
เพลานี้กระผมง่วงนอนเหลือเกินขอรับ
แต่อยากเอามาลงให้นายท่านได้อ่านกันก่อน
ด้วยวันรุ่งพรุ่งนี้กระผมเกรงจักมิมีเวลาพอ
ด้วยมีธุระจักต้องไปสะสางยังฝั่งพระนคร
(ไอ้หน่อยมันอยากดูหนัง...อิอิ)
ตอนหน้า.....
จักเป็นตอนอวสานแล้วนะขอรับ
มาร่วมด้วยช่วยกันกับกระผม
ส่ง"ขุนจำเริญแลไอ้ลอย"
ให้ถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดกันเถิดขอรับ...คริคริ

ทาสรัก....สมัครใจ....44
“คนเจ็บเพิ่งจักฟื้นตื่น
ไฉนใยมันหายวันหายคืน
หน้าตาฤาก็ออกจักชื่นบานไร้ทุกข์โศก
ระริกระรื่นจนแลดูขวางหูขวางตาข้ายิ่งนัก”
“คนดีกลับกลายซูบเซียวทรุดโทรม
ไร้เรี่ยวแรงราวป่วยไข้
สีหน้าสีตาอ่อนระโหยโรยแรง
คล้ายมิเป็นอันกินอันนอน
ตาลปัตรกลับกันไปเสียสิ้น
ข้าล่ะมิเข้าใจเอาเสียเลย”
คุณนายแฉล้มบ่นพึมพำ
คราแวะมาเยือนเรือนพระยาศรีพิพัฒน์
ไอ้ลอยคนซื่อมันแลดูสดชื่นรื่นรมย์อยู่ดีมีสุข
เพลาเช้ามันเข้าร่ำเรียนที่โรงเรียนกฎหมาย
เพลาบ่ายมุ่งตรงไปทำงานการยังกระทรวง
หน้าตาคมสันหมดจดเอิบอิ่มชวนมองมีน้ำนวล
กายกำยำล่ำสันครานุ่งห่มเยี่ยงเจ้าหน้าที่เสมียนตรา
เสริมสง่าราศีจับตามิใช่น้อย
ขุนจำเริญเสียอีก
แลดูกระปรกกระเปลี้ย แข้งขาอ่อนแรง
ลุกนั่งร้องโอดโอยเสียยิ่งกว่าคนเจ็บไข้ได้ป่วย
ผิวกายที่เคยผ่องพรรณ
มาบัดนี้มีร่องรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำ
โดยจำเพาะซอกคอขาวเนียน
จ้ำเขียวกระจาย ประปรายมีให้เห็นอยู่เป็นนิจ
สายตาของผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนเยี่ยงนางแฉล้มผู้นี้
มีฤาว่านางจักจับพิรุธมิได้
ขุนจำเริญมักเคืองขุ่นหน้าหงิกงอใส่ไอ้ลอยอยู่เป็นนิจ
กริยาค้อนควักเพลาหันมาสบตากันก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ไอ้ลอยคนซื่อนั้นเล่ามันมิได้รู้เหนือรู้ใต้
เพียรพยายามส่งสายตาหยาดเยิ้มมากำนัล
ทำหน้าเป็นประจบประแจงมิเว้นวาย
“ขุนจำเริญหลานย่าเอ๋ย..
เจ้ากินอิ่มนอนหลับฤาไม่
ใยมิถนอมเนื้อตัวไว้ให้มากอีกสักหน่อยเล่า
เพิกเฉยละเลยเนื้อตัว
ปล่อยให้ไอ้ริ้นไรเลวร้ายมันไต่ตอม
ขบกัดกายหลานเสียจนขึ้นรอยเขียวเป็นจุดเป็นจ้ำ
ย่าล่ะเสียดายผิวนวลเนียนของเจ้านัก”
นางแฉล้มกล่าวเตือนสติขุนจำเริญหลานท่าน
มิให้ปล่อยกายใจให้ไอ้ลอยคนคิดมิซื่อมากนัก
สายตาคมกริบราวนกเหยี่ยวคราจ้องตะครุบเหยื่อของนางนั้น
ชำเลืองแลไปทางไอ้ลอยคนซื่อ
ราวจักตักเตือนให้รู้สำนึก
ทำเอาบุรุษหนุ่มทั้งสอง
เสียวสันหลังราววัวสันหลังหวะ
“ขอรับคุณย่าแฉล้ม หลานขอบ....”
มิทันที่ขุนจำเริญจักได้กล่าวจนจบถ้อยคำ
พระยาแลคุณหญิงศรีพิพัฒน์อีกทั้งคุณหนูแดง
ได้เดินอย่างเร่งรีบขึ้นมาจากบันไดหน้าเรือน
“กราบขออภัยให้กระผมด้วยเถิดขอรับคุณนายแฉล้ม
ด้วยตัวกระผมมิทันนึกรู้ว่าท่านจักมาเยือนถึงเรือนชาน”
เจ้าเรือนกล่าวทักทายแลยกมือไหว้นบนอบ
ภรรยาแลธิดาที่เดินตามหลัง
ต่างยกมือไหว้ทักทายหญิงชรา
เฉกเช่นเดียวกัน
“มิเป็นไรดอก
ก็ข้ามิได้บอกได้กล่าวล่วงหน้ามาก่อน
พวกเจ้าจักหยั่งรู้ได้เยี่ยงใดกัน
มีหูตาทิพย์กันฤาก็เปล่าทั้งเพ”
ผู้ที่อยู่บนเรือนใหญ่ในเพลานั้น
ต่างคนต่างลอบมองหน้ากันแล้วกลั้นยิ้มเอาไว้ในหน้า
ด้วยนึกขันคำกล่าวของนางแฉล้ม
ที่มักแฝงคำติเตียนเอาไว้
“ข้ามาวันนี้จักมาบอกกล่าวเล่าความถึงการทาบทาม
ให้พวกเจ้าบนเรือนนี้ได้รู้ตัวทำใจกันล่วงหน้า
อีกราวสองฤาสามวันลูกชายข้า...เจ้าพระยานิติธรรม
จักพาท่านท้าวในรั้ววังด้านในมาเจรจาสู่ขอแม่หนูแดง
ให้หลวงอรรถหลานชายคนเดียวของข้า
ท่านพระยาแลคุณหญิงศรีพิพัฒน์เจ้าจักว่าเยี่ยงไรกัน”
ในการนี้มิมีผู้ใดจักประหลาดใจมากนัก
ด้วยคาดเดากันได้
อันนับเนื่องมาจากการที่หลวงอรรถนั้น
ช่างสำแดงออกตัวโจ่งแจ้งเสียเหลือเกิน
ในอันที่จักใคร่ได้ใคร่มีคุณหนูแดงมาร่วมเรียงเคียงหมอน
หมั่นเทียวเช้าเทียวเย็น
เกี้ยวพาราสีป้อยอคำหวานอย่างสุดกำลัง
ข้างฝ่ายทางหลวงอรรถเองนั้น
มวลหมู่บุพการีญาติพี่น้องต่างพากันนึกนิยมยินดีแลโล่งอกใจ
ที่หลวงอรรถกลับลำคิดรักชอบสตรีเพศ
ด้วยแต่เดิมมานั้นมิได้คาดหวังว่า
คนอย่างหลวงอรรถผู้นี้
จักชมชอบสตรีสาวผู้ใดจนถึงขั้นใคร่ตบแต่ง
“ปลูกเรือนมันต้องตามใจผู้อยู่น่ะ
เคยได้ยินได้ฟังกันฤาไม่
ใครๆเขาก็รู้กันทั่วทั้งพระนคร
ว่าแต่ใจของหล่อนเล่าแม่แดง
คิดอ่านเยี่ยงไรกับหลานข้า
พ่ออรรถของข้าน่ะเป็นคนดีมีน้ำใจอารีอารอบ
กตัญญูรู้คุณบุพการี
จิตใจนั้นฤาก็เป็นใจที่หนักแน่นมั่นคง
หน้าที่การงานยศศักดิ์ก็มิน้อยหน้าผู้ใด”
คุณหนูแดงนั่งก้มหน้างุดอย่างกระดากอาย
แลเห็นเพียงใบหูบางที่ขึ้นสีแดงก่ำ
มือน้อยสองข้างกุมบิดบีบกันไปมาบนตัก
“อิฉันแล้วแต่คุณพ่อแลคุณแม่จักเห็นสมควรเจ้าค่ะ”
“บ๊ะ...เยี่ยงนี้นี่สิเขาจึงจักเรียกว่าเป็นผู้รู้คุณคน
กตัญญูต่อพ่อแม่ช่างน่าสรรเสริญเจริญพรนัก
มิเสียแรงที่พ่ออรรถของย่าคร่ำครวญหาเจ้าอยู่ทุกโมงยาม
จนพวกข้ารำคาญหูขวางตาวันละสี่ซ้าห้าหนเห็นจะได้”
นางแฉล้มเปลี่ยนคำเรียกขานตัวเสียโดยพลัน
คล้ายกลับหวั่นเกรงคุณหนูแดงจักเปลี่ยนใจ
“แล้วพระยาแลคุณหญิงเล่าเจ้าจักว่าเยี่ยงไร
ในเมื่อหลานแดงของย่าตกปากรับคำย่าคนนี้เสียแล้ว
พวกเจ้าเป็นดังลูกในอุทรของข้า
คงจักมิคิดขัดขวางฤาเห็นมิสมควรดอกนา
สินสอดทองหมั้นข้าวของข้าตระเตรียมไว้แล้วอย่างสมเกียรติ
ศรีสะใภ้ของหลานข้าจักได้รับแต่สิ่งดีเลิศทุกประการ”
นางแฉล้มมัดมือชกทันควร
มิเปิดโอกาสให้ผู้ใดได้คัดค้าน
“เอ่อ..กระผม...”
พระยาศรีพิพัฒน์จักพูดอันใด
มิมีผู้ใดจักได้รับฟังเสียแล้ว
“เป็นอันตกลงกันตามนี้ วันรุ่งพรุ่งนี้
ข้าจักให้ลูกข้าแลผู้จัดการงานมงคล
มาเจรจาว่ากันด้วยเรื่องสู่ขอตบแต่งโดยละเอียด
เพลานี้ข้าใคร่กลับไปเอนหลังที่เรือนข้าเสียหน่อย
ข้าไปล่ะ”
นางแฉล้มยิ้มย่องผ่องใส
คราเหตุการณ์ดำเนินไปตามความประสงค์ของตน
ก่อนจากยังมิวายกล่าวอวยตนทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“เป็นบุญวาสนาของพวกเจ้าบนเรือนนี้แล้วล่ะ
ที่จักได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับพวกข้า
ยศศักดิ์สินทรัพย์ฤาก็เสมอกัน
จักพากันรุ่งเรืองต่อไปในภายหน้า"
"แม่แดงหลานย่าเอ๋ย
หลานเองก็จงเร่งตระเตรียมกายใจเสียให้พร้อม
เพลาถึงคราวงานจักได้มิมีอุปสรรคขัดข้อง
ย่าจักได้มีเหลนน้อยมาอุ้มชูเสียที..ฮะ..ฮะ”
เป็นอันว่าแม่สื่อแม่ชัก เถ้าแก่ นายหน้า
ที่หวังไหว้วานว่าจ้างให้มาเจรจาสู่ขอนั้น
คงมิมีความจำเป็นอันใดต้องใช้ในการนี้อีกแล้ว
ด้วยนางแฉล้มเธอเจรจาจัดแจงเองเสียสิ้น
*******************************************************
งานมงคลระหว่างหลวงอรรถแลคุณหนูแดงนั้น
จักเป็นที่โจษจันไปทั่วคลุ้งน้ำแลทั่วทั้งพระนคร
อีกนานนับสิบปีเป็นอย่างน้อย
ด้วยเป็นงานใหญ่โตเอิกเกริกสมกับที่เจ้าภาพฝ่ายชาย
เป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่ลำดับชั้นเจ้าพระยาแลเศรษฐีนีย่านถนนตก
แขกเหรื่อนั้นเล่า ราวกับเป็นสถานที่ชุมนุมของข้าราชการใหญ่น้อย
มิมีผู้ใดที่จักมิได้อยู่ในที่แห่งนี้แม้นสักคนเดียว
นางแฉล้มยึดถือมงคลฤกษ์ในการนี้
ร่วมทำบุญทำทานเป็นการใหญ่โต
หวังให้กุศลผลบุญในเพลานี้
ได้สร้างเสริมบารมีต่อลูกหลานสืบไป
นางบริจาคทรัพย์ก้อนใหญ่แก่วัดวาอารามใหญ่น้อยทั่วทั้งพระนคร
เงินทองข้าวของอีกจำนวนมากได้ถูกนางแจกจ่ายให้ทานแก่ผู้ยากไร้
เสียงร่ำลือถึงความใจบุญสุนทานของนางในครั้งนี้
เป็นที่สรรเสริญแลโจษจันโดยทั่วกัน
คุณหนูแดงก้มหน้าก้มตาตลอดงานด้วยขวยเขิน
ด้วยหลวงอรรถที่นั่งอยู่เคียงข้างมาตลอดงาน
เฝ้าแต่จ้องมองเธอมิวางตา
หน้าตาหลวงอรรถนั้นยิ้มแย้มมิยอมหุบ
หากลุ่มหลงกันเยี่ยงนี้ตลอดกาล
คนทั้งคู่คงจักเป็นคู่ครองที่น่าอิจฉามากที่สุดในพระนคร
****************************************************
เสียงพระภิกษุท่านกล่าวสวด
อำนวยให้ศีลให้พรแก่คู่บ่าวสาว
กังวานก้องน่าเลื่อมใส
ขุนจำเริญแลไอ้ลอยนั่งอยู่เคียงข้างกัน
เยื้องไปทางด้านหลังของคู่บ่าวสาว
ต่างประนมมืออยู่กลางระหว่างอก
สีหน้ายิ้มแย้มผ่องใส
บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งสอง
ห่อหุ้มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง
ครั้นถึงตอนกราบพระ
ทั้งสองก้มลงกราบโดยพร้อมเพรียงกัน
คราเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากัน
รอยยิ้มบริสุทธิ์จากส่วนลึกของจิตใจที่ออกมานั้น
กระจ่างใสบริสุทธิ์ยิ่งนัก
“ลอยจ๋า...ข้ามีความสุขเหลือเกิน”
ขุนจำเริญกระซิบบอกเสียงหวานใส
“ไอ้ลอยมันก็มีความสุขเฉกเช่นเดียวกันขอรับ
สุขของมันนั้น...
มาจากการที่ยอดรักของมันมีสุขขอรับ”
ไอ้ลอยกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มแลอ่อนโยน
หากทว่าน้ำเสียงของมันนั้น....หนักแน่นแลมั่นคง
เฉกเช่นเดียวกับหัวใจรักของมัน
ที่มีต่อขุนจำเริญอันเป็นที่รักยิ่ง
