เด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ กับพี่ชายปากบอน บ้านข้างๆ โดย ภัคD
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ กับพี่ชายปากบอน บ้านข้างๆ โดย ภัคD  (อ่าน 217347 ครั้ง)

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
 :m23:ก่อนอื่นต้องขอโทษคุณทิพก่อนนะ ที่เราแอบไปอ่านเรื่องนี้มาแล้ว
ตอนนี้เรารู้สึกเจ็บในใจยังไม่หาย  :o12:คุณภัคดี นี่เขียนนิยายได้เก่งจริงๆ o13
เรื่องที่แล้วว่าจี๊ดแล้ว เรื่องนี้จี๊ดกว่า10เท่าเลย อยากร้องให้ตามแต่ร้องไม่ออก
บอกไดเพียงว่าดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่เราก็ไม่สามารถที่จะอ่านอีกรอบได้อีกอ่ะ :sad2:
ไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก...ไปเศร้าต่อดีก่า :o12:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
บอกรักไปแล้ว

ยังเมินเฉยหรือยังไงกันแน่

สงสารฉาย

ultramanzaku

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เรื่องของเด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ กับพี่ชายปากบอน บ้านข้างๆ # บทที่ 16

ความรัก กับเรื่องเศร้าของผม ไม่ใช่เขา


“ตะวัน!”ผมตะโกนเรียกพี่ตะวันจากริมรั้วหน้าบ้านตัวเอง มือนึงบิดแฮนด์เวสป้าเร่งเครื่องให้ดังหึ่มๆ ในขณะที่อีกมือบีบแตรเสียงแหลมๆ ดังแข่งไปกับเสียงเร่งเครื่องและเสียงตะโกนเรียกชื่อพี่ตะวัน

“ฉาย ! หนวกหู! เรียกเฉยๆ ไม่ต้องบีบแตร ไม่ต้องบึ่นเครื่อง ไม่ได้หรือไง?”แม่ชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง เพื่อตะโกนถาม ก็พอดีกับที่พี่ตะวันวิ่งออกมาจากบ้าน โดยมีพี่ขุนเดินตามมาอย่างเนื่อยๆ

“เร็วๆ”ผมเร่ง เมื่อพี่ตะวันเปลี่ยนเป็นเดินเอื่อยๆ แถมก้มลงเด็ดหญ้าแปลกปลอมต้นสองต้น ที่ขึ้นอยู่ใต้ต้นดอกทานตะวันข้างหน้าต่าง

สงกรานต์ปีนี้ ก็เหมือนกันกับทุกปีที่ดำเนินมาร่วมสิบปี ที่ผมกับพี่ตะวันไม่ได้เล่นสาดน้ำเหมือนคนอื่นๆ หากแต่พี่ตะวันจะซ้อนเวสป้าผม ออกไปให้คนอื่นสาดน้ำเล่น

...ขี่รถอ่อยสาว...พี่ขุนเรียกกิจกรรมขี่รถเล่นน้ำของผมกับพี่ตะวันอย่างนั้น

“สีจะแห้งทันแน่นะตะวัน เดี๋ยวกางเกงเปื้อน...ขี่ๆไปสีหลุด อายเค้าแย่”ผมถามในเมื่อคืนที่ผ่านมา ที่พี่ตะวันมานั่งวาดดอกทานตะวัน สีเหลืองสดใส บนรถเวสป้าคันเก่าของพ่อที่ปีนี้ผมเอาไปทำสีใหม่เป็นสีฟ้าสด ซึ่งตัดกับสีเหลืองสดใส ของดอกทานตะวันที่พี่ตะวันบรรจงวาดทั่วทั้งคันรถ

“ก็ใส่กางเกงสีเหลืองหรือสีฟ้าสิ!”พี่ตะวันแนะ ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกปี ทั้งผมกับพี่ตะวันจะใส่แต่กางเกงเลเนื้อบางสีขาว ที่เวลาโดนน้ำแล้วใสแจ๋ว เป็นที่มาของคำว่า...ขี่รถอ่อยสาว...ของพี่ขุน

“เห็นแล้วน้ำลายมันไหล!”แรกๆพี่ขุนเคยพูดไปมองขาพี่ตะวันผ่านกางเกงเลเนื้อบางที่ยังไม่ทันผ่านน้ำไป

“ใช่ม๊า?”พี่ตะวันถาม ยิ้มร่าอย่างภูมิใจ

“ใช่!...เห็นแล้วหิวเลย...เหี่ยวๆแห้งๆเหมือนขาไก่!...น้าโอ๋เย็นนี้ทอดขาไก่กินกันดีกว่า!”พี่ขุนตอบ ก่อนหันไปบอกกับแม่ ตาก็ยังแกล้งชำเลืองมองขาพี่ตะวัน ที่ตอนนี้หุบยิ้มแทบไม่ทัน

แต่ถึงพี่ขุนจะว่ายังไง ผมกับพี่ตะวันก็นุ่งกางเกงขาวใส... ขี่รถอ่อยสาว...กันทุกวันสงกรานต์

ปีนี้ผมใส่เสื้อลายดอกสีชมพูแจ่ม ส่วนพี่ตะวันใส่สีส้ม ทับเสื้อยืดสีขาวข้างใน ห้อยหมวกกันน๊อคแบบครึ่งหัว สีเดียวกันกับเสื้อที่หลังคอ

“ตะวัน หมวกกันน๊อค เขาไว้ใส่บนกบาลนะ ไม่ใช่หลังกบาล ใส่เดี๋ยวนี้!”แม่ชี้มือ มองออกมาจากหน้าต่างห้องนั่งเล่น แต่พี่ตะวันทำหูทวนลม

“ตะวัน!”แม่ทำเสียงเข้ม แต่เมื่อพี่ตะวันยังทำหูทวนลม แม่เลยผละจากหน้าต่าง...ไม่ต้องบอกก็เดาออก ว่าอีกเดี๋ยวแม่ต้องมาโผล่ที่ประตู...แล้วครึ่งนาทีต่อมาก็ต้องมายืนอยู่ตรงนี้

“ไปเหอะฉาย!”พี่ตะวันคงคิดเหมือนกัน เลยเร่งผม พร้อมทำท่าจะกระโดดขึ้นซ้อนท้ายเวสป้า แต่พี่ขุนคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน

“ไปงี้ พี่ก็หูแฉะน่ะซิ!”พี่ขุนว่า

จริงอย่างที่คิด ไม่ถึงนาที แม่ก็มายืนอยู่ตรงหน้า และพี่ตะวันก็ต้องเอาหมวกกันน๊อคขึ้นไปไว้บนกบาลอย่างที่แม่ว่า

“เขาสาดน้ำ แล้วรถล้มขึ้นมาจะทำยังไง!”แม่บ่นไปพลาง มองดูพี่ตะวันเอาหมวกขึ้นมาใส่ไว้บนกบาลไปพลาง...ส่วนผมน่ะ ใส่ไว้อยู่แล้ว เพราะประสบการณ์หลายๆปีที่ผ่านมามันบอกว่า ยิ่งoption เราเยอะเท่าไหร่ เราก็ยิ่งล่อเป้าได้มากเท่านั้น...ยิ่งหมวกกันน็อคสีสดๆ มันทำให้เราดูหล่อขึ้นเป็นกอง ในวันสาดน้ำแบบนี้...

“อย่าให้รู้นะว่าถอด ไม่งั๊นวันหลังจะจับใส่ แล้วล็อคกุญแจไว้!”แม่ขู่ ทำอย่างกับว่าพี่ตะวันอายุไม่กี่ขวบ ทั้งที่จริงๆปีนี้พี่ตะวันอายุปาเข้าไปตั้งยี่สิบแปดแล้ว...แต่ว่าก็ว่าเหอะ ผมว่าผมดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่ตะวันเป็นไหนๆ...ไม่ใช่ว่าผมหลงตัวเองอย่างที่พี่กบเคยใช้หางตามองผม หากแต่ว่าเดี๋ยวๆใครๆก็ทักว่าผมน่ะเป็นพี่ ส่วนพี่ตะวันเป็นน้องไปซะงั๊น

“ไปนะน้าโอ๋...ไปนะพี่ขุน”พี่ตะวันบอก ก่อนขึ้นมานั่งซ้อนอยู่ข้างหลังผม

“เดี๋ยว!...นั่นตะวันใส่เสื้ออะไร?”แม่ทัก มือยึดไหล่ผมไว้แน่นเป็นสัญญาณไม่ให้ผมออกรถ ส่วนอีกมือก็ดึงเสื้อตัวนอกพี่ตะวันออกดูเสื้อตัวใน

“ใส่ตัวนี้อีกแล้ว...ช่วงนี้ยิ่งจะเลือกตั้งอยู่!”แม่โวย ผมเลยเอี้ยวตัวกลับไปดูว่าพี่ตะวันใส่เสื้ออะไร เพราะเห็นอยู่ว่าเสื้อยืดสีขาวของพี่ตะวันน่ะ มีตัวหนังสือเขียนอยู่ด้านหน้า แต่ไม่ทันอ่านว่าเขียนว่าอะไร

“เฮ้ย! ตะวัน เดี๋ยวก็โดนจับ!”ผมโวยและหัวเราะ เมื่อได้หันไปอ่านเต็มตา

...ถ้าไม่ให้ผมขายเสียง ผมก็จะไปขายตัว...เสื้อพี่ตะวันเขียนไว้อย่างนั้น

“จับทำไม อยากขายเสียงผิดตรงไหน?”พี่ตะวันเถียง ก่อนลงจากรถ เปิดเสื้อด้านหลังให้ผมดู

ด้านหลังเสื้อของพี่ตะวัน...เป็นรูปวาดล้อเลียนแบบการ์ตูน...ซึ่งก็น่าจะเป็นรูปพี่ตะวัน...หัวฟูๆ ทำท่ายืนแหกปากแหกคอ ตะเบ็งเสียง ร้องเพลง...

พี่ตะวันทำท่าภูมิอกภูมิใจ เมื่อผมนั่งหัวเราะจนเจ็บท้อง ส่วนพี่ขุนก็แค่ยิ้มอย่างหน่ายๆ

“ไปเปลี่ยนเสื้อ! ใส่ตัวนี้น้าไม่ให้ไป!”แม่พูด และยืนยันคำพูดด้วยการจิกเล็บลงบนไหล่ผม

“เจ็บ!...จะหยิกก็หยิกตะวันสิ มาหยิกทำไมฉาย...”ผมพูด พยายามเอามือเขี่ยมือแม่ออกจากไหล่ แต่ไม่ได้ผล

“เสียเวลาเดี๋ยวรถติด...”พี่ตะวันบ่ายเบี่ยงก่อนปีนกลับมานั่งซ้อนท้ายผม มือก็สะกิดเอวส่งสัญญาณให้ผมออกรถ

“ไม่ต้องมาสะกิดเลยตะวัน!...แม่จิกไหล่ฉายซะเนื้อแทบหลุดอย่างนี้ไปได้ที่ไหนเล่า!”ผมหันไปบอกพี่ตะวัน มือก็ยังพยายามแกะเล็บแม่ออกจากไหล่

“ไม่เปลี่ยนก็ถอด!”แม่ยื่นคำขาด

“ไม่เอา!...โดนน้ำ เดี๋ยวเห็นหัวนม ตะวันอาย!”พี่ตะวันว่า...เท่านั้นทั้งผมทั้งพี่ขุนก็หัวเราะพรืด ส่วนแม่ปล่อยมือจากไหล่ผม ไปตบปากพี่ตะวัน

“ตะวันพูดอะไร น่าเกลียด”แม่ว่า นอกจากจะตบปากพี่ตะวันแล้วยังหยิกไว้ไม่ปล่อย

“แม่ปล่อยแล้ว ให้ฉายไปเลยไหม?”ผมขยับไหล่ที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ พลางแกล้งหันไปถามพี่ตะวัน ที่ตอบกลับมาอู้อี้เพราะโดนแม่หยิกปากไว้

สุดท้าย พี่ตะวันก็ต้องยอมถอด

“เอาหมวกกลับไปไว้บนกบาลด้วย...”แม่สำทับ เพราะพี่ตะวันถอดเสื้อและหมวกกันน็อคออกเพื่อถอดเสื้อยือตัวใน แต่เมื่อใส่กลับเข้าไปใหม่ พี่ตะวันแกล้งลืมหมวกกันน็อคไว้หลังคอ

พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ออกรถ ก็พอดีพี่กบที่กลับมาบ้านช่วงสงกรานต์โผล่มาพอดี

“ไปนะพี่กบ...”พี่ตะวันโบกมือให้พี่กบ ในจังหวะที่ผมชะลอเตรียมเบรก แต่เมื่อได้ยินพี่ตะวันว่างั๊น ผมก็บิดคันเร่ง ขี่ผ่านพี่กบไปซะงั๊น พี่กบเลยยกมือค้าง...

“ไหนว่าคิดถึง อยากให้พี่กบกลับมาไง?”ผมทวงคำพี่ตะวัน

“ก็ใช่!”พี่ตะวันรับคำ

“อ้าว...แล้วทำไมทักแต่...ไปนะ พี่กบ...คนคิดถึงกัน เขาทำกันเงี้ยนะ?”ผมถาม

“ก็คิดถึงไง...อยากให้กลับไง?...กลับมาแล้วก็หายอยากไง?”พี่ตะวันอธิบาย ได้เข้าข้างตัวเองและเข้าใจเองคนเดียวอีกตามเคย

“พูดอะไร ไม่รู้เรื่อง!”ผมหันไปบอก

“อ้าว!...อยากกินก็แปลว่ายังไม่ได้กิน...อยากให้อยาก ก็ต้องอย่าให้กินไง!”พี่ตะวันอธิบาย

“แปลว่าอยากให้คิดถึง ก็ต้องอย่ากลับมา?”

“แม่น!”พี่ตะวันรับคำ

“แปลว่า ตอนนี้ก็เลิกคิดถึงฉายแล้วซิ?”

“แม่น!”พี่ตะวันรับอีก ไม่ต้องเห็นหน้า ผมก็รู้ว่าพี่ตะวันคงยิ้มหน้าบาน

“แล้วอยากคิดถึงฉายหรือเปล่า?”ผมถาม

“ฉายจะไปไหน?”พี่ตะวันไม่ตอบ แต่กลับถาม หน้าก็คงหุบแล้ว

“อีกไม่กี่วันฉายก็ต้องไปไชยปราการแล้ว...”

“ไปทำไม?”

“อ้าว!...ก็ฉายได้ไปประจำที่ไชยปราการไง”ผมบอก

“ก็ไหน ฉายว่าได้ประจำที่เชียงใหม่”

“แล้วไชยปราการมันไม่ใช่เชียงใหม่หรือไงตะวัน?”

“แต่มันไกล!”

“ก็ไกล แต่มันก็เชียงใหม่...”

“แต่มันไกล!”

“ก็ใช่ แต่มันก็เชียงใหม่...”

“ไกลโคตร!”


“ไกลโคตร ก็เชียงใหม่...”

“ไกลโคตรๆเลย!”

“ไกลโคตรๆ ก็เชียงใหม่...”

“ไก...”

“ตะวัน!...จะไกลอีกกี่โคตรมันก็เชียงใหม่...พูดยังไง มันก็ไม่ใกล้ขึ้นมาได้หรอก!”ผมต้องขัด

“ก็กลัวตะวันไม่คิดถึงไง...กลัวตะวันลืม ฉายเลยไปอยู่ไกลๆ”ผมพูดและหัวเราะเมื่อคราวนี้พี่ตะวันเงียบไม่ยอมตอบ ผมรู้ว่าตอนนี้หน้าพี่ตะวันคงไม่ใช่แค่หุบแต่คงคว่ำไปเลย

“น่า...ยังไงฉายก็กลับบ้านได้ทุกอาทิตย์...”

มันเป็นวันที่ผ่านวันไม่ปกติมาแค่สองสามวัน ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างก็ดูกลับเป็นปกติดี ทั้งพี่ตะวัน แม่ รวมทั้งผม...ถึงมันจะพูดยากก็เถอะว่า ปกติ หรือ แค่ทำให้เหมือนปกติ...

“ทำใจซะ!”วันก่อนแม่บอกผมงั๊น

“เดี๋ยวก็ลืม!”แม่สำทับ

“ลืมได้ไง...ฉายรักของฉายมาตั้งหลายปี”ผมบอก

“งั๊นก็ไม่ต้องลืม!”แม่ว่างั๊น

“ไหงมันง่ายงั๊นล่ะแม่?”ผมถาม เพราะแม่เล่นพูดซะง่าย

“อ้าวก็รักมาตั้งหลายปี ก็รักต่อไปอีกหลายๆปีซิ...ไม่เห็นต่างกัน”แม่ว่า พลางลุกไปเปิดตู้เย็น เทน้ำจากเหยือกใส่แก้ว...ไม่รู้ว่าคอแห้งหรือแค่อยากตัดบท

...เออ ก็จริง!...แต่ผมก็รับในใจ มองดูน้ำที่ไหลจากปากเหยือกลงแก้วในมือแม่แล้ว ผมนึกอยากจะเปรียบเปรยว่าใจผมในตอนนี้มันโล่ง หายใจคล่องเหมือนสายน้ำที่เทจากเหยือกลงมาในแก้วไม่มีผิด แต่ก็นึกเลิกเปรียบเมื่อแม่ก้มลงไปมองอะไรสักอย่าง น้ำมันเลยกระฉอกออกจากปากแก้วซะงั๊น

“เทเผื่อฉายด้วย”ผมบอก

“ไปเอาผ้ามาเช็ดพื้น!”แม่หันมาสั่ง แลกกับน้ำหนึ่งแก้ว

ผมว่าความรักมันก็เหมือนกับน้ำหนึ่งแก้วในมือแม่...มีหรือที่มันจะได้มาง่ายดาย ไม่ต้องเอาอะไรเข้าแลก...ความรักอาจต้องใช้ความพยายามเข้าแลก เหมือนน้ำแก้วนี้ที่ผมต้องแลกด้วยผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำ...แต่พอกลับออกมาจากครัวพร้อมผ้าขี้ริ้ว ผมก็มองซ้ายมองขวาหาน้ำที่บอกให้แม่เทเผื่อไม่เจอ

“เออ...แม่ลืม!”แม่บอกอย่างเพิ่งนึกได้ และผมก็นึกได้เหมือนกันว่า...บางครั้งสำหรับความรัก ความพยายามมันก็อาจจะสูญเปล่า เหมือนผ้าขี้ริ้วในมือผม...

ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาปกติ แม่เลิกพูดเรื่องนี้อีก...ผมก็เลิกพูด...ส่วนพี่ตะวันไม่ต้องเลิก...เพราะพี่ตะวันไม่เคยพูดถึงมันเลย...

ตอนเย็นพี่ตะวันมากินข้าวเย็นพร้อมพี่ขุน พี่ตะวันก็เฉยๆ...ผมไม่รู้ว่าพี่ตะวันได้บอกอะไรพี่ขุนบ้างหรือเปล่า หรือคุยอะไรกันบ้างไหม แต่ก็ไม่เห็นพี่ขุนมีทีท่าว่าจะรู้อะไรเลย...พักหลังๆ หรือจะพูดให้ถูกคือ หลังจากพี่ขุนเก็บของออกจากบ้านพี่ตะวันไปครั้งที่ผมกลับมาบ้านตอนปิดเทอมครั้งแรก...ผมก็รู้สึกว่าพี่ขุนเลิกเขม่นผมไปแล้ว...เหมือนพี่ขุนจะรู้ว่า...ยังไงผมก็เป็นได้แค่น้องเท่านั้น...

กับพี่ตะวันผมไม่รู้ว่ากลับเป็นปกติหรือแค่แกล้งกลับเป็นปกติอย่างที่ทำมาสองสามวันก่อนพี่ขุนกลับ...แต่เมื่อพี่ตะวันมานั่งหัวเราะอยู่ท้ายเวสป้าผม ผมก็ว่า ...ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว...

การเงียบไม่พูดถึง...คือคำปฏิเสธที่ดีที่สุดแล้วสำหรับคนแบบพี่ตะวัน...ผมรู้ดี...

จะเหลือไม่ปกติก็พี่กบ ที่อ้าปากค้างตอนผมบอกพี่กบว่า แม่รู้เรื่องพี่ขุนกับพี่ตะวันแล้ว รวมถึงพี่กบด้วย

“ค้างทำไม...ไม่ดีหรือไง วันหลังจะได้เปิดอกคุย”ผมปลอบใจไปงั๊นๆ เพราะจริงๆก็ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องคุย ก็เรื่องมันผ่านไปนานโขแล้ว นานจนพี่ตะวันลืมไปแล้วมั๊งว่า พี่กบน่ะแฟนเก่าเก็บของตัวเอง...

แต่เรื่องเปิดอกคุยน่ะมันฟังดูง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ มันพูดยาก ว่าเส้นแบ่งระหว่าง...เปิดอกคุย กับ คุยกันอย่างกระอักกระอ่วนใจ...อยู่ที่ตรงไหน

“จริงสิ?...แม่ฉายรู้จริงๆเหรอเรื่องพี่กับตะวัน?”ตอนแรกที่บอกพี่กบเรื่องแม่น่ะ ผมว่า ผมเปิดอกคุยกับพี่กบ ตอนพี่กบมาหาที่บ้าน แน่นอนว่าคุยกันตามลำพังสองคน

“เป็นไงได้ข่าวว่าเปลี่ยนแฟนอีกแล้ว?”และแม่ถามพี่กบอย่างเปิดอกหลังจากนั้น

“ก็ดีครับ...”แต่พี่กบน่ะ ตอบอย่างกระอักและกระอ่วนใจพร้อมยิ้มแหยๆ เลยทำให้แม่พลอยนึกขึ้นมาได้ว่า ผมคงคุยกับพี่กบไปเรียบร้อยแล้ว

“ก็ดี...”แม่เลยตอบพี่กบกลับอย่างกระอักกระอ่วนใจตามไปด้วย

แต่มันก็แค่แปล๊บเพราะคุยกันอีกสองสามประโยค กินหมูทอดไปอีกคนละสองสามชิ้น แถมเบียร์อีกหลายๆอึก...เราก็ลืม

ส่วนอันนี้ไม่รู้เปิดอกคุยหรือเปล่า

“ถ้าฉายต่อยกับพี่ขุน ตะวันว่าใครจะชนะ?”ผมแกล้งถามพี่ตะวัน ตอนเบียร์ผ่านคอไปหลายแก้วแล้ว

“พี่ขุน!”พี่ตะวันตอบ แก้มแดงๆ...พี่ตะวันเป็นประเภทกินแอลกอฮอล์แล้วตัวจะแดง ถึงไม่เมาก็เหอะ...

“ทำไมล่ะ? ใหญ่ๆกว่าพี่ขุน ฉายก็ต่อยคว่ำมาแล้ว...”ผมถามพลางกระดกเบียร์ไปอีกอึก

“พี่จะช่วยพี่ขุนรุมฉาย...สองต่อหนึ่ง พี่ขุนชนะอยู่แล้ว!”พี่ตะวันตอบ ก่อนใช้นิ้วดีดถั่วขึ้นฟ้า แล้วแหงนหน้าเตรียมอ้าปากรับแต่พลาดเพราะผมแกล้งเอื้อมมือมาปิดปากพี่ตะวัน...และอาจจะเพราะเริ่มมึนๆ ไอ้ที่ผมบอกว่าปิดน่ะ เลยกลายเป็นตบ จนพี่ตะวันหน้าหงายหล่นเก้าอี้ไปเลย

“ตะวันจะช่วยพี่ขุนรุมฉาย?...ฉายกับพี่ขุน จะรุมตะวันล่ะไม่ว่า!”ผมพูดไปแบบ...พล่อยๆ... โดยไม่ได้นึกวาดภาพอะไรในหัวเลยจริงๆ ...ก็จะนึกภาพอะไรได้ล่ะ ก็มัวได้ดูพี่ตะวันไต่กลับขึ้นมาบนเก้าอี้พร้อมจับปากตัวเองปรอยๆ

“เรื่องอะไร พี่ขุนจะช่วยฉาย?”พี่ตะวันหันมาตบหัวผมคืน ก่อนถามอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่พี่กบหัวเราะจนหน้าแดงที่ไม่ใช่เพราะฤทธิ์เบียร์

“เปล่า!...แล้ววันนี้พี่ขุนมาหรือเปล่า?”ผมตอบ และรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะตอนนี้ระบบภาพระดับสมจริงเริ่มวิ่งเข้ามาในหัว เพราะพี่กบหัวเราะอย่างมีเลศนัยนี่แหละ ส่วนพี่ตะวันน่ะหน้าคว่ำ พยายามเค้นคอจะเอาคำตอบจากผมให้ได้ ก็พอดีแม่เดินกลับออกมาจากครัวพร้อมกับแกล้มจานใหม่ที่ใหญ่กว่าจานเดิม

“หัวเราะอะไรกัน? ตะวันเป็นอะไรหน้าหงิก?”แม่ถาม พลางผลักหัวพี่ตะวันหลบเพื่อวางจานกับแกล้มลงบนโต๊ะ

“ก็ฉายบอกว่า...”พี่ตะวันเตรียมรายงาน ผมตกใจรีบกระโดดตะปบปากพี่ตะวันไว้แทบไม่ทัน แต่พี่ตะวันไม่ยอมดึงมือผมออกจนได้

“ฉายบอกว่า...ฉายกับพี่ขุนจะรุมตะวัน!”

“ไอ้ฉาย!”แม่เรียกผมเต็มยศอย่างนี้ไม่บ่อยนัก เหมือนที่ตบปากผมแบบไม่ยั้งมืออย่างที่กำลังทำอยู่ก็ไม่บ่อย และไม่บ่อยเช่นกันที่จะงอนไม่พูดกับผมไปหลายวัน

“แค่นั้นเอง ทำไมน้าโอ๋ต้องโกรธฉายขนาดนั้นล่ะ?...ตอนแรกตะวันก็บอกว่าจะช่วยพี่ขุนรุมฉายเหมือนกันนะน้าโอ๋!”ผมแอบได้ยินพี่ตะวันมากระซิบถามแม่อย่างเข้าข้างผม ในหนึ่งวันหลังจากนั้น

“ไปไกลๆเลย ไอ้ตะวัน!”แม่หันไปตอบพี่ตะวัน

แล้วอีกวัน ผมก็โดนพี่ขุนต่อยปากแตก...เดาว่าพี่ตะวันคงไปบ่นอะไรให้พี่ขุนฟัง...ผมไม่ได้ตอบโต้ เพราะผมรู้ว่าผมผิด พูดในสิ่งที่ไม่ควร

“สมควร ปากหมา!”แม่ว่า เมื่อเห็นรอยแตกที่ปากผม

ส่วนพี่ตะวันโกรธพี่ขุนไปหลายวัน

“ทะเลาะอะไรกัน?”พี่ตะวันพยายามถามหาคำตอบจากผม หลังจากไม่ได้คำตอบอะไรจากพี่ขุน

“ไหนว่าใหญ่กว่าพี่ขุน ก็ต่อยคว่ำมาแล้วไง ตัวโตซะเปล่า!”พี่ตะวันว่าให้เมื่อเห็นแผลที่ปากผม แต่ไม่เห็นสักแผลที่พี่ขุน

“ไปไกลๆเลยตะวัน!”ผมไล่ส่งบ้าง...แน่นอนไม่ใช่พี่ตะวันไร้เดียงสา รู้ไม่ทันความคิด แต่แค่เพราะพี่ตะวันไม่ทันคิด...ไม่คิดว่าน้องชายอย่างผมจะคิดอะไรแบบนั้นต่างหาก...และไม่ใช่ว่าผมคิดไปเองคนเดียว แต่เป็นพี่ขุนต่างหากที่มาบอกผม หลังจากโดนพี่ตะวันโกรธไปแล้วหลายๆวัน

“ตะวันโกรธพี่...ว่าพี่ต้องขอโทษฉาย แต่พี่ว่าพี่ไม่ผิด...พี่บอกตะวันแล้ว แต่ตะวันบอกว่า...ฉายไม่คิดอะไรสกปรกอย่างที่พี่คิดหรอก...”พี่ขุนบอก จ้องหน้าผมแล้วก็ยิ้ม...

ผมชื่อตะวันฉาย...ต้องให้บอกหรือเปล่าว่าผมรู้สึกยังไง?

จบ...เรื่องเศร้าของผม...ไม่ใช่เขา

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
16 ตอนผ่านไป ตะวันก้ยังเหมือนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนเดิมมิเปลี่ยนแปลง

gagagaa122

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมตะวันเป็นคนแบบนี้  :seng2ped:

@^_^@PeaZa@^_^@

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้คนอ่าน ค่อยหายไปๆ น้อยลงเลื่อยๆ

เพราะมันเศร้าอย่างนี้เนี่ยแหละ  o7 o7 o7

FOAM

  • บุคคลทั่วไป
ฉายเอ้ยยยยยยยยยยยย


หาใหม่ง่ายกว่าป่าว

 :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ยังคงอ่านอยู่เน้อ  ไม่หายๆ
ตะวันก็ยังคงเป็นตะวันเหมือนเดิมมมมมมมมมมมม  ฮ่วย

[D]a[D]a [T]oo[N]

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องยุ่งๆเกิดจากเพราะ รักตะวัน

หรือเกิดจากที่ฉายรักเดียวใจเดียวกันแน่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






gift_deb

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
ต่อยฉายทำไม

สงสารฉาย

เจ็บกาย-เจ็บใจ

รักทน-รักนาน

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50

ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
คนเราเมื่อได้รักใครแล้วก้อจะรักเลย ไม่มีทางเปลี่ยน แม้ว่าเค้าจะทำยังไงกะเราก้อตาม สู้ๆๆต่อไปฉายๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เรื่องของเด็กชายตะวันฉาย นายกรินกรณ์ กับพี่ชายปากบอน บ้านข้างๆ # บทที่ 17

ความรัก ที่ผมอยากมีเอี่ยว


เรื่องบางเรื่อง...มันเกิดขึ้นรวดเร็วและผ่านไปไวเหมือนโกหก...เพราะมันรวดเร็วจริงๆ เร็วจนเผลอแป๊บ เวลาก็ผ่านไป...เหมือนช่วงตอนที่ผมเรียน ที่ผมเรียนจบได้ในเวลาไม่กี่บรรทัด

แต่เรื่องบางเรื่อง...มันเกิดขึ้นเร็ว แต่ผ่านไปช้า...เขียนจบได้ในไม่กี่บรรทัด แต่ไม่ใช่เพราะมันผ่านไปไวเหมือนโกหก...แต่เป็นเพราะเราโกหก...มันเจ็บปวด เราจึงหลอกตัวเอง...ว่ามันผ่านไปรวดเร็ว...เท่านั้นเอง

ผมไปเป็นหมอประจำอยู่ที่กิ่งอำเภอไชยปราการ...ซึ่งเป็นกิ่งอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ หากแต่ผมต้องมาอยู่บ้านพักแพทย์ กลับบ้านได้แค่อาทิตย์ละครั้ง เพราะระยะทางแสนจะไกล ไม่ต้องข้ามห้วย แต่ก็ต้องข้ามเขา ไปกลับใช้เวลาทั้งวัน...

ตรงข้ามกับพ่อ...ที่ต้องไปทำงานที่ลำพูน...ต่างจังหวัด...แต่พ่อไปเช้า เย็นกลับ...ไม่ต้องข้ามทั้งห้วย ทั้งเขา...ไม่ต้องเหยียบถึงร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ถึงที่ทำงานซึ่งเป็นต่างจังหวัดได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง...

บางทีผมก็สงสัย ทำไมลำพูนไม่เป็นอำเภอลำพูน แล้วไชยปราการ เปลี่ยนเป็นจังหวัดไปซะเลย...

คำตอบมันก็คงเหมือนความสัมพันธ์ของผมกับพี่ตะวัน...ผมรักพี่ตะวัน และแน่นอนว่าพี่ตะวันก็รักผม ถึงจะรักคนละแบบกันก็เหอะ...ถึงพี่ตะวันจะบอกว่าจะช่วยพี่ขุนคว่ำผม แต่เอาเข้าจริงๆ พี่ตะวันก็โกรธพี่ขุนเป็นวรรคเป็นเวรเมื่อพี่ขุนต่อยผม...ผมรู้ท้ายที่สุดหากต้องเลือก พี่ตะวันจะเลือกผม...ถึงจะในฐานะของน้องชายก็เหอะ...แต่เมื่อไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเลือก...พี่ตะวันก็เป็นของพี่ขุน เป็นคนรักของพี่ขุน...ทั้งที่ผมเป็นส่วนหนึ่งของพี่ตะวันมาตลอดชีวิต และรักพี่ตะวันมาก่อนพี่ขุน...ผมจึงเป็นได้แค่อำเภอไชยปราการ...ส่วนพี่ขุนน่ะเป็นลำพูน ช่วงกิโลเมตรแรกๆเสียด้วยซ้ำ...ไม่ยุติธรรมเลย ผมคิด เมื่อวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนเตียงในห้องพัก

ทั้งหมดที่พูดมาไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากเขียนให้จบในเวลาไม่กี่บรรทัดที่อ้างว่าเพราะมันเจ็บปวด...เพราะผมพูดไปตั้งหลายบรรทัด ทั้งที่เพิ่งทำได้แค่วางกระเป๋าลงบนเตียง...

นับจากนี้ต่างหากที่มันจะผ่านไปไวให้เหมือนผมตั้งใจโกหก...

ผมเป็นหมออยู่ที่ไชยปราการอยู่ได้ร่วมปี โดยกลับบ้านอาทิตย์ละครั้งหรือบางอาทิตย์ก็ไม่ได้กลับ...แม่กับพ่อไม่ค่อยโทรหาผมเท่าไหร่ เพราะยังไงก็เจอกันทุกอาทิตย์ ทั้งก็คงชินเพราะผมไปเรียนกรุงเทพซะตั้งหลายปี แถมกลับบ้านได้แค่ปีละสองครั้ง...แต่พี่ตะวันโทรหาผมบ่อยๆ ซึ่งก็เหมือนกับช่วงเรียน เราคุยกันทุกวัน บางครั้งแค่ประโยค หรือ สองประโยคแล้วก็วางสาย...

แล้ววันหนึ่งพี่ตะวันก็โทรมา...มันผิดเวลา แต่ผมยังไม่รู้ถึงความผิดปกติ

“ฉาย...พ่อกับแม่...ตายแล้ว...”พี่ตะวันพูด

ผมเงียบไปนาน นึกไม่ออกว่าจะปลอบใจพี่ตะวันยังไง...เพราะสำหรับผม ผมรู้สึกว่าน้าโอ๋กับน้ามะจากเราไปนานแล้ว...แต่ผมก็ไม่เคยรู้ว่า สำหรับพี่ตะวัน พี่ตะวันยังหวังอยู่หรือเปล่า

ดังนั้นเมื่อพี่ตะวันโทรมาบอกข่าว...ผมจึงทำได้แต่เงียบ

“ไม่เป็นไรนะตะวัน...”ผมพูดออกมาในที่สุด และเป็นทีของพี่ตะวันเงียบไป

“ฉาย...น้าโอ๋กับน้าเจด...ตายแล้ว”พี่ตะวันพูดช้าและค่อยมากๆ...มากจนผมแทบจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ยิน

หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ค่อยได้...มันเบาโหวง เหมือนเรื่องโกหก...และรู้ว่ามันเป็นความจริง ก็ต่อเมื่อกลับมาถึงบ้าน

พ่อกับแม่ อยู่ที่วัดใกล้ๆบ้าน...เพราะไม่มีญาติที่ไหนเลย เพื่อนของพ่อจึงเป็นธุระช่วยจัดการแทนให้

พี่กบนั่งอยู่กับพี่ตะวัน ที่ไม่มีน้ำตาสักหยด...แต่ไม่มีพี่ขุนอีกเช่นเคย...คงรำคาญพี่ตะวันเลยหนีกลับบ้านไปอย่างเคย...ผมคิด

สามวันหลังจากนั้น พ่อกับแม่ก็กลายเป็นอากาศ ลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้า...และไม่มีน้ำตาของพี่ตะวัน...

พี่ตะวันไม่ได้ร้องไห้...ตั้งแต่กลับมาผมยังไม่เห็นพี่ตะวันร้องไห้เลย...

“พี่ขุนไปไหน?”ผมถามพี่กบก่อนวันที่พ่อกับแม่จะกลายเป็นควันลอยขึ้นไปบนฟ้า... รู้ตัวว่าเสียงขุ่น เพราะผมไม่พอใจ ทำไมพี่ขุนหนีหายเสมอในเวลาที่พี่ตะวันต้องการใครสักคนเป็นเพื่อน

“กลับบ้านไปแล้ว”พี่กบบอกและจ้องหน้าผมนิ่ง...ตาพี่กบแดง ผมรู้พี่กบก็ร้องไห้ เพราะตัวพี่กบเองก็คุ้นเคยกับพ่อและแม่ดี

“พ่อแม่มันพากลับไปแล้ว”พี่กบบอกอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะทันพูดหรือสบถอะไรออกมาเพราะความฉุนเฉียว

“หมายความว่าไง?”ผมถาม

“วันนั้นไอ้ขุนเป็นคนขับรถให้น้าโอ๋กับน้าเจด...ตอนแรกตะวันจะไปด้วย แต่น้าโอ๋บอกให้ตะวันอยู่บ้าน เผื่อฉายกลับมาแล้วเดี๋ยวไม่เจอใคร...น้าโอ๋จำวันผิดน่ะ”พี่กบอธิบายค่อยๆ

“พ่อแม่มันพามันกลับไปบ้านแล้ว...เสียศพพรุ่งนี้เหมือนกัน...แต่มันคงรู้ว่าเราไปส่งมันไม่ได้ มันไม่ว่าหรอก”พี่กบบอก และผมก็ร้องไห้...

คืนนั้นผมกอดพี่ตะวันเอาไว้ทั้งคืน...

“ทำไมตะวันไม่ร้องไห้?”ผมถาม

“ไม่ร้อง...ร้องทำไ..”พี่ตะวันพูดได้เท่านั้น แล้วน้ำตาก็ทำท่าจะไหล พี่ตะวันยกมือขึ้นเช็ดและพยายามฝืนยิ้ม

“ตะวันบอกว่า ถ้าตะวันเสียใจตะวันก็จะร้องไห้ไง?”ผมบอก ดึงพี่ตะวันมากอดไว้

“ร้องเดี๋ยวน้าโอ๋กับน้าเจดกับพี่ขุนเป็นห่วง...”พี่ตะวันว่า เมื่อซุกหน้ากับอกผม

“ไม่เป็นไร ฉายกอดตะวันไว้แบบนี้...แม่กับพ่อ กับพี่ขุนไม่เห็นหรอก...”ผมกระซิบบอกพี่ตะวัน แล้วพี่ตะวันก็ร้องไห้ออกมา

ผมกอดพี่ตะวันที่นอนร้องไห้ไว้ทั้งคืน......พอเช้า...พ่อกับแม่ก็กลายเป็นอากาศ ลอยขึ้นไปบนฟ้า...เหมือนๆพี่ขุน...และพี่ตะวันก็ไม่ได้ร้องไห้ให้พ่อกับแม่กับพี่ขุนเห็น

มันไม่มีทางเลือกเมื่อผมต้องกลับไปทำงาน...พี่กบเองก็เช่นกัน

บ้านสองหลัง...จึงเหลือแค่พี่ตะวัน...

“ทำไมไม่พาตะวันไปด้วย?”พี่กบถามผม คล้ายตำหนิ

“ชวนแล้วตะวันไม่ไป”ผมบอกซึ่งก็จริงตามนั้น

“งั๊นฉายก็ย้ายมาเชียงใหม่สิ!”พี่กบแนะอย่างกับผมเลือกได้

“แล้วทำไมพี่ไม่ย้ายกลับมาเชียงใหม่?”ผมถามคืน

“ย้ายได้ก็ย้ายแล้วสิ!”

“แล้วผมย้ายได้งั๊นแหละ!”

สุดท้ายผมก็กลับชัยปราการ...พี่กบก็กลับขอนแก่น...และพี่ตะวันอยู่คนเดียวที่บ้านสองหลัง...

พี่ตะวันยังคงโทรหาผมทุกๆวันและก็ยังวาดรูปใส่ไปรษณียบัตร ส่งมาให้ผมทุกๆวันอีกด้วย...รูปเดิมๆ ลายเส้นง่ายๆ...รูปบ้านสองหลัง ปิดไฟมืด กับพี่ตะวันนั่งคนเดียวที่หน้าบ้าน...พี่ตะวันไม่ได้เขียนอะไรมาในไปรษณียบัตร แต่ผมก็รู้พี่ตะวันต้องการอะไร

“ตะวันไม่ต้องส่งทุกวันก็ได้ เขาไม่ได้เอามาส่งทุกวัน อาทิตย์ละหนเท่านั้นแหละ...ทีละเป็นปึก!”ผมบอกเมื่อกลับมาบ้านในปลายสัปดาห์ แต่พี่ตะวันก็ไม่สนใจส่งมาทุกวันๆและรูปเดิมๆ

“ฉายทำเรื่องขอย้ายไปแล้ว...เลิกส่งไปซะที...หรือถ้าจะส่งก็เขียนอะไรไปบ้างแบบ...คิดถึง...อะไรเงี้ย”ผมบอกเมื่อกลับมาบ้านในอีกปลายสัปดาห์หนึ่ง แต่พี่ตะวันก็ยังเพียรส่งโดยไม่มีข้อความอะไรเลยเช่นเคย

ผมยังไปๆกลับๆ...หาเส้น ใช้สายเพื่อนๆ...หรือแม้กระทั่งพ่อเพื่อน และเพื่อนพ่อ...สุดท้ายก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก พร้อมเตรียมใจใช้ทุนคืนหลวง ทั้งเรื่องเรียนต่อเฉพาะทางที่ตั้งใจไว้ก็คงต้องตัดใจ...แน่นอนว่าผมเสียดาย แต่ก็ไม่รูสึกเสียใจอะไรนัก...

ผมหยิบไปรษณียบัตรของพี่ตะวันขึ้นมา แล้วเอาลิคควิด ลบช่องดำๆที่หน้าต่างให้กลายเป็นสีขาว...ให้เป็นบ้านที่เปิดไฟสว่าง...ใช้ฝีมือวาดภาพสุดห่วยของตัวเอง วาดตัวเองที่ดูยังไงก็ไม่เหมือน แต่คาดว่าพี่ตะวันน่าจะเดาได้ นั่งอยู่กับพี่ตะวันที่หน้าบ้าน ในไปรษณียบัตรใบนั้น.... แล้วหย่อนลงตู้ส่งถึงพี่ตะวัน...

ผมกลับไปถึงบ้าน ตรงไปบ้านพี่ตะวันก่อนที่จะตรงไปบ้านตัวเอง เพื่อเจอพี่ปาเปิดประตูรับผม...พี่ปาไม่ได้แค่มาหาพี่ตะวัน แต่มาอยู่กับพี่ตะวัน...ไม่ใช่แค่เพิ่งมาอยู่ แต่อยู่มานานแล้ว...

คงไม่ต้องพูดให้เปลืองน้ำลายว่าผมรู้สึกยังไง...

ผมเดินกลับบ้าน...ก็พอดีพี่ตะวันกลับมา...พี่ตะวันดูตกใจเมื่อเห็นผม...เราทะเลาะกัน...เราเถียงกัน และเป็นครั้งแรกที่ผมทำร้ายพี่ตะวัน...ผมตบพี่ตะวัน...

“ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวนี่!”นั่นคือเหตุผลที่พี่ตะวันบอกผมครั้งแล้วและครั้งเล่า...แต่สำหรับผมในเวลานั้น มันไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ

พี่ตะวันไม่รู้ว่าผมจะกลับมา...พี่ตะวันไม่เคยเห็นไปรษณียบัตรที่ผมส่งมา...มันอาจตกค้าง...ตกหล่น หรือตกอยู่ในมือพี่ปา...แต่ก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอเช่นกันที่เห็นพี่ปากลับมาอยู่กับพี่ตะวัน

เราทะเลาะกันเสียงดัง พี่ปาเป็นคนเข้ามาแทรก พยายามจะพาพี่ตะวันกลับ...ผมต่อยกับพี่ปา...พี่ตะวันเข้ามาห้าม ผมจึงพลั้งมือ ทำร้ายพี่ตะวันโดยที่ผมไม่ตั้งใจ...

พ่อคงโกรธผม...แม่ก็คงโกรธผม...พี่ขุนก็คงโกรธผม...แต่คงไม่มากเท่าที่ผมโกรธตัวเอง...

เช้าวันต่อมาจึงเป็นเช้าแห่งการไร้เหตุ ไร้ผล...

เขาว่าคนบ้ากับอัจฉริยะต่างกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปด...

ผม...ที่ไม่ได้เป็นอัจฉริยะ เป็นแค่หมอมือใหม่...เลยยังไม่ถึงขั้นบ้า หากแต่เข้าสู่ภาวะปัญญาอ่อนอย่างเฉียบพลัน...

อย่างที่บอก มันเป็นเช้าแห่งการไร้เหตุ ไร้ผล...เลือกทำอะไรสักอย่าง ก็เพียงเพื่อขอให้ได้ทำอะไรสักอย่างเท่านั้น...ผมไปอำเภอแต่เช้า...คิดอะไรไม่ออก นอกจากบอกตัวเองว่า จะไม่ชื่อตะวันฉายอีกแล้ว...เพราะมันเป็นชื่อที่แม่บอกว่าพี่ตะวันเป็นคนตั้งให้...ผมไม่อยากเป็นของๆพี่ตะวันอีก...ไม่อยากเกี่ยวข้องอีก...หรือก็อาจเพราะไม่อยากเป็นคนที่เคยทำร้ายพี่ตะวัน คนที่ชื่อตะวันฉาย...คนที่ทำร้ายพี่ตะวัน...ผมจะไม่ชื่อตะวันฉายอีกแล้ว...

ผมไปอำเภอเพื่อเปลี่ยนชื่อ...โดยไม่มีชื่ออะไรอยู่ในหัว...รู้แต่ว่าจะไม่ชื่อตะวันฉาย...ชื่อคนที่ทำร้ายพี่ตะวัน...

ผมมองไปโต๊ะข้างๆ...กรินกรณ์...เขากรอกว่าอย่างนั้น...ผมกรอกตาม...เขาหันมาค้อนผม แต่ผมไม่สนใจ...ก็พี่ปายังมาเอาพี่ตะวันของพวกผมไปได้ แล้วทำไมผมจะเอาชื่อของเขามาไม่ได้ล่ะ?...แล้วผมก็ชื่อกรินกรณ์...ชื่อของใครก็ไม่รู้...แต่อย่างน้อยก็คงไม่ใช่คนที่ทำร้ายพี่ตะวัน...

ผมจำได้ ตอนที่สอบติดหมอ แม่ยิ้มร่า

“ชื่อฉายสมกับเป็นหมอ...ตะวันฉาย มันก็เหมือนกับเป็นความหวัง ทำให้คนไข้มีความหวัง!”แม่ว่างั๊น

“มีความหวัง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสมหวัง!”แต่พี่ตะวันขัด เพราะกำลังพาลที่ผมจะไปเรียนที่กรุงเทพ

“ปากเสีย!”แม่ว่า ก่อนตบปากพี่ตะวัน...หลายครั้งแบบไม่มียั้ง จนพี่ตะวันน้ำตาร่วง จนพ่อต้องเข้าไปห้าม

แต่วันนี้ไม่มี...ตะวันฉายอีกแล้ว...ผมคิด และเพิ่งนึกสงสัย...กรินกรณ์แปลว่าอะไร?...

ผมโทรกลับไปที่โรงพยาบาล ขอระงับเรื่องใบลาออก และพร้อมจะกลับไปทำงานทันทีในวันต่อไป...

ไม่มีอะไรต้องจัด ต้องเตรียมมาก เพราะตั้งแต่กลับมา ผมก็ยังไม่ได้รื้ออะไรออกจากกระเป๋า...

จริงๆผมอยากจะบอกตัวเองให้กลับไปแบบถาวร...ติดประกาศขายบ้าน...ไม่กลับมาอีก...แต่ก็เตือนตัวเองว่ามีเวลาไม่มากพอ...และสุดท้ายก็ยอมรับกับตัวเองว่า...ใจไม่แข็งพอ...เพราะยังไงซะ...ผมก็รักพี่ตะวัน...แล้วเราก็เหลือกันแค่สองคน หากไม่นับพี่ปา...

ผมชื่อ...กรินกรณ์...มีความหมายว่า ผู้สร้างทุกๆสรรพสิ่ง...สิ่งเดียวที่คงสร้างไม่ได้...คือความรักแบบที่ผมหวังจะให้พี่ตะวันมีให้ผม...

ผมทำใจให้ยอมรับได้มาตลอดว่าพี่ตะวันเป็นของพี่ขุน...แต่ไม่สามารถยอมรับได้ว่า...พี่ตะวันจะเป็นของคนอื่นอีก...ทำไมไม่ใช่ผม?...

จบ...ความรัก ที่ผมอยากมีเอี่ยว

Kaku-tsu

  • บุคคลทั่วไป
เศร้า ... แทน นายกรินกรณ์      :o12:

ออฟไลน์ Pongkemon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
และแล้วก็กระจ่างว่า นายกรินกรณ์ คือใคร อ่านแล้วมันจุกอกจริง ๆ ผมก็เป็นคล้าย ๆ กันเนี่ยแหละเพียงแต่คนนั้นไม่ใช่พี่ชาย แต่เป็นน้องชาย เป็นน้องชายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย ผมก็ยังอยู่ใกล้ ๆ กันกับเขา ทำอะไรหลาย ๆ อย่างร่วมกัน ที่อยู่ของเราอยู่ห่างกันแค่ชั่วเดินไป 1 นาทีเท่านั้น แถมผมก็เปลี่ยนชื่อตัวเองเพราะมีคนทักว่าชื่อผมมีตัวอักษรกาลกิณี มีอยู่ครั้งหนึ่งผมทะเลาะกับเขาแล้วผิดใจกันนานมาก ผมก็เปลี่ยนชื่อโดยแอบหวังลึก ๆ ว่าชื่อใหม่ที่เปลี่ยนโดยไม่มีกาลกิณีจะทำให้ผมได้อยู่ใกล้ชิดดูแลเขาไปเหมือนเดิม ซึ่งมันก็คงมีผลบ้างมั้งเพราะถึงตอนนี้ผมกับเขาก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็แน่นอนในใจเขาผมเป็นแค่พี่ชายคนหนึ่งเท่านั้นเอง

gagagaa122

  • บุคคลทั่วไป
ทำไม ทำไม และ ทำไม



:serius2:


เซ็งเป็ดอวอร์ดปีนี้
ขอสาขา ตัวเอกที่น่าสงสารที่สุด ด้วยนะ

จะโหวตให้ฉายแบบยอมตายเลย

 
:m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






[D]a[D]a [T]oo[N]

  • บุคคลทั่วไป
เศร้าเกินไปมั๊ยอ่ะ........

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
จะเป็นเด็กชายตะวันฉาย หรือนายกรินกรณ์ ก็ยังน่าสงสารอยู่ดี

แต่เซ็งกับตะวันที่จนแล้วจนเล่าก็เป้นเหมือนเดิม เฮ้อออออออออออออออออออออออ

ปล.นี้จบแล้วยังเนี่ย แอบงง

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
เป็นตอนที่อ่านไม่ขำ
อ่านจบขิ่งไม่ขำใหญ่... :sad2:

Simba_rella

  • บุคคลทั่วไป
เคยอ่านเรื่องนี้แล้วคะ

ตั้งแต่อยู่บอร์ดของพี่อินุ

สนุกมากเลย

อ่านไปก็ลุ้นไปด้วย

เพราะตอนตอนอ่านอยากให้ตะวันคู่กับฉาย

-------

ปล. ขออนุญาตแก้ไขเพราะมีบางส่วนสปอยตอนจบของเรื่องคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2008 12:40:18 โดย THIP »

realtome

  • บุคคลทั่วไป
อ่านไปถึงหน้า 4 แล้วไม่กล้าอ่านต่ออ่ะฮะ

เรื่องเศร้าแน่เลย แง ๆ เด๋วอ่านไปแล้วอิน ไม่อ่านต่อละ ฮือ ๆ

FOAM

  • บุคคลทั่วไป
 :seng2ped: :seng2ped: :seng2ped:

เปลี่ยนชื่อแล้วช่วยไรได้


เศน้าง่ะ

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
ตะวัน

ทำไมถึงทำกับฉายแบบนี้

เกลียดตะวันเป็นที่สุด


 :m31: :m31: :m31:






รักฉาย สงสารฉาย กดโหวตให้ฉายเลยครับ

กร้ากกกกกก

ไม่เกี่ยวกัน

 :m14:

prp

  • บุคคลทั่วไป
โผล่หัวเข้ามาเพราะอยาก Re อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะพี่น้อง

ตอนแรกๆอ่านไปขำไป แต่แอบเศร้า

ต่อมาเริ่มขำไม่ออกโดยเฉพาะตอนสุดท้ายนี้

เฮ้อ :เฮ้อ: พออ่านเจอพี่ปาปั๊บ  :oอึ้งจนเมาส์หลุดมือ

สงสารฉายตั้งแต่ต้นยันจบ ทำใจไม่ด๊าย :o12:

P.S.ขอบคุณคุณ THIP ด้วยค่ะที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่านน้า :pig4: :pig4:

@^_^@PeaZa@^_^@

  • บุคคลทั่วไป
เป็น2คนที่เสมอต้น เสมอปลายดีจริงๆ

ฉายรักตะวันยังไง ก็ยังรักตะวันอยู่อย่างงั้นน

ตะวันไม่รักฉายยังไง ก็ยังไม่รักอยู่ดี.....

 :o12: :o12: :o12: :o12:

ddtgirl

  • บุคคลทั่วไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด