไปมาก่อนจะเอ่ย

“อย่าพึ่งพูดถึงเจ้านั่นได้ไหม พี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าได้คนแบบนี้มาร่วมชายคา”

ผู้กล่าวนั้นหมายถึงเทพพาหนะของตนนั่นเอง พาหนะของเทพเฟรทรีสมิใช่สัตว์เทพแต่เป็นองค์เทพกึ่งสัตว์เสียมากกว่า ลำดับชั้นนั้นก็บารมีสูงทัดเทียมเขา ปากคอเรอะร้าย กวนประสาท เทพอามินอสจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเทพเฟรทรีสมาโดยตลอด

“ท่านพี่น่าจะดีกับเค้าหน่อยนะ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ร่วมวิมานกัน” 

ผู้ฟังส่ายหัวเหนื่อยหน่ายเมื่อปีนขึ้นหลังแมวยักษ์ ทั้งสองจัดระเบียบร่างกายให้เหมาะเจาะแก่การทรงแมวเพื่อเดินทาง เมื่อเรียบร้อยดีแล้วโรเรเนสก็หันไปมองดวงแก้วใบใหญ่ที่อยู่อีกห้องเป็นครั้งสุดท้าย คนด้านหลังรู้ได้ถึงกิริยานั้นจึงมองตามจนเห็นภาพปรากฎที่ชัดเจนของบุรุษเกศดำเจ้าของเนตรเหยี่ยวนามว่าฟารันผู้นั้นฉายขึ้นบนผิวแก้ว เมื่อเลื่อนดวงตาสีเขียวมรกตของตนมามองหน้าสวยของอีกคนก็เห็นชัดถึงสายตาพบเพ้อเสน่ห์หาอย่างชัดเจน แววหึงหวงริษยาวาบขึ้นที่ตาคมเขียวคู่นั้น เทพเกศเพลิงโอบแขนกอดน้องชายจากด้านหลัง ยื่นหน้ากระชั้นใบหูแล้วเอื้อนเอ่ยกระเซ้าเล่น

“จะมองอีกนานไหมน้องพี่ หากสายกว่านี้ข้าคงต้องลงโทษเจ้าเหมือนครั้งเยาว์นั่นแน่”

 ตาหวานเชื่อมสะดุ้งจากการกระทำของพี่ชาย ใบหน้าฉับพลันซ่านแดงก่อนจะดึงจิตกลับมาให้นิ่งแล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบไม่หวั่นไหว

“เทพเฟรทริส ทำตัวรุ่มร่ามแบบนี้ไม่กลัวโดนฟันหัวหรือไร”

ผู้ฟังอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจออกมา โรเรเนสยิ้มเหยียดก่อนจะกล่าวต่อ

“ก็เป็นเสียอย่างนี้ บรรดาชายาทั้ง8องค์ท่านถึงทิ้งท่านไปสินะ”

คราวนี้เสียงหัวเราะขาดห้วงหายไปเหมือนดับเทียน กลายเป็นเทพองค์น้องเองที่หัวเราะลึกในลำคอออกมาแทน
แล้วท่านเทพเลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าว ก็ทะยานขึ้นสู่นภาสีทองที่มีดาวดาระดาษกระจายอยู่ทั่วผืนฟ้า

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

วันนี้ลงเท่านี้สำหรับตอนที่1นะคะ ขอบคุณที่มาอ่านคะ เย้เฮ เย้เฮ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2014 14:42:40 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ Maiar1996

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านจ้าาาาาา

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
แปะก่อน ขออ่านแปปนึงจ้า
*****___________*******------------********
โรเรเนสนี่ท่าจะพอตัวอยู่นะ ยอกย้อนเก๊งเก่ง
แล้วคุณพระเอกจะมีปัญหาอะไรไหมหนอ
ท่านเรวีเลี่ยน ณ หม่าวหม่าว ชื่อน่ารักดี
อ้อ กายทิพย์นะครับ มี ย์ ด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-04-2014 21:24:20 โดย Zelsy »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ตอนแรกอ่านชื่อเรื่องแล้วคิดว่าจะเป็นเรื่องเทวดาลงมากุ๊กกิ๊กบนโลกมนุษย์แบบง่ายๆ แต่ที่ไหนได้ ปูโครงเรื่องไว้อลังการมาก ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องยาวหลายสิบตอนเลย

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
               ตอนที่2

          วิมานโอ่โถงวิจิตรด้วยเพชรพลอย ทั้งผนังและเสาอิฐถูกฉาบเรียบด้วยแผ่นทองที่เต็มไปด้วยอักขระแปลกตาที่สลักฝังลึกลงไปถึงเนื้อใน

ทว่าสิ่งนี้ก็เป็นแค่สิ่งหลอกตาเพราะถึงแม้จะสลักลงลึกแต่ตัวหนังสือทุกตัวก็มิได้อยู่นิ่ง มันวิ่งสลับกันไปมาเกิดเป็นลายซับซ้อนเหมือนลายน้ำกระเพื่อมอยู่ทั่วห้อง

                ณ ที่นี้คือโดมแห่งสวรรค์เป็นที่ชุมนุมของเหล่าทวยเทพ ใจกลางมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ฉายภาพโลกเบื้องล่างเช่นเดียวกับลูกโลกใสสว่างที่เทพหลายองค์มีอยู่ที่วิมานตน เหล่าเทพมากมายมาพบปะสังสรรค์กันอย่างปกติ บ้างก็ไม่เป็นสาระบ้างก็ถกปัญหานานาที่พวกมนุษย์ก่อขึ้น

ด้วยสวรรค์นั้นมิได้แบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ในที่นี้จึงพบเห็นเหล่าเทพมากลักษณะต่างกันไปอยู่ปะปนกัน ทั้งสีผิว สีผมและเครื่องแต่งกายก็ผิดแผกกันอยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละวัฒนธรรมที่เทพองค์นั้นได้รับการบูชา จึงไม่แปลกเท่าใดนักที่จะเห็นเรือนผมสีม่วงอ่อนของผู้เป็นน้องและสีแดงฉานของผู้เป็นพี่อยู่เคียงกัน

ในยามนี้สองพี่น้องยืนเคียงกันพูดคุยจิปาถะกับองค์เทพหลายองค์ที่ผ่านไป เช่นเดิมดั่งปกติโรเรเนสตอบโต้ทุกคนด้วยกิริยาสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ยิ้มน้อยๆ อย่างพอเป็นพิธี ต่างกับพี่ชายที่โผงผางร่าเริงหัวเราะร่าไปกับสหาย ถึงแม้บางช่วงยังแสดงออกถึงความเศร้าโศกที่ถูกชายาทั้ง 8 ทิ้งไปจะโผล่ออกมาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อบทสนทนาเลยจนกระทั่ง...

                เสียงฮือฮาจากเหล่าเทวีและนางอัปสรข้ารับใช้ที่เพ่นพ่านดูแลความสะดวกให้เหล่าเทพนั้นเริ่มส่งเสียงคิกคักเบาๆ ต้อนรับผู้มาใหม่ สองพี่น้องหันตามเสียงอย่างปรกติ ทว่าเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ย่างเข้ามา เทพเฟรทรีสก็ถึงกับชักสีหน้าทันทีแล้วหันหนีแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่บุรุษผู้นั้นก็ยังหมายตรงเข้ามาใกล้ ทุกสายตาที่มองไปนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ด้วยผู้ที่มาใหม่มิใช่ใครอื่นไกลนอกจากจะเป็นเทพอามินอสผู้ที่เป็นทั้งพาหนะและอริร่วมบ้านของเฟรทริสนี่เอง

ผู้ที่ย่างเข้ามามีลักษณะติดตัวที่ชวนมอง ด้วยเรือนผมสีทองสว่างจนเกือบขาวถูกเสยขึ้นไปจนเห็นหน่วยตาคมรีและคิ้วสีน้ำตาลเข้มที่ตัดกันกับผมบลอนด์สว่าง  จมูกโด่งจัดเป็นเอกลักษณ์ที่แม้นจะเห็นเรือนรางเพียงเงาหากเห็นร่างของสันจมูกก็รู้ได้ว่าเป็นใคร

ยิ่งมองด้านข้างพิศรวมคู่กันทั้งตาและสันจมูก ความคมเข้มที่เข้ากันของอวัยวะสองส่วนเห็นแล้วก็ถือว่าหล่อเหลาชวนละลายตาย ร่างสูงงามสง่ามาพร้อมกล้ามเนื้อมัดล่ำแน่นหนาเห็นสัดส่วนได้คมชัดสมบุรุษเสียยิ่งว่าเทพองค์ใดๆ ด้วยเจ้าตัวมิได้สวมอะไรเป็นกิจจะลักษณะแม้แต่น้อย  นอกเสียจากสายประดับสีเงินหลายเส้นที่พาดห่อไหล่ทั้งสองข้างจนดูเผินเหมือนผ้าคลุม ปลายสายทั้งสองข้างถูกเก็บเข้าด้วยเข็มกลัดขนาดใหญ่ที่มีสีเดียวกันอยู่บริเวณอกด้านขวา ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงสีขาวพอดีตัวที่ถูกสวมให้เกาะเอวต่ำจนเห็นขนอ่อนรำไรที่ลากไล่ขึ้นมาถึงสะดือ

ม่านตาสีเทาลอยปรือเหมือนจะดูเย็นชาและเฉยเมย ทว่าแววตาคู่นั้นกลับส่อแววของคนขี้แกล้งออกมาได้อย่างเด่นชัด มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เอื้อนเอ่ยคำทักทายที่ใช้กับเฉพาะบุคคลออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและคุ้นเคย


“ไงหัวแดง หนีข้ามาอีกแล้วนะ” 

ผู้ฟังตอบกลับคำพูดนั้นด้วยหางตาขุ่นเคืองใส่ร่างสูงผู้เดินมาใกล้จนแทบประชิดตัวก่อนจะกล่าวตามด้วยน้ำเสียงกระด้าง

“ตามมาทำไม ทำไมไม่อยู่บ้าน” 

เทพอามินอสเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจก่อนจะหรี่ตาลงแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ด้านเฟรทรีสนั้นก็มิสะท้านแต่อย่างใดกลับเชิดคางขึ้นมองอย่างถือตัว กิริยาของทั้งสองฝ่ายทำให้ผู้ที่รายล้อมทราบได้ว่าจะเกิดสงครามขนาดย่อมขึ้นอีกแล้ว
ดั่งเช่นที่ทั้งคู่ทำมาตลอดนั่นคือ

ทะเลาะ...

“ทำไมเล่าเทพเฟรทริส อยากให้ข้าอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนนักหรือไง”

“ไม่ต้องมาปากดี ข้าไม่มีอารมณ์จะคุยกับท่านตอนนี้ “

“แต่ข้าอยากคุย เมื่อก่อนออกจากวิมานมาท่านไม่ยอมฟังข้าดีๆ เลย”

“ให้ตายสิ! เรื่องในบ้านก็กลับไปคุยกันที่บ้านสิจะเอาออกมาคุยข้างนอกทำไม”

“แล้วอยู่ในบ้านเราได้เจอหน้ากันซะเมื่อไร่เล่า ท่านก็หนีหน้าข้าตลอด ไปไหนมาไหนก็ไม่เรียกทั้งที่ข้าเป็นพาหนะของท่านแท้ๆ นี่ถ้าข้าไม่มาที่นี่อีกกี่แสนกัปกัลป์เราถึงจะได้คุยกันฮะ!”

เทพนักรบเม้มปากแน่นด้วยความหงุดหงิด รอบตัวพวกเขาเกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ส่งมาเป็นระยะจากเทพองค์อื่น ส่วนเพื่อนฝูงของเขาเดินหนีไปแล้วตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มเปิดปากเถียงกัน เหลือแต่เพียงโรเรเนส น้องเลี้ยงที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยเหตุใดก็มิทราบ

“น่าขันนักหรือไงน้องพี่” เฟรทริสหันไปดุน้องตน ฝ่ายนั้นจึงก้มหน้าลงเพื่อสำรวมกิริยาแล้วเอ่ยขอโทษด้วยเสียงใส

“อภัยข้าเถิดท่านพี่ ที่ข้านึกขันเพราะเห็นว่าท่านพี่ชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อย เถียงบ้าง โวยวายบ้างนี่ยังไม่นับกิริยารุ่มร่ามที่ท่านชอบทำกับข้านะ ท่านนี่ไม่พัฒนาเอาเสียเลยทำไมไม่ยอมคุยกับท่านอามินอสเสียดีๆ เล่า”

“รุ่มร่าม!” อามินอสเบิกตามองโรเรเนสก่อนจะหันไปทางคู่กรณีตน

“อะไรกัน นี่แค่เมียทิ้งไปไม่นานถึงกับไปทำรุ่มร่ามกับคนอื่นเชียวรึ”

“หุบปากท่านไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงพวกนางนะ ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า คนที่ถูกตำหนิควรเป็นท่านต่างหากที่เป็นต้นเหตุให้พวกนางหนีไปน่ะ!”

“เสียใจรึ? ถ้าเสียใจแล้วจะไปทำรุ่มร่ามกับคนอื่นทำไม แถมอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายอีกตะหาก”

“หญิงหรือชายข้าก็มิสนหรอก”

“จริงรึ?”

“แน่นอน”

“เป็นเทพตรัสแล้วห้ามคืนคำนะ”

อามินอสเอ่ยพร้อมกับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จนอีกฝ่ายขนลุก เฟรทริสเกิดรู้สึกอึดอัดอย่างบอกมิถูกจึงหลบสายตาเทพหน้าหล่อแล้วมองไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยปดเสียงเรียบไร้ความสมจริงใส่น้องชายตนโดยไม่หันมามอง

“บังเอิญจังเลยเจอคนรู้จัก พี่ไปทักเขาก่อนนะน้องพี่” แล้วเขาก็เดินกระแทกไหล่ร่างสูงที่ยืนขวางหน้าอย่างไม่ยี่หระใดๆออกไป ฝ่ายถูกกระแทกมิได้โกรธแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มอย่างระอาก่อนจะขอลาเทพโรเรเนสเพื่อจะหันเดินตามอริร่วมบ้านของตนไป
โรเรเนสปล่อยขำออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินเรื่อยไปตามทางเดินโดยมิได้หยุดคุยกับผู้ใด

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2014 14:36:02 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
               เขาเดินไปจนถึงแอ่งน้ำใหญ่ที่ใจกลางห้องแล้วย่อตัวลงนั่งที่ขอบสระเพื่อเหม่อมองภาพมากมายของโลกเบื้องล่างที่ถูกฉายขึ้น
ภาพที่เกิดมีคละเคล้ากันไปแต่ล้วนเป็นเหตุเกิดในเมืองมนุษย์ ซึ่งหากเป็นก่อนหน้าคงพูดได้ว่าไม่คุ้นตาเทพองค์นี้สักเท่าใดนัก แต่เมื่อได้เริ่มเฝ้ามองชีวิตมนุษย์มาระยะหนึ่งความตื่นตาตื่นใจกับอาณาจักรที่สิ่งมีชีวิตนี้สร้างขึ้นก็เริ่มลดน้อยลง

เขามองภาพตรงหน้าอย่างเฉยเมยก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อภาพบุรุษผู้หนึ่งฉายขึ้นมา
นั่นฟารันนี่นา...

บุคคลเบื้องหน้ากำลังอ่านเอกสารที่ทูลเกล้าขึ้นมาอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าครุ่นคิด
โรเรเนสโน้มตัวลงไปใกล้สระน้ำเพื่อจ้องให้ชัดถนัดตาแล้วอมยิ้มอย่างพึงใจเล็กน้อยกับภาพตรงหน้า

 “น่าทึ่งใช่ไหมเล่า”

 เสียงนุ่มนวลจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นที่ข้างตัว เทพหนุ่มละสายตามามองตามเสียงแล้วจึงยืนขึ้นน้อมศีรษะให้อีกฝ่าย

“เทวีมีเรีย บังเอิญเสียจริง” เทวีองค์ที่ว่ามิใช่ใครที่ไหนไกลนอกเสียจากเป็นเทพแห่งฤดูกาลผู้ซึ่งทำงานร่วมกับโรเรเนสมาตั้งแต่เริ่มแรก พระนางมีใบหน้างดงามหวานล้ำชวนมอง เกศสีน้ำตาลอ่อนบิดเป็นเกลียวน้อยๆ อย่างธรรมชาติเครื่องทรงเป็นผ้าลินินสีขาวสะอาดตายาวจรดไปยังพื้น ที่คอสวมอัญมณีทรงรีสีท้องฟ้าซึ่งมีปุยเมฆขาวลอยล่องไปมาในเม็ดอัญมณี ด้วยนี่คือสร้อยท้องฟ้าที่จะสะท้อนภาพตามฤดูกาลที่นางควบคุมอยู่ในขณะนั้น

นางหลุบตาลงมองไปยังภาพบุรุษที่สะท้อนอยู่ในสระน้ำ
“ฟารันนั้นถือเป็นมนุษย์ที่ฉลาดและน่าทึ่งยิ่งนัก ท่านว่าไหม?”

“ใช่ สปันเทียถือว่ามีกษัตริย์ที่ดี ทั้งที่อาณาจักรตั้งอยู่ในดินแดนร้อนระอุ ดินก็ยังเป็นดินปนทรายแต่กลับทำให้อุดมสมบูรณ์จนสร้างผลผลิตได้มาก ในฐานะเทพถือว่าไม่เสียแรงเลยที่ประทานพรลงไป”

“จริงด้วยท่าน ข้าล่ะอยากจะกระหน่ำฝนลงไปเสียจริงชาวเมืองจะได้เก็บไว้ใช้กันนานๆ น่าเสียดายท้องฟ้า ณ แดนนี้มิเอื้อให้มีฝนซักเท่าใดนัก”

“หาจำเป็นไม่ มีน้ำเท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว ก็ขุดคลองกันเสียทั่วแผ่นดินเท่านี้น้ำจากแม่น้ำสองสายใหญ่ที่ขนาบประเทศอยู่ก็ไหลเวียนไปเสียทั่วแล้ว”

“นั่นสินะ  หึ...เก่งหรือก็เก่งรูปก็งามยิ่งนัก บางทีเห็นแล้วก็ใจละลายอยากจะจำแลงกายลงไปอยู่ด้วยเสียจริงๆ ดีไหมท่านโรเรเนส”

ผู้ฟังยิ้มเจื่อน แต่องค์เทวีคู่สนทนาก็มิได้สังเกตด้วยว่ากำลังจดจ้องมนุษย์รูปงามผู้นั้นอยู่อย่างเคลิบเคลิ้ม

“ก็ไม่ลองดูล่ะท่าน เทพองค์อื่นยามถูกใจมนุษย์ก็ทำเช่นนั้นกันอยู่ถมไป”  มีเรียได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงใสก่อนจะแสร้งทำท่ากระเง้ากระงอดเหมือนขัดใจ

“ก็ทำได้เสียที่ไหนเล่า คนเขามีเจ้าของอยู่แถมยังเป็นเทพเหมือนกันเสียอีก” แล้วนางก็พยักพเยิดไปทางด้านหลังอีกฝ่าย โรเรเนสมองตามสายตานางด้วยความฉงน แลเห็นเป็นองค์เทวีอนามอเฟีย เทพเจ้าแห่งความงามกำลังหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับเหล่าเทวีองค์อื่นๆ ที่เป็นสหาย

“อีกมินานองค์เทวีอนามอเฟียจะลงไปเป็นมเหสีของฟารันแล้ว ท่านมิทราบข่าวเลยหรือไร”

“อย่างไรกัน? นางจะจำแลงกายลงไปรึ?”

“ใช่เสียที่ไหน ท่านนี่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาหน่อยก็ดีมิใช่จมอยู่แต่กับต้นไม้   อีกไม่นานที่สปันเทียจะมีพิธีอันเชิญเทพ ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่ามันคือพิธีอะไร”

บุรุษเทพนัยตาเศร้ายิ้มก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจ
“พิธีอันเชิญเทพ เป็นพิธีที่ใช้อัญมณีที่กำหนดไว้ โดยผู้อันเชิญจะต้องมีเทวรูปองค์ปฐมที่สวรรค์ประทานแก่มนุษย์อยู่ในครอบครอง หลังจากทำพิธีสำเร็จเทวรูปองค์นั้นจะมีชีวิตขึ้นมา อิฐหินจะแปรเป็นเลือดเนื้อแล้วองค์เทพก็จะกลายเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มิเหลือซึ่งพลังอำนาจใดๆ กลายเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วท่าน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความถือดีของฟารันนั่นแหละ ด้วยเจ้าตัวขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วก็มิยอมมีมเหสีเสียที กล่าวว่าไม่มีใครดีพอ ดูพูดเข้าสิท่าน แถมยังบอกอีกว่าถ้าจะยอมแต่งงานด้วยอีกฝ่ายต้องมีคุณสมบัติให้ครบที่ตัวเองต้องการ 3 ข้อ คือ 1.ต้องมีชาติกำเนิดสูงกว่าตน 2.ร่างกายต้องงามไร้ตำหนิ และข้อสุดท้ายคือต้องรู้จักโลกได้กว้างไกลกว่าตน คุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดมีแต่เทพเท่านั้นที่ทำได้ ดูอย่างข้อแรกสิท่าน ต้องมีชาติกำเนิดสูงกว่า ตัวเป็นกษัตริย์ใครมันจะไปมีชาติกำเนิดสูงกว่าได้นอกจากเทพ พูดจาแบบนี้จงใจจะเอาเทพทำเมียแท้ๆ บังอาจดีมิเล่า”

“แต่จะว่าไป ท่านอนามอเฟียจะต้องการเช่นนี้รึ เทพส่วนใหญ่ก็แค่จำแลงกายลงไปยังแดนมนุษย์ชั่วครู่ชั่วยามไม่มีใครอยากลงไปเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ หรอก เป็นมนุษย์นั้นแสนลำบาก กายหยาบแลสังขารก็ไม่เที่ยงไม่เหมือนกายทิพย์อย่างชาวเทพอีกทั้งยังไร้พลังไร้อำนาจ สำหรับองค์เทวีองค์นี้น่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดีนะท่านมีเรีย”

“องค์เทวีคงมิคิดเช่นนั้นกระมัง ออกจะดีอกดีใจจนออกนอกหน้า”

เทพมีเรียหลิ่วตาเป็นเชิงบอกให้หันไปดู ก่อนตัวเองจะเมินหน้าหนีด้วยความหมั่นไส้ปล่อยให้อีกฝ่ายพิศพินิจกริยาเทวีแห่งความงามแต่เพียงผู้เดียว องค์เทวีนั้นดูสดใสร่าเริงเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ ด้วยนางคงอยากลงไปเป็นมนุษย์เต็มที่แล้วกระมัง ก็ฟารันรูปงามถึงเพียงนั้น เป็นธรรมดาอย่างที่สุดที่สตรีทั้งแดนเทพแดนมนุษย์จะหลงเสน่ห์เขา……

เทพแห่งความอุดมจ้องมองเทวีนางนั้นโดยไม่หลบเลี่ยง ฝ่ายผู้ถูกมองนั้นเหลือบตามองตอบอยู่ชั่วแว่บก่อนจะหันไปสนทนากับเพื่อนต่อโดยมิได้สนใจ

เทวีที่ถูกกล่าวว่างามที่สุดบนสวรรค์คงเคยชินเสียแล้วกับการถูกผู้ชายจ้องมอง จึงไม่มีแม้แต่มารยาทในการจะพยักหน้าทักทายผู้ที่มองตนอยู่เลยสักนิด

 “เอ๊ะ! แต่ว่า...ท่านโรเรเนส” 

 “มีอะไรรึ”

“นอกจากเทวรูปองค์ปฐมของเทวีอนามอเฟียแล้วสปันเทียยังมีเทวรูปองค์ปฐมของท่านอยู่ด้วยนี่”

“แล้วอย่างไรเล่า”

“ก็แหม ข้าพูดตามตรงนะ ในฐานะสหายกันข้าล่ะอยากให้ท่านลงไปแทนอนามอเฟียเสียจริง”

“ไม่เอาด้วยหรอก ข้าไม่อยากเป็นมนุษย์เสียหน่อย ว่าแต่พิธีจะมีเมื่อใดล่ะ”

“สำหรับโลกมนุษย์คงอีก3-4วัน แต่เทียบกับเวลาบนสวรรค์ก็...เย็นนี้ล่ะ”

“งั้นรึ”

“ถามทำไมหรือท่าน”

“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยเฉยๆ เพราะจนแล้วจนรอดมันก็ไม่เกี่ยวกับข้าอยู่ดี”


            หลายชั่วโมงนับจากนั้น เมื่อเขากลับไปยังวิมานตน โลกแก้วใบกลมก็ฉายภาพพิธีอันเชิญเทพอยู่พอดี พิธีนี้ถือว่าเป็นพิธีเก่าแก่ที่ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีเพียงครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้น แถมในครั้งนั้นเทพที่ถูกอันเชิญลงไปก็ล้มป่วยถึงแก่ความตายเพียงไม่กี่สัปดาห์ ด้วยร่างกายมนุษย์รองรับบารมีของดวงจิตเทพไม่ไหว

ครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นพิธีเล็กๆ ที่ถือเป็นความลับวงในของราชสำนักที่สปันเทีย หากแต่บนสวรรค์กลับมีเทพหลายองค์เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจดจ่อ

แต่โรเรเนสมิใคร่จะสนใจนัก เขาแค่ปรายตามองเหล่านักบวชที่เริ่มสวดทำพิธีแค่ชั่วประเดี๋ยวก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องเก็บพันธุ์พืชที่อยู่ข้างๆ แล้วทำงานต่อ ปล่อยให้เสียงจากพิธีกรรมดังแว่วอยู่ด้านหลัง

เขาร่ายเวทย์ใส่ต้นโอ๊คยักษ์ต้นหนึ่งอยู่ ต้นโอ๊คนี้เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่มานานหลายร้อยปีมันเป็นที่สักการะบูชาสำหรับมนุษย์ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ณ ดินแดนเขตอบอุ่นที่อยู่เหนือสปันเทียขึ้นไปอีกไกลนัก

เสียงสวดอันเชิญของเหล่านักบวชดังก้องห้องวิหารตามด้วยเสียงสวดรับของนักบวชรูปอื่นดังระงม

ถัดมาก็เป็นพืชคลุมดินแถบทุ่งทุนดร้าอันหนาวเหน็บ ส่วนนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษเพราะพืชพันธุ์ขึ้นได้ยาก หากแต่ก็ยังมีหมู่สัตว์จำนวนไม่น้อยที่ต้องพึ่งพิงพืชเหล่านี้เป็นอาหาร

ห่าฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหาได้ยากสำหรับภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าทะเลทราย ปรากฏแสงอสนีบาตอยู่หลายคราคล้ายฟ้าจะถล่ม เหล่านักบวชยังตะเบ็งท่องมนต์อย่างแข็งขัน

เวทมนตร์โปรยปรายไปทั่วป่าฝนเขตร้อนในฤดูใบไม้ผลิ ส่งให้กล้วยไม้ป่าหายากหลายพันธุ์แบ่งบานอวดโฉมกันสะพรั่ง

อสนีบาตใหญ่ผ่าโครมลงกลางวิหารพิธี ผืนปฐพีลั่นสนั่นหวั่นไหวฉับพลันแสงเทียนก็ดับวูบพร้อมกันลงทันที แล้วทุกสิ่งก็ตกสู่ความมืด

แล้วทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความมืด....

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

สวัสดีคะ วันนี้ก็มาลงตอนที่2เพิ่ม แล้ว คราวหน้าตอนหน้าจะเริ่มเข้าเรื่องแล้วคะ 5555+
ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะคะ ติได้ด่าได้ จะพยายามมาลงเรื่อยๆ ขอบคุณมากคะ เอิ๊ก

:katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-05-2014 14:40:33 โดย Donna Nod »

namwaan1992

  • บุคคลทั่วไป
ง่าาา กำลังสนุก T^T

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






VampirezBadz

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
หายไปนาน มาต่อบ่อยๆจะได้ไม่ลืมค่ะ  :pig2:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
เป็นการปูเนื้อเรื่องที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก ฮาาา มาต่อบ่อยๆนะ

ออฟไลน์ mana_ai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากค่ะ รอติดตามนะคะ ^ ^

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอนที่3 เมื่อยามตื่น

       เสียงหยดน้ำตกกระทบพื้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้ว ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นคือช่วงไหน  เหมือนเป็นเช่นนี้มาตลอดนานนับอนันต์ เหมือนเสียงนี้ดังก้องอยู่ในความฝันและดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขากำลังจะตื่น

   ...........ทำไมมันมืดเหลือเกิน?

บุรุษเกศม่วงลืมตาตื่นขึ้นอย่างสับสน  เขานอนหายใจรวยรินอยู่ในห้องๆ หนึ่งที่ตนเพิ่งสังเกตได้ว่ามันแสนอับชื้นเหมือนกลิ่นหินศิลาเก่าๆ แผ่นหลังของเขาเย็นเฉียบด้วยตัวนอนนาบอยู่บนหินอะไรซักอย่างแข็งๆ ร่างกายหนักอึ้งผิดปรกติและปวดหัวอย่างเหลือร้าย

เขาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แต่ขณะกำลังเค้นความคิดที่ข้างกายก็รู้สึกเหมือนมีมดมากมายมาเดินไต่แขนยุบยับไปหมด เขาเอียงคอหันไปมองตามสัญชาตญานแต่ภายใต้ความมืดเขาย่อมไม่เห็นสิ่งใด ความกลัวแล่นขึ้นมาจากเบื้องลึก เขาพยายามหยัดกายให้ลุกขึ้น และก็พบว่ามันช่างเป็นสิ่งที่ยากลำบากเหลือเกินที่จะลากสังขารอันหนักอึ้งนี้ออกไป รู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่ตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคย รับรู้ได้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปรกติเกิดแก่ร่างกายของเขา หากแต่ก็ยังนึกสิ่งใดไม่ออก รู้แต่เพียงเวลานี้ควรหนีให้ห่างฝูงมดประหลาดที่ส่งเสียงยามเคลื่อนตัวคล้ายทรายไหลซู่ซ่านี้ให้พ้น

เขาขยับตัวและตกลงมาจากแท่นหินที่ตนนอนอยู่เมื่อครู่ สองมือไขว่คว้าหาที่ยืดเหนี่ยวในความมืด พลันสัมผัสได้ถึงขาโต๊ะตัวหนึ่งจึงพยายามใช้โต๊ะนั้นพยุงตัวขึ้นมา เจ้าตัวคว้าผ้าคลุมโต๊ะมาห่อร่างเปลือยของตนไว้ เสียงคล้ายเครื่องโลหะตกกระทบพื้นเมื่อดึงผ้าตามด้วยเสียงซ่าประหลาดเหมือนเม็ดทรายครูดไปกับโลหะดังตามมา

ตรงหน้าเขามีกลิ่นไอเย็นของฝนโชยมาปะหน้าหน้าเป็นระยะ ตนจึงพยุงร่างกายอันหนักอึ้งตรงไปยังทิศที่มีอากาศหายใจ จนเมื่อร่างชนเขากับแผ่นไม้หนาเขาจึงใช้ร่างทิ้งน้ำหนักดันสิ่งที่เชื่อว่าเป็นประตูให้เปิดออก

ชายหนุ่มหลุดผัวะออกมาจากห้องอับนั้น พลันแสงจันทร์วันเพ็ญก็สาดเขาไปในห้อง สิ่งที่ตอนแรกคิดว่าเป็นมดอันที่จริงเป็นเม็ดทรายสีขาว ที่กระจายตัวอยู่รอบห้องและพวกมันกำลังเคลื่อนตัวตรงเข้าหาใจกลางห้องที่เป็นแท่นหิน เหล่าเม็ดทรายจำนวนมากไหลเลื้อยขึ้นไปบนแท่นแล้วค่อยๆรวมตัวกันอย่างช้าๆทีละน้อยเหมือนจะสร้างบางสิ่งขึ้นมาบนแท่นหินนั้น

เขาหันมองรอบกายเห็นเป็นลานหินรูปจัตุรัสอยู่ตรงหน้าล้อมรอบด้วยทางเดินและอาคาร สภาพเหมือนเพิ่งมีฝนตกมาหมาดๆ ไอชื้นที่ปะทะร่างกายทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน ยามนี้คิดแค่ว่าควรหาที่ที่อุ่นกว่านี้เสียหน่อยและนุ่งอะไรที่ดีกว่านี้

เขาจึงเริ่มออกเดินอย่างอ่อนแรงทุกย่างเก้าที่เหยียบไปแทบเข่าทรุด แต่ก็พยายามใช้มือหนึ่งยันกำแพงเอาไว้ จนเมื่อเดินเข้ามาถึงตัวอาคารทึบที่มีทางเดินยาวออกไปสองข้างมีแสงสว่างจากคบเพลิงข้างกำแพงอาการหนาวสั่นก็น้อยลง แต่ก็ยังไม่ทันได้เบาใจเสียงตะโกนก็ดังมาจากเบื้องหลัง

“เฮ้ย!นั่นใครกันน่ะ!” หันหลังตามเสียงไปก็เห็นชายสองคนในชุดคล้ายเครื่องแบบที่ทำจากผ้าดิบสีหม่นพร้อมเกราะทำจากหนัง มือของพวกเขาทั้งสองจับฝักดาบที่ห้อยข้างตัวขณะวิ่งตรงเข้ามา

ความตกใจกลัวแล่นเข้าขั้วหัวใจสองเท้าออกวิ่งด้วยสัญชาตญาณ หากแต่หนีไปได้ไม่ไกลก็ล้มลงด้วยขาอ่อนแรง เหงื่อกาฬแตกท่วมปอยผมสีม่วงอ่อนแนบลู่ไปกับหน้า หอบถี่ด้วยความเหนื่อยและหวาดกลัว

“เจ้าเป็นใครกันทำไมมาอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในได้!” ปลายดาบโค้งเงาสะท้อนแสงจ่ออยู่กับผิวหน้าเนียนที่ระเรื่อแดงด้วยเลือดฝาด
“..........”
“เจ้าเป็นสายลับใช่ไหม!”
“..........”
“ตอบมา!”  มือหยาบกร้านจิกเข้ากับผมแล้วกระชากขึ้นให้ลุกนั่ง เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดน้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวสองมือคว้าฝ่ามือที่จิกผมอยู่อย่างอัตโนมัติ  ทหารทั้งสองมองพิศร่างกายขาวเนียนที่เห็นได้ชัดขึ้นมื่อผ้าผืนบางลงไปกองกับพื้น

       ร่างเปลือยของชายผู้นี้ไม่ได้บอบบางผอมแห้ง ทว่ามีสัดส่วนสมบูรณ์เช่นเด็กหนุ่มที่เหมือนเพิ่งโตเต็มที่ไปหมาดๆ ด้วยร่างกายเช่นนี้หากจะขัดขืนต่อสู้ก็น่าจะพอมีกำลังอยู่ ทั้งสองจึงยังไม่ลดดาบลง หากแต่ท่าทางหมดแรงเหมือนคนป่วยไข้ทำให้เหมือนว่าหนุ่มผมยาวผู้นี้ไม่น่าจะตอบโต้อะไรพวกตนได้ ฝ่ายที่ยืนเฉยๆ จึงพูดกับเพื่อนที่จิกกำผมเชลยไปว่า

“ดูท่าไม่น่าสู้ได้ มันอาจเป็นแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจอาจมีพวกของมันแอบอยู่ตามจุดอื่น”
“บัดซบ! แบบนี้ต้องรีบรายงานผู้บังคับบัญชาโดยด่วน”  แต่ยังมิทันได้ขยับไปไหนทั้งสามก็เห็นชายวัยกลางคนน่าเกรงขามย่างสามขุมเข้ามาอย่างทะมัดทะแมง
“มีอะไรกัน ข้าได้ยินเสียงตะโกน” ทหารทั้งสองยืนตรงทำความเคารพและเรียกชายผู้นั้นว่าผู้บังคับบัญชา แต่ชายผึ่งผายผู้นั้นกลับตะลึงงันกับร่างขาวสว่างที่มีสีหน้าเจ็บปวดอ่อนแรงตรงหน้าไปชั่วขณะ สายตาหื่นกระหายโลมเลียร่างตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง
“เราเจอเจ้าหมอนี่ตรงทางเดินครับ น่าจะเป็นตัวล่อของพวกสายลับถึงมาป้วนเปี้ยนในเขตชั้นในได้”
“อื้ม ดีงั้นเจ้ารีบไปบอกทหารเวรทุกคนให้ตรวจดูให้ทั่วพื้นที่ ส่วนเจ้าลากไอ้หนุ่มนี่ไปที่ห้องกับข้า ยังมิต้องเอาไปขัง ข้าจะเค้นความจากเจ้านี่เสียก่อน”

สองทหารรับคำหนักแน่น ผู้ที่ตัวเปล่าวิ่งออกไปทันทีส่วนคนที่ยังกำเส้นผมเปลี่ยนท่าทางเป็นจับเชลยพาดบ่าแล้วเดินตามหัวหน้าตนไป

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

มาต่อแล้วค่าาาาา สั้นไปหน่อยขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้พยายามเขียนอยู่คะแต่ไม่ค่อยมีเวลา อ่ามอ่ามแหง่มแหง่ม(ไม่รู้จะพูดอะไร)  :hao5:
ขอบคุณที่มาอ่านนะคะ เย๊เฮเย๊เฮ :hao7:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2014 21:58:25 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
โรเรเนสลงมาหรอเนี่ยยย กลัวโดนทำร้ายสงสาร  :mew4:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0


       กุญแจมือเป็นโซ่ห้อยติดอยู่กับกำแพง มันล็อคแน่นอยู่กับข้อมือ สองแขนถูกชูสูงร่างเนียนที่หอบน้อยไร้สิ่งปิดบังนั่งอยู่ในห้องคุมขังที่สร้างซ้อนไว้ในห้องบัญชาการอีกที ประตูลูกกรงยังไม่ถูกปิดผู้ที่นำพาเข้ามายังยืนดูอยู่ตรงหน้า

“ให้ไปรายงานฝ่าบาทหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ต้อง”

“หืม?”

“นี่ดึกเกินไป อีกอย่างแค่นกต่อไร้ทางสู้คนเดียวไม่ต้องไปทูลให้ระคายเบื้องพระบาท เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะรายงานไปเอง เจ้าไปรวมกับคนอื่นเถอะตามจับพวกที่เหลือมาให้ได้ เดี๋ยวข้าจะสอบสวนเสียหน่อย”

สิ้นคำสั่งทหารหนุ่มก็ละออกไป ทิ้งให้ผู้บังคับบัญชาอยู่กับเชลยเพียงสองคน  ชายแก่ที่ยังดูแข็งแรงดีจ้องมองร่างตรงหน้าอย่างปรารถนา เขาลงนั่งยองๆ ข้างหน้าเด็กหนุ่ม ที่ตื่นกลัวและดูไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะมาอยู่ในสภาพนี้ได้”

พูดเรื่องอะไร!

“หึ แปลกจริง ดูท่าเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย งั้นคำถามง่ายๆ นะเจ้าชื่ออะไร”

ริมฝีปากบางเปิดออกเหมือนจะเปล่งเสียง แต่ก็ต้องปิดลงเมื่อไม่รู้จะพูดอะไรออกมา สองคิ้วขมวดลงเพื่อนึกคิด

นั่นสิเราชื่ออะไร?

เราเป็นใคร?

เราเป็นใคร?


หยาดน้ำใสเอ่อขึ้นมาอีกเมื่อตระหนักได้ว่าตนลืมสิ้นทุกสิ่ง เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะจำได้ แต่พอจะนึกให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาก็ทำไม่ได้เลย หน้าหวานขบริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยความปวดใจ

“จำไม่ได้รึ? หรือแกล้งจำไม่ได้? หึๆๆ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังต้องไต่สวนเจ้าตามหน้าที่ล่ะนะ”

 สายตาหื่นกระหายจ้องเหมือนจะกลืนกินก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ในส่วนผิวราบที่ท้องน้อย ฝ่ายนั้นสะดุ้งหนีมือหยาบอย่างหวาดกลัว แต่ก็มิอาจขัดขืน มือนั้นไล่ขึ้นไปยังยอดออกสีชมพูก่อนจะบีบแน่นลงจุดนั้น

“อ๊ะ! อย่า”

“โอ้ พูดได้ด้วยมิได้ใบ้หรอกรึ”
 
นิ้วกร้านคลึงเค้นอย่างสนุกกับยอดแดงที่เริ่มแข็งเป็นไตตามอารมณ์ซ่านร้อน ผู้ถูกกระทำรู้สึกได้ว่าเริ่มร้อนไปทั่วร่างโดยเฉพาะส่วนหว่างขา เสียงครางประท้วงขัดขืนดังหวานหู

“อ๊า อ๊ะ อื้อ ยะ  อ้า ”

“ไหน บอกมาซะดีๆ ว่าใครส่งเจ้ามา”

“อื้มมม อื้อ”

“ปากแข็งจริง”

ชายแก่ลามกก้มหน้าจมลงกับยอดอกอีกข้างขบกัดลงเบาๆ แล้วใช้ปลายลิ้นดุนดันอย่างรุนแรงสลับกับดูดดึงส่วนปลายนั้น ร่างเปลือยสั่นสะท้านน้อยๆ เสียงโซ่เหล็กกระทบผนังจากการบิดเร่าพยายามหนีการสัมผัสของอีกฝ่าย สองมือเอื้อมลงไปลูบไล้ที่ขาอ่อนด้านในแล้วบีบเค้นเข้ากับส่วนโคนขาหนีบส่งผลสะท้านไปถึงท่อนเนื้อนุ่มนิ่มที่เริ่มพองแข็งขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้สัมผัสโดยตรง

“อ๊าาา! อ๊ะ อ๊ะ ไม่” 

ฝ่ามือจับแน่นกับโคนขาแล้วใช้นิ้วโป้งกดวนหยอกเย้าใกล้ๆกับเนื้อนิ่มที่เป็นส่วนฐาน ชายแก่หัวเราะอย่างพึ่งใจที่ได้รังแกหน้างามไร้ทางสู้

กายท่อนบนขยับหนีปากสกปรกแต่สะโพกท่อนร่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาเขาเริ่มไหลปริมออกมา ทั้งกลัว ทั้งโกรธและสับสน และก็คิดอะไรไม่ออกซักอย่าง สำคัญยิ่งกว่านั้นหัวใจที่เต้นโครมครามนั้นรุนแรงเหมือนจะทะลักออกมา ทรมาน หายใจไม่ออก เหมือนจะช็อคตายเพราะใจเต้น
ใครก็ได้

----------------------------------------------------------------------

เหล่าทหารเวรวิ่งวุ่นไปให้ทั่วสร้างความประหลาดใจให้ทหารองครักษ์ที่ลงมาเดินทอดน่องหลังจากได้ผลัดเวรเป็นอย่างมาก เครื่องแบบขององค์รักษ์นั้นต่างจากพวกทหารเวรยามระดับล่างเล็กน้อย ด้วยมีเครื่องประดับยศเป็นดาวสีเงินกลัดอยู่ที่หน้าอก
เขาเห็นท่าทางร้อนรนและเสียงตะโกนให้ตามหาคนวุ่นกันไปหมดจึงรั้งทหารเวรคนหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าให้หยุดเพื่อถามความ

“เกิดอะไรขึ้น มีคนลอบเข้ามารึ”

“ใช่ขอรับ ตอนนี้จับผู้ลักลอบมาได้คนหนึ่ง แต่คาดว่าจะมีคนอื่นอีกจึงพยายามตามหากันขอรับ”

“แล้วมีคนไปทูลฝ่าบาทแล้วรึยัง”

“น่าจะยังขอรับท่านหัวหน้ากองทหารเวรสั่งไม่บอกเพราะเห็นว่าดึกแล้ว”

“บ้าน่า!ถ้ามีคนลอบเข้ามาในพระราชฐานชั้นในขนาดนี้ จะไม่แจ้งฝ่าบาทให้ระวังพระองค์ได้อย่างไร ไร้สาระ แล้วเจ้าคนที่จับได้ลักษณะเป็นอย่างไร”

“น่าจะเป็นต่างชาติ เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวผมยาวสีม่วงอ่อนขอรับ แต่ว่าไร้อาวุธและดูไร้ทางสู้ด้วยไม่แน่ใจว่าเป็นนกต่อหรือมีจุดประสงค์อะไรกันถึงส่งคนไร้ความสามารถแบบนี้เข้ามาได้”

“นำไปขังไว้ที่คุกใต้ดินรึยัง”

“ยังขอรับ ท่านหัวหน้ากองทหารเวรขังไว้ในห้องบัญชาการขอรับ”

“แปลกจริง เอาเถอะเดี๋ยวข้าจะไปทูลฝ่าบาทเอง”

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0


ก่อนหน้านั้นมินานเท่าไรกษัตริย์แห่งสปันเทียผู้มีตำแหน่งเป็นองค์ราห์โอ กำลังนั่งเล่นหมากรุกอย่างเอาเป็นเอาตายกับคนสนิท เขาสวมฉลองพระองค์ที่เป็นผ้าฝ้ายแขนยาวขายาวสบายๆทั้งเสื้อยาวและกางเกง สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงเพลิงตัดกับผ้าขาว ผมหยักน้อยๆสีดำดูชื้นไม่เป็นทรง หน้าเข้มเท้าแขนลงกับโต๊ะหมากรุกพลางกวาดสายตาคมปราดไปยังตัวหมากตรงหน้า

“ฝ่าบาท...”  หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มมีลักษณะดูดีทั้งรูปร่างหน้าตาและกิริยาอยู่ในชุดนอนสบายๆคล้ายกันเพียงแต่ไม่ได้สวมเสื้อคลุมรุงรังนั่งอยู่อีกฟากของกระดานหมากรุก หน้าตาเขาเบื่อหน่ายอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด

“อะไร ลากลอซ”

“ปล่อยกระหม่อมไปนอนเห๊อะ”

“เจ้าก็หลับไปเล่นไปก็ได้นิ เดี๋ยวพอถึงตาเจ้าข้าปลุกเอง”

 คนสนิทถอนใจยาวแล้วแล้วนวดขมับตัวเองเบาๆ

“ฝ่าบาทก็น่าจะไปบรรทมได้แล้วนะ มันดึกแล้วนา”

“ก็ข้าไม่ง่วงนิ”

“ไม่ง่วงหรือแค่ไม่อยากนอน ท่านเกรงว่าจะฝันแบบนั้นอีกใช่ไหมเล่า”

ฟารันราห์โอเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย

“ข้าก็กำลังแก้ปัญหาเรื่องนั้นอยู่ไง”

“กระหม่อมทูลตามตรงนะ การเล่นหมากรุกไม่ช่วยให้ความลามกโสมมคาวโลกีย์ในใจฝ่าบาทมันลดลงหรอกนะ”

“เฮ่ย พูดดีหน่อยๆ”

“ก็หรือไม่จริงเล่า ฝ่าบาทพยายามหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจจากฝันบาปๆหื่นๆของฝ่าบาทมากี่ครั้งแล้ว มันก็ไม่ได้ผลเสียหน่อย ฉะนั้นก็ปล่อยมันไปเหอะ ยังไงพระองค์ก็ได้แต่ฝันทำจริงไม่ได้อยู่แล้วจะกลัวอะไร”

“เรื่องจำพวกนี้แค่คิดก็บาปแล้ว การที่ข้าฝันสกปรกกับองค์เทพนี่ยังไม่น่าเป็นห่วงอีกรึ”

“นี่ฝ่าบาทจะทรงรู้สึกผิดขนาดนี้ไหมเนี่ยถ้าฝ่ายที่ถูกกระทำในฝันต่ำช้าของฝ่าบาทเป็นเทวีอนามอเฟีย”

“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คงไม่ เพราะยังไงนางก็ต้องลงมาเป็นมเหสีของข้าอยู่แล้วจะฝันหรือทำจริงก็ไม่ผิดหรอก.....แต่พูดไปก็เท่านั้นมันเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วนี่”

ฟารันหมายถึงพิธีกรรมอันเชิญเทพที่จัดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนและก็ล้มเหลวไปอย่างไม่เป็นท่า แม้นตัวเขาเองไม่ต้องการมีมเหสี แต่การมีสตรีรูปงามมาอยู่ข้างกายคงช่วยให้ความฝันฟุ้งในใจหายไปได้บ้าง การมีเมียเป็นตัวเป็นตนอาจช่วยให้เขามีขอบเขตจัดการกับไฟราคะที่สุมอกได้แทนที่จะไปลงกับพวกนางโลมที่ไม่ช่วยอะไรเลย

เพราะฝันบาปๆนั่นเอง ที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ก่อนหน้าที่จะฝันความปรารถนาของเขาก็มีอย่างปรกติเท่าๆกับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ทั่วๆไป แต่เพราะฝันนั่นแหละฝันที่ดำเนินนานมาร่วมสองเดือนที่แปรใจเขาให้ร้อนรุ่มจนการเยือนหอนางโลมเป็นไปอย่างถี่ขึ้น
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย  ด้วยคนที่อยู่ในฝันเขานอกจากเป็นเทพแล้ว...ยังเป็นผู้ชายอีกด้วย

“วันนี้มีแต่เรื่องน่าโมโห ทั้งเรื่องฝันที่ไม่ยอมหายไปและเรื่องพิธีกรรมบ้าบอนั่นอีก”

เขากล่าวขึ้นพลันนึกถึงพิธีอันเชิญเทพที่แสนจะไร้สาระและองค์เทวรูปองค์ปฐมที่ตอนนี้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าศักดิ์สิทธิ์จริงไหม

             ที่มาขององค์เทวรูปมหัศจรรย์นี้ว่ากันว่าแต่เดิมเมื่อสมัยองค์ราห์โอองค์แรกก่อตั้งสปันเทีย มีเรื่องเล่ากันว่าองค์เทพได้ประทานเทวรูปองค์ปฐมให้เป็นขวัญเมืองแก่สปันเทียไว้สององค์ คือเทพแห่งความงามเทวีอนามอเฟียและเทพแห่งความสมบูรณ์โรเรเนส

เทวรูปทั้งสองนั้นถูกประดิษฐานอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างอยู่ ณ ใจกลางพระราชวัง ตัววิหารนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นักด้านในมีจตุรัสโล่งกว้างอยู่ตรงกลาง สองฟากของจตุรัสมีห้องเล็กๆอยู่ห้องละฝั่ง ฝั่งขวาเก็บองค์เทวรูปของเทพโรเรเนสส่วนห้องฝั่งซ้ายเก็บองค์เทวรูปของเทวีอนามอเฟีย

พิธีกรรมอันเชิญเทพเกิดขึ้นที่ห้องฝั่งซ้ายที่ประดิษฐานองค์เทวีผู้ที่กล่าวกันว่างามว่าสตรีใดใดในสามโลกเมื่อช่วงหัวค่ำ เพื่ออันเชิญพระองค์ลงมาเป็นมเหสีของฟารันองค์ราห์โอองค์ปัจจุบัน

ตามตำนานเล่ากันว่า มีแต่เทวรูปองค์ปฐมนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำพิธีอันเชิญเทพได้ โดยทั้งรูปร่างหน้าตาทุกอย่างถูกเล่าว่าเป็นลักษณะที่แท้จริงขององค์เทพ ดังนั้นเห็นเทวรูปขององค์เทวีอนามอเฟียงามเท่าใด ตัวจริงของพระนางก็งามเท่านั้น

เช่นนี้วิหารนี้จึงเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีแต่คนในราชวงค์และนักบวชชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปภายใน ด้วยมนุษย์ปุถุชนไม่คู่ควรพอที่จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงขององค์เทพ

ทว่าเรื่องนี้อาจจะต้องเปลี่ยนไป

เมื่อมีสิ่งที่สั่นคลอนความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เทวรูปไปเสียแล้ว ด้วยพิธีอันเชิญเทพนั้นล้มเหลวเพราะองค์อนามอเฟียไม่ลงมาสถิตยังเทวรูป เทวรูปในวิหารจึงยังคงร่างเป็นหินอยู่ดังเดิม

ตอนที่พิธีกรรมจบลงเทวรูปขององค์พระแม่ก็ไม่มีที่ท่าว่าจะเปลี่ยนไปเลย ยังคงร่างเป็นอิฐหินอยู่เช่นเดิมมิได้กลายเป็นร่างเนื้อหนังของมนุษย์ ท้ายแล้วองค์ราห์โอก็เกิดรำคาญใจจึงบอกให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปเสีย แม้ว่าหัวหน้านักบวชจะขอให้มีคนเฝ้าวิหารไว้ก่อนเพราะยังไม่ทราบได้ว่าองค์เทวีจะกลายร่างเป็นคนเมื่อใด อาจเป็นวันหรือนานเป็นเดือนก็เป็นได้

แต่ฟารันก็ไม่ฟังเขากลับคิดเสียว่านี่เป็นเพียงพิธีกรรมโบราณที่งมงาย ไม่เคยมีบันทึกด้วยซ้ำว่าเคยทำได้จริงมีแต่ขั้นตอนไม่กี่ข้อให้ทำตามเท่านั้น เขาโกรธเพราะรู้สึกโง่ ที่หลงเชื่อไปได้ว่าก้อนอิฐก้อนหินจะกลายร่างเป็นคนจริงๆไปได้

มันไร้สาระที่สุด หากเทวรูปนี้มิใช่ของปลอมพิธีกรรมนี้ก็เป็นพิธีกรรมที่เป็นไปไม่ได้มาแต่แรกแล้ว 

โกรธตัวเอง โกรธนักบวช พาลโกรธไปยังเทวรูปและองค์เทพ

เช่นนี้เขาจึงไล่ทุกคนไปเสียให้พ้นบริเวณแล้วสั่งไม่ให้ใครเข้าใกล้วิหารอีกจนกว่าเขาจะอนุญาต และนั้นมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

วิหารถูกทิ้งให้ตกอยู่ในความสงัดเช่นเดียวกับตอนก่อนจะมีใครเขาไป ไม่ได้เผื่อใจไว้เลยว่าจะเกิดเหตุอันใดภายในวิหารนั้น




ฟารันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเอนหลังลงพิงกับพนักเก้าอี้ ไม่กี่อึดใจจากนั้นองครักษ์คนหนึ่งก็วิ่งมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องบรรทมแล้วคุกเขาข้างหนึ่งลงเคารพองค์ราห์โอ

“พระอาญามิพ้นเกล้า มีคนลักลอบเข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นในพะยะค่ะ ตอนนี้จับได้แล้วหนึ่งคนพวกทหารเวรคาดว่ายังมีพวกมันอีกจึงตามหากันอยู่พะยะค่ะ”

“เฮ้ออ มันจะมาทำไมกันวันนี้ มีแต่เรื่องวุ่นๆทั้งวันเลยให้ตายสิ ถ้าจับได้แล้วก็เอาไปรวมๆที่คุกใต้ดินก่อนแล้วกัน ได้ความยังไงค่อยมาบอกข้าพรุ่งนี้เช้า”

“พะยะค่ะ”

“ว่าแต่ลักษณะมันเป็นยังไงล่ะเจ้าคนที่ถูกจับได้น่ะ ฤทธิ์เยอะมากไหม”

“ไม่พะยะค่ะ เห็นพวกทหารเวรบอกว่าน่าจะเป็นตัวเบนความสนใจเสียมากกว่า เพราะอ่อนแอจนไม่น่าทำอะไรได้ รูปร่างหน้าตาก็น่าเป็นเด็กหนุ่มต่างชาติ เพราะมีผิวขาวและผมยาวสีม่วงอ่อนพะยะค่ะ”

ฟารันตาเบิกโพลงแล้วตะโกนถามอย่างร้อนใจ

“ตอนนี้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหน!”

“เอ่อ...หะ ห้องหัวหน้ายามอะ ฝ่าบาทเดี๋ยว!จะทรงไปไหน อย่าออกไปยามนี้นะพะยะค่ะ”

ฟารันวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่ลังเลโดยมีทหารองครักษ์วิ่งตามไปห้ามอยู่ติดๆ เหลือแต่ลากลอซที่นั่งอึ้งอยู่ที่เดิม

หรือว่า....แทนที่เทวีจะลงมาแต่กลับเป็น....




.-----------------------------------------------------------------------------



ตอนฟารันไปถึงนั้นความรู้สึกมากมายทะลักจนเขาต้องชะงัก ทั้งตกใจ สับสน โกรธ ปิติ แต่ที่รู้ๆอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดในทั้งหมดส่งเขาให้พุ่งออกไปกระชากชายแก่ลามกที่กำลังไซ้ซอกคอเด็กหนุ่มที่ตัวสั่นทั้งน้ำตากระเด็นออกไปไกลก่อนจะนำเสื้อคลุมของตนคลุมร่างนั้นไว้ แล้วดิ่งไปตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้าชายแก่

“สวะ!กล้าทำแบบนี้ในวังของข้าหรอ”

“พระอาญามิพ้นเกล้า แต่ชะชายผู้นี้เป็นแค่”

“หุบปาก!แล้วกุญแจมา” เขาคว้ากุญแจที่ผู้น้อยยื่นให้อย่างหวาดกลัวไปปลดพันธนาการคนถูกยึดติดกำแพง อีกฝ่ายที่กลัวจนตัวสั่นโผเข้ากอดร่างสูงและเพ้อพูดออกมาโดยไม่ได้คิด

“ฟารัน” ถูกเพรียกหาด้วยเสียงอันบางเบาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องเป็นชื่อนี้

“ฮึก ฟารัน”

เจ้าของชื่ออุ้มอีกฝ่ายขึ้นด้วยสองแขนแกร่งแล้วเดินออกไปโดยไม่พูดไม่จา



.......------------------------------------------------------------



             ห้องนอนขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเดิมถูกใช้เป็นห้องที่เตรียมไว้สำหรับว่าที่องค์มเหสี แต่ด้วยเวลาจำกัดจึงจัดแจงให้เด็กหนุ่มปริศนาเข้ามาพำนักเสียก่อน  เขาได้รับการตอนรับเป็นอย่างดีทั้งได้ชำระร่างกายนุ่งเสื้อผ้าและทานนมอุ่นๆตอนที่อยู่บนเตียง  หลังจากวางแก้วลงในถาดที่หญิงรับใช้ถืออยู่ไปเมื่อครู่เขาก็ต้องฉงนในท่าทีของคนมากมายที่อยู่ในห้อง

ที่ข้างกายเขามีชายที่ตนเรียกไปว่าฟารัน และที่ปลายเตียงมีชายชุดขาวโกนหัวเกลี้ยงหลายคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นเป็นชายชราที่ดูสูงศักดิ์กว่าคนอื่นเขาก้าวออกมาแล้วลงก้มคำนับจนหน้าผากจรดพื้นแล้วคนอื่นก็เริ่มทำตามรวมทั้งฟารันด้วย

“ขออภัยองค์เทพที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น จนทำให้เกิดเรื่องร้ายกับท่านทรงอย่าพิโรธพวกทหารโง่เลย พิธีกรรมอันเชิญเทพจัดขึ้นอย่างลับๆพวกทหารไม่รู้ได้ว่าจะมีองค์เทพลงมาจุติ อีกทั้งพวกข้าพเจ้ามิได้อยู่เฝ้าวิหารให้นานพอจึงไม่มีใครไปรับตัวท่านให้สมเกียรติต้องโปรดอภัยด้วย”

ชายชราเอ่ยขึ้นทั้งยังไม่เงยหน้า พวกเขาค้างอยู่ในท่านั่นเหมือนรอให้เด็กหนุ่มตอบรับอะไรบางอย่าง ตัวเขานั้นยังไม่เข้าใจอะไรนักแต่เขาก็ไม่ตระหนกมากกับท่าทางนอบน้อมที่คนอื่นมีให้ เพราะเขารู้สึกได้ว่าเคยเห็นภาพผู้คนคำนับตนมาบ่อยครั้งแล้วเพียงแต่นึกว่าไม่ออกว่าอย่างไรหรือเมื่อใด เช่นนี้เขาจึงส่งเสียงตอบรับออกไปอย่างแผ่วเบาเพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นมานั่งตามปรกติ

“เหตุใดท่านถึงลงมาแทนองค์เทวีอนามอเฟีย” ฟารันเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเฉยไม่มีทีท่ายำเกรงแต่อย่างใด ตามวิสัยของคนที่อยู่จุดสูงสุดผู้ไม่เคยต้องนอบน้อมกับใคร

ทว่าตาเศร้ากลับเลื่อนลอยก่อนหลุบลงและไร้คำตอบ

ทำไมถึงเป็นเรา?

นั่นสิทำไมเราถึงอยู่ที่นี่?

แล้วก่อนหน้านี้เรามาจากไหน?

เราเป็นใคร?


คิ้วน้อยๆขมวดหากันอย่างหนักใจ ความรู้สึกบางอย่างบอกได้ว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ตัวเขาไม่คุ้นเคยไม่ใช่ร่างกายของเรา แต่ก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมหัวหน้านักบวชจึงกล่าวทำลายความเงียบขึ้น

“อย่าพึ่งซักไซ้ท่านเลยฝ่าบาท ร่างกายมนุษย์ยังใหม่และอ่อนแอนักให้องค์ท่านได้พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูกำลังก่อนเถิด” ฟารันพยักหน้าอย่างช้าๆโดยไม่ละสายตาออกจากคนตรงหน้า จนคนถูกจ้องรู้สึกร้อนแปลกๆบนผิวหน้า

ทุกคนลงคำนับเขาอีกครั้งก่อนจะค่อยๆทยอยเดินออกไป องค์ราห์โอออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาหันมามองเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนประตูบานใหญ่จะปิดลง

แล้วชายเกศม่วงก็ถึงกาลหลับใหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ขออภัยจริงๆที่มาอัพช้า เขียนช้าอัพช้า เวลาน้อยหย๋อยๆ คราวหน้าจะพยายามทำทุกอย่างให้เร็วขึ้นนะคะ  :z3: :z3:

ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านมากๆคะ ขอบคุณคะ ฮึ้ออออออออออ :hao5:


ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
ลุ้นมากๆกลัวไอ้แก่นั้นมันทำร้ายย ดีที่ฟารันมาทันนนน ใจหายยยย  :mew4: :hao5:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0


          องค์เลวีเรี่ยน ณ หม่าวหม่าวนั้นเป็นแมวตัวใหญ่มาก เวลาท่านเลียหน้าเทพโรเรเนสนั้นจะเจ็บได้เรื่องอยู่เพราะลิ้นแมวเป็นที่ทราบกันว่าสากมาก องค์แมวเหมี๊ยวตัวขาวฟูนั่งเลียขาหน้าตัวเองอยู่ก่อนสายตาจะเลื่อนมาเห็นคนตรงหน้าจึงเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากำลังจะโดนแมวจู่โจมจึงร้องห้ามออกไปตามวิสัย


“ไม่เอาน่าซาลาเปา หยุดนะ ซาลาเปา อย่าเลียสิซาลาเปา ซาลาเปา!”

โรเรเนสสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางยามเช้าอันสดใสพร้อมแสงแดดอ่อนๆและเสียงนกร้องร่าเริง

ที่ไหนเนี่ย?

เขานึกทบทวนหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่ละลำดับทั้งที่ยังนอนอยู่ ความทรงจำนั้นค่อยๆกลับมาแล้ว แม้นจะไม่ครบถ้วนทุกอย่างแต่ส่วนสำคัญนั้นก็นึกออกได้

ใช่ เขาเป็นเทพแห่งพืชพันธุ์นามโรเรเนส มีแมวยักษ์เป็นพาหนะและแทนที่จะดูแลต้นไม้อยู่ในวิมาณตน ก็ดันต้องลงมาเป็นมนุษย์แทน.....

แทนใครซักคนที่ยังนึกชื่อไม่ออก แต่ที่แน่ๆมันเกิดเหตุผิดพลาด มีพิธีอันเชิญเทพเกิดขึ้นและเป็นเหตุให้เขาต้องลงมาตกระกำลำบากจนเกิดเหตุที่ขยักแขยงขึ้นเมื่อคืนนี้

จนกระทั่งฟารันเข้ามาช่วยไว้

ฟารัน..... เขาจำไม่ได้หรอกว่าชายคนนี้เป็นใครจำได้แต่ว่าชื่อฟารัน เขาจำอะไรเกี่ยวกับโลกมนุษย์ไม่ได้เลยแม้นแต่โลกเทพก็ยังจำไม่ได้ในตอนนี้  เขามั่นใจว่าตนเคยรู้มากกว่านี้ ช่วงชีวิตหลายพันปีของการเป็นเทพมีความรู้มากมายอยู่ในหัว ทว่าตอนนี้เหลือเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่ก็เป็นชื่อ ชื่อตนเอง ชื่อแมว ชื่อฟารัน และอีกสารพัดพันธุ์พืชที่จู่ๆก็แล่นเข้ามาในหัว
แต่นอกนั้นก็ยังนึกอะไรไม่ออก มีแต่ความรู้สึกคุ้นๆและคลับคล้ายคลับคราเป็นส่วนมาก แม้นกระทั่งพี่ชายตน...ใช่จำได้ว่ามีพี่ชาย ไม่ใช่พี่แท้ๆหรอก เป็นคนโผงผางอยู่มาก แต่ยังนึกหน้าและชื่อไม่ออก

โรเรเนสถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เคราะห์กรรมอันใดถึงทำให้ตนต้องลงมาอยู่ในกายหยาบอันแสนอ่อนแอของมนุษย์เช่นนี้ ไหนจะความหิวโหย ความว้าวุ่นใจและความเจ็บไข้อีกล่ะ ยังไม่รวมถึงจิตใจที่ยากจะหยั่งอีกยิ่งไม่มีพลังเวทย์เช่นเทพอยู่แล้วเขาจะอยู่รอดไปได้อย่างไร โรเรเนสยังนึกไม่ออกเลย

เขาค่อยๆหยัดกายขึ้นมาอย่างช้าๆ ร่างมนุษย์นี้ยังใหม่และอ่อนแอคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเขาจะสามารถบังคับร่างกายนี้ได้คล่อง คงเป็นเช่นนนี้กระมังความทรงจำมากมายของเขาจึงยังไม่กลับมา ด้วยร่างกายอันแสนอ่อนแอนี้เพียงแค่รองรับดวงจิตของเขาได้ก็นับว่าอัศจรรย์มากแล้ว นับประสาอะไรกับองค์ความรู้มากมายของเทพนั่นอีกเล่าคงต้องใช้เวลานานพอดูกว่าความทรงจำจะทยอยมาเต็มเติมหัวเล็กๆของมนุษย์นี้ได้

ใช่ คงอีกนานไม่รู้ว่าแค่ไหน สัปดาห์? เดือน? ปี? ความทรงจำของเขาจึงจะสมบูรณ์ได้

ม่านตาสีฟ้าใสหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อมือเรียวเอื้อมไปเปิดผ้าม่านที่ขึงล้อมเตียงกว้างนี้อยู่ แสงแดดที่ลอดเข้ามาจ้าพอตัว เขาย่างลงจากเตียงอย่างช้าๆ ชุดที่สวมใส่เป็นเหมือนเสื้อตัวยาวทอจากฝ้ายเนื้อดี มันยาวพอที่จะปกปิดส่วนสำคัญแต่ก็มิได้ยาวเลยเข่าจึงยังเห็นรอยนิ้วมือน่ารังเกียจที่ผู้บัญชาการลามกนั้นทิ้งไว้ให้

สองขาก้าวได้ไม่มั่นคงนักพยายามจะเดินออกไปยังประตูห้องแต่พอดีกันนั้นบานประตูตรงหน้าก็เปิดเข้ามาผู้ที่เปิดคือชายวัยกลางคนที่ยังดูไม่ถึงกับแก่มากนักแต่ผมกลับเป็นสีขาวเรียบและผิวกายสีแทนแต่งกายด้วยชุดคลุมตัวยาวตามนิยมของอาณาจักรนี้

 เขายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะก้มลงคำนับจนหน้าผากจรดพื้น

“อย่าทำเช่นนั้นเลยปฏิบัติต่อข้าเช่นคนปรกติเถิด”

“หามิได้ เพราะไม่แน่ว่าหลังจากนี้ข้าจะได้ทำเช่นนี้อีก สามวันที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน”

“สามวัน!”

“ใช่ ท่านหลับไปสามวันจนองค์ราห์โอต้องเรียกข้ามาดูท่านนี่ไง” ชายคนนั้นลุกขึ้นทั้งยังยิ้มอยู่

“ข้ามีนามว่าชัคบา เป็นหมอหลวงประจำราชสำนักหลังจากท่านหลับไปได้หนึ่งวันปลุกเท่าใดก็มิยอมตื่นองค์ราห์โอจึงร้อนใจมากถึงกลับตามข้ามาดู ว่าแต่ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” 

ชัคบาถามพร้อมพยุงโรเรเนสไปนั่งที่มุมหนึ่งของห้องแล้วรินน้ำให้ อีกฝ่ายเอ่ยขอบคุณอย่างแผ่วเบาก่อนจะพูดต่อหลังจากได้ดื่มอย่างกระหาย

“เหนื่อยและเหมือนร่างกายหนักมาก อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก”

“คงด้วยท่านกำลังอยู่ในช่วงปรับตัว หากรับร่างใหม่นี้ได้ทุกอย่างคงจะดีขึ้นเอง”

“พวกนักบวชบอกข้าว่าเรื่องอันเชิญเทพเป็นความลับ แต่ทว่าท่านก็รู้ว่าข้าเป็นใคร”

“ไม่มีใครบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นเพราะหลายเรื่องในวังนี้เป็นความลับที่แม้แต่คนในครอบครัวขององค์ราห์โอก็ไม่อาจล่วงรู้ แต่ด้วยข้าเป็นหมอและไม่ใช่คนโง่ เมื่อข้าตรวจร่างกายท่านจึงได้รู้ว่ามีบางสิ่งผิดไป ตัวข้านี้รู้จักร่างกายมนุษย์ดี จึงทราบว่าเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์เช่นท่านจะมีลักษณะใหม่หมดจดเช่นเด็กแรกเกิดได้ คนเราเมื่อโตมักจะต้องทิ้งร่องรอยของการเจริญเติบโตเอาไว้ทั้งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าและที่ต้องตรวจดู แต่ร่างกายของท่านนั้นไม่มีร่องรอยเช่นนั้นเลยเหมือนเกิดมาแล้วก็เป็นเช่นนี้ทันที ไม่ได้ผ่านวัยเด็กมาเช่นมนุษย์ผู้อื่น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอเหมือนเพิ่งหัดได้ใช้งานเช่นเด็กเล็กของท่านอีก จึงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าร่างกายนี้ถูกเนรมิตขึ้นมามิได้เกิดด้วยการคลอดเช่นคนทั่วไป”

ตาเชื่อมได้ยินดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆอย่างชื่นชมเพราะแม้จะเป็นหมอที่พิจาราณาทุกอย่างตามเหตุผลที่พิสูจน์ได้ แต่บุคคลผู้นี้ก็ยังใจกว้างพอที่จะยอมรับเรื่องเหลือเชื่ออย่างร่างเนรมิตของเขาได้อีก 

“ท่านหมอนี่ใจกว้างจริง เชื่อเรื่องที่หาข้อพิสูจน์แบบนี้ด้วยหรอ”

“ข้าเป็นศาสนิกชนที่ดีนะ หากพอจะจำได้ข้าสวดให้ท่านเป็นประจำ”ถึงตอนนี้แววตาสดใสของโรเรเนสก็กลับหมองลง

“คงต้องขออภัยในเรื่องนี้ ข้าต้องสารภาพตามตรงว่ายามนี้ข้าไม่สามารถจดจำสิ่งใดๆได้เลยในตอนที่ข้าเป็นเทพอยู่บนสวรรค์”

“จริงรึท่าน ท่านพอจะทราบไหมว่าทำไม” น้ำเสียงและสีหน้าของหมอหลวงเปลี่ยนไป เขาดูเป็นกังวลขึ้นมาก

“เอ่อ...ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันคงเพราะร่างมนุษย์ยังรับดวงจิตของข้าไม่ได้ครบถ้วนน่ะ ก่อนหน้าข้าจำอะไรไม่ได้เลยแม้นแต่ชื่อตัวเอง ยามนี้จำได้แต่ชื่อแมวแถมยังจำได้แต่ชื่อเล่นของมันอีก แล้วก็ชื่อตัวเองกับพวกพันธุ์พืชเยอะแยะนับไม่หมดที่ค่อยๆโผล่มาในหัว คงต้องใช้เวลากว่าข้าจะจำทุกอย่างได้ ตอนนี้ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมืองที่ข้าอยู่นี่ชื่อ รู้สึกแต่ว่าวังนี้คุ้นๆชอบกล” ในท้ายประโยคเขามองไปรอบๆห้องอย่างพินิจ ใช่ตอนเป็นเทพเขาต้องคุ้นเคยกับมากจ้องมองวังวังนี้เป็นแน่เขารู้สึกได้เช่นนั้น
“ตอนนี้ท่านอยู่ที่พระราชวังรานาราจา ซึ่งอยู่สูงเหนือขึ้นมาจากมหานครเอนนัคเมืองหลวงแห่งสปันเทีย”

ใช่!สปันเทีย ชื่อนี้คุ้นหูนัก

“ว่าแต่ทำไมดูท่านหมอหลวงถึงหนักใจนักที่ข้าจำความมิได้ หรือท่านต้องการถามอะไรจากข้างั้นรึ”  หมอหลวงทำหน้าหนักใจแล้วถอนหายใจ

“ก็ไม่เชิงหรอกท่าน แต่อย่างที่ข้าบอกสามวันมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ข้าไม่ทราบหรอกว่าเรื่องพิธีอันเชิญเทพนั้นมีใครรู้บ้างแต่ที่แน่ๆ พวกขุนนางระดับสูงหลายคนรู้เรื่องนี้ และพวกนั้นสงสัยในความเป็นเทพของท่านจึงต้องการการพิสูจน์”

“พิสูจน์? ข้านึกว่าคำพูดของกษัตริย์เป็นสิทธิ์ขาดเสียอีก ถ้าฟารันเชื่อว่าข้าเป็นเทพจะต้องทำอะไรอีก”

“มันไม่ง่ายเช่นนั้นสิท่าน ฝ่ายขุนนางกับฝ่ายนักบวชเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ทั้งสองฝ่ายขัดผลประโยชน์กันอยู่เรื่อยๆ พวกขุนนางเชื่อว่าพวกนักบวชเอาศาสนาและความเชื่อมาเป็นเครื่องมือควบคุมประเทศ การที่นักบวชอันเชิญเทพลงมาสำเร็จเป็นเหมือนการตบหน้าพวกตน ดังนั้นเจ้าพวกขุนนางทั้งหลายจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ฝ่ายนักบวชหมดความน่าเชื่อถือ รวมถึงเรื่องที่ท่านเป็นเทพด้วยจนตอนนี้แม้นแต่องค์ราห์โอก็เริ่มจะหวั่นไหวแล้ว”

“หวั่นไหว พวกขุนนางพูดอะไรทำไมฟารันถึง....”

“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นพูดอะไร แต่ข้าก็ได้บอกความเห็นของข้าเรื่องร่างกายที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปของท่านให้ฝ่าบาททราบแล้วและก็ดูจะทรงเชื่อด้วย แต่ฝ่ายขุนนางคงมีเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้จึงทำให้ทรงลังเล เช่นนี้จึงมีรับสั่งให้เมื่อยามท่านตื่นให้พาท่านไปสอบถามเสียให้แน่ชัดหลังจากท่านอาบน้ำและรับประทานอาหารแล้วข้าจะพาท่านไปเอง”

เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่เขาต้องเจอเรื่องอะไรอีกล่ะนี่

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ห้องที่หมอหลวงพาเขาเข้าไปเป็นเพียงห้องรับรองเล็กๆแต่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนหรูหรา มีชายสูงวัยแต่งตัวหรูหราเต็มยศ 4-5คนนั่งอยู่บนตั่งฝั่งขวาและมีพวกนักบวชชั้นสูงแต่งชุดขาวนั่งอยู่บนตั่งฝั่งซ้าย ถอยออกไปตรงกลางมียกพื้นที่ปูพรมอย่างดีเป็นที่ประทับขององค์ราห์โอที่สวมใส่เครื่องทรงเป็นเสื้อผ้าฝ้ายคอกว้างและกางเกงขายาวเนื้อผ้าเดียวกันที่แลดูสบายๆและธรรมดาสามัญยิ่งกว่าใครในห้อง ลากลอซคนสนิทยืนอยู่ข้างที่ประทับเขาแต่งกายด้วยชุดแขนยาวสีน้ำเงินปักดิ้นเงินตัดเข้ารูปพอดีตัวยาวถึงเข่าซึ่งเป็นเครื่องแบบประจำตำแหน่งของเขา


โรเรเนสถูกพาเดินผ่านผู้คนเหล่านั้นเข้าไป ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวจนรู้สึกอึดอัดใจ พวกขุนนางประดับยศด้วยเพรชพลอยแสบตามองเขาด้วยสายตาคุกคามส่วนพวกนักบวชกลับหน้าซีดทำท่าเหมือนอยากจะลงกราบเขาแต่ก็ไม่กล้า บรรยากาศเย็นชาที่ปกคลุมห้องเล็กๆห้องนี้ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตนคงไม่ใช่เทพสำหรับคนในนี้แล้วกระมัง...


เขาเข้าไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ใกล้กับองค์ราห์โอพร้อมหมอหลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาที่กษัตริย์หนุ่มมองมาช่างดูทรมาณใจเหลือเกิน ทรงพิศมองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าชุดคลุมบางเบาตัวหลวมยาวถึงข้อเท้ายิ่งทำให้ดูตัวเล็กลงไปอีก ฟารันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยถาม


“ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่าท่านถูกพามาที่นี่เพราะอะไร” ผู้ถูกถามเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายพบเนตรเหยี่ยวคมกร้าวที่ทำให้รู้สึกสะท้านไปถึงขั้วหัวใจแม้นตัวเองจะเป็นเทพก็อดใจสั่นมิได้

“ทราบดี”

“เช่นนั้นข้าขอเริ่มที่คำถามง่ายๆ...ท่านเป็นใคร”

“ท่านทราบอยู่แล้ว”

“เรื่องนี้เลยจุดที่ข้าจะทำตามใจได้ไปเสียแล้ว มันไม่สำคัญว่าข้าจะคิดอย่างไรตอบคำถามมาเสียเถิด”

“เทพแห่งพืชพันธุ์นามว่าโรเรเนส”

                เสียงฮือฮาดังขึ้นภายในห้องจนองค์ราห์โอต้องสั่งปรามให้เงียบ

“ทุกคนได้ยินชัดแล้วนะว่าชายผู้นี้กล่าวว่าอะไรมีใครจะถามอะไรอีกไหม” ชายวัยกลางคนที่ไว้เคราคนหนึ่งในหมู่ขุนนางยกมือขึ้น

“ว่าอย่างไรท่านโยเฮน”

“ขอกระหม่อมซักถามเขาได้หรือไม่ฝ่าบาท”

“ตามใจ”  ขุนนางผู้นั้นโค้งให้กษัตริย์ตนก่อนจะเบนสายตามาที่เด็กหนุ่มหน้าห้อง

“ท่านลงมาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร”

“เทวรูปองค์ปฐมเปลี่ยนจากหินอ่อนมาเป็นกายเนื้อให้แก่ข้า”

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เทวรูปองค์ปฐมก็ไม่มีแล้ว แต่กลายเป็นท่านแทน”

“ใช่ ยามข้าตื่นมาพบตัวเองอยู่บนแท่นประดิษฐานที่ว่างเปล่าเทวรูปองค์นั้นได้กลายเป็นข้าไปแล้วในยามนี้”

                  พลันจู่ๆขุนนางผู้เอ่ยถามก็ยกยิ้มขึ้นมาเหมือนจะเย้ยหยันและเหล่านักบวชหน้าตาซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด โรเรเนสรู้สึกผิดสังเกตุกับสีหน้าของคนเหล่านี้

“แต่ว่าวันก่อนข้าได้ทูลฝ่าบาทให้ทรงลองไปตรวจดูในวิหารก็พบว่าเทวรูปขององค์โรเรเนสยังอยู่ดีเหมือนเดิม”

“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้”

“นั่นเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นพวกนักบวชก็อยู่กับข้า” เสียงทุ้มเย็นเยียบดังลงมาจากคนที่อยู่บนยกพื้น โรเรเนสหันไปก็พบแต่แววตาเย็นชา

“จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนข้าตื่นมาแท่นประดิษฐานยังว่างเปล่าอยู่เลย” เด็กหนุ่มตกใจและร้อนรน เขาไม่เข้าใจว่าเป็นด้วยเหตุใดกันแน่ โยเฮนขุนนางสูงวัยเห็นสีของจำเลยตนก็ได้ทีซักไซ้ต่อไปอีก

“ยามท่านตื่นงั้นรึ? มีใครเป็นพยานเห็นตอนท่านกลายร่างเป็นมนุษย์บ้างล่ะ หากไม่มีเช่นนี้ก็เชื่อถือไม่ได้หรอกนะเพราะเป็นคำพูดของท่านฝ่ายเดียว”

              ผู้ถูกถามเม้นปากแน่นสนิททั้งโกรธและอึดอัด นี่เป็นสิ่งเป็นไปไม่ได้เทวรูปนั้นไม่มีทางจะยังอยู่ตรงนั้นเช่นเดิมได้ เขาอดคิดได้ว่าต้องมีคนจงใจกลั่นแกล้งแต่ก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรและทำได้อย่างไร

“เช่นนี้ข้าขอถามหน่อยหากท่านเป็นองค์โรเรเนสจริง ท่านเสกให้ต้นไม้งอกได้ไหม”

“เมื่ออยู่ในร่างเทพทำได้ ยามนี้เป็นมนุษย์ทำไม่ได้”

“ท่านมีพลังเวทย์ใดใดไหม”

“ไม่มี กล่าวอีกครั้งข้าอยู่ในร่างมนุษย์ ร่างนี้ไม่สามารถรองรับอำนาจเช่นนั้นได้”

“เช่นนั้นท่านก็ต้องมีความรู้ที่เหนือไปจากมนุษย์จริงไหม ท่านทราบไหมว่าจักรวาลเกิดขึ้นอย่างไร”

“ไม่ทราบ”

“บนสวรรค์เป็นเช่นไร”

“ไม่ทราบ”

“แต่ท่านเป็นเทพท่านจะไม่รู้ได้อย่างไร”

“ข้ายังปรับตัวอยู่ ร่างนี้ใหม่และอ่อนแอมากมันยังไม่สามารถรองรับองค์ความรู้และความทรงจำของเทพได้ในคราวเดียวหากแต่ต้องใช้เวลา”

“เช่นนี้ท่านก็ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะให้เชื่อว่าเป็นเทพได้อย่างไร”

“เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์”

“ไร้สาระ!” สิ้นคำหมิ่นประมาทของโยเฮน หัวหน้านักบวชที่ทนต่อพฤติกรรมจาบจ้วงมานานก็ลุกขึ้นประท้วง

“บังอาจสิ้นดี!ท่านดูหมิ่นองค์เทพมากไปแล้ว”

“องค์เทพงั้นรึ? วันก่อนท่านกับฝ่าบาทก็ได้ไปดูที่วิหารแล้วนี้ว่าเทวรูปยังอยู่ปรกติดี เช่นนี้บุคคลผู้นี้ก็เป็นแค่คนหน้าเหมือนที่พวกนักบวชจ้างมาเพื่อตบตาฝ่าบาทเท่านั้นเอง เพื่อผลประโยชน์และความน่าเชื่อถือของฝ่ายตนพวกท่านย่อมทำได้อยู่แล้วนี่”

 “บ้าบอ!มันไม่มีทางที่มนุษย์จะมีหน้าพิมพ์เดียวกับเทพเช่นนี้หรอก ฝ่าบาทโปรดฟังความเห็นของฝ่ายข้าด้วย” ประโยคหลังนักบวชอวุโสหันไปพูดกับเหนือหัวด้วยท่าทางอ้อนวอน

“กระหม่อมเชื่อว่าเทวรูปที่อยู่ในตอนนี้เป็นของปลอมที่เจ้าพวกขุนนางชั่วมันทำเลียนเอาไว้แม้จะยังไม่มีหลักฐานและข้อพิสูจน์แต่เชื่อว่ากระหม่อมต้องพิสูจน์ได้ในวันหนึ่ง”

“อย่ามากล่าวหาข้าแบบนั้นนะ! พระราชฐานชั้นในข้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปอยู่แล้วเทวรูปองค์ปฐมเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นจะไปทำของปลอมมาได้อย่างไร”

“โยเฮนให้นักบวชพูดให้จบก่อน”

“และก็ถือว่าทำได้แนบเนียนมากเพราะแม้นกระหม่อมเองก็ยังดูไม่ออกว่าต่างจากของเดิมตรงไหน แต่ฝ่าบาทเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะตัดสินความในวันสองวันมิได้ โปรดให้เวลาองค์เทพได้พิสูจน์องค์เถิด ข้าเชื่อว่ายามนี้องค์เทพได้มาสถิตย์อยู่กับเราจะต้องมีปาฏิหารเกิดขึ้นให้เป็นที่ประจักษ์อย่างแน่นอน ตามวิสัยของผู้มีบุญญาธิการสวรรค์จะต้องเข้าข้างโปรดพระองค์ทรงรอดู อีกทั้งยังมีข้อคิดเห็นทางการแพทย์จากท่านหมอหลวงที่น่าเชื่อถืออีกเช่นนี้ก็รับรองได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นเทพตัวจริงแน่นอนฝ่าบาท”

“ฝ่าบาทหากเป็นองค์เทพจริงนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่ใช่ก็ถือว่าพระองค์ทรงตกอยู่ในอันตรายนะพะยะค่ะเพราะการที่ให้คนที่ถูกจ้างวานมาหลอกลวงพระองค์มาป้วนเปี้ยนอยู่ในพระราชฐานชั้นในเช่นนี้เราไว้ใจอะไรไม่ได้เลยว่าคนพวกนี้คิดชั่วอะไรอยู่ ตบตาคนในวังได้ขั้นหนึ่งแล้วขั้นต่อไปจะลอบปลงพระชนม์ก็ย่อมได้ โปรดรีบตัดสินความในคราวนี้เสียเถิดอย่าปล่อยให้เนินนานออกไปเลย” ขุนนางโยเฮนแย้งขึ้นอีก


ฟารันมองชายสูงวัยทั้งสองคนสลับไปมาก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ลำพังแค่เรื่องเทวรูปก็บอกได้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่เทพจริงๆ แต่เรื่องผลการตรวจร่างกายจากท่านหมอก็มาค้านความคิดนั้นไว้อีก เช่นนี้เขาก็มิอาจตัดสินได้เพราะไม่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของทั้งสองฝ่ายได้ แต่จะปล่อยทิ้งให้ค้างคาก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำ แล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรดี?

เขาเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มผมม่วงที่อยู่ใกล้ๆ เสื้อตัวหลวมเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนที่ยังมีรอยจ้ำแดงๆปรากฎอยู่ วงหน้างามหายใจช้าๆอย่างอึดอัดส่งให้พวงแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อน่าหมั่นเขี้ยว ริมฝีปากบางเม้มลงพร้อมสีหน้าวิตกกังวลทว่าเขากลับคิดว่ามันน่ามองเสียจริง

ฟารันหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดกับชายสูงวัยทั้งสองที่ยังยืนรอคำตอบอยู่

“ข้ารู้แล้ว่าจะพิสูจน์อย่างไร” ทุกสายตาหันมามองเขาเป็นตาเดียวและจดจ่อเฝ้ารอ

“พวกท่านเคยได้ยินเรื่องAngel syrupไหม”  ทุกคนออกอาการตกใจและเหมือนจะรู้ดีว่ามันคืออะไร เว้นแต่โรเรเนสเท่านั้นที่ไม่ทราบว่าคนอื่นแตกตื่นเรื่องอะไร คราวนี้ลากลอซคนสนิทของราห์โอผู้ยืนสงบนิ่งมานานก็เกิดอาการร้อนรน

“เอ่อ ฝ่าบาทอย่าเลยมัน....” ฟารันยกมือขึ้นห้ามสหายของตนไม่ให้พูดต่อก่อนจะยืนขึ้นแล้วก้าวช้าๆพร้อมพูดต่อไป

“angel syrup หรือน้ำเชื่อมเทวดาว่ากันตามความเชื่อเก่า แกนกายของบุรุษเทพเทวาจะขับน้ำวิสุทธิ์สีใสเมื่อยามถึงจุดสุขสมออกมา ต่างจากของมนุษย์ที่เป็นน้ำสีขาวขุ่น อีกทั้งยังหอมหวานจนถูกเรียกว่าเป็นน้ำเชื่อม” สองขาแกร่งก้าวลงไปใกล้เด็กหนุ่มผมยาวที่มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากคนอื่นรอบๆห้อง

“ผู้ที่จะมีangel syrupได้นั้นมีเพียงผู้ที่เป็นเทพหรือผู้ที่มีเชื้อเทพเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้และมีบันทึกเอาไว้ชัดเจน หลายคนในที่นี้ก็คงเคยได้ยินว่าแม่ทัพฝ่ายเหนือของเราก็เป็นมนุษย์ครึ่งเทพและก็คงเคยรับรู้มาว่าน้ำวิสุทธิ์ของเขาผู้นั้นก็เป็นสีใสซึ่งพิสูจน์สถานะกึ่งเทพของเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว”

กษัตริย์หนุ่มหยุดยืนเมื่อถึงระยะประชิดตัวกับผู้ที่อ้างตนเป็นเทพ อีกฝ่ายก้มหน้าหนีตาคมนั้นอย่างอึดอัดเขารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูกและหัวใจเริ่มเต้นระส่ำ ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชายคนนี้เขาต้องรู้สึกแปลกๆด้วย

“มองตาข้าสิ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาเหมือนอยากให้ได้ยินแค่สองคน  ตาเศร้าเชื่อมช้อนมองตอบตามคำขอริมฝีแดงเรื่อยังคงเม้มสนิท ชายหนุ่มพิศใบหน้างามนั้นก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่อ่อนโยน

“ยืนยันหรือไม่ว่าเจ้าเป็นเทพ”

“ข้าคือเทพ”

“เช่นนั้นข้าต้องขอพิสูจน์นะ”  เสียงพูดนั้นแผ่วเบาราวกระซิบแต่ก็แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าขี้แกล้งกว่าร่างเล็กจะไหวตัวทันก็สายไปเสียแล้ว

สองแขนแกร่งดึงคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนแล้วก้มลงกระกบริมฝีปากลงอย่างแนบแน่น ลิ้นสากสอดเข้าตักตวงความหวานจากอีกฝ่ายดั่งปรารถนาจะดูดดึงลมหายใจให้หมดสิ้น ส่งให้ความร้อนวูบวาบไหลแล่นลงไปจนถึงเบื้องล่าง

“อื้อออออ!” เสียงครางประท้วงพร้อมออกแรงดิ้นอยู่ในวงแขนแต่ก็ไม่ทำให้การกระทำดังกล่าวหยุดลงเลยมีแต่ทวีความหวานซ่านหนักหน่วงซ้ำไปมาให้เหนื่อยอ่อน  ลิ้นสากไล้เลียกระหวัดดึงอย่างเร่งร้อนพลางแขนแกร่งก็กอดกระชับผู้ประท้วงตนให้ร่างแนบชิดขึ้นไปอีก...แนบแน่นจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย

ผู้คนรอบข้างพากันแตกตื่นโวยวาย หลายฝ่ายพยายามห้ามการกระทำอันอุอาจของราห์โอหนุ่ม หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปขัดจังหวะตรงๆเพราะกลัวจะโดนโทษทัณฑ์

หัวใจเด็กหนุ่มระส่ำไม่เป็นจังหวะเรี่ยวแรงที่แทบไม่มีอยู่แล้วก็พลันหมดไปจนสิ้นฤทธิ์ขัดขืน  ลมหายใจของเขาถูกช่วงชิงไปหมดเมื่อจังหวะดูดดื่มเริ่มเนิบช้าลงจนอีกฝ่ายถอนปากออกหน้างามทำได้เพียงเผยอปากหอบน้อยๆอยู่ใต้วงแขนบุรุษตาคม แม้นแรงจะยืนก็แทบไม่มี ความร้อนซ่านแผ่ไปทั่วตัวทั้งใบหน้าแลแก่นกายเบื้องล่าง

หากแต่ที่ผ่านไปเป็นเพียงบทนำด้วยขณะที่ฟารันโอบอีกฝ่ายไว้ด้วยแขนข้างเดียวมืออีกข้างนั้นก็ถกเลิกผ้าเนื้อบางที่คลุมร่างกายเด็กหนุ่มไว้ก่อนจะล้วงเข้าคว้าส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน

 “อ๊ะ อ๊า อื้อ!ไม่นะ” ร่างบางสะดุ้งหนีมือสากหากแต่ก็แค่ทำให้ตัวเองจมลงสู่อ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีกเท่านั้น

“รู้สึกไวเหมือนกันนะ แต่จูบนิดเดียวก็เป็นเสียขนาดนี้แล้ว”

“อ๊ะ อ๊ะ ฟารัน อึก...ฮ้า”

“ก็บอกแล้วไงว่าต้องพิสูจน์ หากแก่นกายของเจ้าขับน้ำangel syrupออกมาได้จริงข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าเป็นเทพ”

ราห์โอหนุ่มคลึงเค้นท่อนเนื้อสีชมพูอย่างคล่องแคล่วก่อนจะรูดขึ้นลงเป็นจังหวะซ้ำ จุดนั้นแข็งร้อนดั่งไฟสุ่มพาลให้ใจคลั่ง ร่างบางบิดเร่าสองมือพยายามป่ายปัดมือหยาบนั้นออกจากช่วงล่างของตนแต่ก็ไร้ผล พวงแก้มแดงระเรื่อพร้อมกับปากที่เผยอหอบหายใจถี่ๆ เขาสะท้านน้อยๆแล้วซบหน้าหนีลงที่แผงอกอีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้

“อึก อ๊ะ ฟะ ฟารัน ยะ..อ้า”

 เขาไม่อาจต่อต้านได้และไม่อาจระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนได้อีกด้วยจึงได้แต่ครางกระเส่าอย่างน่าอายอยู่แบบนั้น
ถึงตอนนี้หมอหลวงและลากลอซก็ไม่อาจยืนเฉยอยู่ได้ทั้ งสองพุ่งเข้าไปห้ามนายตน  ลากลอซนั้นถึงกับสบถออกมาด้วยความโกรธในพฤติกรรมบ้าระห่ำเช่นนี้

“หยุดสิเว่ยฝ่าบาท! บ้าไปแล้วหรือไงฮะ”
เขาฉุดมือไร้มารยาทนั้นออกจากใต้ชุดเด็กหนุ่มที่ร้องเสียงกระเส่าอย่างอ่อนแรง ก่อนจะถูกมือข้างเดียวกันนั้นคว้าคอเสื้อตนเองไว้

“ไม่ต้องมายุ่ง!” ฟารันตะหวาดเกรี้ยวจนคนรอบข้างกลัวหัวหด เว้นแต่ลากลอซที่ยังสู้ตาคมนั้นอย่างไม่ไหวติง

แต่เพียงแค่อึดใจเท่านั้นสายตาของคนสนิทก็เลื่อนจากนายของตนไปมองเด็กหนุ่มอีกคนอย่างตกใจ เมื่อหันกลับไปดูร่างในอ้อมแขนก็พลันทรุดลงกับพื้นไปต่อหน้า เขาปล่อยมือจากคอเสื้อคนสนิทแล้วลงไปประคองร่างนั้นไว้

 “นี่เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ!โรเรเนส!” 

โรเรเนสหอบหายใจอย่างหนักสองมือสั่นเทากุมอกตัวเองไว้ ผิวหน้างามกลับซีดจนไร้เลือด หัวใจของเขาเต้นแรงจนรู้สึกทรมาณแทบขาดใจ...... เทพหนุ่มกำลังจะช๊อค

เมื่อเห็นเช่นนั้นหมอหลวงก็ลงมาสมทบพร้อมกลับตรวจดูอาการก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้แล้วพูดกับราห์โอด้วยความโกรธ

“ข้าบอกท่านแล้วว่าร่างกายนี้ยังใหม่นัก หัวใจของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้การทำให้หัวใจเขาเต้นเร็วเกินไปอาจฆ่าเขาได้นะฝ่าบาท” จบคำหมอก็คว้าตัวคนไข้ตนมาไว้เอง

“ทางที่ดีทรงอย่าเพิ่งเข้าใกล้เขาเลย หากพระองค์ต้องทำเรื่องบัดสีเช่นนี้กับเขาอีกก็โปรดรอให้หัวใจของเขาแข็งแรงกว่านี้เถิด”



องค์ราห์โอชะงักไปด้วยคำพูดของหมอหลวง

“.......” แล้วบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ.....



ฟารันนิ่งสงบมองดูร่างนั้นหอบหายใจอย่างอ่อนแรงอยู่ซักพัก ก่อนแววตาคมกร้าวจะปรากฎขึ้นอีก

“ได้!” เสียงกังวานดังขึ้นทำลายความเงียบ

“เช่นนี้ ข้าจะมอบบุรุษผู้นี้ให้อยู่ในความดูแลของท่านหมอหลวง” เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบห้อง เหล่าขุนนางและนักบวชก้มหน้างุด ไม่มีใครกล้าสบตากร้าวของกษัตริย์เลือดร้อนองค์นี้แม้แต่คนเดียว

“ยามนี้ข้าจะยังไม่ตัดสินว่าเขาเป็นเทพหรือเป็นผู้ร้าย ฉะนั้นจงปฏิบัติต่อเขาเช่นอาคันตุกะทั่วไปจนกว่าข้าจะพิสูจน์สถานะของเขาได้หลังจากนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาเป็นอันขาด”

 สิ้นคำตรัสองค์ราห์โอก็สาวเท้าก้าวออกจากห้องไปโดยไม่หันมามองอีกเป็นครั้งที่สอง


 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

มาเพิ่มอีกตอนแล้วค่าาาา ตอนนี้ก็รู้กันแล้วนะคะว่าความหมายที่แท้จริงของ Angel syrup นั้นคืออะไรรรร ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านนะคะ เป็นไปได้ก็อยากให้คอมเมนต์ด้วยฮะๆ
คราวหน้า จะเกิดอะไรขึ้นอีก ฟารันจะพิสูจน์ความเป็นเทพของโรเรเนสได้หรือไม่ โปรดติดตามนะคะ ขอบคุณค่าาา
:z2:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
อื้อหือ ต่อหน้าต่อตาธารกำนัล

ปล. อาจจะไม่ได้มาเม้นท์บ่อยๆ แต่ก็ติดตามอยู่นะครับ

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ขอบคุณมากๆคะ หะหะ

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พึ่งเข้ามาอ่าน ชอบแนวแฟนตาซีมากเลย
เป็นกำลัวใจให้อีกคนนะ  รีบๆมาอัพต่อนะอยากอ่านต่อไวไว   o13

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
นึกว่าฟารันจะได้ชิมแล้วสะอีกกก  :z1:
ปล. ลงวันที่ บ้างก็ดีน่ะ จะได้รู้ว่ามาต่อ บางทีก็ไม่ทันได้สังเกต  :hao4:

ออฟไลน์ Donna Nod

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
อ้อ ขอบคุณที่มาอ่านคะ เดี๋ยววันหลังจะลงวันที่ด้วยอิๆ

ป.ล.มีใครพอจะทราบบ้างว่าคำว่า new สีส้มๆที่กระพริบๆหลังกระทู้มันมายังไงเวลาอัพตอนใหม่อยากให้มีคำว่า new มากระพริบบ้าง 55555+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2014 12:48:42 โดย Donna Nod »

ออฟไลน์ saruttaya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 926
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-6
สงสารเรโรเนสนะเนี่ย   :katai1:

ออฟไลน์ Deery

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อยากอ่านต่อแล้ว  ลุ้นๆ :katai1:

ออฟไลน์ ceylon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ติดตามค่ะติดตามม  :katai2-1:
เนื้อเรื่องแปลกๆดี ปูมาเยอะมาก 555
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ minibusez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ฟารันนี่ใจร้อนจริง  :ruready
กำลังคิดว่าซาลาเปาน่าจะได้ลงมาด้วยเนอะ โรโรเนสจะได้ไม่เหงา

ป.ล.มีใครพอจะทราบบ้างว่าคำว่า new สีส้มๆที่กระพริบๆหลังกระทู้มันมายังไงเวลาอัพตอนใหม่อยากให้มีคำว่า new มากระพริบบ้าง 55555+
ตอบ new สีส้มๆ มันแสดงว่ากระทู้ที่ยังตัวเราเองยังไม่ได้อ่าน(ทั้งเจ้าของอัพตอนใหม่ และคนแสดงความคิดเห็น) พอเรากดเข้าไปอ่านแล้วกลับไปหน้าเดิม new มันจะหายไปค่ะ (ไม่รู้ว่าเข้าใจไหม แฮะๆ หรือเราเข้าใจผิดไม่รู้)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2014 16:36:04 โดย minibusez »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด