(ต่อ)
“วานิลลาปั่นอย่างเดียวเหรอ? ไม่เอาโดนัทด้วยล่ะ? ...อร่อยนา ฮ่ะๆๆ ...โอเคๆ ตามนั้นครับ แล้วเจอกัน”
ผมวางสายจากรักแค่ไม่ถึงวินาที ก็มีมือดีของใครบางคนมาคว้าเอวผมแล้วกระชากเข้าข้างทางแบบไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้!”แล้วถัดจากนั้นอีกเพียงเสี้ยววินาทีก็มีจักรยานคันหนึ่งปั่นเฉียดตัวผมไปด้วยความเร็ว คนปั่นที่ใส่ชุดนักศึกษาแบบเดียวกับผมหันมายกมือเป็นเชิงขอโทษขอโพยแต่ไม่ได้ลดความเร็วลง ท่าทางเขาคงกำลังรีบ
“มักง่ายชะมัด นี่มันทางเท้านะ” คนที่เพิ่งช่วยผมบ่นอย่างหัวเสีย
“ขอบใจนะ” ผมหันไปยิ้มให้ผู้มีพระคุณหมาดๆ “ไอ”
แต่แทนที่ทางนั้นจะยิ้มตอบผม เขากลับหัวเสียต่อเนื่องใส่ผมด้วยซะอย่างนั้น
“นายก็เหมือนกัน มัวแต่ห่วงโทรศัพท์อยู่นั่น รู้จักห่วงชีวิตตัวเองบ้างก็ดีนะ”
“ขอโทษครับ” ผมยื่นหลังมือไปอังหน้าผากอีกฝ่าย “อืม อุณหภูมิปกติ”
“กวนตีนเหรอ?” ไอปล่อยมือจากเอวผม เขาถามยิ้มๆ แต่สายตาน่ะกำลังเอาเรื่องผมอยู่แน่
“เปล่านะ” ผมรีบแก้ตัว “ก็วันก่อนตอนโทรไปไอบอกว่าเป็นหวัดนี่นา เราก็เลยห่วงว่าจะยังป่วยอยู่หรือเปล่า ..หายดีแล้วใช่ไหม?”
“ยังอ่ะ” ไอตอบทันที
ผมยืนมองอีกคนตาปริบๆ คือไอก็ดูแข็งแรงปกติ อุณหูมิร่างกายก็ปกติ รอยยิ้มยังคงเดิม แต่สายตาเอาเรื่องเมื่อครู่มันเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์แล้วนี่สิ ผมเลยไม่รู้จะว่าไงดี
“โอ๊ยยย ป่วย!” คนป่วย(?)เท้าเอว หันไปมองทางข้างหน้า “จะมีใครมาดูแลไหมนะ?”
“เดี๋ยวโทรเรียกเมโล่ให้” ผมบอก ไอหันกลับมา
หลังจากสบตากันก็ไม่มีใครสามารถกลั้นหัวเราะได้อีก..
“แล้วเป็นไง หมอนั่นไปป่วนอะไรที่บ้านนายบ้างล่ะ?” ไอถามระหว่างที่เราเดินไปคณะด้วยกัน
“นอกจากทะเลาะกับเด็กข้างบ้านก็ไม่มีอะไรนะ แม่เราออกจะปลื้มด้วยซ้ำ เพราะทำอะไรให้กินเมโล่ก็กินได้หมด อร่อยไม่อร่อยไม่มีบ่นสักคำ” ผมพูดแล้วก็อดขำไม่ได้
เมโล่เพิ่งจะกลับบ้านตัวเองไปเมื่อเช้านี้เอง เห็นบอกว่ามีเรียนบ่าย ก็คงจะโผล่มามหา’ลัยประมาณเที่ยงนั่นล่ะ
“อ้อ นั่นจะเรียกว่าเป็นข้อดีข้อเดียวของหมอนั่นก็ได้” ไอพูดกลั้วหัวเราะ “อาหารแมวก็ยังกินเล่นได้หน้าตาเฉย”
“ขนาดนั้นเลย..” ผมรู้สึกทึ่งกับความสามารถพิเศษของเมโล่
“ก็ประมาณนั้นแหล่ะ.. กี้!” ไอตะโกนเรียกคนที่ขี่มอเตอร์ไซด์สวนมา รถคันนั้นชะลอตามเสียงเรียก พอสังเกตเห็นไอก็รีบกลับรถ แล้วขี่มาจอดเทียบฟุตบาทที่เรายืนอยู่
“ไงจ๊ะ น้องไอ” ‘กี้’ เอ่ยทักกึ่งแซวไอ ก่อนยิ้มตอบผมที่ส่งยิ้มแทนการทักทายเขาก่อน
ผมเคยเห็นคนนี้เดินอยู่กับไอหลายครั้ง แต่เขาไม่ได้อยู่คณะวิศวะหรอก น่าจะอยู่นิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์นี่ล่ะ ผมไม่แน่ใจ เคยได้ยินจากพวกสาวๆ ว่าเขาเป็นเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกับไอตอน ม.ปลาย
“ของฝากกูล่ะ?” ไอแบมือไปตรงหน้าเพื่อน
‘พ่องงง’ กี้ด่าแบบไม่มีเสียง
“มึงก็รู้ว่ากูช่วยงานที่ร้านป๊าม้าไม่ได้โงหัวออกจากครัว มึงจะเอาครก เอาสาก หรือเอามีดอีโต้เป็นของฝากดีล่ะครับ เชี่ยไอ?”
ไอหัวเราะชอบใจอาการเหวี่ยงของเพื่อน
“มึงเหอะ ไปเขาใหญ่ได้อะไรมาฝากกูบ้าง”
“นี่ไง” ไอคว้าคอผมไปกอด “เก็บได้ที่วังน้ำเขียว แต่คงยกให้มึงไม่ได้นะ เพราะกูไม่ใช่เจ้าของ” ประโยคหลังคนพูดปรายตามาทางผมขำๆ
“ไปด้วยกันเหรอ?” กี้เลิกคิ้วสูงพลางมองหน้าผมกับไอสลับกัน
“บังเอิญเจอกันนี่นู่นน่ะ” ผมบอก
“พรหมลิขิตเนาะ” กี้ยิ้มกวนๆ ก่อนชะโงกหน้ามาใกล้ไอ “แล้วได้กันยัง?”
คราวนี้เป็นไอที่ด่าแบบไม่มีเสียงบ้าง เขาหัวเราะพร้อมทั้งยกเท้าขึ้นใส่เพื่อน แต่กี้เอนตัวหลบได้ทันแล้วหัวเราะลั่น พวกเขาดูสนิทกันดี เวลาหยอกล้อกันก็ทำเอาผมอดยิ้มไปด้วยไม่ได้
“เออ!” กี้หันไปเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วหยิบบัตรอะไรสักอย่างยื่นให้ไอ “เจ้กูฝากมาให้ ตั๋วรอบสื่อฯ หนังภาคต่อที่มึงบอกว่าอยากดูอ่ะ”
“ให้ 2 ใบเลยเหรอ?” ไอก้มอ่านตั๋วกในมือ “เสาร์นี้..”
“ก็เผื่อมึงอยากพาใครไปด้วย”
“แล้วมึงอ่ะ?”
“ก็รู้ว่ากูไม่ชอบงานแบบนั้น ขี้เกียจปฏิเสธนักข่าวที่ชอบเข้าใจผิดว่ากูเป็นดารา ไม่ไหวๆ เหนื่อย”
“ถุ๊ย!”
“ฮ่าๆๆๆ เออ งั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวตอนเย็นมาเตะบอลด้วย”
“เออ เจอกัน”
เพื่อนไอไปแล้ว ผมเลยชะโงกไปดูตั๋วในมือไอบ้าง
“โอ๊ะ เรื่องนี้ภาคแรกสนุกมากเลย เราไปดูมาตั้ง 2 รอบแน่ะ” ผมเป็นหนึ่งในหนังที่ผมดูแล้วรู้สึกชอบมาก จำได้ว่ารอบแรกลูกปลาชวนผมไปดู รอบสองผมลากน้องไปดู ฮ่ะๆๆ
“เราไปดูมา 3 รอบ” ไอยิ้มขำ ไม่รู้ขำตัวเองหรือขำผม เขายื่นตั๋วใบหนึ่งมาให้ผม “ไปดูด้วยกันไหม?”
“ของฟรี” ผมใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบตั๋วจากมือไอ “..ใครจะปฏิเสธ”
“ใครบอกให้ฟรี?” ไอยังจับอีกปลายของตั๋วไว้ไม่ปล่อย เขายิ้มอย่างเป็นต่อ
“เดี๋ยวเลี้ยงป๊อบคอร์น” ผมต่อรอง ไอยังนิ่ง ผมเลยต้องเพิ่มข้อเสนอสุดทุ่มทุน “น้ำด้วยเอ้า!”
“ไม่อิ่มอ่ะ”
“โห นี่กะเอาอิ่มเลยเหรอ?” ผมแกล้งบ่น “ตั๋วตัวเองก็ได้มาฟรีแท้ๆ”
“จะได้มายังไงไม่เกี่ยว แต่ตอนนี้มันเป็นของเรา” ไอออกแรงดึงตั๋วกลับ แต่ผมก็ไม่คิดจะปล่อยเช่นกัน “ว่าไง?”
“โอเค งั้นเลี้ยงข้าวมื้อนึง” ผมยอมแพ้
“ดีล! ฝากดูแลด้วยนะ ป๋า” ไอปล่ยตั๋ว ตอบไหล่ผม 2 ป้าบ ก่อนโบกมือเรียกรถมอเตอร์ไซด์อีกคันที่ผ่านมา คนขับดูคุ้นหน้าคุ้นตาเพราะเป็นเพื่อนร่วมคณะผมเอง
ไอขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย แต่ไม่ลืมหันมาโบกมือลาผมพร้อมทั้งยิ้มเต็มหน้า ผมยืนมองจนรถนั้นเลี้ยวหายไปจากสายตา
“คุ้มไหมเนี่ย..” ผมก้มมองตั๋วในมือพลางส่ายหน้ายิ้มๆ
การได้เห็นไอกลับมาร่าเริงอีกครั้งมันทำให้ผมรู้สึกดี ..ใช่ ไอที่ร้องไห้ ไอที่สิ้นหวัง ไอคนที่วังน้ำเขียว...เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากกลับไปเจอเขาอีก ผมไม่ติดใจเรื่องที่ไอทำวันนั้น ที่บอกให้ผมทิ้งรัก แล้วเลือกเขา.. ผมพยายามจะคิดว่ามันเป็นเพียงผลกระทบทางจิตใจที่เกิดจากคืนก่อนหน้านั้น ไอที่กำลังรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณ์อาจจะสับสนจนพูดอะไรไม่ทันคิดออกมา ผมจะถือซะว่าเขาไม่เคยพูด และพวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันเหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ ..ไม่มีอะไรให้ต้องอึดอัดใจ
มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น...
“ซุ้มนิทรรศการกับเกมสันทนาการตอนกลางวันพอเข้าใจนะ แต่ไอ้งานกลางคืนกับคอนเซ็ปงานวัดนี่มันเกี่ยวตรงไหนวะ?” สจีนิ่วหน้าขณะอ่านรายละเอียดงานโอเพ่นเฮาส์ของคณะเราที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือน
“มันเป็นช่วงหาเงินเข้าคณะไง ดูกิจกรรมแต่ละอย่างนี่ไม่สงสัยเลยว่าจงใจคิดขึ้นมาเพื่อดูดเงินสาวแท้สาวเทียมโดยเฉพาะ ยิ่งไอ้เกมหนุ่มน้อยตกน้ำที่จะมีการเปิดประมูลบอลที่ใช้ปาเหล่าเดือนแต่ละสาขานั่น...” นิ่มขมวดคิ้วยุ่งเหมือนไม่เห็นด้วย แจ่จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมสายตาวิบวับเป็นประกาย
“ฉันจะทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้เห็นไอซามะเปียกปอน อร๊ายยยยย” แล้วก็วี้ดว้ายไปกับเพื่อนสาวร่วมเสคจนสจีส่ายหน้าเอือมระอา ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะกับความฝันของแต่ละคนที่ดูจะมีเป้าหมายเป็นเดือนของเสคอื่นกันหมด
“ส่วนกุ้งก็จะยอมจ่ายหมดหน้าตักเพื่อเห็นคุณชายต่ายตกน้ำเหมือนกัน อิอิ” กุ้งนางโผล่มากอดคอผมจากด้านหลังแล้วเนียนนัวเนียเหมือนเดิม แม้ตอนนี้จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วก็ตาม
“อีนี่เผลอเป็นไม่ได้” นิ่มช่วยแงะกุ้งนางออกจากตัวผม คนถูกขัดเลยเปลี่ยนมานั่งข้างผมแทน พร้อมกับเพื่อนเธออีกสองคนที่มาร่วมวงเม้าท์มอยกับพวกเราด้วย
“ไม่มีใครคิดจะประมูลเดือนเสคโยธากันเลยเหรอ?” สจีถามยิ้มๆ พลางมองไปรอบโต๊ะ
“ก็อยากนะ ฉันออกจะปลื้มเขาแหล่ะ แต่.. กลัวว่าถ้าไปทำเขาเปียกแล้วเขาจะมาต่อยเอาน่ะสิ ฉันเป็นผู้หญิงไม่สู้คนด้วย” คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นอย่างติดตลก คนที่เหลือเลยพากันหัวเราะชอบใจพร้อมพยักหน้าเหมือนว่าตรงใจสุดๆ
แน่นอน รวมทั้งผมด้วย ฮ่ะๆๆ
“ภาพที่จะชกกับพี่ว้ากตอนเทอมหนึ่งผุดขึ้นมาเลย” ใครสักคนรำลึกความหลัง
ผมก็จำตอนนั้นได้เหมือนกัน เป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ กับกิจกรรมรับน้อง รู้สึกหลังเหตุการณ์นั้นเขาจะถูกพวกรุ่นพี่แบนอยู่พักหนึ่ง ส่วนเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่ค่อยมีใครอยากไปยุ่งกับเขาอยู่แล้ว นอกจากเพื่อนกลุ่มเขาเอง แต่หลังๆ ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ เท่าที่ผมสังเกตนะ
“จริงๆ แล้ว Tall, dark, and handsome แบบรักชาติน่าจะฮอตนะ เราว่าดูแซ่บกว่าพวกขาวตี๋เกาหลีซะอีก แต่แปลกที่ไม่เคยเห็นเขาควงผู้หญิงคนไหน หรือมีข่าวว่ากำลังคบกับใครอยู่เลย” เพื่อนกุ้งนางตั้งข้อสังเกต
“ไม่เห็นแปลก ไอ้ที่นั่งหล่อๆ อยู่กับพวกเราตอนนี้ก็ไม่เห็นมีข่าวว่าคบกับสาวที่ไหนเหมือนกัน” สจีพูดหน้าตาย แต่สายตาที่เหล่มาทางผมนี่เจ้าเล่ห์น่าดู
และตอนนี้สายตาทุกคู่บนโต๊ะก็มารวมอยู่บนหน้าผมเป็นจุดเดียวแล้วสิ
“หรือว่า..” นิ่มนี่ตัวจุดประเด็นเลย คนอื่นก็ทำตาวิบๆ วับๆ จนผมชักไม่ไว้ใจสิ่งที่พวกเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
“พักหลังเห็นสนิทกันด้วยนี่”
“ใช่ๆ อยู่ด้วยกันตลอดๆ”
“เพ้อเจ้อ!” กุ้งนางโพล่งขึ้น แล้วคว้าแขนผมไปกอดพร้อมกับเอาหัวถูๆ กับไหล่ผมอย่างที่ชอบทำ “คุณชายต่ายของกุ้งนางไม่เป็นแบบนั้นสักหน่อยเนอะๆ”
“ของแกตัวจริงมาโน่นแล้ว” เพื่อนคนหนึ่งพยักพเยิดไปทางแฟนของกุ้งนางที่คงมารับกลับบ้านเหมือนทุกที “ยังไม่ปล่อยชายต่ายอีก เดี๋ยวก็ถูกผัวซ้อมเอาหรอก”
“ลองกล้าสิ! แม่จะยิงทิ้งซะเลย” กุ้งนางปล่อยผมพร้อมทำหน้าโหดตอนแฟนเดินมาถึงโต๊ะพอดี
“ใครจะยิงใครทิ้งเหรอ?” แฟนกุ้งหน้าตาเหรอหรา
“คนซ้อมเมีย” กุ้งตอบแฟนแบบแอ๊บแบ๊วผิดลุค ทำเอาเพื่อนบ้างกก็แอบเบะปากบ้างก็แอบกลั้นขำกันยกใหญ่
“ใครซ้อมเมีย?” อันนี้ไม่ใช่แฟนกุ้ง แต่เป็นแฟนผมเอง ฮ่ะๆๆ คงเพิ่งประชุมเสคเสร็จ เลยเพิ่งมา เพราะตกลงกันไว้ว่าววันนี้จะกลับพร้อมกัน
“มึงเหรอ?” รักถามผม เขานั่งลงบนหนักพิงม้าหินที่ผมนั่ง ใช้มือหนึ่งจับไหล่ผมไว้เหมือนเป็นเชิงโอบกลายๆ
“กลัวแต่จะถูกเมียซ้อมน่ะสิ” ผมตอบกลับยิ้มๆ
รักหัวเราะแล้วตบไหล่ผมที ก่อนลุกขึ้น “ป่ะ ไปยัง?”
“งั้นเรากลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” ผมลุกขึ้นแล้วบอกลาเพื่อนที่แต่ละคนทำหน้าอย่างฮา
จะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างผมกับรักยังไงไม่รู้ล่ะ แต่ผมจะไม่แก้ตัวหรือเล่ารายละเอียดเพิ่มหรอกนะ ฮ่ะๆๆ
“เห็นแผนงานโอเพ่นเฮาส์หรือยัง?” ผมชวนรักคุยเมื่อขึ้นมานั่งบนรถของเขา
“อือ อย่างเหี้ย คิดได้ไงหนุ่มน้อยตกน้ำ..” รักบ่นขณะโน้มตัวมาช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม
ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนผู้หญิงที่บอกว่ากลัวรักต่อยถ้าเกิดไปทำเขาเปียกน้ำขึ้นมาทันทีเลย คิดแล้วก็เผลอหัวเราะออกมาโดยไม่ตั้งใจ
“อะไร?” คนที่ยังโน้มตัวค้างไว้เลิกคิ้วสงสัย
“กำลังคิดว่าถ้ารอบเราไม่ตรงกัน เราน่าจะไปประมูลรักบ้างดีกว่า” ผมยิ้มใส่ตาอีกฝ่าย
“ไม่ต้องเลย” เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดผมอ่ะ แต่ก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบผมนะ ฮ่ะๆๆ
จูบอยู่พักใหญ่เลย แถมยังเหมือนไม่อยากหยุดแค่นั้นด้วย รักเริ่มไล่เล็มลงมาตามสันกราจนถึงซอกคอผม เขาย้ำๆ จูบแถวนั้นหลายครั้ง ก่อนจะไปสะดุดกับพลาสเตอร์ยาอันใหญ่ที่ผมใช้ปิดทับรอยฟันของแกรี่ไว้
“เป็นอะไร?”
“พอดี.. ทำแก้วในตู้เก็บแก้วแตก..แล้วมันหล่นใส่น่ะ”
ความจริงก็ไม่ได้อยากโกหก แต่มันยากจะอธิบายถึงสาเหตุที่แกรี่ทำแบบนั้น(เพราะผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเลย) แถมถ้าพูดถึงแกรี่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ของพวกเราด้วย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากพูดถึงเท่าไหร่
แต่ผมก็ตั้งใจนะว่าสักวันผมจะเล่าเรื่องครอบครัวผมให้รักฟัง ..แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้
“เป็นเยอะไหม?” รักแสดงสายตาเป็นห่วงจนผมอดรู้สึกผิดไม่ได้
“แค่นิดหน่อย” ผมยิ้มแหยตอบไป
“ระวังบ้างสิ” รักจูบลงบนพลาสเตอร์ยาเบาๆ ราวกับกลัวว่าถ้าทำแรงกว่านี้แล้วแผลผมอาจจะมีเลือดออก
“อือ..” คราวนี้ผมเลยเป็นฝ่ายดึงรักเข้ามาจูบบ้าง
เย็นวันศุกร์ผมถูกประธานชมรมยูโดขอร้องให้ไปช่วยทดสอบคัดตัวนักกีฬาที่จะใช้แข่งตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์เป็นต้นไป รักไม่ได้เข้าร่วมเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนักกีฬาอยู่แล้ว วันนี้ก็เลยขอบายแล้วไปกับกลุ่มเพื่อนแทน หลังจบชมรมผมมาอาบน้ำที่ห้องน้ำของโรงยิมก่อนกลับบ้าน ออกจากห้องน้ำก็ใส่แค่กางเกงนักศึกษามายืนค้นหาโคโลญจ์ในกระเป๋าอยู่หน้ากระจก เงยหน้าอีกทีมีแอบสะดุ้งเล็กๆ กับเงาสะท้อนของไอที่มายืนซ้อนอยู่ข้างหลัง
“ประกาศความเป็นเจ้าของกันน่าดูเลยนะ” เขาพูดยิ้มๆ แล้วเหล่ตามองรอยฟันบนบ่าผมซึ่งเริ่มจางลงบ้างแล้ว
ไอเพิ่งอาบน้ำเสร็จเหมือนกัน เลยนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมา ผมเปียกลู่ลง ยังมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่บนร่างกายประปราย เห็นแบบนั้นก็อดเผลอมองไม่ได้ แต่พอนึกได้ว่าเมื่อกี๊เขาเพิ่งทักเรื่องอะไรก็อดรู้สึกหน้าร้อนไม่ได้ เลยหยิบเสื้อมาหมายจะใส่ แต่ก็มีอันชะงักค้างไปเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาอีก
“แต่หมอนั่นไม่มีเขี้ยวแบบนี้นี่นา..” ผมสบตากับไอผ่านกระจก เขายิ้มขันเหมือนกำลังสนุกที่จับจุดอ่อนผมได้ ผมตัดสินใจหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายทั้งที่ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี ไอได้ทีเลยใช้สองมือเท้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือคร่อมตัวผมไว้
“ว่าไง คุณชายคาสโนว่า?” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้
“มัน...ไม่ใช่อย่างที่ไอคิดนะ”
“แฟนเห็นหรือยังเนี่ย?” คนพูดทำเป็นชื่นชมร่องรอยที่ผมไม่ได้ภูมิใจนำเสนอเท่าไหร่
“ไม่ได้เลย” ผมโบกมือไปมาตรงหน้า แล้วทำท่าจะใส่เสื้อต่อ ไอเลยยอมถอยออกมายืนแต่งตัวอยู่ข้างๆ
“แค่โดนแกล้งน่ะ..” ผมลอบสังเกตปฏิกิริยาจากเงาสะท้อนของอีกคนในกระจกเป็นระยะขณะพูด “เรารู้ว่ามันฟังแปลกๆ นะ แต่เรื่องมันก็มีแค่นั้นจริงๆ ..ส่วนที่ไม่ได้บอกรักก็เพราะมัน..เอ่อ ออกจะอธิบบายยากสำหรับเขาไปหน่อย”
“ถ้าบังเอิญมาเห็นเองแบบเรานี่มันจะไม่ยิ่งแย่กว่าเหรอ.. แบบนั้นสู้บอกไปเลยตรงๆ น่าจะดีกว่า” ไอพูดพลางสำรวจเงาตัวเองในกระจก
“อ่า.. อืม” ที่จริงตอนนี้ผมเองก็เริ่มคิดแบบนั้นแล้วเหมือนกัน
จังหวะที่ไอเปิดกระเป๋า ผมบังเอิญเหลือบไปเห็นตุ๊กตาตัวหนึ่งถูกยัดไว้ในนั้นเข้าพอดี เลยเผลอทักออกไป
“นั่น..”
ไอมองตามสายตาผมจนไปหยุดอยู่ที่เดียวกัน “อ้อ ไอ้นี่.. ว่าจะเอากลับไปให้ป้าแม่บ้านที่บ้านอากงซ่อมให้น่ะ”
“ขอดูหน่อยได้ไหม เสียหายเยอะเลยเหรอ?”
ไอมีสีหน้าไม่แน่ใจนัก แต่ก็ยอมเอาตุ๊กตาตัวนั้นออกมาให้ผมดู มันพุงแตกอย่างที่เมโล่ว่าจริงๆ แต่ตอนนี้ไอเอาเข็มกลัดตัวใหญ่หลายตัวมาช่วยกลัดปิดรอยแผลไว้ ไส้ก็เลยไม่ไหลออกมา เห็นแล้วก็สงสารเหมือนกัน ท่าทางเขาคงจะรักมันมาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะซ่อมแซมมันยังไง ผมกูๆ แล้วก็ซ้อมไม่น่ายากนะ แค่ต้องรู้จักใช้เข็มกับด้ายสักหน่อย
“เราซ่อมให้เอาไหม?” ปากผมไปไวกว่าใจซะอีก
ไอเลิกคิ้วประหลาดใจกับคำเสนอของผม
“เอ้อ แต่ถ้ากลัวไม่สวยก็เอาไปให้ป้าคนนั้นซ่อมให้แหล่ะดีที่สุด” ผมรีบออกตัวพร้อมยส่งตุ๊กตาคืนเจ้าของ
“เอาเหอะ” ไอดันไอ้ตัวนั้นกลับมาที่ผม “เดิมทีไอ้นี่มันก็ห่างไกลจากคำว่า ‘สวย’ อยู่แล้ว”
เราหัวเราะออกมาพร้อมกันหลังจบความเห็นนั้นของไอ ฮ่ะๆๆ
ผมกลับมาถึงบ้านก็มานั่งซ่อมตุ๊กตาให้ไออย่างที่ได้สัญญาไว้ พอเย็บรอยแตกแล้วก็รู้สึกว่าพุงมันดูโล่งๆ ไปนิด เลยไปขอกระดุมเม็ดโตจากเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วของพี่สาวมาเม็ดนึง เอามาเย็บติดกลางพุงเจ้านั่นพลางรอยตะเข็บ รวมทั้งแอบไปจิ๊กริบบิ้นผูกผมของน้องสาวมาผูกเป็นโบว์รอบคอให้มันด้วย เสร็จแล้วก็มานั่งชมผลงานตัวเอง น่ารักซะไม่มีล่ะ แม้ว่าหน้าตาเจ้ากระต่ายเน่านั่นจะแลดูเถื่อยถ่อยสวนทางกับสีหวานๆ ของริบบิ้นไปนิดก็ตาม ฮ่ะๆๆ (ผมแน่ใจแล้วล่ะว่ามันคือกระต่าย แม้มันจะมีกรงเล็บกับรอยย่นบนหน้าผากก็ตาม)
“ลงไปทานข้าวได้แล้วพี่ต่าย” แม่ผมเปิดประตูเข้ามาเรียก “ทำอะไรอยู่น่ะลูก?”
แม่เห็นตุ๊กตาในมือผมเลยเดินเข้ามาดู พอเห็นหน้ามันชัดๆ แล้วแม่ก็ร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“นี่มันยังอยู่อีกเหรอเนี่ย? ไม่เห็นมาตั้งนานนึกว่าพี่ต่ายทิ้งไปแล้วซะอีก”“อะไรนะครับ?” ผมไม่เข้าใจสิ่งที่แม่กำลังพูด “ทำไมต่ายต้องทิ้งมัน? แล้วแม่เคยเห็นมันมาก่อนเหรอ?”
“อ้าว ก็นี่มันตุ๊กตาตัวโปรดของพี่ต่ายนี่” แม่ใช้สายตาประหลาดใจกับผมบ้าง
แต่เชื่อเถอะว่าแม่ประหลาดใจไม่ได้เท่าครึ่งหนึ่งของผมแน่
“เมื่อก่อนลูกออกจะติดมันมาก ถ้าไม่ได้นอนกอดมันก็จะนอนไม่หลับ ตอนที่เข้าอนุบาลก็เลยต้องเอามันใส่กระเป๋าไปโรงเรียนด้วยทุกวัน ไม่งั้นไม่ยอมนอนกลางวันแน่.. แต่หลังจากแม่พาพี่ต่ายไปเจอกับ..พ่อ..ที่ศาลวันนั้น แม่ก็แอบเห็นว่าลูกพยายามจะเอามันไปทิ้งหลายครั้ง ...ถึงสุดท้ายจะตัดใจทิ้งมันไม่ลงสักครั้งก็เถอะ”ตุ๊กตาของผม ..งั้นเหรอ?TBC.อ้าว อิชาย