ผมไม่รอช้าที่จะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายด้วยการบีบแตรเสียงดังใส่ จนเป้าหมายที่กำลังเดินอยู่ถึงกับชะงัก แล้วหันมามอง ผมขับรถเลียบไปกับระยะการก้าวเดินของผู้ชายที่กำลังส่งสีหน้าไม่พอใจ พร้อมกับเลื่อนกระจกลง
“ว่าไงครับสุดหล่อ มาเดินคนเดียวมืดๆ อันตรายนะครับ” ผมพูดขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มยั่วไปให้ “หรือตั้งใจมาล่อเหยื่อครับเนี่ย”
เตยไม่ได้ตอบรับอะไร ใบหน้าเรียบนิ่งที่ดูฉุนเฉียวทำแค่มองกลับมาเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า ในใจของน้องเขาคงด่าสวดผมจนเละไม่เป็นท่าแน่
แต่เรื่องพรรค์นั้น ผมสนใจที่ไหนกันล่ะ!
ผมมองใบหน้าที่เหมือนไม่สบอารมณ์ของเตยอย่างพอใจ พอได้แหย่คนที่อยากแกล้งก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
“ว่าไง? ให้พี่ไปส่งไหมครับ” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วส่งยิ้มไมตรีไปให้ ทั้งที่รู้ดีอีกนั่นแหละว่าน้องเขาจะต้องปฏิเสธกลับมา แต่ทว่า...
“เตย!!!”
เสียงที่ดังแทรกขึ้น ทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมอง แล้วหันกลับมาทิศทางเดิม เมื่อได้ยินคำสบถจากสุดหล่อที่ผมกำลังหยอกเล่นอยู่ แล้วผมก็ต้องนึกแปลกใจขึ้นมา เมื่อเห็นเตยเดินตรงมาที่รถของผม หลังจากนั้นก็เปิดประตูฝั่งด้านข้างของคนขับ แล้วเข้ามานั่ง ก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมหน้าตาเฉย
อะไรวะ?
ผมขมวดคิ้วขึ้น เมื่อเห็นผู้ชายสองคนท่าทางตุ้งติ้งเดินเข้ามายื่นหน้าที่กระจกด้านข้าง แล้วร้องเรียกน้องเขาไม่หยุด เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้ผมมองแขกที่เพิ่งขึ้นรถมาตาปริบๆ
“มองอะไรของมึง ออกรถสิวะ!” เตยหันมาสั่งผมเสียงเข้ม ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า โดยไม่สนใจท่าทีของผู้ชายสองคนที่กำลังร้องเรียกอยู่
ผมกะพริบตาอีกสองสามที เพื่อปรับความคิดที่สับสนของตัวเอง และเมื่อสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังมองมาอย่างไม่พอใจ ผมก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะออกรถ
“หนีมาหรือไง” ผมถามขึ้น แล้วมองไปยังกระจกหลังที่กำลังฉายภาพผู้ชายสองคนที่เหมือนทำท่าไม่พอใจสักอย่างอยู่กลางถนนที่เงียบสงัดในมหาวิทยาลัย
ผมหันไปมองเตยอีกครั้ง เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ผมเลยเปลี่ยนใจทิ้งความสงสัยเดิม ก่อนจะเริ่มต้นส่งคำถามข้อใหม่ไปให้แทน
“ทำไมเดินกลับ แล้วรถไปไหนล่ะ” ผมถามต่อ แล้วมองไปยังถนนเบื้องหน้า “ครั้งก่อนก็ไม่เห็นทีนึงแล้ว”
“เสือก” เตยตอบกลับ ก่อนจะหันไปมองทางข้างหน้าต่าง
ผมหัวเราะรับคำตอบเบาๆ เอาล่ะ! ผมเองก็ไม่ได้หวังอะไรกับสิ่งที่ได้รับกลับมา ถ้าเจ้าตัวเขาไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เพราะมันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ผมจะต้องรู้
“แล้วเตยกินข้าวยัง พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวมาก” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วเลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งข้างกันเล็กน้อย “อยากกินอะไรหรือเปล่า”
ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ในเมื่อโอกาสมาถึง ผมก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อนล่ะครับ ผมตั้งใจแล้วว่า มื้อเย็นของวันนี้จะต้องมีสุดหล่อร่วมโต๊ะด้วย!
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้รับคำตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น และเมื่อผมกดรับสาย เสียงโวยวายของอีกฝ่ายก็ดังลอดผ่านคลื่นโทรศัพท์
[พี่แทม! ทิ้งโออีกแล้ว!]
“ก็พี่บอกแล้วว่ารอแค่สิบห้านาที”
[แล้วทำไมไม่เรียกโอล่ะฮะ]
“พี่เห็นโอกำลังตั้งใจทำงานเลยไม่อยากกวน”
ผมนั่งฟังเสียงกระเง้ากระงอดที่ดังขึ้นอย่างไม่ค่อยสนใจนัก ก่อนสายตาจะหันไปเห็นเตยที่กำลังมองมา และเมื่อเราสบตากัน น้องเขาก็เลื่อนสายตาไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจอะไร
“งั้นพี่ซื้อของขอโทษนะครับ แค่นี้ก่อน” ผมตอบเสียงนุ่ม ก่อนจะตัดสายทิ้ง โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะต้องการพูดคุยต่อหรือไม่ แต่ผมก็แน่ใจว่าโอคงไม่ติดต่อมาเซ้าซี้ผมอีกแน่ จนกว่าผมจะโทรศัพท์กลับไปหาอีกครั้ง
คู่ขาของผมต่างรู้ดีว่า เมื่อไรที่ผมตัดสายทิ้ง นั่นหมายความว่า ผมหมดเรื่องที่จะพูดแล้ว และห้ามโทรศัพท์กลับมาตอแยหรือยื้อให้ผมคุยต่ออีก เพราะเมื่อไรที่ผมอยากจะคุย ผมจะเป็นคนติดต่อกลับไปเอง
“เตย ว่าไง?” ผมถามย้ำอีกครั้ง เมื่อยังเห็นว่าคนที่อยากคุยด้วยดันไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ ก่อนจะแกล้งถามต่อ “ถ้าไม่ตอบ แสดงว่าไม่ปฏิเสธนะ”
เตยหันมามองผมเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมา ผมมองท่าทีนั้นอย่างสงสัย ถึงแม้เตยจะมีใบหน้าที่เหมือนจะไร้อารมณ์เป็นโลโก้ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันต่างไปจากทุถที รวมไปถึงปฏิกิริยาตอบรับที่มีน้อยผิดปกติเวลาที่พูดคุยกับผม
ถึงจะพูดน้อยอย่างไร แต่แววตาที่สื่อถึงอารมณ์ที่มีอยู่ในใจก็มักจะแสดงออกมาอย่างชักเจน ทว่าตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
“เตย...” ผมเรียกชื่อของน้องเขาอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วมอง
เตยนิ่งเงียบไปพักใหญ่ หลังจากถอนหายใจออกมา ก่อนที่ผมจะต้องนึกแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อเห็นคนที่นั่งข้างกันอยู่ตอนนี้พยักหน้ารับ
เฮ้ย! น้องมันเป็นอะไรวะ?!
++++++++++
หลังจากที่ผมเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้า แล้วเดินหาร้านอาหารที่ต้องการ ผมก็อดที่จะลอบมองคนที่เดินมาด้วยกันแต่โดยดีอย่างไม่เข้าใจ
ไม่สบายหรือเปล่าวะ?
ผมคิดกับตัวเองด้วยความสงสัย ถึงแม้ภาพลักษณ์โดยรวมจะยังเป็นเตยคนเดิมที่ผมรู้จัก ทว่ารัศมีแหง่ความยโสโอหังที่น่าสนใจกลับจางหายไป พร้อมกับท่าทีเซื่องซึมเหมือนเสือป่วยที่ผมรับรู้ได้ตอนนี้
ผมเดินเข้าไปนั่งในร้านสเต๊ก ก่อนจะมองดูเมนูที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเจอรายการอาหารที่ต้องการ ผมก็เลื่อนสายตาไปมองเตยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“อยากกินอะไรสั่งตามสบายเลยนะ มื้อนี้พี่เลี้ยง” ผมบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วสังเกตสีหน้าของคู่สนทนา
เตยสบตากับผมเล็กน้อย แล้วก้มลงมองรายการอาหารที่อยู่ในมือโดยไม่ได้ตอบรับอะไร ความเงียบแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรนัก
ผมขมวดคิ้วขึ้น ทั้งที่คิดหาวิธีแกล้งอีกฝ่ายไว้สารพัด แต่เวลานี้ผมกลับหมดอารมณ์ที่จะทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ท่าทางของเตยคอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกเซ็งขึ้นมา
ผมไม่ชอบเตยตอนนี้เลย...
ในที่สุดเตยก็ไม่ได้สั่งอะไร ผมเองที่คะเนพื้นอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ถูกก็ไม่กล้าเซ้าซี้เหมือนทุกที และเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ผมก็จัดการสเต๊กตรงหน้าทันที ก่อนจะรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมา
“หืม?” ผมร้องถาม เมื่อเห็นสีหน้าข้องใจของเตยที่ส่งมาให้
“อะไรของมึงวะ” เตยพูดขึ้น ก่อนจะมองไปยังจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง “กูบอกแล้วไงว่าไม่กิน”
“ก็ไม่ได้บอกให้กิน พี่แค่สั่งไว้เฉยๆ” ผมตอบ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “นั่งกินคนเดียวแล้วรู้สึกแปลกๆ น่ะ”
“แล้วตอนนี้มึงไม่ได้กินอยู่คนเดียวหรือไง” เตยถามกลับ แล้วขมวดคิ้วใส่
“อย่างน้อยก็ดูเหมือนมีคนกำลังกินด้วยกันไง” ผมตอบ แล้วยิ้มบางออกมา “แต่เตยจะกินก็ได้นะ พี่ไม่ว่าหรอก”
“ประสาทว่ะ” เตยบ่นออกมา แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมลอบมองท่าทีของอีกฝ่ายประกอบการกินไปด้วย เมื่อครู่นี้ดูเหมือนผมจะดึงเตยคนเดิมกลับมาได้แป๊บเดียว ตอนนี้น้องเขากลับไปนิ่งซึมเหมือนคนท้องผูกอีกแล้ว
“ช่วงนี้เรียนหนักหรือไง” ผมเกริ่นถาม ส่วนใหญ่สิ่งที่เด็กปีหนึ่งมีปัญหา ก็คงเป็นการปรับตัวกับชีวิตและการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้
“เปล่า...” เตยตอบเสียงเบา แล้วมองไปทางอื่น
“ถ้างั้น...แล้วเป็นอะไรล่ะ” ผมถามขึ้นอย่างจริงจัง แล้วมองคนที่อยู่ตรงหน้านิ่ง
“มึงจะยุ่งอะไรนักหนาวะ” เตยบ่นออกมา ก่อนจะส่งสีหน้าไม่พอใจใส่
ผมถอนหายใจอีกครั้ง ทั้งที่ตั้งใจถามด้วยความเป็นห่วง แต่ดูเหมือนไม่ว่าผมจะทำอะไร ก็พาลทำให้น้องเขาอารมณ์เสียไปหมด ตอนนี้ผมชักอยากจะรู้แล้วว่า เตยจะเส้นอารมณ์ขาดง่าย เฉพาะอยู่กับผมหรือเปล่า
“ที่ถาม...ก็แค่เป็นห่วง” ผมพูดออกมาเสียงเรียบ ก่อนจะหมดความสนใจจากคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
หลังจากนั้นราวสิบนาที ผมก็เดินออกจากร้านแล้วกลับไปยังลานจอดรถอีกครั้ง โดยมีเตยที่ยังไม่พูดอะไรกับผมสักคำเดินตามมา ทันทีที่พวกเรากลับมาขึ้นรถอีกครั้ง ผมก็หันไปมองอีกฝ่ายที่ทำตัวเหมือนอากาศ
“จะให้ไปส่งที่ไหน”
เตยหันมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะบอกชื่อสถานที่แห่งหนึ่งออกมา แล้วผมก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น เมื่อมันเป็นชื่อของหอพักที่ผมรู้จักดี
"คิดว่าอยากกลับห้องตัวเองเสียอีก" ผมเปรยขึ้นกับตัวเอง เพราะรู้ว่าคุณชายอย่างเตยคงไม่มาอยู่หอพักที่มีนักศึกษาเดินไปมาตลอดทั้งคืนแบบนั้น
ผมปล่อยให้ดีเจสาวสร้างบรรยากาศด้วยการเปิดเพลงทำนองฟังสบายโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกับคนที่วันนี้ไม่น่าแกล้งเอาเสียเลย และเมื่อผมจอดรถที่หน้าหอพัก เตยก็ไม่รีรอที่จะลงจากรถโดยไม่เอ่ยคำใด
ผมถอนหายใจ แล้วดับเครื่องยนต์ ก่อนจะลงจากรถยนต์ของตัวเอง ท่าทีของผม ทำให้น้องเขาหันกลับมามอง
“มีอะไร” ผมถามกลับ ก่อนจะเดินมายืนอยู่ข้างเตยที่เดินออกมาก่อน
“มึงลงมาทำไม” เตยถามกลับเสียงเรียบ พร้อมกับมองมาด้วยสายตาที่เคลือบแคลง
“มาหาเพื่อน” ผมตอบ ก่อนะเดินนำไปก่อน
เราสองคนหยุดรอลิฟต์ได้เพียงครู่เดียว ก่อนที่ผมกับเตยจะเดินเข้าไปในลิฟต์ ผมมองหมายเลขชั้นที่เตยกดอย่างแปลกใจ ก่อนจะสบตากับเตยที่หันมามองผม เมื่อเห็นผมยังไม่ได้กดปุ่มเพื่อระบุชั้นที่ต้องการ
“เพื่อนพี่ก็อยู่ขั้นนั้นเหมือนกัน” ผมบอก แล้วเมินสายตาของเตยที่กำลังมองมาอย่างจับผิด
วันนี้ผมไม่มีอารมณ์เล่นสนุกแล้วครับ และผมก็ตั้งใจมาเยี่ยมเพื่อนที่พักอยู่หอนี้ด้วย ไม่ได้มีเจตนากวนประสาทหรือต้องการตามตื้อเตยเลยสักนิด แต่บังเอิญว่าเพื่อนของผม มันก็อยู่ขั้นเดียวกับที่เตยกดพอดี
เสียงของลิฟต์ดังขึ้น ก่อนที่มันจะเปิดออก ผมแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัวเองด้วยการเดินออกไปก่อน แล้วมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่จำได้ ก่อนจะยืนอยู่หน้าห้องที่ต้องการ ผมหันไปเลิกคิ้วมองเตยที่เดินตามผมมา ก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องก่อนหน้าผม
ผมหันไปเคาะประตูเรียกเจ้าของห้อง โดยไม่ได้สนใจสายตาที่กำลังมองมาไม่วางตา และเมื่อประตูข้างหน้าเปิดออก เสียงทักทายของเจ้าบ้านก็ดังขึ้น
“มาได้ไงวะไอ้แทม!”
“แค่ผ่านมาส่งคนน่ะ” ผมตอบ แล้วหันไปยักคิ้วส่งให้เตยที่กำลังมองผมอยู่ เห็นไหมล่ะ! ผมมาหาเพื่อนจริงๆ
เตยไม่ได้พูดอะไร แล้วหันไปมองไอ้เก่งที่ส่งยิ้มทักทายตามประสาคนอารมณ์ดี และแน่นอนว่ามันได้รับสีหน้าไม่รับแขกกลับมา ก่อนที่เตยจะเปิดประตูเข้าไปในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอให้หน้าแม่งเป็นตะคริว” ไอ้เก่งบ่น แล้วหันมามองผมที่กำลังหัวเราะเบาๆ “เข้ามาข้างในก่อน”
ผมเดินเข้ามานั่งที่โซฟา แล้วมองไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายหนังเรื่องหนึ่งอยู่
“แล้วมึงมาส่งใครวะ” ไอ้เก่งถามขึ้น “หรือว่ามึงมาส่งไอ้น้องหน้านิ่งเมื่อกี้? ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไรวะ?!”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่กูเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนของน้องเขาพักอยู่ข้างห้องมึง” ผมพูดขึ้น เมื่อเพิ่งจะนึกเรื่องของเพชรที่พักอยู่ข้างห้องของไอ้เก่งได้ “น้องเขาแชร์หัองกันหรือวะ”
“ก็คงงั้น กูก็เพิ่งเห็นมาอยู่สองสามวันได้แล้วมั้ง” ไอ้เก่งบอก ก่อนจะนั่งลงข้างผม “เห็นขนของมาเมื่อหลายวันก่อน ทำไมวะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมบอก แล้วตั้งใจดูหนังที่ฉายอยู่ตรงหน้าเป็นการตัดบท ทั้งที่ในใจกำลังคิดถึงคนที่อยู่ห้องข้างกันตอนนี้
TBC ++++++++++
Marionetta ::: สวัสดีค่ะ ^^ เอาตอนใหม่มาลงแล้วค่ะ
ผลพวงมาจากน้องเตยที่ยังเครียดอยู่ มีผลให้พี่แทมของเราแหย่ไม่ขึ้นค่ะ 555
งานนี้ก็คงเปลี่ยนจากแกล้งมาปลอบใจแทนแล้วล่ะมั้ง อิอิ
ช่วงนี้เนื้อเรื่องก็ยังดูเอื่อยๆ อยู่ แต่ก็ใกล้ถึงจุดหลักของเนื้อรเื่องจริงๆ แล้วล่ะค่ะ (เข็นมาได้ยังไงเนี่ย)
ยังไงก็เอาใจช่วยกันต่อไปด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มากเลยค่ะ สามารถแนะนำติชมมาได้เต็มที่
ขอบคุณที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้ค่ะ
