ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ก รุ ง เ ท พ...ค ว า ม ท ร ง จ ำ ใ น ฤ ดู ร้ อ น : ตอนจบ (Jul 12, 2014)  (อ่าน 62860 ครั้ง)

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 :katai2-1: มีความรักหลากหลายแนวจริงๆ
แต่ที่แน่ๆฮาตรีค่ะ อะไรมันจะรั่วขนาดนั้น

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อ้าว ระรินมาเห็น แล้วไง???
แค่ใกล้กันเอง ไม่ได้จูบ ใช่มั้ย?
ยังสงสารหนึ่งอยู่ดี มันหน่วงนะ  :hao5:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
รหัสลับนั่นน่าปวดกะโหลกจริงๆ
เริ่มเห็นชัดแล้วว่านัทชอบตรี แต่ตรีล่ะ ยังไม่มีทีท่าจะชอบ(รึเปล่าหว่า)
แต่เด็ก ๆ นี่ดีเนอะ คิดยังไงก็แสดงออกอย่างนั้น
ปกป้องพี่ให้ได้ล่ะธีม เจ๊จะรอดูวววววววววววววววววววววววว

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
 :katai1: :katai1: คู่อาร์มหนึ่ง อีรุงตุงนัง
กว่าจะสมหวังในรักแลดู จะบอบช้ำกันทุกคนเลย สงสารอ่าาา
แต่คู่ตรีนี่มันช่าง น่าโมโหจริงๆ เกรียนได้อีกกก
คู่นภ เบาๆกำลังน่ารัก รึเปล่าฮ่าๆๆๆ อย่ามีดราม่ากับนภอีกเลย
คู่ชาฮิดกับธีมนี่ช่างน่ารักมุ้งมิ้ง จริงๆกร๊ากกกก><
อัพต่อน่ะค่ะ จะรอจ้า^^

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
คู่ปืน นภ น่ารักมากๆ ชอบ มันอบลุ่นละมุนละไม กรี๊ดดดด> <~

คู่ชาฮิด-ภีม เห้ย!!  เวลาเด็กๆผู้ชายมามุ้งมิ้งกันมันน่ารักอ่ะ ฟินเว่อร์555 :hao6:

คู่ดนัย ตรี. ดนัยชักจะยังไงๆนะ อย่าเผลอจับตรีมาตีก้นล่ะ555

คู่อาร์ม-หนึ่ง งานเข้าล่ะสิ หวังว่าระรินจะใจดีนะ ถ้ามาโหดๆเรื่องนี้เข้าโหมดดราม่าเต็มเหนี่ยวแหงๆ :ling3:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

boombei

  • บุคคลทั่วไป
ชอบมากกครับบบ
แล้วคำว่า หน้าร้อนที่ร้อนที่สุด อ่านแล้วเหมือนมีพลังขลังๆยังไงก็ไม่รุ้  :z3: :z3:
ชอบบมาก  o13 ทุกอย่างมันลงตัวดีครับ

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ ตอนที่ 9 มาแล้ว ตั้งใจจะอัพตอนค่ำ ๆ แต่นั่งดูทีวีเพลินจนลืมอัพ !
ผิดไปแล้ว คราวหน้าจะไม่เปิดคอมพร้อมกับเปิดทีวีอีกแล้ว น่ากลัวมาก
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกัน จะพยายามคลอดตอนใหม่ ๆ มาให้ไวครับ
เลยครึ่งเรื่องมาแล้ว เหลืออีกไม่เยอะเท่าไหร่แล้วมั้ง ฝากติดตามต่อจนจบด้วยนะครับ





ตอนที่ ๙




ถึงจะเป็นเวลาเย็นแล้วแต่แสงแดดก็ยังร้อนจนแสบตา นภเร่งฝีเท้าตามคนข้างหน้าไปใต้กำบังร่มไม้ที่แผ่กิ่งก้านไปทั่วทางเดิน พระอาทิตย์ดูจะไม่เหน็ดเหนื่อยในการเปล่งแสงสีแสดไปทั่วท้องฟ้า ย้อมกรุงเทพทั้งเมืองเป็นสีส้มจัด เนรมิตเมืองที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนให้กลายเป็นเตาอบขนาดใหญ่ ต่อให้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่แสงไม่สาดเข้ามาโดยตรง แต่ความระอุร้อนก็หลอมทุกอย่างในเมืองหลวงแห่งนี้จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน

"เบื่อไหมที่ชวนมาที่แบบนี้" นภถามขึ้นขณะที่ค่อย ๆ ก้าวผ่านโค้งหลังคาสีเขียวที่ไหวตามแรงลม ทุกอย่างดูช้า เงียบสงัด นิ่ง และเนิ่นนานกว่าที่ควรจะเป็น ละม้ายว่าความร้อนของแดดจะทำให้โลกทั้งใบอ่อนล้าจนคร้านจะขยับไหวตัว

"ไม่หรอก" ปืนตอบ ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรงเหมือนเส้นขอบฟ้า และยังคงสงบนิ่งดั่งภาพที่คุ้นตา บุหรี่ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟสีส้มสว่างวาบเหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยที่ลอยอยู่เบื้องหลังไหล่กว้างที่ตัดกับโทนสีร้อนแรงเบื้องบน

นภยิ้มให้กับกลิ่นของวันวานที่อบอวลอยู่ทั่วทุกแห่ง มหาวิทยาลัยคือจุดเริ่มของความทรงจำทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับปืน ปลายฤดูร้อนปีนั้นที่นภเป็นเพียงแค่เด็กมัธยมปลาย เห่อกับเนคไท เชิ้ตสีขาว และกางเกงขายาวของชุดนักศึกษา วัน ๆ คิดแต่จะวางแผนแต่งเครื่องแบบเต็มยศกลับไปโรงแรียนเก่าแล้วยืดให้เต็มที่กับรุ่นน้อง นภในวัย 17 ปีคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว โตพอที่จะไล่ตามความฝันที่ลอยอยู่ทั่วฟ้า แต่มันก็แค่ความคิดของเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่งี่เง่าสิ้นดี

คนที่บอกเรื่องนี้กับนภก็คือปืน ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน ชื่อแปลก ใบหน้าคมคายสะดุดตาและมีผิวสีแทนที่นภคิดว่ามันเป็นสีของแสงแดด ปืนถือโทรโข่ง ร้องเพลงรับน้อง เต้นระบำท่าแปลก ๆ ตามรุ่นพี่ ร่าเริง สดใส สว่าง เต็มไปด้วยสีสันเจิดจ้าจนต้องหยุดมอง

หากฤดูร้อนที่สนุกสนานในปีนั้นเปรียบเป็นใครสักคนบนโลกนี้ คนเดียวที่อยู่ในความคิดของนภคือปืน มีเรื่องสนุกที่พูดคุยกันได้ไม่ซ้ำ หัดสูบบุหรี่ ลอกข้อสอบ โดดเรียน นั่งดูบอลด้วยกันจนถึงเช้า จนถึงขั้นสอบตกแล้วต้องมาลงเรียนซัมเมอร์ มีวีรกรรมมากมาย ความทรงจำนับพัน ๆ อย่าง กระทั่งจู่ ๆ ปืนก็กลายเป็นพ่อคน

เด็กวัยรุ่นที่อายุยังไม่ถึง 20 ดีจะรับกับแรงกดดันได้มากแค่ไหนกันนะ ความคาดหวัง ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ต่อตัวตนของเราเอง และอะไรอีกมากมาย นภยังจำภาพนั้นได้ติดตา วันที่ปืนนั่งอยู่ใต้ต้นหูกวาง "ขอโทษนะที่ไม่เคยบอก กูเป็นพ่อคนแล้ว มึงเป็นเพื่อนที่กูสนิทที่สุด ดีใจกับกูหน่อยได้ไหมวะ อย่างน้อยก็แค่มึง กู...เป็นพ่อคนแล้ว"

ไม่นานนัก ปืนก็แต่งงานกับลูกน้ำ เป็นพิธีเล็ก ๆ ที่มีแต่คนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายและการจดทะเบียนตามกฎหมาย จากนั้นลูกน้ำก็ลาออก และนภก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของปืนอีกเลย ฤดูกาลค่อย ๆ เปลี่ยน จากฤดูร้อน กลายไปเป็นฤดูฝน จนสุดท้ายก็เข้าสู่ฤดูหนาว ชีวิตเองก็เปลี่ยนตามวงโคจรของมัน ปืนเคยฝันว่าจะเปิดเพ็ตช็อปเล็ก ๆ อาบน้ำสุนัข แต่งขนแมวตัวน้อยแบบที่ชอบแต่วันนี้กลับกลายเป็นโปรแกรมเมอร์ แม้แต่ตัวนภเองที่เคยคิดมาตลอดว่าอยากจะเป็นนักโฆษณา สุดท้ายก็มาลงเอยกับการเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ในต่างประเทศ พอโตขึ้นความฝันที่สวยงามในวัยเด็กก็ค่อย ๆ บิดเบี้ยว ผุกร่อน พังทลายลง ท้ายที่สุดความฝันก็กลายเป็นเถ้าชิ้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครสนใจ

"เมื่อก่อนยังไม่โตขนาดนี้เลยนะ พอได้มาเห็นอีกทีเกือบจำไม่ได้" นภพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อนั่งลงที่ม้านั่งเก่า ๆ ใต้ต้นหูกวาง หยิบใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นหญ้าขึ้นมาหมุนเล่นแบบวันเก่า ๆ "ใครนะที่บอกว่าใบต้นหูกวางเอามาพัดแล้วเย็น หลอกกันชัด ๆ"

"ก็เห็นมีอยู่คนเดียวที่เชื่อ" ปืนยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงนึกสนุกนั้นดูจะเจือด้วยความอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น

"จะไม่ขอโทษสักหน่อยเหรอ แก้ตัวก็ยังดี"

ร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ กรอกตาไปมาเหมือนใช้ความคิดก่อนที่รอยยิ้มเล็ก ๆ จะขยายพื้นที่กว้างขึ้น "ไม่ดีกว่า"

เสียงหัวเราะเคล้ากลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ที่ลอยล่องอยู่ในสายลมแล้วจางหายไปในอากาศ

"ตลกดี พอได้มาเห็นถึงเพิ่งรู้ว่าคิดถึงมันมาก ๆ" นภมองขึ้นท้องฟ้า ปล่อยให้ถ้อยคำมากมายที่อยู่ในใจไหลออกมาจากความทรงจำ

สายลมพริ้วไหวพัดหยอกล้อกิ่งไม้จนไหวเอน เมื่อพัดผ่านจนสงบ ทุกอย่างก็ดูจะคืนสู่ความนิ่งสงัด ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ไม่มีกระทั่งคำพูดแบบที่ผ่านมา ความเงียบกำลังสื่อสารบางอย่าง นภจุดบุหรี่ ปล่อยตัวเองให้ดำดิ่งลงสู่ความทรงจำในหมอกควัน

หลายนาทีต่อมา แผ่นหลังที่กว้างเหมือนกำแพงใหญ่ก็ขยับตัวอีกครั้ง ดวงตาสีดำขลับคล้ายจะกลืนแสงรอบตัวจนทุกอย่างถูกกลืนสู่ความมืดช้า ๆ "อย่าไปพูดถึงเรื่องเก่า ๆ เลย พอโตขึ้น อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนไป ต่างคนก็ต่างมีชีวิตของตัวเอง หลายวันนี้ฉันสนุกมาก ได้เจอกับเพื่อนเก่า พูดคุย ทำอะไรแบบที่เคยทำ"

ใต้เงาต้นหูกวาง ปืนจ้องมองสนามหญ้าที่เคยวิ่งเล่นเตะบอลอยู่เกือบทุกวัน "แต่มันไม่ใช่แบบเมื่อก่อนแล้วละนภ เราในวันนี้เป็นแค่คนรู้จัก ไม่ใช่เพื่อนสนิทกันอีกแล้ว"

นภนิ่งเงียบ เป็นการนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมา เสียงนั้นแหบแห้งแต่ก็มั่นคงนัก

"สำหรับเรา นายก็ยังเป็นนายนะปืน"

ความทรงจำครั้งเก่าโรยตัวลงช้า ๆ คล้ายกับเถ้าบุหรี่ กลืนหายไปกับสายลมฤดูร้อน หายไปในผงฝุ่นเล็ก ๆ บนพื้นดิน ปืนเหยียดตัวขึ้นเต็มความสูง แววตาไม่แสดงความรู้สึกใด

"กลับกันเถอะ"

นภนั่งอยู่อีกสักพัก ผ่อนลมหายใจที่บางเบาจนแทบจับไม่ได้ ความรู้สึกแปลบซ้ำซากที่บนหน้าอกฉุดให้ลุกขึ้นเดินตามคนข้างหน้า...กลับไปยังที่ที่จากมา

"กรุงเทพมีคนอยู่ประมาณหกล้านคน รวมชาวต่างชาติที่มาทำงานที่นี่ รวมนักท่องเที่ยวด้วย นายเป็นคนเดียวที่ฉันไม่อยากอีกเลย" ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสีเขียวคล้ายกับอ้อมกอดที่พยุงความรู้สึกบอบช้ำของคนต่างถิ่นซึ่งกลับมาเยือนสถานที่แห่งความทรงจำ ปลายเท้าของปืนขยับไปข้างหน้าด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ ขณะที่อีกคนกลับก้าวขาไม่ออก

"ทั้งที่มีคนมากมายขนาดนั้น ทำไมถึงต้องมาเจอกันอีกครั้งด้วยนะ"

จากสายตาของนภ ระยะห่างของปืนค่อย ๆ ไกลออกไป กระทั่งมหาวิทยาลัยกลายเป็นภาพเลือนรางที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง









ตรีรู้สึกอารมณ์เสียอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเพราะวันที่ร้อนที่สุดในรอบ 60 ปีใกล้เข้ามาทุกที หรือเพราะคนที่นั่งลอยหน้าอยู่ข้างตนเองในขณะนี้กันแน่  ไปไหนก็ไม่ไป เอาแต่นั่งจ้องไม่หยุดตลอดทั้งบ่าย พูด...พูด...แล้วก็พูดเรื่องน้ำอัดลมอะไรนั่นไม่หยุด มันก็ใช่ที่ตรีจงใจสร้างบรรยากาศชวนจิ้นคู่กับหมอภัทร สมัยนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก การตลาดก็คือกระแส มันก็แน่อยู่แล้วที่ใครรุกใครรับน่าสนใจกว่ากระป๋องน้ำอัดลมที่แสนธรรมดาแบบนั้น

บอกตามตรงว่าแผนการโปรโมตของดนัยค่อนข้างจะน่าเบื่อ แทรก VTR กิจกรรมเอกซ์ตรีม ข้่อมูลสินค้าว่าน้ำตาลน้อยและปราศจากคาเฟอีน แล้วพูดถึงความสนุกสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงแดดฤดูร้อน อะไรแบบนั้นไม่ใช่นิยามคำว่าใหม่สำหรับพจนานุกรมของตรี พงษ์พิพัฒน์ ซึ่งโดยปกติแล้วเขาคงจะทำให้มันจบ ๆ ไป แต่ไม่ใช่ในระยะเวลาที่ชี้เป็นชี้ตายอนาคตบนเส้นทางพิธีกรของตรีแบบนี้

ดังนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น

"ไม่อ่านสคริปต์สักหน่อยเหรอ" เสียงของดนัยถามขึ้น

ตรีส่ายหน้า ตอบสั้น ๆ "ไม่จำเป็น"

"จะบอกว่าเพราะเก่งมาก มืออาชีพมาก อ่านพวกนี้มาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้วสินะ" เสียงของดนัยค่อนข้างแข็ง

พิธีกรรูปหล่อส่ายหน้าช้า ๆ แล้วยกข้อมือดูนาฬิกา "ได้เวลาแล้วสินะ"

สิ้นคำ สารพัดอุปกรณ์เครื่องครัวก็ถูกลำเลียงเข้ามาจากทางเข้าด้านข้างของสตูดิโอ ทีมงานมองซ้ายมองขวากันอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนที่ดาน่าจะเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นความหายนะที่แวะมาเคาะประตูทักทาย

"ไม่นะ...ไม่" ดาน่าครางเสียงสั่นขณะที่หันไปมองรอยยิ้มไร้เดียงสาของตรี พงษ์พิพัฒน์ และในตอนนั้นเองที่จุดรวมของทุกสายตาในที่นั้นลุกขึ้นยืน

"ผมมีความยินดีที่จะบอกกับทีมงานทุกคนว่าเราจะมีการเปลี่ยนแผนการถ่ายทำนิดหน่อย จะไม่มีการแทรกคลิปกิจกรรมอะไรแบบนั้น แต่เราทุกคนจะร่วมกันสร้างปรากฎการณ์ใหม่ของไจแอนท์โคลาและรายการเช้านี้ที่ประเทศไทยด้วยกัน"

"อะไรนะ" ดนัยทำเหมือนได้ยินไม่ถนัด

"เราจะทำขนมสูตรพิเศษที่มีชื่อว่าไจแอนท์โคลาบราวนี่"

"ว่าอะไรนะ !" คราวนี้เขาร้องอย่างไม่เชื่อหู

"และคุณ..." ตรีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่เบิกตาค้าง "คุณจะต้องเป็นคนลงมือทำขนม"

"ไม่ !" โดยไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีในการคิด "เราจะใช้แผนเดิมที่คุยกัน"

"งั้นเลิกกอง เพราะผมโทรไปยกเลิกกับคนตัดต่อวิดีโอไปแล้ว"

"คุณ..." ดนัยยืนอึ้ง พูดต่อไม่ออก สังหรณ์ไว้แล้วถึงได้เสียเวลาทั้งบ่ายนั่งเฝ้าแต่ไม่คิดว่าตรี พงษ์พิพัฒน์จะก้าวไกลไปถึงเพียงนี้

"ตกลงหรือไม่ตกลง"

ทีมงานทุกคนมองเหมือนลุ้น นึกอยากจะให้ดนัยซัดหน้าตัวปัญหาสักป๊าบ แต่ผิดคาด ชายหนุ่มไม่ได้ทำแบบนั้น "ผมต้องการเหตุผล"

"เรากำลังมองหาความแปลกใหม่อยู่ไม่ใช่เหรอ เทียบกับสูตรธรรมดา ไจแอนท์โคลาเป็นน้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่ายี่ห้ออื่น ๆ ในท้องตลาดและไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อังนั้นจึงเป็นยี่ห้อเดียวที่เหมาะกับเอามาดัดแปลงทำอาหารหรือแม้แต่ขนม ขณะที่ยี่ห้ออื่นจะให้รสที่หวานแหลมเกินไป"

ดนัยมองคนตรงหน้าอย่างใช้ความคิด นี่เป็นไอเดียที่ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กำลังทดลองดัดแปลงอยู่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วแต่ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนปฏิบัติการ น่าสนใจมากที่ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับเข้าใจในสิ่งที่ไจแอนท์โคลาต้องการมากกว่าทีมงานทั้งกอง

"ผมทำขนมไม่เป็น" เสียงของดนัยอ่อนลง แต่แววตาคู่นั้นยังกระด้างเช่นเดิม

อย่าไรก็ดี มันไม่มีผลกับเจ้าของความคิดนี้สักนิด ตรี พงษ์พิพัฒน์กอดอกแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิ "ขนมที่จะทำในรายการต้องเป็นของที่ทำได้ง่าย ๆ แม้แต่คนที่ไม่เคยทำขนมมาก่อนก็สามารถทำได้ อีกอย่าง คุณก็เป็นคนที่รู้จักโคลานั่นดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ"

ฟังแล้วออกจะทึ่งอยู่ไม่น้อย อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด ถึงแม้ตรีคนนี้จะดูขาด ๆ เกิน ๆ จนถึงขั้นล้นแต่ถ้าเอาจริงก็เป็นคนที่หลักแหลมเฉียบคมสมกับที่ได้ร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับระดับนั้น สติปัญญาถือว่าเป็นของจริงที่จะมองข้ามไม่ได้เลย

"ตกลง เราจะทำขนมกัน แต่ยังมีอะไรที่ผมควรจะต้องรู้อีกไหม"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ดีดนิ้วอย่างชื่นชม คนคนนี้เป็นคนรอบคอบไม่ธรรมดา

"บอกมา" ดนัยพูดเสียงขรึม

"นี่เป็นเรื่องใหญ่ ซีเรียสมาก นอกจากน้ำอัดลมนั่นแล้ว" ใบหน้าของตรีจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ฟังนะ ส่วนผสมทั้งหมดล้วนนำเข้ามาจากต่างประเทศ แม้แต่อุปกรณ์ในการทำขนม ผ้ากันเปื้อน ผ้าเช็ดมือ ทุก ๆ อย่างจะไม่สามารถหาได้ในไทย จะไม่มีแม้ในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ บางอันมีเพียงไม่กี่ชิ้นในโลก" จู่ ๆ คนพูดก็ทำหน้ากลัดกลุ้ม ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แล้วยังไง"

สีหน้าของตรีดูไม่ดีนักตอนที่ขยับเข้ามาแล้วกระซิบข้างหูเขา ท่าทางละม้ายจะกระดากเสียเต็มที่ "ใช้ของถูก บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจ"

ดนัยหลับตาแล้วผ่อนลมหายใจ จะว่าปลงก็ไม่ใช่ เหมือนจะเริ่มชินกับตัวตนคนตรงหน้าเสียมากกว่า "ที่ประโคมเข้ามานี่ยังไม่ทำให้คุณมั่นใจหรือไง คนอย่างคุณมีช่วงเวลาที่หมดความมั่นใจด้วยหรือ ทุกทีเห็นแต่ล้นทะลักจนเผื่อแผ่คนได้ทั้งกรุงเทพ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์เขม่นจนกระตุกทั้งหน้า

"ผมต้องไปเตรียมตัวแล้ว จัดแจงธุระของคุณให้เรียบร้อยเถอะ"

การเตรียมตัวกินเวลาไม่นานนัก หลังจากแต่งหน้าทำผมเสร็จ ดนัยก็พร้อมเข้าฉากในฐานะแขกรับเชิญจำเป็น และพิธีกรผู้เป็นเจ้าบ้านก็ทำหน้าเป็นจวักเตรียมพร้อมให้เหมาะกับช่วงพิเศษที่จะมีการทำอาหารอยู่แล้ว ทันทีที่ผู้กำกับส่งสัญญาณ ตรี พงษ์พิพัฒน์ก็ปั้นยิ้มราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้วกล่าวแนะนำชายหนุ่มหน้าเคร่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ราวกับมิตรสหายอันคุ้นเคยกันมาแสนนาน ตรีโผเข้าสวมกอดแนบแน่นจนอีกฝ่ายยืนงง พอผละจาก ดวงตาใสบริสุทธิ์ก็หลุบไล่จากใบหน้าลงจนถึงปลายเท้า ประเมินคนที่ยืนทื่อเป็นเสาไฟฟ้าในเสี้ยววินาที Not Bad ดีที่ตัวสูงสง่า คนตัวสูงแต่งอะไรก็ดูเด่น รูปร่างก็ผึ่งผาย ดูน่ามอง รวม ๆ แล้วก็ไม่แย่กับรายการนัก ตรีพูดแบบนั้นกับตัวเองก่อนจะหันมาจับดนัยสวมผ้ากันเปื้อนลายหวานแหวว

"ยิ้มน่ะเป็นไหม" ตรีเบี่ยงตัวบังแล้วกระซิบถาม

"ยิ้่มอยู่นี่ไง" คนถามเงยหน้าขึ้นมอง นอกจากจะไม่ยิ้มแล้วดนัยยังจ้องเขม็งแบบเอาเรื่อง "แล้วทำไมผมต้องใส่เจ้านี่"

คิ้วของตรีกระตุกทันที ก็ไหนว่าตกลงกันว่าจะทำทุกอย่าง นี่แค่เพิ่งเริ่มก็มาตีรวนกันแล้วเรอะ เห็นอีกฝ่ายตั้งท่ายืนกรานแบบนั้น ตรีก็รีบจับคนตัวยักษ์หมุนกลับแล้วผูกปมผ้ากันเปื้อนอย่างว่องไว เป็นอันถือว่าจบไปอีกเรื่อง ไม่สนใจใบหน้าที่ดูเหมือนจะกินคนได้ของคนข้างตัวแม้แต่น้อย

"เปิดเตาแล้วผสมส่วนประกอบสิครับคุณนัท" ยืนบื้อแบบนี้มันคงจะเสร็จเองหรอกนะ พิธีกรหนุ่มกรอกตาขึ้นมองเพดาน ดนัยคนนี้ช่างท่าดีทีเหลวเสียจริง

อีกฝ่ายขบกรามแน่น จ้องหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแต่สุดท้ายก็ยอมก้มหน้าลงมือทำแต่โดยดี โดยดีที่ว่า...ตรีก็ไม่รู้ว่ามันจะดีจริงอย่างที่คิดไหม เมื่อดนัยหยิบจับอะไรเหมือนจะทำลายข้าวของไปหมด

"อุ่นน้ำผึ้ง น้ำตาล เนยให้ร้อน คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็เติมไจแอนท์โคลาลงไปแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น" พิธีกรหนุ่มเมินใส่ แล้วหันไปยิ้มกับกล้องแบบมืออาชีพ เหมือนไอพยาบาทที่แจ่มชัดนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน เสียงคนส่วนผสมดังสนั่นเหมือนมีช่างไม้มายืนตอกตะปูอยู่ในสตูดิโอ สักพัก ดนัยก็ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง

"ดำเชียว"

"ดำ" คำนั้นช่างแสลงหูของตรีนัก จะตัวดำ ใต้ตาดำ หรือจะอะไรดำก็แล้วแต่ ขึ้นชื่อว่าคนที่ยืนอยู่หน้ากล้องไม่มีใครอยากได้ยินคำพวกนี้นักหรอก ประเภทว่าดำ อ้วน โทรม แก่ หง่อม อะไรทำนองนี้ ในวงการเขาจะใช้คำว่า...

"ไม่ขึ้นกล้อง"

"อะไร ?" ดนัยหันมาถาม

"ก็ที่คุณคนอยู่ไง เขาเรียกว่าไม่ขึ้นกล้อง"

"ประสาท" พอได้ยินชัด ๆ กับหู ริมฝีปากของดนัยก็ขยับเป็นคำพูดแบบนั้นโดยอัตโนมัติ ไม่มีเสียง ไม่ต้องพึ่งกองเซนเซอร์ทำงานให้วุ่นวาย แต่ก็ชัดเจนชนิดที่เรียกว่าเต็มตาของตรี พงษ์พิพัฒน์ในระดับ HD

"ผสมสิครับ" ตรีถมึงตาใส่คนข้างตัวกลับก่อนจะสะบัดหน้าไปกะพริบตาให้กล้อง "ระหว่างที่รอให้ทุกอย่างเย็นลง เราจะผสมแป้ง ผงโกโก้ ผงฟู และจิงเจอร์เบรดสไปซ์ ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะครับคุณนัท"

"ผมจะไปรู้ได้ยังไง"

ริมฝีปากของตรีกระตุกขึ้นทันทีสิบสององศา สักพักริมฝีปากที่ยกขึ้นก็ตวัดวาดออกเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "นั่นสิครับ คุณนัทไม่รู้ว่าจิงเจอร์เบรดสไปซ์คืออะไร คุณผู้ชมรายการครับ คุณผู้ชมสามารถส่ง SMS มาบอกคุณดนัยได้ที่หมายเลขที่ขึ้นที่ด้านล่างจอนี้ ผู้โชคดีจะได้รับของขวัญพิเศษจากไจแอนท์โคลากลับไปเป็นจำนวนทั้งหมดสิบท่านครับ"

"เห้ย !" ดนัยร้อง เคราะดีที่ไม่เติมสระอีเข้าไปในคำอุทานด้วย

"เสร็จแล้วก็เอาไปเข้าเตาสิครับคุณ" ตรีจงใจทำเป็นไม่ได้ยิน นี่เป็นการนอกบท แต่แล้วจะทำไม ในเมื่อสินค้าก็ได้โปรโมตอยู่ดี ชายหนุ่มหันไปยิ้มแป้นแล้นให้กับคนที่กำลังทำหน้าหงุดหงิด แถมพยักเพยิดให้คนยกถาดขนมใส่เตาอีกหนึ่งครั้ง "อบด้วยอุณหภูมิ 180 องศา นาน 25-30 นาที แล้วทิ้งไว้ให้เย็นครับ เรียบร้อยแล้วก็ตัดแบ่งรับประทานได้เลย"

เสียงคัตดังขึ้น ตรีเดินนวยนาดออกไปนั่งพักที่เก้าอี้ด้านข้าง รอจนกว่าจะอบขนมเสร็จ ชายหนุ่มจิบน้ำเย็น ๆ อย่างไว้มาดแล้วยื่นใบหน้าขาวชวนมองให้ช่างแต่งหน้าเติมแป้งซับมันไปตามหน้าที่ ดนัยสาวเท้าตามมายืนกอดอก หน้ายุ่ง "เราไม่ได้ตกลงกันเรื่องแจกของไม่ใช่เหรอ"

ตรีโบกมือด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย "รายการไม่คิดเงินค่าโฆษณาเพิ่มหรอกน่า"

"มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องที่คุณพูดเอาเองโดยไม่แจ้งผมก่อน เรื่องยกเลิกแผนของผมก็แล้ว เรื่องให้ผมมาทำอะไรแบบนี้อีก แล้วก็เรื่องแจกของรางวัลนั่น ยังมีอะไรอีกไหมที่ผมควรจะรู้ก่อนอีกไหม"

ดนัยพูดจบแล้วมองคนที่นั่งนิ่งอยู่ จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรซ้ำยังทำหน้าบึ้งใส่อีก

ตรีจ้องเขม็ง หน้าตาไม่ใช่เล่น ๆ "ผงโกโก้นั่นถือว่าแรร์มาก...มาจากกาน่าเลยนะ"

เห็นแบบนั้นดนัยลากลมหายใจยาวอย่างคนปลงตก ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว เดินไปนั่งที่เก่าอี้อีกตัวซึ่งไม่ไกลออกไปนัก คร้านจะสนใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจตีรวน แต่หน่ายจะต่อล้อต่อเถียงด้วยให้ปวดหัวเสียมากกว่า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา การถ่ายทำก็ดำเนินต่ออีกครั้ง เริ่มเดินกล้อง ตรีก็สวมถุงมือแล้วหันไปเปิดเตาอบ ดึงถาดขนมร้อน ๆ ออกมา ไอกรุ่นและกลิ่นหอมของขนมที่อบเสร็จใหม่ ๆ อวลไปทั่วทั้งห้องส่งจนหลายคนถึงกับกลืนน้ำลาย

"กลับมาที่ไจแอนท์โคลาบราวนี่ของเรากันต่อครับ พอส่วนผสมเย็นแล้วก็นำทั้งหมดมาผสมกันได้เลย รองกระดาษลงบนถาดอบ โรยผงโกโก้ให้เป็นละออง...ใช้อุปกรณ์สิครับ ! อย่าใช้มือ !"

ดนัยหันมามองตาขวาง ไม่บอกแล้วเขาจะรู้ไหม ?

"นั่นมั่นเอาไว้ร้อนแป้ง อันข้าง ๆ ที่เล็กกว่านั่นน่ะ ไม่รู้จักหรือไง" ดนัยหันมาแยกเขี้ยว แต่ตรีไม่สน "โรยสิ...โรยสิครับ โอ๊ย...เบา ๆ สิคุณ" ตรีโวยลั่น ยกมือขึ้นโบกละอองสีน้ำตาลที่ฟุ้งไปทั่ว

"ก็ทำอยู่นี่ไง" ดนัยเขย่าแป้งอย่างแข็งขัน แต่ยิ่งทำก็ยิ่งอาการหนัก

ตรีถอดกรูดออกไปจนเกือบจะพ้นฉากแล้วกรอกตามองต้นเหตุของผงสีน้ำตาลที่ลอยฟุ้งอย่างรังเกียจ พิธีกรหนุ่มยกมือปิดปาก สถานการณ์เลวร้ายเหมือนกำลังผจญเพลิงอยู่ท่ามกลางหมอกควันไม่มีผิด ! "คุณผู้ชมครับ ที่คุณนัททำให้ดูนั้นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี อย่า-เอา-เป็น-ตัว-อย่าง-นะ-ครับ"




(ยังมีต่อนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)





ก่อนที่รายการจะได้พังจริง ๆ ตรีก็ฝ่าหมอกสีน้ำตาลเข้ามาทีละนิดอย่างเสียไม่ได้ นิ้วมือสะกิดสิ่งอัปมงคลที่อยู่กลางฉากแล้วขมุบขมิบปาก "เบา ๆ น่ะรู้จักไหม"

"รู้จัก !" ดนัยตอบอย่างหงุดหงิด เขย่าผงสีน้ำตาลลงหน้าขนมต่ออย่างตั้งใจ

ยิ่งเขย่าก็ยิ่งแรง ฝุ่นโกโก้ขะโหมงไปทั่วทั้งฉาก ตรีอ้าปากค้าง เผลอหายใจสูดเอาผงโกโก้เข้าไปทั้งจมูก จนออกมาดังลั่น ดนัยที่เห็นตั้งใจจะเข้ามาช่วย ความที่ไม่เคยเข้าครัวมาก่อน ความเก้กังทำให้กะน้ำหนักที่ร่อนมือผิด ผงโกโก้กระเด็นไปพอกหน้าของคนที่กำลังจามไม่หยุด จากนั้นโลกก็เข้าสู่กลียุค ความอดทนของตรีขาดผึงระเนระนาด มาดแบบผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วถูกพับเก็บห่อลงหีบไว้ชั่วคราว กลายเป็นตรีเวอร์ชั่นใหม่ ระอุไม่แพ้แดดเปรี้ยงที่นอกสตูดิโอ

"กรรมกรมาก ผงโกโก้ไม่ใช่ปูนซีเมนต์นะ หยุด ! หยุดเดี๋ยวนี้ ! ร่อนไม่ได้ก็ไม่ต้องร่อน"

"โอเค งั้นก็เลิกร่อน" พูดจบดนัยก็เทที่อยู่ในมือทั้งหมดพรวดลงไปในถาดแล้วยกขึ้นมายื่นให้ "เสร็จแล้ว"

ตรียืนอึ้ง มองอะไรบางอย่างที่ระบุประเภทไม่ได้ในถาดแล้วทำหน้าเหมือนกับคนที่เห็นผีมาหมาด ๆ

"จะหั่นไหม ?" ดนัยถามซ้ำ ตรี พงษ์พิพัฒน์จึงหันหน้ามายิ้มแห้งให้กับกล้อง "อาจเสิร์ฟพร้อมไอศกรีม วิปปิ้งครีม ผลไม้ได้ตามชอบ หรือโรยน้ำตาลไอซิ่งแต่งหน้าบราวนี่ด้วยจะหน้าตาน่ารับประทานขึ้น"

"ได้ !" ดนัยหยิบที่ร่อนขึ้นมาอีกครั้งแล้วตั้งท่าเทน้ำตาลไอซิ่ง ตรีเบิกตาโพลงแล้วรีบพูด

"ไม่ต้อง !...มั้งครับ เวลาค่อนข้างจำกัด คงต้องให้คุณผู้ชมไปลองทำตามไอเดียดูครับ DIY ขนมอร่อยแบบง่าย ๆ ที่ทำได้เอง" ไม่พูดเปล่า พิธีกรคนเก่งรีบหยิบมีดขึ้นมาหั่นขนมแบ่งเป็นชิ้นทันที รู้สึกเอะใจที่ต้องออกแรงที่มือมากกว่าปกติทุกครั้ง ท่าไม่ดี พิธีกรรูปหล่อก็หันกลับมาแล้วส่งยิ้มวิบวับให้กับพ่อครัวขนมหวาน คนแบบตรีไม่ได้โง่ถึงขนาดจะเอาชีวิตมาทิ้งตรงนี้หรอกนะ "ทานดูนะครับคุณนัท"

ดนัยยืนนิ่งไปสักพัก มือกว้างเอื้อมไปหยิบส้อมขึ้นมาแบ่งเสี้ยวขนมเป็นชิ้นพอดีคำ จ้องมองขนมในจานอย่างภาคภูมิใจ

ทันใดนั้นก็ยื่นกลับมาจ่อที่ปากของตรี พงษ์พิพัฒน์แทน

"คุณชิมก่อน"

กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดด !

ตรีถลนตากรีดร้องราวกับจะเป็นเสียงสุดท้ายของชีวิต หากแต่มันเป็นเพียงแค่เสียงที่ดังกึกก้องในใจ เวรกรรมอะไรถึงทำให้มาพบเจออะไรแบบนี้ ชายหนุ่มถึงกับครวญในอกเหมือนใจจะขาด

นี่มันท้าทายต่อความเป็นพิธีกรมืออาชีพของตรีนัก ชายหนุ่มลังเล (มาก) แต่จิตวิญญาณของนักสื่อสารมวลชนที่ดีกระซิบบอกว่า The Show Must Go On ใช่แล้ว นี่คือประโยคที่ตรีจำขึ้นใจตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการนี้ ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ถึงอย่างไรทุกสิ่งก็ต้องดำเนินต่อไปอย่างเรียบร้อย หน้าที่ก็คือหน้าที่ และทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าหน้าที่ของตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่ใช่ว่าใคร ๆ จะทำได้ !

บราวนี่หน้าตามหัศจรรย์พันลึกสัมผัสที่ปลายลิ้นเบา ๆ ตรีบดฟันลงช้า ๆ ลิ้มลองความอร่อยด้วยประสาทสัมผัสทั้่งห้าอย่างดื่มดำกำซาบที่สุด หยดน้ำเล็ก ๆ ค่อย ๆ พร่างพรูจากหน่วยตาทั้งสองด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

"ขม...มาก" เสียงสั่นเครือสะอื้น

"เข้มข้นสินะ ของนำเข้ามันดีแบบนี้เอง" ดนัยก้มมองวัตถุดิบชั้นเลิศพยักหน้าอย่างชื่นชม ก่อนจะถามต่อ "อร่อยไหม ?"

รีบเคี้ยวแล้วกลืนให้จบ ๆ ไป ตรียกทิชชูขึ้นซับปากแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา รอยยิ้มสยายฉายฉาบไปทั่วใบหน้าระเรื่อ เป็นรสชาติที่ทำให้ตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ "อร่อยมากครับ"

"ขนาดนั้นเชียว" ดนัยทึ่ง ถามซื่อ "เอาอีกไหม ?"

"พอแล้ว !" ตรีทำหน้าเหมือนกำลังขับไล่ภูติผี ตาที่เคยสดใสแบบลูกกวางน้อยเขียวปั๊ดขึ้นมาทันตา นั่นเป็นเสี้ยววินาทีเล็ก ๆ ก่อนมือขาวสะอาดจะยกขึ้นป้องปากแล้วหัวเราะแบบมีชั้นเชิง "คุณชิมบ้างสิครับ จะรู้ว่ามันอร่อยมาก"

ดนัยมองขนมในจานแล้วยิ้มอ่อน ทึ่งกับฝีมือทำขนมครั้งแรกของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ อร่อยนี่มันอร่อยขนาดไหนกันนะ ตรี พงษ์พิพัฒน์คนนั้นถึงเอาแต่ชมนักชมหนา ได้แต่พูดแบบนั้นอยู่ในใจ สุดท้ายดนัยก็วางจานลง

"ผมไม่ชอบทานของหวาน" นึกเสียดายเหมือนกันที่ตอบไปแบบนั้น

ให้มันได้อย่างนี้ ! ตรี พงษ์พิพัฒน์ยกฝ่ามือขึ้นทาบหน้าตัวเอง นับหนึ่งถึงสิบในใจก่อนจากหันมายิ้มกับกล้องทั้งน้ำตากบหน้า ไม่มีทางเลือกอื่น ศึกนี้คงต้องพอแค่นี้แล้วทบบัญชีทั้งต้นทั้งดอกหลังจบรายการ "อร่อยมากครับคุณผู้ชม ขนาดคุณนัทที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างยังสามารถทำได้อร่อย...ขนาดนี้" ตรีเน้นเสียงหนักที่ท้ายประโยคก่อนจะปรายตามมองคนที่ยืนยิ้มภาคภูมิ คิ้วซ้ายกระตุกแล้วกระตุกอีกด้วยอาการโมโห

"คุณผู้ชมอย่าลืมหัดดูนะครับ จะเห็นได้ว่าไม่ยากเลย แต่ถ้าไม่มีเวลามากนักใช้แป้งบราวนี่สำเร็จรูปได้ครับ แค่เปลี่ยนส่วนผสมที่เป็นน้ำด้วยไจแอนท์โคลา และเติมส่วนประกอบอื่น ๆ ลงไปก็เสร็จแล้ว มาถึงคำถามร่วมสนุกกันครับ รายชื่อผู้โชคดีจะขึ้นอยู่ที่หน้าจอด้านล่างพร้อมกับคำเฉลย" ตรียกมือขึ้นแล้วลากนิ้วเป็นทางยาวในอากาศ "คุณผู้ชมสามารถเข้ามาดูสูตรไจแอนท์โคล่าบราวนี่ได้ที่เฟซบุ๊กของไจแอนท์โคลาทันทีหลังจากจบรายการครับ สำหรับวันนี้ ผมและคุณนัทต้องขอลาไปทานขนมกันต่อแล้วครับ กลับมาพบกับรายการเช้านี้ที่ประเทศไทยได้ใหม่วันพรุ่งนี้ เวลาเดิม สวัสดีครับ"

เสียงปรบมือผสานกับเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วสตูดิโอ ยาวนานแบบที่ตรีไม่เคยได้ยินมาก่อน พิธีกรหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งรอดตายมาจากบางสิ่งบางอย่าง (ที่ไม่อาจระบุประเภทได้) ยกมือขึ้นเช็ดหน้าที่เปื้อนไปด้วยผงโกโก้สีน้ำตาลจนเป็นปื้นไปทั้งหน้า ควันพุ่งออกจากหูทั้งสองข้างแต่ก็จำใจกลั้นอารมณ์ด้วยผู้กำกับและทีมงานคนอื่น ๆ ต่างก็กรูกันเข้ามาแสดงความยินดีกันใหญ่

"เทปนี้คือเทปที่ดีที่สุดของรายการเรา ขอบคุณน้องตรีมากจริง ๆ ที่เสนอไอเดียเจ๋ง ๆ แบบนี้ขึ้นมา มันยอดมาก" พี่จ๊อด โปรดิวเซอร์ผู้เคร่งขรึมถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ตีนกาขึ้นเป็นริ้ว ๆ น่าเกลียดที่สุด ข้าง ๆ เป็นดาน่า ครีเอทีฟสาวในเสื้อแขนกุด ตรีเบือนหน้าไปอีกฝั่ง รับไม่ได้กับของแสลง

รักแร้ก็ดำยังจะใส่แขนกุด ไม่อับไม่อาย

"ดีมาก ๆ จริง ๆ นะคะน้องตรี มันดูน่ารัก เป็นธรรมชาติมาก คนดูจะต้องชอบมากแน่ ๆ ดาน่าขำ เอ๊ย ! ดีใจจนน้ำตาไหลแล้วค่ะเนี่ย"

แม้จะอายจนอยากจะบินไปร้องไห้หน้าไอเฟลทาวเวอร์ที่ปารีสเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่คำชมที่สาดมาจนหูอื้อก็เล่นเอาตรีหันไปเล่นงานตัวปัญหาไม่ถูก ไม่ขโมยซีนละก็ใช่ สนับสนุนให้เด่นเป็นที่สุด เด่นจนต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของรายการประเภทเล่าข่าวทุกรายการในประเทศไทยเลยเชียวละ ในชีวิตการทำงานของพิธีกรหนุ่ม เจอแขกรับเชิญแปลก ๆ มาก็ไม่น้อย ระดับพระเอกนางเอก แม้กระทั่งดาราระดับโลกก็หลายครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่คนเหล่านั้นจะทำให้ตรีต้องรู้สึกต่ำต้อยด้อยราคาแบบนี้

"ไม่นึกเหมือนกันว่่าผมจะทำขนมได้ด้วย ไม่ยากเลย" ดนัยพูดกับทีมงาน ถึงจะกระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนั้นลงไปได้จริง ๆ "ขอบคุณทุกคนสำหรับวันนี้มากนะครับ คุณด้วย"

ยิ้มหวานนั้นชวนให้ตรีขนลุกพิลึก ตรีรู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมเอาดื้อ ๆ พิธีกรหนุ่มแบกหัวใจหันบอบช้ำออกไปอย่างเชื่องช้า สาบานต่อ C ไขว้และมาดามโคโค่ ชาแนล แค้นนี้จะต้องชำระให้สาสม

ดนัยเดิไล่มาจากด้านหลัง ขาที่ยาวกว่าทำให้ไม่นานก็มาอยู่ในระนาบที่เคียงข้างกัน "หน้าเลอะไปหมดเลยนะ ผมขอโทษ กะแรงไม่เป็น" ผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดซับเบา ๆ ที่ข้างแก้มของตรี ไม่ช่วยเรื่องความสกปรกเท่าไรก็จริง แต่ในด้านความรู้สึกถือว่าบรรเทาลงได้ไม่น้อย "ทีมงานบอกว่าตัดต่อออกมาแล้วน่าจะดี"

อ๋อเหรออออ...ตรีนิ่วหน้า ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ไม่ลืม โอเคไหม ?

ผิดกับดนัยที่ดูจะยังสนุกสนานไม่เลิก ร่างสูงคลายแขนเสื้อที่พับไว้ลง ดวงตาคมทอแสงอุ่นขณะมองมาที่ตรีอย่างสบายอกสบายใจ

"จริงสิ ถ้าชอบฝีมือขนาดนั้น ว่าง ๆ จะทำให้ทานอีกแล้วกัน"

พูดจบ ก็เดินจากไป ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนขนลุกขนพองอยู่เพียงผู้เดียว

โอเค สำหรับคนที่ยังไม่รู้ นี่คือแรงบันดาลใจสำหรับหนังไทยชื่อแปลก ๆ ที่ฉายเมื่อปีก่อน

"ฤดูร้อนนั้น...ฉันตาย"







ดึกแล้วแต่ความอบอ้าวยังคงแฝงตัวอยู่ในกรุงเทพจนดูคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ไม่มีลมพัดให้พอชื่นใจ และไอร้อนก็ยังคงขดตัวนอนหลับอยู่ทุกแห่งหนเหมือนไม่คิดจะลุกจากไปไหน สี่ทุ่มครึ่งเป็นเวลาที่ใครหลายคนสนุกอยู่กับการดูรายการโปรดในโทรทัศน์ บางคนอาจจะเตรียมตัวเข้านอน แต่สำหรับเด็ก ๆ นี่เป็นเวลาที่พระจัทร์และดวงดาวทั่วทั้งฟ้ากำลังร่ายบทเพลงขับกล่อมให้พวกเขานอนฝันดี นุชนารถนั่งอยู่ที่ชั้นบนของร้าน ที่ตักมีเด็กสามคนกำลังขดตัวเหมือนลูกแมวที่นอนหลับปุ๋ยอบู่ในตะกร้าและม้วนไหมพรม เด็ก ๆ ทำให้เธอสนุกสนานเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่มีใคร และยังครองตัวเป็นโสดมานับตั้งแต่สามปีที่แล้วแบบเธอ

ลมร้อนพัดพาความทรงจำเก่า ๆ ให้หวนกลับมา ความผิดหวังเหมือนจะเพิ่งเกิดเพียงไม่นาน แม้กาลเวลาจะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ แต่พอฤดูร้อนเวียนกลับมาอีกครั้ง แผลที่เหมือนตกสะเก็ดไปแล้วก็เหมือนถูกสะกิดให้เปิดขึ้นมาใหม่ เธออายุไม่ใช่น้อยแล้ว ความรักแต่ละครั้งมันฝังลึกและมองที่ความเข้าใจกันมากกว่าจะเป็นความวาบหวามแบบวัยหนุ่มสาว ผู้ชายคนนั้นเป็นหม้าย มีลูกติดเป็นแฝดวัยกำลังซนสองคน ทุกอย่างดูเหมือนจะไปกันได้ดีจนวางแผนที่จะแต่งงานกัน มีครอบครัวเล็ก ๆ และร้านอาหารแห่งนี้ที่เป็นความฝันของทั้งคู่ อาจเพราะหน้าร้อนทำให้ความคิดถึงเก่า ๆ กลับมาหา กล่าวทักทาย และนั่งลงสังสรรค์คล้ายเพื่อนแก้เหงานี่กระมัง นุชนารถถึงรู้สึกเอ็นดูชาฮิด มีรา และธีมนัก ราวกับว่าเด็กทั้งสามเป็นตัวตายตัวแทนของแฝดและความรักที่ยังฝังแน่นตั้งแต่หน้าร้อนคราวนั้น

นุชนารถมองออกไปนอกหน้าต่าง วางสายตาอยู่บนซอยเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยแห่งนี้ แม้จะอยู่มาไม่นานจนถึงหลักสิบปีแต่ก็นานพอที่จะรู้จักผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ไม่น้อย "เพิ่งกลับหรือจ๊ะอานนท์" เธอโบกมือให้ เห็นคนที่เดินอยู่บนถนนแคบ ๆ ทำหน้าเหรอหราคล้ายกับมองหาต้นเสียง นุชนารถก็เรียกซ้ำ "บนนี้จ๊ะ"

"คุณนุช...เพิ่งกลับครับ" เด็กหนุ่มโบกมือทักทาย ส่งยิ้มให้พร้อมกับบุ้ยใบ้ไปที่หอพักด้านในแล้วเดินต่อ "อ้อ ไอติมอร่อยมากครับ เหมาะกับอากาศร้อน ๆ แบบนี้จัง" เด็กหนุ่มทิ้งท้ายคำพูดให้ชื่นใจไว้แบบนั้นก่อนจะหายไปในกลุ่มผู้คน

นุชนารถส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เป็นบทสนทนาสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นเสมอในซอยเล็ก ๆ ที่มีคนเดินผ่านผ่านมาตลอดวัน นับแต่มีรถไฟฟ้า ผับ บาร์ ร้านอาหารต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นในละแวกนี้จนนับไม่ถ้วน แทรกตัวปะปนอยู่กับอาคารสำนักงานมากมาย ที่นี่มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ทั้งเอเชีย และฝรั่งผมทอง กลางวันจะเห็นผู้ชายผูกไท ผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูงเดินกันขวักไขว่ พอตกกลางคืน ที่นี่จะคลาคล่ำไปด้วยวัยรุ่นและเหล่านักเที่ยวที่แต่งตัวมาประชันกันเต็มที่

กรุงเทพไม่เคยหลับ และยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างใช้ชีวิตเหมือน 24 ชั่วโมงที่ได้รับในแต่ละวันนั้นสั้นเกินไป









อานนท์เดินขึ้นชั้นบนของหอพักอย่างเหนื่อยล้า ตลอดบ่ายวันนี้ พนักงานคนอื่น ๆ ในแผนกสามารถปิดการขายได้เหมือนง่ายดาย เฉลี่ยแล้วตกกันคนละสี่ถึงห้าเครื่อง ขณะที่อานนท์แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ก็ดูไม่คล่องพอที่ลูกค้าจะให้ความสนใจ สุดท้ายก็เดินเลี่ยงไปหาพนักงานขายคนอื่นแล้วก็ตัดสินใจซื้อไป ในตอนแรก ๆ มีบางคนจะยกยอดให้กับอานนท์ แต่เพราะซูเปอร์ไวเซอร์ที่คอยสังเกตอยู่หน้าฟลอร์ จับตาและถือมั่นในความซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก เรื่องยกยอดให้แก่กันของพนักงานขายจึงไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะอานนท์เองก็ไม่กล้าที่จะรับยอดทั้งที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่บ้านสอนมา คนต่างจังหวัดแม้จะไม่คล่องตัวหรือเก่งไปทุกเรื่องแบบคนกรุงเทพ แต่ก็อดทนและถือความซื่อสัตย์จริงใจเป็นสำคัญ

หอยทอดสองห่อที่อยู่ในมือร้อนและส่งกลิ่นหอมฉุย เพราะทานมื้อเย็นกับพี่สิงห์ไปเมื่อวาน อานนท์ถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นละอองเล็ก ๆ ที่โดดเดี่ยวอยู่ในเมืองใหญ่ การได้นั่งกินข้าวเงียบ ๆ กับพี่สิงห์ทำให้อานนท์รู้สึกอุ่นใจ อย่างน้อยที่นี่ก็มีคนรู้จัก มีคนให้กลับไปหา ให้นั่งกินข้าวด้วย แม้ว่ามันจะเป็นมื้ออาหารที่แสนเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรกันก็ตาม

หลังจากเคาะประตูไปไม่นาน แผ่นไม้สีเทาก็เปิดออก พี่สิงห์ยืนอยู่หลังกรอบสี่เหลี่ยมที่แง้มนั้น หน้ายุ่ง สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียว

"เอ่อ...ผมซื้อหอยทอดมาฝากครับ" อานนท์เอ่ยเจตนาด้วยเสียงแผ่ว รู้ตัวว่ารบกวนเวลาอีกฝ่ายแต่จะทำไงได้ ความเหงามันมีน้ำหนักมากเหลือเกิน

"ฉันกินแล้ว"

"นั่นสินะครับ แหะ ๆ จะว่าไปมันก็ดึกแล้ว" อานนท์หัวเราะเจียมเนื้อเจียมตัว เดิมทีก็ไม่แน่ใจว่าควรซื้อหรือเปล่า แต่ความรู้สึกติดค้างค่าอาหารเมื่อคืนก่อนทำให้การตัดสินใจนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเกรงใจ

"เข้ามาสิ" เพชรกล้าเปิดประตูให้กว้างขึ้น บุ้ยหน้าให้อีกฝ่ายเข้ามา

"เอ่อ...จะไม่รบกวนใช่ไหมครับ"

"บอกให้เข้ามา" เสียงที่เริ่มมีอารมณ์ของเพชรกล้าทำให้อานนท์แจ้นเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องคิด

ปิดประตูเสร็จเจ้าของห้องก็ถามทันที "เท่าไหร่"

"ไม่เป็นไรครับ ผมซื้อมาให้"

"เศรษฐีใหม่หรือไง จ่ายค่าเช่า แบ่งให้ที่บ้านแล้วยังเหลือเผื่อมาซื้อของกินให้คนอื่นอีก" โดนเอ็ดตะโรไปชุดใหญ่ อานนท์เลยรูดซิบปากเงียบ เห็นเพชรกล้าหยิบธนบัตรสีฟ้าขึ้นมาแล้วยัดใส่มือกลับก็ตั้งท่าจะปฏิเสธ

"เอาไป !" สีหน้าแบบนั้นทำให้อานนท์ไม่กล้าเถียงอะไรอีก จำใจเก็บเงินห้าสิบบาทใส่กระเป๋ากางเกงไป

ร่างสูงยักษ์เดินไปหยิบจานออกมาสองใบแล้ววางตรงหน้า แง้มกระดาษที่ห่ออาหารไว้ ทันทีที่เปิดออก สีเหลืองทองฟูฟ่องก็อวดโฉมพร้อมกับกลิ่นหอมที่ตลบอบอวลไปทั่วห้อง

"ไม่รู้ว่าพี่สิงห์จะชอบไหม แต่ละแวกนี้เจ้านี้ถือว่าอร่อยมากเลยครับ"

"ฉันอิ่มแล้ว"

ห้วน สั้น ง่าย แบบนั้นจนอานนท์ไปต่อไม่ถูก

"กินเข้าไปทั้งสองจานนั่นแหละ"

"หา..." อานนท์อ้าปากหวอ

"กิน !" เพชรกล้าจ้องเขม็ง

"คือ..."

"กินเข้าไปให้หมด !" ยืนยันคำสั่งอีกครั้ง "เราน่ะหนักเท่าไหร่ อ้อนแอ้นเหลือเกิน เดินทีเหมือนลมจะพัด กินเข้าไปเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง มีแรงทำงาน"

"ครับ" รับปากแบบหงอ ๆ แล้ว อานนท์ก็นั่งกินหอยทอดทั้งสองห่อโดยมีผู้ชายร่างยักษ์คอยคุมไม่ให้คลาดสายตา หมดไปจานแรก เพชรกล้าก็ส่งน้ำให้พร้อมกับเลื่อนจานใหม่เข้ามาแทนที่ แม้จะขึ้นชื่อว่ารสชาติดีที่สุดในย่านนี้แต่มันก็ค่อนข้างเอาเรื่องสำหรับคนตัวเล็กแบบอานนท์ ปกติไม่เคยเบิ้ลสองแบบนี้เลย

เมื่อหมดทั้งสองจานคล้ายกับว่าพี่สิงห์จะดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มือกว้างที่อานนท์ชอบแอบมองเสยผมขึ้นอย่างเป็นนิสัย พี่สิงห์มักจะทำแบบนี้เวลาที่ผมตกลงมาปรกหน้า พอไม่มีผมยาว ๆ แบบบนั้นมาบดบัง ใบหน้าคมเข้มก็เผยความหล่อเหลาน่ามองซึ่งถูกแอบซ่อนไว้ออกมาทั้งหมด อานนท์ชอบใบหน้านั้น คิดว่าพี่สิงห์ดูทั้งหล่อทั้งเท่แบบลูกผู้ชาย ไม่เหมือนกับหล่อของคนกรุงเทพที่ดูติดไปทางสำอางซะมาก

"ขอบใจนะอานนท์ แต่คราวหน้าไม่ต้องซื้อมาอีก ฉันกำลังจะย้ายออกเร็ว ๆ นี้แล้ว"

คำพูดง่าย ๆ แต่กลับให้อานนท์รู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะรู้แล้วว่าพี่สิงห์ย้ายมาเช่าห้องที่นี่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างที่รอต่อเติมบ้านและจัดการระบบประปาใหม่ แต่พอได้มายินอีกครั้งก็อดที่จะรู้สึกโหวงขึ้นมาไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งดีใจว่ามีคนให้นั่งกินข้าวด้วยทุกเย็นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ทั้งที่คิดว่าจากนี้ไม่ต้องรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้านนอกโดดเดี่ยวแปลกถิ่นอีกแล้ว ทั้งที่มีคนที่คุยได้มากกว่าทักตามมารยาท ไม่เหงา ทั้งที่จะได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรอีกมากมายจากพี่สิงห์ พูดคุยปรึกษาทุกเรื่อง ทั้งที่กำลังจะได้สนิทกันแล้วแท้ ๆ

"เป็นอะไร"

"ไม่มีอะไรครับ" อานนท์ก้มหน้าลง

เสียงถอนหายใจของเพชรกล้าดังขึ้นอย่างเหนื่อยคร้าน "เลิกคิดว่าตัวเองเป็นคนโกหกเก่งเสียทีเถอะ คิดยังไงออกมาบนหน้าทั้งหมดนั่นแหละ พูดมา"

อ้ำอึ้งไปสักพัก อานนท์พยายามหาข้ออ้างบ้างอย่างที่สมเหตุสมผลขึ้นมา เพราะอะไรก็ไม่รู้ที่จู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาว่าไม่อยากให้พี่สิงห์รู้ถึงความรู้สึกจริง ๆ เมื่อนาทีก่อน ไม่อยากโดนดุ ไม่อยากให้เห็นว่าเป็นคนอ่อนแอ หรือเพราะกลัวปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็ไม่รู้ แต่มันจะเป็นอะไรก็ช่าง ไม่อยากให้รู้ก็คือไม่อยากให้รู้นั่นแหละ

"จริง ๆ แล้ววันนี้มีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ ผมเพิ่งรู้ว่าก่อนจะเข้าสงกรานต์ ตัวเองจะต้องขายแอร์ให้ได้อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะโดนไล่ออก" คนที่นั่งหน้าซีดพูดแล้วหัวเราะทั้งที่ไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรอยู่เลย "เพราะเป็นแบบนี้เขาถึงให้พี่สิงห์มาเป็นคนช่วยอบรมให้สินะครับ เมื่อก่อน เดือนหนึ่งขายเตียงได้หนึ่งหลังก็ดีใจแทบแย่ ผมไม่รู้เลยว่าแผนกอื่นเขาขายกันได้มากขนาดนี้"

ไม่ถืิอว่าเป็นคำโกหกเสียทีเดียว นี่เป็นส่วนหนึ่งที่อานนท์ไม่สบายใจอยู่จริง ๆ "ขอบคุณพี่สิงห์มากนะครับที่เคี่ยวเข็ญจนผมพอจะรู้เรื่องแอร์ขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็เหลืออีกสองวันนี่เนอะ"

"มันเป็นหน้าที่น่ะ"

"ไม่หรอกครับ เพราะถูกเคี่ยวเข็ญ วันนี้ตอนที่อยู่แผนก พอทบทวนก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเลยว่าตัวเองน่าจะทำได้ คุ้นกับระบบการทำงานของแอร์ ข้อดีข้อเสียแต่ละรุ่น อีกอย่างก็แนะนำบีทียูให้กับลูกค้าได้แล้วด้วย ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ" รอยยิ้มง่าย ๆ แต่งแต้มใบหน้าบริสุทธิ์จริงใจให้ดูชวนมองยิ่งขึ้น "พี่สิงห์ครับ ขอบคุณมากนะครับ"

"ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันไม่ได้เป็นคนดีอะไรแบบนั้น" เพชรกล้าเว้นจังหวะระบายลมหายใจ น้ำเสียงจริงจังจนอีกฝ่านั่งเงียบ "มีเรื่องหนึ่งที่นายควรจะรู้ไว้ ทั้งหมดมันเป็นเงื่อนไขที่ฉันตั้งไว้กับโกวิท หัวหน้าของนายเอง"

หน้าของอานนท์ชาเหมือนโดนไม้ฟาดเข้าจัง ๆ "ผมไม่เข้าใจครับ"

"เรื่องที่ถ้าก่อนสงกรานต์นี้นายขายแอร์ไม่ได้สักเครื่องจะต้องไล่ออกไปจากบริษัทนั่นน่ะ เป็นเงื่อนใขที่ฉันตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนในการมาอบรมนายอีกรอบ ฉันไม่ชอบที่จะต้องทำงานกับคนที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ชอบถ้าเอาแต่ใช้ระบบเอ็นดู แล้วปล่อยให้มีพนักงานที่ไม่มีความสามารถเยอะ ๆ งานมันจะไปถึงไหนได้ แผนกขายเป็นแผนกที่มีคนเยอะที่สุดแต่กลับเหยาะแหยะที่สุด ยุติธรรมไหมที่ต้องแบ่งยอดร่วมกันกับพนักงานทุกคนในห้าง พูดกันแบแฟร์ ๆ คนไม่มีความสามารถก็ควรจะหลีกทางให้กับคนที่เขาต้องการทำงานจริง ๆ ไม่ใช่เหรอ" คำพูดของเพชรกล้าตรงไปตรงมาเช่นทุกครั้ง ไม่อ้อมค้อม ไม่รักษาน้ำใจอานนท์เอาเสียเลย

คนตัวเล็กนั่งนิ่ง มันไม่เหมือนกับการถูกตอกหมุดตรึงยึดทั่วร่าง ทุกอย่างยังคงเป็นอิสระ แต่เป็นเพราะแขนขาของอานนท์เองที่จู่ ๆ มันก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา

"ถ้าทำไม่ได้ ก็ควรหันกลับมาดูตัวเองว่าเราเหมาะกับงานที่นี่ไหม ไม่ใช่กินง่าย ถ่วงคนที่เขาตั้งใจไปเรื่อย ๆ" คล้ายกับมีแววของคำปรามาสและความผิดหวังอยู่ในดวงตาที่นิ่งเรียบคู่นั้น อานนท์ได้แต่นั่งเงียบ พูดไม่ออก ชาไปทั้งตัว

"ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ มันไม่ง่ายหรอกนะอานนท์" พูดจบ เพชรกล้าก็หยิบจานแล้วลุกออกไป







ตอนที่พิมพ์ไปก็พยายามนึกถึงตัวเองสมัยละอ่อน ตอนเด็ก ๆ เราจำภาพกรุงเทพเป็นยังไงบ้างนะ
แล้วตอนนี้มันมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง เป็นเจตนาที่อยากให้อ่านแล้วได้บรรยากาศของกรุงเทพที่เป็นกรุงเทพจริงๆ
อาจดูไม่น่ามองมาก แต่ในสายตาของคนที่อยู่มาตั้งแต่เกิดแบบผมก็โอเคนะ สุก ๆดิบๆ เฉลี่ยกันไป
คิดว่าอยู่จังหวัดอื่นคงจะมีความสุขกว่านี้แน่ๆ แต่ทำไงได้ ก็อยู่กับมันจนชินไปแล้วนี่นะ 5555
ตอนนี้มีกลิ่นมาม่าโชยมานิดหน่อย แต่คิดว่าไม่หนักหนาจนบีบหัวใจ ชีวิตก็มีทุกข์มีสุขคละๆ กันไป
แต่ก็อยากให้ติดตามกันต่อนะครับว่าแต่ละคู่สุดท้ายจะลงเอยยังไงกันบ้าง

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณจริงๆ ครับที่ติดตามอ่านกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ขอให้มีความสุขกันมากๆ นะครับ ฮุยเลฮุย

ออฟไลน์ schneesturm_fubuki

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
พี่สิงใจร้ายอ่ะ ไม่ถนอมน้ำใจกันเลย... รอ่านพาร์ทนี้แล้วแบบ ปืน นภ ของเก๊าาาาาา สงสัยจะเชียร์ไม่ขึ้นซะแล้ว

พักนี้ Lucea มาบ่อย เค้าฟิน ^^

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
คู่ปืน นภ เฮ้ย!! ทำไมเผลอแป๊บเดียวมาม่าแล้วล่ะ แต่ชอบบรรยากาศการบรรยายของเรื่องนี้จัง รู้สึกซึมลึกดี :hao5:

คู่ดนัย ตรี. ตรีเก่งเหมือนกันนะ ดนัยทำอาหารได้น่ากลัวมาก555 ท่าทางฉากป้อนกันนี้คงทำให้คนดูจิ้นกันอีกแหงๆ

คู่พี่สิงห์กับอานนท์ ปรากฏว่าพี่สิงห์สุดโหดเป็นคนตั้งเงื่อนไขเรอะ!!  ใจร้ายไปป่ะ น้องเค้าอุตสาห์มีภาพลักษณ์ที่ดีกับพี่แล้วนา

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ grenjewel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
พาร์ทปืนนภกับพี่สิงห์อานนท์ออกแนวหน่วงๆนะ แต่พอเจอพาร์ทนัทตรีเข้าไปนี่อย่างฮาอ่ะ 55555555555555555
สงสารตรีตอนชิมขนมแบบว่ารสชาติมันขมจนน้ำตาไหลแต่ก็ต้องพยายามทำหน้าให้มันอร่อยที่สุด  :mew5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ไม่น่าเชื่อ ปกติจะหมั่นไส้ตรีเป็นที่สุด มาตอนนี้เธอทำให้ฮาขี้แตก เหมาะไปเล่นตลกนะเธอ
ดนัยก็ร้ายได้หน้าตายมาก
ปืนนภ อดีตมีไว้ให้นึกถึง แต่คงไม่มีวันหวนคืนสินะ
พี่สิงห์กับน้องนนท์ มันคือความจริงที่เจ็บปวดนะ จะสู้ไม่สู้

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
สงสารอานนท์ อีพี่สิงห์ใจร้ายไปนิดนะ

PS. ฤดูร้อนนั้น ... ฉันตาย!! 55555555

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
หลังเทปนี้ออกอากาศ คุณผู้ชมคงได้จิ้นพิธีกรกับเชฟหนุ่มจำเป็น ยิ่งกว่าตอนจิ้นกับคุณหมออีก เชื่อขนมกินเถ๊อะ!


ชีวิตคุณนุชเหมือนจะเศร้า แต่ก็ดูมีความสุขดี ติดที่จะเหงาไปหน่อยนึงเอง     


ก็รู้ว่าพี่สิงห์เป็นคนจริง แล้วชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ  แต่สงสารนุ้งนนท์มากมายอะ

ยิ่งรู้ว่าอ้ายสิงห์เป็นคนต้นคิดด้วย มันเจ็บอะ      :m8:


ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
-นภน่าสงสารชะมัด โดนพูดจาทำร้ายจิตใจอย่างแรง :hao5: ใจร้ายที่สุด รึดวงของนภจะขึ้นคานกันน่ะ
-อานนท์มาซบอกเจ้มา พี่สิงห์ใจร้าย คู่นี้เราเค้าใจทั้งคู่น่ะ พี่สิงห์ก็เป็นคนตั้งใจทำงานจริงจัง อยากให้คนเก่งๆที่มีความสามารถทำงานเพื่อบริษัท แต่ความรู้สึกของอานนท์ก็เศร้าน่ะ เพราะเหมือนพี่สิงห์เป็นพี่ที่เหมือนสนิทด้วย แล้ว เป็นผู้ มีบุญคุณไรงี้ พอมารู้คงเคว้งน่าดู
-คู่ตรีนี่ ขอเปลี่ยนเป็นคู่"ตี" ได้มั้ย ตีกันทั้งเรื่อง 555 แต่แอบสะใจตอนนี้ตีโดนแกล้งคืนซะมั่ง
อัพต่อน้า จะรอจ้าา

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
เลาสงสารนนภ
สงสารมากกกกกกกกก
ปืนคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ TvT ใจร้ายไปมั้ง
 
อีคุณตรีเนี่ยจะได้คู่จิ้นคู่กัดกันใหม่รึเปล่า ทำไปทะเลาะไป ดี ๆ ๆ  ลูกดกแน่

ส่วนอิพี่สิงห์ยังโหดได้คงเส้นคงวา
แต่เข้าใจนะ เรื่องนี้อาจทำให้อานนท์เข้มแข็งขึ้นก็ได้

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ แวะมาอัพต่อนใหม่อีกตอน จะพยายามอัพให้ไวๆ จะได้จบเรื่อง
เสร็จแล้วจะได้กลับไปจัดการกับเรื่องเดิมต่อนะครับ เอาเป็นเรื่องๆ ไปนะ
สำหรับตอนที่แล้ว ตัวขนมบราวนี่สามารถทำได้จริงนะครับ
วิธีทำคือแค่เพิ่มส่วนประกอบน้ำอัดลมประเภทโคล่าลงไปจากสูตรเดิมเท่านั้นครับ
ง่ายมาก ใครที่คิดไปลองทำได้ผลมาเป็นยังไงอย่าลืมมาบอกกันด้วยนะครับ
ขยับเข้าสู่เลขสองตัวเป็นตอนแรกด้วยความภาคภูมิใจ ตอนที่สิบแล้ว ฮูเล่!









ตอนที่ ๑๐



ต้นไม้ดูจะไม่ช่วยดูดซับความอบอ้าวไปได้เหมือนทฤษฎีที่ใครต่อใครพูดกัน แดดของกรุงเทพยังเป็นเหมือนกับมัจจุราช ง้างเคียวโง้งไล่ล่าทุกชีวิตด้วยอุณหภูมิที่แตะสี่สิบองศาอย่างไม่ปรานี มัยมนัสเช็ดเหงื่อซึ่งซึมอยู่ที่ขาแว่น ใช้เวลาวันลาพักร้อนอยู่ที่พื้นที่เล็ก ๆ หลังบ้าน อากาศในฤดูร้อนนิ่งจนสงัด และร้อนจัดสมกับเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด ทว่าอีกสิ่งที่ร้อนสุด ๆ ไม่แพ้กับอากาศก็คือข่าวคู่จิ้นใหม่แกะกล่องในโลกออนไลน์เช้านี้ ใครคือผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดของไจแอนท์โคลา แล้วคนคนนั้นเป็นอะไรกับตรี พงษ์พิพัฒน์พิธีกรรายการเล่าข่าวทีี่ฮ็อตที่สุดในขณะนี้ ทั้งกระทู้ตามเว็บที่ประเภทกระดานข่าว กระทั่งลามมาถึงเฟซบุ๊กของบริษัท

ทั้งหมดเป็นสิ่งที่คะน้าเคยสงสัยอยู่เช่นกัน จากที่เห็นที่ห้องประชุมวันก่อน ความรู้สึกบางอย่างบอกว่ามีอะไรแปลก ๆ ระหว่างนัทและตรีที่ดูเกินกว่าคนซึ่งทำงานร่วมกันธรรมดาอย่างแน่นอน แต่มันคืออะไร อาจต้องใช้เวลาเป็นตัวคลายคำตอบ

"ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไร" เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ก้าวขึ้นมาบนชิงช้า ทิวัตถ์นั่งลงพร้อมกับชามแก้วใสที่โรยน้ำแข็งป่นและน้ำตาลทรายแดงจนพูน "แก้ร้อนน่ะ แม่ซื้อเฉาก๊วยกลับมาจากตลาด บังคับกินทั้งบ้าน"

คะน้าละสายตาจากหน้าจอเล็ก ๆ บนฝ่ามือแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มขอบคุณ "ทิมจำนัทได้ไหม ที่เป็นรุ่นน้องที่ทำงานน่ะ"

คิ้วเข้มขมวดขึ้นพร้อมกับเสียงที่ขุ่นคลั่ก "มันทำไมอีก ?"

"ดูนี่สิ" คะน้ายื่นโทรศัพท์ในมือให้ดู อีกฝ่ายแค่มองผ่าน ๆ ไม่คิดจะใส่ใจ

"แค่ร้อนก็หงุดหงิดพอแล้ว ไม่อยากจะเห็นหน้าให้อารมณ์เสียขึ้นไปอีก" คนขี้หงุดหงิดเอนทั้งหลังพิงกับพนัก กระพือเสื้อที่อกที่เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ "หน้าร้อนปีนี้มันยังไงกันนะ วันก่อนนภไลน์มาหา เห็นว่าพาเพื่อนที่เป็นฝรั่งมาเที่ยวสงกรานต์ที่นี่"

"แล้วคุยกันแล้วหรือยัง"

ตามประสาคนเอาแต่ใจ คนตัวสูงยักหัวไหล่อย่างเสียไม่ได้ "ขี้เกียจ" แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ ที่มองกลับมา ทิมก็ลากลมหายใจเบื่อ "ก็ได้ ไว้เดี๋ยวจะไลน์กลับไปหา"

ชายหนุ่มไม่ได้ญาติดีกับพวกเทคโนโลยีสักเท่าไร และเพราะไม่ได้เสพติดแบบคนกรุงเทพสมัยนี้ เจ้าตัวก็ไม่ให้ความสนใจกับสารพัดแอพพลิเคชั่นอย่างที่ควรเป็น ถ้าไม่เพราะนิ้วพลาดไปโดนเมื่อตอนเช้า เขาก็คงไม่รู้ สำหรับทิมแล้วการใช้ชีวิตอยู่ในโลกก่อนที่สมาร์ตโฟนทั้งหลายจะถือกำเนิดถือว่าเป็นความสุถขสูงสุด ในตอนนี้บริษัทที่หุ้นร่วมกับเพื่อนกำลังไปได้รุ่ง ดังนั้นเวลาเกือบทั้งหมดของทิมจึงพุ่งไปลงอยู่กับงานด้านวิศวกรรมโยธาที่ทำอยู่ ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็สงวนไว้แค่คนที่อยู่ข้าง ๆ...คนนี้

"เมียจ๋า" เสียงเย้า ตาเยิ้ม

คะน้าชะงักกึก แสร้งนั่งทานเฉาก๊วยต่อ ไม่ขอรับรู้

"เมียจ๋าาา..." สุ้มเสียงไม่ได้มีความเคอะเขินแม้แต่น้อย แถมไม่เรียกเปล่า คราวนี้มีนิ้วมาสะกิดยิก ๆ ที่ข้างเอวด้วย "ไปทะเลกันไหม ปีนี้ร้อนนะ"

เพราะคบกันมานานหลายปีถึงรู้ดีว่าแค่นิ่งคงไม่จบ คะน้าวางช้อน ตอบอย่างอ่อนออกอ่อนใจ "ร้อนขนาดนี้จะไปไหนมันก็ร้อนหมดแหละ"

เห็นได้ชัดว่าคำตอบที่ได้ยินนั้นไม่เป็นที่พอใจ สีหน้าของทิมจึงตึงคล้ายแผ่นหนังที่กำลังจะปริ

เล่นเอาคะน้าอ่อนใจ ไปเที่ยว สำหรับทิมแล้วก็เหมือนกับเปลี่ยนสถานที่เล่นกิจกรรมเข้าจังหวะ ในประเทศหรือแม้แต่ต่างประเทศก็ไม่ต่างกัน เกือบทั้งหมดของแต่ละวันก็ไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ

"อยู่กรุงเทพนั่นแหละ" จะไปไหนให้เสียทั้งเงินทั้งเวลาทำไม ?

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตกลง ทิมก็นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง

"แต่เราไม่ได้เอาท์ดอร์กันนานแล้วนะ"

เหมือนเฉาก๊วยในปากจะให้รสเผ็ดร้อนขึ้นมาทันที คะน้าสำลักแค่กไม่หยุด

หน้าดำหน้าแดงเหมือนพระอาทิตย์ที่อยู่บนฟ้า









ดนัยเช็ดกระดาษทิชชูที่จมูกหลังจากจามไม่หยุดแต่เช้า เขาไม่ได้ดูเทปรายการที่ไปอัดเมื่อเย็นวานกับตรี (อันที่จริงไม่กล้าดู) อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเขาก็ภาวนาให้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี โทรศัพท์มือถือดังไม่หยุด ข้อความทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ไอจี เยอะจนเขาหยิบไอพ็อดมาใส่หู วิ่งออกกำลังกายที่ฟิตเนสให้เวลามันผ่าน ๆ ไป

อัตราการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์สูงขึ้นถึง 150 เท่าจากเมื่อวาน ซึ่งแปลว่าหลายพันเท่าเมื่อเทียบกับไม่กี่วันก่อน เฟซบุ๊กเพจของไจแอนท์โคลา จากลูกเพจจำนวนหมื่นต้น ๆ กลายเป็นแสนกว่าในระยะเวลาเพียงสองชั่วโมง และดูจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกนาที ไม่นับรวมกับการโพสต์แปลก ๆ เรื่องเขากับตรีอีกร่วมร้อย เพิ่มขึ้นทุกนาทีเช่นกัน รายการเล่าข่าวตอนเช้ามีคนดูมากขนาดนี้เชียวหรือ ? แล้วพอพ่วงไปกับโซเชียลมีเดียและเว็บคอมมูนิตี้อื่น ๆ เข้าไปก็ยิ่งเหมือนไฟที่ลามไปทั้งทุ่ง ลังเลอยู่สักพัก ดนัยก็หยิบมือถือขึ้นมา

นิ้วชี้ของตรี พงษ์พิพัฒน์กดปุ่มเล็ก ๆ ที่บลูทูธ ได้ยินปลายสายส่งเสียงมาสั้น ๆ ว่า "ผมเอง"

"ผมไหน เสียงคุ้น ๆ"

"นัท"

"มีเรื่องอะไรถึงได้โทรมารบกวนเวลานี้ครับ ไม่รู้หรือยังไงว่าผมกำลังยุ่งมาก ๆ"

ได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น แทนที่จะวาง ดนัยกลับถามกลับด้วยความอยากรู้ "ขอโทษนะครับ คราวนี้มาร์กอะไรอีก"

น้ำเสียงที่ได้ยินแสดงออกถึงอากัปกิริยาเย้ยหยันอยู่ในที ตรีเหมือนเห็นร่างสูงใหญ่ผุดขึ้นตรงหน้าแล้วยืนนักคิ้วยียวนมาให้ตอนที่ถามประโยคนั้น "คุณจะไปเข้าใจอะไร อยู่วงการนี้เรื่องดูแลรูปร่างหน้าตาและสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ความสามารถเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็มี แต่ความสามารถที่มาพร้อมกับหน้าตาที่สมบูรณ์แบบนี่ ยากเสียยิ่งกว่ายาก และตอนนี้ผมกำลังจะสัมผัสกับนวัตกรรมความงามใหม่ล่าสุดของโลก นั่นคือการทรีตเมนต์ด้วยสารสกัดจากเพชรบริสุทธิ์ มันช่วยกระตุ้นพลังจักระในตัวเชียวนะ"

เสียงกระซิบตรงประโยคสุดท้ายเหมือนกับเด็ก ๆ ตอนกำลังความลับที่ไม่มีใครรู้นั่นละ ทว่าดนัยกลับรู้สึกหน่าย "คุณเลือกจากคุณสมบัติที่ไร้สาระที่สุดหรือไง"

ตรีทำท่าสะพรึงกับโทรศัพท์ คนคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ขั้นตอนการสรรหาทรีตเมนต์แต่ละอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ครั้งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารสกัดจากอุกาบาตบนดวงจันทร์ แม้จะหายากและแพง ย้ำอีกทีว่า...แพงมาก แต่นั่นก็ยังไม่ผ่านมาตรฐานของตรี เพราะอุกาบาตทำให้ตรีนึกถึงอุบาทว์ ฟังแล้วระคายหู รวมทั้งผิวของพระจันทร์ก็ไม่เรียบ ซึ่งอะไรที่ไม่เรียบตรีไม่ใคร่ให้เอามาอยู่บนผิวใส ๆ ของตัวเอง ดังนั้นเขาจะเลือกเฉพาะที่มันสมเหตุสมผลเท่านั้น ประเภทสเตมเซลล์จากรกแกะ เอมบริโอจากรังไข่ปลาแซลมอน อะไรต่าง ๆ นานาจำพวกนั้น ต่อให้ใครว่าดีแค่ไหน ก็จะไม่สนใจเป็นอันขาด ตรีมักถูกโฉลกกับอะไรที่ดูแพง ๆ ประเภทเพชร ทองคำ คุณแม่ของเขาพร่ำสอนแต่เด็กว่ารสนิยมเป็นเรื่องสำคัญและซื้อหากันไม่ได้ เพราะเหตุนี้กระบวนการคัดสรรแต่ละอย่างของตรีจึงถือว่าเป็นอีกระดับของคนรักสุขภาพที่มีสตางค์ทั่วไปนัก

"โทรศัพท์ผมดังไม่หยุด เฟซบุ๊ก ไลน์ สารพัด ตั้งแต่รายการออกไป" นัทพูด เสียงตรีแหวกลับมาทันที

"อย่าพูดถึงเทปที่ออกอากาศเมื่อตอนเช้านี้อีก ได้โปรด"

"ทำไม"

"เพราะผมไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น คุณไม่เห็นหรือไง นี่...ถือเป็นความผิดพลาดเป็นอย่างมาก"

"ผมไม่ได้ดู"

"ได้ คุณจะได้ดูความแย่ของมันเดี๋ยวนี้" ตรีตอบเสียงกร้าว ดึงมือถือออกแล้วค้นหาคลิปในยูทูป ก้อปปี้แล้วส่งกลับไปทางไลน์

ดนัยกดดูคลิปในแท็บเล็ต คิ้วเข้มขมวดขึ้นก่อนด้วยความแปลกใจ "โอเค ผมรู้ว่าคุณเป็นคนรักสุขภาพ แต่เก็บคลิปบริหารบั้นท้ายของคุณไว้ทำคนเดียวเถอะ"

"อุ่ย...ผิด" ตรีอุทานพอน่ารัก แต่เล็กที่บ้านก็สอนว่าถ้าหน้าตาดี ต่อให้ผิดก็ยังดูน่ารัก ไม่อย่างนั้นคนเขาจะมีคำพูดว่า "น่ารักน่าชัง" ทำไม ก้อปปี้ลิ้งก์ใหม่เรียบร้อย เช็กอีกครั้งจนมั่นใจก็ส่งกลับไปหานัทใหม่ ดูให้ชัด ๆ เต็มตา "นี่เป็นตราบาปในชีวิตการทำงานของผมมาก คุณดูหน้าผมสิ อย่างกับรายการตลกสามช่า"

"ผมว่าน่ารักดี" ดนัยตอบกลับสั้น ๆ

ตรีเชิดคอสูง ยิ้มหน้าบานรับแสงอาทิตย์ฤดูร้อน พิธีกรหนุ่มรูปหล่อพูดอย่างไว้เชิง "น่าเกลียดขนาดนั้นนั่นนะ"

ดนัยไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ ไล่อ่านคอมเมนต์แต่ละคนที่ทิ้งไว้ด้านล่างคลิป ซึ่งส่วนมากก็แทบไม่ต่างกับที่ตามเว็บกระดานข่าวทั้งหลายเท่าไรนัก "ผมเป็นรุก คุณเป็นรับ เราเป็นแฟนกัน"

ดอกทานตะวันยืดตัวตรงที่หน้ากระจก "แล้วยังไง"

ดนัยนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง เงียบไปนานจนอีกฝ่ายต้องเรียกซ้ำจึงรู้สึกตัว "ไปฟื้นพลังจักระของคุณเถอะ"

ได้เวลาแล้วแต่ตรี พงษ์พิพัฒน์ยังอยู่ที่เดิมแล้วนั่งมองรูปที่ถูกแทกอยู่ในอินสตาแกรมของตัวเอง เป็นรูปที่ดูอย่างไรก็บาดไปทั้งความรู้สึกจนแทบทนไม่ไหว นิ้วโป้งเลื่อนไปเรื่อย ๆ กระทั่งถึงรูปหนึ่งที่ตรีกำลังทำหน้าพิลึกใส่กล้อง แต่อีกคนในชุดผ้ากันเปื้อนที่ยืนข้าง ๆ นั้นกลับเพ่งโฟกัสอยู่ที่เขา นัทกำลังยิ้ม แววตาคู่นั้นไม่เหมือนที่ตรีเห็นในทุกครั้ง ขณะที่ตั้งใจจะเลื่อนภาพ นิ้วโป้งของตรีก็เผลอกดโดนอีกครั้งจนกลายเป็นโหลดภาพขึ้นมาเต็มจอ ในนั้น เจ้าของภาพกรีดร้องเป็นภาษาต่างดาวไปห้าบรรทัด ก่อนจะปิดท้ายด้วย #พี่ตรีน่ารัก #พี่นัทหล่อ #คืออยู่ด้วยกันแล้วโฮกมาก #งานจิ้นต้องมา ตรีทำหน้าประหลาด ก่อนจะหัวเราะออกมา

หลังจากที่กดปุ่มวางสายแล้ว ดนัยก็นั่งหมุนโทรศัพท์ในมือเล่น อันที่จริงแล้วฤดูร้อนถือเป็นเรื่องหงุดหงิดสำหรับเขาไม่น้อย แปลกที่ตอนนี้เขากลับหวนไปนึกถึงความสนุกของฤดูร้อนที่อยู่ในความทรงจำตอนเด็ก ๆ ตอนอายุ 15 ฤดูร้อนคือทะเลสีครามที่พัทยา อายุ 20 ฤดูร้อนคือช่วงเวลาสนุกกับกิจกรรมรับน้องในมหาวิทยาลัย  25 ฤดูร้อนคือยอดขายและกิจกรรมทางการตลาดที่บริษัทจัดขึ้น แล้วตอนนี้ล่ะ ดวงตาคมหยุดอยู่ชื่อที่อยู่ข้าง ๆ กับปลายนิ้วโป้ง มุมปากของดนัยวาดโค้งขึ้นช้า ๆ รอยโค้งนั้นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ีกำลังยิ้มให้ก้อนเมฆยังไงยังงั้น

ในตอนที่พนักงานเรียก ตรียังยิ้มให้กับภาพที่เห็นไม่เลิก ตอนที่ได้ยินเสียง นิ้วโป้งก็เผลอกดซ้ำลงบนภาพ ตรงช่องว่างระหว่างคู่กัดทั้งสองคนมีหัวใจสีแดงผุดขึ้นมาโดยที่ตรีก็ไม่รู้ตัว








(มีต่ออีกนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อที่เหลือครับ)





อานนท์ละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่แผนกขายเครื่องใช้ไฟฟ้า พยากรณ์อากาศบอกว่าแม้จะมีความกดอากาศต่ำเข้ามาจากทางตอนเหนือและตะวันออกเฉัยงเหนือ แต่อุณหภูมิที่ร้อนจัดของทั่วทั้งประเทศก็ยังคงไต่ขึ้นระดับสูงตลอดหลายวันที่ผ่านมา น่าจะจริง เพราะดูจากจำนวนคนที่เดินเข้ามาในคอมเพล็กซ์มากกว่าปกติหลายเท่า ร้านค้าส่วนนอกที่เป็นประเภทไอศกรีม เครื่องดื่มเย็น ๆ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขณะที่ส่วนใน ยอดขายที่ทะยานขึ้นสูงที่สุดก็คือแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า และเกือบทั้งหมดมาจากการขายเครื่องปรับอากาศ

ในหลายคนที่เข้ามาสอบถามข้อมูลของรุ่นต่าง ๆ ที่เขาได้ดูแลนั้นเป็นเพียงการสอบถามข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบรุ่น ขณะที่พนักงานคนอื่น ๆ ในแผนกกลับปิดงานขายได้เรื่อย ๆ โชคไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สติปัญญา ทักษะไหวพริบ ฐานะ แม้แต่รูปร่างหน้าตาก็ยังกระเดียดไปทางที่ดูจะไม่น่าเอาไปโอ้อวดกับสาว ๆ ได้เลย สิ่งที่อานนท์มีความความอดทน ความพยายาม และใจที่มุ่งมั่น และได้แต่หวังว่ามันจะมากพอจะทำให้อานนท์ผ่านมันไปได้อีกครั้ง

ชาวต่างชาติเป็นกลุ่มลูกค้าที่พนักงานขายต่างกลัว ปัญหาในเรื่องการสื่อสารทำให้กินระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าปกติ แต่ก็มีบางครั้งที่กลุ่มชาวต่างชาติพวกนี้จะพูดภาษาไทยได้ อานนท์จับสายตาอยู่ที่ฝรั่งผมทองตัวสูงโย่งคนหนึ่งที่กำลังดูเครื่องปรับอากาศรุ่นต่าง ๆ พนักงานที่พอพูดภาษาอังกฤษได้ก็ติดลูกค้าอยู่ ที่เหลือก็อยู่ในสภาพกระท่อนกระแท่นไม่ต่างกับเขานัก

หลังจากใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการชั่งใจ ชายหนุ่มร่างเล็กก็คว้าแผ่นพับภาษาอังกฤษแล้วเดินเข้าไปหาชาวต่างชาติคนนั้น เอ่ยทักด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทยแท้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

"Good morning, sir. How can I help you?"

"Guten Morgan !" ชาวต่างชาติคนนั้นหันมาส่งยิ้มกว้าง

อานนท์ยืนอึ้ง อ้าปากหวอ กูท-เอน-มอร์-เก็น แปลว่าอะไร ไม่ใช่ กู้ดมอร์นิ่งเหรอ

"Verzeihung. Umm...I can't speak English fluently. Can you speak German ?"

รู้สึกเหมือนปากตัวเองจะแห้งผาก เฟร์-ไทซ-ฮุง มันคืออะไรกันนะ อานนท์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ "เยอรมัน" ที่พอฟังรู้เรื่องมีแค่คำนี้

"Ja"

หยา ? หยาอะไร หรือว่าคือไอ้หยา ? สรุปว่าฝรั่งคนนี้พูดภาษาจีนเหรอ ?

ลนลานอย่างหนักจนไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงดี สุดท้ายอานนท์เลยได้แต่ยกมือไหว้ปลก ๆ พร่ำคำขอโทษนับสิบครั้งจนอีกฝ่ายยกมือขึ้นประนม แล้วพูดตาม ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิด แถมความพยายาม หนึ่งในคุณสมบัติด้านดีเพียงไม่กี่อย่างที่มีก็ดูจะสลายไปพร้อมกับภาษาที่ฟังไม่คุ้นหู สุดท้าย อานนท์ก็โค้งให้ด้วยความรู้สึกขอโทษ ก่อนจะจับมือชาวต่างชาติคนนั้นเขย่า ๆ แบบที่เคยเห็นในหนัง

"คือว่า...ผมพูดภาษาไทยได้...นิดหน่อยครับ"

ฮานส์ส่งเสียงพึมพำกับตัวเอง ตั้งใจจะกวักมือเรียกผู้ชายที่เหมือนตุ๊กตาคนนั้นเอาไว้ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็ไม่ได้มีความคิดใดที่จะซื้อเครื่องปรับอากาศก็เลยตัดสินใจเดินออกมาจากที่ตรงนั้น

เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลเมื่อตอนสาย แต่จะให้กลับไปนั่งจมอยู่กับห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อันอุดอู้ก็ดูจะเสียเที่ยว คอมเพล็กซ์แห่งนี้เป็นสิ่งที่ฮานส์เห็นในตอนที่นั่งแท็กซี่ออกมาจากแอร์พอร์ตสุวรรณภูมิ คิดว่ามันดูโอ่งโถงดี แล้วก็โชคดีได้ทักทายกับคนไทยแบบนี้ อย่างน้อยฮานส์ก็ได้ใช้ธรรมเนียมไหว้แบบคนไทยที่นภเคยสอนไว้ให้เกิดประโยค ไหว้มาก้ไหว้กลับ แต่นภไม่ยักบอกว่าคนกรุงเทพชอบไหว้กันขนาดนี้

ฮานส์เดินลัดลงไปในส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตด้านล่าง เล็งไปที่น้ำสมุนไพรบางอย่างที่เป็นสีแดงดูน่าดื่ม ภาษาอังกฤษเขียนว่า Roselle ส่วนภาษาไทยนั้น ฮานส์อ่านไม่ออก ลังเลอยู่สักพัก ชายหนุ่มผมทองก็จิ้มนิ้วชี้ลงไปที่น้ำสีแดงเข้มที่ว่า มันจะคล้ายกับแซงเกรียที่เคยดื่มที่สเปนหรือเปล่านะ

"กระเจี๊ยบเหรอคะ"

"กระเจี๊ยว ๆ" ฮานส์ทวนคำที่ได้ยินเสียงดังลั่นจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหัวเราะคิกคัก

ในสายตาของชาวต่างชาติอย่างฮานส์ ผู้ที่คลั่งวัฒนธรรมไทยเป็นยิ่งนักรู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใกล้วิถีชีวิตแบบคนไทยมากขึ้นไปทุกทีแล้ว

"น้ำกระเจี๊ยวอร่อยมากกก..." ฮานส์หันไปกะพริบตาให้กับคนที่ต่อแถวด้านหลัง

เห็นแม่ค้าส่งยิ้มให้ คนอื่น ๆ ละแวกนั้นก็อยู่ในกิริยาที่ไม่ต่างกัน นี่สิถึงเรียกว่า "สยามเมืองยิ้ม" ฮานส์ยืดเต็มที่ ภูมิใจกับการออกเสียงภาษาไทยในระดับที่เจ้าของภาษายอมรับ ชายหนุ่มร่างสูงวางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ ยกมือขึ้นพนมบนอกแบบที่เคยเห็นในเทปที่เปิดแนะนำประเทศไทยบนเครื่องบิน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

"ขอบคุณครับ"








นี่เป็นเช้าวันแรกที่กรุงเทพซึ่งนภตื่นมาโดยไม่ได้ได้ยินเสียงอรุณสวัสดิ์สำเนียงแปร่ง ๆ ของฮานส์ เมื่อคืนกว่าที่นภจะหลับไปได้ก็น่าจะเลยตีสองเข้าไปแล้ว เขานอนตาค้าง ลืมตาในความมืด หัวสมองเต็มไปด้วยบทสนทนาซ้ำซากที่มหาวิทยาลัยระหว่างเขาและปืน และเพื่อที่จะหยุดคิดถึงมัน นภก็เลยดื่มเบียร์ไปสองสามกระป๋อง คล้ายกับแอลกอฮอล์จะอนุญาติให้มีพื้นที่ของความว่างเปล่าในหัวสมองมากขึ้น อย่างน้อยก็ชั่วเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว แดดในฤดูร้อนเคาะหน้าต่างทักทายแต่เช้า ระหว่างที่จัดการธุระส่วนตัวแล้วเปิดโทรทัศน์ดูรายการเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แค่ได้ยินเสียง นภก็จำได้ว่าเป็นใคร

"ทิมใช่ไหม" เบอร์โทรศัพท์ชั่วคราวระหว่างที่อยู่กรุงเทพ ถ้าไม่โทรผิดก็มีไม่กี่คนที่รู้

"ขอโทษที เพิ่งเห็นเมื่อเช้านี้ ทุกอย่างโอเคไหม"

"ไม่เป็นไรหรอก เพราะหลังจากลงเครื่องมา เพื่อนก็ไม่สบายตลอด เมาเครื่องแถมพ่วงอาการท้องเสียเข้าไปอีก นี่ยังนอนโรงพยาบาลอยู่เลย เรื่องแนะนำที่เที่ยวคงไม่จำเป็นแล้ว แต่ก็ขอบคุณที่โทรมานะ"

นิ่งไปสองสามวินาที ทิมก็ส่งเสียงกลับมาอีกครั้ง "เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงฟังแล้วแปลก ๆ"

"ไม่มีอะไรหรอก"

แม้จะไม่ค่อยเชื่อ แต่ในเมื่อตอบแบบนั้น ทิมก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ถาม

เงียบไปสักพัก เสียงที่ดูพยายามสดใสขึ้นก็ดังขึ้นที่ปลายสาย

"ทิม ขอถามอะไรหน่อยสิ" ริมฝีปากของนภแตะเบา ๆ ที่กำปั้นซึ่งกำหลวม ๆ เหมือนจะลังเลในสิ่งที่กำลังจะพูด "นายเคยมีคนที่ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่เคยลืมหรือเปล่า ไม่ว่าเรื่องที่ดี ไม่ว่าเรื่องที่ร้าย ทุก ๆ เรื่อง คนที่ต่อให้เราคิดว่าวางตัวอย่างดีแค่ไหนแล้ว แต่เอาจริง พอได้พูดคุย ได้อยู่ใกล้ ๆ ที่มั่นใจว่าโอเคกลับกลายเป็นไม่โอเค รู้สึกประหม่า กลัวจนสั่นไปหมด"

"นี่กำลังพูดบ้าเรื่องอะไรกัน"

"นั่นสิ พูดเรื่องอะไรกันนะ"

"มี"

"หือ"

"ใคร ๆ ก็มีทั้งนั้นแหละ อย่างี่เง่าน่า มันก็แค่อาการแอบรัก จะมาถามในเรื่องที่ตัวเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วไปเพื่ออะไร" เสียงทุ้มของทิมดูจะเข้มข้นขึ้น

"อย่างนั้นเหรอ ฉันคงกำลังสับสนมั้ง ไม่รู้ว่าควรทำยังไง"

"ไม่รู้เหรอ ไม่มั้ง" ทิมเยอะ พูดตรงไปตรงมาเหมือนเดิม "อย่างที่พูดแหละ คำตอบน่ะมันมีอยู่ในใจแล้ว เป็นคำตอบที่ชัดเจน ไม่มีความสับสนด้วยซ้ำ ที่เป็นอยู่คือนายกำลังแกล้งหลอกตัวเองว่าไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่างหาก"

เมฆหมอกแห่งความลังเลสลายไปพร้อมกับแดดร้อน ๆ ที่เผาทั้งกรุงเทพอยู่กลางท้องฟ้า นภนึกขำตัวเอง ไม่คิดว่าจะต้องมาถูกความรักครั้งที่สองของตัวเองด่าเอาเพราะรักแรกที่ลืมไม่ลง ประสบการณ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนฉากที่พบได้ทั่วไปในนิยายแนวรักรันทด ทั้งที่คิดมาตลอดเวลาตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ในเรื่องความรักกลับดูไม่ต่างอะไรกับวัยรุ่นอ่อนเดียงสา หลายคนเมื่อเติบโดเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเข้มแข็งขึ้น ขณะที่อีกหลายคน ยิ่งเติบโตกลับยิ่งอ่อนแอ นภคิดว่าตัวเองเป็นอย่างหลัง

หลายนาทีต่อมา นภก็ออกมาจากห้องเล็ก ๆ อันอุดอู้ โมงยามแห่งความสับสนลังเลกำลังก้าวผ่านไปสู่ชั่วเวลาที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริง นภหยอดเหรียญ ขึ้นรถไฟใต้ดินสู่ถนนสายเล็ก ๆ ใจกลางเมืองหลวงที่เริ่มจะคุ้นตา ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่กระวีกระวาด นภคิดว่าโลกของคนกรุงเทพคงกำลังหมกมุ่นอยู่กับการหนีความร้อนที่เผาจนแสบไปถึงชั้นกล้ามเนื้อ เม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ซึมไปทั่วทั้งเสื้อ ลมร้อนปะทะหน้าจนแสบชา ดูนภจะเป็นสิ่งมีชีวิตอันแปลกปลอมเพียงคนเดียวที่เผชิญหน้ากับความร้อนดั่งไฟเหล่านั้นโดยดี นภไม่คิดจะหนีอีกแล้ว

ลัดเข้าซอยเล็ก ๆ ไปไม่กี่สิบเมตรจนถึงหน้าร้านอาหารขนาดกะทัดรัด กรวยไอศกรีมขนาดใหญ่กว่าของจริงสักร้อยเท่าซึ่งตั้งอยู่กับพื้นหน้าร้านบอกให้รู้ว่าเขามาไม่ผิดที่ หมาสองตัวนอนหงายพุงแอ้งแม้งอยู่กับพื้นคล้ายกับคนขี้เกียจที่ไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอน นภมองภาพนั้นอยู่สักพักกระทั่งเห็นเงาทาบสงที่ปลายรองเท้าทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นก็พบกับคนที่อยู่ในความคิด

"เจอกันอีกแล้วสินะ" นภทัก

"คนกรุงเทพเดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อในพรหมลิขิตหรอก ชีวิตในกรุงเทพวุ่นวายเกินกว่าจะมาเชื่ออะไรแบบนั้นแล้ว" ปรมะตอบด้วยรอยยิ้ม

นภทิ้งตัวลงในความเงียบ ใจหนึ่งก็หวังว่าตัวเองจะถูกดูดกลืนหายไปในแสงแดดอันแสนอบอ้าวของเมืองที่แออัดเกินไปอย่างนี้ แต่อีกใจที่มั่นคงและแข็งแกร่งกว่าส่งกำลังให้ปลายเท้าทั้งสองข้างให้ยืนหยัดอยู่กับที่ ไม่หนีไปไหน

"ไปเดินเล่นกันไหม" ปรมะถามเหมือนขอความเห็น แต่เท้าข้างหนึ่งเบี่ยงนำออกไปก่อนแล้ว

เดินไปอีกไม่นานนัก ปรมะก็นั่งลงที่เดิม ใต้ร่มไม้ที่เล้าแหว่ง บนแกรนิตสีเข้มหน้าอาคารสำนักงานขนาดย่อมแห่งหนึ่ง นภย่อตัวนั่งลงข้างกัน จ้องปูนซีเมนต์สีเทาอยู่หนึ่งนาทีแล้วหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋า เสียงเล็ก ๆ จากซอกหนึ่งของสมองบอกว่านี่น่าจะเป็นการฆ่าเวลาแห่งความกระอักกระอ่วนอย่างมีชั้นเชิงที่สุดในตอนนี้ จุดแดงเล็ก ๆ วาบขึ้นที่ปลายมวนกระดาษสีขาวก่อนก่อนที่ควันอันบางเบาจะลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ แล้ววางซองบุหรี่กับไฟแช็กข้าง ๆ ตัว

"เอาไหม"

ปรมะลังเลอยู่นิดหนึ่งก่อนจะผงกหัวขึ้น "สุดท้ายแล้วนะ ว่าจะเลิกดูดแล้ว พอซะที" กลิ่นของนิโคตินเจือในอากาศ ท้าทายอุณหภูมิของฤดูร้อนอย่างไม่เกรงกลัว

"ถ้าทำได้ นายก็ควรเลิกนะ อย่างที่เขาพูดกันแหละ มันไม่ดีต่อตัวเราเท่าไหร่" เสียงทุ้มที่เจอไปด้วยความอ่อนโยนนั้น นุ่มนวลคล้ายรสบุหรี่ที่แตะอยู่บนปลายลิ้น

ปกติแล้วนภสูบบุหรี่เพราะรสชาติที่ฝาดขมนั้นทิ้งสัมผัสของความหวานชุ่มไว้ในปาก ไม่ได้เกี่ยวกับสรรพคุณการผ่อนคลายความเครียดใด ๆ ของมัน ไม่เกี่ยวจนมาถึงตอนนี้

"ใคร ๆ ก็รู้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้หรอก" นภตอบ อัดความสีเทาลงปอดแล้วพ่นออกมาพร้อมกับความทรงจำที่อยู่ภายใน

"ฉันน่ะ เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่คิดว่าสนิทกันมากจนรู้จักเรื่องของนายทุกเรื่อง ทั้งที่คิดมาตลอดแบบนั้นแท้ ๆ" นภนิ่งไปสักพัก ควันสีเทาไหลเข้าไปอดีตที่เต็มไปด้วยคำถาม คลายกุญแจที่เก็บงำความลับออก "ตอนนั้น คนที่บอกว่าเราเป็นเพื่อนรักกันคือนายเองไม่ใช่เหรอ ระหว่างเราจะไม่มีความลับต่อกัน เรื่องของนายก็คือเรื่องของฉัน เรื่องของฉันก็คือเรื่องของนาย"

ปืนหันมาสบตานิ่ง ก่อนจะหันกลับไปเขี่ยปลายบุหรี่ ทิ้งเถ้าสีเทาให้กรูลงพื้น

"แย่แฮะ พูดอย่างนั้นไปด้วยเหรอ" เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม "ขอโทษนะ จำไม่ได้เลย"

"จำหรือลืมไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก" นภทอดสายตาออกไปในแสงแดด สระ พยัญชนะในใจค่อย ๆ ประกอบออกมาเป็นคำ กลายเป็นประโยค และนภก็แค่ไล่อ่านมันไปทีละบรรทัด "เมื่อก่อนก็เคยถามตัวเองเล่น ๆ ว่าถ้าได้พบอีกครั้งจะทำยังไง เพราะรู้ว่าชีวิตของเราสองคนไม่ได้เหมือนกับอากาศพวกนี้ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว พบแล้วก็กลับมาพบกันใหม่เรื่อย ๆ เหมือนกับฤดูร้อนที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาของมัน เราสองคนเจอกันครั้งแรกตอนเข้ามหาวิทยาลัย อายุสิบกว่า ๆ ต้องใช้เวลาอีกสิบกว่าปีถึงจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง"

จากเสียงที่เงียบที่สุดกลายเป็นเสียงที่ทรงพลังที่สุดเมื่อผ่านการสลักเสลาของวันเวลา

"ดูนี่สิ กรุงเทพ ทั้งที่เกิดมาที่นี่ คิดว่ารู้จักทุกซอกทุกมุม ตอนนี้กลับจำอะไรไม่ได้เลย สิบกว่าปีมันนานนะ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตั้งมากมายก็ไม่แปลก แต่นายน่ะ เป็นข้อยกเว้น" นภมองไปข้างหน้า เห็นเด็กวัยรุ่นสองคนวิ่งไล่กันในเศษเสี้ยวความทรงจำในอดีต รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุขที่วนอยู่รอบ ๆ ตัวราวกับเพื่อนสนิทที่ผูกกันมาแสนนาน ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะจากไปพร้อมกับควันบุหรี่ "นายจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็แล้วแต่นายเถอะ จะเติบโตขึ้นจนเปลี่ยนเป็นคนละคน จะทำงานที่ต่างกับที่เรียนมาไปไกลแค่ไหน สำหรับฉัน นายยังเหมือนเดิม ยังเป็นปืนคนเดิมที่ฉันรู้จัก"

ขณะที่บุหรี่มวนต่อไปถูกจุดขึ้น นภก็พูดต่อ "เราสองคนเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงจะผ่านมานานแต่ก็เห็นได้ชัดว่านายก็รู้จักฉันมากพอ จับจด เชื่องช้า เป็นคนที่อยู่กับอดีต นิสัยไม่ได้เรื่องพวกนี้ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร ดูมันจะหลอมรวมจนกลายเป็นตัวตนไปแล้ว คงไม่มีวันหายไปแน่ ๆ ดังนั้น..."

สองสามวินาทีที่ม่านหมอกอันมัวซัวถูกพ่นออกมา คล้ายกับว่ามีความเจ็บที่บาดลึกแอบซ่อนอยู่ในนั้น

"ดังนั้น ถ้านายไม่สะดวกใจในการที่เรากลับมาพบกันอีกครั้ง หรือถ้านายอยากจะลืมเรื่องเก่า ๆ อยากเดินต่อไปข้างหน้า หรือจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ฉันขอร้อง...ในฐานะที่นายน่าจะได้เรื่องกว่าคนอย่างฉัน ช่วยลืมฉันทีได้ไหม"

ดวงตาคมของคนที่นั่งเงียบจับจ้องอยู่ที่รอยยิ้มเรื่อย ๆ ของนภ

"เพราะที่ผ่านมา ฉันคิดถึงนายมาตลอด"

เป็นคำพูดเรียบ ๆ ง่าย ๆ ที่ตรงกับความรู้สึกของผู้พูดที่สุด

"ของที่ชอบน่ะ ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืมหรอก" ไม่มีวี่แววแห่งความตัดพ้ออยู่ในดวงตาที่สดใสคู่นั้น สิ่งเดียวที่ปรมะมองเห็นคือความเข้าใจ จริงใจ ตรงไปตรงมา "จะให้ลืมนาย มันเป็นไปไม่ได้เลย"

นภยืนขึ้น คล้ายกับต้นไม้ที่ียืดหยัดท่ามกลางแสงแดดที่ไม่เคยปรานีใคร "ขอบคุณมากสำหรับสองวันที่ผ่านมา"

เป็นน้ำเสียงที่เจือด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว เสียงนั้นยังคงแว่วอยู่ในบริเวณนั้นสักพัก เช่นเดียวกับกลิ่นของบุหรี่ที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของปรมะตลอดเวลา

ปืนยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองไปรอบ ๆ ตัวที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ก่อนที่ใบหน้าคล้ามแดดจะแหงนขึ้นมองท้องฟ้า เวลาเปลี่ยน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป จะมีก็แต่ผืนฟ้าสีครามของกรุงเทพ

ท้องฟ้าสีน้ำทะเลของฤดูร้อน...ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย








ผ่านไปอีกตอน ขยับเข้าใกล้เส้นชัยไปอีกนิด รู้สึกปลื้มปริ่มตัวเองที่พอจะได้ตามเป้าขึ้นมาหน่อย
ไม่รู้ว่าพี่ฮานส์จะทำให้เจอเซ็นเซอร์หรือแบนหรือเปล่า หวังว่าคงไม่นะ มันไม่ได้ทะลึ่งแบบนั้น 5555
ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามกันครับ จะพยายามมาอัพตอนต่อไปให้ไวที่สุดนะ / ปาดเหงื่อ ฮ่าๆๆ

+1 ให้กับทุกคอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ที่ติดตามอ่านกัน พบกันตอนหน้าครับ

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
ตอนก่อนมีหมอตุลกะหมอภัทร ตอนนี้มีพี่คะน้ากับน้องทิม รวมญาติมาก ๆ 555

PS. น้ำกระเจี๊ยว!!! >\\\<

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
เราสงสารนภ นางทำอะไรทำไมชีวิตดาร์กแบบนี้ ปืนอย่าใจร้ายนักเลย
แต่ลึก ๆ ก็แอบคิดว่า เออ ถ้าไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ แล้วนภก็ลืมไม่ได้ ก็อย่าไปเจอเลยดีกว่า
ก่อนหน้าที่จะบังเอิญมาเจอปืนอีกครั้ง นภก็คงไม่ได้ดูหม่นเหงาเศร้าสร้อยขนาดนี้หรอกมั้ง

ว่าแต่นี่นัทชอบตรีแล้วสินะ ฮาาาา ตรีก็น่ารักจริง ๆ แหละ ช่วงหลัง ๆ น่ะ
รออ่านคู่นี้ต่อ จะมีฉากหวานกันบ้างมั้ยเนี่ย

ปล. อีทิม อีหื่น สงสารคะน้า ต้องรับมือกับคนประเภทไหนเนี่ย 5555555555555
ปลล. รอบหน้าจะมีอิแม็กซ์โผล่มั้ยเคอะะะะะะะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ชีวิตรักของนภนี่จะมีที่สมหวังบ้างมั้ย
ทำไมมันขมขื่นจัง ผิดหวังทั้งสองครั้งเลยนะ เฮ้อ

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
มีคะน้ากับทิมโผล่มาให้หายคิดถึงด้วยแหะ

คู่นัท-ตรี ฮากับคำว่า'พลังจักระ'55555
คู่นี้รัศมีความวายแผ่ซ่านมากๆ ฟินนน :impress2:

ฮานส์โหดมาก อ่านแล้วสะดุ้งเลย555

คู่ปืน-นภ "ของที่ชอบน่ะ ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่มีวันลืมหรอก จะให้ลืมนาย มันเป็นไปไม่ได้เลย"...อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึกว่า นภเก่งมาก บางครั้งการที่จะพูดอย่างนี้กับใครซักคน มันต้องใช้ความกล้า..ไม่ง่ายเลยจริงๆนะ :hao5:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ต่อให้ลืมไม่ได้แต่ชีวิตก็ยังต้องก้าวไปข้างหน้า อาจบังเอิญได้หมุนมาเจอกันอีกครั้งหรือไม่อีกเลย เศร้า...

ออฟไลน์ bew_yunjae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ทิมยังเป็นทิม ที่หื่นเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
แกจะมา outdoor อะไร๊!!!!
นภน่าสงสารจัง ~~~
อานนท์สู้ๆน้าาา
ฮานส์ฮามากกก

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ มาแล้วๆๆๆ ช่วงนี้พยายามอัพให้ถี่จะปิดเรื่องให้ได้ครับ จะได้ไปปั่นเรื่องเดิมต่อ
เหลืออีกไม่กี่ตอนแล้ว ฝากด้วยนะครับ +1 ให้กับทุกเมนต์ด้วยครับ ขอบคุณจริงๆ






ตอนที่ ๑๑


"อย่างที่รู้ว่าน้าน้ำเป็นคนดูแลเครื่องไอศกรีมนี้ ดังนั้น เด็ก ๆ จะต้องช่วยน้าเข้าใจไหมคะ" ปรายฟ้ายืนกอดอกหน้าเครื่องทำไอศกรีม มองดูเด็กตัวน้อยสองคนที่ยืนส่งสายตาใสแจ๋ว "แล้วถ้าเป็นเด็กดี สงกรานต์นี้ น้าสัญญาว่าจะซื้อปืนฉีดน้ำให้กับทุกคน"

ชาฮิดและมีราส่งเสียงเฮ กระโดดโลดเต้นดีใจไปตามประสาเด็ก ๆ

เด็กก็มักจะเป็นอย่างนี้ มีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ ที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระไม่มีค่า ตรงไปตรงมา ไม่มีเตียงสามารยาแบบผู้ใหญ่ แสงไฟจากโคมที่ติดบนเพดานสร้างบรรยากาศของร้านอาหารขนาดย่อมแห่งนี้ให้แตกต่างไปจากโลกที่แสนร้อนระอุภายนอก ในร้านเป็นเหมือนสวรรค์เล็ก ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อน ไม่ต้องโก้หรู มีพิธีรีตรอง เป็นร้านประเภทที่สามารถสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมานั่งทานอะไรสบาย ๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมองว่าผิดมารยาท หญิงสาวตระเตรียมข้าวของที่ส่วนมากจะเป็นผลไม้กับของเชื่อมต่าง ๆ เพื่อใช้สำหรับแต่งหน้าไอศกรีม เสร็จเรียบร้อยแล้วก็หยิบผ้าผืนเล็ก ๆ มาใช้ทำความสะอาดไปทั่วเคาน์เตอร์โดยมีลูกสมุนเป็นเด็กตัวน้อยสองคนที่คอยช่วยอย่างแข็งขัน

"แล้วธีมหายไปไหนกันนะ มีใครเห็นหรือเปล่า" ปรายฟ้าหันไปถามเด็ก ๆ ทั้งสอง แต่ทั้งชาฮิดและมีราก็ส่ายหัวไม่รู้ "ลูกฉัน ให้มันได้อย่างนี้สิน่า" ปรายฟ้าบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วหันไปทำงานต่อ

สักพักใหญ่ ๆ ประตูร้านก็เปิดขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กตัวน้อยที่มอมไปทั้งตัว ธีมยกมือขึ้นซับเหงื่อบนแก้ม แผลถลอกสด ๆ ที่อยู่บนนั้นทำให้เด็กตัวน้อยสะดุ้ง แต่พอเห็นผู้เป็นแม่มองอยู่ เจ้าตัวแสบก็ตั้งท่าวิ่งหนี

"หยุดอยู่ตรงนั้นแหละธีม" เสียงของปรายฟ้าทำให้ขาเล็ก ๆ หยุดชะงัก "ไปต่อยตีกับใครมาอีกแล้ว"

เด็กตัวน้อยปากแข็งกว่าที่คิด ปิดปากเงียบจนปรายฟ้าอ่อนใจ

มีราที่เห็นธีมมีแผลก็รีบเดินมาถามด้วยความเป็นห่วง "พี่ธีมเจ็บไหม"

"ไม่ต้องมายุ่งน่า" คำตอบนั้นสำหรับมีราและปรายฟ้าผู้เป็นแม่

ชาฮิดเห็นท่าทางของธีมก็เป็นห่วง แล้วพอเห็นน้าน้ำที่ปกติดูใจดีนักหนาหน้าเคร่งขึ้นมาก็รีบเดินเข้ามาขอ "น้าน้ำอย่าตีธีมเลยนะครับ ถ้าจะตี ตีผมแทนแล้วกัน เพราะน้าน้ำฝากให้ดูแลแล้วแต่ผมกลับดูแลไม่ดีเอง"

"อุ๊ยต๊าย...น่าเอ็นดู"คำตอบของเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในกลุ่มทำเอาหญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นทันตา

"น้าไม่ตีหรอกจ๊ะ สัญญา" ปรายฟ้าหัวเราะคิก ไม่รู้ว่าอมริตาเลี้ยงลูกแบบไหนถึงได้น่ารักน่าชังแบบนี้ "แต่ชาฮิดดูแลน้องธีมให้น้าได้ไหม อย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นคราวหน้า น้าจะชาฮิดเป็นคนตีธีมแทนหน้า"

ต้นเหตุที่ยืนเงียบอยู่หลังพี่ชายตัวโตส่งเสียงประท้วงขึ้นทันที "แม่อ่า...ไม่ต้องเลยนะ"

"ทำไมยะ"

เด็กชายชวิศโวยวายดังลั่น "แม่พูดยะได้ยังไง แล้วพูดแบบนั้นกับชาฮิดได้ไง ไม่ต้องเลยนะ ไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม ไม่ได้นะ !" ไม่พูดเปล่า ดึงชาฮิดไปซ่อนด้านหลังอีก

โถ...ตัวเท่าเมี่ยง เขาสูงกว่าเธอไหมจ๊ะธีมน้อย

"ไม่ได้นะคะ น้าน้ำห้ามทำพี่ธีมร้องไห้นะคะ" พอเห็นธีมทำท่าจะร้องไห้ มีราก็ชิงปล่อยโฮออกมาก่อนเพื่อน ร้อนถึงพี่คนโตสุดอีกรอบที่ต้องมาปลอบน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองไม่ให้ร้อง

"มีราไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่ดูแลเอง มีราก็อย่าร้องไห้นะ"

"ค่ะพี่"

ไม่เท่าไร เด็กหญิงก็ดูจะสะอื้นน้อยลง มีราเป็นเด็กหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย ลองถ้าเป็นลูกชายตัวแสบของเธอสิ จะมีแบบนี้ไหมล่ะ ดูสิดู ดูเจ้าธีมเสียก่อน ยังมีหน้ายกนิ้วขึ้นมาอุดหู ทั้งที่มีราเป็นคนช่วยตัวเองแท้ ๆ

"ช่วยน้าน้ำนะ เดี๋ยวพี่จะไปดูพี่ธีมให้" ชาฮิดหันไปกำชับกับน้องสาว ปรายฟ้ามองดูเด็กหญิงพยักหย้าหงึก ๆ เชื่อฟังที่พี่ชายสอนทุกอย่าง แปลกแสนแปลกทั้งที่ชาฮิดดูจะเป็นคนใจดีแท้ ไม่ค่อยจะเอ็ดตะโรใครแท้ ๆ แต่กลับกล่อมใครต่อใครได้อยู่หมัด มีราก็หนึ่ง ไหนจะลูกของเธออีก ดูเหมือนจะถูกความใจดีของพี่ชาฮิดทำให้ติดแจไม่ไปไหน ตกดึกก็ร่ำ ๆ ว่าจะเอาพี่ชาฮิดกลับมาบ้านทุกคืนจนปรายฟ้าไม่รู้จะตอบคำถามลูกตัวเองยังไง

"เลี้ยงลูกยังไงกันนะคะ น้ำละนับถือจริง ๆ" เธอส่งเสียงถามอมริตาที่อยู่ใกล้ ๆ

"ทำไมมีเรื่องอีกแล้ว ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะไม่มีเรื่องกับใครอีก พี่โกรธนะ รู้ไหม"

"แทบไม่มีเวลาเลยค่ะ แต่คงเพราะว่าเขาติดพ่อมาก เคยรับปากพ่อไว้ว่าจะดูแลน้องอย่างดี ก็เลยเหมือนจะตั้งใจรักษาสัญญาเอาไว้ให้ได้น่ะค่ะ"

ฟังแล้วปรายฟ้าก็อมยิ้ม มองชาฮิดที่วิ่งตามลูกเธอไปไหนต่อไหนแล้ว "คล้ายกับธีมเลยค่ะ เด็กคนนั้นจริง ๆ แล้วก็รักพ่อมาก"

อมริตาเดินมาสบทบกับปรายฟ้าที่มองดูเด็กชายตัวเล็กสองคนแล้วก็หมาตัวอ้วนปุ้มปุ้ยอีกสองตัวที่วิ่งตาม ๆ กันไปบนทางเดินเล็ก ๆ ในซอยที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คน "เด็กผู้ชายมักติดพ่อน่ะค่ะ เราก็ดูแลเขาไปเท่าที่จะทำได้"

ชาฮิดคว้าชายเสื้อของร่างเล็กที่วิ่งอยู่ตรงหน้า ธีมก็เลิกวิ่งแต่โดยดี เด็กชายสองคนหอบแฮ่ก พร้อมกับลูกสมุนสองชีวิตที่วิ่งตามกันมาเพราะนึกว่ากำลังเล่นไล่จับกัน ลิ้นห้อยกันไปตาม ๆ กัน

"ธีมไม่รู้เหรอว่าพี่เป็นห่วงนะ ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กด้วย เห็นไหม"

ตัวปัญหาเงยหน้ามองชาฮิดแล้วมองสุนัขสองตัวที่นั่งแลบลิื้นแดง ๆ จนเกือบจะถึงพื้นอย่างรู้สึกผิด "ขอโทษครับ"

ชาฮิดจูงมือธีมไปที่เดิมซึ่งทั้งสองเคยมานั่งเล่นกันคราวก่อน พี่ชายดูแผลแล้วทำท่าเจ็บแทน เด็กน้อยดึงผ้าเช็ดหน้าลายโปรดขึ้นมาซ้บแก้มน้องเบา ๆ แล้วหยิบยาที่ติดมือก่อนออกจากร้านมาเปิดฝา "พี่ทายาให้"

"แต่..."

"ไม่ต้องแต่"

"แม่บอกว่าลูกผู้ชายค้องห้ามแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น" ธีมอิดออด "โดยเฉพาะ...คนที่เรารัก"

ชาฮิดฉีกยิ้มกว้างจนธีมก้มหน้าหลบด้วยความเขิน

"แต่พี่อยากให้ธีมร้องไห้กับพี่ เพราะพี่จะได้ดูแลธีมได้ไง"

"ได้เหรอ ?" ดวงตาเล็ก ๆ ของเด็กชายชวิศเป็นประกาย

"ได้สิ เป็นความลับของเราสองคนไง"

สิ้นคำ ธีมก็โผเข้ากอดชาฮิดแล้วร้องไห้โฮจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันกลับมามอง "ชาฮิด...ชาฮิดดดด..."

อุ้งมือเล็ก ๆ ของคนที่ตัวสูงกว่าลูบเบา ๆ ไปบนผมที่ยุ่งเหยิงนั้นก่อนจะสวมกอดคนที่ร้องไห้อยู่จนแนบแน่น "ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้"

"ขอโทษนะ จะไม่ทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว สัญญา"

"โอ๋ ๆ เจ็บไหมเนี่ย"

ธีมสะอื้นจนตัวสั่น "เจ็บมากกก...เจ็บมากเลยยยย...โฮฮฮฮ..."







แดดกลางฤดูร้อนส่องสว่างไปทั่วกรุงเทพ ท้องฟ้าใสสะอาด แดดจ้าและร้อนจัดติดต่อกันมาหลายวันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พรุ่งนี้จะเป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุดกว่าทุกปีที่ผ่านมา สายลมเอื่อยโชยพัดมาสะกิดผิว นาน ๆ ทีอาร์มจะได้สัมผัสกับกระแสลมที่ปกติจะพัดอยู่ตลอดเวลาในบริเวณนี้ บ้านของหนึ่งเป็นบ้านเรียกลม เย็นสบายตลอดทั้งปี จะเว้นก็แต่ปีนี้ที่พระอาทิตย์ชนะทุกสิ่ง เรียกว่าสาดแดดแจ๋ทั้งวันกะจะฆ่ากันให้ตาย

ถังขยะยืนหลบแสงแดดอยู่มุมเสาไฟฟ้า อริยะเดินผ่านทางที่คุ้นเคยด้วยแรงเฉื่อย ร้อนจนเหนอะหนะไปทั้งตัว ร้อนจนขี้เกียจ ร้อนจนไม่อยากจะทำอะไร แม่บอกว่าหนึ่งไม่อยู่บ้าน เพิ่งจะออกไปเมื่อกี้

ร้อนแบบนี้จะออกไปไหนกันนะ อริยะได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองแล้วทำหน้าเบื่อ นั่นเท่ากับว่าวันนี้เสียเที่ยวอย่างนั้นสินะ กระจกบนแว่นสะท้อนเป็นแนวรั้วสลับกับกำแพงทาสีขาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่ปลายเท้าทั้งสองข้างจะชะงักงันเมื่อเงาสะท้อนที่อยู่บนสายตานั้นเปลี่ยนไปเป็นภาพของหนึ่ง...กับอีกคนที่คุ้นตา

คุยอะไรกันนะ แล้วทำไมรินถึงมาอยู่ที่นี่ อาร์มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัย เขาควรจะเดินเข้าไปไหม แต่การที่รินมาหาหนึ่งโดยไม่บอกอะไรเลยอาจจะมีธุระส่วนตัวก็ได้มั้ง  เรื่องขี่จักรยานอย่างนั้นเหรอ จะว่าไปแล้วเขาก็ยังไม่ได้บอกเธอเลย คิดดูแล้วอาร์มก็เลือกที่จะยืนหลบอยู่ที่หัวมุมถนน เด็กหนุ่มถอนใจ กระพือเสื้อตรงอกแล้วมองแดดซึ่งลามเลียอยู่ที่รองเท้าผ้าใบทั้งสองข้าง

"ขอโทษนะที่มารบกวนโดยไม่บอกล่วงหน้า" เสียงเล็ก ๆ ของรินดังขึ้นในความเงียบ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังทำหน้ายังไง

"ไม่เป็นไรหรอก แต่รู้จักบ้านเราด้วยเหรอ" หนึ่งตอบ ยิ้มน้อย ๆ ให้คนที่นั่งอยู่เคียงข้าง "มีธุระอะไรน่ะ เรื่องทริปจักรยานหรือเปล่า ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เราคงไปไม่ได้ เราถีบจักรยานไม่เป็นน่ะ ขอบคุณนะที่ชวน"

"อย่างนั้นเหรอ" เสียงของระรินดูเจื่อนลงจนรู้สึกได้ เธอเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "หนึ่งดูสนิทกับอาร์มมากเลยนะ แต่เราสองคนก็อยู่เอกเดียวกัน เรียนด้วยกันหลายวิชา กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันเลย"

พิธานนิ่งเหมือนจมอยู่กับความคิดตัวเอง พูดทุกคำออกมาอย่างยากลำบาก "ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานแล้วน่ะ"

"นั่นสินะ เป็นเพื่อนกันก็เลยสนิทกัน" ระรินมองจ้อง ดวงตาคู่นั้นบอกอะไรมากกว่าสิ่งที่เธอพูด "รินคิดมาตลอดเลยนะว่าหนึ่งเป็นคนดีนะ เรียนก็เก่ง สอบได้คะแนนสูง ๆ เกือบทุกวิชา แล้วก็หน้าตาก็ดีด้วย"

"สู้อาร์มไม่ได้หรอก" หนึ่งก้มหน้าลง หัวเราะน้อย ๆ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ตรงนี้ รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะสดใสก็ช่างตามมาหลอกหลอนกันให้เจ็บปวด "มีอะไรหรือเปล่าริน พูดมาตรง ๆ เถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก"

"ขอโทษค่ะ" เสียงนั้นเบาแผ่ว แต่เน้นความหมายในทุกพยางค์กว่าทุกครั้ง

"หนึ่งมีคนที่ชอบอยู่หรือเปล่า"

ฝ่ามือทั้งสองข้างของหนึ่งรวบเข้าหาตัวเองโดยไม่รู้ตัว เล็บทั้งห้าฝังลงที่กลางมือจนขึ้นรอยแดง "เรื่องนั้น...จะไปมีได้ยังไงกัน"

ผู้หญิงเนี่ย ทำไมถึงชอบทำอะไรแบบนี้นักนะ อาร์มบ่นกับตัวเองแบบนั้น ร่างสูงเอนหลังพิงกำแพงแล้วถอนใจเหนื่อย ยิ้มเบื่อ ๆ ให้กับตัวเอง

ระรินเงียบไปนาน เหมือนถ้อยคำมากมายในใจนั้นกำลังกร่อนลงในร่างเล็กที่ไหวสะท้านน้อย ๆ นั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างเชื่องเช้า ช้าจนระรินได้ยินเสียงหัวใจเต้นจนนับครั้งได้ เด็กสาวตั้งสติ พร่ำบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างกำลังจะเข้าที่ทางแบบที่มันควรจะเป็น

"ถ้าอย่างนั้น คบกับเราได้ไหม"

พูดจบแล้วก็ก็ก้มหน้างุด เส้นเลือดเล็ก ๆ บนสองแก้มย้อมผิวขาวจนปลั่งสีฝาดเลือด ระรินดูลนลาน ทำอะไรไม่ถูก มือไม้ดูจะอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด "เอ่อ...ขอโทษนะ มันดูแย่ใช่ไหม ขอโทษนะ จะถือว่าไม่เคยได้ยินก็ได้"

อาร์มยืนอึ้ง ร่างกายเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหัน พอ ๆ กับความรู้สึกหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ

"เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น แต่รินคบอยู่กับอาร์มไม่ใช่เหรอ"

ระรินตอบ "ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้น เป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ"

"นั่นเพราะว่าอาร์มสนิทกับหนึ่งต่างหาก เพราะเราไม่กล้าที่จะคุยหรือพูดอะไรกับหนึ่งตรง ๆ เราก็เลย..." เด็กสาวละล่ำละลัก "เรื่องแบบนี้ผู้หญิงพูดมันดูไม่ดีไม่ใช่เหรอ"

แขนขาไร้กำลังจะทรงตัว อาร์มทรุดขาลงนั่งกับพื้น เขาหายใจแรง นึกโมโหที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้

ผู้หญิงน่ะขี้โกง ทั้งที่เป็นเขาไม่ใช่หรือที่สมควรจะพูดแบบนั้นกับหนึ่งมากกว่า ทั้งที่เขาใช้เวลากับเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ เรื่องที่ดี ๆ เรื่องที่แย่ ๆ ทั้งที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอะไรด้วยกันตั้งมากมาย สั่งสมความรู้สึกทีละเล็กทีละน้อยทุก ๆ วัน และทำแบบนี้ทุกวันโดยไม่มีขาด เธอรู้หรือเปล่าว่าหนึ่งมีความสุขกับเรื่องอะไร ชอบฟังเพลงไหน ชอบกินอะไร ชอบทำอะไร เธอไม่รู้อะไรเลย เธอไม่รู้เลย

ขี้โกง ! ขี้โกงชัด ๆ ! ทั้งที่อยากจะพูดคำ ๆ นี้มาตั้งนานแสนนาน แต่ก็ทำไม่ได้ แต่ผู้หญิงเนี่ย...เพราะว่าเป็นผู้หญิงถึงพูดเรื่องแบบนั้นกับหนึ่งได้ง่าย ๆ แค่เพราะว่าเธอไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกันแค่นั้นเอง ทั้งที่ตั้งใจจะกันให้ห่างแท้ ๆ ทั้งที่ทำทุกอย่างแล้วแท้ ๆ

บ้า...บ้าจริง มันคงจบลงแล้วสินะ

"ไม่จริงน่า" หนึ่งพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เชื่อหู

"ถ้าหนึ่งไม่มีใคร รินก็อยากจะลองเสี่ยงดู กว่าจะถึงวันนี้ ต้องรวบรวมความกล้ามาก ๆ เลย แต่ถ้าช้าไปกว่านี้ รินก็กลัวว่าหนึ่งจะชอบใคร"

"นี่มันงงไปหมดแล้ว เรื่องจริงหรือล้อกันเล่นเนี่ย" และยังคงพูดกับตัวเองเหมือนสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นไม่ใช่เรื่องจริง "เอ่อ...คือ...ขอโทษที มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย"

เขาเคยชอบแอบมองระริน เธอเป็นผู้หญิงที่สวย ทว่าในแต่ละวัน คนที่ดึงความสนใจไปเกือบทั้งหมดคืออาร์ม ตัวติดกัน ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด จากคำว่าเพื่อน ความรู้สึกดี ๆ มันไปไกลมากมายกว่านั้นจนต้องทนเจ็บเก็บเอาไว้แบบนี้ พอได้มายินอย่างนี้ มันทำให้เขางงจนทำอะไรไม่ถูก

หนึ่งตั้งสติ พยายามรวบรวมความคิดที่ระเนระนาดของตัวเองประกอบขึ้นมาเป็นชิ้นส่วนอีกครั้ง

"ขอบคุณมากนะริน แต่เราต้องขอโทษจริง ๆ อย่าโกรธกันเลยนะ ยังไงก็ไม่ได้หรอก ยังไงก็เป็นไปไม่ได้จริง ๆ" หมัดทั้งสองข้างกำจนแน่นเหมือนไม่รู้เจ็บปวด "อาร์มรักรินมากนะ"

รอยยิ้มเฝื่อนของระรินฝาดไปด้วยความปวดร้าว คำตอบที่ค้างคาอยู่ในใจมานานนั้นชัดเจนพอแล้วที่จะยอมรับกับความเป็นจริง เด็กสาวลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน แต่ก็แข็งแรงพอที่จะทรงตัวอยู่บนปลายเท้าทั้งสองข้าง

"ขอโทษนะ" พิธานเอ่ยซ้ำ ๆ

ดวงหน้าที่พยักเบา ๆ นั้นคล้ายกับเป็นการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างโดยดี ระรินเดินกลับไปที่ที่เธอมาอย่างเชื่องช้า แต่ละก้าวไม่ได้ง่ายนัก กระนั้นก็ไม่ยากเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบเธอจะทำได้ "รินมีเรื่องอยากจะขอร้องได้ไหม อย่าจับเราไปคู่กับใครเลยนะ ได้ไหม ?"

"ได้สิ เรารับปาก"

"หนึ่ง..." เสียงหวานนั้นแผ่วเหมือนจะละลายไปในแสงแดดฤดูร้อน

"ไม่รู้จริง ๆ น่ะเหรอว่าคนที่อาร์มรักเป็นใคร"

ระรินเดินจากไปแล้ว แต่หนึ่งยังคงนิ่งขึงอยู่กับที่ หัวสมองจับเรียงระบบความคิดที่ทะลักทลายเข้ามาอย่างรวดเร็วกว่าจะเข้าใจและจัดการได้ คำถามประเภทที่ว่าเป็นไปได้รึ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน นับจากนี้ทุกอย่างจะเป็นอย่างไร ต่างรุมเร้ารอบตัวจนทำอะไรไม่ถูก

พระอาทิตย์เปล่งแสงเข้มข้นกว่าทุกวัน ความร้อนนั้นแทงทะลุผ่านชั้นผิวหนัง ซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไหลเข้าสู่หัวใจ กล้ามเนื้อที่เล็กเท่ากำปั้นกำลังเต้นแรงเหมือนจะระเบิด มันไม่ได้เจ็บปวดทรมาน ความร้อนที่มากับคำถามสั้น ๆ นั้นแค่เคาะประตูสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่แอบซ่อนในเงามืด จูงมือให้เดินออกมายืหยัดตรงที่ควรอยู่ จับมือให้กางแขนออก และขยับปากให้ฉีกยิ้มกว้างที่สุด...เพื่อรับแสงแดดของฤดูร้อนที่ร้อนกว่าทุกปี

หนึ่งเดินผ่านหัวมุมถนนด้วยปลายเท้าที่เหมือนก้าวย่างอยู่บนเมฆ ไม่รู้เลยว่าไม่กี่นาทีก่อน มีใครคนหนึ่งนั่งมองเขาจากมุมเล็ก ๆ ตรงนี้







ตรีเดินตัวปลิวออกมาจากฉากพร้อมกับเสียงปรบมือตามมารยาทของทีมงาน พอไม่มีดนัยแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิมแบบที่เคยเป็๋นมา ก่อนหน้านี้ ในแต่ละวันเขาก็แค่มาทำงาน อ่านข่าวไปตามสคริปต์ รายการประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรเลย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อะไรมากมาย อาศัยแค่เป็นคนพูดเก่ง คุ้นกล้อง อ่านภาษาไทยแตกฉาน แล้วจากนั้นก็พูดไปตามเทปข่าวที่ทีมงานเตรียมไว้ หรือไม่ก็ตามที่หนังสือพิมพ์เขียน ใส่ความคิดเห็นอะไรไปแบบชาวบ้าน ๆ กลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ของคนดูรายการประเภทนี้คือคนที่ขี้เกียจจะอ่านหนังสือพิมพ์เอง หรือไม่ก็คนที่ว่างไม่มีอะไรจะดู น่าเศร้าที่รายการประเภทนี้ดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในโลกปัจจุบันนี้ ทั้งที่รายการจำพวกนี้อักแน่นไปด้วยสปอนเซอร์เกือบทั้งรายการ สาระที่ได้ไปเรียกว่าน้อยจนแทบจะไม่มี

ในตอนนั้นที่เข้ามาคัดเลือก ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ พูดภาษาอังกฤษฉะฉาน แถมจบมาด้านการวิเคราะห์ตลาดโดยตรงทำให้ผู้ใหญ่ยัดตรีลงมาที่รายการเล่าข่าวที่ใคร ๆ ก็อยากมานั่งตรงนี้

แต่ไม่ใช่ตรี พงษ์พิพัฒน์

เพราะตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่ใช่แค่ใคร ๆ คุณพ่อบอกมาเสมอว่าลูกเป็นคนพิเศษ และตรีก็จำคนนั้นได้ขึ้นใจ เวลาไปทานอาหาร เขาไม่เคยสั่งแบบธรรมดา คำว่าธรรมดาถือเป็นของแสลงหูสำหรับตรีกว่าที่ใครจะคาดคิด

"พี่โอนเปอร์เซ็นต์ค่าสปอนเซอร์ให้น้องตรีแล้วนะคะ" ดาน่าส่งข้อความมาทางไลน์

"น้องตรีรอก่อนนะคะ อย่าเพิ่งกลับ"

ตรีแค่เปิดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับเพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญ สำหรับการทำงานตรงนี้ คนอื่นอาจจะหวังรายได้เงินทองที่ได้รับเป็นเปอร์เซ็นต์จากเหล่าสปอนเซอร์ตลอดทุกช่วงโฆษณาและทุกวัน แต่ไม่ใช่ตรี เพราะว่าตรีรวยมาก

ย้ำอีกครั้งว่า...รวยมาก

ดังนั้นความใฝ่ฝันของตรีจึงไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เป็นการที่จะได้เป็นพิธีกรรายการประเภทวาไรตี้ เน้นความหลากหลาย ความพิเศษ แบบที่ไม่มีในวงการโทรทัศน์ประเทศไทยจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ตรีไม่ชอบใจนักที่ผู้ใหญ่คิดจะมาถอดตัวเองออกจากรายการที่ทำอยู่ ถ้าเบื่อแล้ว เขาจะลาออกเอง ไม่ใช่ให้มากดดันกันแบบนี้

"หมดทุกข์หมดโศกแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมทำหน้าเหมือนกับตกนรก" เสียงคุ้นหูดังขึ้น และโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง เจ้าตัวก็นั่งจ่อมลงข้าง ๆ เขา

ตรีมองคนตัวสูงที่นั่งหน้าเฉย ด้วยความรู้สึกกรุ่นนิด ๆ "วันนี้ไม่มีอัดของคุณ โผล่มาทำไม"

"คุณดาน่าบอกว่ามีเอกสารที่ต้องจัดการนิดหน่อย เลยให้ผมมาที่นี่" ดนัยตอบ

"แล้วคุณไม่ไปจัดการล่ะ"

เจ้าตัวยักไหล่ทำนองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เฉไฉไปพูดอีกเรื่อง "วันนี้เขามีปาร์ตี้กัน คุณจะไปด้วยไหม"

โดยไม่ต้องคิด "ผมจะไปเฉพาะ Exclusive Party เท่านั้น"

ดนัยขมวดคิ้ว มันต่างกันก็แค่วิธีเรียกให้ดูดีขึ้นในบัตรเชิญไม่ใช่หรือ หากแต่ความรู้จักคนที่นั่งชูคอมาพอสมควร ชายหนุ่มจึงตอบไปแบบให้มันจบ ๆ "แน่นอนว่ามันพิเศษ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เทปนั้น ไจแอนท์โคลาได้รับผลตอบรับที่ดีมากจนน่าตกใจ แม้แต่รายการของคุณเรตติ้งก็สูงสุดเท่าที่เคยมีมาเลยไม่ใช่หรือ"

แทนที่จะฟังแล้วรู้สึกหน้าบานเป็นดอกทานตะวันแบบที่ดนัยคิด ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับทำหน้าเป็นจวักใส่เขา

"กำลังงอนผมอยู่หรือเปล่า"

เมื่ออีกฝ่ายเปิดช่องให้ พิธีกรหนุ่มก็หันไปปาระเบิดใส่ทันที "จำที่คุณทำไว้ไม่ได้หรือไง เมื่อวานคุณทำผมแสบมาก คิดว่ามาร์ก จาคอบจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองออกแบบมาเป็นอย่างดีเลอะเทอะไปหมดแบบนั้น"

"ก็คงดีใจ เพราะเดี๋ยวก็คงจะขายเสื้อตัวใหม่ได้อีกตัวสองตัว"

ตรีหยิกเข้าที่ต้นแขนไปหนึ่งดอกเน้นๆ แต่เขาไม่รู้สึก จนคนหยิกต้องค้อนกลับตาเหลือก "นี่ไม่ตลกนะ คุณรู้อะไรไหม ไม่ว่าจะที่โรงเรียนโยคะ ที่สปา ซูเปอร์มาร์เก็ต เดินไปที่ไหนคนยิ้มให้ผมทั้งเมือง"

"คนยิ้มให้ก็โกรธเหรอ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์อ้าปากพะงาบ เผลอมองรอยยิ้มตรงหน้าอย่าลืมตัว ไปต่อไม่ถูก

เห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไร ซ้ำยังดูจะเขินด้วยซ้ำ เจ้าของรอยยิ้มชวนมองจึงแจกต่อแบบไม่ใคร่หวง

"ยิ้มอะไร" พิธีกรหนุ่มแกล้งกลบเกลื่อน เขม่นตาใส่

"ดูว่าคุณจะโกรธผมไหม"


(ยังมีต่อครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)




"โกรธมาก" ตรีเชิดหน้าตอบทันควัน

อันที่จริง พิธีกรหนุ่มรู้สึกเฉย ๆ แต่เป็นเพราะตรีเกลียดคำว่า...เฉย ๆ ธรรมดา โลกนี้มีความธรรมดามากไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องตอบว่าโกรธ แน่นอนว่าต้องโกรธมาก จะเป็นโกรธเฉย ๆ หรือโกรธธรรมดาไม่ได้ แต่เล็กแต่น้อยที่บ้านบอกไว้ว่ามีอะไรต้องมากเอาไว้ก่อน อย่าให้คนเขาว่าได้

"เหรอ ?" ดนัยถามอารมณ์ดี

"นี่คุณประสาทหรือไง นั่งยิ้มอยู่ได้"

คราวนี้รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ถึงกับเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ

"ผมตาฝาดหรือเปล่า" เขาถาม ก่อนจะเลื่อนหน้ามาใกล้ "แก้มคุณแดงนะ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ร้องแหว "นั่นเป็นคำถามที่คุณควรไปถามช่างแต่งหน้า เขาแต่งเพื่อให้ขึ้นกล้อง อีกอย่าง คุณควรจะรู้ว่าหลังจากกระตุ้นจักระแล้ว ผิวจะมีสุขภาพดี เปล่งปลั่งมาก"

"เพชรที่ว่านั่นเอง" ดนัยหลิ่วตามอง "ก็นึกว่ากำลังเขินอะไร"

คนแก้มแดงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม (แม้จะอยู่ในสตูดิโอก็ตาม) สาบานต่อมาดามโคโค่ ชาแนล และโนโนแกรมตัว C ไขว้ก็ได้ นี่ไม่ได้โกหกเลยสักนิด บอกเลย !

เสีบงผิวปากอารมณ์ดีข้างหูช่างน่ารำคาญ ตรีจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมอย่างเสียไม่ได้ ต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าดาน่าจะจัดการธุระแล้วเดินมาคุยเรื่องที่บอกให้รอเสียที ทิ้งระยะไปสักพัก ร่างของหญิงสาวผมฟูก็โผล่ขึ้นตรงหน้า

"น้องตรีคะ วันนี้เราไปปาร์ตี้กันนะคะ เป็นปาร์ตี้ธรรมดา ๆ กันเองในหมู่ทีมงานนี่แหละค่ะ ไปเลี้ยงฉลองความสำเร็จของเทปที่แล้วกันนะ"

"ปาร์ตี้ธรรมดา !" ตรีแทบกรีดร้อง "โอ้...ไม่ ! นี่มันหยาบคายมาก ! บอกทีว่ามันเป็นเรื่องล้อกันเล่น ไม่ใช่เรื่องจริง"

เห็นได้ชัดว่าครีเอทีฟสาวเหวอไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติได้ "ไม่ใช่ค่าาา...ไม่ธรรมดาต่างหาก ตั้งใจจะเซอร์ไพรซ์ แต่ไหน ๆ ก็ปิดไม่มิดแล้วก็บอกกันตามตรงแล้วกันนะคะ ว่ามันเป็น exclusively เฉพาะคนพิเศษเท่านั้น"

ดนัยทึ่งในความเนียนของดาน่า เข้าใจแล้วว่าเธอพริ้วได้ขนาดนี้เพราะฝึกฝีมือมากับใคร

หน้าของตรี พงษ์พิพัฒน์มีสีขึ้น อาการเสียขวัญบรรเทาลงได้อย่างรวดเร็ว "Dress Code ล่ะ Concept อะไร Theme อะไร"

พริ้วแค่ไหนแต่ก็ไปไม่รอด เจอต้อนแบบนี้เล่นเอาเธอเหวอ ไปต่อไปถูก ดาน่าหันมามองที่ดนัย ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

"เขาจะไปครับ" ดนัยเคาะปลายนิ้วกับคาง พูดอย่างไม่ใช่เรื่องยากอะไร

ถือว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากทีมงานทั้งทีมเสร็จสิ้นแล้ว ดาน่าก็แจ้นออกไปโดยไม่คิดจะอยู่ฟังต่อว่าเหตุการณ์นับจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แน่นอนว่าตรี พงษ์พิพัฒน์ย่อมไม่ยอมเสียแวลาแน่ ๆ คนที่ตอบรับคำแทนจึงนับหนึ่งถึงสามรอ

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด

"ไม่นะคุณนัท ผมไม่ชอบความธรรมดา" เสียงเล็กเสียงน้อยตัดพ้อต่อว่าเต็มที่ ไม่เห็นจะเหมือนเสียงทุ้มแบบที่ใช้พูดในรายการสักนิด

"อย่าให้ทีมงานต้องลำบากใจไปมากกว่านี้เลย"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ทำท่าเหมือนไม่อยากจะเชื่อหู "แต่ชีวิตผมไม่เคยเจอกับความลำบาก ให้คนอื่นลำบากไปเถอะ เขาชินกันแล้ว"

"คุณลำบากใจตรงไหน"

"มันธรรมดา ผมไม่ถูกโฉลกกับคำพวกนั้นคุณนัทก็น่าจะรู้" เจ้าตัวอธิบายอย่างเคร่งเครียด

ดนัยอมยิ้ม ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะหันไปมอบคลี่ออกให้กับคนที่นั่งทุกข์ร้อนจะเป็นจะตาย "แต่คุณเป็นคนพิเศษไม่ใช่หรือ ทุกที่ที่คุณไปมันกลายเป็นที่พิเศษหมดแหละ"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ดึงแว่นกันแดดออกทันที พระอาทิตย์กำลังสาดแสงแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา หรือต่อให้มีพระอาทิตย์สักร้อยดวงมาจ่ออยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ประด็นอีกต่อไป ตรี พงษ์พิพัฒน์คือความพิเศษ ไม่เหมือนใคร และไม่มีใคร(กล้า)เลียนแบบให้เหมือนได้

"อย่าคิดว่าผมจะดีใจนะ" คนพิเศษยิ้มหน้าบานเป็นกระทะหอยทอด "คุณรู้ใช่ไหมว่าหน้าร้อนปีนี้ร้อนที่สุดในรอบหลายสิบปีเพราะใคร"

"ไว้คุณเอาไปถามในรายการให้คนดูเขา SMS มาตอบแล้วกัน"

ตรี พงษ์พิพัฒน์ตาวาว "คุณก็คิดว่ามันเป็นคำถามที่ใช่ได้สินะ"

ดนัยยิ้มนิด ๆ ตอนลุกขึ้น เขาคว้าข้อมือของคนที่เปล่งประกายแข่งกับสปอตไลต์ทุกดวงในสตูดิโอ "เพื่อใม่ให้ผมต้องเสียกับที่รับปากไป จอดรถคุณไว้ที่นี่ ส่วนคุณไปรถผม"

ตรี พงษ์พิพัฒน์รั้งแขนตัวเองเอาไว้อย่างไว้เชิง "ขอเตือนไว้ก่อน ถ้าคุณดูหมอง จะมาโทษกันไม่ได้นะ"

ดนัยยักคิ้วข้างหนึ่งให้กับเจ้าของมือที่กุมอยู่ "ถึงตอนนั้นผมจะโทษตัวเอง"

สัมผัสที่ค่อย ๆ บีบแน่นเข้ามาระหว่างช่องนิ้วแต่ละช่องบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นรู้สึกกับสิ่งที่ได้ยินแค่ไหน







อากาศร้อนทำให้คนเป็นบ้า ใครต่อใครคงจะพูดแบบนั้นกับเขาแน่ ๆ ท่านกลางไอระอุของฤดูร้อน เด็กหนุ่มเหมือนตกอยู่ท่ามกลางความฝันหลากสีสัน คล้ายว่ากรุงเทพที่เป็นเตาเผาขนาดใหญ่นั้นกลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศอ่อนหวานน่ารัก จนอดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มให้กับต้นไม้ใบหญ้าหมาแมว กระทั่งเสาไฟฟ้ามีมีสายระโยงระยางห้อยไปมาแบบนั้น หนึ่งเดินกลับบ้าน ทุกอย่างยังเหมือนตอนที่ออกมาไม่ผิด จะต่างก็แค่ความรู้สึกของเขานั่นแหละที่รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังฟูฟ่องด้วยบรรยากาศสีชมพู

"กลับมาแล้วเหรอลูก แล้วได้เจอกับอาร์มไหม" หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาจากรายการประเภทอาหารที่ครองพื้นแทบทุกช่องบนหน้าจอในช่วงเวลาแบบนี้ "ทำหน้างงอะไรจ๊ะ ไม่ได้เจอกันหรอกเหรอ"

"อาร์มมาที่บ้านเหรอแม่"

"หลังจากที่ลูกออกไปนิดเดียวนั่นแแหละ คลาดกันนิดเดียวเอง" คำตอบที่ได้ยินทำให้หนึ่งไม่สบายใจเลย

หนึ่งตัดสินใจออกไปบ้านของอาร์ม ข้ออ้างดูจะไม่จำเป็นนัก เพราะรู้ดีว่าเด็กสองคนมักจะไปมาหาสู่กับแบบนี้อยู่เสมอ อันที่จริงก็คงต้องบอกว่าเป็นกิจวัตรประจำวันจนชินชาไปแล้ว บ้านของอาร์มอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านของหนึ่ง ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปหลายสถานี แต่เมื่อลงมาจากสถานนีแล้วก็สามารถเดินได้ ไม่จำเป็นต้องต่อมอเตอร์ไซค์เข้าซอยลึกแบบบ้านเขา หลายปีที่ผ่านมา หนึ่งมาที่นี่จนชิน แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะรู้สึกแบบนี้

อาร์มเปิดประตูบ้านต้อนรับ สวมเสื้อโปโลกับกางเกงยีนแบบที่มักจะสวมเวลาออกไปนอกบ้าน

สบตากันสักพัก อาร์มก็ทักขึ้น "ไง"

"มาที่บ้านแล้่วทำไมไม่รอเจอก่อนล่ะ"

"ก็พอดีติดธุระ" สีหน้าของอาร์มดูเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปกติ "เข้ามาไหม"

เจ้าของบ้านมุ่ยหน้าแล้วเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องแบบทุกที

"ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย อย่างกับคนท้องผูก" หนึ่งถาม แต่อีกฝ่ายดูจะปากแข็งกว่าที่คิด ท่าจะง้างปากกันไม่ได้ง่าย ๆ แน่ "เมื่อกี้รินมาหาที่บ้านแหละ แปลกใจมากเลยที่รู้จักบ้านด้วย"

"เหรอ" อาร์มรับคำสั้น ๆ ตอนที่เปลี่ยนเป็นเสื้อยืด เดินมานั่งบนเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ที่แปลกใจมากกว่าคือตอนที่รินบอกว่าขอคบเพราะชอบเรา อืม...จะว่าไปก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าพูดประมาณไหน แต่ก็ทำนองนี้แหละ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าอาร์มไม่ได้เป็นแฟนกับริน ไม่บอกกันสักคำเลยนะ ปล่อยให้ที่ผ่านมาเข้าใจผิดมาตลอดเลย"

รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าของคนสวมแว่นแบบทุกครั้ง ดูเป็นปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากหลายปีที่ผ่านมา "แหม...ยินดีด้วยนะ ตอบตกลงไปแล้วใช่ไหม"

"อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง" พิธานพูดเสียงแข็ง แล้วเดินไปล้มตัวลงบนเตียงที่ตั้งอยู่มุมห้อง นิ้วชี้เอื้อมไปเกี่ยวด้ายสีแดงที่มองไม่เห็นแล้วยิ้มให้กับความทรงจำนับตั้งแต่ปลายฤดูร้อนปีนั้นที่ได้รู้จักกัน "ฉันนะ ที่ผ่านมาเอาแต่คิดว่ากลางวันจะไปกินข้าวด้วยกัน ตอนเรียนก็ต้องรีบไปจองที่ให้ ตอนเย็นก็รอกลับบ้านพร้อมกัน ใกล้สอบก็ช่วยกันติวหนังสือ เป็นแบบนี้ทุก ๆ วันมาตั้งหลายปีจนเหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แล้วพอวันหนึ่งนายก็หันไปทำเรื่องพวกนั้นกับริน คิดว่าฉันจะรู้สึกยังไง กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่นายปล่อยให็ฉันรอ"

คิ้วเข้มของอริยะขมวดจนยุ่งเหยิง "ก็มาหาทุกครั้งนะ อยู่ด้วยกันทุกวัน ข้าวก็ยังได้กินด้วยกัน ก่อนนอนก็โทรหาทุกคืนนะเว้ย ฉันน่ะอยู่กับนายมากกว่าใคร นายเองก็อยู่กับฉันมากกว่าใครด้วยซ้ำ !"

พออีกฝ่ายขึ้นเสียง อารมณ์โรแมนติกก็ถูกแทนที่ด้วยความโมโห "อย่ามาเถียงกันสิเฟ้ย มีความผิดอยู่หลายคดีนะ !"

"อ๋อเหรอ ? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย" อาร์มยกนิ้วชี้แคะหู ทำหน้าซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้

รักคนแบบนี้ไปได้ยังไงว้า หนึ่งฟึดฟัดกับตัวเอง "เดี๋ยวก็ต่อยซะหรอก ทั้งที่ฉันรอนายมาตลอด คิดถึงนายตลอด ทำอะไรก็เพื่อนายตลอด แล้วถือดียังไงให้รินมาแทนที่ฉัน"

"อะไร" คนปากแข็งยังทำโยเย

"นายน่ะ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นจุดสนใจของคนตลอด เวลาที่เห็นนายอี๋อ๋อกับใคร พูดคะ ๆ ขา ๆ เคยคิดไหมว่าฉันรู้สึกยังไง แล้วทั้งที่เราสองคนสนิทกันมากกว่าใครแท้ ๆ เวลาคิดอะไร หรือมีอะไรในใจ ทำไมไม่บอกกันตรง ๆ ไม่ไว้ใจฉันหรือยังไง"

"อี๋อ๋ออะไร พูดอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง"

หนึ่งถอนหายใจกับคนทำท่ากวนโอ๊ยตรงหน้า "ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงถึงบอกให้ถาม เพราะเป็นคนแบบนี้ ไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่าง รู้สึกช้าตลอด ที่ผ่านมา ฉันรักนายจนแทบคลั่ง แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ แล้วยังไง เคยรู้ เคยเอะใจอะไรไหม ยังจะไประริกระรี้กับรินหน้าระรื่น แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ต่อให้รักแค่ไหนแล้วยังไง ฉันจะพูดอะไรกับนายได้วะ !"

อาร์มเบิกตาโพลง อ้าปากพะงาบ

"เพื่อนชอบเพื่อนมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะโว้ย แต่เพื่อนที่ยังเป็นผู้ชายเหมือนกันมันก็ยากนะ แล้วนี่จะให้ไปบอกรักกับเพื่อนที่เป็นผู้ชายที่คิดมาตลอดว่ามันคบกับแฟนอยู่ด้วยนี่ไม่คิดว่ามันโหดไปหน่อยเหรอวะ ต่อให้หน้าสนิทแค่ไหนแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ เฮ่ย...เดี๋ยวสิ อาร์ม...นายเป็นอะไร"

อีกฝ่ายยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วก้มงุดก็รีบลุกขึ้นมามองด้วยความเป็นห่วง หนึ่งเอื้อมมือออกไปดึงข้อแขนของอาร์มให้คลายออก ยื้กสักพักกว่าจะดึงออกมาได้ แต่ทันทีที่นิ้วมือทั้งสิบเลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม หนึ่งก็เผลอปล่อยมือด้วยความตกใจ หัวใจเต้นตึกตึกจนทำอะไรไม่ถูก

"ทำไม...หน้าแก...แดงแบบนี้"

"ดีใจ...ดีใจจัง...มันพูดไม่ออกเลย ดีใจสุด ๆ" อาร์มไม่ปิดหน้าแล้ว คราวนี้นั่งจ้องหน้าของหนึ่งแบบไม่วางตา สายตาแบบนั้น...เล่นเอาทำอะไรไม่ถูก "ก่อนหน้านี้ ฉันได้แค่คิดว่าตัวเองไม่มีหวังซะแล้ว ฉันที่แอบมองนายมาตั้งแต่ปีหนึ่งดูยังไงก็ไม่รู้สึกว่านายเปลี่ยนไปเลย"

"เดี๋ยว ! ปีหนึ่งเลยเรอะ !" หนึ่งร้องเสียงหลง

คราวนี้ อาร์มทำท่าจะร้องไห้เอาเสียแล้ว "ใช่ ตั้งแต่วันแรกพบด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นหนึ่งครั้งแรก หนึ่ง...นายน่ารักสุด ๆ นายคงจำไม่ได้ คงลืมไปแล้ว ตอนนั้นที่กำลังหลงทาง นายเป็นคนที่บอกทางมาคณะกับเรานะ จนรู้สึกว่าโชคดีที่ได้อยู่คณะเดียวกัน ในตอนที่รับน้อง เราถึงเดินไปนั่งข้าง ๆ นายไง แอบจับมือตั้งหลายครั้ง ได้กอดกันด้วย"

"อะไรของแกเนี่ย"

รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้หนึ่งค่อย ๆ ถอยกรูไปชิดผนัง ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า อาร์มโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว กอดเต็มรัก แล้วฝังหน้าลงแนบกับหน้าอกของเขา ดันเท่าไรก็ดันไม่ออก แรงของไอ้บ้านี่ดูจะเยอะกว่าเขาหลายเท่าตัว

"ขอฟังหน่อย ขอฟังหน่อยนะ ฟังหน่อย ขอฟังหน่อย" อาร์มซุกไซ้ไปบนหน้าอกจนหนึ่งทำอะไรไม่ถูก

"อาร์ม" หนึ่งพยายามดัน แต่ก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ใบหูของอริยะแนบลงเหนือหน้าอกด้านซ้ายของอีกคน จากมุมที่มองเห็น ใบหน้าของอาร์มเหมือนกับรับแสงของพระอาทิตย์ตอนกำลังจะลับไปจากของฟ้า ระเรื่อเป็นสีอุ่น ๆ จนทำให้หนึ่งทำอะไรไม่ถูก สองแขนที่ตระกองกอดและล็อคเอาไว้ไม่ให้ไปไหน พอทุกอย่างมั่นคงเสถียร วงแขนนั้นให้อุ่นจนเหมือนจะละลายทั่วทั้งตัวของพิธานได้ด้วยความสุข

"ได้ยินแล้ว เสียงหัวใจของหนึ่ง หัวใจเรา...เต้นแรง...เหมือนกันเลย"

อาร์มกอดแน่นขึ้น "ดีใจจัง"

โดยทฤษฎีแล้วมันควรจะเป็นการสารภาพรักกันที่ดีกว่านี้ หากว่าในทางปฏิบัติกลับดูงี่เง่า และห่างไกลจากคำว่าโรแมนติกไปไกลแสนไกล ถึงแบบนั้นมันก็ทำให้คนที่ได้ยินยิ้มเหมือนคนละเมอ

"ไอ้บ้า"

"ดีใจจริง ๆ นะ"

"หุบปากไปเลย" หนึ่งด่า มะเหงกเขกหัวคนที่กอดอยู่คาอกไปหนึ่งโป๊ก

"รักหนึ่งนะครับ"

"หยุดพูดไปเลย" และอีกหนึ่งโป๊ก

"รักหนึ่งนะ"

"อาร์ม"

"รักนะ รักหนึ่งนะครับ เป็นแฟนกันนะหนึ่ง เป็นแฟนกับอาร์มนะครับ"

"ไอ้บ้า บอกให้หุบปาก" คราวนี้มะเหงกของหนึ่งเขกลงบนกระหม่อมของอีกฝ่ายรัว ๆ แต่มะเหงกดูจะยังไม่สาแก่ใจ พิธานจึงเปลี่ยนมาใช้ทั้งสองมือขยุ้มขยี้ ทึ้งผมอีกฝ่ายจนยุ่งเหยิง

"นะครับ นะ...นะ...เป็นแฟนกันนะ"

"กอดอยู่ได้ร้อนจะตายแล้วนะ"

"ไม่ปล่อย ไม่ปล่อยหรอก ยังไงก็ไม่ปล่อย" ให้ตายสิ เรื่องความดื้อด้าน อย่าคิดว่าจะมีใครเหนือกว่าคนคนนี้

"ปล่อยน่า"

"ดีใจจริง ๆ นะเว้ย เป็นแฟนกันนะ" เสียงของอาร์มตะโกนดังไปสามบ้านแปดบ้าน

"จะรัดกันให้ตายไปเลยหรือไง" สองมือของหนึ่งระดมลงทั้งเนื้อทั้งตัวทั้งหัวทั้งคอจนเป็นประวิง

"เจ็บนะ โอ๊ย...เจ็บนะครับ"

ปากร้องโอดโอย แต่รอยยิ้มของอริยะกลับพร่างพราวไปทั่วทั้งหน้า








ผ่านไปอีกหนึ่งตอน เคลียร์ประเด็นไปหนึ่งคู่แล้ว รู้สึกโล่งใจขึ้นอีกนิด ฮ่าๆๆๆ
คิดว่าจบตอนนี้จะทำให้คนที่ตามคู่อาร์มหนึ่งเป็นพิเศษโล่งใจไปได้แล้วเนอะ
อันที่จริง คิดว่าระรินดูออกจะเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารแท้ๆ ดันมาชอบหนึ่งแถมโดยอาร์มตามกันตลอด -"-
ซึ่งจริงๆ ระรินก็เหมือนจะรู้อยู่แก่ใจแล้วแต่อยากจะลองเสี่ยงดู ผลเลยกลายเป็นทำให้เขารักกันซะงั้น
เธอช่างเป็นแม่พระจริง ๆ นัทกับตรี คู่นี้ดูจะบรรยากาศสีจมปูขึ้นเรื่อยๆ ตรีเป็นตัวละครที่หมั่นไส้มาก
แต่ก็ชอบมาก เขียนไปก็สะใจดี คนอะไร บ้าบอสุดโต่งได้ขนาดนี้ แต่นัทก็ดูเป็นอะไรที่เข้ากับตรีได้ดีนะ
คู่เด็กน้อย ชาฮิดธีม คู่นี้เป็นคู่ที่เขียนแล้วรู้สึกว่าเด็กๆ นี่มันช่างน่ารักน่าฟัดกันซะจริง
แต่ก็คงได้แค่นิยาย เพราะว่าตัวจริงของคนแต่งเป็นคนค่อนข้างจะไม่ถูกกับเด็ก เวลาร้องแล้วอยากจะคลั่ง

พบกันใหม่ตอนหน้าครับ จะพยายามมาอัพภายในวันสองวันให้ได้ (จะได้ไหมเนี่ย)

ขอบคุณสำหรับทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้ อีกไม่นานมากก็จะจบแล้วนะ ฝากติดตามด้วยนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2014 00:30:49 โดย Lucea »

ออฟไลน์ Windyne

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1
    • Windyne Page on Facebook
ตรีเริ่มจะแพ้ทางนัทขึ้นเรื่อย ๆ นะ ^^

ชอบคู่อาร์มกับหนึ่งมาก แฮปปี้ตรงที่ไม่เข้าใจผิดอะไรกัน แต่เดินหน้าเข้าใส่กันรุนแรง สรุป แฮปปี้

แต่เทใจให้คู่ซาฮิดกับธีมหมดเลย คู่เด็กฟินสุด :)

ออฟไลน์ schneesturm_fubuki

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: :katai2-1: ตอนแรกคิดว่าคู่นี้จะดราม่าพอๆกะคู่ปืน นภซะอีก...แต่สรุปแบบนี้ก็แฮปปี้ไปอีกแบบ
อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้มีหลายคู่ด้วยรึเปล่าไม่รู้ Lucea เลยสรุปแบบตัดมาเปิดเผยใจกันดื้อๆ
ปกติ Lucea จะลงรายละเอียดความรู้สึกนึกคิดของตัวละครเยอะมาก แต่แบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ
แค่รู้สึกว่าเปลี่ยนสไตล์ไปนิดๆ

ปล.กางมุ้งนอนนิยายอีกสองวัน คริคริ :katai3:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ตอนที่อ่านพาร์ทของอาร์มจบ ก็นึกว่าจะค้างซะแล้ว
ดีที่มีพาร์ทของหนึ่งมาต่อจนจบ
ติดตามคู่นี้เป็นพิเศษ รองลงไปก็คู่นภ คงต้องรอลุ้นต่อไป
พูดถึงหนึ่ง ทั้งๆที่นางกลัวมาตลอด แต่พอนางได้พูดแล้ว
มันก็ตรงประเด็น โดนใจอาร์มและเหล่าแม่ยกไปเต็มๆเลย
หวังว่านภจะแฮปปี้เอ็นดิ้งกับเค้าบ้าง รออ่านนภค่ะ ^^

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โอ้โหหลอกกันได้ ก่นด่าอาร์มมาตลอดหาว่าล้อเล่นกับความรู้สึกหนึ่ง ที่ไหนได้ ความจริงเป็นเช่นนี้เอง แฮปปี้ที่สุด
ส่วนนัทหลงใหลในความไม่ธรรมดาของตรีเข้าแล้วสิ
ชอบคู่เด็กจริง ๆ นะ เขียนได้น่ารักมาก ดูมีชีวิตชีวา ธีมนี่น่าหมั่นเขี้ยวมาก อยากหยิก ไม่รู้จะโตขึ้นมาเป็นแบบตรีหรือแบบแม็กซ์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด