ตอนพิเศษ วันลอยกระทง
เนื้อหาเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตอนหลักและเรื่องหลักแต่อย่างไร เขียนขึ้นตามความพอใจของคนแต่งล้วนๆค่ะ รีบเขียนและรีบลงกะจะให้ทันก่อนเที่ยงคืนก็ไม่ทันเสียแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่สายเนอะ
หากมีข้อผิดพลาดหรือคำผิดที่ใด ชี้แจงได้เลยนะคะ
-----------------------------------------------------*
ควันสีเทาลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่สว่างไสวกว่าวันไหนๆเนื่องจากเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงแม้จะมองไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อยบนฟ้าเพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเท่าไรนักก็ตามที ร่างสูงกวาดตามองไปรอบๆ ผู้คนต่างแห่แหนมาแถวริมแม่น้ำมากกว่าทุกวันเนื่องจากวันนี้เป็นวันลอยกระทง ร้านอาหารติดริมแม่น้ำที่มักเงียบสงบจึงอึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยจอแจ เจ้าตัวยักไหล่กว้าง มือข้างหนึ่งที่ถือบุหรี่อยู่ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากสูดเข้าปอดอึดใจหนึ่งแล้วปล่อยมันออกมาให้ลอยขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง มืออีกข้างถือกระป๋องเบียร์ดำยี่ห้อ Guinness ที่เจ้าตัวโปรดปรานอยู่เสมอ เขาใช้สายตาดุๆนั่นมองตรงไปยังแสงไฟระยิบระยับที่สะท้อนอยู่บนแม่น้ำสายหลักของกรุงเทพ
ไม่เห็นดาวบนฟ้า แต่ดาวในแม่น้ำก็ดูเพลินดี อย่างน้อยๆก็ได้ดูปีละครั้ง
ด้วยหน้าที่ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างไปพักผ่อนหย่อนใจที่ไหนไกล บรรดาเพื่อนฝูงหลายคนก็ต่างแตกย้ายกันไปคนละทางหมดแล้ว ไปมีแฟนกันบ้าง ไปเรียนต่อบ้าง ชายหนุ่มในวัยยี่สิบหกปีย่างเข้าปีที่ยี่สิบเจ็ดที่เพิ่งสิ้นสุดการเป็นนายแพทย์อินเทิร์นมาได้ประมาณครึ่งปีต้องมารับผิดชอบทั้งบอร์ดบริหารของโรงพยาบาลและทำหน้าที่ในฐานะแพทย์ประจำโรงพยาบาลจึงถือเป็นเรื่องสาหัสกว่าเพื่อนคนอื่นๆในรุ่นเดียวกันอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นวันที่ได้หยุดหย่อนใจแบบนี้เรียกว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เมื่อได้โอกาสแล้วก็ควรจะตักตวงมันให้ถึงที่สุด
เวลาที่ล่วงเลยไปชั่วโมงกว่าตั้งแต่เขานั่งจนถึงเวลานี้ ผู้คนเริ่มทยอยกลับกันแล้ว บ้างก็เพิ่งเดินทางมาถึงแต่ก็ยังน้อยกว่าช่วงหัวค่ำนักเพราะเป็นช่วงหลังจุดพลุที่ถือเป็นกิมมิคของวันลอยกระทง เรือที่ประดับประดาไปด้วยไฟทยอยดับไฟเมื่อมาถึงท่าเรือสุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วผ่อนออกเชื่องช้า เขาเหลือบมองนาฬิกาเรือนสีเงินที่ประดับอยู่ที่ข้อมือขาว หน้าปัดสะท้อนแสงบ่งบอกว่าเป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว พรุ่งนี้เขาต้องไปเข้าเวรแต่เช้า คงได้เวลากลับสักที
เขาไม่คิดที่จะซื้อกระทงใบเล็กทั้งๆที่มีบรรดาแม่ค้าเดินตามตื้อให้ซื้อ จริงๆแล้วเขาเองก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับเทศกาลนี้เท่าไรนัก อาจจะเป็นเหมือนที่หลายๆคนเคยกล่าวเอาไว้ เมื่อเราโตขึ้นเทศกาลใดก็ถูกเราลดทอนความตื่นเต้นลงไปเรื่อยๆ แค่นั่งมองก็พอแล้วสำหรับเขา ชายหนุ่มได้แต่ยกมือขึ้นโบกปฏิเสธเบาๆ ถึงแม้จะรำคาญใจ แต่เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่ม เขาลอบถอนใจเล็กน้อย พลางคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้เดินออกอีกทางจะดีกว่า คิดแล้วเขาก็หันหลังกลับเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง
ขายาวก้าวไปตามทางเดินริมแม่น้ำ พื้นที่แห่งนี้ยังคงเป็นบริเวณของร้านอาหารแต่คนเบาบางกว่าแถวท่าเรือที่บรรดาผู้คนทยอยลงไปที่โป๊ะเรือเพื่อลอยกระทงนัก เขาพิงรั้วเหล็กที่สูงประมาณสะโพกเหม่อมองออกไปยังท้องน้ำระยิบระยับเบื้องหน้า ลมเย็นที่พัดมากระทบผิวที่โผล่พ้นเสื้อทำให้เขาขนลุกเล็กน้อย ชายหนุ่มลูบแขนตัวเองเบาๆเพิ่มไอร้อนให้กับตัวเอง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกมวนหนึ่ง
ชายหนุ่มยืนเหม่ออยู่คนเดียวเนิ่นนาน นานจนบริเวณนั้นเริ่มไร้ผู้คน เขาเหลือบมองซ้ายขวาแล้วทิ้งบุหรี่ที่สูบจนเกือบติดโฟมที่ก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยกระเบื้องที่วางอยู่แถวนั้น แล้วถูมือเข้าหากันเพื่อไล่เถ้าที่ติดอยู่แถวหลังมือออก ยังไม่ทันจะได้หันหลังกลับเขาก็มองเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งยืนหันซ้ายหันขวา มือล้วงกระเป๋าหาของพัลวัน เบื้องหน้าของเขามีกระทงใบเล็กวางอยู่บนเสาปูน เสียงแหบเล็กนั่นสบถเป็นภาษาอังกฤษเบาๆ จากนั้นเจ้าของร่างที่เขามองอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา ดวงตาโตสีเทาอมฟ้าสว่างไสวเสียจนเขาเห็นประกายวาววับราวกับดวงดาวบนฟ้าหล่นลงมาจุติ ใบหน้าเรียวเล็กกับผิวละเอียดขาวอมชมพูนั้นเขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี เพราะเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาเจ้าตัวก็ถอนหายใจพร้อมส่งยิ้มให้จนเห็นแก้มบุ๋มลักยิ้มทั้งสองข้าง
“ดอกเตอร์ปราชญ์”
สำเนียงแปร่งๆนั้นเรียกชื่อเขาพร้อมตำแหน่งเต็มยศ ปราชญ์ส่งยิ้มกลับแล้วก้าวเข้าไปหา
“ด็อกเตอร์เอย์เดน มาทำอะไรที่นี่ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทัก เขาประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเห็นคนตรงหน้าที่นี่
ดร.เอย์เดน เป็นศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมกระดูกที่พ่อของเขารับเข้ามาเป็นแพทย์ประจำรวมไปถึงร่วมทำงานวิจัยกับทีมแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษ-รัสเซียที่มีใบหน้าสวยคมกับดวงตาหวานเป็นที่สะดุดตาของคนรอบข้างตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในโรงพยาบาลวันแรก ด้วยวัยเพียงสามสิบเอ็ดปีที่พ่วงมากับการมีส่วนร่วมในงานวิจัยที่มีชื่อเสียงต่างๆทำให้ไม่ว่าจะขยับไปที่ไหนก็มีแต่คนเกร็งทั้งนั้น
“มาลอยกระทงไง” เสียงเล็กตอบด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่น “ด็อกเตอร์ปราชญ์มีไลท์เตอร์ไหม”
ปราชญ์เลิกคิ้วร้องอ๋อในใจ ที่เลิ่กลั่กค้นตัวเองเองนี่คือหาไฟแช็คสินะ มือใหญ่ล้วงสิ่งที่อีกคนถามหาออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้ อีกฝ่ายรับไปจุดเทียน แต่ลมแรงริมแม่น้ำ จุดอย่างไรเทียนก็ดับหลังจากสว่างได้ไม่ถึงสามวิ ปราชญ์เห็นด็อกเตอร์หน้าสวยจิ๊จ๊ะด้วยความหงุดหงิดแล้วก็หัวเราะในลำคอ
“Hold this, I’ll do it for you.” เขายัดกระทงใบเล็กที่ทำจากโฟมประดับไปด้วยดอกไม้สดหลากสีใส่มืออีกฝ่ายแล้วคว้าไฟแช็คมาแทน ใช้มือข้างหนึ่งป้องลม จุดธูปเทียนให้เสร็จสรรพ “Here you go. Hurry!”
ด็อกเตอร์ร่างเล็กกว่ารีบยกกระทงขึ้นสูง ปราชญ์ได้ยินเสียงอีกฝ่ายบนพ่มพำก่อนทิ้งท้ายว่าอาเมนแล้วก็หัวเราะขำ ร่างเล็กกว่าย่อตัวลงนั่งยองๆ กำลังจะวางกระทงลงบนผิวน้ำแล้วก็ชะงัก หันมามองเขาด้วยแววตาสงสัย
“And You?”
ปราชญ์ส่ายหน้าช้าๆ ผายมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายจัดการลอยของตัวเองได้เลย
“You didn’t do it yet?”
“Don’t worry, I didn’t mind it. Take your time.”
“เอ๊ะ ไม่ได้นะ This is your festival. You should enjoy it! มานี่เลย Touch my Kratong and we’ll float it together!”
คุณหมอหน้าสวยพูดเสียงดุ สะบัดหน้าให้ร่างสูงเดินเข้าไปหา ปราชญ์เห็นแล้วก็อ่อนใจ เขาย่อตัวลงนั่งข้างๆ แตะกระทงใบน้อยที่ไม่เหมาะกับการถูกผู้ชายสองคนลอยพร้อมกันเสียเลย
“Now, make a wish.”
ให้คนต่างชาติมาสอนวัฒนธรรมประเพณีของตัวเองมันดูตลกไปสักหน่อยในความคิดของปราชญ์ แต่เขาก็หลับตาทำปากขมุบขมิบอธิษฐานไปส่งให้อีกฝ่ายพอใจ กระทงใบเล็กลอยออกไปจากฝั่งช้าๆ แสงเทียนจากกระทงยังไม่ดับทั้งๆที่ลมค่อนข้างแรง ปราชญ์ทอดสายตามองไปจนมันหายวับเข้าไปกับกระทงของคนอื่นๆ
“You know what…” เขาขยับปากพึมพำทั้งๆที่ยังทอดสายตามองไปเบื้องหน้า และคนข้างๆเขาก็เช่นกัน “For Thai, if two people float a Kratong together, it means they’re couple.”
“Really?”
“เสียงผมเหมือนคนโกหกเหรอ”
“Nope. ไม่ควรหลอกคนแก่นะ”
ปราชญ์หัวเราะ
“You look much younger than someone in their thirties.”
“Thanks for the compliment. ที่พูดนั่นจริงหรือเปล่า”
ปราชญ์ยักไหล่ เหล่มองคนข้างๆที่เกาะรั้วเหล็กชะโงกหน้ามาถามด้วยสีหน้าสงสัย เขายกมือขึ้นเสยผมตัวเองที่ถูกลมพัดมาปรกใบหน้า ให้ตายสิ...
“… I’d better take a responsibility.” ชายหนุ่มอมยิ้มมองคนอายุสามสิบต้นๆที่กระโดดขึ้นไปนั่งบนรั้ว
“Hey Hey! Are you flirting me, boy?”
“...”
“How you dare…”
นิ้วมือที่ถนัดแต่จับมีดผ่าตัดถูกยกขึ้นแตะลงบนริมฝีปากสีสดของคนเด็กกว่า ใบหน้าสวยแย้มยิ้มจนเห็นรอยยิ้มบุ๋มที่แก้มทั้งสองข้าง จุ๊ปากราวกับกำลังเอ็ดสั่งสอนเด็กน้อย
“Don’t all bark and no bite.”
“Then I’ll bite you all over your body with no mercy whether you wish or not… Be prepared!”
ฟันคมงับลงที่ปลายนิ้วขาวที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ปราชญ์เงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่บนรั้วเหล็กในระดับที่สูงกว่า ดวงตาสีเทาอมฟ้าแพรวพราวในที่มืด
อาห์... จริงๆแล้ววันนี้ฟ้าก็มีดาวนี่นา... มีตั้งสองดวงแหนะ...