สวัสดีค่ะ แอบเห็นร่างปก ถทปทฟ. แล้วมี กลจ. ปั่นตอนที่ 18 มาฝากค่ะ
ลองอ่านกันดูนะคะ คนเขียนขอไปสลบก่อน
ตอนที่ 18 : อุ่น
นครลำปางค่อย ๆ ตื่นขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายหมอกซึ่งแทรกตัวไปกับทุกอณูที่บ่งบอกถึงความเป็นเมืองทางผ่าน ถึงกระนั้นคนผ่านทางจำนวนไม่น้อยก็ยังหวนกลับมาใหม่เพื่อหวังจะได้ซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ ให้ชื่นฉ่ำหัวใจอีกหนเมื่อมีโอกาส แม้หมอกจะลงจัดความชื้นในอากาศมีอยู่มากแต่นาฬิกาที่ห้าแยกใจกลางเมืองก็ยังคงทำหน้าที่ของมันตามปกติ หากตำแหน่งของเข็มยาวและเข็มสั้นไม่แสดงว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้าแล้ว คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาคงเข้าใจว่านี่ยังเป็นเวลาสำหรับการนอนหลับพักผ่อนด้วยบรรยากาศขมุกขมัวไร้ซึ่งแสงของดวงอาทิตย์
อากาศยามเช้าเย็นเยือกไม่ต่างไปจากเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเท่าไรนัก แต่ชายหนุ่มผู้ที่กำลังขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าความหนาวเหน็บกลับรู้สึกอบอุ่นข้างในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงปิ่นโตเถาเล็กที่มีคนใจดีเอามาแขวนไว้ให้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รู้ก็เพราะว่าเสียงครางหงิง ๆ ของเจ้าแข็งแรงที่ยอมละจากเบาะรองนอนอุ่น ๆ ไปนั่งน้ำลายหยดติ๋งอยู่ที่ริมรั้วแหงนหน้ามองถุงหมูปิ้งของมันตาละห้อย นอกจากจะมีของมาฝากหมาแล้วข้าง ๆ กันยังมีปิ่นโตใส่ข้าวสวยร้อน ๆ กับกับข้าวอีก 2-3 อย่างมาฝากคนเลี้ยงหมาด้วย แต่ดูจะใจร้ายไปหน่อยก็คือคนที่เอามาให้ไม่คิดจะอยู่รอเจอกันก่อน อุตส่าห์ไปหาที่เกสต์เฮาส์ก็ต้องผิดหวัง ทั้งที่แยกกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงกลับรู้สึกคิดถึงขึ้นมาจนเก็บไว้ไม่อยู่ นั่นคงเป็นเพราะสถานะที่เปลี่ยนไปทำให้ไม่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในใจอีกต่อไป นานเหลือเกินที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ นานจริง ๆ ที่อานุภาพแห่งความคิดถึงไม่เคยทำอะไรเขาได้ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าความคิดถึงหน้าตาเป็นแบบไหน แต่ถ้ามีใครสักคนถามขึ้นมาในตอนนี้คงจะตอบได้ไม่ยากนัก
ศิธาพัฒน์ส่งยิ้มให้ตู้ไปรษณีย์สีแดงข้างรั้วไม้เตี้ย ๆ สีฟ้าอ่อนกลางเก่ากลางใหม่ปกคลุมด้วยเถาพวงแสดสีส้มสดราวกับสีของแสงแดดในยามเช้าที่ทอแสงฉาบทั่วท้องฟ้า หนึ่งในพยานปากสำคัญที่เห็นว่าเมื่อคืนมือของคนสองคนต่างก็กุมกันไว้ไม่ห่างตลอดเส้นทางกลับบ้าน สะพานสีขาวที่เป็นเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิดก็คงกำลังนึกขำอยู่แน่ ๆ ที่เห็นว่าสุดท้ายแล้วคนเจ้าแผนการอย่างเขาก็เสียท่าให้ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าอย่างราบคาบ จู่ ๆ ต้องมาขอเป็นแฟนซึ่ง ๆ หน้าแบบนั้นเล่นเอาเขินจะแย่ มาถึงตรงนี้ความรู้สึกอยากจะพบหน้าไอ้ตัวแสบก็กลับพวยพุ่งขึ้นอีกครั้งพร้อมกับอาการร้อนวาบที่แผ่ซ่านไปทั้งสองแก้ม แต่กระนั้นกลิ่นหอมจากตัวของอีกฝ่ายที่ยังติดอยู่กับเสื้อกันหนาวก็พอจะทำให้ความคิดถึงคลายลงได้บ้างอย่างน้อยก็ในระยะทางจากที่นี่ไปจนถึงไร่แสงดาว
เมื่ออ้อมกอดของหมู่มวลเมฆค่อย ๆ คลายออก ดวงอาทิตย์ก็ทอแสงอุ่นอ่อนรอดผ่านช่องว่างระหว่างช่อดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ฉาบผืนหญ้าและผิวหน้าเนียนละเอียดของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับตาพริ้มฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ แผงอกกว้างใต้เสื้อกันหนาวเนื้อหนาขยับขึ้นลงสม่ำเสมอตามจังหวะการหายใจ ไอดินกับกลิ่นหญ้าตัดใหม่ ๆ หอมคลุ้งคลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูกยามเมื่อกระแสลมพัดผ่านมาเป็นระยะ เพียงไม่กี่ครั้งดอกสีชมพูที่ยอดไม้ใหญ่ก็ปลิดปลิวลอยละล่องหมุนวนก่อนจะแตะลงบนผิวแก้ม ชวนให้คิดว่าขนาดกลีบบาง ๆ ยังไม่อาจต้านทานแรงลมแห่งฤดูกาล แล้วหัวใจที่เป็นเพียงก้อนเนื้อนุ่มจะแข็งขืนต่อสายลมที่ก่อตัวในห้วงแห่งความคิดถึงได้อย่างไรกัน คนหลับขยับตัวนอนในท่าสบายพลันกลีบปากเย็นเฉียบก็กลับอุ่นชื้นขึ้นเมื่อผิวเนื้อนุ่มสัมผัสลงมาอย่างแผ่วเบา ลมหายใจอุ่น ๆ คลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มกับกลิ่นจาง ๆ ของน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตนั้นให้นึกถึงหน้าใครบางคนขึ้นมา หากนี่คือห้วงแห่งความฝันแล้วละก็ คงเป็นฝันที่สัมผัสได้โดยทั้งผิวกายและปลายจมูก เหมือนจริงเสียจนไม่กล้าจะลืมตาตื่นขึ้น ไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะกลัวว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเพราะกลัวว่าเมื่อลืมตาแล้วทุกสิ่งจะมลายหายไปกันแน่
“เต็ม...ตื่นเถอะ”เจ้าของชื่อรู้สึกขัดใจเอามาาก ๆ เมื่อจู่ ๆ เสียงเพลงโปรดจากหูฟังก็เงียบหายไปทั้งที่ยังไม่ทันจบเพลง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าสุ้มเสียงทุ้มนุ่มที่ดังแผ่วเป็นชื่อตนเองนั้นน่าฟังเสียยิ่งกว่า เต็มฟ้าค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมองสายของหูฟังที่ห้อยต่องแต่งจากมือหนาก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองคนที่กำลังนั่งกอดเข่าหันข้างให้ เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน เสี้ยวหน้าคมกับรอยยิ้มของเขานับวันยิ่งจะทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายและจิตใจกำลังสูญเสียการควบคุมเข้าไปทุกที ฝันเมื่อกี้กับคนที่นั่งอยู่ตรงนี้กล้าดียังไงถึงได้เรียกเอาเลือดลมในกายทั้งหมดมารวมกันอยู่ตรงหน้า คนอายุน้อยยันตัวลุกขึ้นนั่งหลบสายตาที่กำลังพยายามสำรวจเมื่อสังเกตได้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น
“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงแบบนั้น” พูดจบก็ปล่อยสายหูฟังลงก่อนจะยกมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มแดงจัด
“ปละ..เปล่า” เต็มฟ้าขยับตัวออกห่างจากสัมผัสอ่อนโยนจัดการคว้าหูฟังและโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋า หวังว่าการได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากสบตาของอีกฝ่ายจะช่วยให้อาการประหม่าที่กำลังเป็นอยู่บรรเทาลง ปากบางขมุบขมิบแต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า
“แค่ฝันน่ะ”
“ฝันเหรอ ฝันดีหรือฝันร้าย”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเล่าให้พี่ฟังได้ไหม” มือหนาเลื่อนลงมาที่ลำคอระหงก่อนจะรั้งอีกฝ่ายให้หันมามองกันบ้าง
‘เล่าว่าโดนพี่ศิธาจูบเนี่ยนะ’“เล่าอะไรกัน ยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรเลย พี่ศิธาก็มาปลุกเสียก่อนคนกำลังหลับสบายแท้ ๆ”
“ก็อยากให้ตื่น อยากมองตา อยากรู้ว่าคิดอะไรอยู่”
“เต็มจะหลับตา พี่ศิธาจะได้ไม่ต้องเห็น” พูดจบเปลือกตาบางก็ปิดลง ไม่รู้เลยว่านั่นยิ่งเป็นการเปิดช่องให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสทำในสิ่งที่หัวใจกำลังปรารถนา
“ดี ถ้าอย่างนั้น พี่ก็....จะจูบแบบไม่ลืมหูลืมตาเหมือนกันดีไหม” ยังไม่ทันจะจบประโยคดี คนช่างท้าทายก็รู้สึกถึงแรงรั้งที่เพิ่มมากขึ้นจนต้องพยายามขืนตัวลืมตาขึ้นกล่าวคำทักท้วง แต่หน้าคมก็ยังเลื่อนใกล้เข้ามาทุกขณะ
“เต็มลืมตาแล้วไง” มือบางดันแผงอกกว้างเอาไว้พร้อมกับจ้องเขม็ง นี่ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นพี่คงยันด้วยอย่างอื่นไปแล้ว “ทำไมยังไม่หยุดอีก”
“พี่ชอบเห็นเด็กพยศมันน่ารักดี” ศิธาพัฒน์หัวเราะในลำคอก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ
“โรคจิตจริง ๆ” หน้าชวนมองส่ายไปมาอย่างโล่งอก คิดว่าจะต้องเสียจูบแรกในโลกแห่งความเป็นจริงเสียแล้ว
“ก็ยังดีกว่าคนใจร้าย เอาข้าวไปแขวนไว้ให้แทนที่จะอยู่รอเจอกันก่อน” ริมฝีปากอิ่มบ่นอุบก่อนจะถือโอกาสเอนหลังนอนลงบนตักอุ่นโดยไม่ฟังคำทักท้วงใด ๆ
เต็มฟ้าเบิกตากว้างจ้องมองคนที่กำลังทำไม่รู้ไม่ชี้ รู้สึกว่ามือไม้ทั้งสองข้างของตัวเองมันเกะกะไปหมดจนไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหน จนในที่สุดเจ้าของมือใหญ่รั้งไปวางไว้แนบอก นิ้วหัวแม่มือถูที่หลังมือเบา ๆ ก่อนจะพลิกไปพลิกมาพร้อมกับสำรวจด้วยสายตาในทุกซอกทุกมุม
“มือก็นิ่ม แก้มก็นิ่ม แต่ทำไมใจแข็งนัก อยู่รอกันก่อนก็ไม่ได้ อุตส่าห์ไปหาที่เกสต์เฮาส์ก็ไม่เจอ”
เต็มฟ้าโคลงศีรษะไปมาก่อนจะทอดสายตามองไปยังธารน้ำเบื้องหน้าที่เริ่มจะแห้งขอดลง ผู้ใหญ่เอาแต่ใจบางครั้งก็น่าตียิ่งกว่าเด็ก ๆ เสียอีก
“เต็มลืมไปว่าวันนี้เพื่อนน้าเดือนนัดมารับของที่โรงงาน”
“แล้วมายังไง พี่เห็นรถยังจอดอยู่ที่เกสต์เฮาส์”
“เต็มติดรถพี่แจ่มมา พี่แจ่มไปจ่ายตลาดตั้งแต่เช้ามืด พ่อก็เลยให้พี่แจ่มแวะมาเตือนอีกที” พูดจบมือข้างที่เหลือก็เอื้อมหยิบดอกชมพูพันธุ์ทิพย์ที่เพิ่งร่วงลงมาบนยอดหญ้าขึ้นมาดูก่อนจะค่อย ๆ เสียบที่ข้างข้างหูของคนบนตัก มือบางยังคงเคล้าเคลียอยู่ที่แก้มสาก มองหน้าคนถูกแกล้งก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “แล้วแข็งแรงล่ะ ทำไมไม่พามาด้วย”
“ก็อยากอยู่ด้วยกันแค่สองคนบ้างไม่ได้เหรอ”
“ถ้าแข็งแรงมันได้ยินมันคงน้อยใจเนอะ”
“น้อยใจอะไรกัน มันต้องดีใจสิ แล้วก็คงบอกว่า พ่อ ๆ อยู่ด้วยกันดี ๆ นะ อย่าทะเลาะกัน”
เต็มฟ้าเลิกคิ้วพร้อมกับสบตาคนตรงหน้าอย่างเอ็นดู ไม่คิดว่าคนที่มักจะวางหน้านิ่งราวกับผู้คุมกฎ ทำอะไรก็มักอยู่บนหลักการจะมีมุมนี้กับเขาด้วย
“เมื่อเช้าพี่แวะไปที่บ้านน้าเดือน เห็นพวกเด็ก ๆ ไปรวมตัวกันที่นั่นก็เลยฝากเจ้าแข็งแรงเอาไว้ มันจะได้มีเพื่อนเล่น”
“อืม...คงไปตกลงกันเรื่องกีฬาสีละมั้ง”
“กีฬาสี?”
“อื้อ...ตามบอกว่ายังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะทำอะไร เพื่อน ๆ อยากให้ตามเป็นคฑากร แต่น้องอยากเป็นนักกีฬา”
“เป็นนักกีฬา...” ศิธาพัฒน์นิ่งคิด รู้ดีว่าคนที่กำลังถูกพูดถึงไม่ใช่เด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงนัก เดาไม่ออกเลยว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร “แล้วเต็มว่ายังไง”
“เต็มตามใจน้อง อยากทำอะไรก็ทำ” คนเป็นพี่กล่าวอย่างหนักแน่น
“ถึงตามจะไม่ค่อยแข็งแรงอย่างนั้นน่ะเหรอ”
คนถูกถามใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปกหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างเบามือ “ตอนเต็มเป็นเด็ก พ่อก็ปล่อยให้ทำทุกอย่างที่อยากทำ ถึงพ่อจะรู้ผลของมัน แต่ก็ยอมให้ลองทำอยู่ดี เต็มก็เลยอยากให้น้องได้รับในสิ่งที่เต็มเคยได้รับบ้าง”
ศิธาพัฒน์พยักหน้าอย่างเข้าใจ รั้งมือเล็กขึ้นมาก่อนจะกดปลายจมูกลงสูดกลิ่นหอมจากหลังมือนุ่มของชายหนุ่มที่หลายคนอาจมองว่าเป็นคนแข็งกระด้างให้ชื่นใจ ก็เพราะเต็มฟ้าเป็นเสียแบบนี้ เขาถึงได้เผลอใจหลงรักไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
...
สองคนพากันเดินลุยน้ำข้ามลำธารเล็ก ๆ กลับมาที่โรงงานเซรามิกที่วันนี้เงียบเชียบผิดปกติ เพราะนายใหญ่ของไร่เกณฑ์คนงานไปช่วยกันสร้างฝายชะลออน้ำในป่า จะเหลือก็เพียงคนงานผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่กำลังช่วยกันเอางานเข้าเตาเผา เต็มฟ้าขอแวะเข้าไปทำธุระข้างในก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับลังกระดาษใบย่อม ๆ ที่ถูกปิดผนึกอย่างดี
“ไปเอาอะไรมา” ศิธาพัฒน์เอ่ยขึ้นขณะรั้งลังกระดาษจากมือของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เอง
“งานของพวกเด็ก ๆ ไง ออกจากเตาหลายวันแล้วแต่ยังไม่ได้เอาไปให้เลย”
“แล้วนี่ล่ะ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากล่าวพลางก้มลงมองกระดาษ 2-3 แผ่นที่วางอยู่บนฝาของลังกระดาษ มันเกือบจะปลิวตามแรงลมไปแล้วถ้าหากเต็มฟ้าไม่เอื้อมมือคว้าเอาไว้เสียก่อน
“แบบสเก็ตซ์ของชำร่วยงานแต่งงานน่ะ” คนอายุน้อยกว่ากล่าวขณะเสียบกระดาษสเก็ตซ์กับไดอารีที่ถือติดมือมาด้วย
“ทำของชำร่วยงานแต่งงานด้วยเหรอ”
“อืม ทำหมดแหละตั้งแต่ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ยันถ้วยชามหรือแจกันใหญ่ ๆ นี่เต็มก็ว่าจะรับทำอนุสาวรีย์อยู่เหมือนกัน”
ศิธาพัฒน์มองค้อนหนุ่มจอมกวนก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “พี่ว่าดีออกนะทำของชำรวยงานแต่งงานเนี่ย ตราบใดที่โลกนี้ยังมีความรักเราเองก็มีงานให้ทำ เห็นเขายิ้มเราก็พลอยยิ้มไปด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นละก็...เต็มเปลี่ยนไปเพาะถั่วงอกขายดีไหม มีงานทำแน่ ๆ ตราบใดที่คนยังกินก๋วยเตี๋ยว”
“ไม่จริงหรอก พี่สั่งเส้นเล็กไม่งอก”
ดวงตาดำสนิทมองคนหน้าทะเล้น กอดอกพร้อมกับถอนใจเบา ๆ “เฮ้อ...ในโลกนี้มีผักอะไรที่กินบ้างไหมนะ หอมใหญ่ก็ไม่กิน คะน้าก็เขี่ยทิ้ง”
“หึ เยอะไป แต่มันต้องมีกรรมวิธีในการกิน เอาไว้วันหลังพี่จะบอกให้ฟังนะ”
เต็มฟ้าพยักหน้าส่ง ๆ ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร ไม่รู้ว่าจะต้องมีกรรมวิธีอะไรนักหนา หรือว่าทั้งหมดมันก็คือข้ออ้างของผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมกินผักคนนี้กันแน่
“ว่าแต่พี่ศิธาเถอะ ทำไมถึงมาเป็นหนักงานไปรษณีย์ อย่าบอกนะว่าชอบอ่านจดหมายหรือโปสการ์ดของคนอื่น”
แววตาจ้องจับผิดของเจ้าของคำถามทำเอาศิธาพัฒน์อดหัวเราะไม่ได้ ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะวางลังกระดาษลงในตะกร้าหน้ารถ จูงไปตามทางดินแคบ ๆ ซึ่งขนาบข้างด้วยต้นสนสูงใหญ่ซึ่งเรียงรายอยู่นอกแนวรั้วไม้สีขาวเตี้ย ๆ ที่เอาไว้สำหรับแบ่งพื้นที่สำหรับเลี้ยงวัวนมกับพื้นที่ทำการเกษตรออกจากกัน
“ตอนแรกก็แค่อยากมาตามรอยพ่อน่ะ อยากรู้ว่าทำไมถึงได้รักที่นี่นัก แต่พอได้มาทำงานจริง ๆ ก็รู้สึกว่ามันมีความสุขดี เวลาได้อ่านที่อยู่ที่เขียนอยู่บนกล่องพัสดุหรือหน้าซองจดหมาย อยากจะให้มันไปถึงมือคนรับอย่างปลอดภัย เวลานึกถึงรอยยิ้มของคนรอตอนที่ได้รับจดหมายจากบุรุษไปรณีย์แล้วมีความสุขทุกที”
“แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าทำไมคุณพ่อของพี่ศิธาถึงได้รักที่นี่”
“อืม...ก็คงเพราะคนรักของพ่ออยู่ที่นี่ละมั้ง” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางหันมาสบตาคนถามนิ่ง “พี่เองก็รู้สึกว่าเริ่มจะรักที่นี่แล้วเหมือนกัน”
เต็มฟ้าที่ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายนั้นดีเสมองไปทางอื่นก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มจะดังที่ข้างหู “เต็มไม่อยากรู้เหรอว่าเพราะอะไร”
“ไม่อยากรู้” ริมฝีปากบางกล่าวอ้อมแอ้มขณะวางไดอารี่ลงในตะกร้าหน้ารถก่อนจะเดินห่างออกมา มือเรียวเกาะรั้วไม้ทอดสายตามองฝูงวัวที่กำลังยืนเล็มหญ้าอยู่บนเนินที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียวสด
เจ้าของคำถามจอดรถก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้าง ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ ขณะเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ กัน “ไม่อยากรู้หรือว่ารู้แล้ว”
“จะอะไรก็ช่างเถอะ” เจ้าของพวงแก้มสีชมพูระเรื่อกล่าวตัดรำคาญก่อนจะก้าวข้ามรั้วสีขาวเข้าไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจี มือบางเอื้อมดึงดอกหญ้าที่ขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะนั่งลงบนคานไม้จริงที่เชื่อมระหว่างเสาสองต้น
“คนอะไร เขินแล้วชอบทำอารมณ์เสียกลบเกลื่อน” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะกระโดดข้ามรั้วมานั่งลงข้าง ๆ กัน
“เมื่อกี้พี่ศิธาพูดว่าอะไรนะ” เต็มฟ้าหันถามคนที่กำลังขยับเข้ามาใกล้
“เปล่านี่”
“ก็ได้ยินอยู่ว่าพูด แต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร”
“อืม...อ๋อ...พี่บอกว่า....”
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้เต็มฟ้ายังไม่ทันได้รู้เมื่อครู่อีกฝ่ายพูดว่าอะไรอะไรกันแน่ ศิธาพัฒน์ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมา ทันทีที่เห็นชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์เขาก็นิ่งไปจนน่าสงสัย แม้เสียงเรียกเข้าจะเงียบไปแล้วแต่ที่หน้าจอก็ยังแสดงชื่อของคนโทร.มา
‘คนดี’
“ไม่รับเหรอ”
ศิธาพัฒน์เงยหน้าขึ้นสบตาคนนั่งข้างกันสลับกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่แสดงว่ามีสายไม่ได้รับหนึ่งสาย
“คงเหมือนเต็มมั้ง ไม่มีอะไรจะคุย”
เต็มฟ้าเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ยิ่งได้เห็นดวงตาคมที่เคยเต็มไปด้วยแววแห่งความอ่อนโยนกลับวูบหม่นลงก็คิดว่าควรจะเงียบเอาไว้ดีกว่าหากโทรศัพท์ในมือของศิธาพัฒน์ไม่ดังขึ้นอีกครั้ง
“เขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะ พี่ศิธาไม่รับหน่อยเหรอ”
เจ้าของโทรศัพท์เม้มปากแน่นจ้องมองหน้าจอที่กำลังสว่างอยู่ในมือตาเขม็ง ในที่สุดเขาก็กดรับก่อนจะพูดด้วยน้ำเย็นเยือก ไม่เหมือนพี่ศิธาที่เต็มฟ้ารู้จักเลยสักนิด
“ครับ”
‘ปุ่น นี่ย่าเองนะลูก’ เสียงที่ดังมาตามสายทำให้รู้สึกโล่งใจไม่น้อย ความรู้สึกหนักอึ้งที่เกิดจากการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าค่อย ๆ เบาบางลงจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมย่าถึงได้ใช้โทรศัพท์ของใครคนนั้นโทร.มา
“ทำไมย่าถึงเอาเบอร์นี้โทร.มาล่ะครับ”
‘พอดีย่าชวนหนูพรีมเขามาทานข้าวที่บ้านน่ะ ได้ยินว่าพักนี้ย่าไม่ได้โทร.หาปุ่นเพราะโทร.ศัพท์ของย่ามันเสีย เจ้าปุ้นเอาไปซ่อมให้อยู่ หนูพรีมเขาก็เลยขอยืมโทรศัพท์ นี่ดีนะที่ปุ่นไม่ได้เปลี่ยนเบอร์’
“ครับ แล้วย่ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
‘ย่าจะอยากจะปรึกษาเรื่องของชำร่วยงานแต่งงานของยัยปุนน่ะ เห็นว่าอยากได้เซรามิกย่าก็เลยลองไปถามเพื่อนที่เขามีโรงงานเครื่องปั้นดินเผาที่เกาะเกร็ด แต่เขาไม่มีคนออกแบบก็เลยมีแบบให้เลือกน้อย นึกถึงปุ่นขึ้นมาได้ว่าอยู่กับแหล่งทำเซรามิกเลยจะให้ช่วยย่าหาอีกแรง’
“ได้สิครับย่า เอาไว้ปุ่นจะคุยกับพี่ปุนก็แล้วกันนะครับว่าอยากได้แบบไหน”
‘เอาอย่างนั้นก็ได้ เอ้อ..แล้วนี่จะคุยกับหนูพรีมเขามะ..’
“ไม่ละครับย่า ถ้าย่าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะครับ แล้วปุ่นจะโทร.หานะ” พูดจบศิธาพัฒน์ก็กดวางสายก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกโด่งเรียกสายตาที่กำลังทอดมองดอกหญ้าในมือให้กลับมามองที่ตนเองอีกครั้ง
ริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากันจนแน่นค่อย ๆ คลายออกให้เลือดเดินจนกลับแดงฉ่ำขึ้นเป็นปกติ รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต้องถามถึงที่มาที่ไปของอาการหนักใจของอีกฝ่าย ทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คงจะเป็นมองดูเขาอยู่ห่าง ๆ ก็เท่านั้น
“กลับเถอะ เดี๋ยวทำข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่ให้กินจะได้อารมณ์ดี ๆ”
“ก็ไม่ได้อารมณ์เสียนี่” รอยยิ้มอ่อนโยนแบบที่มักจะเห็นบ่อย ๆ ทำให้เต็มฟ้าค่อยคลายความกังวลขึ้นมาได้บ้าง
“ทำหน้าอย่างกับลิงป่วยเนี่ยนะ”
ศิธาพัฒน์เลิกคิ้วก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ยอมรับเลยว่าความรู้สึกเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเมื่อเทียบกับตอนนี้ช่างต่างกันเหลือเกิน แววตาที่แฝงแววห่วงใยของคนตรงหน้าทำให้รู้ว่าเขาไม่ควรจะปล่อยให้ความทรงจำเก่า ๆ หวนมาทำร้ายตนเองจนทำให้มีใครต้องเป็นห่วงเช่นนี้ การได้เห็นรอยยิ้มของกันและกันเป็นความปรารถนาของศิธาพัฒน์ที่เต็มฟ้าเองก็คงจะคิดไม่ต่างกัน
“สติดีหรือเปล่า เดี๋ยวก็หน้าบึ้งเดี๋ยวก็ยิ้ม”
“แล้วเต็มชอบแบบไหนมากกว่ากัน”
“ไม่ชอบสักแบบ”
ศิธาพัฒน์มองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู คิดอยู่แล้วว่าจะต้องได้รับคำตอบแบบนี้ ถ้าตอบธรรมดา ๆ คงไม่ใช่เต็มฟ้าตัวจริงแน่
“กลับเถอะ”
“เดี๋ยวสิ คุยกันก่อน” มือหนารีบคว้าไหล่เล็กเอาไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมจะหันกลับ “ถ้าจะให้เต็มช่วยออกแบบของชำรวยงานแต่งงานให้พี่บ้างจะได้ไหม”
เต็มฟ้าหันกลับมาสบตาคนพูดอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำร้องขอนั้น
“ไม่ใช่พี่หรอกน่า พี่สาวของพี่ต่างหาก”
“เพิ่งรู้ว่ามีพี่สาวด้วย”
“อืม...มีกันอยู่สามคน พี่ปุน ปุ่น แล้วก็เจ้าปุ้น”
“ปอ ปลากันทั้งบ้านเลยเนอะ”
“ก็เหมือนเต็มกับตามไง” พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งมือคนข้าง ๆ มากุมเอาไว้ “พี่ปุ่น...ไหนเต็มลองพูดซิ”
เต็มฟ้ากลั้นยิ้มเมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะหลงกลคุณพนักงานไปรษณีย์เจ้าเล่ห์เข้าเสียแล้ว พยายามดึงมืออกแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ
“ออกเสียงก็ง่าย ทำไมถึงพูดยากจัง หืม?”
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้สนิทอะไรกัน เรียกพี่ศิธาก็ดีแล้ว”
“แล้วต้องสนิทกันแค่ไหนถึงจะยอมเรียก” เจ้าของดวงตาทอประกายวิบวับไม่น่าไว้ใจกล่าวพลางขยับมายืนประจัญหน้าก่อนจะโน้มศีรษะลงมาใกล้ ๆ จับปลายคางมนให้เชิดขึ้นรับสัมผัสจากริมฝีปากอิ่มที่ประกบลงมาจนแนบสนิท มือที่ไร้เรี่ยวแรงคลายออกปล่อยให้ดอกหญ้าร่วงลงสู่ผืนดิน ดวงตาจ้องมองภาพของศิธาพัฒน์ที่เลือนลางลงจนชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขายังยืนอยู่ตรงนี้หรือไม่ แต่ลมหายใจอุ่น ๆ กับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ยังคงคลอเคลียปลายจมูกก็ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ต้องเป็นพี่ศิธาของเขาแน่ ๆ เมื่อรู้สึกแน่ใจและปลอดภัยเต็มฟ้าก็ปิดเปลือกตาลงฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นรัวเพียงเพราะสัมผัสแผ่วเบาและแสนอ่อนโยนเสียจนอยากจะอยากลอยตามขึ้นไปทันทียามที่ร่างสูงค่อย ๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
“สนิทแค่นี้พอหรือเปล่า”ชายหนุ่มอายุมากกว่าพลางมองคนตรงหน้าที่ยังคงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ด้วยแววตาขี้เล่นจากนั้นจึงเลื่อนมือขึ้นมาประคองข้างแก้มขึ้นสีก่อนจะใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือถูเบา ๆ ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากเจ้าของใบหน้าชวนมองก็ถือโอกาสใช้แขนแกร่งโอบรัดรอบเอวสอบก่อนจะรั้งร่างเล็กไม่ให้หนีไปไหน หมายจะลิ้มรสหวานจากกลีบปากบางอีกสักหน
“พะ...พอแล้วพี่ศิธา”
ปลายนิ้วเรียวที่แตะลงบนริมฝีปากซุกซนทำให้ศิธาพัฒน์ต้องหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะรั้งมือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้
“ถ้าเรียกพี่ศิธาอีกก็จะไม่พอ จะทำแบบนี้จนกว่าจะยอมเรียกพี่ปุ่น”
เต็มฟ้ามุ่นคิ้วอย่างขัดใจเมื่อได้ฟังคำพูดที่เอาแต่ใจตัวเองที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้ยินมา “ก็ลองดู ถ้าทำอีกเต็มจะกัดปากให้ขาดเลย”
คนถูกท้าทายยกยิ้มมุมปากก่อนจะโน้มหน้าลงมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน “กลัวว่าจะขาดอากาศหายใจไปก่อนน่ะสิ”
“พี่ศิธา!” เต็มฟ้าขึ้นเสียงพร้อม ๆ กับสองแก้มที่ขึ้นสี กำหมัดทุบลงที่บ่ากว้างด้วยกำลังไม่ถึงครึ่งที่มีในขณะที่คนถูกกระทำยังคงทำหน้าระรื่นแถมหัวเราะชอบใจเสียด้วยซ้ำ
“เรียกแบบนี้แสดงว่าอยากโดนจูบ” ยังพูดไม่ทันจบริมฝีปากที่มีความเร็วกว่าเสียงก็เตรียมจะฉกจูบอีกครั้ง แต่ก็ยังไวไม่พอเท่ากับชายหนุ่มที่กำลังติดบ่วงแสนหวาน เต็มฟ้าเบือนหน้าหลบแต่ก็ยังไม่สามารถรอดพ้นจากการสัมผัสของอีกฝ่ายได้อยู่ดี รู้ตัวอีกทีปลายจูมกโด่งก็กดลงบนแก้มเนียนก่อนจะสูดกลิ่นหอมไปได้ฟอดใหญ่เสียแล้ว
“ปล่อยเต็ม” ดวงตาสีดำสนิทหันมามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ไม่ปล่อย จนกว่าจะยอมเรียกกันสักที”
“ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
“ก็แล้วทำไมเรียกชื่อพี่แค่นี้ถึงเรียกไม่ได้ล่ะ ยากตรงไหน”
นั่นสิ..ยากตรงไหน แล้วทำไมถึงเรียกไม่ได้ คนถูกถามก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ยากเหรอ?”
ทำได้เพียงส่ายหน้าแทนคำตอบ “อยู่ ๆ จะให้มาเรียกชื่ออะไรแบบนี้มันไม่ดูจะแปลก ๆ ไปหน่อยเหรอ”
“อืม...ถ้าอย่างนั้น....” ศิธาพัฒน์กล่าวพลางกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น “ช่วยตอบให้พี่ชื่นใจหน่อยสิครับว่าแฟนเต็มชื่ออะไร”
โอ้โห!!! มันช่างเป็นคำถามที่แยบยลมากจนคนถูกถามต้องยกธงยอมจำนน ในที่สุดริมฝีปากบางก็เอื้อนเอ่ยเสียงหวานเป็นถ้อยคำที่ศิธาพัฒน์รอฟังอย่างตั้งใจ
“พะ..พี่ พี่ปุ่น”
“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“พี่ปุ่นไง”
เต็มฟ้ากัดปากแน่นจ้องหน้าคนที่จู่ ๆ ก็หูตึงขึ้นมากะทันหันในขณะที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็ไม่มีท่าทีว่าจะสะทกสะท้าน เขายังคงยิ้มก่อนจะถามซ้ำด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนน่าหมั่นไส้
“ใครกันพี่ปุ่น”
“แฟนเต็มก็พี่ปุ่นไงเล่า” ทันทีที่จบประโยคลมร้อนก็ถูกผ่อนออกจากปลายจมูกโด่งรั้น มือบางรีบแกะมือปลาหมึกที่โอบรัดรอบเอวพร้อมกับหาจังหวะขยับร่างหนีจนในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากบ่วงบาศก์ของพรานหนุ่มเจ้าแผนการผู้นี้ได้
หน้าง้ำงอของไอ้ตัวแสบที่กำลังจะหันหลังเดินหนีทำเอาศิธาพัฒน์อดขำไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายอยากจะแกล้งต่อรีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้
“เดี๋ยวสิ พี่ยังไม่ได้ให้รางวัลเด็กว่าง่ายเลย”
“พอแล้ว!” เต็มฟ้ารีบสะบัดมือออกก่อนจะปีนข้ามรั้วเดินดิ่งกลับไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่โดยไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะของคนที่ด้านหลัง
(มีต่อค่ะ)