ปฏิญญาที่ ๑๖พิษรักแรงหึงหวงแห่งสตรี
หวาดทวีเมื่อครรภ์เริ่มนูนใหญ่
รวมมือกันกำจัดศัตรูใจ
ให้มันไซร้ไร้ซึ่งชีวีวันงานฉองครบรอบ 1 ชันษาขององค์ชายน้อยสุริยมาศใกล้จะมาถึงแล้ว พลเมืองมากมายต่างติดป้าย ประดิษฐ์โคมลอย หมายมั่นจักขอพรให้องค์ชายมีพระพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ ในค่ำคืนอันสุขสันต์นี้
ประชาชนในเมืองต่างพากันปรึกษา หารือ และเริ่มทำอาหารหลายหลายชนิดมารวมกัน เพื่อร่วมกันดื่มกินฉลอง พวกผู้ชายที่ไม่ลงครัวก็รวมใจกันทำเพิงไม้ ต่อแคร่เพื่อให้ทุกคนได้มีที่นั่ง ให้อาหารได้มีที่วาง
ช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ท้องฟ้าวันนี้ปลอดโปร่งนัก แต่มีเมฆค่อยเป็นดั่งร่มใช้กันแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาทั้งวันให้ผู้ที่ทำงานได้ร่มเย็น ต่างจากวันอื่น ๆ ในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา
ภายนอกพระราชวังว่าครึกครื้น เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในวันคล้ายวันประสูติขององค์ชายน้อยแล้ว ภายในพระราชวังก็มิได้ด้วยกว่ากันเลย
หลายวันมานี้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวงจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นราชทูตที่องค์กษัตริย์ได้เชิญมาเพื่อร่วมงานฉลอง และประกาศก้องถึงราชนัดดาที่ถือกำเนิด
ของขวัญสูงค่าถูกนำมาบรรณาการอย่างมิมีใครยอมน้อยหน้าใคร ทั้งที่เด็กตัวเล็ก ๆ ยังไม่รู้คุณค่าของสิ่งของพวกนั้นด้วยซ้ำไป
แต่หน้าตาของเมือง เกียรติ์ และศักดิ์ศรี คงมิมีผู้ใดยอมผู้ใดเป็นแน่
เก็บเข้ากองคลังต่อไป...
แต่นับว่ายังดีที่หลายเมืองเอาผ้าทอผืนนุ่มมาถวายด้วย ให้ทางห้องเย็บปักได้เอาไปตัดออกมาเป็นชุดให้องค์ชายน้อยได้สวมใส่ต่อไป
ศศินและภาสวรมองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยความอ่อนใจ รวมถึงองค์ชายน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นบิดาด้วย... คงจักมิชอบความวุ่นวายนี้นัก ถึงได้ซุกบ่าของพระบิดาตลอดเวลาเช่นนี้
“มิรู้ว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม”องค์สุริยภาสวรตรัสเบา ๆ กับคนข้างกายที่นั่งนิ่ง “วุ่นวายกันไปหมด ทั้งที่มิใช้บุตรขององค์รัชทายาทอย่างเสด็จพี่เสียหน่อย”
“เสด็จพ่อของท่านคงอยากที่จะประกาศศักดาให้ทุกเมืองได้รู้ อีกทั้งเป็นกระประกาศก้องว่านครแห่งนี้ไม่ไร้ซึ่งทายาทที่จะเป็นใหญ่เหลือหมู่เหล่าในภายภาคหน้า... กระมัง”ศศินตอบกลับมาอย่างเหนื่อยอ่อน ร่างที่เริ่มอวบขึ้นจากการตั้งครรภ์ห้าเดือนเกือบหกเดือนค่อย ๆ เอนกายพิงพนักพิง
“ปวดหลังหรือ”ผู้ที่คอยมองชายาอยู่ตลอดเวลาเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ไปพักก็ไหมเจ้า”
“มิเป็นไรหรอก... เรายังทนไหว”รอยยิ้มอ่อนคลี่ให้บางเบา
จะให้ทำอย่างไรได้เล่า เมื่อจำต้องตั้งครรภ์ติดกันขนาดนี้ ร่างกายยังมิทันฟื้นฟูสมบูรณ์พร้อม แต่ด้วยยาบำรุงต่าง ๆ นานา ทำให้พอจะประคับประคองไปได้
แต่ถึงกระนั้น พักหลังมานี่ก็เหนื่อยง่าย และอ่อนเพลียเหลือเกิน... แล้วยังต้องมาเจอช่วงเวลาที่ต้องนั่งรับของขวัญกับองค์ชายทั้งวันอีก
แต่จักให้นอนอยู่เฉย ๆ ก็น่าเบื่อเกินไป
“แมะ แม่”สุริยมาศส่งเสียงเรียกพระมารดาให้กับมาสนใจตน มือเล็ก ๆ ยื่นออกมาหา “อุ้ม อุ้ม”
ศศินคคนานต์ยิ้มให้กับท่าทีอันน่ารักน่าชังของลูกน้อย ก่อนที่จะเอื้อมมือไปอุ้มบุตรชายตัวอวบอ้วนมานั่งบนตักด้วยความรัก
“มาสของแม่ มาสเป็นเด็กดีไหมเอ่ย”เสียงทุ้มหวานเอ่ยถามพระโอรสด้วยร้อยยิ้มอ่อนโยน “ไหน ตอบแม่หน่อยสิ มาสเป็นเด็กดีไหมเอ่ย”
“ดี ดี มาด เดะ ดี”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้เป็นบิดาและมารดาดังขึ้น สุริยมาสก็พลอยหัวเราะไปด้วย แม้จะยังไม่รู้เรื่องอะไรตามประสาเด็กก็ตามที
ดูแล้วอบอุ่นยิ่งนัก
“ยังอบอุ่นเช่นเคยนะเพคะ”ร่างเพรียวบางของสตรีนางหนึ่งก้าวเข้ามาในตำหนักอย่างแช่มช้อย “หม่อมฉันเอาผลไม้ดองมาให้เพคะ”
“ขอบคุณมากพะยะค่ะ พระชายา”ศศินโค้งกายให้โสภิตสารินน้อย ๆ พร้อมส่งรอยยิ้มให้ “พระองค์เอาของมาให้กระหม่อมทุกวันเช่นนี้ ตัวพระชายาได้ทานอะไรมาบ้างหรือยัง พระองค์ดูผอมลงไปไม่น้อยเลยนะพะยะค่ะ”
“หม่อมฉันได้ทานอิ่มทุกมื้อเพคะ”นางเลือกที่จะประหยัดคำพูดให้มากที่สุด ด้วยใจมิอยากจะพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนัก
เรื่องวุ่นวายที่สนมทั้งหลายก่อขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน นับตั้งแต่วันที่นพคุณกลับมา... อาจจะด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าองค์รพีทรงมีคนในหัวใจอยู่ แม้จะเคยคาดเดาว่าเสียชีวิตกันไปก่อนหน้านี้ก็ตาม...
แม่นางโสภิตสารินมองดวงหน้าของศศินคคนานต์ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ก่อนหน้า นางเคยสงสัยนัก ว่าเหตุใดพระสวามีของนางนั้นถึงมองชายาแห่งอนุชาด้วยความคะนึงหา และต้องการตัวนัก... จนวันนี้ นางจึงได้รู้...
จมูกที่โด่งรั้น ริมฝีปากที่เรียวบาง ความคล้ายคลึงของยอดทหารเอกและองค์ชายต่างเมืองนั่นช่างมากเหลือเกิน ไหนจะดวงตาสีน้ำเงินสุกสว่างที่ฉายแววโศก ระคนใสซื่อนี่อีก
ยิ่งเพ่งพิศยิ่งทำให้หวนนึกถึงคนรัก... กระมัง
ยิ่งได้เห็น องค์ชายต่างแดนผู้นี้ช่างคล้ายคลึงกับนพคุณเหลือเกิน
เรื่องนี้... คงยังมิอาจปริปากบอกคนตรงหน้าได้ และอาจจะไม่มีวันได้พูดบอกเลยก็เป็นได้... เพียงเท่านี้ก็วุ่นวาย... วุ่นวายมากเกินพอแล้วจริง ๆ
ตัวนางเองมิใช่ไม่รักในพระสวามี แต่ก็ต้องตัดใจให้ได้... เพราะอย่างไร ในใจของพระองค์ก็มิเคยมีนางอยู่... นางได้แต่เฝ้ามอง เฝ้าดูแล ในแบบที่สตรีคนหนึ่งจะทำได้...
เพียงเท่านั้น... จริง ๆ
พระชายาโสภิตสารินจมอยู่ในห้วงคิดของนาง ดวงตาที่สวยหวานนั้นฉายแววโศกเศร้าเสียคนผู้ที่มองอยู่รับรู้ได้... แต่ก็มิรู้ว่าจะปลอบโยนอย่างไร
เมื่อพวกเขาเองก็ถูกทำให้เจ็บช้ำเอาไว้ไม่น้อยเลย
ในที่สุดวันแห่งการเฉลิมฉลองก็มาถึง วันนี้จะเป็นวันแรกที่ประชาชนจะได้ชื่นชมพระบารมีขององค์ชายน้อยเป็นครั้งแรก ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจึงแห่กันมายืนออรวมกันอยู่ที่หน้ากำแพงพระราชวัง
เหล่าเชื้อพระวงศ์ สนมนางใน ภายในวังหลวงต่างแต่งตัวประชันกันอย่างเลิศหรู สนมหรือนางในคนใดมีเสื้อผ้าแปลกใหม่จากต่างเมือง ก็พากันหยิบยกออกมาสวมใส่ให้ตนนั้นโดดเด่นกว่าผู้ใด
แน่นอนว่าเจ้าจันทราดวงน้อยนั้นยังคงอยู่ในชุดสีขาวสว่างไสวเคียงคู่กับจ้าวสุริยาเช่นเคย ส่วนองค์ชายน้อยผู้เป็นเจ้าของงานนั้นอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้ม ตัดเข้ารูปกับร่างเล็ก ๆ
นี่นับได้ว่าเป็นงานเลี้ยงฉลองครั้งแรกนับตั้งแต่ที่องค์ชายศศินคคนานต์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอุษณกรเลยทีเดียว ความยิ่งใหญ่ อลังการประจักษ์แก่สายตาของสองพี่น้องแห่งวสุนธรา สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
ยามสาย องค์ชายสุริยภาสวร พร้อมด้วยองค์ศศินและองค์ชายน้อยนั้นขึ้นไปบนกำแพง ทักทายประชาชนที่เฝ้ามองอยู่ข้างล่าง พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณในการร่วมเฉลิมฉลองในวันมงคลเช่นนี้
ในเวลาเที่ยง ยามที่สุริยาส่งแสงแรงกล้า พิธีมอบยศก็ได้เริ่มขึ้น เพื่อสถาปนาให้องค์ชายน้อยได้เป็นองค์ชายที่ชอบธรรมโดยสมบูรณ์
เมื่อถึงเวลาเย็น การแสดงของนางรำเริ่มขึ้น ดนตรีจังหวะสนุกสนานบรรเลงดัง การรำที่อ่อนช้อย แฝงความเข้มแข็งได้แสดงให้ประจักษ์ เป็นกระแสดงชุดแรกก่อนที่การรำอวยพระจะตามติดออกมา
นวลลอองามตาในอาภรณ์
งดงามงอนชดช้อยให้หวานจิต
รอยยิ้มยวนแย้มยิ้มโปรยเป็นนิตย์
ให้หวนคิดคำนึงถึงคืนวาน
ยามย่อกายเหยียดกายช่างน่าหลง
ดวงเนตรคงตรึงติดในดวงมาน
ให้ข้านี้อยากยิ่งจะพบพาน
จะสืบสานเจ้านงคราญมาข้างกาย
หลังจากที่การแสดงจบลง สาวงามมากหน้าก็ถูกเรียกใช้ให้อยู่ข้างกายเหล่าขุนนางทั้งหลายที่มาร่วมงาน รวมถึงองค์ชายที่ยังทรงไร้ซึ่งคู่ครองทั้งหลายด้วย
ยิ่งค่ำ การร่ำสุราเมลัยเคล้านารีก็มากขึ้น ศศินเริ่มเห็นท่าไม่ดี จึงได้ขอตัวพาองค์ชายน้อยกลับมายังตำหนักพร้อมด้วยภาสวร โดยมีองค์ชายรัชทายาท พระชายาโสภิตสาริน และที่ขาดไม่ได้ นพคุณ คอยรับหน้าแขกเรื่อในงานแทน
หลังจากที่ชำระกายเสร็จสุริยมาสก็หลับไปคาบ่าของผู้เป็นบิดา เรียกรอยยิ้มของบุพการีทั้งสองได้เป็นอย่างดี ในราตรีนี้ครอบครัวจึงได้นอนด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
หลังจากจบงานฉลอง ผู้มาเยือนก็ค่อย ๆ ทยอยกลับไป คงจะมีแต่เจ้าหญิงศรวิษฐาที่ทรงประทับอยู่ต่อ เพื่อดูแลอนุชาที่อุ้มครรภ์หกเดือนมิให้ต้องออกแรงหนักหนา
“เจ้าพี่ยังมิทรงเสด็จกลับเช่นนี้ จะดีหรือพะยะค่ะ”ผู้เป็นน้องเอ่ยถามภคินี เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในตำหนัก “เช่นนี้เจ้าพ่อจิทรงติเตียนหรือพะยะค่ะ”
“ข้าส่งสารกลับไปที่เมืองแล้ว อย่างไรข้าก็มิกลับจนกว่าเจ้าจะคลอด”ศรวิษฐาวางผ้าทางพระนางนำมาปักลายให้หลานตัวน้อยที่จะถึงกำเนิดขึ้นมาลง “อีกทั้งตอนนี้เจ้าพ่อมิมีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้หรอก”
“มิมีเวลาหรือพะยะค่ะ”ศศินทวนคำอย่างฉงน จะไม่มีได้อย่างไรกันนะ... ในเมื่อเจ้าพี่สุริเยนทร์ก็ทรงแบ่งเบาได้มาแล้ว ยังมีเจ้าน้องสาม เจ้าน้องสี่อีก
“ใช่ เวลานี้เจ้าพ่อทรงต้องการหาคู่ครองให้กับเจ้าพี่สุริเยนทร์ ทรงมิเอาเวลามาสนพระทัยเรื่องหยุมหยิมพวกนี้หรอก”พระนางยั๊กไหล่อย่างมิใส่ใจอะไร “ทำอย่างไรได้ เจ้าพี่มิทรงมีพระชายาเสียที เจ้าพ่อก็ต้องทรงร้อนใจเป็นธรรมดา”
“นั่นสินะพะยะค่ะ”เจ้าจันทราหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อคิดถึงสีพระพักตร์ของพระเชษฐาในยามนี้ “จะทำอย่างไรได้ เจ้าพี่มิเคยสนใจนารีเลยแม้เพียงคน”
“ใช่ เจ้าพ่อถึงร้อนใจอย่างไรเล่า”เจ้าหญิงคนงามแห่งวสุนธนราสรวลออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันมาหยิบยกเอาผ้าแพรนุ่มมาปักต่อ
ในระหว่างที่สองศรีพี่น้องกำลังสนทนากันอย่างออกรส นางกำนัลน้อยสองนางคลานเข่าเข้ามาพร้อมด้วยถาดใส่ผลไม้ พวกนางวางถาดในมือลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะคลานออกไปเงียบ ๆ
ศศินยื่นมือออกมาหยิบเอามะม่วงชิ้นหนึ่ง จิ้มลงในน้ำปลาหวานในชมกระเบื้องอย่างดี ก่อนที่จะกัดกินเข้าไปในปาก เช่นเดียวกับศรวิษฐา
เพียงคำแรกที่กลืนลงสู่กระเพาะ อาการปวดร้อนก็เข้าครอบงำทั้งวรกาย มือเรียวทั้งสองกุมท้องแน่น ใบหน้าบิดเบี้ยงอย่างเจ็บปวด
“น้อย น้อย ตามหมอหลวงเร็ว น้อย”ศรวิษฐาตะโกนลั่น พร้อมทั้งปราดเข้าไปประคองร่างของน้องชายเอาไว้มั่น “น้อย ตามหมอหลวงมา เร็วเข้า”
นางกำนัลคู่กายของชายาแห่งจ้าวสุริยารีบวิ่งไปลากหมอหลวงมือฉมังจากโรงหมอมาอย่างว่องไว โดยมิสนใจแล้วซึ่งกิริยามารยาท ผ้าถงผ้าถุงที่สวมใส่จะกระจุย กระเชิงก็ช่างมัน
“ท่านหมอเจ้าคะ มาทางนี้เร็วเจ้าค่ะ เร็ว”
หมอหลวงถูกหิ้วมายังตำหนักขององค์ชายสามอย่างว่องไว พร้อมทั้งถูกผลักเข้าไปตรวจดูอาการของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาของเจ้าของตำหนักทันที แม้จะยังแอบตั้งสติไม่ได้ แต่เมื่อเห็นคนป่วยอยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณของความเป็นแพทย์ก็เข้าครอบงำทันที
องค์ภาสวรที่เห็นนางกำนัลที่น่าจะดูแลคนรักของพระองค์อยู่วิ่งหน้าตั้งผ่านหน้าไป ก็รีบเสด็จกลับมาที่ตำหนักด้วยใจที่ร้อนรนทันที ทรงพุ่งเข้าไปในห้องบรรทมอย่างมิสนใจเสียงห้ามของนางกำนัลและพระญาติฝ่ายศศินเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ทั้งสองตัดสินใจเข้าไปในห้องบรรทม เพื่อดูอาการของผู้ที่พวกนางเป็นห่วงสุดใจด้วย อย่างมิสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมอีกต่อไป
คล้อยหลังจากเจ้าของตำหนักกลับมา เหล่าราชนิกุลหลายพระองค์รวมทั้งองค์กษัตริย์และองค์รัชทายาทก็เสด็จมาด้วย ด้วยได้ข่าวว่าหมอหลวงถูกเรียกมาตรวจองค์ศศินอย่างฉับพลัน ทำให้รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องเกินขึ้นแน่
ศศินนอนขดกายอยู่บนเตียงอย่าเจ็บปวด มือทั้งสองยังคงกุมท้องเอาไว้มิยอมปล่อย ผู้เป็นหมอจึงจำต้องฝืนดึงพระกรของพระชายาออกมาจับชีพจร และรีบนำยาลูกกลอนออกมาให้ร่างบนเตียงเสวยเข้าไปทันที
“หมอหลวง ชายาเราเป็นอะไร”สุริยภาสวรตรัสถามเสียงแผ่ว ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือนเมื่อเห็นดวงพักตร์ที่ฉายแววทรมานของผู้เป็นดั่งดวงใจ “ศศินเป็นอะไร!!”
“โปรดอย่าเพิ่งกริ้วไป พระชายามิทรงเป็นอะไรแล้วพะยะค่ะ”หมอหลวงทูลตอบอย่างรัวเร็ว “กระหม่อมให้ทรงให้โอสถแล้ว นับว่ายังโชคดีนักที่มิทรงเป็นอะไรมาก... แต่กระหม่อมสงสัยนักว่าทรงเสวยยาขับเลือดลงไปได้อย่างไร”
“ยา... นอกจากยาที่ท่านส่งมาให้น้องข้าดื่มเมื่อเช้ากับอาหารเช้าแล้ว จนตอนนี้น้องข้ายังมิได้ทานอะไรเลย...”ไม่สิ... ไม่ใช่ มีอีกอย่างหนึ่งที่นางแนะอนุชาได้รับประทานเข้าไป... ” น้อย ออกไปหยิบถาดสองใบบนโต๊ะมาสิ”
“เพคะ”น้อยรับออกมายกเอาถาดสองใบเข้าไปทันที โดยมิสนใจเลยว่าจะหนักแค่ไหน... หรือว่านางเริ่มถึกแล้วนะ... ไม่มั้ง... ต้องไม่สิ “นี่ใช่ไหมเพคะ”
“มะม่วงน้ำปลาหวานเช่นนั้นหรือ...”หมอหลวงหยิบเอาถ้วยน้ำปลาหวานขึ้นมาเพ่งพิศ ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางสิ่งที่นอนก้นอยู่ จึงได้ลองล้วงขึ้นมาเพื่อดู “ผงกาแฟเช่นนั้นหรือ แล้วยัง กลิ่นสมุนไพรพวกนี้อีก”
“เพราะของพวกนี้ใช่ไหม น้องข้าถึงเป็นเช่นนี้”หัตถ์เรียวกำแน่นอย่างโกรธแค้น พระนางจะต้องรู้ให้ได้ว่าอ้ายอีพวกไหนมันกล้าทำเช่นนี้กับอนุชาของพระนาง
“ผู้ที่ตั้งครรภ์มิควรดื่มกาแฟ แล้วยิ่งมีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับเลือดพวกนี้อีก ใครกันนะที่โหดร้ายได้ขนาดนี้”หมอหลวงพึมพำอย่างอ่อนใจ มิอยากจะคาดเดา แต่คำตอบก็ขึ้นมาอยู่ในสมองของเขาแล้ว
องค์ภาสวรได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น โอบกอดร่างของศีตภาเอาไว้ในอ้อมแขน หัตถ์หนาถือผ้าคอยซับเหงื่อที่ไหลซึมออกมาอย่างนุ่มนวล
“องค์หญิงเพคะ”นวลส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับร่างเพรียวบางที่กำลังสั่นด้วยความโกรธ “หม่อมฉันเจอสิ่งนี้อยู่ใต้จานมะม่วงเพคะ”
ศรวิษฐากางจดหมายออกอ่านอย่างรวดเร็ว เนื้อความในนั้นยิ่งทำให้นางกราดเกรี้ยวมากขึ้น จนแทบจะลุกเป็นไฟ
“ข้าไม่ไว้ชีวิตพวกมันแน่...”แม้จะยังมิรู้ว่าผู้ใด แต่อย่างไรก็คงมิพ้นพวกสนมขี้อิจฉาพวกนั้นเป็นแน่... โง่นักที่เขียนจดหมายมาท้าทายเช่นนี้ “หมอหลวง ประกาศออกไปว่าศศินแท้งแล้ว”
“แต่...”
“ข้าบอกให้เจ้าประกาศไปอย่างนั้น ก็จงทำ!!”เสียงที่ตรัสออกมานั้นเย็นชา แฝงความโกรธเกรี้ยวไว้เต็มเปี่ยม “น้อยเตรียมของที่จำเป็นเสีย ข้าจะไม่ให้น้องข้าอยู่ในนครแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว”
คำสั่งที่ไร้คนค้าน แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายแห่งอุษณกรก็ตามที...
วินาทีนี้อยากจะไปให้พ้น ๆ เสียด้วยซ้ำ ขอไปตั้งแต่ตอนนี้เลยจะได้ไหม... ไปจากสถานที่ ที่ทำร้ายพวกเขาให้มีแต่เจ็บช้ำเช่นนี้
ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ก็มิขอมีอีกต่อไป ขอเพียงมีกันและกัน ก็เพียงพอแล้ว...
+++++++++++++++++++++++++++
มาต่อแล้วค้า ตอนนี้มาแบบกระชัด รวมเนื้อหาไปเยอะเลย TT // เดี๋ยวค่อยกลับมาใส่น้ำ 555
รวมช่วงดราม่าไม่ให้จี๊ดกันไปมากนะคะ ^^" (อย่าเขวี้ยงอะไรมาน้าา T^T)
ตั้งแต่ตอนต่อไปถึงจบ(ในอีกสามตอน) จะเป็นช่วงความสุขของศศิน แล้วนะคะ ^++++^ เบา ๆ ไม่มีอะไรแล้ว เย้
ไปขุดจ้าวหัวใจ จอมใจจักรพรรดิ... มาแต่งต่อดีกว่า... หรือขึ้นเรื่องใหม่เลยดีหว่า...
ปล. มิดไนต์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากตั้งเพจ แต่กลัวร้าง 5555 วิ่งล่ะค่ะ // ทำไมตอนนี้ดูพูดมากล่ะ ;-;
ตอนนี้ลงไว ก่อนเที่ยงคืนล่ะ