บทที่ 6 (ต่อ)
...ความรู้สึกต่อกลิ่นฝนเป็นเรื่องแปลก...บางครั้งก็สดชื่น เพราะรู้ว่าเดี๋ยวต้นไม้จะแตกยอด ดอกไม้จะผลิบาน แต่บางคราวกลับทำให้เหงาจนหดหู่ และทั้งหมดนั้นเชื่อมโยงกับเด็กหนุ่มผู้มีชื่อว่าฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าเป็นฤดูฝน แต่จะฤดูไหนก็ยังคงผูกมัดเขาไว้กับคนคนเดิมตลอดมา
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ยาวเหยียดกว่าเก่า ค่อยวางร่างของวสุลงเบามือ เจ้าตัวไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยเมื่อถูกจับเอนกายลงบนโซฟา
เขาจัดการเสื้อผ้าตัวเองลวก ๆ ท่อนบนไม่ได้สวมอะไร เอาเสื้อตัวเองเช็ดคราบสกปรกบนร่างกายอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นหาผ้ามาคลุมร่างไว้แล้วลุกขึ้น ตั้งใจจะไปหาผ้าผืนใหม่มาเช็ดตัวให้ดีอีกครั้ง
เมื่ออยู่ในท่ายืน จึงได้เห็นสัตว์เลี้ยงของตัวเองหมอบอยู่อีกฝั่งห้อง เหนือขึ้นไปนั้นคือแมวดำที่วสุเรียกว่าขาว กำลังนอนขดอยู่หลังตู้ ห้อยหางลงมาในตำแหน่งล่อหมาพอดิบพอดี หากพิจารณาจุดซึ่งแมวนอนตรงนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าจากมุมมอง ณ ตำแหน่งปักหลักแมวขาวของวสุ จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์บนโซฟาได้ถนัดถนี่ ไม่รู้ว่ามาโผล่อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร
เขาเดินเลยไปอีกหน่อย ก็เห็นสมุดวาดเขียนของวสุวางอยู่ หน้าปกมีที่ว่างสำหรับเขียนชื่อ และคำนำหน้าชื่อว่า
‘เด็กชาย’ ก็ทำเอาเขาปั่นป่วนขึ้นมาในท้อง เหลียวไปมองเจ้าของชื่อซึ่งยังหลับสนิทบนโซฟา
เขาทำอะไรลงไป...เด็กยังไม่ถึงสิบห้าเลย
แมวดำงัวเงียแล้วยกหัว ผินหน้ามาทางทางเขา จังหวะเดียวกับที่เขาหันกลับไปพอดี เมื่อสบกันเข้า นัยน์ตาสีเหลืองวาววับของมันก็จ้องเขม็งราวกับจะบอกให้รู้ว่าทุกอย่างอยู่ในสายตา
“ขอโทษ..” เขาพึมพำ
บอกแมว..หรือบอกอะไรก็ไม่รู้
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ กว่าเขาจะเช็ดเนื้อตัวและสวมเสื้อผ้ากลับให้เด็กหนุ่มเรียบร้อย วสุเหมือนจะตื่นในตอนที่เขาพยายามสวมเสื้อให้เจ้าตัว แต่ยังสะลึมสะลือเกินกว่าจะเจื้อยแจ้วอะไรให้เขาฟังได้อย่างที่ผ่าน พอจับแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็คอพับคออ่อนลงไปอีก ข้าวปลายังไม่ได้กิน จะปลุกก็ดูเพลียจนน่าสงสาร เอกภพนึกสงสัยว่าพรุ่งนี้วันจันทร์ แล้วเจ้าตัวจะไปโรงเรียนไหวหรือเปล่า
เขานั่งฟังเสียงติ๊ก...ติ๊ก...ติ๊ก...ของเข็มนาฬิกาลายเถาวัลย์บนผนัง ปล่อยเวลาผ่านไปพร้อมความคิดล่องลอย ฟุ้งซ่านทั้งกับเรื่องคนในอดีต คนในปัจจุบัน แต่ยังนึกอนาคตไม่ออก งี่เง่าประหนึ่งเป็นเด็กวัยรุ่น ทั้งที่อายุอานามนับเป็นวัยกลางคนเข้าไปแล้ว แถมเป็นวัยกลางคนที่เพิ่งพรากผู้เยาว์ด้วยมือตัวเองอีกต่างหาก
วสันต์..วสุ...คนละคน หรือคนเดียวกัน เกิดใหม่ หรือแค่ความทรงจำที่ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับ เขาไม่รู้ วสุไม่รู้ หมาแมวก็คงไม่รู้ ไม่มีใครตอบเรื่องนั้นได้สักคน แต่ทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องจริง ทั้งที่ห่างหายจากความรู้สึกนั้นจนเกือบลืมไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มผู้หลับใหลอยู่ตรงหน้ากลับทำให้มันพลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้งอย่างง่ายดาย แค่เพียงได้ยินเสียงเรียกว่า ‘พี่เอก’ ของเจ้าตัวเท่านั้น
เขาโน้มตัวลง เกลี่ยปลายนิ้วไปตามไรผมวสุ ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความทะนุถนอม แต่ไม่กล้าทำอะไรเกินเลยไปอีก ละอายแก่ใจอยู่ไม่หายกับสิ่งที่เกิด เหงื่อและน้ำตาอีกฝ่ายเพิ่งแห้งเท่านั้นเอง จึงได้ทำเพียงพิศมองใบหน้าและเนื้อตัวที่เช็ดจนสะอาดสะอ้าน อยู่ในชุดเดิมที่เจ้าตัวเดินเข้ามาในบ้านเขาแต่แรก ใครมาเห็นคงคิดว่าแค่เล่นจนเหนื่อยแล้วหลับไปตามประสาเด็ก
เขาเหลือบมองนาฬิกา ก่อนสายตาจะมองผ่านรอยแยกเล็ก ๆ ของผ้าม่าน ข้างนอกฝนซาแล้ว แสงแดดอ่อนตอนเย็นกลายเป็นสีส้มสด เวลาล่วงเลยจนป่านนี้ คนจากบ้านข้างเคียงไม่มีใครมาตามวสุกลับบ้างเลยหรือ?
มีเวลาให้สงสัยเรื่องนั้นได้ไม่ทันเท่าไร เสียงออดก็ดังขึ้นให้สะดุ้งน้อย ๆ
“พี่! พี่เอก?”
เสียงเรียกที่ดูมีความลังเลดังขึ้นแว่ว ๆ ตามหลังเสียงออด บรรดาหมาแมวที่หลับเพลินพากันกระดิกหู ชะเง้อไปยังต้นเสียงหน้าประตูเหมือนเป็นองค์รักษ์ด่านแรก
“วสุ? อยู่เปล่า!?”
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งดังกว่าเก่า ตอนที่เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงชานหน้าบ้านพอดี พยายามปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ
“อ้าว?”
“อ้าวพี่” เด็กหนุ่มหน้ารั้วบ้านตอบกลับมาคำเดียวกัน ทำเหมือนไม่ใช่ตัวเองที่เพิ่งเป็นคนร้องเรียกเขาอยู่ปาว ๆ “วสุล่ะครับ?”
เอกภพสูดลมหายใจเข้าลึก เดินตรงไปยังประตูรั้วซึ่งลูกพี่ลูกน้องของวสุยืนรีรออยู่ จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้าตรง ๆ เช่นนี้เท่าไร พวกเขาเคยคุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งที่บ้านก็ตั้งอยู่ข้างกันมาเนิ่นนาน
“หลับแน่ะ”
“หลับ?” อีกฝ่ายทวนคำ ทำสีหน้าอ่อนใจไปด้วย จากนั้นพึมพำเหมือนแค่บ่นกับตัวเอง “ขี้เซาตลอดเลยไอ้นี่ เรียกมันให้หน่อยได้ไหมครับ เย็นแล้วไม่กลับบ้าน”
เขาให้เวลาตัวเองลังเลเพียงครู่เดียว ก่อนจะเอ่ยคำโกหกออกมาเสียงเรียบ
“คืนนี้คิดว่าอาจจะนอนค้างที่นี่ด้วยน่ะ”
“หือ?”
“อา..” เขายังคงวางสีหน้าแบบเดิม “ตามนั้น”
“แต่พรุ่งนี้ไปเรียน”
“ค่อยกลับพรุ่งนี้เช้า”
“...มัน...” เด็กหนุ่มลังเล แต่สุดท้ายก็ถามออกมา “..ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?”
“..?”
“เมื่อเที่ยง ๆ ผมเห็นรถพี่ออกจากบ้าน แล้วตอนบ่ายก็กลับมาจอดที่เดิม ไปไหนกันหรือเปล่าครับ”
เมื่อโกหกครั้งที่หนึ่ง ก็คล้ายเป็นภาคบังคับให้มีครั้งถัด ๆ ไปตามมา
“กินข้าวข้างนอกน่ะ”
สีหน้าอีกฝ่ายดูไม่เชื่อเท่าไรนัก แต่ก็พยักหน้าช้า ๆ “...อ้อ”
แม้ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังปิดบังความผิด แต่เขาคิดว่าวสุคงไม่ได้อยากให้คนอื่นล่วงรู้ หากเจ้าตัวตื่นแล้วและตั้งใจจะเปิดเผยหรือเอาเรื่อง ถึงตอนนั้นเขาจะรับผิดชอบเองทั้งหมดโดยไม่ต้องบังคับเลย
“พี่เคยรู้จักกับมันมาก่อนหรือเปล่า” จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ยิงคำถามใหม่ หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง “อย่าง..เมื่อตอนที่อยู่กรุงเทพฯ หรืออะไรประมาณนั้น”
เอกภพนิ่งคิดไปนานเกินควร เขาไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดควรเรียกว่าเขากับวสุเคยรู้จักกันมาก่อนได้ไหม มันคงตลกดีหากบอกว่าเคยรู้จักสักเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่เกิด ในฐานะวสันต์...อะไรอย่างนั้น
“ไม่นี่”
สุดท้ายก็เพียงแต่ปฏิเสธออกไป
“...เหรอ..”
“ทำไมล่ะ?”
“เปล่าหรอกครับ” ภัทรพักตร์ยักไหล่ ทำเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ยังปรายตามองเขาราวกับกำลังประเมินอะไรบางอย่าง “เห็นดูคุยกันถูกคอ เอ้อ แล้ว—อ้าว!?”
เขาเลิกคิ้ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอุทานขึ้นมากลางปล้อง พร้อมกับชะเง้อมองไปด้านหลังเขาด้วยสีหน้าสงสัย
“ไหนว่าหลับอยู่”
เอกภพหันขวับไปมองตามสายตาเด็กหนุ่มทันที วสุโผล่มาอยู่ตรงหน้าประตูบ้านกับแมวดำ ก่อนจะค่อย ๆ ใส่รองเท้าแล้วเดินช้า ๆ มาทางนี้ ส่วนไอ้ดุ๊กดิ๊กเดินตามมาสบทบอีกตัวในภายหลัง
“...ภัทร?” วสุเอ่ยเรียกเสียงแหบแห้ง ท่าทางคล้ายพยายามหลบตาเขาขณะที่เดินไปคุยกับลูกพี่ลูกน้อง
“จะค้างนี่ไม่บอกแต่แรกวะ”
“...เอ๋?” วสุอ้าปากหวอ เงยขึ้นมองเขาตาปริบ ๆ จากนั้นทั้งหน้าก็แดงซ่านไปหมด ท่าทางบอกชัดว่าไม่เข้าใจเพราะไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อน ดูเหมือนกรรมจากการโกหกจะตามสนองเอกภพเร็วกว่าที่คิด “..ผม....ค้าง...?”
“ไม่ได้จะค้างนี่หรอกหรือ?”
เขาก้มลงมองตาเด็กหนุ่ม ราวกับเป็นนาทีวัดใจว่าวสุจะเอาอย่างไรต่อ เออออตามกัน หรือเอาเรื่องเขาจากที่ล่วงเกินตัวเองไปก่อนหน้านี้ ขณะที่ภัทรพักตร์ก็ยืนเงียบเพื่อรอฟังอยู่ด้วยเช่นกัน
“...อะ..อ้อ...” สุดท้ายเจ้าตัวก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ พยักหน้าช้า ๆ แล้วหันไปทางลูกพี่ลูกน้องตัวเอง “..คือ...ขอโทษที่ไม่ได้บอก...”
ภัทรพักตร์ถอนหายใจเฮือกออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ผงกศีรษะอย่างเสียไม่ได้แล้วบ่นงึมงำไปด้วย “เออนะ..เชื่อเลย แล้วตกลงมาสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“...แบบ...มีอะไรที่อยากให้สอนน่ะ” วสุก้มหน้าก้มตาพูดต่อ “จำได้ไหมที่มีประกวดรูปวาดแปะประกาศหน้าห้องเรียน ก็เลยว่าจะลองดู ทีนี้วาดติดพัน ก็เลย..”
“ก็เลยหลับ” คนฟังต่อให้หน่าย ๆ
“..ก็ง่วงนี่!” วสุแย้ง เลยกลายเป็นพูดเรื่องอื่นกันเสียอย่างนั้น
“ขี้เซาเอ๊ย” ลูกพี่ลูกน้องหนุ่มส่ายหน้า “แล้วกลางคืนก็มาบ่นว่าตาค้าง ฝันร้าย นอนไม่หลับ”
“..อ่า..”
“นอนนี่ก็นอนนี่ แล้วพรุ่งนี้เอาไง เสื้อผ้าอะไรอยู่บ้านไม่ใช่เหรอ หรือกลับไปกินข้าวอาบน้ำแล้วค่อยมา บ้านก็อยู่ติดกันไม่ใช่รึไง”
“นั่นสินะ..”
วสุพึมพำ ท่าทางเป๋อ ๆ กลับมาอีกแล้ว และเอกภพก็รู้สึกได้ว่าคำเท็จของเขาดูจะมัดมือชกอีกฝ่ายเกินไปหน่อย ตอนแรกนึกเป็นห่วงว่าให้กลับบ้านไปทั้งอย่างนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ดูท่าแล้ว หากรั้งไว้ต่อเจ้าตัวอาจยิ่งลำบากใจมากกว่า
“งั้นเรากลับไปนอนบ้านก็ได้นะ” เขาเสนอทางเลือก
“เอ๋?” เด็กหนุ่มยิ่งทำหน้างง คงเพราะพอเออออไปแล้วก็จะโดนส่งกลับบ้านเสียอย่างนั้น “..ก็ไหน...?”
“จะกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้ หรืออยากค้าง?”
เอกภพถามลองเชิง แต่วสุถึงกับเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็หันไปอ้อมแอ้มบอกคนจากบ้านตัวเอง “ภัทร..เดี๋ยวค่ำ ๆ กลับได้ไหม ฝากบอกป้าแต๋วด้วย”
เจ้าของชื่อยักไหล่ ทำนองว่าก็กะไว้อยู่แล้ว “สรุปไม่กินข้าวบ้าน”
“อา..” เด็กหนุ่มพึมพำ “เดี๋ยวก็กลับแล้ว ไม่นานหรอก”
ภัทรพักตร์พยักหน้า เหลือบมองทั้งสองอยู่อึดใจ ก่อนจะโบกมือลา ทิ้งท้ายด้วยเสียงดังฟังชัด
“อย่าดึกนะเว้ย ขี้เกียจรอเปิดบ้าน แล้วก็กับข้าวส่วนของแกตกเป็นของฉันละนะ!”
วสุพยักหน้าหงึกหงัก มองจนแผ่นหลังอีกฝ่ายหายเข้าประตูบ้านตัวเอง จากนั้นถอนหายใจออกมาสุดปอด ส่วนทางเอกภพนั้น ผู้มาเยือนลับตาไปได้ไม่เท่าไร ชายหนุ่มก็พึมพำเป็นเชิงถาม
“สนิทกับลูกพี่ลูกน้องเหมือนกันนะ?”
เด็กหนุ่มผงกศีรษะรับ แต่ยังดูเหมือนไม่ค่อยกล้าสบตาสักเท่าไร
“ตอนเด็ก ๆ เคยเล่นกันบ่อย กับพี่แพรวก็อีกคน ความจริงบ้านนี้ผมก็เคยอยู่ช่วงหนึ่งก่อนไปอยู่กับลุง”
“ก่อนพี่มาอยู่น่ะหรือ”
“ครับ นานแล้วละ”
“..ก็เลยไม่ได้เจอกัน”
เอกภพแปลกใจกับคำพูดตัวเองนิดหน่อย พอออกปากอย่างนี้แล้ว อย่างกับว่าเขาเองก็อยากเจอมาตลอดอย่างไรอย่างนั้น
“...แต่ตอนนี้ก็เจอแล้ว..” วสุกระซิบ ก้มหน้าเหมือนพูดกับแมวดำ
“เจอขาว?”
“เจอพี่ต่างหาก”
ถึงเสียงพูดจะงึมงำ ตาก็ไม่ยอมสบ ใบหูกลายเป็นสีแดงเข้ม แต่ก็เรียกว่าเป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาใช้ได้..
“..ขอโทษนะ”
เอกภพไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แม้แต่คำขอโทษที่เพิ่งออกปากก็ยังไล่เรียงได้ไม่หมดว่าขอโทษเรื่องอะไรบ้าง ขอโทษที่ล่วงเกิน ขอโทษที่ไม่มีคำตอบชัดเจนสำหรับอีกฝ่าย ที่ยังคลางแคลงสงสัยอยู่เสมอว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร วสุกับวสันต์เกี่ยวข้องกันขนาดไหน แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนเดียวกันได้หรือเปล่า
“..ทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะครับ”
เขากระอักกระอ่วนใจที่จะกล่าว แต่ก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดสำหรับสิ่งที่ทำลงไปแล้ว “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ ถ้าหากว่านายจะ—”
“นั่นเพราะผมเต็มใจ” วสุขัดขึ้น ย่อตัวลงด้วยท่าทางเงอะงะ ก่อนจะอุ้มแมวดำขึ้นมาไว้แนบอก “..เพราะว่าผมคิดถึงพี่..”
“...”
“....แล้วพี่เอกคิดถึงผมหรือเปล่า..”
ดุ๊กดิ๊กเดินตามมาอีกตัว แต่แทนที่จะมาคลอเคลียเขาอย่างเคย กลับไปพันแข้งพันขาวสุ แมวดำขู่ฟ่อก็ยังไม่ล้มเลิก สุดท้ายแล้วแมวจึงหยุดขู่ไปเอง ปล่อยหมาขนทองวนเวียนอยู่รอบกาย โบกหางเป็นพวงไปมาอย่างเริงร่า ข้างกันกับต้นไม้ที่เริ่มแตกยอดสีเขียวอ่อน กำลังจะผลิใบใหม่ใต้สายรุ้งซึ่งพาดผ่านผืนฟ้าหลังฝนพรำ
..กลิ่นฝนนั้นแปลกเหลือเกิน..มันทำให้คนยิ้ม..ทำให้คนเหงา...และทำให้คนเผลอไผล เอ่ยปากบางสิ่งออกไปโดยไร้การไตร่ตรอง
ดุ๊กดิ๊กเอียงคอ ลองคิดดูใหม่ หรือจะว่าไป...ก็อาจเป็นคนนั่นแหละที่แปลก
เพราะอยู่ดี ๆ ก็ยิ้ม แต่ประเดี๋ยวก็เหงา และบางครั้งยังเผลอไผล เอ่ยปากบางสิ่งออกไปโดยไร้การไตร่ตรอง
มันเออออกับตัวเอง ใช่แล้ว..คนต่างหากที่แปลก นายก็เป็นหนึ่งในนั้น ตลอดมานายยิ้มทั้งที่เหงา แต่ตอนนี้นายกลับทำหน้าเหงาทั้งที่ตัวเองกำลังมีความสุข
วุสก็แปลกเช่นกัน เด็กคนนั้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแมวดำชื่อขาว เข้ามาอย่างงง ๆ เจอกันแป๊บเดียวก็ทำให้นายรัก..นายรักเด็กวสุแน่ ๆ ดุ๊กดิ๊กมั่นใจ ทั้งชีวิตมันไม่เคยเห็นนายมองใครด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างนี้มาก่อน เพียงแต่นายรู้ตัวหรือยัง...คล้ายว่าจะยัง?
ความสุขของมนุษย์เป็นเรื่องเข้าใจยากกว่าฝนฟ้า ยิ่งกว่าฤดูกาล และยากเกินคาดเดายิ่งกว่าตำแหน่งสุดปลายสายรุ้งซึ่งไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า ดุ๊กดิ๊กไม่เคยเห็น แต่ตอนนี้รุ้งก็ทอดตัวอยู่บนฟ้า ปลายจะสิ้นสุดตรงไหนก็ช่างปะไร โผล่มาจากไหนไม่รู้ สำคัญคือมันมีอยู่ต่อหน้าล้วนเรียกว่าเป็นของจริงทั้งนั้น
ดุ๊กดิ๊กเอาหัวชนขาวสุ จากนั้นเอียงไปชนขานาย ร้องหงิงหวังชวนเข้าบ้าน แต่แมวดำขู่ฟ่อใส่แล้วหาว่าเป็นไอ้งั่งอีกแล้ว คนเขาจะพลอดรักกัน ทำไมไม่รู้จักกาลเทศะบ้าง เล่นเอานั่งหงอ ไอ้ขาวเป็นแมวแก่แดดแล้วยังดุนัก!
“ถ้าวสันต์ก็เป็นส่วนหนึ่งของผม หรือผมอาจเป็นส่วนหนึ่งของเขา..”
วสุพึมพำ ถึงตอนนี้จะเสียงแห้งไปหน่อย แต่ดุ๊กดิ๊กชอบเสียงวสุ นายคงชอบมากเช่นกัน เพราะเห็นตั้งใจฟังเชียว
“ถ้าทั้งผมและเขาก็มองเห็นสายรุ้งเส้นเดียวกัน...จากมุมเดียวกัน..”
เด็กหนุ่มพูดอะไรที่ดุ๊กดิ๊กไม่รู้เรื่อง ทุกคนและทุกตัวก็เห็นสายรุ้งเส้นเดียวกันอยู่ไม่ใช่หรือไร ไอ้ที่เรียงกันเจ็ดสีอยู่เหนือหัวตอนนี้ต่างกันตรงไหน เงยขึ้นก็เห็น ถ้ามัวนักแค่เช็ดน้ำตาก่อน แล้วลืมตาให้กว้างหน่อยเท่านั้นเอง ทว่าแปลกอีกแล้ว ทั้งที่มันงงแทบแย่ แต่นายกลับน้ำตาคลอเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น หากไม่ใช่เพราะยืนกันอยู่หน้าบ้าน นายคงดึงวสุไปกอดไว้แน่น ๆ
“...จะคิดถึงผมไหม...แล้วจะรักผมไหม?”
“...คิดถึงสิ..”นายพูดออกมาแล้ว..แม้ยังเลี่ยงคำว่ารัก มันเห็นแมวดำแอบทำหน้าซึ้งในอ้อมแขนวสุ
“...ถึงตอนนี้จะยังรักไม่ได้...แต่หลังจากนี้ช่วยเริ่มรักผม..สักทีละนิด...ด้วยเถอะครับ....”
ดุ๊กดิ๊กมองนาย จากนั้นมองเด็กหนุ่มหน้าง่วง คนที่เจ้าแมวอ้างว่าเป็นของตัวเอง แม้ไอ้ขาวโอ้อวดว่าเพิ่งได้ทาสมนุษย์คนใหม่ แต่ว่านะ..
ดุ๊กดิ๊กคิดว่าตัวเองก็กำลังจะได้เจ้านายคนใหม่เหมือนกันโปรดติดตามตอนต่อไป
ขอเชิญไปเยี่ยมพี่เอกในคุกด้วยกันค่ะ Orz
กินเด็กขั้นสุด! ทำไมเดี๋ยวนี้เขียนแต่อะไรผิดศีลธรรม แฝดงี้ ลุงพรากผู้เยาว์งี้ นรกนี่มันร้อนผ่าว ๆ จริง ๆ ค่ะ ที่ร้อนขนาดนี้คงเพราะก้าวขาลงนรกไปแล้วแน่ ๆ (ฮา)
แปะของแถมนะคะ รีพลายนี้เลย มีไม่เยอะ แหะ ๆ
ดูเดิ้ลของตอนที่แล้วค่ะ


ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารัก แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ ^o^