◎ เสื้อกาวน์หมอไม่อุ่นเท่าเสื้อช๊อปวิศวะ ◎ ชิงเล่มพิเศษพี่ปราชญ์ CHECKMATE กัน!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◎ เสื้อกาวน์หมอไม่อุ่นเท่าเสื้อช๊อปวิศวะ ◎ ชิงเล่มพิเศษพี่ปราชญ์ CHECKMATE กัน!  (อ่าน 676866 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ryu_Chise

  • You love me?
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
พี่ต่ายมาแต่งเข้าบ้านผมไหมพี่  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

//  อ้าวเห้ย ร้องเท้าลอย  :katai5: :katai5: :katai5:

ขออภับครับพี่บาสผมล้อเล่นนนนนนนนนนนนนนนนนนน

ชอบพี่ตายขอแบบนี้ซักคนในชีวิต!!  :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ mpp

  • malynn
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
มาพร้อมสารบัญ อีกแล้ว 5555555   :hao7:
อยากให้คุณคนแต่งเอาสารบัญไปแปะไว้ที่หน้า1นะคะ
คนที่มาตามอ่านทีหลังจะได้อ่านสะดวก จิ้มจึ้กๆกันไปไม่ขาดตอน
เราคนนึงที่เป็นคนที่ชอบอ่านนิยามที่มีสารบัญแล้ว
คือมันแบบอ่านง่ายเนอะ ไม่ต้องมาตามไล่ทีละหน้า เสียเวลาน่ะค่ะ

*ย้ายสารบัญไปไว้รวมกับอันก่อนหน้านี้เลยดีกว่าเนอะ คุณคนแต่งจะได้เอาไปสะดวกๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2014 18:06:16 โดย mpp »

ออฟไลน์ white feather

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
หวานอ่ะ อ่านไปเขินไป  :-[
ใกล้จบแล้ว อยากให้พ่อแม่ทั้งคู่ยอมรับจัง

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
หายไปนานล่ะน้าาาา

ออฟไลน์ item

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

ออฟไลน์ ไอ้หัวแห้ว

  • ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน...
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +568/-5
หวานแก้มแตกกกกกกกกกกกกกก


^_________________________^


แต่ในใจลุ้นมาก กลัวพ่อแม่เห็น 55555555555

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
 :katai2-1: แวะมารอดูว่าเสี้ยวสุดท้ายจะมีประเด็นครอบครัวเข้ามาเอี่ยวด้วยไหม ^^

ออฟไลน์ purple

  • Aventador FC
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ฮาโหลๆ คุณคนเขียนหายไปน้อออ คิดถึงคุณหมอกับเด็กวิศวะแล้วน้าา

ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
“พี่ไบค์เร็วๆดิเว้ยพี่ต่ายออกจากหอประชุมมาแล้วเนี่ย!”


ชายหนุ่มในชุดครุยวิ่งแทรกบรรดาฝูงชนจำนวนมากที่แห่แหนกันมางานพระราชทานปริญญาบัตร ร่างสูงใบหน้าคมผิวเข้มขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่มากนักแต่ถึงกระนั้นก็คล้ำขึ้นจนสังเกตได้จากการฝึกงานภาคสนามเมื่อปีที่ผ่านมา เขาหลบซ้ายเอียงขวาก่อนวิ่งเข้าไปยังทางออกจากหอประชุมที่เต็มไปด้วยบรรดาผู้ปกครองที่มายืนรอลูกหลาน นักศึกษารุ่นน้องที่รายล้อมเพื่อเตรียมส่งรุ่นพี่ที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา บาสรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย อากาศร้อนอบอ้าวถึงขนาดที่ว่าหากยืนอยู่กลางแดดนานๆอาจจะเป็นลมได้ ถึงกระนั้นเขาก็ใช้ความสูงในระดับร้อยแปดสิบของตัวเองชะเง้อคอมองบรรดาบัณฑิตในชุดครุยที่ทยอยเดินออกมา ในอ้อมแขนของเขาถือช่อดอกไม้สีขาวสะอาดที่ใช้พี่ชายไปรับมาให้เมื่อเช้า


“มึงโทรหาเขาหรือยัง มาชะเง้อคอรอคอยแบบนี้หากันเจอยากนะเว้ย” ชายหนุ่มหน้าละม้ายคล้ายกันในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ที่คอมีกล้อง DSLR ห้อยเอาไว้ตัวหนึ่ง กระเป๋าอีกใบที่บรรจุบรรดาเลนส์ต่างๆสะพายอยู่ที่บ่า ไบค์รู้สึกอิรุงตุงนังไปหมดแต่ก็ต้องซอยขาวิ่งตามบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์มาติดๆ


“พี่ต่ายไม่ได้พกโทรศัพท์เข้าไปด้วย”


“แล้วโทรศัพท์เขาอยู่กับใคร”


“พ่อแม่เขาดิ”


เห...? ตอบแล้วก็ทำท่านึกได้ บาสหันไปมองหน้าพี่ชายที่ทำสีหน้าเอือมระอาใส่ เขาเกาหัวเก้อแล้วรับโทรศัพท์ที่พี่ชายส่งมาให้ นิ้วมือยาวเลื่อนปลดล็อกอย่างรวดเร็วและกดหาเบอร์ที่โทรออกล่าสุด เขารอไม่นานปลายสายก็รับด้วยเสียงที่บาสคุ้นเคย ตกลงนัดสถานที่กันสองสามคำแล้วเขาถึงวิ่งลากพี่ชายเขาไปยังสนามอีกฟาก


“กูยอมมึงวันเดียวนะไอ้บัณฑิต” ไบค์บ่นพึมพำ


ใช้เวลาประมาณสิบนาทีเขาก็วิ่งมาถึงจุดที่ปลายสายโทรศัพท์บอก บาสเห็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ในร่มไม้เลี่ยงไอร้อนจากแสงแดด ชายหนุ่มยกมือไหว้ทันทีที่เดินเข้าไปถึง ส่งยิ้มให้อย่างเช่นทุกครั้ง


“สวัสดีครับคุณน้า”


“อ้าวบาส มาแล้วหรือลูก ยินดีด้วยนะจ้ะพ่อนายช่าง ร้อนไหมมายืนทางนี้สิ ร่มๆหน่อย”


บาสขยับตาม มือกระพือคอเสื้อที่ติดจนชิดลำคอให้มีลมเข้าไปบ้างแล้วยิงคำถามอย่างร้อนรน “พี่ต่ายล่ะครับ”


“โน่นเลยจ้ะ อยู่กับพวกโน้ตพวกปราชญ์ตรงกลางสนามนั่นแหละจ้ะ เราเดินไปหาเขาสิ”


บาสมองไปตามทิศที่หล่อนชี้ แม้จะเต็มไปด้วยผู้คนมหาศาลสักเท่าไร แต่ใบหน้าเรียวสวยของอีกฝ่ายยังเด่นชัดเสมอ... ฝ่ายนั้นกำลังยืนคุยอยู่กับบรรดาเพื่อนและรุ่นน้องที่เดินเข้ามาแสดงความยินดี “ไม่เป็นไรหรอกครับผมรอตรงนี้ก็ได้”


เขายิ้ม... ยิ้มตามทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั้นประดับบนใบหน้า บาสเลือกที่จะยืนรออยู่ตรงนี้มากกว่าการเข้าไปแทรกเพราะเขารู้ว่าพี่ต่ายควรจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากกว่า ตัวเขานั้นรับในช่วงเช้าไปเรียบร้อยแล้ว บรรดาเพื่อนฝูงของเขาจึงทยอยออกจากตัวมหาวิทยาลัยแยกย้ายกันกลับเรียบร้อยแล้ว ตอนเย็นถึงจะนัดกันไปสังสรรค์อีกครั้งหนึ่ง
บาสรู้สึกหนักไหล่ข้างหนึ่ง เขาหันไปเห็นพี่ชายของตัวเองยืนดูดชาเขียวอยู่ข้างๆ เอาศอกข้างหนึ่งท้าวไหล่เขาแก้เมื่อย เขานึกขึ้นได้ว่าพี่ไบค์กับพ่อแม่ของพี่ต่ายยังไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง เขาจึงสะกิดพี่ชายให้หันไปมองชายหญิงสองคนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ไบค์เห็นแล้วก็เลิกคิ้ว มือบิดฝาปิดขวดชาเขียวลวกๆแล้วยัดใส่กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลัง


“คุณน้าครับ นี่พี่ชายผมชื่อไบค์” บาสแนะนำ เบี่ยงตัวเองออกไปด้านหลังเล็กน้อยให้พี่ชายเขาได้โผล่หัวมาไหว้ทักทายผู้ใหญ่


“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มไหว้และกล่าวทักทายเสียงอ่อนพร้อมรอยยิ้มกว้างเสียจนผู้ใหญ่เคลิ้ม บาสเบะปาก แม้เมื่อครู่พี่ชายเขาจะทำสีหน้าอาลัยตายอยากเพราะแดดวันนี้ร้อนมากจริงๆแต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นคนที่สร้างความประทับใจแรกพบให้กับคนส่วนใหญ่ได้เสมอ เขาเห็นแววตาของแม่พี่ต่ายดูประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว


“บอกว่าเป็นฝาแฝดกันแม่ก็เชื่อนะ หน้าเหมือนกันเลย” หล่อนทักเสียงร่าเริง บาสเห็นคนพ่อมองมาอย่างสนใจไม่น้อย


“จริงๆ แค่เจ้าบาสดำกว่าหน่อยนึง”


พี่ไบค์หัวเราะเสียงดัง ตบบ่าเขาดังอั้ก “ไม่เหมือนกันนะครับ เพราะผมหล่อกว่ามันเยอะเลย”


คำตอบจากคนเป็นพี่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้มากทีเดียว ชายหนุ่มหัวเราะตามแม้จะแอบถลึงตาใส่พี่ชายอยู่หลายครั้ง


“เออจริง พ่อก็ว่าแบบนั้นแหละ” เสียงหยอกล้อจากผู้ใหญ่ทำเอาบาสหน้าบู้ พ่อพี่ต่ายตบไหล่เขาเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ “แล้วเย็นนี้บาสจะมางานเลี้ยงที่ร้านหรือเปล่า พาเพื่อนมาฉลองพร้อมกันก็ได้นะหรือเรามีที่อื่นในใจกันแล้ว”


“ผมว่าจะตามไปช่วงหัวค่ำน่ะครับ”


“ดีๆ เจ้าพวกนั้นก็คงอยู่กันถึงค่ำถึงมืดเหมือนกัน แล้วเราเป็นอย่างไร จะเรียนต่อหรือทำงานเลย”
“ทำงานเลยครับ ตอนนี้ได้บรรจุแล้ว”


“ดูต่ายสิ จบไม่ทันไรเดี๋ยวก็หนีไปใช้ทุนที่อื่นแล้ว อยู่ให้แม่ชื่นใจได้ไม่ถึงเดือนจริงๆลูกคนนี้”


“แต่คุณก็ภูมิใจไม่ใช่หรือ เกียรตินิยมอันดับสองด้วยนะ” คนเป็นพ่อเอ่ยแย้ง บาสเห็นใบหน้าของแม่พี่ต่ายที่ขมวดคิ้วมุ่นแต่แรกค่อยๆคลายออก หล่อนคลี่ยิ้มเต็มหน้า มองไปยังทิศที่ลูกชายตัวเองอยู่ด้วยความภูมิใจ


“แน่นอนอยู่แล้วสิ!”


บาสอมยิ้มตาม เขาหันไปเห็นพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างๆส่งยิ้มตามไปด้วย แน่นอน... วันนี้เป็นวันดีที่ทุกคนควรจะยิ้มให้กับมัน บาสมองตามสายตาของพ่อแม่พี่ต่ายที่มองลูกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าตัวหันมามองเห็นพวกเขาสี่คนพอดี ริมฝีปากสีสดนั่นแย้มยิ้มกว้าง เดินแทรกบรรดาเพื่อนฝูงและคนที่เข้ามาแสดงความยินดีตรงมาหาพวกเขา


ร่างโปร่งตรงรี่เข้ามากอดบุพการีทั้งสองแน่น ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือเปล่าแต่บาสเห็นดวงตาภายใต้แว่นกรอบสีเข้มนั้นรื้นน้ำตานิดๆ มือขาวยกมือขึ้นห้ามแม่ตัวเองไม่ให้หอมแก้มเพราะใบหน้าตัวเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ก็แน่ล่ะยืนอยู่กลางแดดนานขนาดนั้น... พี่ต่ายคุยกับพ่อและแม่สองสามคำก่อนหันมาหาเขา ชายหนุ่มยื่นช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับบัณฑิตที่ทำหน้ายู่


“ยินดีด้วยนะครับ”


“ดอกไม้อีกแล้ว ไม่มีที่เก็บแล้ว” ต่ายบ่นพึมพำแต่ก็รับมาถือเต็มอ้อมแขน


“ผลัดกันไงครับ เมื่อเช้าพี่ก็เอาดอกไม้มาให้ผมเหมือนกันนะ”


บาสยิ้มกริ่ม เมื่อเช้าหลังออกมาจากห้องประชุมเขาก็โดนโห่ล้อไปพักใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเดินถือดอกไม้ช่อเบ้อเริ่มเข้ามาแสดงความยินดีก่อนขอตัวไปเตรียมตัวของตัวเองบ้าง เขาเห็นหยาดเหงื่อที่ไหลลู่ลงมาข้างแก้มขาวแล้วก็รู้สึกว่าพี่ต่ายคงจะรำคาญไม่น้อย มือล้วงกระดาษทิชชู่ซองเล็กที่พกไว้ในกระเป๋ากางเกงตั้งแต่เช้าขึ้นมาดึงแล้วส่งให้อีกฝ่าย บาสแปลกใจที่มือขาวนั่นไม่ยื่นออกมารับ พี่ต่ายยังคงกอดช่อดอกไม้แน่นทั้งๆที่จะเปลี่ยนมาถือมือเดียวก็ได้แท้ๆ ชายหนุ่มเห็นแล้วยิ้มอ่อนใจ เขาเหลือบมองผู้ใหญ่สองคนที่มัวแต่ชี้ชวนกันให้ดูนั่นดูนี่แล้วก็ใช้จังหวะนั้นซับกระดาษทิชชู่เนื้อนุ่มลงกับใบหน้าเนียนนั่นเบาๆ


“บัณฑิตทั้งสองคนครับ ถ่ายรูปหน่อยได้ไหมครับ” เสียงทุ้มที่แทรกขัดจังหวะดังมากจากพี่ชายจอมกวนของเขาที่ยกกล้องตัวใหญ่บังใบหน้าเรียบร้อยแล้ว บาสขยับตัวไปยืนข้างๆทันที


ไบค์กดชัตเตอร์ระรัว จัดท่าทางของทั้งสองคนหลายมุมจนพอใจเขาจึงเชิญผู้ปกครองอีกสองคนที่ยืนมองอยู่ให้เข้ามาในเฟรมด้วย พอดีกับที่ปราชญ์และโน้ตวิ่งแถ่ดๆโดดเข้ามาถ่ายร่วมด้วยอีกสองคน บาสถามถึงสองสาวอีกสองคนในกลุ่มก็ได้ความว่าขอแยกตัวกลับบ้านไปก่อนหน้านี้สักพักแล้วเพราะอากาศร้อนและมีงานฉลองกับญาติๆในช่วงเย็น ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวก่อน เขาพยักหน้ารับรู้แล้วหันมาสนใจกล้องตรงหน้าแทน พ่อแม่พี่ต่ายขอตัวกลับไปยืนใต้ร่มไม้เหมือนเดิม ทิ้งให้บัณฑิตทั้งหลายถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน


แม้วันนี้อากาศจะร้อน แม้แดดจะแรง แม้ผู้คนมากมายจะเดินขวักไขว่ชนกันไปมา แต่ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพราะวันนี้เป็นวันที่ความเหนื่อยยากของพ่อแม่และนักศึกษาทุกคนที่ศึกษาเล่าเรียนสัมฤทธิ์ผล เป็นรางวัลแห่งความสำเร็จของนักศึกษาทุกคน... เสียงพี่ไบค์ตะโกนเตือนพร้อมๆกับที่ทุกคนจับมือกันเตรียมพร้อม บาสรู้สึกเหนื่อยเพราะไม่รู้ว่าวันนี้ทำท่านี้มากี่รอบแล้วตั้งแต่เช้า แต่รุ่นพี่คณะแพทยศาสตร์อีกสามคนที่ยืนอยู่ตรงนี้แลดูตื่นเต้นเขาก็ต้องยอมทำตามอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนนับถอยหลังจากตากล้องจำเป็นของวันนี้


สาม...
สอง...
หนึ่ง...
เฮ้!




ครับ... พวกผมทุกคนเรียนจบแล้ว…


.
.


เสร็จสิ้นงานพิธีต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน บ้างก็ไปสังสรรค์กันต่อเลยทันทีแต่ต่ายตกลงกับเพื่อนทุกคนแล้วว่าจะเจอกันรอบเย็นเลยทีเดียว พ่อกับแม่ของเขาถึงขนาดปิดสวนอาหารไปโซนหนึ่งเพื่อเลี้ยงให้เขากับเพื่อนทุกคนในกลุ่มโดยเฉพาะ เขาเดินนำร่างสูงของเด็กวิศวะที่กำลังจะได้รับฉายานายช่างใหญ่ในอนาคตมาที่ลานจอดรถ พ่อกับแม่กำลังช่วยกันลำเลียงบรรดาช่อดอกไม้และของขวัญที่เขาได้รับวันนี้ จริงๆนี่ก็น้อยลงไปเยอะเพราะส่วนใหญ่คนอื่นๆจะนำมาให้วันซ้อมก่อนหน้าวันรับจริงแล้ว


ข้าวของถูกจัดจนเรียบร้อย ชายหนุ่มร่างสูงก็ลาพ่อกับแม่เขาไปจัดการตัวเองบ้างและยังย้ำว่าจะตามไปช่วงสองสามทุ่ม ต่ายพยักหน้ารับรู้แล้วโบกมือลา รถยนต์เคลื่อนตัวออกไปตามท้องถนน รถติดเสียยิ่งกว่าทุกวันซึ่งเป็นปกติของช่วงที่มีการรับปริญญาอยู่แล้ว ต่ายรู้สึกสมองเบลอ สองสามวันมานี้เขาเหนื่อยมากจริงๆทั้งเรื่องการยื่นเอกสารต่างๆนานาเพื่อบรรจุเป็นแพทย์ใช้ทุน แม้พ่อกับแม่จะบ่นอยู่หลายครั้งว่าให้เขาจ่ายเงินคืนทุนแล้วเรียนต่อเฉพาะทางหรือบรรจุเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนเลยก็ได้ถ้าลำบาก ต่ายกลับรู้สึกว่าการเลือกทำงานใช้ทุนคืนอีกสามปีเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แม้ปากของทั้งสองคนจะอ้างนั่นอ้างนี่ แต่พอเขาตัดสินใจที่จะเลือกเส้นทางนี้พ่อกับแม่ของเขาก็ยิ้มแก้มแทบปริแล้วกล่าวอวยพรให้เขาโชคดีหลายครั้ง ต่ายรู้ว่าพ่อแม่ของเป็นห่วงแต่เขาก็มั่นคงพอที่จะตัดสินใจและทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันถูกต้อง นอกจากตัวเขาเองแล้ว ทุกคนในกลุ่มของเขาก็เลือกเส้นทางนี้เช่นกัน ปราชญ์ถึงกับต้องทะเลาะกับพ่อเสียยกใหญ่เลยทีเดียว แม้จะแยกกันไปคนละทิศแต่ต่ายเชื่อว่าเพื่อนกันถึงอย่างไรก็ไม่มีวันตัดกันขาด ยิ่งมีโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ติดต่อกันได้ตลอดเวลาแบบนี้แล้วด้วย อีกอย่างคือโรงพยาบาลที่ปราชญ์กับโน้ตเลือกก็ไม่ได้ห่างกับที่ๆเขาจะไปเท่าไรนัก ขับรถสองสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว


กว่ารถจะขยับอีกครั้งก็กินเวลานานพอสมควร ต่างรู้สึกสติของเขาค่อยๆลางเลือนเพราะความเหนื่อยที่สะสมมาหลายวัน หูของเขาได้ยินเสียงแว่วของแม่บอกว่าให้นอนไปเลยก็ได้เมื่อถึงแล้วจะปลุกเองเป็นประโยคสุดท้าย จากนั้นสติของเขาก็ค่อยๆเลือนเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด


.
.


ใบหน้าคมที่สะท้อนกลับมาจากกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่กับประตูตู้เสื้อผ้าบ่งบอกถึงอารมณ์หลากหลายของเจ้าตัวนัก บาสมองใบหน้าของตัวที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ จะเครียดก็ไม่เชิง เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ติดบนผนังปูนสีขาวสะอาดที่บอกเวลาเกือบห้าโมงแล้ว พวกเพื่อนๆกลุ่มของเขาและสายรหัสทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องพอทราบข่าวว่าเขาจะออกจากงานไปหาพี่ต่ายต่อที่ร้านก็ตกลงกันว่าถ้าอย่างนั้นก็แห่ไปเลี้ยงที่สวนอาหารนทีทิพย์กันเลยรอบเดียว เจ้ามืออย่างพี่โก้ที่ถึงขั้นลางานนั่งเครื่องบินมาจากเชียงใหม่เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วทั้งเรื่องโทรไปจองโต๊ะและสั่งอาหารล่วงหน้าเสร็จสรรพ บาสได้แต่มองไลน์กลุ่มที่เด้งข้อความอย่างรวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน


บาสกระชับดึงปกเสื้อโปโล Lacoste สีน้ำตาลอ่อนให้เข้าที่ มองตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วคว้าเจ้าอุปกรณ์สื่อสารที่ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องใหม่แล้วเพราะตอนไปฝึกงานเมื่อช่วงต้นปีเขาทำมันหล่นจากกระเป๋าจนหน้าจอแตกละเอียด กระเป๋าสตางค์ใบเล็กถูกสอดเข้ากระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ขาเดปฟอกสีอ่อน ชายหนุ่มเสยผมเล็กน้อยแล้วเดินลงมายังชั้นล่างของบ้าน บาสเห็นข้าวของทั้งบรรดาดอกไม้และตุ๊กตาที่คนรู้จักรวมถึงเพื่อนๆทั้งหลายเอามาแสดงความยินดีวางระเกะระกะเต็มบ้านแล้วก็ถอนหายใจ คิดในใจว่าวันพรุ่งนี้สงสัยต้องจัดการกันยาวเลยทีเดียว


ห้องนั่งเล่นของบ้านที่มักจะมีแค่เขา พี่ชายและสุนัขตัวโตสองตัวที่นอนผึ่งแอร์ไม่ขยับไปไหนเป็นกิจวัตร บัดนี้มีบุพการีอีกสองคนที่นั่งรายการโทรทัศน์ยามบ่ายอยู่ด้วย บาสขยับไปนั่งข้างๆแม่ของเขา บนตักของนางมีหัวของเจ้าหมาตัวโตที่วางพาดหลับสบายอยู่ ส่วนลำตัวกินพื้นที่โซฟาตัวยาวไปครึ่งหนึ่ง บาสเห็นแล้วหมั่นเขี้ยว ขยำหัวมันแรงๆจนมันส่งเสียงขู่ในลำคอเบาๆ


“ไปแกล้งมันทำไมล่ะ” คนเป็นแม่บ่นอ่อนใจ ตีแขนลูกชายคนเล็กของตัวเองไม่แรงนักแต่ก็ทำให้ขึ้นรอยแดงได้ บาสหัวเราะในลำคอ มองใบหน้าของคนเป็นแม่ด้วยความรัก เขาสังเกตเห็นนัยน์ตาของหล่อนยังคงแดงก่ำเล็กน้อย เพราะเมื่อช่วงเช้าหล่อนก็เอาแต่มองเขาแล้วน้ำตารื้นตลอดเวลา “โตแล้วนะเล่นอะไรเป็นเด็ก”


“อยู่กับแม่บาสเป็นเด็กได้ ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มยกยิ้ม ซบหน้าผากลงกับไหล่ที่แม้ดูบอบบางแต่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก

 
“จะออกไปกี่โมงเนี่ย อย่ากลับดึกนักนะ พรุ่งนี้พ่อกับแม่ต้องบินไฟลท์เช้าด้วย” เสียงทุ้มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อาร์มแชร์ตัวโตเอ่ยถาม พ่อของเขานอนเอนหลับตาจนนึกว่าหลับไปจริงๆเสียแล้ว


“เดี๋ยวออกเลยครับ รอพี่ไบค์กลับมาก่อนเห็นว่าไปทำธุระเรื่องงาน”


“อือ แล้วก่อนทำงานก็อย่าลืมหาวันว่างไปฉลองที่โน่นบ้างล่ะ ญาติๆเราน่ะรออยู่”


“เดี๋ยวผมจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะรีบไปนะ พ่ออย่าลืมบอกย่าให้ๆรางวัลผมหนักๆหน่อยล่ะ หึๆ”


“เดี๋ยวกูโบก ไอ้ Lexus RX450h หน้าบ้านเนี่ยมันก็เยอะไปแล้ว!”


“อ้าว นั่นพ่อให้ ไม่เกี่ยวกัน”


“กูยืมเงินแม่กูมาไง เพราะงั้นถือว่าให้แล้ว”


“โธ่...”


ชายหนุ่มโอดครวญ เขี่ยเจ้าสุนัขไซบีเรียนตัวโตที่นอนตักแม่ของเขาไปให้พ้นทางแล้วสวมรอยแทน ถึงแม้จะบ่นหงุงหงิงแต่บาสก็แอบอมยิ้มเล็กน้อย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดมากหรอก ก็แค่พูดเล่นๆเท่านั้น ที่ได้มานี่ก็มากเกินพอแล้ว


“มาอ้อนเป็นหมาไปได้เนอะไอ้ลูกคนนี้” หล่อนบ่นไม่จริงจังนัก มือนุ่มลูบเส้นผมสั้นดำขลับ


“เดี๋ยวแม่ก็กลับแล้ว อ้อนตอนนี้แหละเผื่อได้รางวัลเพิ่ม” บาสหัวเราะตัวสั่นกึกกัก เงยหน้ามองแม่ที่ก้มแล้วส่งยิ้มมาให้


“ทำอะไรหวังผลตลอด” เสียงพ่อของเขาพูดแบบเอือมระอา


“ไม่จริงสักหน่อยเนอะแม่เนอะ” ชายหนุ่มพยักเพยิดหน้ากับแม่ที่ส่งสีหน้าไม่ต่างจากพ่อเท่าไรตอบกลับมาแทน
บาสหลับตาพริ้ม ช่วงเวลาที่เหนื่อยยากที่สุดของวัยเรียนได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขากำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทำงานอย่างจริงจังในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้า โชคดีที่บริษัทที่เขาฝึกงานยินดีรับเขาบรรจุเข้าเป็นวิศวกรประจำ แถมยังยินดีรับข้อเสนอที่เห็นแก่ตัวของเขาในบางข้อเสียด้วย ความสำเร็จใจวันนี้ของเขานั้นจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากขาดสองบุคคลสำคัญในชีวิตของเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ บาสยิ้ม มองหน้าของแม่จากมุมต่ำ แม้หล่อนจะยังไม่มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ามากนักเพราะเป็นคนดูแลตัวเองดี แต่เขาก็รู้ว่าแม่ดูแก่ขึ้นเยอะเลยทีเดียว กว่าเขาจะเดินทางมาถึงวันนี้ได้ พ่อกับแม่ต้องเหนื่อยสักแค่ไหนกัน...


ลูกชายที่ทั้งดื้อทั้งเอาแต่ใจทั้งสองคนอย่างเขาและพี่ไบค์ ทำให้พ่อกับแม่เสียใจสักแค่ไหนเชียว...


บาสยกแขนขึ้นก่ายหน้า ปิดบริเวณดวงตาที่ร้อนผ่าวเอาไว้ เขาได้ยินเสียงสปริงเก้าอี้อาร์มแชร์ขยับเบาๆ พร้อมกับเสียงลงฝีเท้าไม่หนักมาก พ่อของเขาคงกำลังลุกขึ้นเดินไปในครัวขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลังบ้าน


“พ่อ... แม่...”


“หือ”


เสียงฝีเท้าหยุดลงใกล้ๆ รู้สึกได้แค่ไม่อยากยกแขนขึ้นแล้วลืมตามองเท่านั้น เขารู้สึกว่าหัวตาร้อนผ่าว เสียงที่เปล่งเรียกนั้นแผ่วและสั่นเล็กน้อย


“ขอโทษแล้วก็... ขอบคุณนะครับ”


เสียงหัวเราะในลำคอดังหึหึ เขารู้ว่าเป็นเสียงของพ่อพร้อมกับมือใหญ่ที่ขยี้หัวเขาแรงๆจนมึนไปหมด ชายหนุ่มใช้ท่อนแขนกดปาดน้ำตาที่รื้นคลอหน่วยออกแรงๆ แล้วปัดมือใหญ่ที่หยอกล้อออกไป เหลือบมองพ่อที่ยืนมองเขาด้วยสายตาเอ็นดู ใบหน้าหล่อที่เขาถอดแบบออกมาอมยิ้มเล็กน้อย


เขารู้... รู้ว่าสิ่งผิดพลาดที่เขาได้ทำลงไป เขาได้รับการให้อภัยทั้งหมด


“พอแล้ว พ่ออะ”


“เออ”


.
.


 :z2: :z2:

ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
สวนอาหารนทีทิพย์แน่นขนัดไปด้วยบรรดาลูกค้าที่มาใช้บริการตามปกติและวันนี้ยังเต็มไปด้วยบรรดาเพื่อนฝูง ผู้ปกครองของเพื่อนลูกชายเจ้าของสวนอาหาร รวมไปถึงบัณฑิตต่างคณะที่มาจองโต๊ะฉลองจนคนล้น กลุ่มหลังนี้คุณนทียกให้เป็นลูกค้าวีไอพีทั้งหมด บาสเดินพาพ่อกับแม่ของตัวเองไปที่โต๊ะยาวริมน้ำตัวหนึ่งที่ถูกต่อจนยาวเหยียด เพื่อนๆในกลุ่มบางคนพาพ่อกับแม่มาบ้าง บางคนก็มาเดี่ยวบ้างเพราะผู้ปกครองปล่อยให้มาสนุกกันเต็มที่ แม้จะมีผู้ใหญ่อยู่ค่อนข้างเยอะแต่หัวหน้างานอย่างพี่โก้และรุ่นพี่อีกหลายคนก็ไม่ทำผิดหวัง


สรุปที่ว่ามื้อนี้พี่โก้ไม่ต้องจ่าย บรรดาผู้ปกครองของทุกคนจะช่วยหารกันจ่ายเอง แถมได้ส่วนลดพิเศษจากเจ้าของสวนอาหารเองเสียด้วย เขาสวัสดีพ่อแม่ของโตที่นั่งอยู่ข้างๆที่ว่างแล้วปล่อยให้ผู้ใหญ่ได้คุยกัน ส่วนตัวเองเดินไปหาเพื่อนที่จับกลุ่มยืนคุยกันเสียงดังตรงโซนสำหรับสูบบุหรี่ ชายหนุ่มตบบ่าโตเบาๆ เพื่อนตัวใหญ่สมชื่อหันมามองเขาแล้วกอดคอแน่น


“เพิ่งได้โทรคุยกับไอ้ปันเมื่อกี๊” โตพูดเสียงหงุดหงิด “แม่งบินไปต่ออังกฤษทันทีเลยเหรอวะ ไม่ยอมมาฉลองด้วยกันก่อน”


“เออ แค่นี้ที่บ้านมันก็เร่งจะตายแล้ว” บาสพูดขำๆ รับแก้วเหล้ามาจากไม้ที่ยื่นส่งให้ เขาเห็นว่าจุดนี้ก็มีบาร์น้ำขนาดเล็กตั้งอยู่ด้วย


บาสยกขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วยิ้ม เขาเล่าให้โตกับไม้ฟังว่าพ่อแม่ของปันเร่งให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษนานแล้วตั้งแต่ก่อนรับปริญญา แต่ปันก็ยังยืนยันที่จะอยู่รอรับปริญญาก่อนแล้วค่อยไปทีหลัง เหตุผลที่ถูกเร่งนักเร่งหนาเพราะว่าจะได้เรียนจบพร้อมพี่สาวที่กำลังเรียนต่อปริญญาโทใบที่สองอยู่จะได้กลับมาพร้อมกันพอดี


“ไอ้นพก็เรียนโทที่เดิมเลยใช่ไหม แจคมันก็เรียนต่อเหมือนกันแต่คงไปต่อที่ xxx นะเห็นว่ามีสาขาที่มันอยากเรียน มีแต่มึงกับกู แล้วก็ไอ้ไม้สิที่ทำงานเลย” โตถาม


บาสพยักหน้าเออ-ออตาม “กูเรียนไม่ไหวแล้ว หลังจากนี้ค่อยว่ากัน สมองจะระเบิด”


“พี่หมอล่ะมึง เรียนต่อหรือไปใช้ทุน”


“ใช้ทุน ไปที่สระบุรี”


“ก็ไม่ไกลนี่หว่า ดีๆขับรถแป๊บเดียว แล้วนี่เจอกันยัง กูเห็นโต๊ะกลุ่มเขาอยู่อีกฝั่ง พวกกูเจอแล้วตอนเข้าร้านมา มึงไปหาเขาหรือยัง”


บาสยิ้ม หันไปมองพี่โก้ที่ทำหน้าที่บริการผู้ใหญ่จนเหมือนเป็นบริกรประจำของโต๊ะแล้วนึกขำ พี่รหัสเขาแม้มันจะกวนไปบ้างแต่ก็เป็นคนอัธยาศัยดี แถมยังเข้ากับผู้ใหญ่ง่ายประกอบกับสนิทกับพ่อแม่สายรหัสทุกคนเสียด้วย นอกจากนั้นยังเป็นเพื่อนสนิทพี่ไบค์เพราะฉะนั้นบาสจึงไม่ห่วงพ่อกับแม่ของเขาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกับพ่อแม่ของเพื่อนคนอื่นเท่าไร วันนี้โก้เซอร์วิสได้บริการตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบแน่ๆ ชายหนุ่มหันกลับมาแล้วส่ายหน้าเบาๆ


“ยังเลย เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ไม่เป็นไร อยู่กับพ่อแม่แล้วก็พวกมึงก่อน”


.
.


สามทุ่มกว่าแล้ว...


โต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยบรรดาบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์หน้าใหม่สดๆร้อนๆและผู้ปกครองเริ่มเบาบางลงไปเรื่อยๆ หลายคนที่พาครอบครัวมาฉลองด้วยเริ่มทยอยกลับ บ้างก็แวะมาหาเพื่อนและกลับไปฉลองกับญาติๆตั้งแต่หัวค่ำแล้ว บาสมองผู้คนที่เริ่มร่อยหลอลง พี่โก้เพิ่งจะได้พักนั่งกินเหล้าสูบบุหรี่อย่างสงบได้ไม่ถึงยี่สิบนาที พอได้นั่งเจ้าตัวก็เรียกหากลับแกล้มพร้อมกับเหล้าสารพัดชนิด บาสมองพี่ชายตัวเองกับพี่รหัสนั่งคุยกันเสียงดัง โตขอตัวไปส่งพ่อแม่ของตัวเองที่ยืนยันว่าจะกลับเองและให้ลูกชายฉลองกับเพื่อนๆต่อแต่ในเมื่อเพื่อนส่วนใหญ่กลับกันหมดแล้วเจ้าตัวเลยรู้สึกว่าไม่อยู่ต่อจะดีกว่า อีกอย่างวันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วด้วย ส่วนไม้โดนแม่และพี่ชายดึงกลับบ้านไปนานแล้วเพราะอาม่ารอรับขวัญหลานที่เพิ่งเรียนจบอยู่ บาสหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมานั่งเช็คโซเชียลเน็ตเวิร์คเล็กน้อย ตามกดไลค์บรรดารูปต่างๆที่เพื่อนแท็คมาให้ครบรวมไปถึงโพสท์รูปที่เพิ่งฉลองกันเพื่ออัพเดทบ้างเดี๋ยวจะน้อยหน้า เขาเลื่อนหน้าจอเฟสบุ๊ค เห็นพี่ปราชญ์ถ่ายรูปเพื่อนอีกสองคนกำลังแข่งกันยกขวด spy ขึ้นดื่มแล้วก็อมยิ้มบางๆ นิ้วสไลด์ปิดหน้าจอแล้วเก็บลงกระเป๋ากางเกง


ชายหนุ่มก้าวขายาวของตัวเองไปตามทางเดินเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของสวนอาหาร อันที่จริงมันก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไรนัก เขาสังเกตว่าคนฝั่งนี้ก็เริ่มบางตาลงไปเช่นกัน อาจจะเพราะเป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว เขาเห็นใบหน้าใสของคุณหมออินเทิร์นที่นั่งหัวเราะร่าเพราะพี่โน้ตที่เมาไม่ได้สติแทบจะเดินตกน้ำจนพี่ปราชญ์ต้องไปลากกลับมานั่งที่เดิม บาสทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆ เขาเห็นพี่ต่ายสะดุ้งเล็กน้อยแต่พอเห็นว่าเป็นเขาเจ้าตัวก็เอนหลังพิงตามสบายเหมือนเดิม


“เลิกแล้วเหรอฝั่งโน้น”


“ยังเลย แต่ก็เหลือกันไม่กี่คนแล้ว เหลือแค่พวกพี่โก้ที่ยังคึกอยู่”


“นี่ก็เหมือนกัน เดี๋ยวก็ทยอยกลับกันแล้ว พ่อโน้ตขอตัวกลับบ้านไปก่อนตั้งแต่ทุ่มกว่าแล้วเนี่ย ทิ้งให้มันเมาเป็นหมาอยู่เนี่ย จะให้มันนอนที่นี่แหละเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าให้มันนั่งแทกซี่กลับเอง”


“ผมก็ว่างั้น ดูจากสภาพแล้ว” บาสหัวเราะ


“อ๊ะ ไอ้บาสสสสสส” คนเมาพูดอ๋อแอ๋ลิ้นแข็ง แทบจะคลานมาหาเขา “มาชนกันก่อนเด้ หายหัวไปไหนมาวะเพิ่งจะมา มึงนอกใจเพื่อนกูเหรออออ”


“ตลกล่ะไอ้โน้ต มึงมานี่เลย” ปราชญ์ลากเพื่อนตัวเล็กกว่าที่เดินเป๋เกาะโต๊ะ “ต่าย กูว่ามึงพามันไปนอนเหอะเดี๋ยวกูก็จะกลับแล้ว เดี๋ยวเจอด่านดึกๆจะซวย”


“เออๆ ได้ๆ” ต่ายหยิบขวดน้ำเปล่ามาดื่มสองสามอึก บาสสังเกตเห็นใบหน้าใสแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่พอลุกแล้วไม่ยักกะเดินเซแฮะ...


“เดี๋ยวกูแบกมันไปเอง มึงเดินนำไปเลย จะได้ไปตามป๊ากูด้วย สงสัยกำลังก๊งกับพ่อมึงอยู่ที่บาร์” ปราชญ์บอก มือจับคนเมาที่เซไปมาแล้วหยิบโน่นนี่เล่นอย่างสนุกสนาน ลำบากคนไม่เมาให้มาคอยดูแลตลอด


ต่ายหยักหน้ารับ หันมามองให้ชายหนุ่มที่เพิ่งนั่งลงได้สักครู่ลุกตาม บาสยักไหล่แล้วกระเด้งตัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาก้าวขาไปเดินข้างๆร่างโปร่งที่ดูเหมือนช่วงนี้จะยิ่งบางลงไปอีกหน่อยเพราะวุ่นวายทั้งเรื่องการสอบใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ งานรับปริญญาและลงทะเบียนขึ้นเป็นแพทย์ใช้ทุนต่างจังหวัด การเจอสามงานติดๆกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว แม้จะลำบากไปสักหน่อยแต่พี่ต่ายก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี ใบหน้าเนียนแลดูสดใสขึ้นจากเมื่อเดือนที่ผ่านมามาก


ประตูไม้ด้านหลังของสวนอาหารนทีทิพย์เมื่อเดินทะลุสวนดอกไม้ที่จัดวางเป็นบนชั้นให้ดูสะอาดตาเลยไปไม่ถึงสิบนาทีก็เป็นเขตกำแพงสูงที่ซ่อนบ้านสองชั้นขนาดใหญ่ไว้เบื้องหลัง บาสเห็นลุงยามที่เดินเล่นอยู่หน้ารั้วไม้รีบกุลีกุจอมาเปิดประตูต้อนรับ ทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าสุนัขบีเกิ้ลสามตัวก็วิ่งแห่กันออกมาพันแข้งพันขาจนปราชญ์สะบัดไล่ให้ไปไกลๆก่อนที่จะล้มเพราะแบกเพื่อนที่เมาแอ๋อยู่ โน้ตสงบไปแล้ว พูดให้ถูกคือสลบไปแล้วมากกว่าเพราะพอไม่มีแอลกอฮอล์เข้าปากแถมไม่มีใครพูดด้วย เจ้าตัวเลยนอนหมดสติอยู่บนหลังกว้างของเพื่อนสนิท บาสเคยเข้ามาที่บ้านหลังนี้ไม่บ่อยนัก พอหลังจากครั้งนั้นทุกครั้งที่พี่ต่ายกลับบ้านก็มักจะให้เขาห้อยตามกลับมาทุกที ซึ่งหากนับได้ก็แค่สามสี่ครั้งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเขาเลยยังต้องเดินตามเจ้าของบ้านตัวจริงที่เร่งฝีเท้าไปเดินนำหน้าเพื่อเปิดประตูไม้บานใหญ่ให้ปราชญ์เดินเข้าไปก่อน


ต่ายเดินขึ้นไปชั้นสองเปิดประตูห้องนอนสำหรับแขกที่ว่างอยู่ ห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อยเพราะต่ายเป็นคนโทรบอกให้แม่บ้านขึ้นมาจัดการ ปราชญ์เหวี่ยงร่างเพื่อนตัวเล็กที่นอนหลับสนิทลงบนเตียงหลังใหญ่ ร่างสูงหอบเล็กน้อยแล้วหันมายักไหล่ให้กับเจ้าของบ้าน


“ดูมันด้วยล่ะ” ปราชญ์พูดขึ้น มองไปยังซากศพที่อยู่บนเตียง


“อือ เดี๋ยวมันตื่นเมื่อไรก็ให้มันกลับเมื่อนั้นแหละ”


“แล้วมึงอะ นอนนี่เหรอ” เพื่อนรุ่นพี่พยักเพยิดหน้ามาถามเขา บาสส่ายหน้าตอบ


“ไม่อะพี่ พ่อแม่ผมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเลย เดี๋ยวกลับแล้ว”


“นั่นสิเนอะ บ้านนี้อย่านอนเลยมึง ทำอะไรก็ต้องเกรงใจพ่อแม่ต่ายมัน” ปราชญ์พูดกลั้วหัวเราะ ตบไหล่หนาของรุ่นน้องแรงๆ


“ไอ้ปราชญ์!”


“ทำไม? หรือกูพูดผิด”


“เชี่ย รีบไสหัวของมึงกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ขอให้เจอด่านแล้วโดนเป่า”


“แช่งกูจริง เออๆ กูไปล่ะ เดี๋ยวกูเดินไปตามป๋าด้วย ไม่ต้องไปส่งอะ มึงอยู่นี่ก็ได้เดี๋ยวกูเดินออกไปเอง”


ต่ายพยักหน้าหงึกหงักแต่ก็เดินไปส่งเพื่อนสนิทถึงหน้าประตูรั้วบ้านที่อยู่ติดกับร้านอาหารด้านหน้า เขามองเพื่อนตัวสูงพอๆกับคนข้างๆที่เดินตัวตรงไม่มีโซเซแล้วก็วางใจ อย่างน้อยแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปคงเจือจางบ้างแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในเมื่อสติของเจ้าตัวยังอยู่ครบ โชคดีที่หน้าบ้านของเบาเลยไปนิดหน่อยก็เป็นทางด่วนแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ซวยเจอด่านหลังลงทางด่วนหรอก


“แล้วนี่จะกลับหรือยัง มารถไบค์เหรอ” ร่างโปร่งหันมาถามคนใกล้ตัวที่นั่งยองๆเล่นกับเจ้าสุนัขทั้งสามตัวที่กระโดดโลดเต้น


“ใช่ครับ เดี๋ยวก็กลับแล้วพี่อย่าเพิ่งไล่กันสิ เดี๋ยวก็ต้องห่างกันนานแล้วอะ” บาสทำเสียงน้อยอกน้อยใจ


“...ไม่ได้ไล่สักหน่อย” ต่ายพูดเสียงค่อย เขามองใบหน้าคมแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจเบาๆ


ก่อนหน้านี้... พวกเขาไม่เคยห่างกันเลยจริงๆ...


“พี่ต่าย...” ชายหนุ่มเรียกเสียงอ่อน เงยหน้ามองอีกฝ่ายออดอ้อนจนคนโตกว่าใจอ่อน ทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างๆ ยกมือขึ้นลูบพุงเจ้าพิซซ่าที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มเปียกน้ำค้างเล็กน้อย คนรักสะอาดขมวดคิ้ว คิดในใจว่าก่อนเข้าบ้านต้องจับเช็ดตัวให้สะอาดเสียแล้ว


“ผมต้องคิดถึงพี่มากแน่ๆ”


ต่ายใจเต้นตึก จะคบกันมาหนึ่งวันหรือหนึ่งปี เจ้าเด็กนี่ก็ทำให้ใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะได้แทบทุกครั้ง


“อื้อ” ต่ายไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากส่งเสียงอือในลำคอ


“ผมจะไปหาพี่บ่อยๆนะ”


“อื้อ แต่ถ้ามันเหนื่อยมากก็ไม่ต้องมานะ”


“ไม่เหนื่อยหรอกครับ”


มืออุ่นละจากพุงนุ่มๆของเจ้าพิซซ่ามาแตะหลังมือขาวเนียนที่นุ่มกว่าหลายเท่านัก ชายหนุ่มกอบกำมือเล็กกว่านั่นไว้จนมิด บีบแรงๆให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเขาจะยังคงอยู่ข้างๆเสมอและตลอดไป


“เพราะพอเห็นหน้าพี่ผมก็หายเหนื่อยแล้ว”


“เว่อร์ตลอด”


ต่ายบ่นอุบอิบ แม้จะเป็นประโยคหวานปนเลี่ยนแต่ก็อดที่จะหน้าร้อนไม่ได้ทุกครั้ง บาสขยับตัวเข้าชิด ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงผิวเนื้อเย็นจากแขนที่โผล่พ้นเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว อากาศคืนนี้ค่อนข้างเย็นพอสมควรเลยทีเดียว เขาก้มหน้าชิด แนบหน้าผากของเขาลงกับหน้าผากมนของคนตรงหน้า แตะสัมผัสเบาๆที่แก้มเนียนแล้วค่อยไล่แผ่วเบาไปยังริมฝีปากสีสด ลมหายใจกรุ่นกลิ่นแอลกอฮอล์เป็นสัมผัสที่เขาไม่ค่อยคุ้นเท่าไรนัก ปกติแล้วทุกครั้งที่จูบกันเขามักจะได้กลิ่นหอมๆของมินต์หรือรสหวานๆจากน้ำหวานที่เจ้าตัวชอบดื่มเสียมากกว่า ชายหนุ่มเพียงแต่จูบซับเบาๆที่ริมฝีปากนุ่มหยุ่นนั่นเท่านั้น ไม่ได้ล้ำลึกไปมากกว่านั้น เขาถอนจูบออก มองใบหน้าเนียนที่เบะปาก ขมวดคิ้วแน่นทั้งๆที่แก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อน่ามอง


พี่ต่ายน่ารัก จะอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง กี่เดือนหรือกี่ปี เขาก็จะย้ำคำนี้


“นี่หน้าบ้านนะ” ต่ายบ่นพึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นพอสิ้นสุดคำพูดชายหนุ่มก็ได้รับสัมผัสนุ่มแตะแผ่วเบาที่ริมฝีปากกลับมาแทนคำพูดร้อยพันที่เจ้าตัวต้องการจะเอ่ย บาสใจเต้นแรง รู้สึกก้อนเนื้อนั่นมันกำลังเต้นระรัวเหมือนราวกับจังหวะกลองที่ทุ้มไปทั้งโสตประสาท ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอะไรทั้งนั้น...



จนกระทั่ง...






“ต่าย!!!”


.
.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
บาสนั่งทับขาก้มหน้าอยู่บนพรมที่ปูทับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบร้อนๆหนาวๆเหมือนตัวเองเป็นไข้สูง เขามองคนข้างๆที่ลุกลี้ลุกลนไม่ต่างกันเท่าไรนักเพียงแต่อีกฝ่ายจิตใจเข้มแข็งกว่าเขามากถึงได้จ้องหน้าบุพการีบังเกิดเกล้าของตัวเองเขม็ง แถมนอกจากพ่อแม่ของพี่ต่ายแล้ว พ่อแม่ของเขายังนั่งอยู่ตรงหน้าอีกด้วย บาสแอบเหล่สอดส่ายสายตาหาพี่ชายตัวดีที่หนีหายไปไหนไม่ทราบเหมือนกำลังหาตัวช่วย แต่เหมือนครั้งนี้โชคจะไม่เข้าข้างชายหนุ่มเหมือนครั้งก่อนๆนักเพราะเมื่อสักครู่ที่ถูกพบ เขาก็ได้ทราบว่าพ่อแม่ของพี่ต่ายได้เชิญพ่อแม่ของเขาให้เข้ามานั่งพักในบ้านเพราะเห็นว่าคนด้านนอกเริ่มซามากแล้ว นั่งด้านในตัวบ้านรอจะรู้สึกสบายกว่า ทั้งสี่คนคงไม่คิดว่าจะมาเจอฉากเด็ดแบบนี้


“อธิบายให้แม่ฟังหน่อยสิบาส” คนถามไม่ใช่แม่ของเขา กลับเป็นแม่ของพี่ต่ายที่นั่งกอดอกจ้องมองลงมาด้วยสายตาเอาเรื่อง


บาสฮึดหายใจ เขาเงยหน้าประสานสายตาเข้ากับดวงตากร้าวของผู้หญิงที่มักจะส่งยิ้มและสายตาเอ็นดูให้เขาเสมอ เขาเหล่มองแม่ตัวเองที่ถอนหายใจเบาๆ “ไม่มีคำอธิบายครับ”


“นี่หมายความว่าจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้นใช่ไหม”


“ผมไม่มีข้อแก้ตัวครับ ผมขอโทษด้วย” บาสตอบเสียงอ่อน “ผมขอโทษที่ทำให้คุณน้าเสียใจ แม่ด้วยนะครับ แต่ผมรักพี่ต่ายจริงๆ”


“ตั้งแต่ตอนไหน” เสียงทุ้มของคนเป็นพ่อถามบ้าง ต่ายขยับตัวอึดอัดจนบาสต้องเอื้อมมือไปแตะให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ


“ปีครึ่งแล้วครับ”


“...หมายความว่าตั้งแต่ที่พี่นวลมาเล่า” บาสเห็นคุณทิพย์แม่ของพี่ต่ายยกมือขึ้นปิดปาก หันไปมองหน้าสามีของหล่อนอย่างตกใจ “ตั้งแต่ก่อนเจอน้าครั้งแรกใช่ไหม”


“ครับ” บาสตอบรับ เขารู้สึกเจ็บจี๊ดๆเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองที่เขาให้ความเคารพทั้งสองคนเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวเองต่างไปจากเดิม


ชายหนุ่มรู้ เรื่องนี้มันไม่ง่าย เขาหนีจากมันมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว มันจะไม่มีครั้งที่สองให้เขาหลีกเลี่ยงอีก...


“ต่ายมีอะไรจะบอกพ่อไหม” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม


บาสสังเกตว่าแม้น้ำเสียงเวลาพูดกับเขาจะกร้าว แต่พอหันไปถามลูกชายตัวเองเสียงกลับอ่อนลงนัก คนข้างๆเขาส่ายหน้าจนผมกระจาย มองใบหน้าของพ่อกับแม่ตัวเองน้ำตาคลอ


“ต่ายขอโทษ” เสียงแหบที่มักจะมั่นใจในตัวเองอยู่เสมอสั่นเครือ ปลายจมูกโด่งรั้นนั่นแดงก่ำ เจ้าตัวคงกลั้นน้ำตาไว้สุดชีวิตไม่ให้มันไหลพรากลงมาตอนนี้


“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจดังมาจากคุณทิพย์ที่เอนหลังพิงกับพนักโซฟาตัวใหญ่ เหลือบมองสองคนที่นั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้า “น้าสงสัยตั้งแต่แรกแล้ว...ต่ายไม่เคยมีเพื่อนต่างคณะ เพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่ม.ปลายก็ไม่ใช่ แถมเด็กกว่ากันตั้งสองปี ต่าย...ต่ายเป็น...เหรอลูก ทำไม พ่อกับแม่เลี้ยงต่ายมาไม่ดีเหรอ”


“...ไม่ใช่...” สันเขื่อนกั้นบ่อน้ำตาคงพังทลายลงตรงนี้ บาสรู้สึกเจ็บไปทั้งใจเมื่อเห็นใบหน้าเรียวเปื้อนไปด้วยธารน้ำตาเต็มใบหน้า มือเล็กได้แต่ปาดมันออกป้อยๆ พูดจาสะอึกสะอื้นไม่เป็นภาษา “มะ ไม่ใช่ ไม่ใช่นะ”


เขากระชับมือที่เกาะกุมอีกฝ่ายไว้แน่น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงแรงสั่นระริกไหว มือเย็นชืดเพราะความตกใจกลัว พี่ต่ายคนเก่งของเขาตอนนี้เป็นเพียงกระต่ายตัวน้อยๆเท่านั้นเอง เขารั้งคนตัวเล็กกว่าเข้าหาแค่แผ่วเบาเท่านั้น ร่างทั้งร่างก็โผเข้าหากอดเขาแน่น สะอื้นจนตัวโยน บาสเงยหน้ามองพ่อแม่ของต่ายรวมไปถึงของเขาด้วย ชายหนุ่มยิ้มอ่อน เขารู้ตัวเองเป็นฝ่ายผิด


เขาผิดตั้งแต่แรกแล้วที่คิดจะมีรักในรูปแบบนี้


“ผมขอโทษครับ ผมเป็นคนเริ่มก่อนเอง แต่ผมอยากบอกทั้งคุณน้าทั้งสองคนแล้วก็พ่อกับแม่ว่าผมรักพี่ต่ายจริงๆ ผมไม่รู้ความความรักนี้ของผมจะยืนยาวแค่ไหน ผมไม่กล้ายืนยันว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนจะไม่มีวันสิ้นสุดลง ผมขี้ขลาดเกินกว่าที่จะสาบานเรื่องในอนาคต ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนดี และผมก็อาจจะไม่ใช่ลูกที่ดีของพ่อแม่สักเท่าไร”


“ถ้าน้าบอกให้ปล่อยตอนนี้ เราจะปล่อยมือออกจากกันไหม” คุณนทีที่นั่งเงียบมาสักพักเอ่ยถามแทนภรรยาที่ยกมือขึ้นกุมศีรษะแน่น


“ไม่ครับ ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือตอนไหน ตราบใดที่ผมยังรักพี่ต่ายอยู่ ผมจะไม่มีวันปล่อยมือนี้เด็ดขาด”


“แล้วถ้าเราเลิกรักกันล่ะ ทั้งสองคนจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้มันไม่ง่ายนะบาส... ต่ายด้วย” บาสมองพ่อตัวเองที่พูดขึ้นบ้าง เขาได้แต่ยิ้มบางให้เพราะไม่รู้จะส่งสีหน้าอย่างไรกลับไปดี


“ผมไม่รู้ว่าผมแน่ใจว่าผมรักพี่ต่ายตอนไหน ผมรู้อีกทีผมก็รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ ได้เห็นพี่ต่ายยิ้มหรือหัวเราะ ผมชอบแหย่ให้เขาอารมณ์เสียอยู่บ่อยๆแล้วโวยวายออกมาดังๆ ผมไม่ชอบเวลาเห็นพี่ต่ายเครียดเพราะเขามักจะหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งนั้น อย่างที่ผมบอกไปครับว่าตราบใดที่ผมยังรักพี่ต่ายอยู่ผมจะไม่มีวันปล่อยมือนี้เด็ดขาด ไม่ว่าคุณน้าทั้งสองคนหรือพ่อกับแม่ขอร้องก็ตาม ความรักของผมจะจบลงต่อเมื่อวันที่พี่ต่ายไม่ต้องการเท่านั้น วันนั้นผมถึงจะยอมปล่อยมือพี่ต่ายไป...”


บาสยิ้มขื่น มองคนในอ้อมกอดที่เกาะบ่าเขาร้องไห้หนักกว่าเดิม ส่ายหน้าระรัวกับแผ่นอกกว้างจนบาสเห็นว่าแว่นมันคงจะกดดั้งโด่งจนเจ็บ เขาจึงละมือข้างหนึ่งที่โอบไว้หลวมๆมาถอดแว่นของอีกฝ่ายออกแล้ววางไว้ข้างๆ นิ้วโป้งลูบคราบน้ำตาที่ชุ่มปลายขนตาหนาเป็นแพจนเกาะกันเป็นช่อๆ


“...แต่ผมเกรงว่า...มันคงไม่มีวันนั้น”


เสียงถอนหายใจหนักๆจากคนสี่คนดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน บาสเงยยิ้มให้กับคนที่ยังคงซุกหน้าหนีความจริง แล้วเงยหน้ามองผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่จ้องมองมาเป็นสายตาเดียว


“ต่าย...” คุณนทีเรียกเสียงแผ่ว “เงยหน้ามาคุยกับพ่อกับแม่หน่อยสิลูก”


ร่างโปร่งค่อยๆขยับตัวออก มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ แบมือขอแว่นสายตาที่ถูกเขาใช้ชายเสื้อเช็ดเลนส์ให้ลวกๆ พออีกฝ่ายตั้งสติได้ก็ค่อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่ตัวเองหลบสายตามาตลอด


“พวกพ่อกับแม่ฟังน้องมันพูดมาเยอะแล้ว ต่ายล่ะ ถ้าพ่อกับแม่ขอให้แยกจากกันตอนนี้จะได้ไหม”


ต่ายส่ายหน้าระรัว มองใบหน้าทั้งสี่คนด้วยสายตาละห้อย “ไม่เอา ไม่เลิกนะ ผมขอโทษครับ”


ใบหน้าเรียวเล็กซีดขาวเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่แห้งไปบ้างแล้วแต่ยังคลอหน่วยอยู่ที่ดวงตากลมโตนั่น บาสแตะแขนเล็กที่สั่นระริก ยิ้มอ่อนโยนให้กับคนข้างๆที่เหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ ร่างสูงเป็นฝ่ายก้มลงกราบแน่นิ่งที่พื้นพรมก่อน ต่ายเห็นแล้วจึงรีบค้อมตัวลงทำตาม


ทั้งห้องเงียบสงัด ได้ยินเสียงเพลงด้านนอกเล็ดรอดเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บาสรู้สึกว่ามันเงียบ เงียบจนน่าอึดอัดเสียยิ่งกว่าให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนลุกขึ้นมาด่าว่าใส่อารมณ์เสียอีก เขาไม่รู้ว่าเขากับคนข้างๆก้มลงกราบแทบเท้าบุพการีทั้งสี่คนอยู่นานแค่ไหน ถึงห้านาทีได้ไหม แต่เสียงทุ้มต่ำของเจ้าของบ้านอย่างคุณนทีคือเสียงแรกที่เขาได้ยินหลังจากความเงียบที่น่าอึดอัดใจนั้นผ่านพ้นไป...


“เงยหน้าขึ้น ทั้งคู่แหละ”


บาสเห็นคนข้างๆเขาเงยหน้าขึ้นก่อน ผ่านไปสักพักพี่ต่ายเหมือนได้สติสตังกลับคืนมาครบแล้วหลังจากที่หลุดลอยออกไปด้วยความตกใจกลัวมาสักพัก ใบหน้าเรียวนั่นค่อยๆซับสีเลือดมากขึ้นจนเขาแอบคิดในใจว่าหรือเพราะก้มหน้าอยู่นานก็ไม่รู้


“สรุปยังไงก็จะคบกันต่อไปใช่ไหม” คุณทิพย์ แม่พี่ต่ายถามขึ้นหลังจากเงียบไปนาน


“ครับ” “ครับ”




“ก็แค่นี้เอง...อมพะนำกันมาอยู่ได้เป็นปีๆ” หล่อนกระแทกเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย มองใบหน้าของลูกชายและแฟนลูกชายด้วยความขุ่นเคือง


บาสหน้าเอ๋อ รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เขากับพี่ต่ายหันมามองหน้ากันแทบจะเวลาเดียวกันด้วยความงุนงง


“พ่อกับแม่สงสัยตั้งแต่ที่ต่ายพาบาสมาที่ร้านครั้งแรกแล้ว แต่ไม่ได้เอะใจอะไร หลังๆเห็นเราอยู่ด้วยกันถี่ผิดปกติรุ่นพี่รุ่นน้องต่างคณะ เลยพอเข้าใจอะไรมากขึ้น ประกอบกับที่พี่นวลมาเล่า เราน่ะมารับมาส่งต่ายจนผิดปกติ ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละบาส”


“เออ แล้วคุณดากับคุณธนาทราบตอนไหนหรือคะ เห็นดูไม่แปลกใจเหมือนกันเลย”


“อ๋อ พวกผมเจ้าลูกชายสารภาพมาสักพักแล้วครับ ตอนแรกก็ช็อคเหมือนกัน มีลูกชายหน้าตาดีทั้งสองคนใช้งานไม่ได้สักคน”


“นี่หมายความว่า...”


“ครับ พี่ชายเจ้าบาสก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน”


“ตายล่ะคุณ พวกเขาต้องปวดหัวมากกว่าเราแน่ๆเลย ที่เราเครียดกันนี่เบาไปเลยนะเนี่ย”


“...แม่...”


“เลี้ยงได้แต่ตัวนะคะเด็กสมัยนี้ แย่จริงๆ”


“แม่!!!”


“อะไรคะคุณลูก”


ต่ายกรอกตามองขึ้นเพดานสีสว่างแล้วหันมาจ้องใบหน้าของบุพการีตัวเองที่นั่งคุยกับพ่อแม่ของอีกฝ่ายอย่างออกรส “แม่รู้อยู่แล้วอะ”


“ก็รู้สิ ลูกให้น้องมันมารับมาส่งแถมตัวติดกันตลอดทุกครั้งที่มาที่ร้าน แม่ก็รู้สิ”


“แล้วแม่จะ...”


“ถึงแม่จะรู้ แต่การไปสวีทหวานแหววกันหน้าบ้านนั่นมันสมควรไหมล่ะคะคุณลูก...” คุณทิพย์เอ็ดเสียงเขียว “ถ้าเด็กที่ร้านมันเห็นหรือว่าพวกเด็กในบ้านมาเห็นจะว่ายังไงจ๊ะ แล้วการที่ปิดพ่อกับแม่มาเป็นปีนี่มันสมควรไหมต่าย”


“ขอโทษครับ...” พูดเสียงหงอยจนบาสสงสาร ก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อเห็นสายตาดุจ้องมาที่ตัวเองแทน


“เราก็เหมือนกัน บอกพ่อกับแม่ของเราให้รู้ก็ดีแล้ว แล้วคิดจะบอกพ่อกับแม่บ้างไหม รู้ไหมว่าบางครั้งพ่อกับแม่ก็ต้องทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนกันนะ อย่างวันนี้ดูสิ มีที่ไหนมายืนซับหน้าให้กันที่งาน แม่เห็นแล้วใจจะตกไปที่ตาตุ่มเหลือเกิน ถึงมันจะดูน่าเอ็นดูก็เถอะ”


คุณทิพย์บ่นปอดแปดแต่บาสฟังแล้วหน้าแดงวาบ นี่หมายความว่าพวกเขาโดนเก็บรายละเอียดมาตลอดเลยสินะ


“เอาล่ะๆ คุณเลิกบ่นได้แล้ว” คุณนทีเอ่ยห้าม จับมือภรรยาของตัวเองเบาๆ “เอาเป็นว่าพ่อกับแม่รับรู้ เรื่องของเราสองคนพ่อกับแม่จะคอยดูอยู่ห่างๆแล้วกัน ถ้าเราเลือกเดินทางนี้แล้วพ่อกับแม่ก็ทำได้เท่านี้แหละ เราโตกันแล้ว เรียนจบกันแล้วด้วย เรื่องชีวิตหลังจากนี้ถือเป็นการตัดสินใจของเราทั้งสองคน โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ต่ายด้วย โตกว่าน้องมันทั้งทีต้องให้น้องมันออกโรงปกป้องเราตลอดงานเลยนะ”


“ไม่ใช่สักหน่อย” ต่ายพูดแล้วเบะปาก


“หลังจากนี้ก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกนะ เพราะเราสองคนไม่ได้ทำอะไรผิด แค่มีคนรักเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง”
บาสยิ้มเผล่ มองวงหน้าขาวใสที่ซับสีเลือดขึ้นมาหน่อยที่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน


ไม่ได้ทำอะไรผิดแค่มีคนรักเป็นผู้ชายเท่านั้นเองครับคุณพ่อ แค่นี้ผมก็รู้สึกเส้นศีลธรรมมันเบี้ยวจนหลุดเฟรมไปนานแล้วครับ


“ต่ายไปล้างหน้าล้างตาไป... หน้าตาดูไม่ได้เลย” ต่ายเหลือบมองแม่ตัวเองที่เอ่ยทัก เขาพยักหน้ารับ แต่ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน เขาค่อยๆคลานเข้าไปหาผู้ใหญ่สองท่านที่นั่งอยู่ข้างๆพ่อกับแม่ของตัวเอง


คุณดาและคุณธนาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย มองดวงตาภายใต้เลนส์ใสของกรอบแว่นสีดำที่มองตรงมา มือเล็กค่อยประนมแล้วกราบลงอีกครั้ง “ผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษที่ทำให้ลูกชายคุณน้าต้องเป็นแบบนี้”


ผู้ใหญ่สองคนมองหน้ากันแล้วอมยิ้มบางๆ ก้มตัวแตะบ่าเล็กที่คู้ลงกับพื้นให้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตา “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เจ้าบาสมันผิดเองมากกว่า ต่ายน่ะหลงกลเจ้านั่นมันแล้วนะ จากนี้ไปต้องเหนื่อยแย่แล้ว”


ต่ายหัวเราะในลำคอ ส่งยิ้มหวานให้กับพ่อแม่ของบาสที่มองมาด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องจากนี้หรอกครับ เพราะผมเหนื่อยกับหมอนี่มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ”


พี่ต่ายขอตัวเดินไปห้องตัวเองเพื่อล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย บาสนั่งมองชะเง้อตาละห้อยเสียจนเจ้าของบ้านทั้งสองคนเห็นแล้วหัวเราะขำ คุณทิพย์มองเด็กหนุ่มตัวโตกว่าลูกชายเธอด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยคำอนุญาต “ตามไปสิ”
บาสยิ้มกว้าง ชายหนุ่มก้มลงกราบบุคคลทั้งสองอีกครั้งก่อนจะขยับไปกอดพ่อกับแม่ของตัวเองแรงๆจนโดนแม่ฟาดเข้าให้ดังเพี๊ยะข้อหากอดแรงเกินไป เขาลุกขึ้นวิ่งโขยกเขยกเพราะอาการชาที่ลามขึ้นมาจากการนั่งทับขาเป็นเวลานาน ได้ยินเสียงผู้ใหญ่สี่คนนั่งคุยกันไล่หลังมาแล้วเขารู้สึกว่าภูเขาไฟลูกใหญ่ที่สุมตัวอยู่ในอกมาเป็นเวลาปีกว่านั้นได้ระเบิดออกและสงบตัวลงไปในที่สุด เขาก้าวขึ้นบันไดทีละสองก้าว ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เขาก็วิ่งมาถึงหน้าประตูไม้สีน้ำตาลอ่อน บาสตัดสินใจเคาะสองสามครั้งแล้วค่อยเปิดโผลงเข้าไปแบบไม่ต้องรอคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง

   
“พี่ต่าย!” บาสเรียกเสียงดัง ใบหน้าขาวเปียกน้ำชะโงกออกมาจากห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนโผล่ออกมามองเขาตาเขียว


“ตกใจหมด ตะโกนทำไมเนี่ย!” ต่ายโวยกลับ เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูซับน้ำบนใบหน้าให้เรียบร้อยแล้วจึงใส่แว่นตาตามปกติ “ขึ้นมาทำไมเนี่ยเดี๋ยวก็ลงไปแล้ว”


“ก็มันดีใจ” บาสพูดเสียงตื่นเต้น “พี่ต่ายไม่ดีใจเหรอ”


“ก็... อือ ตามนั้นแหละมั้ง” ต่ายตอบแล้วอมยิ้มจนแก้มตุ่ย บาสเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปฟัดพวงแก้มเนียนสะอาดจากการล้างหน้าเมื่อครู่ อ้อมแขนกว้างโอบรัดคุณหมอตัวบางกว่านั้นไว้แน่น แปลกตรงที่ต่ายกลับไม่รู้สึกว่ามันอึดอัดเลย


“พี่ต่าย...”


“หือ”


“ผมมีอะไรจะให้ล่ะ ผมตั้งใจจะให้พี่ตอนเรียนจบอยู่แล้ว”


“อะไร”


ต่ายขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเป็นเชิงถาม เขาเห็นอีกฝ่ายเอื้อมมือไปที่คอด้านหลังแล้วปลดสร้อยคอเส้นที่ใส่ประจำออก บาสยิ้มกว้างส่งให้กับคนที่ทำสีหน้างุนงง เขาคว้ามือที่วางอยู่ข้างลำตัวของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้ววางมันลงไปบนฝ่ามือนั้น


“ผมยังไม่ได้ทำงานมีเงินเป็นของตัวเอง ผมเลยยังไม่มีปัญญาซื้ออะไรดีๆให้พี่ได้มากกว่าที่ผมเคยให้ไปแล้ว แต่สร้อยเส้นนี้...” ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างเขี่ยสายสร้อยที่ทำจากเส้นไหมสีดำหนาอย่างดีออก เผยให้เห็นถึงจี้ตราสัญลักษณ์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์


“เกียร์นี่อยู่กับผมมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ผมใช้ความยากลำบากกว่าจะได้การยอมรับจากรุ่นพี่ ต้องทำตัวตามกฎกติกา ตามระเบียบต่างๆเยอะแยะมากมายจนกว่าจะได้เกียร์นี่มา สำหรับเด็กวิศวะแล้วเกียร์จึงถือเป็นทั้งสัญลักษณ์ ทั้งศักดิ์ศรีและทั้งเหรียญตราที่แสดงถึงระบบ ระเบียบและความสามัคคี ฟันเฟืองหนึ่งอันไม่สามารถหมุนเครื่องจักรได้ แต่ต้องมาจากการสานต่อมันเข้าด้วยกัน เครื่องจักรถึงจะเคลื่อนไหว...


“ชิ้นส่วนหนึ่งที่เป็นกุญแจขับเคลื่อนเครื่องจักรของผมอยู่กับพี่... ผมฝากเอาไว้ให้พี่ดูแล เพราะหากวันใดวันหนึ่งชิ้นส่วนนี้มันหายไปนั่นหมายถึงฟันเฟืองในหัวใจผมมันหายไปด้วย ถึงวันนั้นหัวใจผมคงหยุดเต้น...”


มือใหญ่ทั้งสองข้างรวบมือของคุณหมอให้กำมือที่ถือเกียร์ไว้แน่น ชายหนุ่มยกมันขึ้นแตะจูบเบาๆ ดวงตาคมเหลือบมองเจ้าของมือที่หน้าแดงระเรื่อ เจ้าตัวทำสีหน้าไม่ถูกไปครู่หนึ่งแล้วส่งยิ้มหวานตอบกลับเสียจนหัวใจเขาแทบจะละลายไปกองตรงหน้า ต่ายขยับขืนมือที่กำสร้อยคออีกฝ่ายไว้แน่นออกจากพันธนาการที่เกาะกุม มองใบหน้าคมจอมทะเล้นที่บทจะจริงจังทีไรก็ชอบส่งสายตาร้อนแรงจนหน้าเขาร้อนไปหมด มือข้างที่กำศักดิ์ศรีของเด็กวิศวะอยู่กระแทกเบาๆลงบนแผ่นอกหนาด้านซ้าย รู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะระรัว ต่ายมองหน้าอีกคนตัวใหญ่กว่า ส่งรอยยิ้มที่บาสคิดว่านี่คือรอยยิ้มที่สวยที่สุดในชีวิตที่เขาเคยเห็น


“นี่เป็นใคร... ฉันเป็นหมอนะ... ถึงจะมีวันไหนฟันเฟืองนายหายไป หรือจะมีวันไหนหัวใจนายจะหยุดเต้น คุณหมอคนนี้ไม่มีวันให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด ฉันจะปั๊มหัวใจนายจนตื่นขึ้นมา ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม จำเอาไว้ ถ้าฉันไม่อนุญาต ฉันก็จะดึงเอาเซลล์ที่ตายแล้วของนายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ไม่ว่าต้องใช้วิธีการแบบไหน ฉันก็จะทำ นายลองดูสิ!”  


คำพูดแสนหวานพร้อมกับสัมผัสอุ่นนุ่มที่กระทบกับริมฝีปากหนาทำเอาร่างสูงของนายช่างใหญ่รู้สึกตัวเบาราวกับจะลอยได้ เขากอดร่างนุ่มหอมตรงหน้าแน่นราวกับกลัวคนตรงหน้าจะหลุดหายไปหากเขาปล่อยมือออก ชายหนุ่มขยับริมฝีปากมอบจูบเร่าร้อนให้กับคุณหมอจนคนน่ารักที่รุกก่อนหายใจติดขัด รั้งช่วงบ่ากว้างกว่าออกเบาๆ


“ผมรักพี่ต่าย”


คนถูกบอกรักไม่รู้กี่ร้อยครั้งอมยิ้ม เขากัดริมฝีปากแดงที่เจ่อเล็กน้อยเพราะถูกอีกฝ่ายบดจูบรุนแรงเมื่อครู่ ยกมือขึ้นลูบเส้นผมสั้นที่ตกลงมาประหน้าผากคนตัวใหญ่กว่าแผ่วเบา


“อื้อ รักเหมือนกัน!”


.
.

ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
บทส่งท้าย


จ.สระบุรี


“คุณหมอครับ”


เสียงคุณลุงวัยกลางคนที่ค่อนไปทางวัยชราคนหนึ่งเอ่ยเรียกคุณหมอหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์ตัวสั้น ที่ปักชื่อนพ.จิระภัทร ทรัพย์ทวีโชค ด้วยด้ายสีเขียวไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายพร้อมกับตราสถาบัน คนถูกเรียกหันไปส่งยิ้มให้กับคุณลุงผู้ดูแลบ้านเช่าของเขาที่มักจะคอยมาส่งข้าวส่งน้ำให้เสมอ แต่วันนี้ต่างจากวันอื่นเพราะคุณลุงมาส่งเถาปิ่นโตพร้อมกับข้าวน่าทานอีกหลายอย่างเรียบร้อยแล้วเมื่อสักหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง


“ครับลุงโชค มีอะไรหรือเปล่าครับมาหาผมเวลานี้” ต่ายเอ่ยถามอย่างสงสัย


“เรื่องบ้านเช่าน่ะครับคุณหมอ” ลุงโชคพูดกระอักกระอ่วน ดูแกลำบากใจไม่น้อยเลยที่จะพูดเรื่องนี้


เรื่องบ้านเช่าที่เขาอาศัยอยู่ในนั้นอยู่ในตัวหมู่บ้านเล็กๆถัดจากโรงพยาบาลไปไม่ถึงยี่สิบนาทีหากขับรถไป แต่ด้วยความที่มันเป็นบ้านเช่าขนาดใหญ่ เป็นบ้านสองชั้น หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น ชั้นบนมีห้องนอนสองห้องนอนใหญ่รวมถึงมีลานจอดรถถึงสองคัน ก่อนหน้านี้ลุงแกเลยจัดการให้เช่าสองคน ด้วยค่าเช่าที่ค่อนข้างแพงจึงไม่มีชาวบ้านคนไหนไปเช่าอยู่อาศัย จะมีก็แต่บรรดานายแพทย์ที่ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนี้หรืออินเทิร์นที่มาเช่าอยู่เท่านั้น ต่ายโชคดีที่ตอนเขามาตระเวนหาบ้านพักนั้นเขาเจอที่นี่พอดี และผู้อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้คือคุณหมอวัยกลางคนสองคนที่จะย้ายเข้าไปประจำที่โรงพยาบาลในกรุงเทพพอดี เขาเลยตัดสินใจเช่าทั้งหลังพร้อมทำสัญญาเป็นเวลาสามปี สัญญาอะไรต่างๆมันน่าจะเป็นไปได้ด้วยดีหากลูกชายของแกไม่ไปเซ็นสัญญาซ้อนเพิ่มขึ้นมาอีกใบเสียก่อน เดือดร้อนมาจนถึงคนเป็นพ่ออย่างคุณลุงโชคที่ต้องมานั่งลำบากใจถึงตอนนี้


“คนเช่าอีกคนเขาบอกว่าจะมาดูบ้านตอนไหนนะครับ ผมออกเวรแล้วจะได้รีบไป”


ต่ายยิ้มให้แกอย่างใจเย็น รู้สึกเห็นใจแกไม่น้อย เรื่องนี้เขาเองก็ได้ปรึกษากับพ่อแม่ แล้วก็บาสเรียบร้อยแล้วว่าจะเอาอย่างไร ที่จริงเรื่องนี้หากแจ้งความเขาได้รับสิทธิ์เต็มๆเพราะเขาเซ็นสัญญาพร้อมกับย้ายเข้ามาอยู่ก่อน แต่เพราะเห็นแก่ลุงโชคเลยเชียว เขาเลยไม่กล้าที่จะดำเนินการอะไรทั้งนั้น ลูกชายแกก็อยากได้แต่ผลประโยชน์จากเงินค่าเช่าทั้งสองฝ่าย เลยบอกให้เขายินยอมแชร์บ้านร่วมกับผู้เช่าอีกรายที่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วบอกว่าจะคืนเงินส่วนที่เหลือให้ ก็แน่ล่ะสิหากมีคนเช่าสองคนตัวเองก็จะได้เก็บเงินค่าสัญญาระยะยาวเพิ่มได้อีกเป็นแสนเลยเชียว แสนนึงที่ต่างจังหวัดแบบนี้เรียกได้ว่าหากไม่เมาเหล้าติดยา เข้าบ่อนนี่อยู่ได้สบายๆเลยล่ะ เขาบ่นกับบาสเรื่องนี้หลายทีแล้ว รายนั้นพูดติดตลกว่าถ้าเขาอยู่ร่วมบ้านกับใครจะยอมขับรถมานอนถึงสระบุรีแล้วตื่นตีสามขับรถเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯต่อ


“เห็นแกบอกว่าจะมาช่วงหกโมงเย็นวันนี้น่ะครับคุณหมอ ลุงเองก็ไม่อยากให้มันมีเรื่องแบบนี้เลย ไอ้ชัยเอ้ย หาเรื่องจริงๆ”


“ครับ ไม่เป็นไรนะครับ ผมออกเวรหกโมงเย็นพอดี ถ้าเขามาก่อนวานลุงโชคช่วยรับรองเขาก่อนสักครู่จะได้ไหมครับ ผมจะรีบไป”


ลุงโชคจากไปแล้ว ต่ายกระแทกกระดานชาร์ตบอร์ดที่ถืออยู่ในมือเข้ากับหัวแรงๆทีหนึ่ง คิดอยากจะโทรไปบ่นให้นายช่างที่คงกำลังงานยุ่งฟังแต่เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า ไว้ผลเป็นอย่างไรค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ถึงตอนนั้นอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้ว


.
.


สองทุ่มครึ่ง


ต่ายนั่งดูทีวีช่องสามที่กำลังฉายละครอยู่แก้เบื่อ อันที่จริงเขาแลกเวรกับอินเทิร์นอีกคนเพราะวันนี้ติดธุระแต่ผู้เช่าที่เซ็นสัญญาไปกับลูกชายลุงโชคที่บอกว่าจะมาตอนหกโมงบัดนี้ก็ยังไม่มาสักที ต่ายเพิ่งวางโทรศัพท์จากบาสไปเมื่อสักครู่ บ่นให้ฟังถึงเรื่องของวันนี้นิดหน่อยจากนั้นก็นั่งรอจนง่วงไปหลายรอบ ที่ต่างจังหวัดนี่พอตกดึกทีไรก็เงียบสงบแถมมืดสนิทจนเขาขนลุกทุกที ถึงอย่างไรเขาก็คงต้องทำตัวเองให้ชินเร็วๆนี้ นี่อยู่มาเดือนกว่าแล้วก็ยังคงรู้สึกวังเวงทุกครั้ง


เสียงล้อที่เบียดกับถนนลูกรังทางเข้าหน้าบ้านทำให้ต่ายถอนหายใจหนักๆ ดวงตาเหลือบมองนาฬิกา นึกตำหนิอีกฝ่ายที่บอกว่าจะมาถึงตั้งแต่หกโมงในใจ คิดว่าหากเจอหน้าแล้วไม่ถูกชะตาคงต้องฉะกันสักตั้งเสียแล้ว เขาใส่รองเท้าแตะที่วางอยู่หน้าบ้าน เดินออกไปยืนท้าวสะเอวรอ


รถ Lexus RX450h ติดฟิล์มเกือบดำตรงหน้าทำเอาต่ายหรี่ตามอง คิดในใจว่าผู้เช่าคนนี้คงไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะมาจากกรุงเทพก็ได้ เพราะรถยี่ห้อนี้ต่างจังหวัดไม่มีคนขับแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะเป็นนักธุรกิจที่มาลงทุนก่อสร้างแถวๆนี้ก็ได้ ต่ายกอดอกหรี่ตามองเพราะเจ้าของรถยังไม่ยอมดับไฟหน้าเสียที นี่มันไร้มารยาทมากจริงๆ มีที่ไหนเป็นคนยืนอยู่ยังเสร่อเปิดไฟแรงสูงส่องหน้าชาวบ้านแบบนี้


ประตูรถด้านคนขับถูกเปิดออกกว้าง ต่ายยังคงรู้สึกตาพร่าจนต้องหลับตาแช่ ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งตะกุยพื้นหินมาพร้อมกับแรงตะกายตรงขาแล้วก็ตกใจ ลืมตามองด้วยความผวา


เอ๊ะ...


“พิซซ่า!!!”


เขาตะโกนออกมาเมื่อมองเจ้าสุนัขตัวเล็กที่ตะกายขาให้เขาอุ้มด้วยความดีใจ มันหอบแฮ่กๆ ส่งเสียงเห่าเล็กแหลมดังก้องไปทั่ว ต่ายทั้งตกใจระคนดีใจ หันไปมองร่างสูงในเสื้อเชิ๊ตสีกรมท่าพับแขนถึงข้อศอก ที่เดินเข้ามาประชิดตัว ชายหนุ่มอุ้มเจ้าสี่ขาที่อยู่ในอ้อมกอดคุณหมอออกแล้ววางมันลงบนพื้น แล้วสวมกอดร่างโปร่งเอาไว้แน่น ต่ายตัวแข็ง รู้สึกงงเป็นไก่ตาแตก


“ฝากตัวด้วยนะครับ ผมเป็นผู้ร่วมเช่าบ้านหลังนี้อีกครึ่งหนึ่งตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา” เสียงทุ้มพูดร่าเริง ยื่นมือข้างขวาออกมาเพื่อแนะนำตัว “ผมเป็นวิศวกรโยธา เพิ่งย้ายจากกรุงเทพมาประจำที่สระบุรีเพื่อควบคุมการสร้างถนนตัดใหม่ที่กำลังจะเริ่มเร็วๆนี้ครับ”


อินเทิร์นร่างโปร่งมองใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความอึ้ง ตอนนี้เขาแยกไม่ออกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือล้อเล่น แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ต่ายเหลือบเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองสามใบที่กองอยู่ข้างๆรถแล้วเหลือบมองมือใหญ่ที่ดูเหมือนจะคล้ำขึ้นจากครั้งที่เจอกันล่าสุดนิดหน่อย คุณหมอกัดริมฝีปาก ยกมือขึ้นตบแรงๆที่มือของอีกฝ่ายที่ยืนออกมารอจนร่างสูงร้องโอดโอย



ไม่ทันที่จะได้ทักท้วงอะไร ร่างเล็กกว่าของต่ายก็กระโดดเข้ากอดชายหนุ่มแน่น ใบหน้าเนียนอมยิ้มกว้าง กลิ้งใบหน้าเข้ากับช่วงบ่ากว้างของชายหนุ่มร่างสูงที่เพิ่งทำเซอร์ไพรส์จนเขาแทบทำอะไรไม่ถูก


.
.


วินาทีนี้ ต่ายกลับคิดถึงประโยคที่ชายหนุ่มเขียนไว้ด้านหลังแผ่นใบเสร็จ ครั้งแรกที่เส้นทางของเรามาบรรจบกัน...


เสื้อช๊อปวิศวะมันจะอุ่นกว่าเสื้อกาวน์ไหม ต่ายไม่รู้หรอก...
ตอนนี้เขารู้ รู้เพียงว่าอ้อมกอดของเด็กวิศวะคนนี้ต่างหาก อุ่นที่สุด!







จบบริบูรณ์.



 :mc4: :n1:

ออฟไลน์ shijino

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
จบแล้วอ่า ดีใจระคนใจหาย ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ
เราชอบเรื่องนี้มากๆเลย เป็นอีกหนึ่งเรื่องเด่นในใจ ที่อ่านด้วยความรักในตัวละครและเนื้อหา
ทุกตอนๆเหมือนมีพัฒนาการ อ่านแล้วอินมาก ลุ้นเอาใจช่วยไปด้วยตลอด
รักพี่ต่ายกับนายบาสมากๆเลย ขอบคุณมากค่า  :pig4: :L2:
ปล. ขอตอนพิเศษที่1234อีกได้หรือเปล่าค่ะ

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
ใจหายว๊าบตอนที่พ่อแม่รู้เรื่องที่พี่ต่ายกับบาสคบกันอยู่ นึกว่าต้องแยกกันซะแล้ว ขอบคุณที่พ่อแม่ของทั้งสองคนเข้าใจ
หวานกันนานๆ นะจ้ะ

ขอบคุณคนแต่งนะคะเรื่องนี้น่ารักจริงๆ

ออฟไลน์ poohanddew

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
อร๊ายยยยยยยยย
ฟินนาเร่
แฮปปี้เอนดิ้ง

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อ่านไปลุ้นไป ความรักของหมาบาส เอ้ย นายช่างแล้วสิ
จะจบลงยังไง ซึ้งกับความรักทั้งสองคน หมอต่ายก็น่ารัก
มีเซอไพรส์ด้วย ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ฟิน ฟิน ฟิน

ขอบคุณสำหรับนิยาย เราชอบมาก


ออฟไลน์ Pakbung Mazo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
อ้าา ใจหายจัง ตอนจบหมดน้ำตาเป็นปี๊ป พี่หมอกับน้องวิศวะน่ารักกันมากจริงๆ  :mew1:มีตอนพิเศษมาบ่อยๆได้มั้ยคะ  :mew2:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
โอ้ยยยย น่ารัก พี่ต่ายน่ารักมากๆ น้องบาสสมเป็นผู้นำเลย  :o8:

ขอบคุณผู้แต่งมากนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ ไอ้หัวแห้ว

  • ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจน...
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +568/-5
จบแล้ววววววววววว

น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกก

หวานรัวๆๆๆๆ

ออฟไลน์ GETIIZ

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +90/-4
กว่าเขาจะเดินทางมาถึงวันนี้ได้ พ่อกับแม่ต้องเหนื่อยสักแค่ไหนกัน...

แอบน้ำตาซึมประโยคนี้ตามบาส
ฮรือออออออออออออออ
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ยินดีกับพี่หมอต่ายและบาส แอนด์ผองเพื่อนทุกคนที่เรียนจบ
ดีใจที่วันนั้นบาสไม่ท้อไปซะก่อน ไม่งั้นเราคงไม่ได้มีความสุขแบบตอนนี้
รักกันไปนานๆนะหนุ่มวิดวะกับคุณหมอ :katai3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mammysoma

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ใจหายใจคว่ำหมดดดด

เเต่สุดท้ายก็แฮปปี้.....


 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ My_yunho

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
ขอแบบบาสสักคนสิๆๆ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
กลัวดราม่าครอบครัวตอนแรก แต่ก็ผ่านไปด้วยดี :-[
ฟินมาก หวานมาก อยู่ด้วยกันตลอดไปน้า นายช่างกับคุณหมอ  :impress2:
ตอนพิเศษหน่อยนะคะ พลีสๆๆ :katai2-1:

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
แอบเครียดมาตั้งนานคิดส่าพ่อกับแม่จะไม่ยอมรับที่ไหนได้รู้มาตั้งนานแหละ 55555 อย่างว่าอ่ะแหละน่ะที่ว่าพ่อแม่ต้องดูลูกตัวเองออกอยู่แล้วล่ะว่าลูกมีเรื่องปิดยังอะไรอยู่หรือเปล่า

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14

ออฟไลน์ •ผั๑`|nกุ้va’ด•

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-69
ยังอยากอ่านต่ออยู่เลย T..T

ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
อ่านจบแล้วมันช่างอิ่มเอมใจ
รู้สึกดีจริงๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
 :o12:

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
เห็นคำว่า จบ แล้วใจหายนะ
ขอบคุณมากมายสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่แสนอบอุ่น
รู้สึกดี ชอบ และประทับใจมากๆ ที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้
 :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
จบแล้วววว หวาน อบอุ่นมากเลยค่ะ
อยากให้มีตอนพิเศษอีกเยอะๆ จัง
ถึงเค้าจะไม่ค่อยเม้นท์ แต่เค้าก็รักเรื่องนี้มากนะคะ ชาบู ขอลคุณมากๆ ค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด