ตึกจอดรถประจำในเขตมหาวิทยาลัยตอนนี้จำนวนรถเริ่มเบาบางเพราะเลยเวลาเลิกเรียนมานานมากแล้ว ส่วนที่ยังจอดอยู่ก็พอมีประปรายเนื่องจากบางคนก็อยู่ทำกิจกรรมกันต่อหลังเลิกเรียนบ้างและเป็นรถของบรรดาอาจารย์บ้าง บาสเดินตามแรงดึงของคนตรงหน้ามายืนอยู่ข้างๆรถเบนซ์คันเดิม
ไม่รู้ว่ากลัวเป็นจุดสนใจหรืออะไร แต่พอเราเข้าใจผิดกันทีไร พี่ต่ายมักจะลากมาคุยกันที่รถทุกที
“ฉันผิดหรือเปล่า” เสียงแหบที่เอ่ยคำพูดกี่ครั้งก็ฟังนุ่มหู บาสมองใบหน้าเรียวที่เงยมองเล็กน้อย คงเพราะความสูงของเราไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร
“พี่ต่ายไม่ผิดหรอกผมผิดเอง” บาสตอบเขากุมมือข้างที่ถูกจูงมาตลอดทางแน่นขึ้น เขารู้สึกว่าฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อจนเปียก คงเพราะอากาศร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตกตลอดเวลาแบบนี้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อย
“งั้นถามอีกครั้ง ฉันเป็นต้นเหตุของความผิดของนายหรือเปล่า”
บาสถอนหายใจ รู้สึกลังเลที่จะตอบคำถามที่พุ่งตรงมา พี่ต่ายเป็นแบบนี้เสมอ บางครั้งก็ตรงไปตรงมาจนเขากลัว “ถ้าจะให้บอกก็ใช่ครับ”
“งั้นฉันควรขอโทษใช่ไหม”
“ไม่ต้องหรอกครับ พี่ต่ายฟังผมก่อนนะ ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษทั้งๆที่เรื่องที่ผมคิดมากเกินไป คิดเองเออเองมากเกินไป ทั้งๆที่โตมันก็เตือนแล้วตั้งแต่ตอนแรกที่มันมาเล่าให้ผมฟังว่ามันเห็นพี่เดินกับพี่ส้ม มันไม่ได้ยุยงหรือพูดให้ชวนเข้าใจผิดอะไร มันเห็นอย่างไรมันก็เล่าแบบนั้นตัวมันเองยังย้ำกับผมเลยว่าอย่าวู่วามหรือคิดไปเอง ผมไม่ได้โกรธที่พี่เดินกับผู้หญิงหรือระแวงพี่เลย ผมยอมรับว่ามันก็รู้สึกเหมือนกันแต่มาลองคิดดูแล้วมันแค่นิดหน่อยเท่านั้น ที่ผมกังวลคือพี่เป็นอะไร ทำไมพี่ไม่ตอบไลน์หรือรับโทรศัพท์ พี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ตอนนั้นผมเลยคิดมากแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมโทรหาใครก็ไม่รู้ว่าพี่อยู่ไหน พี่ปราชญ์บอกให้ผมมารอที่เดิมผมเลยเดินมารอร้านกาแฟที่ผมชอบมานั่งรอพี่บ่อยๆ”
บาสรู้สึกว่าตัวเองพูดรัวจนลืมหายใจ ไม่รู้ว่าพี่ต่ายฟังทันบ้างหรือเปล่าแต่คิดว่าวันนี้เขาพูดเร็วที่สุดในชีวิตแล้ว เวลานี้สมองสั่งการหรืออย่างไรเขาพูดออกมาหมดแบบไม่หยุดคิดก่อนแล้วว่าสิ่งที่พูดออกไปนั่นมันสมควรหรือไม่ เขารู้อย่างเดียวว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาตอนนี้มีอวัยวะแทนความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่าหัวใจกลั่นกรองแทนเขาเรียบร้อยแล้ว
“ตอนที่ผมเจอพี่ยืนอยู่กับผู้หญิง... อยู่กับพี่ส้มผมกลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าว่าอย่างน้อยก็เจอพี่แล้ว ผมรู้เหตุผลว่าทำไมพี่ถึงไม่ตอบกลับมาแล้วแต่พอผมรู้เหตุผลนั้นความรู้สึกอีกอย่างที่มันเก็บเอาไว้มันก็ผุดขึ้นมาแทน ผมกลับรู้สึกว่าทำไมช่วงเวลามันเหมาะเจาะอะไรแบบนี้นะ ผมสมเพชตัวเองลึกๆนะพี่ต่าย ผมกลับมีความคิดเลวๆว่าทำไมพี่ไม่เห็นพยายามจะติดต่อหรือบอกผมเลย ถ้าเกิดว่าผมไม่เจอพี่แล้วพี่ไปรับมือถือกับพี่ส้ม พี่จะลืมไปหรือเปล่าว่าผมนั่งรออยู่ตรงนั้น พี่จะลืมนัดของเราไหม พี่ติดต่อใครไม่ได้เลยหรือ ฝากบอกพี่ปราชญ์ บอกพี่โน้ตมาก็ได้ พี่อยู่กับเพื่อนพี่ก็น่าจะหาทางบอกผมหน่อย ผมคิดเยอะไป ผมเอาความรู้สึกกระวนกระวายของผมมาเปรียบเทียบกับความนิ่งเฉยของพี่ ผมเลยเผลอตะคอกพี่ไป ผมขอโทษ”
ต่ายอ้าปากค้าง รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับคำพูดที่รัวออกมาราวกับห่ากระสุน เขายอมรับว่ามีหลายนัดที่กระแทกเข้ามาจนเขาต้องนิ่งแล้วคิดตาม บาสมองใบหน้าเนียน เขาเห็นคนตรงหน้าอ้าปากเหมือนจะพูดเถียงอะไรสักอย่างแต่ก็ปิดปากราวกับลังเลว่าจะพูดออกมาดีไหม สมองน้อยๆที่เต็มไปด้วยรอยหยักที่มากกว่าเขานั้นคงกำลังสร้างกระบวนการทางความคิดที่ซับซ้อนจนเขาไม่อาจนึกถึงได้ ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆหนึ่งครั้ง รู้สึกถึงมือเล็กที่ขืนออกจากการเกาะกุมแน่นจนบาสรู้สึกใจหายเหมือนหัวใจจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจนเรื่องราวเลยเถิดไปไกลกว่านี้
พี่ต่าย...
“สรุปว่าฉันผิด”
“ไม่ใช่...” เขาพยายามค้าน
“ไม่ๆ ผิดก็ผิด รับได้” ต่ายส่ายหน้า พิงหลังกับกำแพงปูนเปลือยด้านหลังตรงท้ายรถ เขามองออกไปด้านนอกตึก เห็นท้องฟ้าที่กำลังมืดครึ้มเพราะเข้าช่วงเวลาหัวค่ำ อากาศเย็นจนต้องยกมือขึ้นกอดอก
“...”
“มันไม่ใช่ไม่ได้คิดนะ ไม่ใช่ว่าจะนิ่งจนไม่ได้รู้สึกอะไร”
บาสเงยหน้ามองคนที่เปิดประเด็นตรงหน้าหลังจากที่ก้มหน้ามาตลอดตั้งแต่อีกฝ่ายเงียบไป ขายาวก้าวเข้าหา เขาเห็นพี่ต่ายเหลือบตามองแล้วเสไปทางอื่นแต่ก็ไม่ได้กระเถิบตัวหนีไปไหน
“ตอนที่มือถือพังตอนนั้นอยู่กับส้มพอดีเจอกันที่โรงอาหาร อย่างที่ส้มบอกฉันซุ่มซ่ามเองที่ทำมือถือลื่นจากมือเพราะถือของเยอะเกินไปด้วย ทั้งชีททั้งหนังสือวุ่นวายไปหมด พอหยิบขึ้นมาก็เห็นว่าจอมันแตกเกือบจะละเอียดเลยแหละ แค่มีฟิล์มติดอยู่มันเลยไม่ร่วงกราวออกมาเลยตัดสินใจปิดเครื่องดีกว่าแล้วไปที่ศูนย์ โตอาจจะเห็นตอนนั้นพอดี ส่วนเรื่องเดินจูงมือกันก็คงเป็นช่วงที่ส้มดึงมือเดินไปดูร้านอื่นตอนออกจากศูนย์บริการ รายนั้นมีร้านประจำที่ไปบ่อยก็เลยพาไป ก็แค่ช่วงนั้นนั่นแหละ เพื่อนกันใครจะมาจูงมือถือแขนกันตลอดเวลา”
เสียงแหบอธิบายเรียบลื่นทั้งๆที่ดวงตายังคงมองไปยังเบื้องล่าง แสงไฟจากท้องถนนเริ่มเด่นชัดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ความมืดเคลื่อนเข้ามาแทนที่ ในตัวอาคารเปิดไฟจนสว่างตลอดอยู่แล้วเขาเลยไม่ได้สังเกตว่าด้านนอกนั้นมืดขนาดนี้แล้ว
“ส่วนเรื่องที่ไม่ได้ติดต่อไป ฉันยอมรับว่าฉันผิดเองนายจะโกรธก็ได้ มันก็ถูกแล้วเพราะว่าที่นายพูดมาถ้าฉันเป็นนาย... ฉันก็คงโกรธ... มั้ง... ไม่รู้สิ เอาเป็นว่าคงจะเคืองอยู่เหมือนกันแหละ ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะให้ส้มโทรไปหาปราชญ์หรือไม่ก็โน้ตถามเบอร์นายเหมือนกันแต่คิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวเย็นนี้ก็ซ่อมเสร็จแล้วค่อยไลน์หรือโทรหาเอาก็ได้ มันคงไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไรก็แค่โทรศัพท์พัง นายก็คงเพิ่งจะเลิกสอบคงจะอยู่กับเพื่อนแล้วมาเจอกันตอนเย็นเลย คิดว่าถึงไปเอามือถือแล้วกลับมาช้านิดๆหน่อยๆไม่น่าเป็นอะไรหรอกก็นัดกันแล้ว คิดแค่นั้นจริงๆ” ดวงตากลมเบื้องหลังเลนส์แว่นตาเหลือบมองใบหน้าคมของคนที่เด็กกว่า ต่ายพูดเสียงแผ่วแม้จะเบาแต่คนที่รอฟังกลับได้ยินชัดเจน
“ขอโทษนะบาส”
ขอโทษผมทำไม...
ขอโทษกับความเห็นแก่ตัวของผมทำไมกันพี่ต่าย... พี่ไม่ผิดเลย...
บาสรู้สึกตัวเองมือเท้าอ่อนเกือบจะทรงตัวไม่อยู่ เขามองใบหน้าพี่ต่ายด้วยแววตารู้สึกผิดท่วมท้น พี่ต่ายกำลังทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่งี่เง่าที่สุดในโลก เขาไม่เคยกังวลกับเรื่องอื่นมากขนาดนี้ พอเป็นเรื่องของพี่ต่ายทีไรเขารู้สึกตัวเองเหมือนคนบ้า
บ้า...ที่คิดเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งว่าพี่ต่ายต้องมาคิดแบบเดียวกัน ทั้งๆที่พี่ต่ายเองก็คิดไม่ต่างกับเขาเลย
แค่การกระทำของเราแสดงออกมาแตกต่างกันเท่านั้น
บาสยกแขนของตัวเองที่มันดูหนักหนาเหลือเกินในความรู้สึกของเขา ใช้มือแตะที่ท้องแขนของร่างเล็กกว่าแผ่วเบา คนตรงหน้าไม่ได้ขยับตัวไปไหน ยืนนิ่งทั้งๆที่ยังกอดอกแน่น เสียงเอี๊ยดอ๊าดของล้อรถที่เบียดพื้นปูนซีเมนต์ดังก้องทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เหลือบตามองรถยนต์ที่กำลังขับผ่านไปจนลับสายตาแล้วจึงหันมามองใบหน้าขาวที่ยังคงมีสีหน้าลำบากใจ
“พี่...”
เสียงทุ้มหยุดชะงัก บาสรู้สึกตัวเองควานหาลิ้นไม่เจอ ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อจู่ๆคนที่ยืนกอดอกอยู่โผเข้ามากอดแน่นไม่ทันตั้งตัว อ้อมแขนเล็กแคบโอบรอบตัวของเขาแน่น ชายหนุ่มตกใจทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางมือที่ตกอยู่ข้างลำตัวของตัวเองไว้ตรงไหนเมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
“หายโกรธหรือยัง”
เสียงแหบถามอู้อี้ออกมาจากช่วงบ่า บาสเหลือบมองใบหน้าที่เคยขาวตอนนี้กลับเจือสีชมพูเพราะความร้อนที่แล่นริ้วไปทั่วพวงแก้มเนียนจนถึงใบหู เห็นแล้วใจอ่อนยวบ เขาเคยโกรธพี่ต่ายที่ไหนกัน... ชายหนุ่มโอบร่างคนที่กอดเขาอยู่แน่น ซบหน้าผากลงที่ลาดไหล่แคบกว่า เกลือกกลิ้งไปมาจนอีกฝ่ายยักไหล่ย่นคอด้วยความจั๊กจี้
“ไม่...”
“ฮื่อ” คนในอ้อมกอดส่งเสียงประท้วง
“ผมไม่เคยโกรธพี่ต่าย ไม่มีวัน”
“ก็อารมณ์ไม่ดีเพราะฉัน”
“ผมอารมณ์เสียตัวเอง” บาสสูดลมหายใจ กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกจนอีกฝ่ายดิ้นขลุกขลัก เขาเอียงหน้าเข้าหาทั้งๆที่ยังซบอยู่ที่บ่าของอีกฝ่าย “ผมสัญญาผมจะไม่งี่เง่าอีก”
“อย่าสัญญาเลย” ต่ายพูดแทรก “ฉันก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ต่อไปฉันจะทำอะไรให้นายไม่พอใจอีกหรือเปล่า บางทีต่อไปฉันก็อาจจะเป็นฝ่ายที่งี่เง่าบ้างก็ได้ใครจะรู้ เอาเป็นว่าเราก็จำวันนี้เอาไว้เป็นบทเรียน นายไม่ชอบอะไรฉันจะพยายามจำเอาไว้ นายก็จำเอาไว้ล่ะว่าบางเรื่องฉันเองก็ไม่ใช่คนที่คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น ฉันถนัดกับการคิดเองแล้วก็ตีความไปว่ามันคงไม่เป็นไรแต่หลังจากนี้ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก แบบนี้ดีกว่าไหม”
บาสพยักหน้าหงึกหงัก เขารู้สึกถึงแรงขืนตัวจากคนในอ้อมกอดจนต้องคลายวงแขนไว้หลวมๆแทน มือเย็นๆสองข้างแนบเข้าที่แก้มของเขาจนต้องมองตรงไปยังใบหน้าของคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเพียงเล็กน้อย
“วันหลังชอบไม่ชอบอะไรก็บอกล่ะอย่าเงียบแล้วเอาไปคิดเองเออเอง ฉันไม่ใช่หมอดูนะจะได้รู้ว่านายพอใจหรือไม่พอใจอะไรบ้าง” ต่ายเตือนเสียงแผ่ว พอเห็นบาสหยักหน้ารับรู้เจือรอยยิ้มแล้วก็ยิ้มตาม “ดีมาก”
บาสรู้สึกว่ามือเล็กๆนั้นออกจะรุนแรงไปสักหน่อยเมื่อใบหน้าเขาถูกดึงจนยืดออก ชายหนุ่มประท้วงเสียงอู้อี้แต่คนทำนั้นหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างชั่วร้าย ต่ายปล่อยมือออก เห็นร่างสูงหน้ามุ่ยโอดโอยด้วยความเจ็บแล้วก็ต้องยิ้มเต็มแก้ม ไม่ได้ดึงแรงขนาดนั้นเสียหน่อยสำออยไปได้ ว่าที่คุณหมออมยิ้มกริ่ม ใช้มือข้างหนึ่งรั้งลำคอของคนตัวโตให้ก้มลงมาใกล้แล้วหอมเข้าที่แก้มของคนที่ถูกดึงแผ่วเบาราวกับจะปลอบ คนถูกจู่โจมอ้าปากค้างตกใจ จะคว้าร่างไว้ตัวการก็เผ่นหนีขึ้นไปนั่งบนรถเบนซ์ฝั่งที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้วเรียกเขาเสียงดัง
“มาเร็ว ขับไปจอดที่ห้างเลย เดี๋ยวร้านมือถือปิดแล้วไม่มีใช้ คนแถวนี้จะโวยวายคิดไปเองอีก หิวข้าวแล้วด้วย”
บาสส่ายหน้าช้าๆทั้งๆที่ริมฝีปากยังแย้มรอยยิ้มกว้าง เขาเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่ง เห็นคนข้างสตาร์ทรถให้เรียบร้อยแล้วแต่ยังเอี้ยวตัวไปจัดกองหนังสือที่ระเกะระกะอยู่ที่เบาะหลังจนมันเป็นระเบียบนิดหน่อยแล้วค่อยขยับมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม ดึงเซฟตี้เบลท์มาคาดเรียบร้อยแล้วมองหน้าสารถีที่จ้องมองตาแป๋ว
“มองอะไร ขับไปสิ...อื้อ”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงแหบครางเครือประท้วงในลำคอเมื่อเข้าโน้มตัวเข้าหาและกดริมฝีปากจูบหนักๆลงไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากพี่ต่ายเย็นชืดจนเขาอยากถ่ายความร้อนของอุณหภูมิร่างกายให้คนตรงหน้านัก บาสรู้ตัวว่าตัวเองกำลังหอบหายใจหนักและอีกฝ่ายก็ไม่แพ้กัน จูบครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้านี้นัก อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ที่ยังคุกกรุ่นอยู่ก่อนหน้านี้ทำให้เขาบดเบียดริมฝีปากลงไปหนักหน่วงกว่าครั้งไหนๆ ปลายลิ้นร้อนชอนไชเข้าไปสัมผัสเกี่ยวกับลิ้นนุ่มๆของคนตรงหน้า เหมือนพี่ต่ายจะสัมผัสได้ เจ้าตัวไม่ประท้วงหรือหลบเลี่ยงให้เขาหยุด ริมฝีปากบางสีสดกับปลายลิ้นเงอะงะที่ขยับตามการชักจูงของเขาจึงสั่นกระตุกแผ่วเบา ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกคนที่ถูกบดจูบจึงอ้าปากสูดลมหายใจราวกับคนขาดออกซิเจน
ดูเอาเถอะ...พี่ต่ายของเขาแค่จูบยังเหมือนคนทำอะไรไม่เป็น แค่แตะริมฝีปากกดเบาๆที่แก้มเรื่อยไปถึงหลังหูเจ้าตัวยังนั่งแข็งสะดุ้งทุกครั้งที่เขาแนบความร้อนทาบทับกับผิวเนื้อเย็นเฉียบ
...เข้าใจหรือยังว่าทำไมเขาถึงไม่หึงเรื่องที่พี่ต่ายไปเดินกับผู้หญิงแต่กลับไปกังวลเรื่องอย่างการที่อีกฝ่ายไม่ติดต่อกลับมามากกว่าเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการนอกใจ
คนเถรตรงแถมบริสุทธิ์ไปทั้งตัวอย่างที่ต่ายไม่มีวันได้สัมผัสหรือได้รับสัมผัสจากใครนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น!
.
.
-----------------------------------------------------------------
ฺBGM - ไม่มีตรงกลาง - เอ๊ะ จิรากร
http://www.youtube.com/v/yiHukM7rQk8-----------------------------------------------------------------
แจ้งข่าวนิดนึงค่ะ ว่า Paint Your Love แต่งแต้มเติมรักที่เป็นตอนของไบค์พีคนั้นจะไม่ลงจนกว่าลงเสื้อกาวน์ฯจบแล้วนะคะ ซึ่งก็ตอนหน้าแล้วเช่นกัน และจะแบ่งออกเป็น 2 Part เหมือนกันกับตอนที่ 18 นี้ค่ะ