-----| S i n c e r e |-----
บทนำ
นี่...นายรู้ไหม?
..โลกนี้มีเรื่องน่าขำเยอะแยะ..
บางเรื่องอาจทำให้เราหัวเราะอ้าปากกว้าง ๆ จนจะสำลัก
หรือไม่ก็คงหัวเราะบ้างนิดหน่อย
น้อยกว่านั้นน่าจะแค่ส่งเสียงคิกคักในลำคอ
แต่บางเรื่อง...เราก็ทำได้แค่ปั้นรอยยิ้มขื่น และสมมติว่ามันเป็นเรื่องตลก
“เฮ่ย! วิน!”
ผมชะงักกับเสียงที่ได้ยินจากด้านหลัง เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แม้นั่นไม่ใช่ชื่อผม ทว่าก็ยังหันหลังกลับไปพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
คนพูดชะงักเมื่อได้เห็นใบหน้าผมชัดเจน ไฝตรงหางตาซ้ายและต้นคอผมคงทำให้อะไรง่ายขึ้นบ้างสำหรับเขา
เพื่อนร่วมสถาบันที่ผมไม่รู้จักยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อเมื่อรู้ตัวว่าพลาดเสียแล้ว อ้อมแอ้มออกมาอย่างขัดเขิน “อ้าว..วีหรอกเรอะ”
เจอแบบนี้แค่พยักหน้าเงียบ ๆ ก็พอ วินเคยบอกผมอย่างนั้น
“โทษที มองไกล ๆ จากข้างหลังแล้วเหมือนกันเลย”
ผมเพียงแต่ยิ้มตอบ ไม่ได้เอ่ยปากอะไร เรื่องช่างพูดคงสู้วินผู้เป็นน้องชายฝาแฝดไม่ได้ แต่เท่าที่ประเมินคนตรงหน้านี้ ท่าทางว่าก็คงไม่ได้สนิทกับวินเท่าไรนัก เพราะถึงเป็นแฝดแท้ที่หน้าตาเหมือนกันเกือบทุกกระเบียดนิ้ว แต่ผู้คนที่คลุกคลีมามากพอ ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสามารถแยกแยะพวกเราได้ง่ายดายจากการมองเพียงปราดเดียว
“อ่า..งั้นถ้าเจอวิน ฝากบอกมันที ว่าพี่เอ็มถามเรื่องจะไปลงเตะบอลเสาร์นี้ให้หน่อยได้หรือเปล่า”
“แล้วจะถามให้นะ”
“....”
“....?”
บทสนทนาเราจบไปครู่หนึ่งแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่แยกย้าย เอาแต่ยืนทำสีหน้าครุ่นคิด มุ่นหัวคิ้วน้อย ๆ ขณะจ้องมาทางผม
“อืม...จะว่าเหมือนก็เหมือน...แต่ดูไปก็ไม่เหมือนอย่างที่เขาว่าจริง ๆ นั่นแหละ”
“หือ?”
“นายกับน้องชายน่ะ”
“อา..” ผมพยักหน้าเออออ เรื่องแบบนี้ก็ได้ยินมาจนชินเหมือนกัน “...อาจเป็นเพราะไฝกับทรงผมของฉัน”
“แล้วก็บรรยากาศ..” เขาฟาดฝ่ามือตัวเองเข้าด้วยกันประหนึ่งเพิ่งคิดเรื่องสำคัญออก “ใช่! บรรยากาศไม่เหมือนกันเลย”
“อ้อ”
“เออนี่ แล้วจริงใช่ไหมที่ว่าใช้คนละนามสกุลกัน เป็นฝาแฝดไม่ใช่หรือ”
ผมยิ้ม พยักหน้ารับแต่ไม่ตอบอย่างอื่นจนเขาพูดต่อ
“ทำไมล่ะ”
“แล้วยุ่งอะไรเรื่องครอบครัวละเนี่ย!?”
เสียงที่เหมือน..แต่ก็ไม่เหมือนกับเสียงผมดังขึ้นจากด้านหลัง
วินเดินตรงเข้ามากอดคอพร้อมรอยยิ้มร่า แม้ใบหน้าเราจะเหมือนกัน แต่ผิวเขาเกลี้ยงเกลา ไม่มีไฝสักเม็ดอยู่บนนั้น
“วิน”
เขาพยักหน้ารับ เอนศีรษะมาซบอย่างขี้เล่น
ทำไมเขาไม่เคยหยุดทำอะไรแบบนี้ด้วยใบหน้าที่เหมือนกับผมกันนะ“เซ้าซี้อะไรกับวีของฉัน?”
และทำไมเขาไม่เคยหยุดใช้ถ้อยคำเช่นนี้ด้วยเสียงที่เหมือนกับผมสักที“เจอพอดีเลย พี่เอ็มฝากมาถามแน่ะ ว่าวันเสาร์นี้เอาไง ช่วยหน่อยได้หรือเปล่า”
วินขมวดคิ้ว “ไอ้ต๊อดยังไม่หายเจ็บขาอีกหรือ”
“ยัง เอ็นฉีก หมอสั่งพักไปก่อน น่าจะอีกนาน”
“แล้วงี้ฉันไม่ต้องไปช่วยยาวเลยเรอะ”
“แค่รอบเดียว ครั้งนี้หาคนมาแทนไม่ทันจริง ๆ”
ผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เห็นความเกี่ยวข้องกับตัวเองในบทสนทนาเหล่านั้นจึงตั้งใจจะเลี่ยงมาก่อน แต่ติดแขนของวินที่คล้องคอไว้ แล้วยังกระชับแน่นขึ้นเมื่อผมขยับตัว
“รอแป๊บนึง” เขากระซิบแล้วเงยหน้าขึ้นคุยต่อ
ผมพยักหน้าเงียบ ๆ ทั้งรักทั้งเกลียดความเป็นปกติเหล่านั้นของเขา วินสามารถกอดคอ กระซิบ สัมผัสเนื้อตัว อย่างพี่น้อง อย่างคนในครอบครัว เป็นธรรมชาติจนราวกับมันกำลังย้ำซ้ำ ๆ กับผมว่าไม่มีความหมายเกินเลยกว่านั้น
ใช่...ไม่ควรมีความหมายใดมากเกินกว่านั้น
ผมเฝ้าบอกตัวเองทุกเมื่อเชื่อวันว่าอย่าคิดไกล เราเป็นผู้ชาย ซ้ำร้ายยังสายเลือดเดียวกัน ผมควบคุมการแสดงออกได้ดี แต่ไม่เคยทำเช่นนั้นกับจิตใจได้เลย
ผมรักเขา รักมากกว่าที่พี่น้องจะรัก บาปนี้คงฉุดรั้งผมให้จมดิ่งลงในขุมนรกชั่วนิรันดร
เราสองคนเหมือนเป็นเงาสะท้อน และผมก็เป็นไอ้โง่ที่หลงรักเงาของตัวเอง
แต่วินไม่จำเป็นต้องรับรู้----------| S i n c e r e |----------
วีเป็นพี่ชายฝาแฝดของผม แต่เขาไม่เหมือนผมเลย
ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องหน้าตานะ ไอ้ของอย่างนั้น คนเป็นแฝดไข่ใบเดียวกันมันก็ต้องเหมือนกันอยู่แล้ว (ถึงเขาจะมีไฝเล็ก ๆ อยู่ที่หางตากับต้นคอซ้ายซึ่งผมไม่มีก็เถอะ) ไม่รู้สิ ใคร ๆ ล้วนบอกว่าบรรยากาศรอบตัวเราต่างกันเอาการทีเดียว แต่เวลาอยู่ด้วยกันมันก็ดูลงตัวดี
ให้ตายเถอะ...ผมชอบความเห็นแบบนั้นชะมัด
เราโตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันแต่เด็ก ตัวติดกันหนึบประหนึ่งเป็นแฝดสยาม บางทีผมก็อยากรวมร่างกับเขาเสียเลยรู้แล้วรู้รอด วีตลกดี..เขาตลกในแบบของตัวเอง น่ารัก (แฮ่ม...พูดอย่างนี้แล้วเหมือนผมกำลังชมตัวเองไปด้วยเลย ในเมื่อเราเป็นแฝดกันนี่!) ขี้อาย แล้วก็ช่างเอาใจใส่ความรู้สึกคนอื่น ผมชอบนะถ้าเขาทำอย่างนั้นกับผม แต่ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรหากไปใส่ใจคนอื่นมากกว่า
คงเพราะอย่างนั้น คนรอบตัวจึงมักแซวว่าผมเป็นเด็กติดพี่ โดนแฟนทิ้งมาก็หลายรอบแล้ว เพราะพอคบกันถึงจุดหนึ่ง เจ้าหล่อนก็มักยื่นคำขาดว่าจะเลือกเธอหรือพี่ชายฝาแฝด ไม่รู้เป็นคำถามมาตรฐานพิสูจน์รักแท้หรืออย่างไร ในเมื่อตอนแรกก็เป็นพวกเธอเองทั้งนั้นที่มาขอคบ ผมตอบรับไปเรื่อยเปื่อย ยังไม่ทันรู้สึกรักก็เจอคำถามเหล่านั้นยิงใส่
และผมเลือกวี...ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย
อันที่จริงแล้ว ถ้ามาสั่งให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนในครอบครัวอย่างนี้ ก็ถือว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่น่ารักสำหรับผมอีกแล้ว และประเด็นหลักอีกอย่าง...
ใครจะมาสำคัญกว่าวีได้ล่ะ! “กูรู้ว่ามึงติดพี่ แต่กับผู้หญิงน่ะ โกหกพวกหล่อนบ้างก็ได้” เพื่อนผมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสับรางมือโปรเคยให้ความเห็นอย่างนั้น “สาว ๆ น่ะชอบฟังคำหวาน บอกไปเถอะว่ารักมาก เธอสำคัญสุดนะที่รัก อะไรก็ว่าไป เอาให้เคลิ้มก่อน เหตุผลค่อยมาทีหลังว่าทำไมถึงไปกับพวกหล่อนวันนั้นไม่ได้ ความรู้สึกเหนือเหตุผลน่ะเข้าใจไหม”
“ต่อให้ต้องโกหกน่ะนะ”
“ใช่ดิ”
ผมยักไหล่ “แต่แบบนั้นมันไม่แฟร์”
“ไม่แฟร์กับใคร”
“กับผู้หญิง กับฉัน กับวีด้วย”
“ทำไมวีอีกแล้ววะ”
“แล้วทำไมต้องเสือกวะ”
ผมตัดบท จบประเด็นเพียงแค่นั้น หลบคอนเวิร์สมันได้ทันก่อนถูกนาบลงบนตูด
พี่ชายฝาแฝดของผมชื่อ
‘แกล้วกวี’ ผมชื่อ
‘ไกรกวิน’ ชื่อเล่นคือ วี และ วิน แม่เป็นคนตั้งให้ มีการหัวเราะและบอกด้วยว่าพอเรียกเรียงกันก็จะเป็น
‘We win’ น่ารักจะตาย
ตอนรู้ความหมายครั้งแรก ผมเออออตามเธอไปอย่างนั้นเอง (แต่วีนี่ทำตาลุกวาวอย่างน่ารักเชียว ดูจะประทับใจมาก) ทว่าถึงตอนนี้แล้ว คิดไปคิดมาผมว่ามันก็เท่ดีเหมือนกัน รู้สึกอย่างกับว่าถ้าอยู่กับเขาแล้วเราจะเอาชนะได้ทุกอย่างอะไรแบบนั้นเลย
เราใช้ต่างนามสกุล ผมใช้นามสกุลของพ่อคือ
‘ชลิตชานนท์’ ส่วนวี พี่ชายใช้
‘วานิชตระการกูล’ ซึ่งเป็นนามสกุลแม่ สาเหตุที่ต้องต่างนั้นไม่ใช่เพราะพ่อแม่ตกลงกันไม่ได้ แต่เป็นเพราะพวกท่านตกลงกันไว้ให้เป็นเช่นนั้น
แม่ผมเป็นลูกหลานของครอบครัวคนจีน และวีคือคนสุดท้ายที่เป็นผู้ชายของวานิชตระการกูลที่จะสามารถมีทายาทต่อไปได้
อากงเอ็นดูวีมากทีเดียว ส่วนหนึ่งเพราะเขาเรียบร้อยว่าง่ายด้วยละ นามสกุลเดียวกับครอบครัวฝั่งนั้นอีก แถมตอนเด็กผมซนกว่าเยอะ แม่บอกทำอากงปวดหัวทุกทีเพราะทำของหล่นแตกเรื่อย แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นคนนอกนะ วีอยู่ไหนผมก็อยู่ด้วย อากงให้ของขวัญอะไรวีผมก็ได้ด้วย มาเป็นแพ็คคู่ตลอด เผลอ ๆ ได้เยอะกว่าวีอีก เพราะวีมักมาแบ่งให้ทีหลัง และถึงอากงจะดุผมบ่อย (หากคูณด้วยจำนวนของที่ผมทำแตกก็เรียกว่าหูชากันทีเดียว) แต่ท่านก็รักผม เรื่องนั้นดูได้จากสายตาและการกระทำ...ซึ่งเรียกว่าตรงข้ามกับคำพูดพอดู แม่ผมแอบกระซิบให้ฟังบ่อย ว่าคนแก่ปากแข็งก็อย่างนี้ละ..
เราสองคนถูกทักผิดจนชิน ตอนนี้เรียนคนละคณะ แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เขาเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ผมอยู่สถาปัตยกรรมศาสตร์ ตึกห่างกันพอควร คนที่ไม่ได้สนิทกันมากอาจแยกไม่ออก เห็นว่าเดี๋ยวไปโผล่ตึกวิศวะ แป๊บเดียวไหงมาอยู่ถา’ปัดแล้ว แต่เอาเข้าจริง ถ้ารู้จักคลุกคลีกันระดับหนึ่ง ก็จะรู้ได้ไม่ยากว่าใครเป็นใคร ต่อให้วีจะมีหรือไม่มีไฝก็ตาม
พูดถึงไฝแล้ว ผมชอบมองไฝเม็ดเล็ก ๆ สองจุดนั้นของเขา ที่หางตากับต้นคอ เลยเผลอตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้บ่อย ๆ ทำเอาวีผงะอยู่เรื่อย เวลาพูดกับเขาสองคนก็จะใช้เสียงไม่ดังมาก เพื่อให้เขาขยับเข้ามาใกล้เอง อย่างเมื่อครู่ตอนคุยกับเพื่อน แล้วเขาทำท่าจะหนีไปก่อน เลยต้องยื่นหน้าไปกระซิบว่าให้รอผมหน่อย
วีชะงักแล้วก็ยืนนิ่งที่เดิม อยู่ในอ้อมแขนผมที่คล้องคอเขาเอาไว้ ว่าง่ายอย่างนี้เสมอเลย พอคิดแบบนี้กับคนเป็นพี่ชายก็ค่อนข้างรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่ผมชอบมากทีเดียวที่เขาอ่อนข้อให้ผมง่าย ๆ มันดู...พิเศษ กว่าคนทั่วไป เพราะผมรู้ว่ากับคนอื่นแล้ว ถึงวีจะไม่ได้แสดงอาการกระด้างใส่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพวกยอมคนเสมอไป
ผมแยกกับเพื่อน อยู่ระหว่างทางเดินกลับห้องเช่าข้างมหาวิทยาลัย แขนยังคล้องคอเขาอยู่แต่ไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงไป (แขนคนพาดไว้นาน ๆ ก็หนัก เรื่องนั้นผมรู้หรอก) ผมอยากสูงกว่าเขาให้เยอะหน่อย จะได้กอดคอถนัดขึ้น แต่ความต่างสามเซนติเมตรตอนนี้ก็ถือว่าไม่แย่
วีพูดน้อย แต่ผมไม่เคยอึดอัดใจกับความเงียบระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน
มันเป็นความเงียบที่สงบ อิ่มใจ และไม่ต้องการสิ่งใดเติมแต่ง ผมชอบเขา...มากกว่าที่พี่น้องทั่วไปพึงเป็น อยากอยู่ใกล้ ๆ เอื้อมมือไปสัมผัส สูดกลิ่นหอมอ่อนจากเส้นผมและเนื้อตัวของเขา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผมรู้สึกเช่นนี้กับพี่ชายที่หน้าตาถอดแบบกันมา เหมือนเรื่องเล่าของนาร์ซิสซัสที่หลงรักเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ และเฝ้ามองอยู่ริมสระจนตาย ผมก็คงเป็นไอ้งั่งพรรค์นั้น
ผมเอาเท้าเตะประตูห้องปิด ดันหลังเบา ๆ ให้เขานั่งลงบนขอบเตียง จากนั้นก็โถมตัวเข้าหาจนเขาหงายลงไปด้านหลัง
“...วิน...?”
เสียงเขาฟังดูไม่ค่อยมั่นคง อาจจะแปลกใจที่วันนี้ผมเกาะหนึบกว่าปกติ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังฟุบลงกอดเขาไว้บนเตียง
“เหนื่อยอะ...กอดแป๊บ”
วีเงียบไป แต่ครู่หนึ่งก็กอดตอบ ยกมือขึ้นลูบหลังผมเบา ๆ
“ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย นอนกันอย่างนี้เตียงนายจะเปื้อนหมดนะ”
“ช่างมันเถอะ เปื้อนก็ไปนอนเตียงนายแทนไง”
วีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบรับมาคำเดียว
“...อา”
“น่ารักจัง” ผมกุมมือเขาไว้ ดึงมาแนบกับแก้มตัวเอง เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย มองใบหน้าที่เหมือนกับตัวเองแทบไม่มีผิดเพี้ยน เผลอตัวแนบริมฝีปากบนฝ่ามือของเขาแผ่วเบา
วีมีท่าทางตกใจ พวงแก้มเป็นสีชมพูจาง ๆ แต่ไม่ได้พูดหรือแสดงอาการต่อต้าน
วีที่หัวอ่อน ว่าง่าย พี่ชายที่น่ารักของผม
“บางที..ฉันก็คิดว่าเราไม่น่าเป็นฝาแฝด...หรือแม้แต่พี่น้องกันเลย”
เขาดูตกใจมากกว่าเก่า ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าในวินาทีถัดมา กระซิบเสียงแผ่วจนรู้สึกว่าน่าสงสาร
“..ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
ผมยิ้ม กอดเขาแน่นขึ้นอีกนิด นึกอยากเรียกถ้อยคำของตัวเองกลับคืน ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาผิดหวังหรือเสียใจเลย ไม่รู้ว่าคิดไปถึงไหนแล้ว
“เปล่า” ผมปฏิเสธ สิ่งที่ควรทำคือฝังความรู้สึกอันเป็นบาปนี้ให้ลึกที่สุด “..อย่าใส่ใจเลย”
มันไม่ได้เป็นไปด้วยใจบริสุทธิ์ ผมต้องการเขา แต่ผมไม่ควรรักเขามากกว่าพี่ชาย...บอกตัวเองว่าจะรักมากกว่านี้ไม่ได้...
หรืออย่างน้อย...ก็แสดงออกให้เขารู้ไม่ได้
เราสองคนเหมือนเป็นเงาสะท้อน และผมก็เป็นไอ้โง่ที่หลงรักเงาของตัวเอง
แต่วีไม่จำเป็นต้องรับรู้----------| S i n c e r e |----------
มาแล้วค่ะ จนได้ พ่ายแพ้ให้แฝดจนได้ //ช้ำใจกับความอ่อนหัดของตัวเอง Orz
เรื่องนี้จะดำเนินไปแบบตัวเอกสองคนผลัดกันเล่านะคะ ตั้งใจว่าจะให้เป็นอย่างนี้ไปทุกตอน นับว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับเราทีเดียวค่ะ ปกติจะเขียนผ่านบุคคลที่สาม
ชื่อเรื่องคือ Sincere จริงใจ บริสุทธิ์
แต่อีกนัยหนึ่ง ก็มีคำว่า Sin ซึ่งหมายถึง บาป ในนั้นด้วย
อูอา... (คิดมากไปเอง ฮา)
เราวาดแฝดคู่นี้เล่นมาระยะหนึ่งแล้ว บางส่วนแปะไปในเล่ห์รักฤดูร้อน แต่ขอแปะดูเดิ้ลซ้ำในนี้หน่อยนะคะ ไหน ๆ สองคนนี้ก็มีกระทู้เป็นของตัวเอง(จนได้)
ก่อนอื่นสุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ ^^

อันนี้ย้อนกลับไปเมื่อตรุษจีน

วาดเล่น ในภาพบอก 2 cm แต่ในเรื่อง ณ ปัจจุบันห่างกัน 3 cm ค่ะ

พี่วี =///=

ปิดท้าย ภาพที่วาดแรกสุดของแฝด เป็นเวอร์ชั่นเก่า (ซึ่งปัจจุบันหน้าตาเปลี่ยนไปนิดหน่อยค่ะ ที่คิดว่าค่อนข้างนิ่งแล้วคือที่แปะไปรูปบน ๆ )

แล้วพบกันเร็ว ๆ นี้ (มั้ง?) นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยือนค่ะ ^^