-----| S i n c e r e |-----
ถึงอีกคนที่จ้องมองกลับมาจากในเงาสะท้อน
..ด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย และรอยยิ้มอ่อนหวาน
ฉันและนาย...เราสบตากันเงียบงัน ลึกลงไปผ่านผิวน้ำสงบนิ่ง
มือฉันยื่นออกไป
และมือนายยื่นเข้าหา
ปลายนิ้วเราสัมผัสกันแผ่วเบา
บนเส้นแบ่งอันเย็นเยียบ ณ สุดเขตแดนระหว่างผืนน้ำกับอากาศ
ที่ซึ่งความจริงหลอมรวมกับความฝัน
..โปรดจับมือฉัน...
...ได้โปรด...กอดฉันสิ...
เพียงสัมผัสแผ่วเบา ระลอกคลื่นบนผิวน้ำก็พรากนายจากไป
ภาพตรงหน้าคือนาย...หรือมีเพียงฉันที่ไขว่คว้าเงาสะท้อนไร้ตัวตน
01 : Reflection
“...”
“...ว..?”
“....”
“วี?”
“อ๊ะ!?”
“ฝันร้ายหรือ?”
ผมกะพริบตา เพิ่งรู้ตัวว่าอ้าปากค้างอยู่น้อย ๆ แสงสลัวจากนอกหน้าต่างฉาบลงบนใบหน้าที่เหมือนกับของผมซึ่งโน้มเข้ามาใกล้
วินกำลังขมวดคิ้ว จ้องมองกลับมาด้วยแววตาแปลกประหลาด ผมสงสัยอยู่แวบหนึ่งว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ตรงนี้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาย้ายมานอนเตียงผมอย่างที่บอกเมื่อเย็นจริงด้วย
“โทษทีนะ เห็นนายทำหน้าไม่ค่อยดีเลยปลุก”
“ขอบใจนะ”
“นายฝันอะไรน่ะ?”
“...ฝันว่า..” ผมหรี่ตา เม้มปาก พยายามนึกถึงความฝันเมื่อครู่ ทว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในความทรงจำสักนิด “..ฉัน..ลืมไปแล้ว”
“นายนี่น้า” วินลากคำสุดท้ายยาว โคลงศีรษะน้อย ๆ ยกมือปัดไรผมให้พ้นจากใบหน้าผม จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ “เล่นเอาตกใจหมดเลย”
“ทำไมหรือ?”
“ก็นายดูหลับไม่ค่อยสบายเลย ท่าทางจะฝันร้ายแน่ ทำเสียงแปลก ๆ ด้วย แถมขมวดคิ้วแน่นเชียว” ว่าพลางยื่นนิ้วหัวแม่มือมากดตรงกลางหน้าผากผม “ตีนกาขึ้นกันพอดี”
“อ๋า!”
ถึงแม้จะเป็นฝาแฝดกัน และผมแก่กว่าหกนาที แต่บางครั้งเขาก็ทำเหมือนตัวเองเป็นพี่ชายเสียเอง
“..วิน” ผมกระซิบ เหลือบมองน้องชายที่ล้มลงไปนอนทำตัวลีบอยู่ข้าง ๆ
“อื้อ?”
“ฉันทำนายตื่นรึเปล่าน่ะ”
“เปล่านี่”
“แต่นายก็ตื่นอยู่อะ”
“เป็นพวกตื่นง่ายอยู่แล้ว” วินยักไหล่ “ใครจะขี้เซาเหมือนนาย ฝันร้ายก็ไม่ยอมตื่นเอง ต้องให้ปลุกแต่เด็ก”
“มันบังคับได้ที่ไหนกันเล่า”
วินหัวเราะอีกครั้ง “เลยต้องตามปลุกตลอดนี่ไง”
“...แล้ว...จะคอยปลุกเวลาฝันร้ายไปถึงเมื่อไหร่?”
“หืม?”
ผมกัดลิ้นตัวเอง ปากนี่ช่างพูดอะไรไม่รู้จักคิด
“เปล่า..”
“วีถามอะไรพิลึก”
“บอกว่าเปล่าไง”
“ก็ต้องตลอดไปอยู่แล้วสิ”
“....”
“ไหงทำหน้างั้นล่ะ”
ผมนึกขอบคุณความมืดสลัว อย่างน้อยวินคงเห็นหน้าผมไม่ชัด ไม่เช่นนั้นเขาน่าจะสังเกตได้แน่ว่ามีความผิดปกติบางอย่างบนนั้น อะไรที่ไม่ควรมีอยู่บนสีหน้าของพี่ชาย
“ตลอดไปเลยหรือ”
“ใช่สิ ทำไมอะ?”
ผมยิ้มน้อย ๆ ผ่อนลมหายใจยาว
ดีใจ แต่รู้ว่ามันคงไม่ยั่งยืน
“....เปล่า....”
ตลอดไปของวิน...มันยาวนานแค่ไหนกันนะ
จะเท่ากับตลอดไปของผมหรือเปล่า?คืนนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่คืนที่ดูเหมือนว่าวินจะนอนในเวลาใกล้เคียงกับผม ส่วนทั้งสัปดาห์ที่เหลือ ผมไม่เห็นเขาหลับเท่าไรเลย (ยกเว้นนั่งสัปหงกบ้างสักห้าถึงสิบนาทีแล้วก็สะดุ้งตื่น) ผมเผ้าเป็นกระเซิงไปหมด วินแทบย้ายตัวเองไปสิงอยู่อีกห้องหนึ่งซึ่งเอาไว้ทำงานโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่มักจะเป็นงานเขานั่นเอง ผมไม่รู้คณะเขาสั่งงานเยอะอะไรนักหนา แต่มันก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดเกือบสามปี
เราแบ่งพื้นที่ใช้สอยในอพาร์ตเมนต์นี้ค่อนข้างแปลก เกือบทุกคนที่เคยมาเยือนให้ความเห็นเช่นนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วมันมีสองห้องนอน แบ่งกันคนละห้องได้สบาย แต่เราก็จัดห้องใหม่โดยย้ายมานอนห้องเดียวกัน อีกห้องไว้ทำงานอย่างเดียว ตอนมาดูที่นี่ครั้งแรก ทั้งพ่อ แม่ และผม คิดว่าจะให้เราแยกห้องกันอยู่ไปเลย แต่วินบ่นว่านอนคนเดียวแล้วไม่ชินเอาจริง ๆ และสุดท้ายมันก็กลายเป็นแบบนี้
ผมยังจำได้ถึงสมัยยังเด็ก เมื่อครั้งพ่อแม่เคยจะแยกห้องให้เรา ตกแต่งใหม่เป็นอย่างดี แต่พอแยกย้ายกันไปนอนคนละห้องได้แค่คืนที่สาม ฝนเม็ดโตกระหน่ำลงบนหลังคา ฟ้าคำรามลั่นและส่องแสงแวบวาบจนน่ากลัว หลังเสียงเปรี้ยงดังสนั่นสิ้นสุดลงไม่ถึงสามนาที วินก็หอบหมอนผ้าห่มมาเคาะประตูห้องผม พอประตูเปิดให้ก็รีบโผเข้าใส่ ตัวสั่นจนน่าสงสาร ต้องกอดปลอบกันทั้งคืน พ่อกับแม่หัวเราะและพากันส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าพวกเราเดินออกมาจากห้องเดียวกันในเช้าวันรุ่งขึ้น วินตาบวมตุ่ย ไม่รู้ว่าแอบร้องไห้หรือแค่นอนไม่พอ
แล้วทั้งฤดูฝนนั้นและทุกฤดูที่เหลือ เขาก็ไม่กลับไปนอนห้องตัวเองอีกเลย
ผมจำความน่ารักของเขาเมื่อสมัยเด็กได้ วินกลัวฟ้าร้องและฟ้าแลบ กลัวมาตั้งแต่เคยเห็นสายฟ้าสว่างวาบฟาดลงกับยอดไม้จนหักร่วงลงมาต่อหน้าต่อตา เสียงกัมปนาทและภาพความน่ากลัวของธรรมชาติที่ว่าฝังใจเขานับแต่นั้น ได้ยินเสียงคำรามและเส้นแสงเดือดดาลบนฟ้าทีไรเป็นต้องเข้ามาเกาะหนึบ หากไม่มีคนคอยอยู่ใกล้ ๆ วินเคยบ่นว่าเขาไม่สามารถหลับสนิทได้เลย
นั่นอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เขาทำตัวสมกับเป็นน้องชายให้ผมดูแล ถ้าคนที่จะอยู่กับเขาตอนฟ้าร้องเป็นผมไปอีกนาน ๆ ก็คงดี
ผมเคาะประตูห้องก่อนเบา ๆ แม้จะเห็นว่ามันแง้มอยู่แล้ว วินหันแผ่นหลังมาทางประตู ก้มหน้าก้มตากับโต๊ะเขียนแบบของเขา หน้าต่างทุกบานปิดไว้สนิท แต่ยังได้ยินเสียงเม็ดฝนเปาะแปะอยู่ด้านนอกหลังจากที่เพิ่งเริ่มซาลงบ้าง
เท้าผมเตะถูกกระป๋องกาแฟเปล่าบนพื้นโดยไม่ตั้งใจ มันกลิ้งกลุก ๆ ไปกระทบกับปั้นกระดาษที่ถูกขยำไว้เป็นก้อน ผมก้มลงไปเก็บมันมาใส่ถุงพลาสติกแล้ววางหลบมุมไว้ก่อน หลังกวาดตามองจนทั่ว ก็พบว่าสภาพห้องใกล้เคียงคำว่าดูไม่ได้เลยเชียว
ห้องนี้ไว้สำหรับทำงานเป็นหลัก ของผมบ้าง ของเขาบ้าง ในส่วนของผมเองนั้นไม่มากนัก ใช้พื้นที่ไม่ถึงหนึ่งในสี่ ของสำคัญมีแค่แลปท็อปกับกองหนังสือ แต่อุปกรณ์ของวินนั้นเกลื่อนไปหมด โต๊ะหนังสือ โต๊ะเขียนแบบ กระดานรองเขียน ไม้บรรทัด สเกล เคิร์ฟ อะไรต่อมิอะไรที่ผมเรียกเหมารวมไปว่าไม้บรรทัดทั้งหมดนั่นละ ถัดไปมีแฟ้มอันใหญ่ กล่องใส่เครื่องเขียน โมเดลครึ่ง ๆ กลาง ๆ ซากอารยธรรมบางอย่างที่ไม่รู้ว่าใช้หรือทิ้ง และมุมห้องอีกฝั่งหนึ่งก็มีกระป๋องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เส้นข้างในอืดบวมเหมือนใส่น้ำร้อนทิ้งไว้แล้วลืมกิน
ผมก้าวขาเงียบเชียบไปถึงเก้าอี้ที่วินนั่งหันหลังให้ ได้คำตอบแล้วว่าเหตุใดเขาจึงนิ่งนัก เสียง “...ฟี้...” แผ่วเบาช่วยยืนยันสถานะของวินตอนนี้
เสียเวลาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผมจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งใกล้ ๆ ลองทำท่าเท้าคางตามเขา แล้วก็คิดว่าแบบนั้นไม่น่าจะหลับได้เลย มันดูไม่สบายเอามาก ๆ
“....วิน?”
ผมกระซิบ เบาเกินกว่าจะปลุกให้ใครตื่นได้
เปลือกตาเขาปิดสนิท ใต้ตามีรอยคล้ำน้อย ๆ อย่างคนอดหลับอดนอน ริมฝีปากแห้งผากไปหมด นอกจากกาแฟกระป๋องแล้วก็น่าสงสัยว่าเขาดื่มน้ำครั้งสุดท้ายตั้งกี่ชั่วโมงมาแล้ว
“...ไม่เมื่อยหรือ?”
มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาและสม่ำเสมอตอบกลับมา
สายฝนข้างนอกเริ่มกระหน่ำอีกครั้ง หลังจากที่ซาไปได้สักระยะ จะตีสองเข้าไปแล้ว ผมควรปลุกวิน นั่งคอเอียงอย่างนั้นนาน ๆ เดี๋ยวคงได้มีเคล็ดกันบ้าง ตื่นมาค่อยแล้วแต่เขาว่าจะทำงานต่อหรือไปนอน และคิดว่าวินก็คงอยากให้ผมปลุก เพราะหางตาผมเหลือบไปเห็นโพสต์อิทแผ่นหนึ่งแปะอยู่บนผนังใกล้ ๆ มีลายมือขยุกขยุยของเขาเขียนกำกับไว้ตัวโต
‘ถ้ามาเจอว่าหลับอยู่ ช่วยปลุกด้วย’ ผมอดยิ้มอ่อนใจออกมาไม่ได้ ข้อความสั้น ๆ นั้นดูทั้งน่าขำและน่าสงสารในเวลาเดียวกันเลย ผมเตรียมปลุกแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเรียก คางของเขาที่พาดไว้บนฝ่ามือก็ค่อย ๆ ไถลต่ำลงเรื่อย ก่อนมันจะเลื่อนออกจากมือ อีกนิดเดียวจะกระแทกพื้นโต๊ะ
“...วิ—”
“อุ๊!”
วินเบิกตากว้าง ทำหน้าเหวอ ผมที่กระเซิงอยู่แล้วตกลงมาปรกเต็มหน้า คางวางอยู่บนมือผมซึ่งยื่นไปรองไว้พอดิบพอดี รู้ทั้งรู้ว่าคงไม่มีคนบ้าที่ไหนจะเท้าคางหลับแล้วเผลอทำคางตัวเองร่วงลงกระแทกโต๊ะ แต่มือผมก็ไปก่อนความคิดเรียบร้อยแล้ว
“วี..ทำอะไรน่ะ”
แล้วยังมีหน้ามาถามผมอีกแน่ะ
“...รองไว้..” ผมตอบนิ่ง ๆ
วินถึงกับอึ้งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่น ชวนให้ผมอายตัวเองอย่างไรพิกล
“จริงจังขนาดนั้นเลย”
“ก็ไม่งั้นคางนาย...” ผมเถียงข้าง ๆ คู ๆ แต่แน่นอนว่ายังพยายามนิ่ง แม้รู้ตัวว่าทำอะไรพิลึก ทว่าเหมือนจะไม่มีที่ให้ถอยนอกจากทำฟอร์มไปก่อน
“ใครจะบื้อปล่อยคางตัวเองกระแทกโต๊ะล่ะ” วินแจงพร้อมยิ้มตาหยีจากใต้ปอยผม ท่าทางชอบใจ เลื่อนมือมากุมมือผมที่กำลังจะปล่อยจากคางเขาไว้ก่อน แล้วก็นั่นละ จริงอย่างเขาว่า วินไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องสะดุ้งตื่นก่อนตัวเองจะหน้ากระแทกอยู่แล้ว
“ไม่ยอมปลุกอีกต่างหาก ปล่อยฉันหลับเฉย” เขาบ่นต่อหงุงหงิง แทรกนิ้วมือตัวเองเข้ามาระหว่างนิ้วมือผม เอาจมูกถูเบา ๆ อย่างขี้อ้อน “วีใจร้ายอะ”
“กำลังจะปลุกแล้ว”
“จริงดิ”
“แต่นายตื่นพอดี”
“งั้นแสดงว่าเราใจตรงกันสินะ”
“หือ?”
เขายิ้มเผล่ ไม่ยอมตอบอะไร ปล่อยมือผมแล้วลุกจากเก้าอี้ เหยียดแขนบิดขี้เกียจ เดินโซเซไปอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ทำเปลี่ยนประเด็นหน้าตาเฉย ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะขืนพูดต่อ ผมคงเหนื่อยกับหัวใจที่เต้นไม่ค่อยเป็นปกติของตัวเองน่าดู
“มาม่าฉัน” เขาครวญ
“อืดหมดแล้ว” ผมช่วยต่อ
“หิวอะ”
“กินอย่างอื่นดีกว่ามั้ง”
“ฝนตก” เขาพึมพำ “ฟ้าก็ร้องด้วย”
ผมเงียบ ฟังเสียงฝนและฟ้าคำรามห่าง ๆ ไม่ดังนัก “นมในตู้เย็นยังมี หรือไม่ก็นอนก่อน วันนี้ไปลงเตะบอลแทนเพื่อนมาด้วยไม่ใช่หรือ ไม่เหนื่อยรึไง”
“งานไม่เสร็จ” วินเริ่มงอแง
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์”
“แต่ว่า—”
แล้วเสียงเปรี้ยงก็ดังสนั่นจากข้างนอก
วินสะดุ้ง หน้าซีดเผือดทันตาเห็น
“วิน?”
เขายืนห่อไหล่ เหมือนจะมีคำพูดลอยขึ้นมาจากสีหน้าว่า
‘เอาอีกแล้ว..’ผมไม่ได้ตั้งใจจะขำเลย
“หึ ๆ”
แต่ก็ขำไปแล้ว
“นายหัวเราะทำไมน่ะ”
“เอ๋..” ผมเลิกคิ้ว ยกมือปิดปาก “ฉันน่ะหรือ? เปล่าเสียหน่อย”
“นายหัวเราะอยู่เมื่อกี้”
“เปล่านะ”
“แต่นาย—”
เปรี้ยง!“หวา!”
ผมโคลงศีรษะน้อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เขา แต่ยังไม่ทันถึงตัว วินก็โผเข้ามากอดจนแน่นเสียก่อน บ่นออกมาอย่างน่าสงสาร
“...นี่มันไม่ใช่ฤดูฝนสักหน่อย”
วินสูงกว่าผมเล็กน้อย แต่พอซบลงมาก็ดูจะไม่ต่างกันเท่าไรนัก ผมรู้สึกได้จากแผ่นอกเราที่แนบกันอยู่ ว่าหัวใจเขากำลังเต้นตุบ...ตุบ...หนัก ๆ ความร้อนจากอุณหภูมิกายเราควรจะพอกัน แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาตัวอุ่นกว่าที่คิด
“..นอนเหอะ” วินแทบคราง
“ไหนบอกงานไม่เสร็จ”
“นอนนะ ขอนอนด้วยคน”
“ไม่หิวแล้วหรือ”
“วีอย่าแกล้งดิ”
ผมลอบยิ้มกับไหล่เขา ลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ เสียงฟ้าคำรามเงียบลงแล้วแต่วินยังซุกกับผมไม่เลิก ต่อให้ตัวโตขนาดไหน แต่ฟ้าร้องฟ้าแลบทีไรวินก็กลายเป็นเด็กน้อยทุกที
“วิน...” ผมกระซิบ เสียงเลื่อนลอยกว่าที่ตัวเองคาด “ถ้าไปค่าย..หรือไปค้างที่อื่น เกิดมีฟ้าร้องเสียงดัง...”
คำพูดเหล่านั้นผมไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน คล้ายว่าถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“หือ?”
“...แล้วฉันไม่ได้อยู่ด้วย...”
“....”
“แล้วนาย...”
วินเงียบ ไม่รู้ว่ารอฟังหรือว่ามัวแต่ระแวงเสียงฟ้าร้อง และผมมีสติยั้งปากตัวเองไว้ทันที่ตรงนั้น ทำเพียงแต่ลูบผมยุ่ง ๆ ของเขาแผ่วเบา ปล่อยคำถามที่เหลือถูกกลืนไปกับเสียงฝน คิดได้ว่าบางทีวินก็อาจไม่ได้อยากฟังหรืออยากตอบ ดีแล้วที่ผมไม่ได้พูดออกไป
เก็บความสงสัยนั้นไปเสีย.. เก็บความรักน่ารังเกียจนั้นไว้คนเดียวก็พอแล้ว...
แต่ถึงจะย้ำกับตัวเองอย่างไร คำถามที่ไม่ได้เอ่ยปากก็ยังสะท้อนก้องในหัวผมอยู่ดี
ถ้าผมไม่ได้อยู่ด้วย วินจะกอดใครก็ได้เหมือนที่กอดผมตอนนี้หรือเปล่า
แล้วถ้าสักวันหนึ่ง...เขามีคนที่จะกอดไว้แทนผมเวลาที่ฟ้าร้องอย่างคืนนี้..
...ถึงตอนนั้น..ผมจะปล่อยมือโดยไม่แสดงอาการเสียใจให้เขาเห็นได้ไหมนะ?----------| S i n c e r e |----------
ผม
เคยกลัวเสียงฟ้าร้องมาก ตอนนี้ก็ยังกลัว แม้ไม่มากเท่าเก่า..อาจเปลี่ยนเป็นเรียกว่าไม่ชอบดีกว่า แต่ก็เป็นเรื่องไม่เลวนักที่วีจะเข้าใจว่าผมยังกลัวมากเหมือนเมื่อสมัยเด็ก
มันทำให้อะไรง่ายขึ้น
ผมนึกอยากกอดเขาอย่างไรก็ได้ทุกครั้งที่ฟ้าลั่น โดยไม่ต้องระแวงว่าเขาจะรู้ตัวหรือเปล่า ระหว่างที่วงแขนเราเกี่ยวกระหวัด แผ่นอกเราแนบชิด และอุณหภูมิอุ่น ๆ จากตัวเขาส่งมาถึง ผมซึมซับตัวตนทั้งหมดของเขาไว้ พร้อมกับภาวนาให้ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามเช่นนั้นตลอดไป
มันไม่ใช่การกระทำจากรักบริสุทธิ์ระหว่างพี่น้องเลยสำหรับผม “แล้วนาย...”
วีกระซิบเสียงแผ่ว
จากนั้นเขาก็เงียบไป เหมือนประโยคก่อนหน้าที่ได้ยินเป็นแค่ความฝัน
วีมักพูดอะไรแปลก ๆ แล้วไม่ยอมต่อให้จบ อันที่จริงเรียกแปลกก็ไม่เชิง เพียงแต่มันเป็นลักษณะการพูดที่ทำให้ผมคิดมาก คิดไปไกล คิดไม่หยุด จนบางทีเหมือนเป็นคนบ้าไปเลย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน น้ำเสียงเขาเลื่อนลอยในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นระมัดระวังในตอนท้าย ก่อนจะเงียบและถูกกลืนไปกับเสียงฝนในอากาศ จับใจความได้แค่คำเกริ่นว่าหากผมไปค่ายหรือไปที่อื่นที่เขาไม่อยู่ แล้วฟ้าร้องเสียงดัง...
ผมคาดหวังจะฟังต่อ อะไรก็ได้ที่วีอยากพูด
แต่บทสนทนาเราจบแค่ตรงนั้นผมพยายามเดาว่าเขาจะเล่าหรือถามอะไร ความคิดโลดแล่นไปไกลจนสุดกู่ แสงแห่งความหวังเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นโดยไม่อาจห้ามใจ เขาอาจอยากถามว่าผมทำอย่างนี้กับคนอื่นหรือเปล่า บางทีวีอาจคิดเหมือนกันว่าอยากเป็นคนเดียวที่กอดผมและถูกผมกอด...
แต่ปากกลับไม่กล้าถามต่อ ไม่สามารถก้าวขาผ่านเขตแดนซึ่งถูกขีดไว้ด้วยสายเลือด วีที่จิตใจอ่อนโยน พี่ชายคนดีของผม วงแขนเขายังโอบผมไว้แน่นเหมือนกลัวจะเป็นอะไรไปหากฟ้าร้องดังขึ้นอีกนิด แล้วผมซึ่งเอาแต่หาประโยชน์จากความใจดีของวี จะดึงเขามามีส่วนร่วมกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
...เท่านี้ก็พอแล้ว...ผมตอกย้ำความคิดนั้น อยากกรีดมันเป็นรอยลึกลงในจิตวิญญาณ
ยิ่งลึก..ยิ่งเจ็บ
และยิ่งเจ็บ...จะได้ยิ่งจำ...
ขอผมอยู่เคียงข้างวีอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอ
“เงียบลงแล้ว ดีขึ้นหรือยัง” เขาถาม เหลือบมองผมด้วยสายตาเป็นห่วงเจือขำขัน วีดูจะชอบใจทุกครั้งเมื่อได้ทำอะไรที่เขาคิดว่าเป็นหน้าที่ของพี่ชาย อย่างเช่นยืนปลอบผมที่กำลังทำเป็นกลัวเสียงฟ้าร้องเกินจริงนี่ก็ใช่
“ฮื่อ” ผมรับคำสั้น ๆ ตาจับจ้องมือเขาที่ยื่นเข้ามาใกล้ ปัดปอยผมยุ่ง ๆ ตรงแก้มผมไปเหน็บไว้ข้างหู พึมพำเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มบางบนริมฝีปาก
“ดีแล้ว”
...มันต้องโง่ขนาดไหน จึงทำให้คนคนหนึ่งหลงรักรอยยิ้มบนใบหน้าที่เหมือนกับตัวเอง
“ไปนอน แปรงฟันก่อนด้วย ให้ไปยืนเป็นเพื่อนไหม”
...แล้วต้องบ้าขนาดไหน...จึงมากพอจะทำให้เจ้าของรอยยิ้มนั้นเป็นของผมเพียงผู้เดียว
เส้นแบ่งของความสัมพันธ์ที่ผมยึดมั่น และหวังว่ามันจะฝังลึกลงสมกับที่เฝ้าย้ำมาตลอด คงยังไม่หนักแน่นพอจะควบคุมการกระทำของผม จึงได้เผลอหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่ควรกับพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง
“...วี”
“หือ?”
“นาย...คบใครอยู่ไหม...ช่วงนี้”
“คบหรือ?”
“อย่างเช่นเพื่อนที่สนิท หรือผู้หญิงที่สนใจ”
เขาเลิกคิ้ว ส่งแววตาประหลาดใจกลับมาให้ผม จากนั้นก็ส่ายหน้าช้า ๆ
“...ไม่นี่...เรื่อย ๆ เพื่อนฉันก็หน้าเดิม ๆ”
“แล้ว..คิดว่าฉันเป็นไงบ้าง อย่าง..ถ้าใช้นายเป็นเกณฑ์”
วีนิ่งไปครู่หนึ่ง ถอยหลังไปครึ่งก้าว เหมือนอยากเว้นระยะเพื่อจะได้มองหน้าผมชัด ๆ
“นาย...”
เขายิ้ม..อย่างทุกที ดูเหมือนงุนงง แต่ก็แฝงความเศร้าที่ผมไม่สามารถตีความได้
“...นายก็เป็นน้องชายฉันไง”
ผมส่ายหน้า ขยับตัวตามเขาที่เพิ่งถอยหลังไป “หมายถึงว่าเป็นยังไง...แบบ น่าสนใจในสายตาคนอื่น...หรือว่า...”
ผมกัดลิ้นตัวเอง พูดมากไม่เป็นเรื่องเอาเสียเลย
“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงถามเรื่องนั้นล่ะ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว จากนั้นก็หลุบตาลงต่ำ “...พูดเหมือนนายมีคนที่สนใจอยู่ แต่รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยสนนาย...อะไรอย่างนั้นเลย”
ผมกลั้นหายใจ จ้องมองวีที่กำลังก้มหน้ามองพื้นอีกทอด
“อาจจะประมาณนั้น”
“..ไปแอบชอบใครอยู่ละสิท่า”
ผมนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“...อา...งั้นหรือ” วียิ้ม แต่ผมดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังฝืน และนั่นทำผมปวดใจจนแทบพูดไม่ออก “ดีจังนะ....ผู้หญิงคนนั้น...”
“...?”
“หมายถึงว่า...นายเป็นคนร่าเริง เป็นที่รักของคนอื่น คนที่นายชอบก็ต้องโชคดีอยู่แล้ว”
“นี่...วี...ความจริงแล้วฉัน..”
บอกเขา...ราวกับมีเสียงปีศาจกู่ร้องในกะโหลกผม
“ไม่เห็นแนะนำให้รู้จักบ้างเลย”
บอกเขาไป..“..แต่จะว่าไปก็เรื่องส่วนตัวนายละนะ โต ๆ กันแล้วนี่นา”
บอกสิ“วี ฉันน่ะ..”
บอก!โดยไม่ทันยั้งคิด ผมคว้าไหล่เขาไว้ในมือทั้งสอง ดันให้เจ้าตัวถอยหลังไปชนกำแพง แล้วตามไปกักไว้ในวงแขนตัวเอง
วีสะดุ้ง ส่งเสียงอุทานออกมาเบา ๆ แต่ไม่ได้ขัดขืน แม้ขนาดร่างกายเราจะพอกัน หากดิ้นรนคงหลุดได้ไม่ยาก ทว่าหลังจากนั้น วีก็เพียงแต่ยืนนิ่ง เบิกตากว้าง มองเห็นเงาสะท้อนของผมปรากฏอยู่บนนัยน์ตาวาววับ...คล้ายกับว่ามีหยดน้ำเคลือบอยู่บนนั้น..
“วี..”
“...ดีจริง ๆ คราวนี้นายเจอคนที่ชอบแล้ว ไม่เหมือนแฟนคนก่อน ๆ ที่เขาชอบนายอยู่ฝ่ายเดียว”
“..ไม่ใช่ ความจริงแล้วฉัน...”
“เขาก็ต้องชอบนายเหมือนกันแน่ ๆ”
“...วี”
“...ฉัน...ก็ควรจะดีใจ...กับ...น....า......”
“...วี!?”
“.....อึ้ก...”เขาก้มหน้าหนี หยดน้ำร่วงผล็อยจากขอบตา...ก่อนจะคู้ตัวลงไปอีกจนกลายเป็นทรุดนั่งกับพื้น และผมกลายเป็นไอ้โง่ที่ลืมกระทั่งวิธีออกเสียงพูด ย่อตัวลงตามเขาไป สองมือประคองข้างแก้มชุ่มน้ำตาของเขา ก้มหน้าลงไปใกล้ หน้าผากเราแตะกัน ตอนที่เขาเริ่มสะอื้นเบา ๆ
ผมจุกขึ้นมาในอก ความรู้สึกผิดเอ่อล้นที่คอจนราวกับจะไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้อีก ผมอยากบอกเขาว่าอย่าร้องไห้ ผมขอโทษ ต่อให้ไม่รู้ว่าเขาร้องไห้เพราะอะไรก็ตาม
ทว่าสิ่งที่ผมทำ กลับเป็นแนบริมฝีปากลงไปบนเปลือกตาวีแผ่วเบา ซับรสเค็มปร่าของน้ำตา พรมจูบไล่มาที่ข้างแก้มเปียกชุ่ม...เชื่องช้า...อ่อนโยน....
กระทั่งมาหยุดอยู่บนริมฝีปากของวีถึงอีกคนที่จ้องมองกลับมาจากในเงาสะท้อน
ด้วยนัยน์ตาเศร้าสร้อย และรอยยิ้มขมขื่น
...ได้โปรดอย่าร้องไห้..
ให้จุมพิตของฉันซับน้ำตา
ให้ริมฝีปากเราแตะกันแผ่วเบา ดุจขนนกร่วงหล่น
ในคืนที่ฟ้าร่ำไห้
จูบอ่อนโยนถึงเพียงนั้น กลับทำผิวน้ำกระเพื่อม
และพรากเงาสะท้อนของนายจากฉันไป
----------| S i n c e r e |----------
ศีลธรรมมันค้ำคอร์ ;{};
ตอนแรกมาแล้ว แอบย่องมาอัพเวลาเด็กดีค่ะ
แอบแปะรูปจากเมื่อตอน intro ด้วย ชึ้บ

พิจารณาแล้ว เรื่องนี้คงไม่ยาวมาก อาจจะเข้าข่ายเรื่องสั้นก็เป็นได้ค่ะ (มั้ง)
พบกันตอนหน้านะคะ *กอดฟัดคนอ่าน*