ติ๊ดๆเสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั้งปลุกไว้ร้องดังขึ้น ฝืนลืมตาขึ้นมาก็เห็นภาพเมาขี้ตาเป็นนายหมาตูบกำลังถือโทรศัพท์เพ่งมองหน้าจอคิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปม
“อะไรเหรอ”
“คุณแจ้งเตือนไว้” ใหญ่เดินเอาโทรศัพท์มายื่นให้ ผมรับไว้พลางเพ่งอ่านตัวอักษรบนหน้าจอ
‘งานแต่งพี่สา’
ตายห่าล่ะ!! ผมลืมซะสนิทเลย ไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกแต่เป็นเสียงแจ้งเตือน ดีนะที่ผมตั้งเตือนเผื่อไว้ล่วงหน้าสามชั่วโมงไม่อย่างนั้นเตรียมตัวไม่ทันแน่ๆ
“คุณจะไปเหรอ” ใหญ่ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“อืม เป็นพี่ที่ทำงานน่ะ ไม่ไปก็ดูจะน่าเกลียด”
“คุณไหวนะ??” ผมลุกขึ้นนั่งพลางเอื้อมมือไปจับสองมือของใหญ่แกว่งไกวไปมาเหมือนเด็กอ้อน
“ใหญ่ไปเป็นเพื่อนฉันนะ”
“ผมว่า...”
“นะๆๆ”
“เฮ้อ ก็ได้”
ฟอด!!
“ขอบคุณนะ ^^”
“ไอ้เล็ก บางทีมึงก็ออกตัวแรงไปนะ”
“กูเห็นด้วย เคืองตรงกูหมองไปเลยนี่แหละ”
“แม่ง เกรงใจเจ้าบ่าวบ้างอะไรบ้าง”
ผมยิ้มรับเสียงบ่นกระปอดกระแปดของทั้งไอ้ปอนด์และพี่มิ่ง สาเหตุไม่ได้มาจากใครที่ไหนนายหมาตูบสุดหล่อที่ยิ่งเพิ่มดีกรีความหล่อมากยิ่งขึ้นกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวผูกไทด์สีชมพูสวมทับด้วยสูทสีเทากับกางเกงขายาวสีเดียวกัน ผมที่ยาวประบ่าถูกเซตเสยไปด้านหลังทั้งหมดอย่างเข้าทรง แบบทันทีที่ก้าวเข้ามาในงานทุกคนต้องหันมองเชียวล่ะ
ทุกคนต่างให้ความสนใจว่าหนุ่มรูปหล่อหน้านิ่งที่มากับผมเป็นใครกัน หัวหน้างานหรือผู้บริหารฯกันแน่ คันปากอยากจะป่าวประกาศเหลือเกินว่านี่แหละผู้บริหารตัวจริงเสียงจริง
CEOหนุ่มเจ้าของร้านบะหมี่กินเส้นอันเลื่องชื่อ ฮ่าๆ
ยิ่งสาวๆในงานไม่น้อยต่างชม้ายชายตาแลให้ผมต้องยืนประกบติดไม่ห่างอย่างแสดงว่ามีเจ้าของแล้ว
“พี่สายินดีด้วยนะครับ” ผมขี้เกียจอยู่ฟังสองคนเหน็บแนมจึงลากนายหมาตูบๆมาแสดงความยินดีกับบ่าวสาวที่ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้างาน
“ขอบใจจ้ะ แล้วหนุ่มหล่อที่พามาด้วยใครเอ่ย” พี่สาส่งเสียงแซว ให้ผมยิ้มเขินๆแต่ไม่ตอบอะไร
ส่วนนายหมาตูบรายนั้นยืนหน้านิ่งเป็นรูปปั้นสายตามองตรงอย่างเดียวไม่สนใจใคร ห่ะๆ ประหม่าอีกล่ะสิ
“เอาล่ะๆเข้าข้างในดีกว่าเนอะ ขอบใจอีกครั้งนะจ๊ะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
หลังจากนั้นผมก็พาใหญ่เข้ามาในงาน ภายในเป็นห้องโถงกว้างตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้สีขาวแซมสีชมพูวางอยู่มุมต่างๆทั่วงาน ด้านหน้ามีเวทีขนาดกลางผูกด้วยผ้าประดับกับชื่ออักษรของบ่าวสาว ตรงกลางโถงเต็มไปด้วยโต๊ะกลมปูทับด้วยผ้าสีขาวเข้าชุดกับเก้าอี้คลุมผ้าขาวผูกโบว์สีทองแลดูสวยงาม
แขกเริ่มทยอยเข้ามาในงานจนโต๊ะทุกโต๊ะเต็มไปด้วยผู้คนนั่งพูดคุยพบปะสังสรรค์กันอยู่ ซึ่งผมก็ตรงไปยังโต๊ะหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางๆห้องโถง บนโต๊ะมีเพื่อนร่วมงานสองสามคนในแผนกเดียวกันนั่งอยู่ โดยผมกับใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ว่างพลางทักทายเพื่อนร่วมโต๊ะ ห้านาทีถัดมาพี่มิ่ง ไอ้ปอนด์ และพิณก็ตามมาสมทบ
คราวนี้แหละน้ำลายฟุ้งกระจายโดยมีไอ้ปอนด์กับพี่มิ่งเป็นหัวขบวน เรื่องที่คุยส่วนมากก็ไม่พ้นเรื่องงาน ลูกค้า และการนินทาเจ้านาย เฮ้อ เอากับมันสิ
พูดถึงเจ้านาย วันนี้หัวหน้าที่เคารพของทุกคนคงมาไม่ไหว เห็นแจ้งทางเลขามาว่าประสบอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถมาร่วมงานได้ ซ้ำยังแจ้งลาป่วยอย่างไม่มีกำหนด
เฮ้อ พลังทำลายร้างของนายหมาตูบช่างน่ากลัวจริงๆ
ผมยังอดสยองกับวิธีจัดการของเขาไม่ได้ แววตาตอนนั้นมันน่ากลัวมาก
“เล็ก จะไม่แนะนำคนข้างตัวให้รู้จักหน่อยเหรอ” พี่กานต์ พี่สาวในแผนกสาวโสดวัยสามสิบมองไปทางคนหน้านิ่งด้วยแววตาพราวระยับ
“ใหญ่แนะนำตัวสิ” ผมใช้ไหล่สะกิดคนตัวโตข้างตัว ผมแนะนำให้ก็ได้นะแต่อยากให้เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย
ใหญ่มองผมด้วยสายตาไม่แน่ใจแต่ผมก็พยักหน้าชูสองนิ้วใต้โต๊ะให้เราเห็นกันสองคน
เขาหันหน้าไปกวาดตามองทุกคนรอบโต๊ะ ได้รอยยิ้มให้กำลังใจจากพิณมาอีกคน คราวนี้เขาเลยค่อยๆแนะนำตัวออกมาด้วยเสียงไม่เบามากและไม่ดังเกินไป
“ผม...ตี๋ใหญ่...เรียกใหญ่เฉยๆก็ได้”
“ชื่อเหมือนมาเฟียเลย”
“คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าหล่อที่สุดในงานเลยนะ”
“เสียงยังนุ่มมากๆ”
คราวนี้สาวใหญ่ทุกคนในโต๊ะรุมส่งเสียงแย่งกันพูดกับใหญ่กันให้เซ็งแซ่ เขาหน้าเหวอไปเมื่อเจอพายุเสียงแต่สุดท้ายก็พยายามคุยตอบกลับไป ซึ่งผมก็ยิ้มด้วยความพอใจ
ส่วนหนุ่มๆบนโต๊ะทำหน้าเซ็งๆที่เหมือนคืนนี้จะมีคนแย่งซีน แต่พอเหล้ากับอาหารมาเสิร์ฟความหฤหรรษ์ก็กลับเข้าร่างอีกครั้ง
“หน้าบานเลยนะ” ไอ้ปอนด์ปาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ใส่ผมที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ไอดอนท์แคร์ว่ะ
“แน่ล่ะ ว่าที่แฟนเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีนี่หว่า” พี่มิ่งจีบปากจีบคอได้หน้าหมั่นไส้มาก แต่เอาเถอะ พูดจาถูกใจ ฮ่าๆ แต่ขอแก้คำผิดหน่อยนะ
“ไม่ใช่ว่าที่แฟนซะหน่อย”
“อะไร มึงหมายความว่าไงก็วันนั้นมึงบอกเองว่า...”
“เขาเลื่อนสถานะเป็นแฟนกันแล้วค่ะ” พิณแทรกตอบแทนให้ ซึ่งผมก็ยิ้มแฉ่งประสานมือกับฝ่ามือหนายกให้ทุกคนดู
“ขี้อวดแม่ง”
“กรี๊ดดดดด จริงเหรอคะ งั้นป้าๆก็หมดสิทธิ์สิ T^T”
“น้องเล็กก็ไม่บอกให้พี่จีบซะตั้งนาน”
“ฮ่าๆ”
แล้วในบรรดาเสียงทั้งหมด ก็มีเสียงทุ้มต่ำที่ก้มลงมากระซิบข้างหู
“เป็นแฟนกันเมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกผมเลยนะ” คิ้วผมกระตุก กระซิบตอบกลับไป
“หรือนายจะบอกว่าไม่ใช่” ถ้าบอกว่าไม่นี่ผมร้องเลยนะ
“ใครจะกล้าค้านคุณล่ะ”
“น่ารักมากกก ^^”
ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะนะจะหอมแก้มให้รางวัลสักที
ฮือฮา ฮือฮา
สักพักเสียงฮืออาอึกทึกก็ดังขึ้น เหมือนทุกคนในงานจงใจพูดขึ้นพร้อมๆกัน แล้วในวินาทีต่อมาก็เงียบกริบเหมือนไม่เคยมีเสียงใดๆเกิดขึ้น ผมละจากการสนทนาตรงหน้ามองไปตามสายตาที่ทุกคนจ้องอยู่
แทบจะยกมือป้องสายตา
บุคคลที่เข้ามาในงานทำให้ผมอยากจะแบบนั้นจริงๆ ถ้าผมไม่เคยเจอเขามาก่อนคงคิดว่านางฟ้าหรือเทวดาลงมาจากสวรรค์แน่ๆ
ลูกค้าหน้าสวยคนนั้น...
ปกติที่ว่าน่ามองอยู่แล้ว ในคืนนี้ช่างดูดีกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าในชุดสูทสีขาวทั้งชุด ผมสีน้ำตาลอ่อนขับให้ใบหน้าหวานดูงดงามขึ้น ดวงตากลมโตสุกใสกับรอยยิ้มจุดมุมปากช่างอ่อนโยน
ผมละสายตามามองคนตัวโตข้างๆ
ความอิจฉาจุดขึ้นภายในใจ...
...ไม่ใช่เพราะรัศมีเปล่งประกายที่เรียกสายตาคนทั้งงานได้
...แต่เพราะเมื่อเขาปรากฏตัวมักเรียกความสนใจจากคนข้างตัวผมไปได้เสมอ...นั่นต่างหาก...
“สวัสดีครับคุณปุญมนัส” ผมไม่รู้ว่าเขารู้ชื่อผมได้ยังไง แต่ผมก็ปั้นยิ้มทักกลับไป คราวนี้สายตาคนทั้งงานจับจ้องมาทางนี้เป็นตาเดียว
“สวัสดีครับคุณ...” ผมยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย
“ ‘เฟยเฟิ่ง’ ครับ” อ้าว ไม่ใช่คนไทยเหรอ แล้วเหมือนความสงสัยจะแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อย “ผมเป็นคนฮ่องกง มีธุรกิจในไทยจึงพูดไทยได้ครับ”
เขาเอ่ยก่อนยื่นนามบัตรสีทองมาให้
“อ่อครับ...แล้ว...” ผมมองไปทางด้านหลังที่มีผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดสูทสีขาว ที่ผมเคยคิดว่าเป็นคนรักของเขายืนหน้านิ่งอยู่ คุณเฟยเฟิ่งหันไปมองก่อนแนะนำ
“จิ่นตั้ง--คนสนิทของผมครับ”
คนสนิทเหรอ??
ผมมองไปทางคนตัวใหญ่ด้านหลังอย่างสนใจ คนสนิทที่เขาว่าหมายถึงอะไรกันล่ะ คนรัก?? ลูกน้อง?? หรือเพื่อน?? ซึ่งผมก็มีมารยาทที่ค้ำคออยู่ทำให้ไม่ได้ถามออกไปทั้งที่ในใจเต้นร่ำด้วยความอยากรู้
ผมเคยเห็นคนสนิทของเขาแค่ในระยะไกล พอได้มาเห็นใกล้ๆอย่างนี้ถึงรู้ว่าเขาเหมือนใหญ่มากเหลือเกิน โดยเฉพาะดวงตาคมกริบไร้แววและใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชา
“สวัสดีครับคุณจิ่นตั้ง” ผมทักออกไป เขาแค่พยักหน้าน้อยๆกลับมา...เหมือนกันอีกแล้ว...
“จิ่นตั้งเขาเป็นคนนิ่งๆแบบนี้แหละครับ คุณเล็กเป็นยังไงบ้างเรื่องเมื่อคืน...” คุณเฟยเฟิ่งหันมายิ้มหวานให้พลางตัดเข้าเหตุการณ์เมื่อคืนที่ทำให้ผมรีบพูดแทรกขึ้น
ก็แน่ล่ะเรื่องเมื่อคืนไม่มีใครรู้นอกจากใหญ่ ผม และพิณ ไม่นับรวมพี่เจมส์กับฝ่ายจำเลยล่ะก็นะ ส่วนไอ้ปอนด์ไปออกงานกับพี่มิ่ง แล้วผมก็ขอพิณเอาไว้แล้วว่าไม่ให้บอก
เชื่อสิ ปอนด์รู้ ครอบครัวผมรู้
“ต้องขอบคุณมากนะครับถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่ ตอนนี้ผมสบายมาก พอดีมีคนดูแลดีครับ” ผมยิ้มกว้างพลางเอื้อมไปจับมือคนดูแลตัวโตที่กล่าวถึง ใหญ่ละสายตาจากใบหน้าสวยหวานหันกลับมายิ้มบางให้
ผมมองสายตาและรอยยิ้มนั้นกลับอย่างหวงแหน...มองฉันคนเดียวได้หรือเปล่า...อย่าสนใจคนอื่นเลยนะ
“งั้นผมขอตัวไปนั่งโต๊ะก่อนนะ”
“อ่อ เชิญครับ”
ผมยิ้มกว้าง คุณเฟยเฟิ่งไปพยักหน้าให้ชายร่างใหญ่ด้านหลังก่อนเดินไปยังโต๊ะด้านหน้า ในขณะที่ผ่านใบหน้าสวยก็โน้มตัวลงแล้วเอ่ยกระซิบข้างใบหูของใหญ่
“อย่าดื่มมากนักล่ะ นายแพ้เหล้ายี่ห้อนี้นะ”
“...!!!”
ผมไม่รู้ว่าประโยคที่ได้ยินมันหมายความว่าอย่างไร
ถึงมันจะแผ่วเบาแต่ก็ทำให้ร่างกายผมแข็งค้างขึ้นมาได้
รู้สึกเหมือนสมองตัวเองทำงานบกพร่อง
ทำไมกันนะ...ทำไมประโยคเมื่อกี้ถึงทำให้ผมนึกย้อนไปคืนนั้นได้...
...คืนที่ใหญ่มีสัมพันธ์สวาทกับผู้หญิงคนนั้นหลังร้าน...ทำไมกัน
แกร๊กหมับ
“คุณ...”
ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าถูกสวมกอดจากด้านหลังทันทีที่ประตูห้องปิดลง ก่อนที่ใบหน้าของเจ้าของอ้อมกอดจะเกยบนบ่าและยื่นหน้ามาหอมแก้มเบาๆ ผมหันไปสบตาที่ฉายถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
“เป็นอะไรไป คุณเงียบตั้งแต่ในงานแล้ว ดูเหม่อๆ”
ผมเงียบ ส่ายหัวอย่างเดียว จะบอกได้ยังไงว่าตัวเองฟุ้งซ่านงี่เง่าอีกแล้ว
“คุณไม่ชอบคุณเฟิ่งเหรอ”
“หืม ทำไมต้องไม่ชอบด้วยล่ะ”
“ก็ตั้งแต่เขาเข้ามาทักคุณก็เงียบไป”
ไม่ใช่ไม่ชอบ...แค่อิจฉา...
“นายสังเกตด้วยเหรอ”
“ผมสนใจคุณตลอด”
คำที่เหมือนน้ำเย็นชโลมจิตใจ ผมแกะมือที่โอบเอวออกก่อนพลิกตัวเข้าไปกอดคอเขาไว้พลางลงแรงให้ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้
“จริงๆนะ”
เขาพยักหน้า ก่อนจะนิ่งไปเหมือนคิดอะไรได้แล้วหรี่ตามองผมอย่างจับผิด
“คุณเล็ก...”
“หืม”
“ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าคุณเป็นอะไร ไม่ว่าคุณจะคิดอะไร ณ ตอนนี้คุณคือหนึ่งเดียวในใจผม” จบคำริมฝีปากร้อนก็ทาบลงมาซึ่งผมก็โอบคออีกฝ่ายแน่นให้ร่างเราแนบชิดเบียดเสียดกันมากขึ้น หลับตาลงขณะจูบตอบเจ้าของลิ้นร้อนที่เริ่มแลบเลียทั่วริมฝีปากผมแล้วสอดเข้ามาตามรอยแยกที่ผมเผยอให้อย่างเต็มใจ
“อ่ะ อืม” ผมครางออกมาเมื่อความเร่าร้อนที่ดูดดึงทำให้เริ่มหายใจลำบาก เสียงน้ำลายเฉาะแฉะของรสจูบที่เพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้ร้อนขึ้น ความรู้สึกแปลกๆเริ่มแผ่ซ่านทั่วร่างกาย
ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เจือจางในร่างกายของเราทั้งสองคนหรือเปล่าที่ทำให้ค่ำคืนนี้มันร้อนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ใหญ่ถอนริมฝีปากออกแต่ยังคลอเคลียกันไม่ห่างเนื่องจากอ้อมแขนผมที่โอบรัดไว้แน่นจนไม่สามารถผละห่างไปมากกว่านี้ได้
“คะคุณ...ปล่อยผมก่อน...” เสียงพูดปนเสียงหายใจหอบถี่ไม่ได้ทำให้ผมทำตามสั่งได้
“ก่อนอะไรเหรอ...” ผมเล่นลิ้น ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าต้องการเขา และดูจากท่าทางพยายามข่มกลั้นของอีกฝ่ายแล้ว ถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองเกินไปผมก็คิดว่า...ใหญ่ก็ต้องการผมเช่นกัน
“รู้สึกมั้ยว่าหลายวันมานี้คุณยั่วผมตลอด” เขาว่าเสียงพร่า
ผมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนไล้นิ้วไปตามโครงหน้าคมสัน “นึกว่านายไม่รู้ตัวซะอีก” โอบรัดให้ใบหน้าของเราสองแนบชิดจนริมฝีปากแตะกัน เอ่ยเสียงเบาหวิวจิกตาเจ้าเล่ห์ใส่คนที่กัดกรามจนขึ้นสันนูน “ฉันก็ยั่วนายตลอดแหละ”
“คุณเล็ก...”
“ครับ คุณตี๋ใหญ่”
“ความอดทนผมเหลือน้อยเต็มทีแล้ว”
“ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทนสิ” ผมเอ่ยอย่างท้าทายและนั่นก็เหมือนจะทำให้ความอดทนของใหญ่ที่เหลือเพียงน้อยนิดพังทลายลงเช่นกัน ริมฝีปากร้อนของอีกฝ่ายแนบโรมรันลงมาอีกครั้ง พร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้บีบเคล้นไปทั่วตัวผมอย่างขาดสติ
ตุบ
“อ่ะ อืม...”
แผ่นหลังผมสัมผัสเตียงพอดีกับเสื้อที่ถูกถอดออก ตามด้วยคนตัวโตตามลงมาทาบทับและเข้าครอบครองริมฝีปากผมอีกครั้ง เนื้อตัวที่บดเบียดผ่านเนื้อผ้าของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกขัดใจจนต้องยื่นมือไปช่วยแกะกระดุมทึ้งเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ไปเช่าร้านมาให้หลุดจากกายหนาก่อนโยนลงไปข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ
ผิวเนื้อเสียดสีกันทำให้รู้สึกร้อนขึ้นจนต้องหอบหายใจโยนทั้งที่ไม่ได้ออกแรงมากสักนิด สติพร่าเลือนกับสัมผัสร้อนที่ระไต่ไปตามผิวเนื้อจากลำคอ ลาดไล่ หน้าอก ไล่ลงไปเรื่อยๆจนช่องท้องรู้สึกวูบโหวง เหมือนมีก้อนมวลขนาดใหญ่หมุนวนอยู่ภายใน
“ใหญ่ อื้ม...เสียว” ผมหวีดร้องเสียงหลงเมื่อเขาครอบครองเข้าที่ตุ่มไตบนหน้าอก ดูดดุน ละเลงลิ้น ส่วนอีกข้างก็บดขยี้ด้วยปลายนิ้ว รู้สึกเสียววูบวาบจนต้องป่ายมือไปตามหน้าอกแกร่งก่อนบี้นิ้วลงไปที่จุกนมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายบ้าง...จะได้รู้สึกเสียวเท่าๆกัน
“อื้มมม”
ซึ่งเสียงครางต่ำก็ทำให้ผมเพิ่มแรงที่ปลายนิ้ว และใจกล้าใช้มืออีกข้างที่จิกผ้าปูที่นอนเปลี่ยนเป็นโอบรอบแผ่นหลังกว้างก่อนค่อยๆลูบไล้ไปทั่ว
“ผมขอจับนะ” สิ้นเสียงทุ้มพร่า มือหนาก็วางนาบลงบนส่วนที่เริ่มโป่งนูนผ่านเนื้อผ้า ผมเชิดหน้าอ้าปากหอบระบายความอึดอัดเสียดเสียวที่ประทุขึ้น ก่อนจะครางอือออกมาเมื่อมือร้อนเพิ่มแรงกดพลางเคล้นคลึงจนส่วนคับพองเริ่มขยับขยายเพิ่มขึ้น
“ใหญ่...เขยิบมาสิ ฮื่อ ฉันจะทำ หะให้บ้าง” ผมพยายามจะเอื้อมมือจับ แต่ก็ไม่ถึง
“มะไม่...เดี๋ยวคุณได้ช่วยผมแน่”
ว่าจบอีกฝ่ายก็ปลดกระดุมรูดซิปและรั้งกางเกงพร้อมชั้นในผมออก รู้สึกว่าความร้อนวิ่งพล่านทั่วร่างก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ใบหน้าจนเห่อร้อนไปหมด
ถึงผมจะเป็นคนช่างยั่ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อายนะที่มานอนแก้ผ้าทอดกายให้ผู้ชายมอง
“คุณแดงไปทั้งตัวเลย” เขาว่าแล้วกดจูบที่รูสะดือจนเกิดเสียงจ๊วบขึ้น “เดี๋ยวผมถอดเป็นเพื่อนนะ” เขาว่าแล้วผละตัวไปถอดเสื้อผ้าออก ผมเบนหน้าหนี ทั้งที่คิดมาตลอดว่าจับใหญ่แก้ผ้าได้วันไหนจะจ้องสำรวจให้ทั่วตัว แต่เอาเข้าจริงยางอายก็ทำให้ผมไม่กล้า
ฟุบ
แล้วนายหมาตูบก็ทิ้งร่างร้อนๆลงมาทาบทับ ซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอ บดเบียดช่วงกลางลำตัวเข้าหากัน ก่อนเสียงทุ้มแหบกระเส่าจะเอ่ยกระซิบริมหู
“คุณแน่ใจนะ??”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว เปลี่ยนใจทันเหรอ”
“สำหรับคุณผมหยุดให้เสมอ” บอกจะหยุดให้ก็อย่ามาหอบกระเส่าข้างหูสิ!
“นายรักฉันใช่มั้ย”
“คุณคือทุกอย่างในชีวิตผม”
ผมหลับตาลงพลางโอบแผ่นหลังเขาไว้แน่น
“อืม ทำต่อเถอะ”
“เจ็บนะ?”
“นายก็ทำเบาๆสิ”
“คุณมีถุงยางมั้ย??”
คำถามนี้ทำเอาลืมตาพรึบ จ้องมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าลำบากใจ “จะได้เจ็บน้อยลง ตรงนั้นของคุณรับของผมไม่ไหวแน่ถ้าเข้าสดๆ”
ฉ่า!!
บางทีก็ไม่ต้องตรงไปทุกอย่างก็ได้
“ฉะฉันจะไปมีได้ไงเล่า นายสิน่าจะมีพกตลอดก็เห็น...” อย่าให้พูดเลยมันแทงใจดำ
“ผมจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ ช่วงหลังมานี้ถึงจะพอมีเงินแต่ก็ไม่คิดว่าจะเอาไปใช้กับใครเลยไม่ได้ซื้อติดตัวไว้” ใหญ่ดูดเข้าที่ซอกคอจนผิวหนังผมติดปากเขาขึ้นมาเกิดเสียงดังจ๊วบ
“แล้วกับฉันล่ะ”
“ผมไม่กล้าคิด”
“ชิ ไม่ต้องมาปากหวาน แล้วทุกทีทำยังไง”
ผมใช้สองมือประคองแก้มของอีกฝ่ายมาจูบกันขณะที่เรียวขาทั้งสองก็ยกขึ้นรัดรอบเอวสอบ ข้อเท้าทั้งสองข้างไขว้ทับกันไว้
“ก็ถ้าใครอยากก็ต้องพกมาด้วย” เป็นวิธีที่ไม่จนจริงทำไม่ได้นะเนี่ย
“ฮะๆ งั้นฉันไม่มีก็อดน่ะสิ” ว่าแล้วก็กดจูบเข้าที่คางสากไล้ไปตามผิวแก้ม
“คุณจะเจ็บ” ใหญ่พูดเพ้อๆ
ผมสีท่อนขาเข้ากับแก้มก้นอีกฝ่ายพร้อมกับแลบเลียปลายจมูกโด่ง “กลัวที่ไหนล่ะ”
จบ
ทุกอย่างจบแล้ว
ผมยั่วอีกฝ่ายจนสติแตกยับเยินเชียวล่ะ
มาช้าดีกว่าไม่มาเน้อออออ รู้สึกตอนหลังๆจะยาวขึ้นเรื่อยๆจนต้องแอบปาดเหงื่อ สปีดตอนนี้เลยเหลือแค่อาทิตย์ละ 1 ตอน ซึ่งต้องขอโทษคนอ่านทุกคนด้วยนะคะ T^T งานราษฏร์งานหลวงมันเยอะเหลือเกิน มันรู้สึกขาดตอนจนต่อไม่ติดมั้ยอ่ะ เริ่มกังวลๆ
มากันที่เนื้อเรื่องตอนหน้าจะรู้แล้วนะคะว่านายตี๋ใหญ่ของเราเป็นใคร (นอกเหนือจากเป็นสามีของคนเล็ก) เชื่อว่าหลายๆคนคงเดากันได้
มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังพลางถามความเห็น คือเมื่อวันก่อน...อาบน้ำอยู่...ขณะอยู่ใต้สายน้ำที่ไหลมาจากฝักบัว (ลีลาซะจริงอิคนเขียนนี่)...จุดประกายความคิดอยากเขียนนิยายที่...ที่...ฝ่ายรับเป็น >> ผู้ชายธรรมดา ...กับฝ่ายรุก...ที่...ที่เป็น...เอ่อ...เป็นกะเทย ตึ่งโป๊ะ!! มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบที่ยังไม่มีพล๊อตเนื้อเรื่องในหัวเลย แค่มันแวบเข้ามาเฉยๆ เอาไปปรึกษากับน้องสาว แต่นางบอก...ไม่เวิร์ค T^T
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกเป็ด ทุกเม้น เพราะทุกคนคือกำลังใจที่สำคัญ
นอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่าาาา