บทที่ ๕แม้ว่าเจ้าชายรามิเรสจะรับสั่งว่าขอให้เขาช่วย ‘สงเคราะห์คนสับสน’ อย่างพระองค์
แต่ไม่ว่าจะปลอบใจตัวเองอย่างไร ฟีเรียสก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขาไม่ได้ขายตัว
แม้ว่าเหตุผลหลักคือไม่อยากติดหนี้ผูกพันอยู่เกือบชั่วชีวิต แต่ลึกๆ แล้วชายหนุ่มรู้ดี ว่าเขาเองก็ต้องการ
เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว อนาคตอาจต้องแต่งงานกับผู้หญิงสักคน ถึงเวลานั้นเขาคงจะซื่อสัตย์ต่อภรรยา
และเพราะว่าเขาคงไม่กล้าทำอย่างนี้กับผู้ชายคนอื่น นี่จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากของเขาเช่นกัน
ว่าที่องครักษ์หนุ่มบอกตัวเองว่าเขาจะทำแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
แค่สักครั้ง... กับคนที่ชอบ หลังจากที่ได้แต่แอบมองมานาน
แค่สักครั้ง... ตอนที่ต่างฝ่ายต่างก็มีสติดี
คุณชายใหญ่บ้านเสนาบดีกลาโหมเป็นผู้จัดเตรียมสถานที่ให้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟีเรียสไม่ได้กลับบ้านในวันหยุด
แต่เดินทางไปพบกับเจ้าชายหกแห่งไมซีนที่บ้านพักชานเมือง
บ้านหลังนั้นเป็นของเสนาบดีกลาโหม ตั้งอยู่บนหน้าผาริมทะเลสาบ และซ่อนตัวอยู่ในดงไม้สูง
ฟีเรียสได้รับม้าตัวหนึ่งจากเจ้าชายรามิเรสเพื่อใช้เดินทางไปยังที่นั่นตามลำพัง
เมื่อว่าที่องครักษ์หนุ่มขี่ม้าทะลุดงไม้เข้าไปตามทางจนถึงหน้าบ้าน
เขาก็เห็นว่าเจ้าของวรองค์สูงสง่าทรงยืนรออยู่ก่อนแล้ว
รอยแย้มพระสรวลที่พระองค์ประทานให้แลดูอบอุ่นยิ่งกว่าแสงแดดอ่อนในยามสายเช่นนี้เสียอีก
นั่นทำให้คนมองเห็นรู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้นมา
ฉลองพระองค์สีครีมจางจนเกือบขาวแลดูสะอาดสะอ้านเช่นเดียวกับพระฉวีสีขาวสะอาด
... ไม่เหมือนคนที่กำลังจะใช้เงินจำนวนมากมายเพื่อซื้อตัวผู้ชายเลยแม้แต่น้อย
“เอาม้าไปเก็บก่อนเถอะ มีคอกม้าอยู่หลังบ้าน”
เจ้าชายหนุ่มเป็นฝ่ายเสด็จมาหา ฟีเรียสไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ค้อมกายลงถวายความเคารพ
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปจับสายบังเหียนพร้อมๆ กับเจ้าชายรามิเรส แต่ถึงก่อน จึงถูกพระองค์ทรงกุมมือไว้
ฟีเรียสกระตุกมือหนี เจ้าชายหกจึงทรงชะงักแล้วรั้งพระหัตถ์กลับ
“ขอโทษ”
รอยแย้มพระสรวลของพระองค์มีรอยขอลุแก่โทษดังพระโอษฐ์ว่า ฟีเรียสทำหน้าไม่ถูก
เขาไม่รู้ว่าจะบอกอีกฝ่ายอย่างไรดีว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษ
เขาแค่รู้สึกว่าพระหัตถ์ของพระองค์สะอาดเกินไปเท่านั้นเอง
บริเวณรอบตัวบ้านร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพรรณ ยามสายช่วงปลายฤดูฝนเช่นนี้ยิ่งอากาศดี
ชายหนุ่มต่างศักดิ์สองคนเดินเคียงกันไปเงียบๆ ไม่เร่งรีบ
หลังจากนำม้าสีน้ำตาลเข้มเข้าไปเก็บในคอกม้ารวมกับม้าสีขาวสะอาดแล้ว ฟีเรียสก็ยืนคว้าง ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
“เจ้ากินมื้อเช้ามาหรือยัง”
คนถูกถามพยักหน้า... ราวกับเป็นคนใบ้ ที่สำคัญคือเขาโกหก
“แต่ข้ายัง คงต้องขอให้เจ้ากินเป็นเพื่อน”
รับสั่งแล้วก็ดำเนินนำอ้อมหลังบ้านกลับไปอีกทางหนึ่ง
ว่าที่องครักษ์หนุ่มจึงเดินตามเสด็จเยื้องๆ ไปทางด้านหลัง
“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงนานแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”
“ก่อนหน้าเจ้าเดี๋ยวเดียว” สองชั่วโมง
“ที่นี่... มีแต่ฝ่าบาทกับกระหม่อมหรือพระเจ้าค่ะ”
“ใช่”
ฟีเรียสหมดคำถาม โชคดีที่ยังมีเสียงนกร้องให้ได้ยินบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่านี้
ชายหนุ่มเดินตามเสด็จเจ้าของวรองค์ที่สูงกว่าเขาไม่มากนักเข้าไปในห้องครัว
ครั้นเห็นว่าพระองค์จะทรงหยิบจานชามออกมาเองจึงรีบเข้าไปช่วย
“กระหม่อมเองพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาทรับสั่งบอกว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้างก็พอ”
รอยแย้มพระสรวลบางๆ กับประกายอ่อนโยนในดวงพระเนตร
ทำให้ฟีเรียสรู้สึกว่าทำอะไรไม่ค่อยถูกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เสด็จไปประทับรอในห้องอาหารเถิดพระเจ้าค่ะ กระหม่อมจะจัดการทุกอย่างถวาย”
“ไม่เป็นไร อยู่กันแค่สองคนช่วยๆ กันดีกว่า”
ฟีเรียสเพิ่งจะรู้ว่าเจ้าชายหกแห่งไม่ซีนไม่ค่อยทรงถือพระองค์
ในขณะที่เจ้าชายรามิเรสเองก็เพิ่งจะทรงทราบว่าว่าที่องครักษ์หนุ่มใช้ห้องครัวได้อย่างคล่องแคล่ว
“จะอุ่นหรือ”
“พระเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องก็ได้ แม่ครัวเพิ่งจะทำเสร็จเมื่อเช้า”
“มันเย็นแล้วพระเจ้าค่ะ”
กราบทูลจบก็จุดไฟเสร็จพอดี ตามด้วยไฟในเตาที่สองและสาม
“ให้ข้าช่วยอะไรบ้าง”
“เช็ดโต๊ะรอเลยพระเจ้าค่ะ”
กราบทูลออกไปแล้วก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควร คนสั่งหันกลับไปทันที
แล้วก็ได้เห็นว่าผู้เป็นเจ้าชายเสด็จไปทรงหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะตามสั่งจริงๆ
พระพักตร์ยังมีรอยแย้มพระสรวลอย่างขบขันอยู่พราวพราย
“ฝ่าบาททรงเตรียมจานกับช้อนส้อมดีกว่าพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมเช็ดเอง”
“ไม่เป็นไร ข้าอยากเช็ด” ตั้งแต่เกิดมา พระองค์ก็เพิ่งจะเคยเช็ดนี่แหละ
“ไม่เสวยในห้องอาหารหรือพระเจ้าค่ะ”
“ที่นี่ก็ได้ สะดวกดี”
ฟีเรียสไม่ทูลเซ้าซี้อีก ชายหนุ่มหันไปดูหม้อสตูว์และอาหารอีกสามอย่าง
ซึ่งมีปริมาณมากพอจะให้คนสองคนกินไปได้สามวัน
“เจ้าทำอาหารได้หรือ”
เจ้าชายหนุ่มรับสั่งถามเมื่อทอดพระเนตรเห็นอีกฝ่ายใช้ทัพพีไม้ตักสตูว์ขึ้นมาชิมรสชาติ
“พอได้พระเจ้าค่ะ”
“ใครสอนทำ”
“แม่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมทำบ่อยตอนที่แม่ไม่สบายแล้วน้องสาวก็ยังเด็ก... ฝ่าบาทเสวยรสไหนพระเจ้าค่ะ”
“พอดีๆ”
ฟีเรียสชิมอีกครั้งแล้วก็ตัดสินใจไม่เติมอะไร
“เจ้าล่ะ ชอบกินรสไหน”
“กระหม่อมติดหวานพระเจ้าค่ะ”
“งั้นปรุงใหม่ตามใจเจ้าก็ได้”
“ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ รสชาติดีอยู่แล้ว แม่ครัวมาทำไว้แล้วก็กลับหรือพระเจ้าค่ะ”
“อืม”
ฟีเรียสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันไปเตรียมจานชามสำหรับใส่อาหาร
ทว่าบังเอิญเห็นของแห้งที่อยู่บนชั้นข้างๆ พอดี
“ฝ่าบาทเสวยขนมปังไหมพระเจ้าค่ะ มีน้ำผึ้งกับแยมส้ม”
ทูลถามออกไปแล้วจึงนึกขึ้นได้ทีหลังอีกตามเคย ว่าทำตัวราวกับเป็นเจ้าของสถานที่มากขึ้นทุกทีๆ
“เอาสิ”
รอยแย้มพระสรวลของเจ้าชายรามิเรสทำให้คนได้รับรู้สึกวูบไหวขึ้นมาอีกระลอก
“กระหม่อมคงจะถือวิสาสะเกินไป”
“ไม่เป็นไร ตามสบาย เจ้าของบ้านไม่อยู่”
ฟีเรียสเพิ่งจะรู้ว่าเจ้าชายรามิเรสทรงมีพระอารมณ์ขันบ้างเหมือนกัน
แต่เขาไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของเขาทำให้คนที่เพิ่งเคยทอดพระเนตรเห็นเป็นครั้งแรกทรงรู้สึกอุ่นพระทัยอย่างประหลาด
“จะเสวยกี่แผ่นพระเจ้าค่ะ”
“สี่ก็พอ เจ้าสอง ข้าสอง”
“กระหม่อม...” เขาเพิ่งกราบทูลไปว่ากินมาแล้ว
“กว่าอาหารพวกนั้นจะเดือดก็คงได้เวลามื้อกลางวันพอดี มีอะไรให้ข้าช่วยทำอีกไหม”
“ไม่มีแล้วพระเจ้าค่ะ”
เจ้าตัวกราบทูลว่าอย่างนั้น แต่สองมือยังทำงานอยู่ ทั้งเตรียมน้ำใส่เหยือก
เตรียมเตาปิ้งขนมปัง หาอุปกรณ์ต่างๆ และดูท่าว่าจะทำอีกหลายอย่าง
“ไม่ต้องเกรงใจฐานะเจ้าชายของข้าก็ได้ ข้าไม่อยากรอเจ้าทำให้กินอย่างเดียว”
ฟีเรียสหันไปมองพระพักตร์ แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะรับสั่งจริง
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนฝ่าบาททรงตัดดอกไม้มาใส่แจกันสักกำเถิดพระเจ้าค่ะ”
“ได้”
ฟีเรียสรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทรง ‘ยิ้ม’ อีกแล้ว
ในขณะที่คนถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ ก็ทรงทราบเช่นกันว่าวันนี้พระองค์แย้มพระสรวลได้บ่อยกว่าทุกวัน
การเป็นฝ่ายถูกสั่งให้ทำโน่นทำนี่บ้างนี่ก็ให้ความรู้สึกดีเหมือนกัน
แล้วนักเรียนองครักษ์คนนี้ก็ดูท่าจะเป็นคนโรแมนติกกว่าที่คิด
หลังจากอาหารมื้อเช้าควบมื้อกลางวันผ่านพ้นไป เจ้าชายหกแห่งไมซีนก็ทรงอาสาช่วยล้างจาน
ทว่าคราวนี้พระองค์ไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วย จึงได้แต่ประทับทอดพระเนตรว่าที่องครักษ์หนุ่มล้างจานอย่างคล่องแคล่ว
และทรงชวนเขาคุยไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพราะมนต์ขลังของห้องครัวหรืออะไรก็ตาม
แต่ฟีเรียสก็ ‘คุย’ กับพระองค์ด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากเช็ดจานใบสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ฟีเรียสก็หันกลับมาเผชิญพระพักตร์
คราวนี้... จะทำอะไรต่อ
“กินอิ่มแล้ว ไปนอนกันไหม”
คนถูกชวนถึงกับสะดุ้ง แม้จะรู้อยู่แล้วว่าอะไรคือจุดประสงค์หลัก แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนว่าเตรียมใจไม่ทันอยู่ดี
ฟีเรียสพูดไม่ออก ชายหนุ่มเพียงแต่พยักหน้า
“เอาองุ่นไปด้วยสักหลายๆ พวง”
รับสั่งจบ พระองค์ก็ทรงเป็นฝ่ายยกตะกร้าผลไม้บนโต๊ะไปทั้งตะกร้า
“ขอจานสักสองใบ”
แม้ไม่รู้ว่านอนท่าไหนถึงต้องใช้ผลไม้กับจาน แต่คนถูกสั่งก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี
เจ้าชายหกแห่งไมซีนดำเนินนำว่าที่องครักษ์หนุ่มไปยังสวนข้างบ้านที่เต็มไปด้วยผืนหญ้าสีเขียวชอุ่ม
ดอกไม้หลากสีสัน และต้นไม้ใบหนา ตอนนี้ทั้งตะกร้าผลไม้และจานสองใบล้วนแต่อยู่ในมือของฟีเรียสแล้ว
เพราะชายหนุ่มขอถือตามหน้าที่
“ตรงนี้มุมดี แดดบ่ายไม่ส่อง เจ้าเลือกที่นอนได้เลย”
มุมดีที่ว่าคือบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่สามต้นขึ้นอยู่ใกล้ๆ กัน ลากเส้นเชื่อมต่อได้เป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า
ระหว่างต้นไม้สามต้นมีเปลผ้าผูกอยู่สองเปล
“ฝ่าบาททรงเลือกก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ”
ที่จริงแล้วเปลไหนก็เหมือนๆ กัน แต่เจ้าชายรามิเรสก็ทรงนำตะกร้าผลไม้ไปแขวนไว้ตรงต้นไม้
ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเปลทั้งสอง หยิบองุ่นพวงหนึ่งใส่จานและเสด็จไปประทับบนเปลด้านขวา
พลางทรงพยักพเยิดพระพักตร์เป็นเชิงชักชวนให้ว่าที่องครักษ์หนุ่มทำตาม
ครั้นฟีเรียสทำตามอย่างแล้ว ชายหนุ่มก็หันกลับมาเห็นว่าอีกฝ่ายทรงเอนองค์บรรทมบนเปลเรียบร้อยแล้ว
ชันพระชานุขึ้นข้างหนึ่งและมีจานองุ่นวางอยู่บนพระนาภี เขาจึงไปนั่งลงบนเปลที่ว่างอยู่บ้าง
“เล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าให้ข้าฟังอีกสิ”
ฟีเรียสนิ่วหน้านิดหนึ่งอย่างนึกไม่ออกว่าจะเล่าอะไร
“เล่าเท่าที่เล่าได้ ตอนเด็กๆ เจ้าซนรึเปล่า”
ว่าที่องครักษ์หนุ่มอยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ ตกลงว่าเรื่องครอบครัวของเขาหรือว่าเรื่องของเขากันแน่
อย่างไรก็ดี ไม่นานนักเจ้าชายหกแห่งไม่ซีนก็บรรทมหลับไปจริงๆ
ฟีเรียสต้องเดินไปหยิบจานที่มีองุ่นเหลืออยู่สี่ห้าลูกออกจากบนพระวรกาย
แล้วกลับมานอนเล่นบ้างโดยหันปลายเท้าไปทางเดียวกับปลายพระบาท
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้อีกฝ่ายทรงงานดึกหรือเปล่า แต่ตัวเขาเองนั้นนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน
พอเห็นคนนอนอยู่ตรงหน้าแถมอากาศยังเย็นสบายก็อดที่จะรู้สึกง่วงขึ้นมาไม่ได้ ในที่สุดก็หลับไปเช่นกัน
**********************************
ฟีเรียสตื่นนอนตอนบ่ายแก่มากแล้ว ซ้ำเจ้าชายรามิเรสซึ่งทรงตื่นบรรทมก่อนเขา
ยังตรัสชวนให้เล่นหมากกระดานเป็นเพื่อนพระองค์อยู่จนเย็น
‘เรื่องหลัก’ ที่คิดว่าเจ้าชายหนุ่มคงจะโปรดให้ทำตอนบ่ายจึงเป็นอันว่าไม่ได้ทำ
หลังจากพระองค์รับสั่งชวนอยู่สองสามประโยค ชายหนุ่มจึงยอมนอนค้างที่นี่คืนหนึ่ง
เป็นเวลากลางคืนก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจมากนัก
รีบทำให้เสร็จลุล่วงไป พอถึงพรุ่งนี้เช้า ชีวิตของเขาก็คงจะลาขาดจากเจ้าชายหกได้เสียที
ว่าที่องครักษ์หนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับเจ้าชายรามิเรสแล้ว
แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ ‘ปกติ’ อย่างพระองค์ยังดูไม่ทรงประหม่าเลยแม้แต่น้อย
ก็คิดได้ว่าตัวเขาซึ่งรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่าชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงก็ไม่ควรต้องตื่นเต้นให้มากเกินไป
“เจ้าจะอาบน้ำก่อนหรือให้ข้าอาบก่อน”
“ฝ่าบาทก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ”
เขาขอเวลานั่งทำใจก่อน ถ้านานแล้วยังทำใจไม่ได้ บางทีเขาอาจจะหนีไปเสียดื้อๆ
เจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงพยักพระพักตร์ ก่อนจะทรงเลือกฉลองพระองค์จากตู้
เมื่อได้แล้วจึงทรงหันมารับสั่งกับคนที่ยังยืนอยู่กลางห้องว่า
“ระหว่างที่ข้าอาบ เจ้าเลือกชุดไว้รอเลยก็ได้ ทั้งตู้นี่เป็นเสื้อผ้าของข้าเอง เลือกได้ตามสบาย”
คนสั่งเสด็จเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้ว ว่าที่องครักษ์หนุ่มจึงต้องเดินไปเลือกเสื้อผ้าอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะนอนในห้องของคนอื่น สวมเสื้อผ้าของคนอื่น และที่สำคัญก็คือนอน ‘ร่วม’ กับคนอื่น
มิหนำซ้ำคนอื่นที่ว่ายังเป็นถึงเจ้าชาย
แม้ว่า... จะเป็นผู้ชายที่เขาชอบก็ตามที
เจ้าชายรามิเรสทรงใช้เวลาในห้องอาบน้ำนานพอสมควร ทว่าฟีเรียสใช้นานกว่าพระองค์มากนัก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับใครอื่นนอกจากเจ้าชายหนุ่มมาก่อน
แต่เขาก็พอจะรู้จากเพื่อนองครักษ์บางคนมาบ้าง ว่าก่อนมีความสัมพันธ์จะต้องทำความสะอาดส่วนใดเป็นพิเศษ
ความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับในคืนนั้นหวนกลับมาทำให้เขารู้สึกขยาดอีกครั้ง
แต่เพราะเขาตัดสินใจมาแล้วและไม่อยากผิดคำพูด จึงได้แต่ทำใจและหวังว่า
ในยามมีสติ เจ้าชายรามิเรสจะทรงถนอมเขาบ้าง
แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยทรงทำเช่นนี้กับใครอื่นนอกจากเขาเลยเช่นกันก็ตาม
ฟีเรียสฝากความหวังไว้กับมิทรอส... หวังว่าคุณชายหนุ่มคงจะกราบทูลความรู้เบื้องต้นให้พระองค์ทรงทราบบ้างแล้ว
ว่าที่องครักษ์หนุ่มเดินใช้ผ้าเช็ดผมออกมาจากห้องอาบน้ำ และยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าเจ้าชายรามิเรสเองก็กำลังทรงเช็ดพระเกศาอยู่บนเตียงเช่นกัน
ต่างฝ่ายต่างก็มองกันอย่างรู้สึกกระดากใจ
“มานั่งด้วยกันสิ”
ฟีเรียสทำตามรับสั่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างเช็ดผมของตัวเองไปเงียบๆ เหมือนเดิม
จนกระทั่งว่าที่องครักษ์หนุ่มรู้สึกว่าผมแห้งสนิทดีแล้ว
... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระเกศาสีน้ำตาลเข้มของเจ้าชายรามิเรสซึ่งสรงน้ำก่อนเขาจะแห้งแล้วหรือยัง
แต่หลังจากแสร้งเช็ดผมแห้งๆ รออยู่อีกครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้ยินคนที่ประทับอยู่ข้างๆ รับสั่งว่าอะไร
เขาจึงต้องเป็นฝ่ายลืมความอายแล้วกราบทูลก่อน
“ฝ่าบาทจะทรง... เริ่มเลยไหมพระเจ้าค่ะ”
“ก็... ดี”
ถึงจะรับสั่งอย่างนั้นแล้วแต่พระองค์ก็ยังไม่ทรงขยับ
“จะโปรดให้กระหม่อมเป็นฝ่ายทำหรือพระเจ้าค่ะ”
ฟีเรียสไม่ได้แกล้งถาม เขาสงสัยจริงๆ และคนถูกถามก็ดูเหมือนจะทรงผงะไปอย่างตกพระทัย
อาการเช่นนั้นทำให้ว่าที่องครักษ์หนุ่มรู้สึกคลายประหม่าขึ้นมาได้เล็กน้อย
“เจ้าอยากจะทำหรือ”
รับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงซื่อๆ อย่างคนใจดีนั้นทำให้คนถูกถามรู้สึกว่าหัวใจหวั่นไหว
โยกคลอนอย่างรุนแรง เขาไม่เคยคิดอยากจะเป็นฝ่ายทำ แต่สีพระพักตร์ที่ดูเหมือนว่าพระองค์จะโปรดให้เขาลองทำได้จริงๆ
หากว่าเขาต้องการนั่นต่างหาก... ที่ทำให้เขารู้สึกดีๆ
น้ำเสียงของฟีเรียสอ่อนโยนลงเมื่อทูลตอบ
“ฝ่าบาททรงทำเถิดพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหกดูจะทรงโล่งพระทัยขึ้น ผ่อนคลายขึ้นเช่นกันเมื่อทรงสารภาพว่า
“ข้าเริ่มไม่ถูก”
“คุณชายมิทรอสไม่ได้กราบทูลแนะนำหรือพระเจ้าค่ะ”
“บอก... แต่บอกแค่ว่าให้ทำเหมือนที่ทำกับผู้หญิง แล้วก็...”
รายละเอียดอื่นพระองค์ไม่ปรารถนาจะรับสั่ง เพราะแค่เริ่มต้นก็ทรงทำไม่ได้เสียแล้ว
ฟีเรียสไม่ใช่ผู้หญิง ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ แล้วจะให้พระองค์ทรงทำเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้หญิงได้อย่างไร
“ฝ่าบาทแค่จะทรงทดสอบดูว่าจะทรงทำกับกระหม่อมได้ไหม เท่านั้นใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายรามิเรสทรงพยักพระพักตร์ แววพระเนตรมีร่องรอยขอลุแก่โทษที่ทรงใช้เขาเป็นเครื่องมือ และฟีเรียสก็ให้อภัย
“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมทำเองพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มทรงขมวดพระขนงอย่างทรงกังวลกึ่งกังขา ในขณะที่ว่าที่องครักษ์หนุ่มข่มความกระดากอาย
ลุกขึ้นไปยืนตรงเบื้องพระพักตร์แล้วเริ่มปลดกระดุมชุดนอนสีฟ้าของตัวเอง
ที่จริงแล้วเขาเคยเปลือยกายต่อหน้าเพื่อนๆ หลายคนอยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเมื่อรู้เรื่องความชอบที่ผิดธรรมชาติของตัวเองและเริ่มรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเห็นร่างกายของคนที่เขารู้สึกพอใจ เขาก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น
แต่เวลานี้ไม่เหมือนกับตอนที่เขาเปลือยกายอาบน้ำต่อหน้าคนอื่น นั่นเป็นเรื่องปกติ
แต่ตอนนี้... เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสินค้าที่ต้องเปลื้องผ้าเพื่อให้คนซื้อตรวจสอบดูว่ามีตำหนิหรือเปล่า พอใจหรือไม่
ราวกับ... ผู้ชายขายตัวจริงๆ
เจ้าชายรามิเรสทรงนิ่งอึ้งไปเมื่อฟีเรียสยืนเปลือยเปล่าอยู่เบื้องพระพักตร์
สายพระเนตรทอดจับปราดไปทั่วเรือนร่างงดงามสมบูรณ์นั้นถึงสองครั้ง
ก่อนจะทรงรู้สึกแย่เมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าที่มีแววอดสูใจของชายหนุ่ม
“เจ้าใส่เสื้อผ้าเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์เลย”
หน้าชา... ราวกับถูกตบดังฉาด
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าชายหนุ่มทรงเป็นผู้ชายปกติธรรมดาที่ชอบผู้หญิง
แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองแอบหวังไว้ตั้งแต่เมื่อไรว่าพระองค์จะโปรดเขาเป็นพิเศษ
ฟีเรียสสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ซ่อนความรู้สึกอดสูใจไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
“เท่านี้ก็คงจะพิสูจน์ได้แล้วว่าฝ่าบาทไม่ได้ทรงผิดปกติ”
“ข้าแค่สงสัยตัวเอง ไม่ได้คิดว่านั่นจะเป็นเรื่องผิดปกติเลย”
พระสุรเสียงของเจ้าชายหนุ่มค่อนข้างอ่อนโยน ฟีเรียสฟังแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บใจ
ที่แม้พระองค์จะยังทรงสับสน แต่ก็ยังละเอียดอ่อนพอที่จะนึกถึงความรู้สึกของเขา
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขารู้สึกชอบพระองค์มากขึ้นกว่าเดิมได้ยังไง
“ดึกแล้ว มานอนเถอะ”
ฟีเรียสประหลาดใจ... ทั้งที่ทรงทราบแล้วว่าพระองค์ปกติดี ยังกล้าตรัสชวนให้เขานอนร่วมเตียงอีกหรือ
“กระหม่อมนอนพื้นก็ได้พระเจ้าค่ะ”
“กลัวข้าหรือ หรือว่าเจ้ารังเกียจ”
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทรงพิสูจน์แล้ว กระหม่อมไม่บังอาจนอนเตียงเดียวกับเจ้าชายพระเจ้าค่ะ”
“เตียงกว้าง เจ้าขึ้นมานอนเถอะ ดับไฟเสียก่อน”
ฟีเรียสยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง มองคนที่ขยับพระองค์เข้าไปด้านในของเตียงและเว้นที่ไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้วอยู่ครู่หนึ่ง
จึงตัดสินใจปลง เดินไปปิดไฟกลางห้องแล้วเดินตามแสงโคมไฟบนโต๊ะตัวเล็กที่เจ้าชายหนุ่มทรงเปิดไว้มาที่เตียง
หลังจากปิดสวิทช์โคมไฟ ห้องก็มืดสนิท
“ขยับเข้ามาอีกก็ได้ ชิดริมมากเดี๋ยวจะตกเตียง”
ฟีเรียสยอมขยับเข้าไปอีกนิดเดียวตามรับสั่ง ชายหนุ่มนอนตัวเกร็ง
เพราะทั้งเกรงฐานะของอีกฝ่ายและรู้สึกไม่คุ้นเคย แม้จะไม่มีส่วนใดของร่างกายสัมผัสกัน แต่ก็นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
นานทีเดียวกว่าคนอายุน้อยกว่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ทว่านั่นกลับเป็นเวลาเดียวกับที่คนบรรทมร่วมเตียงทรงพาดพระพาหาลงมาบนลำตัวของเขา
แม้จะมีผ้าห่มผืนหนากั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่ฟีเรียสก็สะดุ้ง ตัวเกร็งขึ้นอีก
คงไม่ใช่ว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนพระทัย...
“ขอข้า... ลองกอดเจ้าดูได้ไหม”
แปลกดีที่เพียงแค่ได้ยินพระสุรเสียง คนฟังก็จินตนาการออกว่าสีพระพักตร์ของพระองค์กำลังเป็นเช่นไร
ก็คงจะดูเหมือน ‘เกรงใจ’ เขา เช่นเดียวกับกระแสพระสุรเสียงนั่นล่ะ เพียงแต่เขาไม่เข้าใจเลย
ว่าถ้าพระองค์ทรง ‘เกรงใจ’ เขาจริงๆ จะทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไร
ทำไปแล้วถึงค่อย ‘ขอ’ แบบนี้ไม่ต้องรับสั่งอะไรเสียยังจะดีกว่า
เพราะถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจมาที่นี่เพื่อยอมให้พระองค์ทรงทำกับเขามากยิ่งกว่ากอดอยู่แล้ว
แต่เพราะพระองค์รับสั่งถาม เขาจึงจำเป็นต้องทูลตอบทั้งที่รู้สึกอดสูใจอยู่ไม่น้อย
“พระเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ถูกปฏิเสธเมื่อครู่นี้ หรือตอนที่ถูกสัมผัสผ่านผ้าห่มอย่างตอนนี้
ก็ล้วนทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นแค่ผู้ชายขายตัวทั้งสิ้น
ว่าที่องครักษ์หนุ่มสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเจ้าชายหนุ่มทรงสอดพระหัตถ์เข้ามาในผ้าห่ม บรรทมตะแคงแล้วกอดเอวเขาไว้หลวมๆ
“ฝ่าบาท...” ที่เขาบอกอนุญาตก็เพราะคิดว่าพระองค์จะทรงกอดเขาผ่านผ้าห่ม ไม่ใช่... แบบนี้
“ข้า... รู้สึกไม่ถนัด”
แล้วคิดว่าเขาถนัดหรือยังไงกัน!
“เจ้ายกหัวขึ้นแล้วนอนหนุนแขนข้าได้ไหม”
ว่าอะไรนะ!
“ข้าแค่จะกอดเฉยๆ ไม่ทำอะไร ข้าอยากจะค่อยเป็นค่อยไป”
ยิ่งฟัง ฟีเรียสก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นผู้ชาย ‘ปกติ’ ที่กำลังถูกผู้ชายที่ ‘ไม่ปกติ’ อย่างพระองค์ทรงตะล่อมล่อลวง
นักเรียนองครักษ์หนุ่มยกศีรษะขึ้น ปล่อยให้คนบรรทมข้างทรงสอดพระกรเข้ามา
ก่อนที่เขาจะวางศีรษะทับลงไป... ลูกหนี้อย่างเขาจะทำอะไรได้อีก นอกเสียจากทำตามพระประสงค์
ฟีเรียสไม่ต้องการอยู่ในสภาพนี้ แต่ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเพราะไม่อยากจะทำให้พระกรของพระองค์ชาหนึบ
หรือเพราะไม่อยากให้ลมหายพระทัยอุ่นๆ ของอีกฝ่ายรินรดแผ่วๆ ลงบนผิวแก้มของเขากันแน่
เจ้าชายรามิเรสทรงผ่อนพระปัสสาสะออกอย่างโล่งพระทัย แม้จะทรงทำเช่นนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนพระทัยอยู่บ้าง
แต่ก็จำต้องทรงพยายามหาทางพิสูจน์ให้แน่พระทัยจริงๆ ว่าไม่ได้ทรงหวั่นไหวเพราะร่างกายของฟีเรียส
พระองค์ทรงหวัง ว่าดวงพระทัยที่กำลังเต้นค่อนข้างแรงมาหลายนาทีแล้วนี้จะเกิดขึ้นเพราะทรงเกรงว่าฟีเรียสจะไม่พอใจ
มากกว่าจะเป็นเพราะพระองค์ทรงเกิดหวั่นไหวขึ้นมา
ไม่นานนัก อาการเกร็งนิดๆ ของทั้งคู่ก็หายไป ยิ่งดึก อากาศยิ่งเย็น
ฟีเรียสพลิกกายหันเข้าหาความอบอุ่นตามธรรมชาติ และเจ้าชายรามิเรส
ก็ทรงกระชับอ้อมพระพาหาไว้แน่นขึ้นโดยไม่ทรงรู้องค์
ภาพที่ว่าที่องครักษ์หนุ่มตื่นขึ้นมาเห็นในตอนใกล้รุ่งสางจึงเป็นภาพพระพักตร์คมคายขาวสะอาด
ที่อยู่ห่างจากหน้าของเขาเพียงชั่วฝ่ามือเดียว
ทว่าภาพที่เจ้าชายหนุ่มทรงตื่นขึ้นมาทอดพระเนตรเห็น
... คือผนังห้อง
tbc.
***************************************************
เรื่องนี้ไม่มี nc นะคะท่านผู้อ่าน
ไม่ได้หมายความว่า มีแต่ไม่บรรยาย
แต่หมายความว่า นอกจากบทนำแล้ว ฉากอย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้นอ่ะค่ะ
ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นท้ายเรื่องนู่นเลย อาจจะมีสักฉากนึงอะไรงี้
แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอ่ะค่ะ สองคนนี้คบกันแบบบริสุทธิ์ใจมากกกกกกกกกกกก
ความสัมพันธ์ก็ไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่ อาจจะเป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่า (ไม่แน่ใจ)
แล้วก็... ลงบ่อยกว่านี้เห็นจะไม่ไหวแน่ค่ะ เพราะไม่ได้เขียนเพิ่มเลย กลัวว่าลงหมดสต็อกแล้วจะดองนาน
เพราะงั้นก็ เจอกันสามวันห้าวันครั้งไปก่อนนะคะ (ชุนว่านี่ก็บ่อยไปแล้วอ่าาาา)
ขอบคุณทุกกำลังใจและความคิดเห็นนะคะ