ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ห้วงรักเสน่หา + เกียรติยศ กบฏหัวใจ โดย Rain-at-Rose  (อ่าน 310543 ครั้ง)

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
รอวันไผ่แก้แค้นธี  :laugh:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:

อ่าครับไม่ได้มาอ่านซะนานเลยครับผม

มาอ่านอีกทีอ่านจนไม่ทันอะครับ อิอิ

กลับมาเป็นกำลังใจให้แล้วนะครับผม

สู้ๆๆ แต่ตอนนี้ขอเวลาอ่านก่อนครับ

 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:

rain-at-rose

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณคอมเมนท์ที่มีให้เสมอมาค้า
แล้วก็ขอบคุณพี่พิมคนสวยค้าที่ลงเรื่องนี้ในบอร์ดเล้าเป็ดอันแสนอบอุ่น
อย่างที่ประกาศแจ้งไปว่าเรื่อง "ห้วงรักเสน่หา"
จะจบลงในไม่ช้านี้แล้วรอชมซีรีย์เต็มๆคู่น้องไผ่+แพนด้าธีในเร็วๆนี้ค้า :L2:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
รับทราบค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

pupper

  • บุคคลทั่วไป
คู่ของหมอธารกับหมวดภาณุหวังว่าคงจบลงด้วยดี
หวังว่าปาฏิหารย์ที่กำลังรอคอยคงจะเป็นจริงสักที
เพราะว่ากดดันคนอ่านมายาวนานมาก
ส่วนของของกิ่งไผ่กับธีรเดชยังอีกยาวไกล
การฝ่าฝันความรู้สึกของตัวเองยังอีกเยอะ
สนามรบกับสนามรักมันต่างกันจริงๆ
หวังว่าผู้แต่งคงไม่ใจร้ายผู้อ่านเกินไปนนะครับ

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
ขอบคุณคอมเมนท์ที่มีให้เสมอมาค้า
แล้วก็ขอบคุณพี่พิมคนสวยค้าที่ลงเรื่องนี้ในบอร์ดเล้าเป็ดอันแสนอบอุ่น
อย่างที่ประกาศแจ้งไปว่าเรื่อง "ห้วงรักเสน่หา"
จะจบลงในไม่ช้านี้แล้วรอชมซีรีย์เต็มๆคู่น้องไผ่+แพนด้าธีในเร็วๆนี้ค้า :L2:


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ข่าวดี อยากอ่านไผ่-ธี จังค่ะ

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
แอร๊ยยยยยยยยยยย

ขอบคุณคนแต่ง +คนโพสสุดสวยยยย(นังแบน)

ปล.แอร๊ยยยยยยยย อยากอ่านกิ่งไผ่   :-[

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
อยากอ่านต่อด้วยน้องเรน  อิอิ 
งั้นลุ้นเรื่องนี้ต่อกันก่อนนะ
 :กอด1:

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 23 L'honneur - L'amour : เกียรติยศ กบฏหัวใจ [Part 7]


ทำอย่างไรที่จะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ มันมืดมนเหลือเกินสำหรับความรู้สึกนี้...มันน่าอึดอัดใจทีเดียว... ต่างมีความรู้สึกราวกับลูกโป่งจวนเจียนจะระเบิดเมื่อถูกอัดลมมากเกินไป กิ่งไผ่ที่พาธีรเดชเดินเลียบแม่น้ำ แสงแดดยามบ่ายลอดส่องผ่านพุ่มไม้ เสี้ยวหน้าไม่เคยแปรเปลี่ยน ความอึดอัดได้สิ้นสุดบรรเทาลงเมื่อนั่งพักกันที่ริมแม่น้ำ

“หาทางข้ามฝั่งไปก็จะถึงเขตแดนบ้านเกิดเมืองนอนคุณ ผมส่งได้เท่านี้ นอกนั้นคุณก็หาทางกลับเอง”

สายตาธีรเดชจ้องแม้น้ำสายกว้าง ผิวน้ำสะท้อนแดดเป็นประกาย มองไปอีกฝากฝั่ง ไม่มีทางที่จะข้ามไปง่ายๆแน่

“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ”

หันมองอย่างหนักใจ กิ่งไผ่นิ่ง ถึงรู้ว่ามีเขาก็คงไม่บอกแน่ๆ ธีรเดชทั้งดีใจ กังวลใจ ร้อนใจ ท่าทีของกิ่งไผ่ยังนิ่งเฉย

“เราตกลงกันแล้วว่าผมส่งมาถึงถิ่นคุณแล้วจบกัน”

“ผมจะข้ามไปอย่างไร”

มองแม่น้ำกว้างใหญ่แล้วตั้งคำถาม กิ่งไผ่นิ่งเงียบราวกับเป็นใบ้ ธีรเดชกำมือแน่น เขาไม่น่ารีบเร่งจนมาถึงเขตแดนกั้นระหว่างไทยกับพม่าเลย

“ที่ๆผมต้องการกลับ ทางทิศนี้ไปถึงหรือเปล่า”

สายตาของกิ่งไผ่เหลือบมองอย่างเย็นชา

“คุณพูดเองว่าอยากให้ส่งถึงฝั่งไทย แล้วที่ไหนที่คุณต้องการไป”

ท่าทีเหมือนกับคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง ธีรเดชอึ้ง เขาพูดไม่ออกเลยทีเดียว ได้แต่นิ่งงัน มองสายน้ำที่ไหลหลั่งริน กับสายลมที่พัดผ่านเบาๆ กิ่งไผ่ลุกขึ้น ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น สางผมออก กวักน้ำลูบล้างความสกปรก

“ยังโกรธเรื่องที่ผ่านมาอีกหรือ”


ธีรเดชครวญ พยายามชักจูงให้กิ่งไผ่หายเคืองขุ่น ไม่รู้เลยว่าบาดแผลที่ย้ำลงไปครั้งหนึ่ง มันจะเจ็บปวดเหมือนถูกตอกลิ่มย้ำลงกลางใจ

“ถ้าคุณข้ามกลับไปได้แล้ว...ก็ง่ายไม่ใช่หรือที่จะหาทางกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิดของคุณ”

กิ่งไผ่กล่าวรู้จุดประสงค์ดีว่าธีรเดชต้องการอะไรถึงได้พูดดี อ้อนวอนตนแบบนี้ ฝ่ายธีรเดชกลืนน้ำลายเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมจำนนง่ายๆ เขามองใบหน้านั่นเนิ่นนาน จนคนถูกมองชักเก้อเขินแทน กิ่งไผ่พยายามทตีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่มองแววตาวิงวอน หลบเลี่ยงโดยการล้างผมอีกครั้ง จนผมหนา ยาวสลวยเปียกชื้น ธีรเดชพยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุด ถึงแม้รู้ดีว่าใช้วิธีไหน กิ่งไผ่ก็จากไปอยู่ดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้ อาจเป็นเพราะเหตุการณ์อันแสนกระอักกระอ่วนใจหรือเปล่านะ ที่ผ่านมา....ต่างฝ่ายต่างคิดอย่างไรกัน ธีรเดชกัดริมฝีปาก มองแผ่นหลังที่นั่งริมแม่น้ำ ฝ่ายกิ่งไผ่ก็ไม่ต่างกันเท่าไร เมฆหมอกที่เกาะกุมจิตใจ เขาไม่อาจสลัดพ้นได้เลย ทั้งๆที่พยายามใจแข็ง แต่ก็ไม่อาจทำได้เลยจนกลายเป็นความรู้สึกที่ยากจะขจัดออกจากใจ...รู้สึกความอึดอัดที่ค่อยๆห้อมล้อม กิ่งไผ่หันมาเผชิญหน้ากับธีรเดช ทันทีที่สายตาประสานกันไม่รู้ตัว เหมือนทุกอย่างหยุดลง แววตาวิงวอน ขอให้เชื่อและไว้ใจ...กิ่งไผ่อยู่ในจุดที่หักเห ว่าจะช่วยจนสุดความสามารถหรือว่าจะปล่อยไป.....

“เอาเถอะ...ถ้าคุณไม่ยากช่วยผมก็ขอให้มันสิ้นสุดอยู่แค่นี้แต่ผมไม่อยากให้ความรู้สึกที่ผ่านมาค้างๆคาๆ....”

ธีรเดชเอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง กิ่งไผ่จ้องมอง ชายหนุ่มยื่นผ้าขาวม้าที่เป็นของกิ่งไผ่ให้

“อะไร...”

กิ่งไผ่ถามอย่างข้องใจ ธีรเดชกำมือแน่น

“ก่อนจากกัน...พอจะบอกได้ไหมว่าจริงๆแล้วตัวคุณเป็นใครกันแน่ สิ่งที่ผมทำกับคุณและคุณก็ตอบสนองอย่างเชี่ยวชาญนั่น....คุณเป็นใคร”

กิ่งไผ่มองใบหน้าของธีรเดช ก่อนหรุบตาต่ำ

“นั่นหรือสิ่งที่ค้างๆคาๆ มันก็เป็นข้อสงสัยมากกว่า”กิ่งไผ่เล่นลิ้นไม่ยอมตอบ

“มันอาจจะเป็นแบบนั้น แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้ ไหนๆเราก็จะจากกันไม่มีอะไรที่ต้องกลัวนี่”

กิ่งไผ่ระแวดระวัง เขามองธีรเดชซึ่งจ้องเสี้ยวหน้าหวานเฉียบเต็มๆตา

“หน้าหตาหวานๆ ท่าทีชาญฉลาด....คณเกี่ยวข้องกับกองโจรของพม่าหรือเปล่า”

กิ่งไผ่นิ่ง เขามองดวงตาที่จ้องเขม็ง ธีรเดชเฝ้ามอง แม่หญิงกลิ่นเอื้อง...เป็นคนๆเดียวกัน.... กิ่งไผ่นิ่งเงียบ เขาจะไม่มีวันพูดต่อให้ตาย!

“เราเคยเจอกัน...”ธีรเดชรุกแล้วดึงผ้าขาวม้ามาตรงหน้า

“และนี่ก็คือหลักฐาน...เราเคยเจอกันอีกรอบ...คงจำได้”

น้ำเสียงเฉื่อยชา กิ่งไผ่กลืนน้ำลาย

“คุณเป็นหนึ่งในกองโจร อยู่ในตำแหน่งอะไรกัน”

ฝ่ายกิ่งไผ่ลุกขึ้นเมื่อีกฝ่ายพูดเสียงเย็น

“ผมขอบคุณที่ไม่ฆ่าผมเสียตั้งแต่ตอนผมป่วยและยังช่วยส่งมาถึงนี่”

แววตาสีดำสนิทราวกับนิลเป็นกังวล

“ใช่....ผมเป็นหนึ่งในนั้น”

กิ่งไผ่ตอบซึ่งผิดความคาดหมายของธีรเดช ดวงตาของกิ่งไผ่ฉายความอึดอัด

“แล้วการที่คุณบาดเจ็บนั่นเป็นเพราะอะไร ?”

กิ่งไผ่ชั่งใจ ในที่สุดเขาก็ตอบ

“ถูกตามล่า”

กิ่งไผ่ไม่ลงรายละเอียด ธีรเดชนิ่งงันกับคำตอบที่หลุดออกจากปากโดยไม่คาดคิด

“ทำไมถึงถูกตามล่า ?”

เมื่อถามต่อ กิ่งไผ่ก็ไม่ยอมพูด

“ผมบอกสิ่งที่คุณข้องใจหมดแล้วมั้ง”

ธีรเดชขัดขึ้นทันที

“ยัง....ผมยังไม่รู้เหตุผลที่คุณต้องเล่นบทเป็นผู้หญิงเลย”

สายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน พัดคำพูดเจือความสมเพชเข้าหู

“มันสะดวกในการทำงานดี”

“งานอะไร ?”

คนถูกซักเริ่มไม่พอใจ

“อยากจะสืบสวนรึไง ?”

ดวงตาสีดำมองแล้วบึ้งตึง ธีรเดชถอดถอนใจ

“อาจจะเป็นแบบนั้น”

กิ่งไผ่ยิ้มน้อยๆ คล้ายจะหยันเยาะ

“ถ้าเรื่องที่พูดเป็นเรื่องโกหกล่ะ”

กิ่งไผ่ยอกย้อน ธีรเดชก็สวนกลับทันที

“เรื่องที่เป็นแม่หญิงกลิ่นเอื้องเป็นเรื่องเดียวที่โกหกไม่ได้...ผมไม่เคยลืมคืนนั้นหรอกนะ?”

ดวงตาธีรเดชเฉียบคม จนกิ่งไผ่สะท้าน

“แม่สาวกลิ่นเอื้องรึ...”

น้ำเสียงพลิ้วแผ่ว ธีรเดชผงกศีรษะ

“ใช่....เพราะเธอมีกลิ่นกายหอมละมุนดุจกลิ่นเอื้องน่ะสิ”

ชายหนุ่มพูดด้วยวาจาชื่นชมและใช้สายตากรุ้มกริ่มมองคนถูกมองพูดไม่ออก

“เข้าใจคิดนี่แต่ผมเป็น...”

ธีรเดชยิ้มเมื่อเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

“จะผู้หญิงผู้ชายก็ช่างขอแค่สวย ดูอ่อนหวาน น่าปกป้องก็พอแล้ว”

พอคำว่า ‘น่าปกป้อง’หลุดจากปากก็สะกิดให้นึกถึงต้นธารา....กิ่งไผ่สะอึก

“รสนิยมประหลาดจริง”กิ่งไผ่เริ่มแดกดัน

“ก็คงไม่ต่างอะไรจากคุณมั้งที่ใช้หน้าหวานๆหลอกล่อคนอื่น”

กิ่งไผ่นิ่งงัน เหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงเมื่อทำให้นึกถึงอดีต ธีรเดชจับจ้องสีหน้าซีดเซียวที่ปรากฏ รู้สึกผิดเหมือนกันที่พูดออกไป ดวงตาที่เคยกร้าวหม่นลงอีกหน ธีรเดชที่ไม่รู้อดีตเบื้องลึกสะกิดแผลใจขึ้นมา....จนแผลนั้นลึกเกินจะรักษา

------------------------------------------------


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ภายในห้องพักฟื้น ต้นธารานั่งมองเอกสารที่ขอไว้สำหรับการขอบริจาคไขกระดูก เขาลูบมันอย่างใจลอย เขากุมขมับคล้ายกับปวดหัวจนป้าสมแตะบ่าเบาๆก้มมองดูคุณหนู ชายหนุ่มยิ้มก่อนพูดเสียงเบา

“คุณพ่อโทรมารึยังครับป้าสม”

ดวงตาของต้นธาราดูเหม่อ เขาเอนหลังพิงโซฟาด้วยความเบื่อเต็มทนที่ต้องอุดอู้อยุ่แต่ในโรงพยาบาลหลังจากกลับมา คุณหมอซึ่งดูแลรักษาเขาก็เอ็ดใหญ่ และการดูแลคนไข้ที่ดื้อรั้นก็เข้มงวดขึ้น ต้นธาราก็เหมือนกับอยู่ที่คุกดีๆนี่เอง หันไปทางไหนเจอแต่หมอ นางพยาบาล ในชีวิตการงานยังเจอไม่พออีกรึไงนะ ต้นธาราคิด อ่อนเพลียจัด เพราะเพิ่งรับยาบำบัดโรคมา ป้าสมส่ายหน้าประคับประคองคุณหนูของเธอขึ้นเตียง ชายหนุ่มเอนหลังนอนบนเตียง รู้สึกไม่ใคร่สบายนักเพราะเขารับการคีโม ต้นธารารู้ผลมันดีว่ามันเป็นเช่นไรแต่เขาก็ต้องอดทน ป้าสมเช็ดหน้าซีดเซียวให้อย่างเบามือ ต้นธาราก็เอาแต่เบือนหน้าหนีทุกครั้ง สีหน้าซีดเซียวจนคนดูแลกังวลใจ

“กลัวอะไรหรือเจ้าคะ”

ป้าสมถามหลังจากนางสังเกตสีหน้า ต้นธารานอนบนเตียงส่งเอกสารให้กับป้าสมวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า

“เปล่า....”

แล้วก็เงียบไป ป้าสมกังวลใจ ต้นธารานั่นลูบหลังมือของตัวเอง นับตั้งแต่การรักษาเริ่มต้น เขาก็กลับไปอยู่ในชั่วโมงที่เหงาเงียบอีกครั้ง ความรู้สึกต่างๆเหมือนเดิม ความเหงา ไม่มีอะไรเปลี่ยน ต้นธารานอนพลิกตัว สูดลมหายใจช้าๆราวกับต้องการอากาศอันแสนบริสุทธิ์ ป้าสมคอยมองดูอยู่ห่างๆ นางสงสารคุณหนูของเธอเหลือเกินหลังจากเข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัดก็มักมีอาการทรมาน ต้นธาราก็จะข่มฟันอดทนเสมอ เขาไม่ปริปากบ่นถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน พยามทำให้ให้สงบแล้วอาการทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

“ดื่มน้ำส้มไหมเจ้าคะ ป้าจะเอามาให้”

ต้นธาราส่ายหน้า รู้ว่าป้าสมพยายามชวนคุยไม่ให้ทรมานไปกับอาการป่วยมากเพราะเป็นห่วง เขาหลับตาแน่น จนป้าสมต้องไปตามหมอเมื่อเห็นอาการของคุณหนูชักจะไม่เป็นปกติ พอแจ้งอาการแก่แพทย์ประจำตัวคนไข้ หญิงสูงวัยละล้าละหลัง รีบตามหมอมา ไม่นานนักหมอก็เข้ามาตรวจดูอาการ ยิ้มปลอบขวัญป้าสมที่คอยมองอยู่ห่างๆ

“เป็นผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาน่ะครับ”

ป้าสมพยักหน้า นางเบาใจลงได้ส่วนหนึ่ง มองคุณหมอตรวจนู้นตรวจนี้ให้แก่คนไข้

“แล้วต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดหรือเจ้าคะ สงสารคุณหนูธารเหลือเกิน”

ป้าสมว่า ต้นธาราที่นอนอยู่บนเตียงได้ยินยิ้มปลอบอดีตแม่นม

“มันต้องอดทนไม่ใช่หรือครับป้าสม ผมก็จะอดทนไม่เป็นไรหรอก”

มือบางบีบเขาหากันแน่น มองใบหน้าของหมออดิเรก

“คุณหมอธารขาดการรักษาไประยะหนึ่งเราจำเป็ต้องให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงเพื่อกันไม่ใช่อาการกำเริบ หลังจากที่ทานยาแล้ว คุณหมอธารอาการก็จะดีขึ้น”

รอยยิ้มของนายแพทย์อดิเรกช่างนุ่มนวล ชวนไว้วางใจ ป้าสมรับฟัง ผงกศีรษะรับทราบด้วยความโล่งใจกึ่งหนึ่ง

“คุณหมอต้องรับเคมีบำบัดซ้ำหลายๆครั้งๆ คุณหมอธารคงทนได้”

จ้องดวงตาสีน้ำตาลดูหม่นวูบจึงผงกศีรษะ

“การมีชีวิตอยู่.....ไม่ใช่เรื่องที่ผิดใช่ไหม ?”

มองใบหน้าของนายแพทย์อดิเรกซึ่งทำหน้าฉงนกับคำพูดของคุณหมอต้นธารา ดวงตาที่ซ่อนบางอย่างเอาไว้จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือครับ ไม่ว่าจะยากดีมีจน หากคุณหมอตาย....ท่านนายพลเสียใจเจียนตายแน่” นายแพทย์ดิเรกพูดตอบ

ต้นธารายิ้มน้อยๆ เขากล่าวขอบคุณหมอ ป้าสมรีบปรี่เข้ามาหาทันที

“คำพูดเมื่อกี้ป้าสมใจหายแว้บเลยเจ้าค่ะ คุณหนูทำไมพูดแบบนั้นละเจ้าคะ”

ป้าสมพิศมองใบหน้าของคนที่นางเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ต้นธารายิ้มขื่นๆ

“ผมแค่อยากรู้...”

ต้นธาราตอบ ป้าสมบีบมือเบาๆ

“อยากรู้อะไรเจ้าคะ”

ป้าสมถาม มองราวกับคุณหนูของนางเป็นเด็กเล็กๆ ต้นธาราหรี่ตาลง อาจเป็นเพราะว่าป่วยรึเปล่านะที่ทำให้เขาอยากอ้อน อยากทำให้ใครสนใจตัวเอง ป้าสมอมยิ้มคอยให้คุณหนูตอบคำถาม หากต้นธาราไม่ปริปาก นิ่งไปนานทีเดียว ป้าสมก็อดทน รอให้คุณหนูเปิดปาก เสียงโทรศัพท์จะดังก้องกังวาล ทำให้ต้นธาราเงียบลงไปอีก

“คอยป้าเดี๋ยวนะเจ้าคะ”

นางรีบเดินไปรับโทรศัพท์ ต้นธาราเฝ้ามอง เขาเงี่ยหูฟังเสียงคุย สายตาป้าสมเบือนมาทางต้นธาราหลายครั้ง ก่อนป้าสมจะยื่นโทรศัพท์ให้

“จากท่านนายพลเจ้าค่ะ”

รอยยิ้มประดับใบหน้าเหยี่ยวย่น ต้นธาราค่อยๆลุกขึ้นรับโทรศัพท์ เสียงของท่านนายพลก้องกังวานและอบอุ่น

“เป็นอย่างไรบ้างลูก”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใย

“สบายดีครับพ่อ แล้วพ่อล่ะครับ”

ท่านนายพลตอบกลับว่าสบายดี

“ลุงอรุณล่ะครับ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง แล้วผู้พันชานเนนสบายดีนะครับ”

น้ำเสียงที่พยายามฝืนให้สดใส นายพลที่ไม่อาจเห็นสีหน้าจึงตอบกลับด้วยความสุขที่รู้ว่าบุตรชายยังสบายดี ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสได้

“ทั้งคุ่ก็สบายดีรวมทั้งไอ้ผู้กองหมาบ้านั่นด้วย”

ท่านนายพลตอบ คำพูดท้ายๆดูจะไม่สบอารมณ์ ต้นธาราหัวเราะ

“ผมยังไม่ทันถามเลยนะครับ”

ท่านนายพลก็ตอบทันควัน

“เดี๋ยวลูกก็ต้องถามอยู่ดี พ่อตอบให้รวบรัดเสร็จสรรพ จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายถามถึงมัน”

พอได้ยินน้ำเสียงแข็งๆ ไม่พอใจ ต้นธาราก็เงียบไป

“อีกไม่นานพ่อก็จะส่งเจ้าผู้กองไปตรวจไขกระดูกแล้ว ธาร...ตอนนี้ลูกยังไหวอยู่ใช่ไหม การคีโม ลูกยังทนได้นะ”

ท่านเป็นกังวล ต้นธารากรอกเสียงเบา

“ผมทนได้ครับ”

เขาตอบทั้งๆที่ยังหวาดกลัวและทุกข์ทรมานอยู่เสมอกับการรักษาโรคโดยวิธีการคีโม

“แล้วทำไมผู้กองยังมาตอนนี้ไม่ได้ล่ะครับ ?”

เสียงปลายสายทอดถอนใจ

“ตอนนี้ทางผุ้กองภานุออกไปค้นหาผู้กองธีรเดชอยู่....อีกสองสามวันจะกลับมา”

ท่านนายพลกล่าว ต้นธาราถอนใจ หน้าที่....และผู้ที่รับผิดชอบหน้าที่และภารกิจนั่นคือพ่อของเขา

“ครับ...ผมจะคอย....”


ต้นธาราพึมพำ ทำให้ท่านนายพลไม่สบายใจเลย

“ธาร...พ่อขอโทษนะที่ไม่ส่งตัวเจ้าหมาบ้านั่นไปตอนนี้ ตอนนี้เรื่องของธีรเดชสำคัญมาก”

เสียงของท่านนายพลพิภพจริงจัง ต้นธาราเข้าใจดีว่าบิดาถือภาระการงานเหนือสิ่งใด...เหนือแม่กระทั่งชีวิตเขาและมารดา !

“ผมรู้ครับพ่อ”

ลูกชายตอบกลับสั้นๆ ท่านนายพลอึกอักไปทันที ต้นธาราแอบถอนใจเนือยๆ

“ผมหวังว่าคงหาธีเจอได้ตัวเป็นๆนะครับ”ต้นธาราพูดเหมือนประชด

“ต้องปลอดภัยสิ ก็รู้ร่องรอยครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่ยากที่จะตามรอยของเจ้าธีหรอก”

ต้นธารารับคำอยู่ในลำคอ เมื่อบิดาไม่มีอะไรเอ่ยก็นิ่งเงียบ ปลายสายรอให้นายพลพิภพเอ่ย

“พ่อจะกลับไปเยี่ยมลูกนะหลังจากที่งานเสร็จแล้ว”

ทุกครั้งที่ท่านนายพลโทรมามักจบแบบนี้เสมอ ต้นธารายื่นโทรศัพท์ให้ป้าสมด้วยท่าทีเฉยเมย

“ฝากบอกพ่อหน่อยนะว่าดูแลสุขภาพด้วย”

น้ำเสียงตอบอ่อนระโหยโรยแรง ก่อนล้มตัวนอนเหมือนเดิม ป้าสมพูดตามที่บอกก่อนวางสาย

“ท่านก็บอกให้คุณหนูรักษาตัวเมื่อกันเจ้าค่ะ เอ่อ แล้ว ใครจะมาบริจาคไขกระดูกให้คุณหนุเจ้าคะ ป้าสมเห็นท่านนายพลบอกว่าถ้าคุณหนูปลูกไขกระดูกอาจมีสิทธิ์หาย”อดีตแม่นมจับห่มผ้าให้

“ตอนนี้ยังไม่ผรู้เลยว่าไขกระดูกจะเข้ากันได้ไหม ป้าสมอย่าเพิ่งดีใจเลย”

ป้าสมทำหน้าจืดๆ ดวงตาที่สุกใสกลับหม่นแสง

“จริงหรือเจ้าค่ะ แต่ขอให้ตรงกันเถอะ ป้าสมจะรำถวายเจ้าที่เจ้าทางเลย”

นางยกมือท่วมหัว ต้นธารามองแล้วหัวเราะ

“ป้าสมน่าจะแก้ผ้ารำถวายด้วยน้า”

นางตีแขนของคนป่วยดังเพี๊ยะ คนป่วยทำสายตาให้ดูน่าเอ็นดู หากอดีตแม่นมก็ไม่หลงกล

“ผมขอโทษครับ”

ลุกขึ้นโอบกอดอดีตแม่นมเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลมีประกายพราวหากเป็นเพียงแค่ชั่วครู่ ชายหนุ่มผละออก ล้มตัวนอน

“แล้วใครกันละเจ้าคะที่มาบริจาคไขกระดูกคุณหนู”

“ก็...คนที่ป้าสมไม่ชอบใจละ”ต้นธาราตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง

ป้าสมขมวดคิ้วกับคำพูดปริศนาของคุณหนู พอเห็นต้นธารายิ้มนางก็หวนนึกถึง “ใครบางคน”ทันที

“จริงหรือเจ้าคะ...คนแบบนั้นน่ะหรือเจ้าคะ”

ป้าสมพึมพำอย่างไม่เชื่อเท่าไรนัก ต้นธาราผงกศีรษะ ป้าสมมีดวงตาพิศวงจะพูดคัดค้านก็ไม่ได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบเสีย

“ป้าไม่อยากให้คนอย่างนั้นมาบริจาคไขกระดูกให้เล้ย..เลือดของคนห่ามๆ เถื่อนๆแบบนั้น.”

ปากก็อดบ่นไม่หยุด มีเพียงต้นธาราเท่านั้นที่ยิ้มกับคำบ่น

“ถ้าไขกระดูกเขาเข้ากับผมได้ป้าจะให้ไหมล่ะ”

ต้นธาราถามด้วยรอยยิ้มเหมือนขำขัน ป้าสมทำท่าไม่ชอบใจก่อนจะผงกหัวอย่างเสียมิได้

“ชีวิตของคุณหนูนี่เจ้าคะ ป้าก็จำยอมแหละ”

พร้อมบ่นต่อกระปอดกระแปดเรื่องนิสัยของผู้องภานุ ป้าสมบ่นจนไม่รู้ว่าต้นธาราหลับเพราะความอ่อนเพลีย และฤทธิ์ยา...ห้วงคำนึงสุดท้าย เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังว่า “ใครคนนั้น”จะมาโดยเร็ว

------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

sun

  • บุคคลทั่วไป
มารอลุ้นด้วบคน  :กอด1:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
รอผู้กองกลับมา

ขอให้ไขกระดูกตรงกัน

ขอให้ธีเลิกปากมอมใส่กิ่งไผ่

...

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
รอผู้กองกลับมา

ขอให้ไขกระดูกตรงกัน

ขอให้ธีเลิกปากมอมใส่กิ่งไผ่

...


ขอเยอะเกิน ยายคนนี้

ปล. ขอให้มาต่อเร็วๆๆๆๆๆๆๆๆ :mc4:

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
งื้อๆๆ...

ขอให้สมหวังทุกฝ่ายทีเถ๊อะ

 :impress3:    :impress3:   :impress3:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
รอผู้กองกลับมา

ขอให้ไขกระดูกตรงกัน

ขอให้ธีเลิกปากมอมใส่กิ่งไผ่

...


ขอเยอะเกิน ยายคนนี้

ปล. ขอให้มาต่อเร็วๆๆๆๆๆๆๆๆ :mc4:


ใครยายคะ  แม่มะขามป้อม

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
อ้าว 19NT  รู้จักกับแป๋วเหรอ 55

ต่อๆ เลยนะ  จะรีบลงให้จบๆ แล้วค่ะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 24 I Will Farewell : คำตอบในหัวใจ [Part 1]


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2CC7DBBPB0&Autoplay=1


แม้ว่าจะถูกดูถูกขนาดไหน กิ่งไผ่ยังทานทนได้ เขามองใบหน้าของธีรเดช อยากรู้...ว่าถ้าหากคนๆนี้รู้ว่าเขารักจะทำหน้าเช่นไร แต่...ถึงจะรู้ ผลคงไม่มีอะไรเปลี่ยน

“เรื่องที่อยากจะรู้ ผมตอบได้แค่นี้”

กิ่งไผ่เอ่ย ท่าทีสงบเงียบ จากคำพูดที่สะกิดแผลใจ เขาต้องกดมันเอาไว้ มองสายน้ำกว้าง ธีรเดชเงียบงัน ดุจห่างไกลไปเสียทุกทีๆ

“ถ้าอยากกลับ....ไปยังแผ่นดินเกิดของคุณ เดินไปสักหนึ่งกิโลฯจะพบกับหมู่บ้าน คุณสามารถบอกเขาให้ไปส่งโดยแลกกับของเล็กๆน้อยๆผมคงช่วยได้เท่านี้”

อีกฝ่ายยอมบอกถึงทางที่จะสามารถทำให้เขากลับไปยังชายแดนไทยได้

“แล้วขอให้หาทางกลับไปยังค่ายของคุณเอง”

นายทหารหนุ่มถอนใจ....เพียงเพราะคำพูดที่สร้างความกดดันให้แต่ละฝ่าย ไม่รุ้ว่าตัวเองสร้างความหวั่นไหวให้กับคนที่สร้างเปลือกหุ้มตัวตนอันแสนเปราะบาง

“และผมจะได้จากไปเสียที....”

ระหว่างเขากับอีกฝ่าย มีเพียงความว่างเปล่า “อะไร”ที่ผูกพันเอาไว้พวกเขาสองคนจนถึงตอนนี้....เขาสามารถ “ทิ้ง”อีกฝ่ายได้ตั้งแต่ครั้งแรกแต่ก็ไม่ทำ....จนถึงเวลานี้ต้องเก็บงำความรู้สึกเอาไว้เงียบๆให้เป็นเป็นเพียงอดีตตลอดไป ธีรเดชร้อนใจ ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ทำเหมือนจะจากไป เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ร้อนรนเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับกองโจรกุ้แผ่นดิน สิ่งที่คิดอยู่ในหัวคือต้องว่าอีกฝ่ายกลับไทยด้วยให้ได้ เพื่อกันไว้เป็นพยาน กิ่งไผ่ลุกขึ้น ธีรเดชคว้าแขนไว้ทันที

“มีอะไรอีก”

ท่าทีระแวดระวัง น้ำเสียงถามอย่างห้วนสั้น ธีรเดชรั้งให้นั่งลง

“ผมคงปล่อยให้กลับไม่ได้จริงๆ”

ข้อมือบางสะบัดออก หากมือกร้านแกร่งบีบแน่น คล้ายกับคีมเหล็ก บีบจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า


“แบบนี้เท่ากับว่าคุณกำลังเล่นตุกติกสินะ ?”

สีหน้าไม่พอใจฉายชัดที่ถุกทำแบบนี้ กิ่งไผ่สะบัดมืออก ธีรเดชลุกขึ้น ร่างสูงค้ำตะหง่าน คนตัวเล็กก้าวถอยห่าง ท่าทีของธีรเดชไม่น่าไว้วางใจ

“ต้องการอะไร ?”

ไม่มีคำตอบใดหลุดจากปากของธีรเดช ชายหนุ่มกระชากร่างของกิ่งไผ่เข้ามาใกล้ มีหรือที่กิ่งไผ่จะยอมง่ายๆ เขาโต้ตอบอีกฝ่ายด้วยความว่องไว ธีรเดชระวังตัวอยู่แล้วจึงคว้าจับมือที่ปล่อยหมัดเอาไว้ กิ่งไผ่ดิ้นรน เขาพยายามสะบัดตัวเองออก หากธีรเดชไม่ยอมปล่อยง่ายๆ อยากจะหลุดรอดจากอ้อมแขนที่กอดรัด มีทางเดียวคือจู่โจมตรงบาดแผลที่ถูกยิง ธีรเดชนิ่วหน้า ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ พร้อมกับระวังเท้าที่จะสวนเข้าที่ท้อง กิ่งไผ่แสนจะอึดอัดขัดใจที่เป็นแบบนี้ เขาดิ้น...ดิ้นสุดชีวิต ข้อมือขาวเป็นรอยแดงช้ำ วงแขนแกร่งโอบกอดร่างกิ่งไผ่ไว้แน่น ใบหน้าฝังแนบสนิทอยู่กับกลุ่มผมหนา

“ขอโทษที่ผมต้องทำแบบนี้ หากได้ตัวคุณไป เรื่องกองโจรคงคลี่คลาย”

คนที่ถูกผูกมัดดิ้นขัดขืนสุดชีวิต คำพูดที่หลุดออกจากปากเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากฟังมากที่สุด เหมือนกับถูกทรยศ เจ็บแสบ...หัวใจที่ผนึกไว้ร้าวรานด้วยความอ่อนโยนของอีกฝ่าย

“ที่ช่วยมาตลอดก็เพราะแบบนี้สินะ”

ความคิดที่ทำให้มัวหมอง กิ่งไผ่หันมอง ดวงตาซ่อนในกลุ่มผมที่ตกระใบหน้าส่วนหนึ่งคิดอย่างปวดร้าว ธีรเดชเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เขาจึงค่อยๆคลายวงแขน ไม่ได้มองเลยว่าภายใต้ดวงตาที่สื่ออกมามีความรู้สึกเช่นไร ...ร่างกายตรึงอยู่กับที่ ดวงตาว่างเปล่า จนชายหนุ่มสงสัยว่าเหตุใดธีรเดชถึงนิ่งงันแบบนี้ ร่างระหงหลับตาลง สายตาคมมองแผ่นหลังบาง

“ยังไง....ผมก็คงไปกับคุณไม่ได้หรอก ถ้าอยากให้ไปต้องชกผมให้สลบตรงนี้”

กิ่งไผ่บอกหันมองธีรเดชตรงๆ แววตาที่มองคนที่กุมแผล พิสูจน์ถึงความจริงใจ ธีรเดชในตอนนี้ไร้แววตานั่นโดยสิ้นเชิง กิ่งไผ่แม้จะผ่านประสบการณ์ที่ถูกหักหลังทรยศมาอย่างโชกโชน เขาที่น่าจะชาชินเสียทีกลับไม่อาจทำใจได้ หรือเป็นเพราะเขามอบความไว้วางใจให้มากเกินไป จึงทำให้รู้สึกเช่นนี้ ....ไม่รู้เลยจริงๆ

นายทหารหนุ่มจากไทยมองคนที่ยืนนิ่งงัน จะลงมือทำตามที่พูดหรือจะหาหนทางอื่นดี เพราะในตอนนี้ ชายหนุ่มไม่กล้าเลยที่จะลงมือหักหาญด้วยกำลัง


“ถ้าอย่างนั้น....ผมก็คงต้องลาคุณตรงนี้”

หันหลังเตรียมเดินหนี เมื่อไม่มีพันธะใดๆแล้ว เขาก็ต้องรีบไปหาบิดา ทิ้งเรื่องความรู้สึกของหัวใจเอาไว้เบื้องหลัง เพราะรั้งแต่จะเจ็บปวด ความรักที่รู้ว่าให้ไปคงไม่ตอบแทนคืน หลีกหนีโดยเร็ว้จะดีต่อตัวเขาเอง ธีรเดชคว้าแขนเอาไว้ต่อ กิ่งไผ่ต่อต้านสุดฤทธิ์

“ต่อให้ตายหรือว่าเป็นอะไร ผมจะพาคุณไปกับผมให้ได้”

กิ่งไผ่เหลือบมอง ก่อนใช้สันมือฟันท่อนแขนแกร่ง แรงและเร็วจนธีรเดชเจ็บ ลำแขนแกร่งตกลงข้างกาย ความโกรธแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ มองคนที่ตั้งท่ารับมืออย่างเตรียมพร้อม ก่อนจู่โจมด้วยความว่องไว ธีรเดชตั้งมั่นรับหมัดที่ปล่อยออก ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำหากไม่บาดเจ็บคงพอรับมือได้บ้าง ธีรเดชหลบหมัดที่ปล่อยออกได้อย่างหวุดหวิด เขาใช้มือกั้นลำแขนบางที่จัดการตัวเองไว้ได้ เท้าของกิ่งไผ่เป็นจุดที่ต้องระมัดระวัง ชายหนุ่มใช้เรี่ยวทั้งหมดผลักกิ่งไผ่ให้เซหลุ่นๆ จนถึงริมแม่น้ำใสเย็น คนที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวว่าธีรเดชจะโต้กลับมาได้ขืนตัวเองไว้

ธีรเดชไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายได้ตั้งหลัก กระแทกร่างของอีกฝ่ายจนตกลงจากริมตลิ่ง กิ่งไผ่ดิ้นรน น้ำเข้าปากเข้าจมูก หงุดหงิดกับตัวเองที่ไม่สามารถโต้ตอบไปได้อย่างจริงจัง เพราะตัวเองยอมที่จะไม่ลงมือจริงๆ ตัดใจลงมือจริงจังไม่ได้เพราะยังไม่ลบเลือนความรู้สึกที่มีให้ชายหนุ่ม ธีรเดชมองคนที่เปียกไปทั้งตัว พยายามว่ายเข้าหาฝั่ง เรือนผมโอบอุ้มน้ำหนาหนัก ทิ้งตัวไปเบื้องหลัง ริมฝีปากที่ดูเย้ายวนเผยอหอบหายใจน้อยเพราะเหน็ดเหนื่อย ร่างที่จมลงในแม่น้ำ โผล่ขึ้นมา เมื่อปีนขึ้นมาได้ หยดน้ำพราวแพรวต่างหยดสู่พื้นดินจนตรงที่กิ่งไผ่คุกเข่าชื้นแฉะ

“ผมว่าผมคงชนะ”

คนที่ใช้ทีเผลอมองโดยที่ไม่ช่วยอะไรเลย กิ่งไผ่มีสีหน้าว่างเปล่า เขายังไม่ยอมแพ้หรอก คิดจะสู้ธีรเดชประเมินว่าตัวเองต้องชนะ เพราะสังเกตไว้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ลงมือจริงจังสักเท่าไร กิ่งไผ่ลุกขึ้น เซเล็กน้อย รุกเข้าหาธีรเดชอีกครา รุนแรง รวดเร็ว ธีรเดชถอยหลัง มองออกว่ากิ่งไผ่คงจะย้ำเข้าที่แผลเก่าอย่างแน่นอน เป้าหมายของกิ่งไผ่คือจะย้ำตรงแผลเก่าของธีรเดช....แผลที่ตัวเองเป็นคนเย็บและเขาก็เป็นคนทำให้มันเจ็บ....ธีรเดชจับแขนคนที่ดูเหมือนบ้าคลั่งเอาไว้แน่น ตรึงให้อยู่กับที่ มองใบหน้าเปียกชื้นฉายแววดึงดั้น ธีรเดชไม่อยากให้ความรุนแรงมาก ผิดกับที่กิ่งไผ่ทำท่าว่าอยากจะให้ฆ่าเสีย ไม่เข้าใจเท่าไร ได้แต่ยึดใบหน้าให้จ้องมอง....มองอย่างค้นหา กิ่งไผ่เห็นแววตามองตัวเองพิศวง ไม่อยากให้มองตัวเขาในตอนนี้ สายตาดั่งพายุที่พาใจให้ปั่นป่วนเหมือนกับนกปีกหักที่ไม่อาจพยุงตัวเองให้บินผ่านพายุแห่งความรัก สายตาที่มองในตอนนี้สยบให้หัวใจ ดวงตาอ่อนแสง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ นายทหารหนุ่มเฝ้ามองมัน ลมหายใจเหมือนถูกหยุดไว้ มือกร้านหยาบปัดเรือนผมหนาออกให้พ้นจากวงหน้า สัมผัสกับผิวเย็นเฉียบกว่าปกติต่างจากเขาที่ร้อนรุ่ม อุณหภูมิผิวที่แตกต่างกันผสมหล่อหลอม ทุกอย่างรายรอบกายเหมือนกับจะหยุดลง เมื่อแนบชิดอยู่แบบนี้ หัวใจของนายทหารหนุ่มระริกไหว เคยแนบชิดกัน แต่ครั้งนี้มันกลับวาบหวามใจกว่า หวานละมุนและอ่อนโยน เหมือนไม่อาจควบคุมจิตใจได้ เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดกับหัวใจตัวเอง พยายามคิดหาเหตุผลว่าเพราะอะไร ริมฝีปากกิ่งไผ่ก็แนบสนิทเสียแล้วหลังจากที่จ้องมานาน ธีรเดชตัวแข็งทื่อ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมตัวเองเหมือนครั้งก่อน พยายามผลักออกด้วยความระแวง ทว่าเมื่อมองเห็นดวงตาที่หลับลง ตกอยู่ในบ่วงห้วงเสน่หา เขาเป็นฝ่ายยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้ ไม่อยากให้หยุดหรือจบลง


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ในครั้งนี้ธีรเดชคิดมุ่งมั่น เมื่อริมฝีปากร้อนเร่าแผดเผาตัวของเขาเอง ลำแขนเล็กๆโอบรอบลำคอ ก่อนแนบหน้าจุมพิตเบาๆตามลำคอและแนวกระดูกไหปลาร้า สัมผัสจากริมฝีปากเย็นเฉียบละลายไปกับอุณหภูมิ มือแกร่งรั้งกายโปร่งแนบชิดแทบเป็นหนึ่งเดียว เสื้อผ้าเปียกชื้นถูกมือหนาปลดเปลื้องออกว่องไว พอๆกับที่ริมฝีปากของกิ่งไผ่แนบพรมผ่านเสื้อตัวหนา ใบหน้าแหงนหงายขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกดึงรั้ง ดวงตาเปี่ยมด้วยเสน่หาอาบไล้แทบกลายเป็นผุยผง เพียงแวบเดียวที่สายตาสื่ออกมาว่าปรารถนาอย่างจริงจัง ตัณหาที่ดำเนินไปด้วยความที่ไม่เข้าใจของความคิดอีกฝ่ายหนึ่ง อยากให้รู้ ให้เข้าใจ...ธีรเดชจะพร้อมรับมันหรือเปล่า หัวสมองงุนงง คิดฝัน อยากรู้สึกว่าธีรเดชคิดยังไงที่ตัวเองทำแบบนี้ ยามที่เสื้อผ้าเปียกถอดออกจากเรือนร่าง ความสัมพันธ์...ที่อยากให้จบกลับเอ่อล้น พรูออกจากอกจนหัวใจเต้นระรัว ให้มือที่แตะหน้าอกรู้สึก วงแขนเล็กๆกอดร่างสูง แนบราวกับภักดี ปล่อยให้ธีรเดชดำเนินตัณหา ผิดพลั้งเองกิ่งไผ่ก็เจ็บเอง แต่ยังยอมจำนน ยอมทั้งใจทั้งกาย...

“ไผ่...”

คราวนี้เสียงกระซิบเรียกชื่อ ส่งผลให้กิ่งไผ่ปรือตามอง ยามร่างรั้งลงบนพื้นแข็งที่มีเพียงเสื้อรองไว้ กลีบปากนุ่มจูบซ้ำๆยังแก้มสากราวกับอยากให้รู้ว่าตอนนี้ร่างกายนี้ปั่นป่วนเพียงใด ธีรเดชมองร่างสวยงามนอนราบขนานกับผืนแผ่นดิน เปี่ยมด้วยเสน่ห์เกินคาดหยั่ง หัวใจกิ่งไผ่แทบละลายเป็นน้ำ ความสัมพันธ์ครั้งนี้เขายอมอ่อนโอนให้โดยสิโรราบ เสี้ยวหนึ่งที่คิดว่า ร่างนี้เคยผ่านใครมาบ้าง มันก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่อาจรู้สาเหตุ ฝ่ามือลูบไล้พิสูจน์ไปตามผิวนุ่ม เรือนผมของเขาก็ถูกขยุ้มแน่น คนที่เปิดเผยความต้องการของตัวเองเด่นชัดครางเครือ หลับตาแน่นเหมือนอยู่ในความฝัน นิ้วแกร่งบดขยี้ยอดอกสีสวยจนช้ำ พร้อมดื่มด่ำด้วยความต้องการ วงแขนบางยิ่งกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม สั่นสะท้านเมื่อถูกเร้าอารมณ์ ความรู้สึกประหลาดร้อยเรียงเข้าสู่หัวใจอันแข็งกระด้าง ทั้งๆที่ธีรเดชคิดว่าให้มันเป็นความสัมพันธ์ชั่วคราวที่ต่างมีให้ หรือเป็นแค่ความผิดที่หลงใหลไปชั่ววูบก็พอ....บางทีเขาก็ไม่อาจเข้าใจเลย

ลิ้นเกี่ยวพันยามริมฝีปากประกบแนบประกบอีกครั้ง ลมหายใจอุ่นๆแม้มันอาบไล้ความสุข หากสังเกตดีๆ มีแต่ความหม่นหมองอยู่ที่หัวใจ ยิ่งแนบชิดมากเท่าไรใจที่ไม่อาจรับรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใดที่รู้สึกเช่นนี้ ความสัมพันธ์มันหยุดไม่ได้แล่นเร้าให้ร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม ยิ่งกายแนบชิดกันมากขึ้น หัวใจที่จะกระเด็นกระดอนไปกับความสุขอาบล้น เหตุผลต่างๆนานาสิ้นสุด ปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่อยู่บนความไม่เข้าใจเดินดำเนินต่อ

เมื่อความรู้สึกพุ่งขึ้นสู่จุดสุงสุด แรงขับดันจากภายใจช่วยปลดปล่อยจากพันธนาการทุกสิ่งทุกอย่าง ลมหายใจที่หอบรุนแรง ยิ่งหอมหวานปนกับความขื่นขม กิ่งไผ่ลูบเสี้ยวหนาแกร่งอย่างเบามือ เมื่อมันแนบชิดแผ่นอก ฟังเสียงหัวใจที่เต้นระรัว น้ำตาที่ไหลรินเพียงหยดเดียวหลังจากที่รับรุ้กว่าแก่นกายอัดแน่นด้วยความร้อนรุมสอดแทรกในความอุ่นชื้น ทรมานเล็กน้อย แต่ความสุขที่แล่นริ้วไปตามไขสันหลังจนสู่หัวใจ ขยับช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะอันให้เร็วขึ้น เสียงที่เปล่งจากซอกคอที่เกี่ยวกุมกายแกร่งแน่นบ่งบอกว่ามีความสุข ธีรเดชมองดวงตาที่เหม่อเลื่อนลอย เคลิบเคลิ้มไปกับความสุขที่อัดแน่น สิ่งที่บดเบียดคือแก่นกายของชายหนุ่ม เพียงได้รับรู้ถึงแรงกระแทกที่รุนแรงความสุขก็ยิ่งเพิ่มและยิ่งอาบล้นกว่าที่เคย รู้สึกว่าจะแตกสลายไปกับความสัมพันธ์นี้....ธีรเดชมีความสุขกับสัมพันธ์แนบแน่นในครั้งนี้ พอมันสิ้นสุด ทำนบก็พังทลาย จูบแนบแก้มที่เปื้อนคราบเหงื่อเบาๆ หยุดพัก นอนแนบอกที่ยังไม่หายเต้นรัว....กลิ่นอายของความรักยังลอยอวล นิ้วเรียวลูบแผ่นหลังแกร่งอย่างเหม่อๆราวกับกระตุ้นให้มันดำเนินต่ออีกครั้ง ธีรเดชเพ่งพิศเปลือกที่พริ้มลงอย่างเหนื่อยอ่อน อยากจะเริ่มหากก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยเกิน อีกทั้งต้องระวังท่าทีหลังจากผ่านช่วงแห่งความสุขสมของกิ่งไผ่ว่ามันจะเป็นเช่นไร ไตร่ตรองสักพักเห็นท่าทีสงบนิ่งอีกทั้งมือลูบไล้แผ่นหลังราวกับคะนึงหาทำให้ธีรเดชอดใจไม่ไหว ยกมือสอดไปในเรือนผมยาว สางตอบรับ ดวงหน้างามยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุข สัมผัสจากคนๆนี้ยังสื่อถึงความใจดี ไม่อาจทานทนได้อีกแล้วเมื่อเห็นใบหน้าดั่งจันทร์อันสว่างไสว เขาพรมจูบใบหน้าอย่างนุ่มนวล ต่อให้ฟ้าจะถล่มก็ไม่อาจหยุดพายุตัณหาที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งได้เลย ไม่ค่อยข้าใจเท่าไร เมื่อโอบอุ้มดวงหน้าที่จำยอมผ่อนปรน แม้จะเคยแนบสนิท แต่มันไม่มีอะไรที่เกินมากกว่านั้น คราวนี้ใจอาบล้นด้วยความหวานที่ไม่มีวันสิ้นสุดลง


ร่างกายอันอ่อนล้า ลืมตาขึ้นกิ่งไผ่กระพริบตาถี่ๆ เขาสำรวจดูตัวเอง เรื่องเมื่อครู่เป็นความฝันหรือเปล่า เขายังงุนงงกับมัน มองตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย พร้อมกับเสื้อนอกที่คลุมกายเอาไว้ เสียดาย...ที่มันเป็นแค่ฝันเท่านั้นหรือ รู้สึกอยากจะร้องไห้ด้วยความเสียใจ ทว่าร่างกายอันอ่อนล้า พร้อมกับอาการปวดแปลบเหมือนเรี่ยวแรงหายไปหมดจากกายบอกว่ามันมิใช่ฝัน ภาพที่เขากอดธีรเดช เริ่มความสัมพันธ์ติดอยู่ในใจ ดวงตาสีดำมองท้องฟ้าสนธยา หูได้ยินเสียงแว่วๆดังจ๋อม ฝืนทนลุกขึ้น มองเห็นกายกำยำในความสลัวราง แช่น้ำเย็นเฉียบ รอยยิ้มส่งมาให้คล้ายกับลืมเลือนเรื่องราวหมางใจ กิ่งไผ่ไม่รู้ว่าสมควรจะยิ้มตอบหรือเปล่าจึงไม่แสดงอาการใดๆออกมา ร่างสูงลุยน้ำขึ้นตลิ่ง ผิวสีเข้มชุ่มไปด้วยน้ำ ไม่กล้ามองมากกว่านั้น กลัวที่จะนึกถึงกายนี้โอบล้อมเขาเอาไว้ ธีรเดชทรุดนั่งข้างๆแตะแก้มซีดๆ ท่าทีอ่อนโยนแทบฆ่าให้ตายได้

“ไม่เป็นไรนะ”มือที่กุมไว้ยังเพิ่มอุณหภูมิที่ร้อนเร่า หลายครั้งหลายคราที่ธีรเดชไม่ปล่อยให้ร่างสวยงามห่างกาย ตัวชายหนุ่มที่รุนแรงไม่ยับยั้งอารมณ์กกกอดเอาตามความพอใจจนหมดแรง ปลดปล่อยให้กายสู่ความสุขอันโลดแล่นหลายครั้งหลายครา กิ่งไผ่เหนื่อยจนหลับไปเลย ธีรเดชเลยต้องคอยดูแล จัดแจงใส่เสื้อผ้า ชำระคราบแห่งความสุขสมให้ก่อนตัวเขาเองจะไปอาบน้ำ ดับอารมณ์ที่คุกกรุ่นให้มอดลง ระหว่างที่ชำระกาย สายตาแกร่งมองร่างที่หลับสนิทตลอดเวลา ท่าทีไร้พิษภัยน่าปกป้อง สองความรู้สึกต่อสู้กันในใจว่าที่เขาทำลงเพราะอะไรกันแน่พยายามหาเหตุผลต่างๆนานาเข้ามาแก้สิ่งที่พันยุ่งเหยิงให้กับคำตอบเข้าข้างตัวเองว่าฝ่ายที่เริ่มก่อน จุดชนวนอารมณ์คืออีกฝ่าย ปลุกให้มันลุกไหม้แผดเผา

มือที่แตะข้างแก้ม กิ่งไผ่แนบมันด้วยท่าทีออดอ้อน ธีรเดชไม่ใคร่จะพอใจนักเมื่ออีกฝ่ายแสดงท่าทางแบบนี้ เหมือนยั่วยวนให้หลงใหลแล้วหักหลังทิ้งอย่างเลือดเย็น พยายามปัดความคิดที่ร้ายกายออก ผละจากแก้มก็กุมมือ
อีกฝ่ายขึ้น

“ไปที่ไทยกับผมนะแล้วผมจะคุ้มครองคุณเอง”

ชายหนุ่มฉวยโอกาสที่กิ่งไผ่กำลังงุนงงและเคลิบเคลิ้มอยู่เอ่ยปาก จ้องด้วยความจริงจัง

“ไป ?....”

ดวงตางงงัน สติยังไม่กลับคืน ธีรเดชผงกศีรษะ

“ใช่...ไปกับผม”

ดวงตาแย้มยิ้มให้คลายความหวาดระแวง กิ่งไผ่ส่ายหน้า

“ไปไม่ได้หรอก อย่าเลย”

ไม่อยากให้หมางใจจึงบอกปัดไปอย่างนุ่มนวล

“เราทั้งคู่ต่างเป็นศัตรูกัน การที่ผมก้าวข้ามไปฝั่งไทยแสดงว่าผม....ถูกหักหลัง”

เขาไม่อยากพูดคำๆนี้ สุดท้ายมันก็หลุดออกจากปากอย่างง่ายดาย ธีรเดชนิ่ง รู้ว่าไม่มีทางจะพาไปง่ายๆจึงพูดเกลี่ยกล่อมอย่างสุภาพ

“คุณถูกตามล่าอยู่ไม่ใช่หรือ ทางฝ่ายผมจะคุ้มครองให้”

ธีรเดชเอ่ยอ้างคำที่อีกฝ่ายบอก กิ่งไผ่ก้มหน้าลง

“ไม่ได้....ต่อให้ผมตายผมก็จากไปจากแผ่นดินนี้ไม่ได้”

แววตาหม่นเมื่อนึกถึงครอบครัวที่แตกซ่านกระเซ็นเพราะถูกทรยศ เขาไม่อาจไปไหน แม้ว่าใจอยากโบยบินตามความรู้สึกที่รู้ว่าเขาเป็นฝ่ายถูกหลอกลวงก็ตาม พ่อเขายังอยู่ที่นี่...ภารกิจหัวใจของเขาจบสิ้นแล้ว เหลือแต่หน้าที่ที่แบกทับไว้บนบ่า

“เพราะอะไร มันอันตรายไม่ใช่หรือ จะหลบซ่อนไปที่ไหน”

ธีรเดชโน้มน้าว กิ่งไผ่พยายามปฏิเสธสักเท่าไร ...หัวใจก็เหมือนจะโอนเอียงตามคำพูดอ่อนโยนที่สัญญาว่าจะปกป้อง

“ผมรับรองว่าจะคุ้มครองคุณ....”

มองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างค้นหา อยากอยู่ใกล้แม้สักนิดเดียว จะยอมอ่อนง่ายๆไหมนะ...กิ่งไผ่ขบคิด เขาคำนวณว่าหากไปกับธีรเดชเขาจะพบกับความเสี่ยงอะไรบ้าง

“ถึงแม้ว่าผมจะเป็นศัตรู คุณก็ไม่สืบสวนหรือกักตัวไว้หรือ”

อีกฝ่ายเอ่ยคล้ายเย้าหยอก ธีรเดชนิ่งงัน

“เห็นไหมว่าผมไปก็เท่ากับเป็นเชลยทันที”

มือแกร่งบีบแน่น

“ผมไม่ให้มันเป็นแบบนั้นแน่ ไผ่...ผมกลัวเหลือเกินว่าคุณจะถูกล่าอีก ไปกับผมเผื่อผมช่วยอะไรได้”

คำว่าช่วยเหลือจุดดวงตาสีดำสนิทสว่างวาบ ถ้าเขาไป ต้องใช้ประโยชน์จากทางไทยได้แน่ แม้มันดูเสี่ยงแต่ต้องลองดู ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรแน่ เกือบตอบตกลง หากอีกความคิดหนึ่งกลับคัดค้านว่าถ้าหากไปแล้วมันไม่เป็นอย่างที่คิดจะทำอย่างไร หากถูกกักตัวเอาไว้เป็นพยาน แต่ตอนนี้มันจะจำเป็นอะไรในเมื่อที่พำนักสุดท้ายถูกยึดครอง เขาก็ใช้ข้อเสนอจากชายหนุ่มขอมาต่อรองขอความช่วยเหลือ....ยิ้มที่เจ้าเล่ห์ในใจ และแล้วเขาก็ตกลง

“ถ้าคุณคุ้มครองผมได้ผมก็จะไป”

ธีรเดชดีใจยิ่งนัก จนไม่เอะใจให้การอ่อนโอนผ่อนตาม...เงื่อนงำที่จะสาวสู่กองโจรกู้เแผ่นดิน พยานเพียงหนึ่งเดียวที่โน้มน้าวได้ ชายหนุ่มดึงร่างของกิ่งไผ่เข้ามากอด....ต่างหลอกลวงกันและกัน เล่นเกมส์ภาระหน้าที่ จากความอ่อนหวานเลือนหาย ความรักที่เกิดเพียงชั่วครั้งชั่วคราว....

------------------------------------------------

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
 :m25: ไผ่เสร็จธีแว้ว

แต่ว่าต่อไปนี้  :monkeysad: ไผ่เอ้ย

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:impress2:
และแล้วไผ่ก็เสร็จธี...หรือธีเสร็จไผ่หว่า... :z2:
แม้จะยังไม่เข้าใจกัน  :oo1:    บ่อย ๆ เข้าเดี๋ยวก็รักกัน
 :z1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
โอยยยยยยยยย เกินความคาดหมาย

ชกต่อยกันอยู่ดีๆ อะไรฟะ  รวมร่างกันซะงั้น :haun4:





อ้างถึง
ธีรเดชดีใจยิ่งนัก จนไม่เอะใจให้การอ่อนโอนผ่อนตาม...เงื่อนงำที่จะสาวสู่กองโจรกู้เแผ่นดิน พยานเพียงหนึ่งเดียวที่โน้มน้าวได้ ชายหนุ่มดึงร่างของกิ่งไผ่เข้ามากอด....ต่างหลอกลวงกันและกัน เล่นเกมส์ภาระหน้าที่ จากความอ่อนหวานเลือนหาย ความรักที่เกิดเพียงชั่วครั้งชั่วคราว....


นี่มันอารายยยยยยยยยยยยย




ปล.  ตอบพี่มู่...รู้จักค่ะ ป้ามะขามป้อม RN   แต่ไม่ได้สนิทสนมกัน  ก๊ากกก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-12-2008 17:34:50 โดย 19NT »

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
แต่ละเม้นต์  ดูเหมือนหื่นๆ นะ โดยเฉพาะนารท  อิอิ :z1:
น้อง 19NT รู้จักกับป้าแป๋ว  ระวังโดนป้าแกขบหัวล่ะ 5555

ต่อเลยน้า  จะรีบลงเรื่องนี้ให้จบแล้วค่ะ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกียรติยศ กบฏหัวใจ 25 Enemy : ศัตรู [Part 1]

มองดูฟากฟ้าแล้วก้มหน้า ท้องฟ้าซึ่งเจือด้วยสีแห่งความหวัง ท่านนายพลนั่งภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เจ้าขิ่นกลับมาแล้ว มันยิ้มแฉ่งให้ผู้เป็นนายใหญ่ นายพลอินคานจ้องหน้ามันเมื่อมันวางของลงบนพื้นไม้

“เรียบร้อยไหม”อดถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆไม่ได้ เจ้าขิ่นยิ้มเผล่ ท่านพึ่งพอใจในผลงานมาก

“ดี...ดี...อย่างน้อยเราก็ยังไม่หมดหวัง”

เห็นท่านนายพลดีใจ เจ้าขิ่นก็ดีใจด้วย เด็กหนุ่มเลื่อนของในย่ามให้ ท่านนายพลขมวดคิ้ว

“อะไร...”

เจ้าขิ่นยิ้ม ท่านนายพลจึงหยิบออกมาดู

“เอ็งเอาเงินที่ไหนมาซื้อ”

ท่านนายพลมองหน้า เด็กหนุ่มไม่พูดอะไร นางยะไข่เดินออกมานั่งพับเพียบมองดูข้าวของที่ลูกชายซื้อมาเสียเยอะแยะ นางมองใบหน้า เจ้าขิ่นแย้มยิ้มไม่หยุดที่งานของมันได้ออกไปทำมีประโยชน์หลายๆอย่าง

“ฉันได้เงินจากที่ไปส่งจดหมายให้จ้ะ”

นายพลหยิบยามาดู ใบหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก

“เอ็งเอาเงินเขามารึ”

มารดาดูเป็นกังวลเหมือนกัน เจ้าขิ่นขมวดคิ้ว

“มีอะไรแม่ พวกนั้นให้เงินฉันเองจ้ะแม่ อีกอย่าง....ก็ไม่มีใครตามฉันมาด้วย ฉันรับรอง”

นางยะไข่มองท่านนายพลที่ส่ายศีรษะบอกว่าไม่เป็นไรกับเรื่องนี้

“บริษัทนี้ไว้ใจได้ แล้วแกได้พบตัวนายพลแดเนียลไหม”

เจ้าขิ่นส่ายหน้า

“ไม่จ้ะ แต่...ฉันฝากจดหมายให้กับคนในร้านแล้ว”

ดวงตาของท่านนายพลเบิกกว้าง ทว่าจางแสงไปอย่างรวดเร็ว ในมือกำยาลดความดันเอาไว้แน่น

“ส่งสำเร็จก็ดีแล้ว”

นางยะไข่เห็นท่านนายพลไม่สบายใจ นางจึงไล่ลูกชายออกไป มองใบหน้าคิดหนัก

“มีอะไรเกี่ยวกับจดหมายฉบับนั้นหรือ ฉันพอจะช่วยอะไรได้บ้าง”

ดวงตาเฉียบคมอ่อนล้าคล้ายกับคมมีดบิ่น

“ขอบใจนะยะไข่ ฉันรบกวนครอบครัวมากแล้ว...”

สายตาของท่านเหม่ออกไปเบื้องนอก นางยะไข่มองหน้าผู้เป็นนายเหนือหัวยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ครอบครัวของฉันพร้อมรับใช้นายจ้ะ”

นายพลผงกศีรษะ ก่อนเอ่ยคำรำพึงที่ติดอยู่ในใจ

“ฉันรู้...เวลาของฉันมีไม่มาก ตัวฉันเองไม่เป็นไรหรอกเพราะเป็นไม้ใกล้ฝั่ง จะพุพังล้มลงตอนไหนก็ยังไม่รู้เลย เหลือเพียงแต่ลูกชายของฉัน....และซากความฝันที่ฉันยัดเยียดให้เขา”

นางยะไข่ถอนใจกับคำที่ท่านนายพลเอ่ยออกมา

“นายเป็นเหมือนเสาหลักของทุกคน นายน้อยก็เปรียบดั่งมิ่งขวัญในหัวใจ ทุกคน....ต่างฝันที่อยากจะให้นายและนายน้อยขึ้นครองอำนาจ นายน้อยรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความฝันที่เลื่อนลอย นายไม่ต้องห่วงนะว่าจะไม่มีช่วยเหลือนายน้อย”

ท่านนายพลผงกศีรษะน้อยๆ

“ขอบใจสำหรับของใจ ฉันรู้ตัวเองดีว่าเวลากำหนดให้อีกเท่าไร แต่ก่อนที่จะตายฉันหวังว่าจะเจอกับลูกชายฉันก่อน”

ท่านกุมอก...รู้สึกเหนื่อยกับโรครุมเร้า สิ่งที่ทำให้เรี่ยวแรงยังมีอยู่ก็คือความหวังอันริบหรี่ พอมาเป็นแบบนี้แรงที่ยังมีกลับลดหาย

“ฉันเชื่อว่านายจะได้พบกับนายน้อยอย่างแน่นอน”

นายพลส่งเสียงรับในคอ ท่านลุกขึ้นนางยะไข่ช่วยประคอง

“ขอบใจเอ็งมาก ฉันจะไปเดินเล่นเสียหน่อย”

นางยะไข่รู้ว่านายพลอินคานต้องใช้ความคิดเงียบๆ นางจึงไม่ได้ไปกวน ทรุดนั่งเก็บข้าวของที่บุตรชายซื้อมา

------------------------------------------------

นายพลอินคานเหยียบย่ำแผ่นดินเกิดแต่ละก้าวเดินท่านจะนึกถึงช่วงสมัยอดีตนับแต่ได้ครองเวียงนวรัฐะ อำนาจถูกปลิดโค่นด้วยพี่น้องที่ริษยาในอำนาจ แผ่นดินที่ท่านเคยคิดจะครองครองจนตายแล้วถ่ายทอดอำนาจให้บุตรชายเพียงคนเดียวกลับเป็นได้แค่หมอกควัน ท่านหยุดนิ่งมองดูดอกไม้ป่าที่ชู่ช่อสไวเดียวดายคิดถึงภริยารัก

...กี่ปีที่ท่านต้องเดินอยู่บนเส้นทางแห่งสายน้ำตา สูญเสียพวกพ้อง สูญเสียสิ่งที่รักไปกับสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น...

“เจ้าคะฉิ่น ไว้ใจมึงแท้ๆมึงยังแว้งกัดได้”

นึกเจ็บใจอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ พี่น้องที่เชือดเฉือนกันเพียงเพราะคำว่าอำนาจ อยากล้มล้างอีกฝ่ายด้วยความริษยา สิ่งที่ทำให้ท่านนายพลอินคานเสียใจมากที่สุดคือภรรยารักถูกผู้เป็นพี่น้องวางยาพิษ กำลังที่ส่องสุมบุกยึดอำนาจ หยุดเท้าตรงเนินผาที่สามารถมองเห็นบ้านเมืองซ่อนตัวลิบๆอยู่ในป่า ท่านสลัดอดีตออกไปให้หมด แผนการขั้นต่อไปเรียบเรียงไว้ในหัวแต่ด้วยใจที่วุ่นวายทำให้คิดอะไรไม่ค่อยออก ท่านจ้องมองแนวเทือกเขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของท่าน นายพลินคานหลับตาลง ความฝันอันเฟื่องฟูล่องละลอยอยู่ตรงหน้าพลันจบลงด้วยคำว่าความเป็นจริง นายพลอินคานกำมือแน่นแล้วท่านนายพลอินคานหันหลังเพราะเสียงเรียกแผ่วเบา

“นายครับออกมาแบบนี้ไม่ดี”

เจ้าขิ่นเอ่ยเบาๆ สีหน้าของมันดูนอบน้อม ท่านนายพลทรุดนั่งยังก้อนหินเกลี้ยงเกลา

“นานแล้วที่ไม่ได้มานั่งดูบ้านเมือง ชีวิตฉันอยู่กับการรบพุ่งมานานเหลือเกิน ดูสิ....ดูเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะ”

เสียงกระซิบแผ่วเบา ดวงตามีรอยยิ้มอ่อนโยน เจ้าขิ่นนั่งฟังเงียบๆ

“ยังจำได้ ตรงนั้นเป็นที่ที่เมียฉันชอบไปมากที่สุด ลุกฉันก็ชอบ”

ท่านชี้ตรงที่เห็นแม่น้ำสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ

“พ่อเล่าให้ฟังเสมอว่า ท่านจะใช้เวลากับครอบครัวของท่านที่ตรงริมน้ำนั่นตกปลา....มองดูภรรยาของท่านร้อยดอกไม้ นายน้อยวิ่งเล่นกับเล่าคนรับใช้มีความสุขทีเดียว พ่อผมเล่าเหมือนกับนิทานก่อนนอนเลยครับ”

เด็กหนุ่มกล่าวเสียงใส ท่านนายพลดูเหมือนจะยิ้มนิดๆกับอดีตอันแสนหอมหวาน แต่แล้วก็มีสีหน้าเจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทง สีหน้ามีสุขของเจ้าขิ่นเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน น้ำตาไหลลงอาบแก้ม เพียงหยดเดียวที่ความทรงจำต่างๆลบเลือน เหลือเพียงเลือและความอาลัย

“นายครับ...”

เจ้าขิ่นแตะหลังมือ ท่านนายพลพยายามยิ้มให้ได้ มันฝืนเกินไป ท่านซบหน้ากับฝ่ามือ หยาดน้ำตา ความอ่อนล้า เจ้าขิ่นบีบมือแน่นขึ้น

“ไม่เป็นอะไร....ข้าไม่เป็นอะไร”

ท่านายพลว่าก่อนระงับอารมณ์ เงยหน้าสายตาอ่อนล้ามองไปยังเมืองที่อยู่ไกลลิบๆ

“ท่านหิวข้าวยังครับ”เจ้าขิ่นเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นยื่น

“ไปบอกให้แม่เอ็งเตรียมสำรับเถอะขอฉันอยู่ที่นี้ต่ออีกสักนิดแล้วฉันจะกลับเอง เอ็งไม่ต้องห่วง”

เจ้าขิ่นผงกหัววิ่งตื๋อไปยังบ้าน ท่านนายพลมองดูสถานที่ที่เคยปกครองในอดีต

------------------------------------------------

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
จดหมายปลิวกระทบโต๊ะขัดมันวับ สายตาเย็นยะเยือกจับจ้องราวกับเป็นเศษไร้ค่างวด ควันบุหรี่ที่พวยพุ่งสู่อากาศ พร้อมกับกลิ่นคละคลุ้ง ผู้ที่ยืนตัวตรงยิ้มคล้ายกับประจบประแจง

“มันไม่รู้สินะว่าคนช่วยมันถูกกักไว้ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับกิจการค้าไม้นี่แล้ว”เคาะโต๊ะอย่างนึกเยาะ

“มันคงไม่รู้จริงๆครับท่านว่าคนที่สามารถช่วยมันได้ถูกเขี่ยให้พ้นทางแล้ว”

ผู้ที่มาส่งจดหมายตอบยอย่างนอบน้อม คนที่ได้ฟังหัวเราะลั่นอย่างสมใจ

“โง่ไม่ผิดเหมือนแต่เก่าก่อนเลย”น้ำเสียงนั้นเหยียดหยัน ร่างสูงใหญ่เปิดม่านบานเกล็ด

“นำเรื่องนี้ไปรายงานท่านคะฉิ่นท่านต้องได้รับการชื่นชมและเลื่อนยศแน่ที่สามารถจับหนามขวางทางท่านได้”

ผู้ที่มาจากบริษัทเหมืองแร่เอ่ย คนที่ได้ฟังคำยอหัวเราะลั่น

“หึๆๆๆความคิดแกไม่เลวเลย”

สายตาดั่งเหยี่ยวมองใบหน้าของชายร่างอ้วนที่ยิ้มเผล่ประจบประแจง

“งานนี้หากสำเร็จฉันจะได้เลื่อนทั้งเงิน ทั้งยศและอำนาจ แกต้องได้รับการตอบแทนคุ้มแน่ๆ”

ดวงตาของชายร่างอ้วนทำตาโตราวกับละโมบต่อทรัพย์ที่ได้รับ

“ไอ้เสือเก่สิ้นลายมันคงไม่คิดนะว่ามันถูกหักหลัง”ชายร่างอ้วนนอบน้อม

“ไม่รู้ตัวเลย เด็กส่งจดหมายก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน ....เสือเจ็บหนัก หมดทางเอาตัวรอดต้องกระเสือกกระสนทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิต”

ชายร่างอ้วนกล่าว สีหน้าของชายหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์แสยะยิ้มพร้อมยกมือลูบคาง

“ถ้าจับตัวมันมานายพลคะฉิ่นคงพอใจน่าดู”

ชายร่างอ้วนค้อมเหมือนยอมรับในความคิดเห็น

“ขอบใจที่มาแจ้งข่าว รีบออกไปซะ”

ชายใบหน้าจอมเจ้าเล่ห์โบกมือไล่ใบหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจ ชายร่างอ้วนค่อยๆถอยหลัง

------------------------------------------------

นายพลคะฉิ่นนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทีสบายๆ มุมปากคาบซิการ์พ่นควันปุ๋ย มือวางทาบบ่ากลมมนของหญิงสาวในชุดจีนสามนางที่นั่งเอาอกเอาใจผู้นำประเทศ ใบหน้าหมวยๆเคลียคลออดอ้อน ฉอเฉาะ มือขาวสะอาดรินเหล้าให้เรื่อยๆพร้อมกับจูบแนบแก้มเหี่ยวๆ ไม่นำพาต่อสายตาลูกน้องที่ยืนอารักขาในชุดทหารอยู่หน้าประตู ใบหน้าดุจหินมีความรู้สึกขึ้นมาเมื่อชายร่างผอมแต่งชุดทหารประดับเครื่องหมายยศผู้พันก้าวเร็วๆดิ่งตรงเข้ามาภายในห้องพักส่วนตัวของเจ้าผู้ปกครองเวียงวนรัฐะ ต่างยกมือกั้น ชายผู้นั้นทำหน้านิ่วคล้ายกับไม่พอใจ เสียงหัวเราะต่อกระซิกแว่วตามลม ดวงตากลิ้งกลอกมองทหารยศต่ำกว่าตนอย่างหาเรื่อง

“มีธุระด่วน ขอเข้าพบท่านนายพลคะฉิ่น”

สายตาสีดำสนิทมองตรงเข้าไปในห้อง เห็นนายพลชราทำตัวเป็นเฒ่าหัวงู ปากกัดกินผลไม้ที่นางบำเรอที่ซื้อมาป้อน ต้นขาขาวผ่องพาดตักนายพลคะฉิ่นที่อยู่ในชุดของท่านนายพลเต็มยศ

“ท่านผู้พันฮามมีธุระเร่งด่วนอะไร”

ทหารอารักขาถาม สีหน้าของผู้พันฮามหน่ายเหนื่อยกับชีวิตนายเหนือหัว

“ผู้พันราเชนทร์ต้องการรายงานข่าวด่วนเกี่ยวกับเรื่องนายพลคะฉิ่น”

ผู้พันฮามซึ่งในอดีตเคยเป็นมือขวาของท่านนายพลอินคานกล่าว สายตาจอมเจ้าเล่ห์จ้องเขม็งยังสองทหารอารักขา หนึ่งในนั้นค้อมศีรษะให้

“กระผมจะไปกราบเรียนท่านให้ รอคอยสักครู่”

เดินเข้าไปภายในห้อง ผู้พันอฮามยืนตัวตรงด้วยท่าทีงามสง่า หางตาชายมองชายชราที่ตีสีหน้าขัดใจเมื่อถูกขัดจังหวะ ทหารอารักขาก้มลงกระซิบกระซาบพร้อมทั้งชี้มือมายังด้านนอก คิ้วขมวดเข้าหากัน มือโบกขับไล่หญิงสาวให้ออกไปให้พ้น นางบำเรอทั้งหลายต้องรีบลุกทันทีหลังจากถูกตวาด ทหารอารักขาออกมาเชิญผู้พันฮาม ซึ่งผู้พันมือขวาของนายพลคะฉิ่นก้าวเข้าไปภายใน ค้อมศีรษะเคารพผู้เป็นนาย นาลพลคะฉิ่นผายมืออนุญาตให้ลูกน้องนั่ลงได้ หลังจากที่ยืนตัวตรง

“มีข่าวด่วนอะไรรายงาน”

น้ำเสียงเข้มดุผิดกับคราบเฒ่าหัวงู ดวงตาสีเทากระเหี้ยนกระหือรือ พันตรีฮามส่งจดหมายให้พร้อมกับกล่าว

“นี่เป็นจดหมายที่ทางบริษัทเหมืองแร่อีสต์เอเชียส่งมาร้อยเอกราเชนทร์ครับท่าน”

นายพลคะฉิ่นขมวดคิ้ว มองลายมือหวัดๆอันแสนคุ้นตาแล้วยิ้มเยาะ

“ร้อยเอกราเชนทร์ที่เข้ามาหลบหนีในประเทศเราเพราะคดียาเสพติดรึ”

นายพลคะฉิ่นรำพึง นึกถึงใบหน้าเปี่ยมด้วยความละโมบ

“ครับลูกน้องของนายกฤษดานั่นแหละครับท่าน”

เอ่ยถึงหุ้นส่วนของผู้เป็นนายแล้วกำมือแน่นก่อนจะคลายออก

“ว่าอย่างไรล่ะ ...อ่านให้ฟังหน่อยสิว่าไอ้เสือเฒ่าต้องการอะไรและตอนนี้มันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”

ดวงตาสีเทาเปี่ยมด้วยความอำมหิต พันเอกฮามจึงหยิบจดหมายคลี่ออกมาอ่านให้ฟัง ดวงตาคู่นั้นปูดโปน มือบีบแก้วเหล้าในมือราวกับจะให้ปริแตก ทันทีที่อ่านจบนายพลคะฉิ่นปาแก้วทิ้ง ยิ้มอย่างเป็นต่อ

“หึ...ไอ้พวกกฤษดาหาตัวมันไม่พบที่แท้นึกว่าไปหลบซ่อนหางที่ไหน หึๆๆ น่าสงสารไอ้แก่หาที่ซ่อนก้น จดหมายฉบับบนี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ?”

หันมองผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งตีสีหน้าไร้ความรู้สึก

“ทางร้อยเอกราเชนทร์บอกว่าเป็นฉบับจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ครับท่าน หากท่านอยากพิสูจน์กระผมเรียกร้อยเอกราเชนทร์มาพิสูจน์ได้”

นายพลคะฉิ่นบอกให้พาราเชนทร์เข้ามา ซึ่งพันเอกฮามลุกขึ้น เชิญชายที่มีความละโมบอยู่เต็มสันดานเข้ามา ร้อยเอกราเชนทร์ซึ่งในสมัยอดีตเป็นทหารประจำเขตแดนไทยแต่ต้องมาระเห็จเพราะคดียาเสพติดและเข้าร่วมกลุ่มกับกฤษดาเกี่ยวกับเส้นทางค้ายา นายพลคะฉิ่นมองหน้าราเชนทร์ ท่านเคยพบแต่ไม่เคยใส่ใจ มาบัดนี้ท่านจึงมองใบหน้าลูกของของกฤษดา

“นายของแกมันหาคนที่ฉันต้องการไม่พบถือว่าไร้น้ำยาไหม”

นายพลคะฉิ่นถาม อยากรู้นักว่าสุนัขของกฤษดาจะว่าอย่างไร หากคนที่เป็นสุนัขกลับนิ่งเงียบ

“จดหมายนี้นี่นายเอ็งเป็นคนได้มารึ”

น้ำเสียงท่านนายพลไร้ความรู้สึก พันเอกฮามซึ่งมองออกไปด้านนอกหน้าต่างราวกับไม่ได้สนใจในบทสนทนา

“ทางบริษัทของนายพลแดเนียลเป็นคนส่งมาให้ครับ”

ราเชนทร์ตอบแล้วนิ่งไป

“ส่งมาให้อย่างไร แล้วนายของเอ็งรู้ไหม”

ราเชนทร์ถูมือก่อนจะส่ายหน้า

“ข้อนี้นายผมย่อมไม่ทราบแน่ จดหมายนี้มาจากคนที่น่าจะถือว่าเป็นลูกน้องของนายพลอินคานไม่ผิดแน่ เสือเจ็บหนักย่อมต้องการหาคนช่วย”

สีหน้าของท่านายพลคะฉิ่นเคลือบแคลง

“จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามแต่ท่านกระผมโกหกก็ไม่ได้ผลดีอะไร ถ้าท่านต้องการหลักฐานเชิญเรื่องผู้จัดการของบริษัทอีสต์เอเชียมาได้”

ท่านนายพลคะฉิ่นกำมือแน่นจำต้องยอมเชื่อ ถอนใจแรง

“แต่ข่าวนี้ย่อมไม่ได้มาฟรีๆแน่ ท่านจะให้ค่าแรงไหม”

เอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว นายพลคะฉิ่นผงกศีรษะ

“ต้องให้แน่”

เสียงของท่านเย็นจัด สีหน้าของราเชนทร์จ้องมองใบหน้าของเสือเจ้าเล่ห์

“ท่านคิดจะปิดปากหรือ ยังไงเสียกระผมยังมีประโยชน์ต่อท่านยิ่งกว่านายของผมอีก”

ผู้พันฮามหันมองสุนัขที่เริ่มแว้งกัดนาย

“คนอย่างนั้นไม่รู้เรื่องอะไรหรอก...อ้อ ท่านรู้หรือยังว่าทางไทยนั้นได้รวมมือกับทางรัฐบาลทหารพม่าเพื่ออกตามหาทหารที่หายไปในการลาดตะเวน...”

เหลือบมอง แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ ท่านนายพลคะฉิ่นขมวดคิ้ว

“ว่าอะไรนะ ?”

“แลกกับข่าว ต้องส่งเงินให้”

ผู้พันฮามมองใบหน้าที่เต็มด้วยความโลภ อยากกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัว

“ลูกชายผมส่งข่าวกลับมาว่า ทางไทยตอนนี้กำลังสืบคดีเรื่องที่ทางทหารไทยถูกโจมตีโดยให้ตัวแทนทูตจากพม่าจัดการเรื่องนี้”

คำพุดที่สั่นคลอน นายพลคะฉิ่นไม่อยากเชื่อ หากราเชนทร์ลุกขึ้น

“ข่าวนี้กระผมมิอาจกุท่านได้ แล้วแต่จะพิจารณา”

เจ้าคนละโมบค้อมศีรษะให้แก่พันเอกมือขาวของนายพลคะฉิ่นที่นั่งตีหน้าปั้นยาก

“จะให้กระผมจัดการไหมครับ”

พันเอกฮามหันมองเจ้าคนบังอาจเดินจากไป มือของนายพลคะฉิ่นโบกอย่างอ่อนล้า

“ไม่จำเป็น”

สีหน้าเครียดเคร่งจากข่าวที่ได้ฟังกะทันหัน ระยะนี้ท่านหลงระเริงกับอำนาจจนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ผู้พันฮามมองสีหน้ายุ่งยากใจ

“เรียกประชุมในวันพรุ่งนี้...”

นายพลคะฉิ่นกล่าว ไม่มีวันที่จะให้อะไรมาขวางอย่างเด็ดขาด!

------------------------------------------------


ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
^
^
^

ทิ่ม...เบาๆ

อ้างถึง
น้อง 19NT รู้จักกับป้าแป๋ว  ระวังโดนป้าแกขบหัวล่ะ 5555

พี่มูมู่ขา  ไม่ต้องห่วงไป  ป้าเขาเตี้ย  โดดไม่ถึงหัวเค้าหรอก

กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก



---------------------------------


แกว๊กกกกกก  นายพลโดนหลอกรึ  โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

นิสัยไม่ดีอิพวกโจรบ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2008 19:14:06 โดย 19NT »

nartch

  • บุคคลทั่วไป
กิ่งไผ่ก็น่าห่วง...จะได้บ้านได้เมืองคืนไม๊
ธารก็ไม่รู้เป็นไงบ้าง...
เหล่าสุดที่รักทั้งธีทั้งผู้กองจะมีอันตรายป่าว
 :serius2:

ปล. มาว่าเค้าหื่นนนน ใจร้ายยยย  :a14:

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
อะรายกานนักกานหนา

อันตรายรอบด้านเลยว้อย

 :serius2:   :serius2:   :serius2:


ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น

pupper

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อไหร่จะมาต่อครับ ใกล้ถึงบทสรุปของภาคแรก
ตอนนี้ลุ้นระทึกกับปาฏิหารย์มากๆ และทางๆไผ่กับธีอีก
มาต่อไวไวนะครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เกียรติยศ กบฏหัวใจ 26 Enemy : ศัตรู [Part 2]

กิ่งไผ่ยอมตามธีรเดชไปนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ระยะทางไปยังหมู่บ้านชาวป่าเพื่อจะตัดเข้าเขตชายแดนไทย มีบ้านเรือนราวๆสามสิบหลังคาเรือน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ...ไม่มีใครยอมพูดอะไรจนกระทั่งถึงหมู่บ้านเล็กๆ กิ่งไผ่รั้งธีรเดชให้หยุด ฝ่ายชายหนุ่มด้วยความฉงน

“เข้าไปทั้งสภาพอย่างนี้คงไม่เหมาะนัก”

มองสภาพมอมแมม เสื้อผ้าบางส่วนฉีกขาด

“ทำไงล่ะ”

ธีรเดชถาม จ้องอีกฝ่ายซึ่งมีสภาพแย่กว่าตัวเองขึ้นๆลงๆ กิ่งไผ่จัดการรวบผมเผ้า เช็ดใบหน้าเผยให้เห็นดวงตาใสแจ๋วและผิวเนียนละมุนตา หัวใจของผู้มองได้แต่เต้นระรัว

“ถอดเสื้อนอกของคุณให้ผมเถอะ”

ธีรเดชทำตามอย่างงงๆ มือขาวรับตัวเสื้อมาสวมทับส่วนที่ขาดวิ่น สัมภาระต่างๆที่อยู่ในมือชายหนุ่มถูกปลดออกจนหมดจนหมด ธีรเดชเตรียมทักท้วงหากนิ้วเรียวกลับยกปิดปาก ไม่ให้ถามอะไร มือหนากุมข้อมือบางเอาไว้ ทั้งๆที่หัวใจมันสั่น หากลึกๆแล้วกลับว่างเปล่าจนต้องปล่อยมือข้างนั้นลง กิ่งไผ่ไม่ได้ว่าอะไร

“ไปถึงไม่ต้องพูดอะไรปล่อยให้ผมพูดเอง”

พอกำชับกำชาเสร็จ ร่างโปร่งดินนำ ธีรเดชทำตาม พอใกล้หมู่บ้าน ธีรเดชรู้สึกเครียดกับความสงบเงียบ ร่างสองร่างที่โผล่เข้าไป เป็นที่ผิดสังเกต กิ่งไผ่ตีหน้านิ่งเฉย ชาวบ้านป่าเจอคนแปลกหน้าก็ทำท่าระแวง พอเอื้อนเอ่ยถามเป็นภาษาพื้นเมือง อธิบายถึงสาเหตุด้วยดวงตาวิงวอน แกมสงสาร มันทำให้ธีรเดชประหลาดใจ สอบถามอะไรบางอย่างที่ธีรเดชฟังไม่ออกได้แต่ชี้ไม้ชี้มือ ก่อนเดินตามคนที่มีสีหน้าหนักใจ

“เขากำลังพาเราไปหาหัวหน้าของหมู่บ้าน ผมขอให้เขาช่วยส่งเราข้ามชายแดน แต่พวกเขาคงกลัวว่าเราจะเป็นคนที่ถูกตามล่า”

กิ่งไผ่กระซิบเสียงเบา ธีรดชเกร็งตัวเมื่อได้รับฟัง

“ถ้าหากว่าถูกหักหลังล่ะจะทำไง”

กิ่งไผ่ยักไหล่ เลิกซุบซิบเมื่อถูกจ้องมอง กิ่งไผ่มองเหมือนจะบอกว่ามันต้องเสี่ยงลงทุน ชายหนุ่มเดินไปบ้านของหัวหน้าหมุ่บ้าน ยิ่งอึดอัดมากขึ้น ผิดกับกิ่งไผ่ที่มีสีหน้ามั่นคง

เมื่อถึงบริเวณเรือนพักของหัวหน้าหมู่บ้าน กิ่งไผ่ขึ้นไปบนเรือนที่ยกพื้นสูง เสียงหมาเห่ากันดังขรม พอมีเสียงด่า มันจึงเงียบ กิ่งไผ่นั่งนิ่งๆอยู่ตรงชาน ไม่ไกลนักธีรเดชนั่งเคียงคู่ร่างโปร่ง ดวงตาของชายหนุ่มมองเข้าไปภายในบ้านที่มืดสลัว นั่งคอยอยู่นานจนชายผมสีดอกเลา ท่าทางใจดีก้าวออกมา กิ่งไผ่เอ่ยทักทาย ธีรเดชทำตามอย่างงกๆเงิ่นๆ ก่อนนั่งฟังกิ่งไผ่อธิบายถึงปัญหายาวเหยียด สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านขรึมลง จับจ้องยังธีรเดชเมื่อกิ่งไผ่พาดพึงถึง พอเล่าจบถอนใจเล็กน้อยอย่างอึดอัด

“ถูกตามล่ามารึ”

หันมาถามธีรเดชเป็นภาษาไทยที่ฟังไม่ค่อยชัดนัก ธีรเดชผงกศีรษะ เขาดูตื่นๆที่ถูกถามแบบนั้น ได้แต่ตอบไปอย่างระแวดระวัง

“ก็พอจะช่วยได้อยู่หรอกนะ แต่ว่าต้องรีบไปโดยเร็วนะพ่อหนุ่ม”

ธีรเดชคลายความกังวล แต่พอฉุกคิดถึงคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านแล้วนึกแปลกใจ

“หมายความว่า....”

สายตาดูอ่อนโยนมองคนที่นั่งเฉย กิ่งไผ่หลบสายตาธีรเดช อยากคาดคั้นคำตอบหากตรงนี้ไม่อาจทำได้

“คงเหนื่อยกันแย่ เดี๋ยวจะให้คนจัดเตรียมที่พักให้”

ชายชราลุกขึ้น ธีรเดชจ้องมองด้วยดวงตาแววาว

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณไม่กลับไทยกับผม”

ธีรเดชถามลอดไรฟัน หากดวงตากิ่งไผ่หรี่ลง

“โชคดีนะที่หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเหลือเรา แถมพูดไทยได้บ้าง คงสงสารคุณมั้ง เพราะแกก็เคยอยู่ที่ไทยมาก่อน”

กิ่งไผ่พูดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำถาม แม้ว่าชายหนุ่มจะคาดคั้นมากแค่ไหน ยังพูดเป็นเรื่องอื่นอยู่ดี

“ห้องนี้พอจะอยู่กันได้ใช่ไหม”

กิ่งไผ่ลุกไปดูห้อง เขาผงกหัว มองธีรเดชกำมือแน่น สีหน้าร้อนใจ มองแล้วยิ้มขื่นในอก

“มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนไหม ?”

กิ่งไผ่ร้องขอเสื้อผ้า ไม่นานชุดพื้นเมืองส่งมาให้ ธีรเดชมองมือเอื้อมรับแล้วส่งต่อมาให้ตน

“เสื้อตัวใหญ่เป็นของลูกเขยหัวหน้าหมู่บ้าน คงพอดีตัวกับคุณ”

ธีรเดชเอื้อมรับ ก่อนมือขาวจะรุนหลังให้ออกไปก่อน เพื่อต้องการคุยลำพัง ไม่นานนักกิ่งไผ่ก็ออกมาสีหน้าเรียบสนิท

“เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรึ”

มองดูร่างสูงอยู่ในชุดพื้นเมือง รอยยิ้มพาดบนใบหน้า กิ่งไผ่แตะแขนแกร่ง ธีรเดชมองดูมือที่แตะต้นแขนตัวเอง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย

“แล้วคุณไม่เปลี่ยนเสื้อรึไง”

ธีรเดชย้อนถามกลับ แววตาชาเย็นทำให้กิ่งไผ่ทิ้งมือลงอย่างอ่อนแรง ใบหน้าขาวซีดก้มมองพื้นไม้

“เดี๋ยวเปลี่ยน”

หันหลังกลับเข้าไปภายใน รู้สึกว่าอ้อมกอดหมดความหวานเหมือนกับอ้อยสิ้นรส เก็บเม้มความรู้สึก จนสักวันหนึ่งต้องตายเพราะมัน กิ่งไผ่หายไปสักพักก่อนกลับออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น ธีรเดชมองอีกฝ่าย ความงามของคนตรงหน้าทำเอาเผลอตะลึงตะลาน ร่างโปร่งอยู่ในชุดเสื้อผ้าพื้นเมือง ผมที่มุ่นไว้ปล่อยยาวสลวย คลี่รอยยิ้มบางเบา กิ่งไผ่เหมือนไม่ใช่คนเดิม ธีรเดชมองสักพักดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นเฉยเมย...เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจสู้คนที่สถิตอยู่ในใจมาแสนนานได้เลย กิ่งไผ่เห็นแววตาที่แปรเปลี่ยน เขาเข้าใจความหมายมันทุกอย่าง จึงก้มหน้าลงเสีย ไม่อาจจับจ้องสายตาว่างเปล่าได้นาน

“แล้วคุณจะไม่กลับไทยกับผมจริงๆหรือ”

ธีรเดชสอบถาม ทีแรกกิ่งไผ่คิดว่าจะตามไป แต่ความรู้สึกส่วนตัวกลับบดบังเสียนี่ เขาไม่ยอมตกลงหรือพูดอะไร รู้ตัวดีว่าในมุมลึกของหัวใจขี้ขลาดนักที่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่เขาไม่อยากเจ็บปวด ธีรเดชเว้าวิงวอน ดวงตาสีดำสนิทหลับลงไม่อยากมอง ไม่อยากเห็นแววตาคู่นั้น

“ไผ่...”เว้าวิงวอน เสียงอ่อนหวาน

กิ่งไผ่ยิ่งห้ามตัวเองไม่ได้ คนที่ไม่เคยรักใคร มักจะทุ่มสุดดวงใจ ทนรับความเจ็บปวด ธีรเดชเรียกร้องสัญญา กิ่งไผ่อิดเอื้อนเบือนหน้าหนี

“ถ้าคุณกลัวว่ามันเป็นกับดัก ผมก็สัญญาแล้วว่าจะดูแลคุณ คุ้มครองคุณ ขอให้กลับไปด้วยกันนะ”

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
กิ่งไผ่รู้ว่าธีรเดชต้องสัญญา ทว่าเรื่องของหัวใจและความรัก มันไม่เคยสงสารใคร กลับเป็นใบมีดทำร้ายใจที่รักมั่นกับอีกหัวใจที่ไม่เคยแลเหลือบ ทั้งๆที่คิดว่ามีความหวังเมื่อร่างกายได้แนบนิด สุดท้าย น้ำตากลับต้องรินไหลอยู่ในอกเงียบๆ ธีรเดชนิ่งงัน คอยรับฟังคำตอบอย่างอดทน เมื่ออีกฝ่ายเงียบไปนานจนคาดว่าจะปฏิเสธ หากสุดท้ายอีกฝ่ายกลับยอมตกลง

“ก็ได้...ผมจะไม่ปฏิเสธคุณอีก ถ้าคุณพูดจริง”

พูดจบก็หันหน้าหนีเดินเข้าไปในห้อง ทรุดนั่งยังพื้นเสื่อ คิดอะไรอยู่ในใจ ธีรเดชตามไปนั่งเคียงข้างเงียบๆ

“แล้วถ้าไปกับคุณ ผมจะได้อภิสิทธิ์อะไรบ้างล่ะ”

กิ่งไผ่ถามขึ้น จ้องร่างสูงตรงๆ ธีรเดชสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากถามกะทันหัน ชายหนุ่มตอบไม่ได้ กิ่งไผ่ไม่เซ้าซี้ เอาคำตอบ

“คุณจะได้รับสิทธิ์เทียบเท่าผู้ที่ขอลี้ภัยพึงได้รับ”

ธีรเดชตอบออกมาในที่สุด กิ่งไผ่ประสานมือไขว่ไว้บนหัวเข่า คิดว่าอสิทธิ์ที่เขาจะได้รับคืออะไร ในเมื่อตัวเขาอยู่ในฐานะกึ่งๆเชลย ท่าทีในสายตาของธีรเดชรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเหงาๆ ยิ่งมานั่งอยู่ในห้องสลัวๆให้ความรู้สึกเหมือนกับคนที่จะตายอย่างเดี่ยวดาย เสียงชายชราเจ้าของบ้านเรียกไปทานข้าว กิ่งไผ่ลุกขึ้นหากร่างสูงคว้ามือได้ก่อน

“จริงสิ ตอนที่ไล่ผมไปเปลี่ยนเสื้อ พอจะบอกได้ไหมว่าคุณคุยอะไรกับหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้”

“ผมมอบเงินที่ผมพอจะมีให้และขอให้ช่วยปิดข่าวคราวของเรา การที่เขาช่วยถือว่าเสี่ยงมาก แต่ว่าเพราะความสงสารเราสองคนเลยชอบตัดใจช่วย”

ธีรเดชคลายสีหน้ากังวลได้ กิ่งไผ่จึงจับมือออก

“ตอนนี้รีบไปเถอะ”

กิ่งไผ่เดินนำ ยิ้มอ่อนหวานให้กับคนภายในครอบครัว ทั้งๆที่ในแววตาทุกคนฉายความกังวลทว่าก็ต้อนรับอย่างดี ธีรเดชนั่งข้างกิ่งไผ่เหมือนเดิม เขานั่งนิ่งฟังกิ่งไผ่สนทนากับคนในครอบครัวเงียบๆด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ บางครั้งกิ่งไผ่หันมาอธิบายบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก

“ถ้าพาพ่อหนุ่มนี่มาก็แสดงว่ารู้จักกับนายพลอินคานสินะ”

ชายชราซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านพึมพำ ธีรเดชฟังอย่างงงๆที่อีกฝ่ายถามตัวเองเป็นภาษาไทย กำลังเอ่ยปากถามว่าเป็นใคร กิ่งไผ่กลับพูดตัดบทเสีย ชายชราจึงหันไปพูดเรื่องอื่นแทน ธีรเดชยังสงสัยเรื่องชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงท่านนายพล เกี่ยวข้องอะไร ทำไมกิ่งไผ่ถึงไม่อยากเอ่ยถึง ท่าทีที่ฟ้องเด่นชัด นายทหารหนุ่มได้แต่นิ่งงัน

หลังจากที่จบมื้ออาหาร เข้าพักผ่อนนั้น กิ่งไผ่ก็เหม่อมมองไปด้านนอก ท่าทางเหมือนกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง

“ตอนกินข้าวน่ะ หัวหน้าหมู่บ้านถามผมว่ารู้จักท่านายพลอินคาน เขาเป็นใคร พอจะบอกหรือเล่าให้ฟังได้รึเปล่า”

พอพุดถึง แววตาดำสนิทกลับเศร้าหมอง

“เขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม....เป็นคนที่สร้างผมมา”

ตอบสั้นๆก่อนเหม่อออกต่อ ธีรเดชนิ่งงันกับทีท่าราวคะนึงหา

“เอ่อ คงรักมากสินะ”

ชายหนุ่มชวนคุยเพื่ออีกฝ่ายจะยอมเล่าอะไรให้ฟังมากกว่านี้ กิ่งไผ่มองหน้าธีรเดช

“แล้วคุณเคยมีคนที่คิดว่ารักมากที่สุดไหม ? ทำทุกอย่างได้เพื่อเขาไหม ? ผมก็เห็นคนๆนั้นเป็นคนที่รักมากที่สุด...มากจนยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตของผมได้”

พอคิดถึงคนที่รักมากที่สุด ก็คงเป็นพ่อแม่และรองลงมาก็คือสายน้ำชโลมใจ....ต้นธาราเป็นคนที่เขายอมทำทุกอย่างให้ ดวงตาราวกับเปิดเผยให้รู้สึกความรู้สึกที่หยั่งลึก นายทหารหนุ่มจึงเผยในสิ่งที่รู้สึก

“ผมมีคนให้ความสำคัญมากที่สุดคือพ่อแม่ ผู้บังคับบัญชาของผมที่ผมเคารพเสมือนพ่อและอีกคนหนึ่งคือคนที่ผมเคยดูแลเขาในช่วงหนึ่ง...เขาเป็นคนที่ดื้อแพ่งทีเดียว แต่สำหรับผมแล้วคิดว่าเขาน่ารัก น่าเสียดายที่ผมดูแลเขาตลอดไม่ได้ เพื่อความสุขของเขาผมยอมทำทุกอย่าง”

กิ่งไผ่ทอดถอนใจ

“หมายถึง ‘คุณธาร”สินะ”น้ำเสียงกึ่งริษยา

ธีรเดชผงกหัว คนที่ตั้งคำถามกลับซบหน้านิ่ง คล้ายไม่อยากฟัง พอทำใจได้หันมองด้วยรอยยิ้มทั้งๆที่เจ็บปวดใจจนแทบสลาย

“น่าอิจฉาคนที่คุณเป็นห่วงนะ เป็นผมคงดีใจน่าดูที่มีคุณห่วงและเห็นเขาสำคัญมากถึงเพียงนี้”

ธีรเดชยิ้มขื่นๆเช่นกัน

“ความจริงถ้าเขาคิดแบบนั้นคงจะดี...แล้วคนสำคัญของคุณล่ะ?”

ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ กิ่งไผ่มองมือของตัวเอง ชั่งใจก่อนจะเล่าให้ฟัง น้ำเสียงดูเหงาๆปนกับความคิดถึงอย่างรุนแรง

“ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่ว่าผมก็ทิ้งเขาไม่ได้ จริงๆแล้วผมเกลียดกับสิ่งที่เขาทำ แต่ว่าผมมาใคร่ครวญดูแล้วว่าเขาทำเพื่อผมทุกอย่าง พอสูญเสียเราก็ได้รู้ว่าคนๆที่เราคิดว่าเกลียด มีค่าแค่นั้น เราต้องสูญเสียใช่ไหม ? ถึงจะรู้กับความหมายของคำว่าห่วงใย ความรักจริงๆ”

กิ่งไผ่หันมองธีรเดช ซึ่งชายหนุ่มไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้

“เขาตายแล้วรึ”

ธีรเดชถามเสียงแผ่วรู้สึกผิดที่ทำลายอีกฝ่ายด้วยคำพูด กิ่งไผ่ยิ้มหยัน ดวงตาราวกับจะร้องไห้

“ยังหรอกมั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร พอๆที่เขาไม่รู้ว่าผมเป็นเช่นไร”

ปาดน้ำตาออกเมื่อนึกถึงความหลังเริ่มปะดังปะเดเข้ามา ระยะนี้กิ่งไผ่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ลดความแกร่งลงไป ธีรเดชเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มรั้งร่างบางเข้ามากอด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร รู้เพียงอย่างเดียวว่าอยากปลอบเท่านั้น กิ่งไผ่กอดอีกฝ่ายแน่น สัมผัสที่เคยได้รับค่อยๆแผ่ซ่านไปใจจิตใจที่เศร้าโศก

ความฝันที่ยังเป็นอดีตดำมืดยิ่งครอบงำ หากปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยว ความรู้สึกมีชีวิตคงจะหมดไปในไม่ช้า ธีรเดชลูบแผ่นหลังเมื่ออีกฝ่ายพยายามกลั้นน้ำตาสักเท่าไร ก็ไม่อาจทำได้ คำบอกเล่าที่ได้รับฟังผุดเข้ามาในใจโดยเฉพาะเรื่องที่มารดาตายเพราะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ เจ้าหญิงมนัสหยาพยายามเรียกร้องชีวิตบุตรจากศัตรูโดยแลกชีวิตกับตัวเอง ถูกบีบบังคับให้ฆ่าตัวเองทิ้ง กิ่งไผ่จิกเล็บเข้ากับแผ่นหลังแกร่ง แม้ว่าธีรเดชจะเจ็บชายหนุ่มก็ยังปลอบประโลมให้คลายความเศร้า คำบอกเล่าจากปากของเนเมียวยังดังก้อง บิดาไม่อยากจดจำเรื่องนี้ หากความแค้นเคือง กิ่งไผ่กักเก็บมันตลอดมาเหมือนคมดาบที่ทิ่มแทงตัวเองเสมอ

------------------------------------------------

ผู้พันฮามที่กลับไปพักผ่อนยังบ้านตัวเองจ้องมองดูรูปวาดที่เก็บงำอย่างมิดชิด ดวงตาที่เจ้าเล่ห์กลายเป็นอ่อนโยน เมื่อมองภาพวาดสีน้ำมันของบุคคลสามคนที่อยู่ในภาพรอยยิ้มและความองอาจฉายชัด หากไม่มีอีกแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง เลื่อนภาพเก็บยังช่องลับตามเดิม ทรุดนั่งยังเก้าอี้ มองดวงดาวซึ่งอยู่ห่างไกล ผู้พันหลับดวงตากร้าวแกร่ง สงบนิ่งดุจหลับใหล ความฝันที่ฉุดรั้งจิตใจให้ดำดิ่งสู่หุบเหวเกิดขึ้นเสมอ มันอยู่บนความรู้สึกผิดกับความไร้สามารถ บางที...ถ้าตัวแกร่งเหมือนกับตอนนี้ อาจจะช่วยชีวิตสองบุคลลที่เคารพนับถือดั่งเป็นแก้วตาดวงใจได้

------------------------------------------------

ภาพของหยาดน้ำตา ไฟที่ลุกโหมเด่นชัดเหลือเกินคล้ายกับมันเพิ่งเกิดเมื่อไม่นาน เงื้อมมือปีศาจได้กำสองอัญมณีแห่งนวรัฐะเอาไว้ บีบบังคับให้ยอมจำนนด้วยแผนที่ชั่วร้าย ผู้ที่หลงบ้าคลั่งในอำนาจพยายามบีบบังคับเจ้าหญิงนวรัฐะในที่วังประทับโดยการวางยาสลบบุตรชายเพียงคนเดียว....ปืนจ่อหัวเด็กน้อยที่หลับใหลใน้อ้อมกอดของมารดา เจ้าหญิงมนัสหยาพยายามร่ำร้องขอชีวิต รอยยิ้มเปี่ยมด้วยความไร้เมตตาปราณีแสยะออก มนัสหยาซึ่งมีศักดิ์เป็นภรรยาเจ้าเมืองนวรัฐะลุกขึ้นสู้ นางผลักร่างของคะฉิ่นออก มันเซหลุ่นๆปะทะโตีะ เด็กน้อยร่วงหล่นกองบนพื้นราวกับตุ๊กตาเก่าๆ ผู้มีศักดิ์เป็นพี่น้องกับนายพลอินคานลุกขึ้น โกรธที่หญิงสาวพยศ ใช้หลังมือตบฉาดจนใบหน้าหัน มือจิกเส้นผมจนมันยุ่งเหยิง น้ำตาคลอหน่วย ก่อนมือจะเลือนไปยังคอเล็กๆบีบเหมือนจะเคล้นเอาลมหายใจทั้งหมดออก หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ดิ้นรนจากกรงเล็บปีศาจร้ายที่หมายชีวิต นางไอโขลกๆพร้อมกับกรีดร้องให้คนช่วย หากไม่มีใครได้ยิน หลังจากที่หญิงสาวดิ้นใกล้หมดเรี่ยวแรง ร่างกายบอบบางถูกผลักลงกับพื้น ทั้งๆที่เห็นปลายกระบอกกดบนขมับของเด็กน้อยผู้ไม่รู้สึกอะไรเลย หัวอกของผู้เป็นมารดาเจ็บปวด นางร้องไห้ปิ่มใจจะขาด เสียงหัวเราะดั่งลั่นห้องนอนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ท่าทีของหญิงสาวหมดทางสู้ ได้แต่กระเสือกกระสนคลานหาบุตรชาย เมื่อมือเอื้อมถึงก็ถูกเหยียบจนร้องโหยหวน ยิ่งปลุกสัญชาติญาณความเป็นสัตว์ป่าของปีศาจบ้าคลั่ง หญิงสาวใช้เรี่ยวแรงผลักร่างที่เหยียบมืออก มันสั่นระริก ดวงตาของหญิงสาวที่อ่อนเรี่ยวแรงโอบกอดบุตรชายที่มีใบหน้างดงามคล้ายเธอแน่น...สมบัติที่มีค่าของเธอที่สุด เธอต้องปกป้องมันจากคนชั่ว

“ท่านเป็นพี่น้องของท่านพี่อินคานมิใช่หรือเหตุฉไนจึงทำเช่นนี้”

ริมฝีปากสั่นระริกพูดไม่ชัดนัก เลือดไหลซึมออกจากมุมปากเปื้อนแก้มม่วงคล้ำอย่างน่ากลัว ดวงตาทั้งแค้นเคือง ขุ่นมัวที่ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากตะคอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“องค์หญิงแห่งสิเรียมเช่นท่านก็มีค่าเป็นแค่ไม้ประดับ จงตายเสียเถอะ อำนาจทั้งหมดจะได้อยู่ในมือข้าเสียที”

ผู้มีชาติกำเนิดเป็นองค์หญิงมองด้วยดวงตามุ่งมั่น มิยอมแพ้ต่อทรราช

“เอ้า...ท่านจะตายเองหรือว่าท่านจะให้ลูกชายของท่านตายด้วย”

ดวงตาดำขลับก้มมองดวงหน้าเล็กๆที่หลับใหลไม่รับรู้ต่อสิ่งใด นางกอดร่างบุตรชายแน่นด้วยเรี่ยวแรงที่มี ร่างของสมบัติที่มีค่าที่สุดถูกฉุดรั้งให้เข้าหาปีศาจไร้ใจตามเดิม มือที่กำปืนจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปนจ่อปลายกระบอกเย็นๆแนบขมับเด็กน้อยที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยา องค์หญิงมนัสหยากรีดร้องพยายามไขว่คว้าบุตรชายที่ถูกนำตัวออกห่างหมดหนทาง แก้วบรรจุยายื่นมาให้ นางมองอย่างสิ้นหวัง

“ถ้าแกอยากให้ลูกแกรอดแกก็ดื่มเครื่องดื่มพิเศษที่จัดไว้ให้ซะ”

สายตาพยศมองแก้วเครื่องดื่มที่วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยามหยันเจ้าคนชั่ว ดวงตาแดงก่ำดั่งเลือด คะฉิ่นขู่ด้วยการทำท่าว่าจะเหนี่ยวไกเด็ดชีพสังหารเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน

“ดื่มซะ....”

น้ำเสียงยะเยือกเย็น มือสั่นระริกเอื้อมรับแก้ว

“ฉันจะตายเพื่อแผ่นดิน แต่ไม่ใช่ตายเพื่อให้คนอย่างแกก้าวขึ้นปกครองเวียงแน่ สามีจะขยี้คนทรราชอย่างแก”

เสียงหัวเราะระเบิดลั่น มองดวงตาเปี่ยมอาฆาต

“สามีของแกมันไม่มีทางชนะคนอย่างฉัน มันอ่อนแอเกินไป”

สายตามองดูบุตรชายเพียงคนเดียว เพียงวูบเดียวความอบอุ่นฉายชัดในดวงตาของมารดา

“ลูกของแก....จะรอดเพื่อแลกกับชีวิตแก”

เครื่องดื่มถูกกรอกเข้าปากโดยมือหนา หญิงสาวดิ้นพยายามจะไม่ดื่ม หากร่างกายสิ้นเรี่ยวแรง มือแกร่งกว่ากรอกยาใส่ปากจนเจ้าหญิงแห่งสิเรียมไอโขลกๆ เสียงหัวเราะลั่นดั่งเป็นเสียงของยมทูตดังกังวาน หญิงสาวมองด้วยตาเหลือกถลน อาฆาตหากในแววตาลึกๆห่วงใยบุตรชายที่ไร้คนปกป้อง

“ลูกแกกับสามีจะตายตามแกไปในไม่ช้าแน่ แกจะได้ไม่เหงาไงล่ะ....แล้วข้าจะมาฆ่าลูกแกทีหลัง เอาให้พ่อมันดู มันจะได้ใจสลายเลิกทำสงครามกับข้าเสียที”

ฝีเท้าหนักๆก้าวออกไป ร่างที่หลบซ่อนอยู่ถลันเข้ามาประคองร่างของนายหญิงขึ้น ดวงตาฟ้าฟางคลอด้วยหยาดน้ำตามองผู้ที่ถลันเข้ามาช่วยตัวเอง

“ฮาม...ช่วยลูกฉัน”

ดวงตาใกล้สิ้นชีวาเอ่ย น้ำตาไหลทะลักอาบแก้มสากเมื่อเห็นนายหญิงพยายามเกาะแขนด้วยเรี่ยวแรงที่มี

“ขอร้อง...แลกชีวิตฉันกับเขาช่วยเขาไว้ ฮาม...เจ้าต้องไม่ทำลายความหวังฉันผู้เป็นนายเธอ”

ร้อยเอกฮามมองใบหน้าของนายหญิงผู้อ่อนโยน มือนุ่มแตะใบหน้ากร้าน

“สามีฉัน...ลูกฉัน...ประเทศชาติ ฮาม...เจ้าต้องช่วย...ช่วย...”

มือสั่นระริกค่อยๆอ่อนแรง ดวงตาของมือขวาคนสนิทมีหยาดน้ำตาไหลริน ทั้งๆที่เห็นทุกอย่างก็ไม่อาจช่วย มือที่เคยอ่อนโยนมีให้แก่ทุกคนตกลง ล้มพับคาอ้อมกอด สิ้นใจทั้งๆที่ตาปิดไม่สนิท ฮามเป็นคนปิดให้ ก่อนวางร่างสิ้นลมของผู้เป็นนายหญิงเหนือหัวลง

...เสียใจ แต่ความเสียใจทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้...

ฮามช้อนร่างสิ้นสติขึ้น วิ่งลงไปหาพรรคพวกที่รอคอยอยู่ เปลวเพลิงลามเลียวังที่ประทับอย่างรวดเร็ว เสียงการต่อสู้ กู่ร้องยิ่งดังลั่นท่ามกลางลมโหมกระหน่ำ คืนที่ชโลมด้วยเลือดและหยาดน้ำตาเช่นนี้...จะช้าไม่ได้ ฮามมองเหลียวหลัง ส่งร่างของเด็กน้อยให้แก่เนเมียวที่รอคอยในความมืดมิด

“หมดทางแล้วที่จะช่วยสองมิ่งขวัญแห่งนวรัฐะได้”

พอได้ฟังคำบอกกล่าว เนเมียวนิ่งอึ้ง

“อะไรนะ...”

เนเมียวอยากจะถาม หากสายตาของฮามบีบบังคับ

“ไม่มีเวลาแล้วรีบไป...”

ฮามไล่ พร้อมกับมองคนที่ไล่ตามมา

“แล้วเอ็งล่ะ”

เนเมียวรู้ว่าอยู่ช้าไม่ได้ ตะโกนถาม ฮามทำหน้านิ่ง

“ฉันมีเรื่องที่ต้องอยู่ที่นี่....”

------------------------------------------------

ฮามสะดุ้งขึ้นลูบหน้าของตัวเอง ก่อนเลื่อนภาพออกมาดูอีกครั้ง ภาพของมิ่งขวัญชาวเมืองนวรัฐะวาดอยู่ริมแม่น้ำ ชายหนุ่มบรรจงวาดรูปภาพนี้ขึ้นมาเอง ยศที่ได้รับในขณะนั้นยังเป็นร้อยเอก ตอนนี้กลายมาเป็นกองกำลังให้กับนายพลคะฉิ่นด้วยความจำใจ แม้ว่าใครจะตราหน้าว่าทรยศแต่คนที่รู้แน่แก่ใจดีว่าตัวเองไม่ได้ทรยศนั่นคือใจของตัวเอง ฮามปิดภาพนั้น เหม่อลอยกับเรื่องที่อยู่ในอก อำนาจที่หยั่งลึกยากที่จะโค่นอำนาจ การทำรัฐประหาร เจ้าเมืองที่อ่อนแอถูกโค่นล้ม มันจะมีหนทางไหนที่จะกู้คืน ฮามลุกขึ้น ดึงลิ้นชักที่มีจดหมายที่ได้รับมาจากบุคคลที่พอจะพึงได้ในสถานการณ์เช่นนี้

------------------------------------------------


ยิ่งรู้สึกอึดอัดคล้ายถูกจับจ้องความรักจอมปลอม...ที่อยากหนี แต่ยิ่งหนี เขาได้แต่ยอมรับมัน กิ่งไผ่ละใบหน้าจากอ้อมอกอบอุ่นอ่อนโยน เช็ดน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ธีรเดชใช้นิ้วกรีดน้ำตาออกให้ รู้สึกว่ากิ่งไผ่น่าปกป้องขึ้นเหมือนกับต้นธารา หัวใจยังคิดถึงแม่น้ำที่ไม่เคยแห้งผาก ชายหนุ่มชักรู้สึกผิด แต่การกระทำก็ไม่อาจหยุด นิ้วสัมผัสหยาดน้ำตาเย็นเฉียบ พอเช็ดจนแห้ง ดวงตาสีดำจับจ้องยังดวงตาแดงก่ำ จมูกก็แดงเหมือนเด็กๆ ความน่ารัก และเสน่ห์ที่มีอยู่ปลุกให้หัวใจให้พลุ่งพล่าน คิดถึงสัมผัสหวานละมุน ค่อยๆก้มหน้าเข้าใกล้จนลมหายใจอุ่นๆเป่ารด รีรอเพียงครู่เดียวก่อนจูบประทับเรียวปากที่ดูเหมือนเชิญชวนตลอดเวลา การที่ถูกสัมผัสแบบนี้ยังเหลืออะไรอยู่ในใจ กิ่งไผ่ยังมีความหวังลมๆแล้งๆขึ้นมาอีก หวังว่าสักวันธีรเดชคงเปลี่ยนใจบ้าง เพราะการที่จูบก็หมายถึงยังต้องการอยู่ พอถอนริมฝีปากออก ธีรเดชทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด จนฝ่ายที่มองแววตาในความมืดน้อยใจ

จูบแสนหวานที่เคยได้รับกลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มพลาดพลั้งตัดสินใจผิด ตอนนี้อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร...ทำไม...เพราะอะไร....

“ผม..”

ธีรเดชจะเอ่ยแก้ตัว หากชายหนุ่มกลับนิ่งงันเมื่อกิ่งไผ่ล้มตัวนอนเสียดื้อๆ นายทหารหนุ่มรู้ว่าตัวเองทำพลาดไปอย่างจัง อยากขอโทษ แตะร่างที่นอนนิ่ง หันหน้าหนีคล้ายกับไม่อยากพูดด้วย กิ่งไผ่หลับตาไม่อยากฟังน้ำเสียงนุ่มหู

“สงสัยผมคงเป็นของตาย เป็นตัวแทนให้กับคนที่คุณเอื้อมไม่ถึงใช่ไหม ?”

พูดไปกิ่งไผ่นึกขำกับคำพูดของตัวเอง ทั้งๆที่เจ็บปวดแทบตาย ธีรเดชตอบไม่ได้

“เคยสงสัยไหมว่าเราน่ะ ทำไมมีความสัมพันธ์กัน เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเพราะอะไร ?หรือว่าไม่เคยคิดเลยล่ะ ?”

ถามไปต่างฝ่ายก็ตอบไม่ได้ บางทีคำตอบนี้อาจจะไม่ได้รับเสียด้วยซ้ำ...เมื่อหัวใจของธีรเดชไม่เคยมีเขาแม้แต่เศษเสี้ยว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด