ตอนที่ 2 เกียรติยศ[ภาคภูมิ]
อึก...อึก....อึก
ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนอันทรหด ผมก็รู้สึกเหนื่อยจนหลับเป็นตาย
ผมอยากให้มันเป็นความฝันจัง หรือไม่....จะเป็นห่าเหวอะไรก็ได้ ที่สามารถหาคำตอบได้โดยหลักวิทยาศาสตร์
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนผมเวียนหัว แม้ว่าจะทำความสะอาดจนหมดจรด แต่กลิ่นคาวก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก มันนั่งนิ่งไม่ขยับ ตอนที่ผมกำลังเย็บลำคอของมันด้วยเอ็นตกปลา ผมนึกถึงที่เคยเรียนสมัยมัธยม วิชาเย็บปักถักร้อยที่ทำผมคะแนนได้ดีเสียจนถูกเพื่อนแซวว่าเป็นตุ๊ด
อึก....อึก....อึก
“นั่นพี่ทำอะไร!!!”
“กินน้ำองุ่นของโปรดไง”
“เฮ้ย....จะบ้าเหรอพี่ตายแล้วนะ”
“แล้วไง๊”
“คนตายหิวได้ด้วยเหรอ”
ก็แค่ความรู้สึกอยาก....ถึงจะรับรู้รสชาติไม่ได้อีกต่อไปแล้วก็เถอะ แค่กลิ่นหอม ๆ ของมัน พี่ก็นึกไม่ออกเสียแล้วล่ะ”
ผมจ้องมองที่รอยแผล ทั้งที่คอและท้อง ตอนนี้มันสวมแต่กางเกงขาสั้น เลือดที่ไหลซึมเมื่อคืนนี้แข็งตัวจับกันเป็นก้อน ดูน่าขยะแขยง
“อย่ามาจ้องกันแบบนี้สิ.....คนตายก็คือคนตายน่าไอ้หนู”
ปากของมันขยับ แต่ไม่ใช่เพื่อส่งเสียง สิ่งที่เปล่งออกมา หาได้มาจากกล่องเสียงไม่ เสียงของมันก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง
“พลังจิตน่ะ พี่แค่อยากให้นายรู้สึกเหมือนเป็นปกติมากที่สุด ถึงจะขยับปากไม่ตรงกับเสียงก็เหอะ ช่วยไม่ได้ที่กล่องเสียงของพี่ถูกกระจกทำลายจนเละไปหมดแล้ว....”
“มันไม่มีอะไรปกติหรอก เลิกทำเถอะ น่าขนลุก”
วันนี้เป็นวันที่สอง แต่ถ้านับตามชั่วโมง ก็เหลืออีกสิบชั่วโมงเศษ ๆ ผมหลับไปนานแต่รู้สึกเพลียแล้วก็ปวดต้นคอชะมัด
กลิ่น....
ตัวของมันเริ่มจะส่งกลิ่น
“เดี๋ยวมานะ”
“เฮ้ย....จะไปไหน คิดจะชิ่งกันรึไง”
“หุบปากเถอะน่า อยู่แต่ในนี้นะ ห้ามออกไปไหน เดี๋ยวมา”
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าลวก ๆ คว้ากระเป๋าสะพาย แล้วออกมาอย่างรีบร้อน
ให้ตายสิ
ตายไปแล้วก็ยังเป็นภาระ
จะกลับมาทำเหี้ยอะไรวะ!!!!.
.
.
.
.
.
“เห?.....นี่นายออกไปซื้อสเปรย์ดับกลิ่นเหรอเนี่ย”
“ตัวพี่เริ่มส่งกลิ่นตุ ๆ แล้ว เฮ้....หยุดนะ เลิกกินน้ำองุ่นเสียที ไหลซึมออกมาหมดแล้ว”
“แค่จิบ ๆ น่ะ”
“พี่ตายไปแล้ว คนตายไม่ขับถ่าย ไม่พูดถึงของเก่านะ ของใหม่ที่กินน่ะ มันจะไปอยู่ที่ไหน”
“เออ.....จริงของนาย”
หาของที่ต้องการไม่ได้เลย เพราะรีบร้อนมากเกินไป เลยไม่ได้ดูข้อมูลเสียก่อน ไปอย่างเคว้งคว้าง สุดท้ายก็ได้มาแค่สเปรย์ดับกลิ่น
“พี่ตัวเหม็นจริงเหรอเนี่ย เร็วจัง ไม่ทันถึงสามวันเลย”
“นี่มันหน้าร้อน แล้วพี่ก็แช่อยู่ในน้ำเน่าเป็นชั่วโมง ลืมแล้วหรือยังไง....แล้วคอยดูนะ อีกเดี๋ยวตาของพี่ก็จะเริ่มขุ่น แมลงวันจะมาไข่บนตัว กลายเป็นหนอน แบคทีเรียจะกินซากศพพี่ นับวันพี่จะเน่าไปเรื่อย ๆ อ๊ะ.....จริงสิ.....พลังจิตไงล่ะ.....ถ้าพี่ใช้ดวงจิตควบคุมร่างกายนี้ให้เคลื่อนไหวได้ ทำไมพี่ไม่ใช้มันควบคุมกระบวนการทำงานของร่างกายไปเสียเลยล่ะ ใช้พลังทำให้เลือดไหลเวียน ทำให้หัวใจเต้น กระเพาะอาหารทำงาน”
“ปัญญาอ่อนหรือเปล่า....ต่อให้เรียนกายวิภาคมา นายคิดว่าพี่จะควบคุมอวัยวะทุกส่วนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหรอ ร่างกายคนเรามันไม่ได้มีแค่อวัยวะครบสามสิบสองนะเว้ย เซลล์ต่าง ๆ ล่ะ ไหนจะเส้นประสาทอีก นายคิดว่าต้องใช้พลังแค่ไหนกัน สำหรับควบคุมสั่งการรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ถ้าหากว่าพี่ของนายรู้จักทุกส่วนในร่างกายตัวเองน่ะนะ แค่บังคับร่างให้ขยับ บังคับตาให้กลอกไปมายังยากเลย”
ก็จริงทุกอย่างที่มันว่ามา แต่เดี๋ยวสิ.....นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้ว มันพูดได้ละเอียดเป็นฉาก ๆ อย่างกับว่าตัวมันไม่เคยเป็นเด็กปัญญาอ่อนอย่างนั้นแหละ
“เดี๋ยวนะ....นี่หลอกกันมาตลอดเลยงั้นสิ”
“เห?”
“ถามจริงเถอะ....ที่ผ่านมาน่ะ พี่แกล้งทำเป็นปัญญาอ่อนใช่มั้ย”
มันนิ่ง....นิ่งไปนาน เหมือนคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำผิดมหันต์
“เฮ้ย....อะไร!!! คนตายไปแล้วทั้งคนนะ นายยังจะมาข้องใจอะไรกันอีก หัดรู้จักปล่อยวางบ้างสิ”
“พี่ไม่ได้ตาย พี่ยังไม่ตาย แต่ว่าพี่เป็นพลังงาน....ลืมไปแล้วเหรอ”
“แล้วไง๊????”
“ช่างเถอะ....ที่ผ่านมาถือซะว่าทำบุญทำทาน”
“...................................................ขอโทษ.......”
ผมควรจะโกรธ แต่สภาพของมันในตอนนี้มันน่าสมเพชมากกว่า แล้วอีกอย่าง การที่ได้เห็นมันลุกขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง หลังจากที่ตายไปแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเลยจุดที่จะมานั่งโมโหกับเรื่องเลว ๆ ที่มันเคยทำมาตลอดระยะเวลาสิบแปดปีไปไกลโขแล้ว มันกลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยในที่สุดเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ตรงหน้าผมตอนนี้ บางครั้งการที่ได้มารับรู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติภายในข้ามคืน มันทำให้สมองคนเราทำงานหนักเสียจนลืมความรู้สึกพื้นฐานต่าง ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง
“นี่...ภาคภูมิ....พี่นึกอะไรที่มันดีกว่านั้นได้อีกแหละ”
“อะไรอีกล่ะ”
“ถ้าสมมติว่านายหาใครสักคนมา แล้วฆ่าให้ตายเสีย โดยที่ทำให้ร่างกายเสียหายน้อยที่สุด เอาหมอนกดหน้า หรือจับกดน้ำก็สุดแล้วแต่ ที่นี้พี่ก็จะเคลื่อนดวงจิตของตัวเองเข้าไปแทนที่.....ช่วงที่คน ๆนั้นเพิ่งตายใหม่ ๆ เหมือนกับการปั๊มหัวใจไง พี่แค่ทำให้หัวใจของคน ๆนั้นเต้นอีกครั้ง”
“พี่นี่มันโคตรเลวเลยรู้ตัวมั้ย”“อะไร๊!!!.....ก็แค่ลองคิดเล่น ๆ ดู ไม่ทำก็ไม่ทำดิ......นายเองก็ไม่ได้รักพี่เลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ฆ่าคนเพื่อพี่เลย แค่เย็บคอให้พี่นายยังทำแบบไม่เต็มใจเลยสักนิด”
“ใช่......ผมเกลียดพี่....เกลียดที่ต้องคอยดูแลพี่มาตลอด....เกลียดที่พี่แม่งโคตรเห็นแก่ตัว”
“หึหึ.....อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ หัวใจของพี่ไม่ได้เต้นแล้ว คนตายไปแล้วไม่รู้สึกอะไร อยากจะด่าอะไรก็เชิญ”
ผมน่าจะจุดไฟเผามันให้มอดไหม้จริง ๆ ดูสิ....ว่าดวงจิตที่ไม่มีร่าง มันจะมีปัญญาทำอะไรใครได้อีก แต่คิดแล้วอย่าดีกว่า ขืนปล่อยให้ดวงจิตมันเป็นอิสระ มันจะไม่ตามก่อกวนผมไปทุกที่เลยงั้นรึ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ให้มันมีร่างสิงสู่แบบนี้แหละดีที่สุด
ให้ตายสิ....ในที่สุดผมก็หาเหตุผลดีดีมาอธิบายได้แล้ว ว่าทำไมผมถึงต้องช่วยมัน!!!
“นายไปหาข้าวกินเถอะไป......นายยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
.
.
.
.
.
.
.
“ภาคภูมิ.....ไหงเมื่อวานไม่เข้าเรียน”
“ไม่สบายน่ะ”
“อะไรกัน....แค่จัดหนักวันเดียวถึงกับจับไข้เลยเหรอ เราเป็นฝ่ายถูกกระทำยังแข็งแรงอยู่เลย ดูสิ”
หยกเข้ามาเย้าแหย่ผม เพียงแค่ได้เห็นหน้าตาที่แสนจะสดใสของหยก ใบหน้าของคนที่มีชีวิต มีเลือดเนื้อ ก็พอจะทำให้ผมคลายความสะอิดสะเอียนเรื่องพี่ไปได้ครู่หนึ่ง
“วันนี้ไปห้องเราอีกไหม”
“มีธุระนิดหน่อยน่ะ.....วันหลังละกัน”
“อย่าบอกนะว่าเบื่อแล้ว....หรือว่าเข็ด.....ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ไม่มีทางหรอกน่ะ......ถ้านายบอกว่านายรักเรา....เราก็มีอะไรจะบอกนายเหมือนกัน”
ผมคว้าคอของอีกฝ่ายไว้ แล้วโน้มหัวลงไปแนบชิดกับใบหูของหยก กระซิบบางอย่างที่ทำเอาหยกหน้าแดงและหายใจติดขัด
“จะบอกนายให้รู้....คนอย่างเราถ้าลองได้รักใครแล้ว....ไม่มีทางหรอกที่เราจะเบื่อคน ๆนั้นง่าย ๆ”
“นี่คือการบอกรักเหรอภาคภูมิ”
“คิดเอาเองสิ.....หมดเวลาพักแล้ว ไปเข้าเรียนกันดีกว่า”
อย่างน้อยการที่มีหยกอยู่ข้าง ๆ มันก็ไม่ทำให้ชีวิตของผมซึมเซามากจนเกินไปนัก
.
.
.
.
.
“แฮ่”
“พอเถอะ....ไม่กลัวหรอก”
“ว๊า....”
ผมส่ายหน้าเซ็ง ๆ เมื่อถูกมันทำท่าหลอกผีใส่ที่ต้องใต้หลังคา หลังจากเดินหามันจนทั่วบ้าน ชินแล้วล่ะ เพราะตอนที่มันยังอยู่ มันก็เคยเล่นแบบนี้อยู่บ่อยไป
ผมหาของที่ต้องการได้แล้ว จึงอยากจะรีบใช้กับมันให้เร็วที่สุด วันนี้เป็นวันที่สาม ซึ่งนั่นหมายถึงมันตายมาได้สองวันแล้ว สภาพของมันไม่เละอย่างที่คิด แต่ผมก็ยังไม่อยากปล่อยเอาไว้ให้นานเนิ่น
“อะไรน่ะ....ยาฆ่าหญ้าเหรอ”
“ฟอร์มาลีนน่ะ”
“เอาจริง?”
“อย่างน้อย....ถ้าพี่คิดจะมีชีวิตอยู่ในร่างนี้จริง ๆ พี่ควรถนอมมันเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ”
“จริงของนาย”
“เดี๋ยวขอเปิดเน็ตดูข้อมูลการใช้แปบนึงนะ....ว่ามันต้องฉีดเท่าไหร่....ยังไง”
อึก.....อึก....อึก
ผมแค่หันหลังไปเสียบปลั๊กชั่วเดี๋ยวเดียว หันกลับมามันก็ยกแกลลอนขึ้นดื่มอั่ก ๆ
“เฮ้ย......ทำเหี้ยอะไรของพี่เนี่ย”
“จะฉีดหรืออาบหรือแดกเข้าไปมันก็เหมือน ๆ กันไม่ใช่เหรอ ก็แค่ทำให้มันเข้าสู่ร่างกาย....”
“บ้าจริง....ลืมเรื่องกระบวนการขับถ่ายไปแล้วเรอะ.....ดื่มเข้าไปเยอะแบบนั้น แล้วน้ำนั่นมันจะ.....”
ไม่ทันแล้ว.....ไม่ทันจะพูดจบ ท้องของมันที่เย็บเอาไว้ก็แตกออกดังโพล๊ะ ไส้ของมันหล่นลงมากองที่ข้นเป็นขด ๆ
“คุณเกียรติยศ!!!!.....ถ้าพี่ยังอยากอยู่ในร่างนี้จริง ๆ ช่วยอยู่นิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมได้มั้ย”
“แหะ ๆ พี่ขอโทษ”
ต้องมานั่งเย็บท้องให้มันใหม่อีกแล้วเหรอเนี่ย....
(ถึงตอนนี้ผมตกใจตัวเองนิด ๆ ที่สามารถทนทำเรื่องอะไรแบบนี้ได้โดยที่คุมสติตัวเองอยู่)
.
.
.
.
.
To be con
ปล. คุณพี่ชื่อเกียรติยศ
ปล.2 ถ้าอธิบายตรงไหนผิดไปจากหลักความเป็นจริง โปรดท้วงติงเพื่อที่คนแต่งจะได้ปรับปรุงแก้ไข
ปล.3 จากปล. 2 เรื่องนี้เป็นแนวป่วง เหนือธรรมชาติก็จริง แต่บางอย่างคนแต่งก็อยากให้มันสมจริงที่สุดค่ะ