โชคดีที่พอหนังจบตอนเกือบบ่ายสอง สภาพอากาศภายนอกก็เปลี่ยนจากครึ้มฟ้าครึ้มฝนเปลี่ยนเป็นแดดออกกำลังดี เพราะมีเมฆเยอะเลยไม่ร้อนมาก แม้ไม่แน่ใจนักว่าฝนจะตกหรือไม่ ต่ายก็ตัดสินใจพาเจ้าสี่ขาที่กระโดดโลดเต้นดีใจที่นานๆครั้งจะได้ออกไปเดินเล่นนอกบ้าน เขาใช้เวลาพอสมควรในการเกี่ยวสายจูงสุนัขเข้ากับปลอกคอหนังเส้นเล็กเพราะเจ้าพิซซ่าดีใจมากจนแทบไม่ยอมอยู่นิ่ง ต้องให้อีกคนช่วยจับและหลอกล่อนิดหน่อยพอมันเผลอเขาจึงรีบเกี่ยวตะขออย่างว่องไว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็เห็นอีกคนจัดแจงหาถุงพลาสติก กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช้แล้วและทิขชู่ม้วนเตรียมพร้อมโดยที่เขาไม่ต้องเตือนอะไรอีก
“พาเจ้าสองตัวที่บ้านไปวิ่งบ่อยอะพี่ ไม่รู้ว่าพิซซ่าจะไปวางระเบิดที่ไหนหรือเปล่า”
เขาพยักหน้ารับ รู้สึกได้ถึงแรงกระตุกจากสายจูงแบบเก็บสายอัตโนมัติแล้วก็ต้องถอนใจ เจ้าตัวเล็กวิ่งไปจนสุดสายโน่นแล้ว พอมันรู้สึกถึงว่าไปต่อไม่ได้ก็หันกลับมาเห่า วิ่งวนรอบๆให้พาออกไปเร็วๆ
หมูบ้านจัดสรรขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มีสวนสาธารณะเล็กๆที่มีทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นตรงกลางหมู่บ้านให้ความร่มเย็นและเป็นสถานที่ๆวันหยุดสุดสัปดาห์ บรรดาคนที่ไม่ได้ออกไปไหนไกลก็มักจะกันออกมานั่งเล่นที่สนามหญ้า หลายคนออกมาวิ่งออกกำลังกาย บางคนจูงหมามาเหมือนกันบ้าง บางคนนั่งมองลูกวิ่งเล่นอยู่ในโซนสนามเด็กเล่นบ้าง มีร้านขายของชำตั้งอยู่ใกล้ๆสองสามร้าน ขายาวหยุดแวะซื้อน้ำมะพร้าวน้ำหอมที่ใส่แก้วเรียบร้อยให้ตัวเองกับอีกคน ยืนดื่มแก้กระหายจนหมแล้วก็ทิ้งแก้วกับถังขยะที่ตั้งอยู่รายทาง ตาโตเหลือบมองร่างสูง เมื่อไรกันที่เจ้าเด็กนี่เปลี่ยนจากการเดินตามหลังเขามาเดินข้างๆกัน เขาสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายเงียบๆ ทั้งๆที่ก็ยิ้มแย้ม ชวนคุยนั่นนี่ปกติแต่กลับเหมือนคิดอะไรในใจอยู่ตลอด
“นี่” เรียกคนที่เดินเหม่ออยู่ข้างๆเสียงเบา แต่คนหูดีได้ยินชัดแจ๋ว หันมามองเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “จูงมั้ย”
เขายื่นสายจูงให้มือใหญ่ข้างที่ว่างอยู่ พยักหน้ายื่นปากบางๆโบ้ยไปที่เจ้าตัวเล็กที่คึกเกินเหตุ เดินนำเจ้าของไปไกล บาสยิ้มรับสายจูงมาถือแทน แอบกระตุกเล่นจนเจ้าสี่ขาหันมาเอียงคอมอง พอเห็นสายจูงถูกเปลี่ยนมือก็เห่าขู่เสียงแหลมเมื่อไม่ใช่เจ้าของที่มักตามใจมันเสมอ ชายหนุ่มนึกสนุก เข้าหันมายิ้มให้กับคนตัวขาวข้างที่ทำหน้างงว่าเขาจะทำอะไร ก่อนวิ่งปรื๋อแซงหน้าเจ้าพิซซ่าที่พอเห็นร่างสูงออกตัววิ่งมันก็วิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
ต่ายมองทั้งคนทั้งหมาวิ่งแข่งกันแล้วก็หัวเราะ พิซซ่าถึงแม้จะเป็นหมาไฮเปอร์ตามลักษณะของสายพันธุ์ แต่ช่วงขาก็ยังสั้นจะไปวิ่งแข่งสู้คนตัวสูงเกิน 180 ซม.แถมขายังยาวขนาดนั้นได้อย่างไร ทั้งคนทั้งหมาผลัดกันวิ่งแซงกันจนหายลับไปที่โค้งด้านหน้า เขาไม่ได้วิ่งตามไป ยังไงเดี๋ยวถ้าไม่วิ่งวนกลับมากัน ก็คงหยุดรอเขาที่ตรงโค้งด้านหน้านั่นแหละ เดินกินลมชมวิวเล่นเรื่อยๆ เพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนมองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ส่งยิ้มให้ บางคนเอ่ยทักทายกันนิดหน่อย ถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไป เพราะปกติแล้วถ้ามีวันหยุดเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่นอนเล่นอยู่ในบ้านมากกว่า ไม่ค่อยออกมาเดินเล่นแบบนี้ นึกสงสารพิซซ่าอยู่เหมือนกันที่มันต้องมาอุดอู้อยู่กับเขาด้วย แต่ทำยังไงได้ มันมีช่วงพีคที่เขาเหนื่อยจนไม่มีแรงอยากออกมาเดินเหมือนอย่างวันนี้จริงๆ
ต่ายเคยนึกสงสัย เขารู้สึกว่าช่วงนี้เขาทั้งเรียน ทั้งขึ้นวอร์ด ER ปกติแถมบางวันยังเลิกดึกกว่าที่ควรจะเป็นเสียอีก แต่เขาไม่เพลียมาก แถมยังไม่เครียดเหมือนเมื่อก่อน ยกเว้นตอนเจอมุขเสี่ยวที่คอยหยอดของเจ้าเด็กวิศวะน่ะนะ เขายอมรับว่าเถียงกันทุกวันก็ทำให้ผ่อนคลายดีเหมือนกัน แถมที่เขามีแรงออกมาเดินเล่นแบบนี้ก็คงเพราะมีสารถีที่คอยขับรถรับส่งทุกวัน แบบนี้ ... ก็ถือเป็นข้อดีล่ะมั้ง
หัวมุมของวงเวียนสวนสาธารณะที่มีทะเลสาบเป็นสนามหญ้ากว้าง ต่ายเห็นบางคนหยิบเสื่อออกมานั่งดูลูกวิ่งเล่นบนสนามหญ้า เขาเห็นคนตัวโตที่กระโดดวิ่งเล่นกับเจ้าพิซซ่า โยนกิ่งไม้ให้มันวิ่งไล่ตามงับ เห็นแล้วก็ตลก เจ้าพิซซ่าหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะไม่สามารถกระโดดคาบได้ แต่ก็วิ่งเก็บกลับมาให้ชายหนุ่มขว้างออกไปอีกหลายรอบ รู้สึกเหมือนมันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเสียด้วย
“พี่ต่าย” เสียงทุ้มตะโกนเรียกเสียงดัง ต่ายเดินลุยเข้าไปในสนามหญ้า เมื่อเห็นร่างสูงกวักมือเรียก
“แกล้งไรมันเนี่ย” เขามองเจ้าพิซซ่าที่กระโดดโลดเต้น เรียกร้องให้โยนกิ่งไม้เล็กๆนั่นออกไปอีก
“ลองดูมั้ยพี่ บีเกิ้ลมันเป็นหมาไฮเปอร์ ชอบเล่นอะไรที่มันเหนื่อยๆ” พูดปนหัวเราะ ยกกิ่งไม้ขึ้นสูงให้เจ้าตัวเล็กมันกระโดดงับเล่น
“ลองยังไง” ต่ายถาม นึกสนุกอยากเล่นบ้าง
“ก็โยนออกไป ไกลๆหน่อย แบบเนี้ย” ว่าแล้วก็โยนกิ่งไม้ไปตรงสนามหญ้าโล่งๆตรงหน้า พิซซ่าเห็นกิ่งไม้ลอยหวือออกไปก็วิ่งตามเร็วปรื๋อ พยายามจะกระโดดงับกลางอากาศแต่ก็พลาดทุกครั้ง ทำได้แค่ไล่ตามเก็บกลับมาคืนอีกรอบ บาสเห็นมันวิ่งกลับมาก็ลูบหัวเบาๆ ค่อยๆดึงกิ่งไม้แห้งออกจากปาก “เก่งนะเนี่ย เพิ่งเล่นครั้งแรกก็เงี้ยเดี๋ยวต่อไปก็โดดงับได้เอง”
เจ้าหมาตัวน้อยเห่าเสียงแหลมตอบรับราวกับดีใจที่ได้คำชม วิ่งวนไปรอบๆเขาสองคนอย่างดีอกดีใจ มองกิ่งไม้ในมือใหญ่เรียกร้องให้ขว้างออกไปอีก
“พี่ต่ายโยนบ้าง” บาสส่งกิ่งไม้ที่ถืออยู่ให้ มือขาวรับมาถือ พอเจ้าตัวเล็กที่เริ่มชินกับการละเล่นแบบใหม่ที่เพิ่งค้นพบวันนี้เห็นเขาถือกิ่งไม้ในมือก็หยุดตั้งท่า มองตามอย่างเอาจริงเอาจังจนเจ้าของนึกขำ เอ็นดูมันขึ้นมาอีกโข ต่ายขว้างกิ่งไม้ออกไปด้านหน้า คงเพราะยังกะแรงไม่ถูกกิ่งไม้ที่ควรจะลอยออกไปด้านหน้าตามลักษณะการพุ่งลงพื้นกลับลอยขึ้นสูงกว่าปกติ และตกปุลงตรงหน้าเจ้าพิซซ่าที่วิ่งออกไปไม่ถึงสองเมตรเท่านั้น บาสหัวเราะขำเสียงดัง เห็นว่าที่คุณหมอตัวขาวหันกลับมาถลึงตามอง หน้าแดงแจ๋อาจจะเพราะความอายหรืออะไรไม่ทราบ ปากสีสดขยับบ่นขมุบขมิบ รับกิ่งไม้จากมือเจ้าหมาที่วิ่งกลับมาคืนพร้อมตั้งท่าวิ่งอีกครั้ง
“ลมมันแรงนิดนึง พี่ต่ายอย่าสะบัดข้อมือขึ้นสูงมาก โยนระดับไหล่จะพุ่งออกไปข้างหน้าได้ไกลกว่า” ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยืนซ้อนหลัง จับข้อมือเล็กกว่าข้างที่ถือกิ่งไม้เอาไว้แล้วยกขึ้น บังคับข้อมืออีกฝ่ายให้สะบัดเบาๆที่ระดับไหล่ ต่ายมองตามกิ่งไม้ที่ลอยออกไปไกลกว่าครั้งแรก อาจจะเป็นจังหวะที่เขาปล่อยมันออกไปจากมือพอดกับที่ลมเบาๆหอบมาพอดี กิ่งไม้ถึงลอยอยู่ในอากาศได้นานกว่าปกตินิดหน่อย เจ้าพิซซ่าที่เริ่มจะจับจังหวะถูกจึงกระโดดงับกิ่งไม้กลางอากาศได้พอดิบพอดี
“อ๊ะ ทำได้แล้วไงไอ้ตัวเล็ก พี่ต่ายเข้าใจยัง” บาสมองคนตัวบางกว่าที่ยืนซ้อนเขาอยู่ด้านหน้า ดวงตากลมที่ประดับด้วยขนตายาวล้อมกรอบฉายแววสนุกสนานเหมือนเด็กเพิ่งรู้จักของเล่นใหม่ พยักหน้าหงึกๆ แล้วเอี้ยวตัวมามองด้วยความดีใจ
“เห็นเปล่าพิซซ่ากระโดดรับกลางอากาศได้ด้วยอะ” เสียงแหบรีบพูดรวดเร็วเหมือนเด็กอวดของเล่นใหม่ บาสยิ้มกว้างตอบ ตาคมมองคนที่แทบจะจมเข้ามาในอ้อมกอดเชิงหยอกล้อ
ต่ายผงะ ตกใจที่จู่ๆอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เกินไปอีกแล้ว เขาสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของรุ่นน้องตัวใหญ่กว่า ใบหน้าขาวขึ้นสีลามมาถึงใบหูแดงจัด ผละตัวออกห่างทันที
ต่ายรู้ตัวว่าตัวเองหลบสายตาของอีกฝ่ายด้วยการสนใจแต่พิซซ่าที่เรียกร้องให้เล่นรอบแล้วรอบเล่า
เขารู้ตัวว่าตัวเองพยายามไม่สนใจความรู้สึกที่เหมือนถูกจ้องมองตลอดด้วยการเดินไปเดินมาจนอยู่ไม่ติดที่
และเขารู้ตัวแน่นอนว่าตัวเองพยายามเหลือเกิน ที่จะบังคับไม่ให้ใจเต้นแรงไปกับความรู้สึกเหล่านั้นที่เติบโตจนคับอกขึ้นเรื่อยๆจนแทบละล้นทะลักออกมา ...
ทั้งๆที่รู้ตัวว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น มันสายเกินไปแล้วที่จะพยายามต่อต้าน ...
“พี่ต่าย...” เสียงทุ้มต่ำที่เรียกชื่อทำให้คนที่พยายามเดินหนีมาตลอดจนมาหลุบมุมที่ใต้ต้นไม้ มองเจ้าตัวเล็กวิ่งวนไปๆมาๆไล่งับผีเสื้อเล่นแทน ต่ายสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองร่างสูงที่ก้าวเข้ามาใกล้
“ผมถามอะไรพี่อย่างนึงได้ใหม”
“...”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงเหมาเอาเองว่าอีกฝ่ายรับรู้เรียบร้อยแล้ว “เมื่อตืน...” บาสทิ้งช่วง เห็นนัยน์ตาโตมีแวววูบไหวเล็กน้อย “ที่พี่บอกว่าพี่ก็จะไม่รอเหมือนกัน มันหมายความว่าอะไร...”
“...” ต่ายไม่ตอบ เขาเม้มปากแน่น ขมวดคิ้วเหมือนคนกำลังคิดหนักทั้งๆที่ใบหน้าขาวซับสีเลือดจนแดง
“ผมโง่นะพี่ต่าย คือบางทีพี่อาจจะพูดเคลียร์แล้ว แต่ผมก็ยังมึนๆ ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไร” หรืออาจจะจำไม่ได้เอง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังอยากได้คำยืนยันทั้งๆที่มีสติครบถ้วนสมบูรณ์
“ผมอาจจะไม่เก็ทจริงๆ ผมไม่อยากคิดไปเอง อย่างน้อยผมก็อยากแน่ใจ”
ขายาวก้าวเข้าไปหยุดยืนข้างๆร่างโปร่งที่แม้จะสูงต่างกันไม่เกินห้าเซ็นต์ แต่ทำไมไม่รู้เหมือนอีกฝ่ายตัวเล็กกว่าเขามาก มือร้อนยกขึ้นแตะบ่าที่สั่นน้อยๆ บาสไม่รู้ว่าสั่นเพราะอะไร เพราะหนาว หรืออาจจะเพราะกลัว
“ถึงพี่จะปฏิเสธผมวันนี้ จะเกลียดผมหรืออะไรก็ตาม ผมจะยอมรับความจริงทั้งหมด” เสียงทุ้มกดต่ำจนเสียงแผ่ว บาสรู้สึกเหมือนตัวเองพยายามเค้นเสียงทั้งๆที่ลำคอตัวเองตีบตันขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงความทรมานหากโดนอีกฝ่ายสั่งตัดเยื่อใยกันตอนนี้
ต่ายเงยหน้ามองเด็กหนุ่มรุ่นน้องตัวโตที่เริ่มพูดเสียงอู้อี้ จมูกโด่งแดงจัด มือใหญ่ที่แตะอยู่บนบ่าเขาออกแรงบีบแรงขึ้น
“ผมพูดว่าผมยอมรับ แต่ผมไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
ดวงตาคมดุสีเข้มนั้นแม้จะวูบไหวด้วยแรงอารมณ์ แต่ความมั่นใจที่ถ่ายทอดออกมายิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยที่เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้วกลับสั่นไหวแรงขึ้นอีก ต่ายรู้สึกตัวเองกำลังหูอื้อ ตาลาย โสตประสาทได้ยินแค่เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยถ้อยคำวอนขอพร้อมกับเสียงชีพจรของตัวเองที่เต้นเป็นจังหวะระรัว
“ผมรักพี่ต่าย”
.
.
ไม่น่าเลย
เขาไม่น่าเงยหน้าขึ้นมาเลย ต่ายคิดในใจว่าตัวเองพลาดไปอีกแล้ว เขารู้สึกเหมือนความรู้สึกที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกกำลังจะถูกเปิดเผย ความรู้สึกที่เขาพยายามกดมันเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเมื่อเห็นแววตาที่มักจะส่อแววหยอกล้อกันเล่นเสมอกลับกลายเป็นแววตาของผู้ชายคนหนึ่งที่จ้องกลับมาด้วยความจริงจังขนาดนี้ ริมฝีปากบางเม้มแน่น เขาพยายามจะอ้าปากพูดแต่ถ้อยคำก็ถูกกลืนกลับเข้าไปหมดสิ้น
“พี่ต่าย...”
มือที่แตะเบาๆที่บ่าค่อยๆเลื่อนลงไปยังมือเล็กกว่า สัมผัสแผ่วเบานั้นทำเอาจนลุกซู่จนต้องย่นคอ เขาเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำมือจนแน่นขนาดนี้ก็เมื่อมือใหญ่นั้นค่อยๆคลึงเบาๆจนมันคลายออกจากกัน เส้นประสาทที่เกร็งเครียดค่อยคลายออกเพราะสัมผัสอุ่นจากคนที่อุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าของอีกฝ่ายก่อนที่จะถูกรวบแล้วแนบมันลงแผ่นอกหนา
“รักผมสักนิดบ้างหรือยังครับ”
ร้อน
สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือผิวเนื้อใต้ร่มผ้านั่นต้องร้อนมากแน่ๆ เพราะไอร้อนจากร่างกายของอีกฝ่ายแผ่ออกมาจนมือเขาร้อนขนาดนี้ นอกจากสัมผัสนั้นต่ายกลับรู้สึกว่าเขารู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ที่มันแรงผิดปกติ นอกนั้นเขาไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากความรู้สึกที่มันคับแน่นจนอึดอัดแบบนี้
เมื่อคืนก็ทีนึงแล้วยังตอนนี้อีกจะต้องการหลักฐานยืนยันอีกสักกี่ครั้งกัน เขาไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดไหม แต่นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาพูดออกไปแบบคิดหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามารองรับ
‘เพราะฉันก็จะไม่รอเหมือนกัน’
ต่ายไม่ใช่คนขี้ขลาด เพราะฉะนั้นเมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วเขาก็จะยอมรับผลของมันไม่ว่าหลังจากนี้มันจะออกมาดีหรือร้ายก็ตาม เขายกมือข้างที่ว่างอยู่แตะเบาๆกับข้อมือของอีกคนที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัว พอสัมผัสได้ถึงมือสั่นๆของคนตัวใหญ่ตรงหน้าเขาก็ต้องกลั้นยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้า เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเบะปาก ถ้าตอนนี้ส่องกระจกหน้าตัวเขาคงตลกพิลึก ร่างสูงมองตามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“รู้สึกอะไรหรือเปล่า?” เสียงแหบเอ่ยถามเมื่อจับมืออีกข้างของอีกคนทาบลกบนแผ่นอกของตัวเองบ้าง เห็นใบหน้าคมนั่นมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวด ละสายตาจากใบหน้าของเขาไปจ้องที่จุดที่มือตัวเองสัมผัส ต่ายหัวเราะเบาๆ เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง คราวนี้คิ้วที่ขมวดแน่นกับสีหน้าลังเลใจหายใจ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มกว้าง
รู้สึกหรือเปล่า ... ว่าหัวใจเราสองคน... มันเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
“ยังต้องพูดอะไรอีกไหม?”
อ้อมกอดที่โถมเข้ามารัดจนแน่นเป็นคำตอบจากเด็กรุ่นน้องต่างคณะตรงหน้า น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อยแม้อีกฝ่ายจะเผลอตัวออกแรงมากเกินไป
“พี่ต่าย พี่ต่าย ผม ...” บาสรู้สึกตัวเองเหมือนคนติดอ่าง เขารู้ว่าเขากอดพี่ต่ายแน่น แน่นมากจนไม่รู้ว่าจะทำให้คนในอ้อมกอดเจ็บหรือไม่ แต่เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ยิ่งรู้สึกถึงสัมผัสจากมือเล็กกว่าที่แตะเบาๆที่แผ่นหลังตอบเขายิ่งหลับตาแน่น “พี่ต่าย ...”
ครืน ... เสียงฟ้าร้องดังลั่นทำให้สองคนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปชั่วขณะสะดุ้งตกใจ ผละออกจากกันเหมือนถูกจับได้เวลาลักลอบทำความผิด บาสมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายกันแน่ที่มุมที่พวกเขาสองคนยืนอยู่นั้นมีต้นไม้ใหญ่บังเกือบมิด คนอื่นๆที่เคยนั่งเล่นกันอยู่บนสนามหญ้าหายไปหมดแล้ว ทุกคนคงรู้สึกว่าฝนกำลังจะตก เขาหันหน้ามามองว่าที่คุณหมอตัวขาวที่ทำสีหน้าตื่นตกใจ หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆเหมือนกัน สายตาสองคู่ประสานกันโดยบังเอิญ เป็นเขาเองที่หลุดยิ้มออกมาก่อน รู้สึกตลกตัวเองจนต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง
ต่ายตกใจ เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเหมือนกันจนเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของร่างสูงเขาถึงหลุดยิ้มแล้วหัวเราะออกมา กลายเป็นประสานเสียงหัวเราะจนเจ้าพิซซ่าที่หนีไปวิ่งเล่นแถวนั้นวิ่งกลับมาหาคนสองคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เขารู้สึกว่าตัวเองหัวเราะจนปวดท้องไปหมด เขาย่อลงอุ้มเจ้าหมาตัวเล็กที่วิ่งสะบัดหางกลับมาเพราะนึกว่าถูกเจ้าของเรียก มันเอียงคอมอง คงกำลังงงว่าหัวเราะอะไรกัน มีเรื่องสนุกอะไรที่มันไม่รับรู้หรือเปล่า
“กลับบ้านเถอะ” เจ้าบ้านเป็นคนเอ่ยปากชวนกลับ มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ บาสอมยิ้มพยักหน้าตอบ ยกมือขึ้นรับเจ้าหมาตัวเล็กที่ตะกายมาหา เขาใช้มือใหญ่ข้างเดียวอุ้มมันพาดบ่าเหมือนเดิม ให้มันมองด้านหลัง เจ้าสี่ขาที่เริ่มคุ้นชินกับท่าทางไม่ดิ้นเหมือนครั้งแรกๆที่ถูกอุ้ม มันพาดหัวลงบนบ่ากว้างแน่นิ่ง หลับตาพริ้ม
อากาศเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว กลิ่นดินระเหยขึ้นจากพื้นเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกในไม่กี่นาทีนี้ ชายหนุ่มมองร่างโปร่งที่เดินนำไปก่อนยืนรออยู่ที่พื้นถนนนอกสวนสาธารณะ เขารีบก้าวขายาวๆไปยืนข้างๆ มือข้างที่ไม่ได้ประคองตัวสุนัขอยู่จับที่มือเล็กแน่นจนเจ้าของหันมามองด้วยความสงสัย
“กลัวหลง”
กล้าพูด! ต่ายเบ้ปาก มองใบหน้าคร้ามแดดที่อาจจะมาจากการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งของอีกคนแล้วก็ต้องประหลาดใจ ถึงแม้จะยังตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยว่าระยะทางแค่นี้จะกลัวหลงอะไรนัก แต่สัมผัสแนบแน่นจากมือใหญ่ที่จับจูงกันเดินไปเรื่อยๆกลับทำให้เขาลอบยิ้มกับดอกไม้ข้างทางอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าร้อนฉ่า
บ้าไปแล้วแน่ๆ ต่ายเอ้ย ..
.
.
ไม่ทัน ... วิ่งขาขวิดกันจนแทบลืมหายใจ ต่ายหยุดหอบแฮ่กๆที่โรงจอดรถหน้าบ้านเพราะเมื่อเดินมาได้กลางทางพวกเขาสองคนก็ต้องวิ่งแถ่ดๆเพราะฝนเทลงมาอย่างแรงไม่ยั้งราวกับอัดอั้นมาตลอดทั้งวัน เปียกโชกจนกลายเป็นลูกหมาตกน้ำทั้งสามคน
ไม่ใช่สิ ลูกหมามีแค่หนึ่ง แต่อีกสองนั่นเป็นหมาตัวโตๆทั้งคู่ต่างหาก
เจ้าของบ้านหัวเราะร่า เมื่อมือใหญ่ปล่อยเจ้าหมาตัวจริงลงบนพื้น ให้มันสะบัดขนจนพื้นรอบด้านเปียกไปหมด เจ้าพิซซ่าขนเปียกตั้งจนเหมือนหมาหลังอาน หัวเล็กๆของมันถูกมือใหญ่ขยี้จนขนเตียนๆตั้งเป็นโมฮ๊อค
“เดี๋ยวเอาผ้าเช็ดตัวมาให้ อยู่ตรงนี้ก่อน” พูดพร้อมไขกุญแจเข้าไปในบ้าน เขารับวิ่งเข้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่อีกคนใช้เมื่อเช้า ไม่ลืมหยิบผืนเล็กให้กับเจ้าสี่ขาตัวเล็กด้วยออกมาส่งให้อีกคน
“เดี๋ยวผมเอาพิซซ่าเข้าไปอาบน้ำด้วย” บาสพูด เขารับผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่าลวกๆ เช็ดหัวตัวเองเล็กน้อยแล้วคว้าเจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าไปในห้องน้ำชั้นล่างที่ตัวเองใช้อาบน้ำเมื่อเช้าแล้วโผล่หน้าออกมา หันซ้ายหันขวาถาม “แชมพูหมาอยู่ไหนพี่”
ต่ายเดินไปหยิบแชมพูสำหรับสุนัขที่วางอยู่ในตู้หน้าห้องน้ำ ยื่นส่งให้อีกคนที่ยิ้มรับแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำทั้งคนทั้งหมา เสียงโครมครามดังลั่น เขาเดาได้ว่าเจ้าพิซซ่าคงจะออกฤทธิ์วิ่งชนนั่นชนนี่แน่ๆ ส่ายหน้าเบาๆ ขาขาวใช้ผ้าเช็ดเท้าที่วางอยู่หน้าบ้านไล่ถูตามรอยน้ำ เดินขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองให้อีกคนยืมแล้วกลับมาเคาะประตูห้องน้ำชั้นล่าง ได้ยินเสียงตอบรับว่ารู้แล้วก็ขึ้นไปจัดการตัวเองบ้าง
เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนทำอะไรเร็วพอสมควร นี่เขาอาบน้ำเสร็จ เดินไปเดินมาสักแป๊บก็ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที นึกขึ้นได้ว่ายังมีเจ้าหมาตัวเล็กกับตัวโตที่อยู่ข้างล่างที่ทั้งหัวทั้งขนเปียกก็รีบหยิบไดร์เป่าผมลงไปชั้นล่าง คนตัวโตๆนั่นน่ะเขาไม่ได้ห่วงเท่าไรหรอก กลัวเจ้าพิซซ่าจะเป็นหวัดมากกว่าถ้าไม่รีบเป่าขนให้แห้งทันที แม้ขนจะสั้นแต่ก็กันไว้ก่อนดีกว่าแก้
พื้นที่หน้าโซฟาถูกจับจองที่ร่างสูงตัวโตที่หันหลังให้กับพัดลมตั้งพื้นที่เปิดไปถึงระดับสามจนผมสั้นๆนั่นๆปลิว ชายหนุ่มไม่ได้สนใจตัวเองเท่าไรเพราะผ้าเช็ดตัวที่เปียกหมาดๆนั่นพาดอยู่ที่คอ มือใหญ่ไล่ขยี้เช็ดขนเจ้าหมาตัวน้อยที่กลิ้งไปกลิ้งมาหลบ ไม่ยอมอยู่นิ่งๆสักที ดีที่ว่าอีกคนคงชำนาญ ถึงดักทางถูก ลากกลับมาให้นอนแอ้งแม้งอยู่กลางหว่างขาได้ทุกครั้ง เขาเดินเข้าไปใกล้ ยื่นไดร์เป่าผมไปให้ตรงหน้า บาสเงยมองพร้อมรอยยิ้ม รับไดร์ไปเสียบปลั๊กที่อยู่ใกล้ๆแล้วลากเจ้าพิซซ่าที่กำลังจะหมอบหนีออกไปไกลกลับมาอีกรอบ ไอร้อนจากไดร์เป่าผมคงทำให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกสบายกว่าแรงขยี้ของคนตัวใหญ่ มันถึงนอนหมอบนิ่ง หลับตาให้มนุษย์เสริมหล่อเสร็จสรรพ
ต่ายรู้สึกหนาว ด้านนอกฝนตก แถมพัดลมยังถูกเปิดเอาไว้ที่ระดับสูงสุดอีกทำให้อากาศยิ่งเย็นเข้าไปใหญ่ ด้วยความขี้เกียจเลยใช้เท้าที่อยู่ใกล้เปลี่ยนระดับให้ลดลงมาอยู่แค่เบอร์หนึ่ง เขานั่งลงบนโซฟา มองเห็นผมสีดำสนิทตัดสั้นที่ยังเปียกโชกแถมจ่ออยู่ตรงพัดลมแล้วก็หงุดหงิด พลางคิดในใจว่าเดี๋ยวก็ไม่สบาย เขาค่อยๆกระเถิบไปนั่งซ้อนหลังอีกคนที่นั่งอยู่บนพื้น ขัดสมาธิข้างหนึ่งอีกข้างวางอยู่บนพื้นปกติ แตะบ่ากว้างเบาๆ คนที่ถูกแตะเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ
“เดี๋ยวเช็ดผมให้” พูดแล้วก็หยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดไว้ขยี้เบาๆ กลายเป็นทำต่อกันเป็นทอดๆ
เสียงฟ้าร้องกับเสียงฝนเทกระหน่ำด้านนอก เสียงมอเตอร์เบาๆจากไดร์เป่าผม และเสียงฮัมเพลงเบาๆจากคนตัวใหญ่ที่ไม่รู้ครึ้มอกครึ้มใจอะไรนักหนาทำให้เขาเม้มปากเบาๆ เมื่อครู่นี้อากาศยังเย็นอยู่เลย ทำไมตอนนี้กลับอุ่นขึ้นมาก็ไม่รู้ นี่เขาไม่สบายหรือเปล่านะ
เจ้าพิซซ่าเสริมหล่อจนเสร็จเรียบร้อย กระโดดขึ้นมานอนอยู่บนโซฟาตัวหอมฉุย ทีนี้ก็เหลือคนตัวโตแล้ว มือขาวสางขยี้เส้นผมนุ่มจนมันแห้งสนิท จะลุกขึ้นเอาผ้าเช็ดตัวไปใส่ไว้ในตะกร้าหลังบ้านแต่ก็มีหัวทุยๆเอนพิงที่ต้นขาข้างที่วางอยู่บนพื้น เงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้มกับดวงตาคมแพรวพราว มือร้อนยกขึ้นจับมือของเขาเอาไว้จนเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะเอาอะไรอีก
“ขอบคุณครับ” ไม่ทำแค่พูด ริมฝีปากสีซีดนั่นบรรจงแตะที่มือขาวจนเขาเกือบเผลอปล่อยผ้าเช็ดตัวลงพื้น
“อือ” แม้จะตกใจ แต่เขาก็ครางรับในลำคอ “ไม่เป็นไร”
“ฝนคงตกอีกนาน” เสียงทุ้มพูดลอยๆ ชวนคุยทั้งๆที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
“อือ คงงั้น”
“งั้นถนนก็คงต้องลื่น แถมแรงขนาดนี้มองไม่เห็นทางแน่” เปรยขึ้นเบาๆแต่เหมือนแฝงนัยยะอะไรสักอย่าง ต่ายได้แต่ถอนใจ
“อือ”
“งั้นก็กลับบ้านไม่ได้แล้ว” ต่ายรู้สึกเหมือนเห็นหูหางของเจ้าหมาตัวโตที่นั่งอยู่ที่พื้นสั่นพั่บๆ
“อือ”
“ค้างนี่นะ” นั่นไง คิดแล้วไม่ผิด ทำไมซื้อหวยไม่เคยถูกวะ
“อือ โซฟานะ แถมพิซซ่าให้นอนกอด” ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆตอบกลับ “ปล่อยได้ยังจะเอาผ้าไปใส่ตะกร้า”
เหล่มองที่มือใหญ่ที่ยังกุมมือเขาอยู่แน่น เขาเห็นใบหน้าคมฉายรอยยิ้มกว้างแบบที่เขาเห็นมาตลอดทุกครั้ง แต่ทำไมครั้งนี้มันเจ้าเล่ห์ๆยังไงไม่รู้
“พี่ต่าย”
“อะไรอีก” นี่ชักรำคาญล่ะ มือข้างที่ยังว่างอยู่ดึงผมอีกฝ่ายขึ้นมาปอยนึงแรงๆ แต่ดูเหมือนคนที่ถูกดึงไม่ได้เจ็บเท่าไร ถึงยังหัวเราะได้อยู่
“เป็นแฟนกันนะ...”
ต่ายชะงัก หรี่ตามองคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่า อยากรู้นักว่าไอ้เด็กรุ่นน้องที่โตแต่ตัวสมองไม่โตตาม แถมหน้าซีดมือสั่นจมูกแดงน้ำตาจะไหลเมื่อสักครู่ก่อนฝนจะเทโครมลงมานี่มันหายไปไหน ไอ้เจ้าเด็กที่กอดเขางอแงเมื่อคืนนี้ด้วย เพราะในตอนนี้เขากลับเห็นร่างสูงที่มีรอยยิ้มมากเล่ห์เหลือเกิน แถมยังพกความมั่นใจเสียเต็มเปี่ยม ถึงแม้จะเปลี่ยนไป แต่เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาชักจะจำได้แล้วว่าแววตาแบบนี้เขาเคยเห็นและเคยถูกมันมองแบบนี้มาก่อนในช่วงที่ถูกตามตื้อแรกๆ สรุปที่ผ่านมาแกล้งทำตัวดีสินะ !
ร้าย!
ต่ายเบ้ปาก เหล่มองชายหนุ่มที่ยังคงรอคำตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แถมยังคลึงมือเขาเล่นอีกต่างหาก เขารู้สึกพลาดตกหลุม แถมหลุมนี้สงสัยจะปีนขึ้นมาไม่ได้ง่ายๆอีกต่างหาก เหนื่อยใจตอนนี้ยังทันอยู่ไหมนะ ...
ตากลมโตที่มีขนตายาวล้อมกรอบภายใต้แว่นตาตวัดมองค้อน เม้มปากแน่น สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ยืนขึ้นกระฟัดกระเฟียดเพราะเหมือนตัวเองแพ้ทั้งขึ้นทั้งล่อง แม้จะแสดงสีหน้าไม่พอใจเท่าไร แต่ใบหน้าขาวเนียนนั่นกลับแดงซ่านลามไปถึงใบหูและลำคอที่โผล่พ้นเสื้อยืดตัวบาง
“เออ!”
ไม่รอฟังเสียงตอบรับ ต่ายรีบเดินหลบฉากออกไปที่ห้องครัว หูยังแว่วเสียงหัวเราะครึ้มอกครึ้มใจดังก้อง ผสมกับเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวจนต้องกำเสื้อบริเวณหน้าอกแน่น
“เป็นแฟนกันแล้วนะพี่ต่าย”
ยัง ยังจะตะโกนเข้ามาถามย้ำอีก นี่ต้องการอะไรกันแน่
“เออ!”
เขาก็ยังบ้าจี้ไปตะโกนตอบอีกด้วย สงสัยอยู่ด้วยกันมากเขาคงซึมซับลูกบ้ามาเยอะเหมือนกัน เขาเปิดประตูทางเชื่อมกับห้องครัวออกไปหลังบ้านที่มีตะกร้าผ้าและเครื่องซักและอบผ้าตั้งอยู่ เขาชะงักมองผ้าเช็ดตัวผืนที่เปียกหมาดๆที่ถืออยู่ ไม่รู้เห็นมันเป็นหน้าอีกคนหรืออย่างไรถึงโยนมันลงไปที่ตะกร้าผ้าเต็มแรงระบายอารมณ์
แต่ทำไมก่อนเดินออกไปเขาถึงเหลือบมองผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนนั้นแล้วต้องอมยิ้มจนเต็มแก้มก็ไม่รู้เหมือนกัน ...
.
.
