ยากนัก... รักนี้ ♥ ตอนที่ 25“สวยจังเลยยย”
น้องสาวผมดูจะตื่นตาตื่นใจกับโมบายเปลือกหอยหลากสีสันที่รักซื้อติดมือมาจากพัทยา หลังเขาไปดูงานแข่งรถกับกลุ่มเพื่อนตั้งแต่เมื่อวาน เพิ่งถึงกลับกรุงเทพฯบ่ายวันนี้ แล้วตรงดิ่งมาที่บ้านผมเลย
“หนูขอเอาไปแขวนที่ห้องอันนึงได้เปล่า?” น้องหยิบอันที่เปลือกหอยหลายชนิดถูกร้อยเรียงเป็นรูปหัวใจขึ้นมา
“ได้ดิ ก็ซื้อมาฝากนั่นแหล่ะ” รักพยักหน้า เขายังดูเกร็งอยู่บ้างเมื่อต้องอยู่กับครอบครัวผม แต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อก่อนแล้ว
“ขอบคุณค่า” น้องดีใจ ก่อนหยิบอีกอันที่เป็นพวงกลมๆ ให้ผมดู “อันนี้น่าเอาไปติดไว้หน้าบ้านเนอะพี่ต่าย”
“อื้อ” ผมยิ้มเห็นด้วย น้องก็เลยถือโมบายอันนั้นวิ่งออกไปหน้าบ้านอย่างกระตือรือร้น
“รักชาติอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันสิลูก เดี๋ยวน้าจะเอาปลาหมึกที่หนูซื้อมาทำหมึกนึ่งมะนาวสูตรคุณยายให้ทาน” แม่ผมชะโงกหน้าออกมาจากครัว
“ครับ” รักมีท่าทีดีใจที่ถูกชวน
“กินได้แน่ใช่ไหมครับแม่?”
“เดี๋ยวเถอะ พี่ต่าย!” แม่ยกมือเหมือนอยากจะตีผมจนรักนั่งขำ ก่อนผลุบกลับเข้าใปในครัวเหมือนเดิม
“งั้นต่ายกับรักขึ้นไปนั่งเล่นข้างบนนะ” ผมร้องบอก ก่อนชวนรักขึ้นไปบนห้องผมด้วยกัน
“จ้า เดี๋ยวมื้อเย็นเสร็จจะไปเรียกแล้วกัน” เสียงแม่ตะโกนตามหลังมา
พอขึ้นมาบนห้อง ผมก็นั่งลงบนพื้นข้างเตียง ส่วนรักเดินขึ้นไปบนเตียงเพื่อเอาโมบายอันเล็กๆ ที่ถือติดมือมาด้วยไปแขวนตรงหน้าต่าง พอเปิดหน้าต่าง ลมที่พัดมาเบาๆ ก็ทำให้มันส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งๆ ที่ฟังแล้วเย็นใจดี
“เป็นไง?” รักหันมาถาม รอยยิ้มที่แสนภูมิใจกับของเล็กๆ น้อยๆ ของเขามันดูน่ารักจนผมอยากจะร้องไห้
“สวยมาก..” ผมตอบทั้งที่ไม่ได้เหลือบตาแลโมบายนั่นสักนิด สิ่งที่ผมมองเห็นมีแค่คนที่ตรงหน้า กับรอยยิ้มที่ตราตรึงใจของเขาเท่านั้น
ยิ่งเห็นรักดูมีความสุข ความรู้สึกผิดก็ยิ่งเกาะกุมหัวใจผมจนแทบไม่เหลือที่ว่าง อะไรก็ตามที่ผมทำลงไป ..หรือกำลังคิดจะทำ หากมันทำให้คนคนนี้ต้องมีน้ำตา ผมจะรับผิดชอบยังไงไหว? จะชดใช้ได้ยังไงหมด? แน่นอนว่าผมไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อน้ำตาของไอได้อีกเหมือนกัน
แล้วผมควรทำยังไง..?
“คนเลือกมีรสนิยมก็เงี้ย” รักหัวเราะชอบใจแล้วเดินลงมานั่งข้างผม
“นึกไงซื้อโมบายมา?” ผมแปลกใจไม่หายที่เห็นเขาซื้อของกระจุ๋มกระจิ๋มไม่เข้ากับนิสัยตัวเองยังไงชอบกล
“ก็ขับรถผ่าน แล้วเห็นมันสวยดี..” รักเอาโทรศัพท์ออกมาเล่น
ผมขยับเข้าไปใกล้ พาดแขนกับเตียงเป็นเชิงโอบเขาไว้กลายๆ แล้วโน้มหน้าไปดูว่าเขาเล่นอะไร ดูเหมือนพักนี้เขาจะติดเกมออนไลน์เกมหนึ่งอยู่ ถึงขนาดบังคับให้ผมลงเกมในโทรศัพท์ผมด้วย เพื่อที่จะได้ส่งของขวัญในเกมให้เขาทุกวัน
“งานแข่งรถสนุกไหม?” ผมชวนคุย โน้มหน้าเข้าไปใกล้อีกเพื่อสูดกลิ่นหอมจากผมของอีกฝ่าย มันเป็นกลิ่นที่ผมไม่คุ้นเคยคงเพราะเขาใช้แชมพูของโรงแรมที่ไปพักเมื่อคืน
“ก็ดี” เขาตอบโดยตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ “งานใหญ่ใช้ได้ รถเจ๋งๆ ก็เยอะ แต่มันเซ็งตรงที่ได้แค่ดูเฉยๆ นี่แหล่ะ”
“ดูเฉยๆ ก็พอแล้ว” ผมว่า
“มึงนี่พูดเหมือนพ่อเลย น่าเบื่อออ” รักบ่น ก็พ่อเขาสั่งห้ามแข่งรถไม่มีกำหนดเพราะเรื่องที่เขาขับแม่คริสติน่าคันงามไปโฉบที่กั้นทางเมื่อครั้งแข่งกับแกรี่นั่นล่ะ แต่ตอนนี้ก็ถือว่าใจดีมากแล้วที่ยอมให้รักขับรถไปไหนมาไหนเอง ตอนแรกรักเล่าว่าถึงขั้นยึดกุญแจรถ แล้วสั่งให้พลขับไปรับไปส่งรักที่มหา’ลัยทุกวันเลยล่ะ
“เพราะเราทั้งคู่เป็นห่วงรักน่ะสิ”
“รู้แล้วน่า.. เออ พี่สาวมึงไม่อยู่ที่นี่แล้วเหรอ?”
“อื้อ กลับบ้านแฟนไปแล้วน่ะ”
“อ้อ..” รักพึมพำทั้งที่ยังลุ้นอยู่กับเกม
ผมนั่งมองเงียบๆ พลางเขี่ยต่างหูเขาเล่น เป็นต่างหูข้างเดียวกับที่ผมให้เขาไปตอนเริ่มคบกัน เห็นเขาใส่มันอยู่ตลอดแม้ตอนที่เราห่างกันไปช่วงนั้น ส่วนผมไม่ได้ใส่อีกเลยตั้งแต่ให้ไปรักข้างหนึ่ง เพราะพวกเรามักจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ หากมาใส่ต่างหูที่เป็นคู่กันอีก มันก็จะดูจงใจประกาศตัวมากไปหน่อย เลยถอดเก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า
จะว่าไปผมก็ยังไม่เคยได้ยินคำว่า ‘รัก’ ออกจากปากรักแบบชัดๆ สักครั้งเลยสินะ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะสิ่งที่เขาแสดงออก สายตาของเขาเวลามองมาที่ผม.. มันสื่อออกมาชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดพวกนั้นซะอีก
รักเหลือบมองเล็กน้อยตอนที่ผมใช้สองแขนคล้องคอเขาเอาไว้หลวมๆ ผมยิ้มโดยไม่พูดอะไร เขาก็กลับไปสนใจเกมต่อ แต่ครู่เดียวก็เหลือบมองผมอีก
“หือ?” ผมเลิกคิ้วเมื่อคราวนี้เขามองผมนานกว่าเดิม
“มองเหมือนอยาก” เขาว่า ผมพ่นลมออกจมูกแบบขำๆ
“จัดให้สักดอกสิ” ผมพูดยิ้มๆ
“บ้าหรือไง คนเต็มบ้าน” รักถองศอกใส่ผมไม่แรงนัก แล้วกลับไปเล่นเกมต่อ “วันนี้ส่งกิ๊ฟต์ให้กูยัง?”
“ยังครับ”
“งั้นรออะไรอยู่ล่ะครับ?” เขาหันมาแยกเขี้ยวใส่ “ส่งมาให้เร็วเลยมึง”
ผมขยับออกมาเพื่อล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ขณะกำลังกดเข้าเกมก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ กับริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่ประทับลงมาบนหลังคอ
“ไหนว่าคนเต็มบ้านไง?” ผมขำคนที่เพิ่งบอกปฏิเสธผมเมื่อครู่ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจมารุกซะเอง
“ก็มึงแหล่ะมาทำให้อยาก” รักโบ้ยความผิดแล้วขย้ำคอผมแรงๆ คล้ายหมั่นเขี้ยว ผมหัวเราะด้วยรู้สึกจั๊กจี้ รีบกดส่งของขวัญให้เขา วางโทรศัพท์ แล้วหันไปรับมือกับเจ้าหมาน้อยที่ยังไล่กัดไม่หยุด
“นี่” ผมจับมือคนซนที่เริ่มไต่ลงไปยุ่มย่ามแถวใต้เข็มขัดผมไว้ “ถ้าไฟติดขึ้นมาจริงๆ จะว่าไง?”
“อยากให้ช่วยใช้
น้ำลายดับให้ไหมล่ะ?” รักเลียริมฝีปากอย่างสื่อความหมาย
ผมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของลิ้นซุกซนนั่น ริมฝีปากฉ่ำชุ่มมันวาวยามที่ลิ้นชื้นลากผ่าน ผมอดใจไม่ไหวเลยลองกดนิ้วชี้กับนิ้วกลางลงไปบนริมฝีปากนิ่ม แล้วค่อยเสือกไสดันมันผ่านเข้าไปภายในปากร้อนที่ตอบรับอย่างเต็มใจ
รักจับมือผมไว้เหมือนกลัวว่าผมจะดึงกลับ แล้วจงใจดูดเลียนิ้วผมพร้อมกับส่งสายตาฉ่ำเยิ้มยั่วยวนมาให้ ก็ไม่รู้ว่าไปจำวิธียั่วแบบนี้มาจากไหนเหมือนกัน แต่บอกได้เลยว่ามันใช้ได้ผลดีทีเดียว
ผมโน้มตัวเข้าไปหา ใช้มืออีกข้างบีบปากเขาให้ยอมคายนิ้วผมออกมา แล้วรับลิ้นของผมเข้าไปแทน..
งานโอเพ่นเฮาส์ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะทำให้ช่วงนี้ที่คณะวิศวะฯดูวุ่นวายเป็นพิเศษ อาจารย์บางวิชาก็ใจดียอมงดคลาสเพื่อให้นักศึกษาได้มีเวลาเตรียมงานกันเต็มที่ แต่ไม่วายแอบขู่ว่าจบงานแล้วจะไล่สอนอัดให้กระอักเลือดกันไปข้าง ในวันงานนอกจากผมจะต้องไปนั่งเป็นหนุ่มน้อยให้คนเขาปาตกน้ำแล้ว ช่วงกลางวันผมยังได้รับมอบหมายให้ช่วยงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ด้วย แต่กว่าจะถึงวันนั้น ผมก็ต้องทำงานใช้แรงงานไม่ต่างจากคนอื่นๆ
“ขึ้นไปอีกนิดสิชายต่าย ไม่! ทางขวาๆๆๆ หยู้ดดด หยุด! โอเค แค่นั้นแหล่ะ รูปหล่อ เพอร์เฟค”
ผมหัวเราะเพราะไม่เข้าใจว่าไอ้ประโยคพวกนั้นมันเกี่ยวกันยังไง แล้วก็แอบโล่งใจด้วยเมื่อในที่สุดก็สามารถติดป้ายผ้าบนต้นไม้ในลานคณะได้ตรงตำแหน่งตรงใจ ‘พี่เปิ้ล’ ประธานชั้นปีที่ 3 และควบตำแหน่งป้ารหัสของผมด้วย หลังต้องขยับซ้ายขยับขวาขึ้นๆ ลงๆ กันอยู่พักใหญ่จนผมเริ่มจะปวดแขน มัดเชือกเข้ากับกิ่งไม้เสร็จผมก็ค่อยๆ ปีนกลับลงมาอย่างระมัดระวังแล้วนะ ระวังแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่วาย..
“เหี้ยยย!!” เสียงพี่เปิ้ลร้องนำแบบแมนมาเลย ก็ตอนที่ผมโหนตัวลงจากกิ่งสุดท้าย เท้าที่หมายจะเหยียบบันไดช่างก็ดันเจ๋อไปเตะมันล้มซะอย่างนั้น จากนั้นตัวผมก็หลุ่นตามบันไดมาติดๆ
“เป็นอะไรมากเปล่า?!” คนที่อยู่แถวนั้นวิ่งมาดูด้วยความตกใจ
อันที่จริงแล้วมันไม่ได้สูงมากมายเลย เพียงแต่ว่าพื้นข้างล่างมันเป็นอิฐตัวหนอน แถมผมยังร่วงมาทับบันไดที่เป็นอะลูมิเนียมแข็งๆ อีก เจ็บหนักอย่างไม่ต้องสงสัย ผมนิ่วหน้าตอนที่พยายามจะยันตัวนั่ง รู้สักเจ็บสะโพกข้างที่กระแทกพื้น เจ็บสีข้างที่กระแทกกับบันไดด้วย
“แดงเถือกเลยว่ะแก ซี่โครงยังอยู่ดีทุกซี่ไหมเนี่ย?” พี่เปิ้ลพูดพร้อมทำหน้าสยองหลังได้เห็นรอยช้ำเป็นปื้นตั้งแต่ใต้ราวนมลงไปถึงเอวของผม
“บันนี่เป็นอะไรเหรอ?” เสียงเป็นเอกลักษณ์ของเมโล่มาพร้อมร่างสูงโย่งของเขาที่ยืนค้ำหัวบรรดาไทยมุงทั้งหมด บนบ่าของเขาแบกเก้าอี้เลคเชอร์แบบแถว 4 ที่นั่งมาด้วยท่าทางเหมือนถือแผ่นโฟมไร้น้ำหนัก
“ตกลงมาจากต้นไม้น่ะสิ” ใครสักคนในกลุ่มไทยมุงบอก
เมโล่รีบวางเก้าอี้แล้วแหวกชาวมุงมานั่งยองถามไถ่อาการผม “เจ็บมากไหม?”
“ก็.. ใช้ได้เลย” ผมยิ้มแหย
“พี่ว่าไปหาที่นั่งพักให้มันดีๆ ดีกว่าว่ะ หาเสื้อเปลี่ยนด้วยก็ดี มอมแมมเสียมาดคุณชายหมดแล้ว” พี่เปิ้ลพูดติดตลกพลางเข้ามาช่วยพยุงผมลุกขึ้น “เดินไหวเปล่า?”
“เค้าพาไปเอง” จบคำเมโล่ก็ช้อนอุ้มผมตัวลอย เล่นเอาไทยมุงวิศวะฯมุงแถวนั้นเงียบกริบ อึ้งไปตามๆ กัน
ผมก็ด้วย แต่เหนือขั้นกว่าคนอื่นหน่อย คือผมช็อคไปเลย.. ไม่ให้ช็อคได้ไง ผมเป็นผู้ชาย อายุ 19 สูง 182 หนักประมาณ 70 แต่กำลังถูกอุ้มด้วยท่าเจ้าหญิง?? มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น..หรือเปล่า? ผมอาจจะเคยอุ้มเด็กผู้หญิงคนอื่นด้วยท่านี้มาบ้าง แต่ไม่เคยนึกฝันว่าสักวันจะมาถูกอุ้มซะเอง คือ..ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ผมช็อคอ่ะ กว่าจะได้สติก็ถูกอุ้มออกมาไกลจากจุดเกิดเหตุพอสมควรแล้ว
“เมโล่ปล่อยเราเหอะ เราเดินเองได้” ผมพยายามจะกลับลงพื้น ต่อจากอาการช็อคก็คืออาการอับอาย ก็คนเดินกันให้พล่านคณะ แต่เมโล่กลับอุ้มผมเดินผ่านคนพวกนั้นมาหน้าตาเฉย ไม่ตกเป็นเป้าสายตาก็คงเป็นไปไม่ได้ แถมยังไม่รู้เลยว่าจะถูกพาไปที่ไหนอีก
“บันนี่อยู่เฉยๆ สิ เดี๋ยวหล่นนะ” มันยังมีหน้ามาดุผมอีก
แล้วที่น่าเจ็บใจคือผมก็ดันคว้าคอมันไว้ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘หล่น’ นี่ล่ะ แค่หล่นจากต้นไม้เมื่อครู่ก็ยังผวาไม่หาย โอเคล่ะว่าผมไม่ใช่นักปีนป่ายที่ดีมากนัก ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ใช่เด็กซุกซนชอบปีนป่ายสักเท่าไหร่ แต่ผมก็แค่อยากช่วย เลยอาสาขึ้นไปผูกป้ายผ้าให้ แล้วผมก็เห็นว่ามันปีนไม่ยากเท่าไหร่ แถมบันไดก็มี ..แล้วผมตกลงมาได้ยังไง?
“จะพาเราไปไหน?” ผมคงต้องทำใจแล้วล่ะ เพราะเมโล่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะฟังผมพูดเลย ก็ได้แต่เอาหน้าหลบๆ ซุกๆ อกหมอนั่นเพื่อบรรเทาความอายไป หวังว่าผู้คนจะไม่รู้ว่าเป็นผม ..ถึงจะรู้ว่ามันเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ก็เถอะ
“ที่ดีๆ” หมอนั่นบอกหน้าตาเฉย แต่แววตาดูมั่นใจยังไงชอบกล “ก็พี่คนนั้นบอกให้พาบันนี่ไปที่ดีๆ”
ผมขมวดคิ้ว เมโล่คงหมายถึงพี่เปิ้ล จำได้ว่าพี่เปิ้ลบอกให้ผมไปหาที่นั่งพักไม่ใช่เหรอ? แล้วที่ดีๆ นี่มัน...
สงสัยได้ไม่นานเมโล่ก็พาผมเข้ามาในโรงอาหาร
“โรงอาหาร..?”
โรงอาหารอยู่ไม่ห่างจากลานคณะมากนัก เลยใช้เวลาเดินไม่นาน แต่ถ้าอยากจะหาที่นั่งจริงๆ จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องถ่อมาถึงที่นี่ก็ได้ พวกเราเดินผ่านโต๊ะมาตั้งหลายตัว แต่เมโล่ก็อุตส่าห์พาผมมานั่งโต๊ะในโรงอาหารเนี่ยนะ?
“ช่ายยย จะมีที่ไหนดีกว่าโรงอาหารอีกล่ะ ของกินเพียบเลย~” หมอนั่นยิ้มสดใสไร้เดียงสาจนทำเอาผมตำหนิไม่ลงเลยทีเดียว... เอา เอาเถอะ ก็สมกับเป็น ‘เมโล่’ ดี
โรงอาหารยามบ่ายแม้ไม่คึกคักเท่าช่วงพักเที่ยง แต่ก็ยังมีคนเข้าออกอยู่ตลอดไม่ขาดสาย ทั้งนี้ก็เพราะว่าเรามีพวกที่เรียนภาคค่ำอยู่ด้วย ร้านอาหารหลายร้านก็เลยยังเปิดไปถึงช่วงเย็น เมโล่จัดแจงวางผมลงบนโต๊ะตัวหนึ่งโดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมา(ผมก็พยายามจะทำให้ได้อย่างนั้นอยู่นะ แต่มันก็ยากเหลือเกิน เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาเคอะเขินกันไป) แล้วตัวเองก็เดินไปซื้อน้ำแข็งใส...เอ่อ ใช่ หมอนั่นไปยืนสั่งน้ำแข็งใสหน้าตาเฉยเลย
อะไรของมันวะครับ?
ผมนั่งเอ๋ออยู่พักหนึ่ง เมโล่ก็กลับมาพร้อมน้ำแข็งใส 1 ถ้วย และน้ำแข็งทุบอีก 1 ถุงพลาสติก พอถึงโต๊ะหมอนั่นก็วางน้ำแข็งทั้ง 2 ชนิดลง หยิบผ้าเช็ดหน้าลายลูกแมวคิตตี้ของตัวเองออกมาห่อน้ำแข็งทุบ บิดๆ หมุนๆ จนได้เป็นลูกกลมๆ ก่อนจะหันมาหาผม
“บันนี่ถอดเสื้อสิ”
“เอ๊ะ เอ่อ..” ผมยังงงอยู่
“แผลฟกช้ำต้องประคบเย็น เส้นเลือดที่ฉีกขาดด้านในจะได้หดตัว เลือดหยุดไหล รอยช้ำไม่ขยายตัว ลดเจ็บ ลดบวม”
ผมนึกทึ่งที่อย่างเมโล่ก็รู้เรื่องการปฐมพยาบาล แถมรู้ละเอียดด้วย นึกว่าจะรู้แต่เรื่องของกินซะอีก
“เดี๋ยวเราทำเองก็ได้” ผมบอกอย่างเกรงใจ อีกอย่างเป็นแค่ตรงสีข้าง คงไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อล่ะมั้ง
“แน่ใจเหรอ?”
“อื้อ” ผมยืนยัน แต่เมโล่ก็ดูลังเลที่จะส่งลูกประคบจำเป็นของเขาให้ผม
จนกระทั่งไอปรากฏตัวพร้อมกับค้อนในมือนั่นล่ะ ..ช่ายยย เขาถือค้อนมาด้วย ท่าทางหอบมาเลย สงสัยจะวิ่งมา
“ค่อยยังชั่ว” ไอมีสีหน้าโล่งใจเมื่อเห็นผม “ได้ยินว่าตกต้นไม้ นึกว่าจะเป็นอะไรมากซะอีก”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” ผมบอกให้อีกฝ่ายคลายใจ
ตั้งแต่แยกกันหลังจากไปดูหนังวันนั้น(บอกเลยว่าผมจำไม่ได้สักนิดว่าหนังวันนั้นเป็นยังไงบ้าง) ไอก็ยังทำตัวปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนก่อนหน้าที่เราจะไปโรงเรียนอนุบาล หรือก่อนหน้าที่เราจะไปวังน้ำเขียว มันเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา มันดูปกติซะจนบางทีผมก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับเขายังไงเหมือนกัน ..จริงๆ นะ
“แล้วทำอะไรกันอยู่?” ไอวางค้อน แล้วเดินอ้อมโต๊ะมายืนฝั่งเดียวกับผม ผมสังเกตว่าเขาจงใจมองเมินเมโล่ยังไงชอบกล ..หรือว่าทั้งคู่จะยังไม่เลิกทะเลาะกัน?
จริงสิ ไม่รู้ป่านนี้เมโล่จะรู้หรือยังว่าผมคือเจ้าของตุ๊กตาที่เขาไม่ชอบหน้าแม้จะไม่เคยเจอหน้า ถ้าเกิดรู้แล้วเขาจะยังมาทำดีแบบนี้กับผมอยู่หรือเปล่านะ?
“ประคบ” เมโล่บอกสั้นๆ
ไอมองลูกประคบในมือเมโลแบมือขอ “มา เดี๋ยวทำเอง”
ฝ่ายเจ้าของลูกประคบก็ยอมยื่นให้ไอง่ายๆ แล้วลุกไปนั่งกินน้ำแข็งใสอีกฟากโต๊ะโดยไม่พูดอะไร
“ช้ำตรงไหนเหรอ?” ไอนั่งแทนที่เมโล่แล้วถามหาแผลจากผม
ผมเองก็อดเหลือบมองเมโล่ที่นั่งกินน้ำแข็งใสอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้ แววตาของไออาจทำให้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร แต่แววตาของเมโล่นี่ไม่รู้เลยว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ รู้สึกว่าบรรยากาศมันชวนกระอักกระอ่วนใจยังไงบอกไม่ถูกสิ
“แถวสีข้างน่ะ แต่เดี๋ยวเราทำเองก็ได้” ผมปฏิเสธไอเช่นเดียวกับที่ปฏิเสธเมโล่
“โหหห ช้ำน่าดูชมเลยนี่” แต่ไอผิดกับเมโล่ตรงที่เขาไม่สนว่าผมจะทำเองได้เลยไม่ เขาเลิกเสื้อผมขึ้น แล้วก็เริ่มต้นประคบรอยฟกช้ำให้อย่างเบามือ “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ นายน่ะแค่ปีนเครื่องเล่นปีนป่ายที่โรงเรียนอนุบาลยังตกลงมาร้องเลย นี่ดันทะลึ่งไปปีนต้นไม้จริง”
“มันพลาดน่ะ” ผมทำหน้าไม่ถูก ยิ่งเห็นเมโล่มองอยู่ด้วยแล้ว
“อย่าทำอีก” ไอพูดโดยไม่ละมือและสายตาไปจากรอยช้ำบนตัวผม
“อ่า.. อื้อ คงไม่มีใครให้ทำแล้วล่ะ”
“อย่าทำให้เป็นห่วง..” ไอก้มหัวมาชนไหล่ผม แล้วค้างไว้แบบนั้น มือข้างหนึ่งที่กำเสื้อผมเอาไว้แน่นทำให้รู้ว่าเขากำลังกลัว เมื่อครู่เขาคงจะตกใจมากถึงได้ทิ้งงานแล้วรีบวิ่งมาจนเหนื่อยหอบขนาดนั้น
ผมตบไหล่ไอเบาๆ โดยไม่มีคำพูดใด..
ก็ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงกับความรู้สึกของไอ และไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงกับสายตาของคนที่นั่งกินน้ำแข็งใสอยู่ตรงข้ามพวกเราด้วย
“มึงให้มันดูแล ให้มันพาไปหาหมอ พามาส่งบ้าน ขณะที่กูไม่รู้เหี้ยอะไรเลยจนไปได้ยินคนในคณะเขาคุยกัน!” เพราะอาการเจ็บสะโพกของผมมันแย่กว่าที่คิด ไอเลยยืมรถเพื่อนเขามาส่งผมที่บ้าน ระหว่างทางก็แวะไปให้หมอตรวจเพื่อความสบายใจด้วยว่าไม่มีกระดูกชิ้นไหนของผมแตกหักเสียหาย ตอนเลี้ยวเข้าซอยบ้านก็เห็นรถของรักขับจี้ตูดมาติดๆ ไอบอกไม่อยากมีปัญหาเลยกลับไปทันทีที่ส่งผมเสร็จ ส่วนรักเข้ามาช่วยพยุงผมทั้งที่หน้าดูมึนตึงไม่สบอารมณ์นัก แล้วพอเข้ามาภายในบ้านได้เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างที่เห็น
“ถามหน่อยว่าใครกันแน่ที่เป็นแฟนมึง? กูหรือมัน!?”
ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องโกรธนั้นนั้น ความจริงแล้วเขาควรจะเป็นห่วงอาการของผม มากกว่าเป็นห่วงว่าใครจะดูแลผมไม่ใช่เหรอ?
“รัก ใจเย็นหน่อยสิครับ” แต่ถึงไม่ค่อยเข้าใจ ผมก็ยังพูดกับเขาอย่างใจเย็นที่สุด
ผมพยายามฝืนสังขารจะเข้าไปจับเขา แต่เขาก็ถอยหนีไม่ยอมให้ผมแตะ แถมยังตวาดผมอีก
“ใจเย็นเหรอ? กูพยายามแล้ว! แต่มึงเจ็บขนาดนี้เคยคิดจะโทรบอกกูมั่งไหม? เคยมีกูอยู่ในหัวมึงมั่งไหม? หรือมึงจะนึกได้ว่ากูก็มีตัวตนเฉพาะตอนที่เห็นหน้ากูเท่านั้น!?”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเลยว่ารักคิดไปในแง่นั้นได้ยังไง
“แล้วมันอย่างไหน? ไหนมึงลองหาคำอธิบายดีๆ ให้กูได้ชื่นใจหน่อยดิ๊!”
คำถามของเขาทำให้ผมตั้งตัวไม่ติดเหมือนกัน สารภาพว่าผมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะโทรไปบอกเขาเลยจริงๆ นั่นแหล่ะ คือผมไม่ได้ลืมเขานะ ผมก็แค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ คงไม่จำเป็นอะไร.. หรือผมจะคิดน้อยไป?
“เรา..” ผมนึกหาคำพูดเหมาะๆ “ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไรเยอะน่ะ ..ก็ไม่อยากโทรไปให้รักเป็นห่วง”
“จะเยอะไม่เยอะกูก็ควรจะได้รู้เป็นคนแรกๆ ไม่ใช่เหรอ? ส่วนจะห่วงไม่ห่วงกูตัดสินใจเอง” รักยังหงุดหงิดไม่หาย
“เข้าใจแล้ว.. เราขอโทษนะ” ผมค่อยๆ ตะล่อมเข้าไปจับมือเขา คราวนี้เขาไม่ได้ถอยหนี “ครั้งนี้เราผิดไปแล้ว ครั้งหน้าถ้ามีอะไรเราสัญญาเลยว่าจะโทรบอกรักเป็นคนแรก ยกโทษให้เรานะครับ นะ?”
รักเงียบ เขากัดปากตัวเองเหมือนกำลังข่มอารมณ์ ผมรีบเกลี้ยกล่อมให้เขาใจอ่อน
“รักครับ มันก็แค่เรื่องเล็กๆ เองนะ เราอย่าต้องมาโกรธกันเพราะเรื่องแค่นี้เลยเนาะ”
“เรื่องเล็กๆ !?” ดูเหมือนคำพูดของผมจะไปสะกิดผิดเส้นรักเต็มเปา เขาเลยปรี๊ดแตก สะบัดมือผมออกอย่างแรง
“เออ! ถ้าเกี่ยวกับกูมันก็เป็นเรื่องเล็กสำหรับมึงหมดแหล่ะ ยังไงกูมันก็แค่จุดเล็กๆ ในชีวิตมึงอยู่แล้ว!”
“รัก ไม่ประชดสิ”
“ทำไม?!”
“เราคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้เหรอ?”
“ได้!”
ผมโล่งใจได้ไม่ถึงวินาทีก็มีอันต้องชาวาบไปทั้งตัวเพราะคำถามต่อมาของรัก
“งั้นบอกกูหน่อยว่ามีเหตุผลอะไรที่มึงต้องไปดูหนังกับไอ้เหี้ยไอ ..โดยไม่บอกกู?”“รัก..”
“ไม่คิดว่ากูจะรู้เหรอ?” เขาเหยียดยิ้มเครียด “กูก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมารู้อะไรแบบนี้จากคนอื่นที่ไม่ใช่มึงเหมือนกัน.. กูดูหน้าโง่มากเลยใช่ไหม พวกมึงถึงคิดจะทำอะไรลับหลังกูก็ได้?”
“เราไม่ได้คิดแบบนั้น..” ผมปฏิเสธได้ไม่เต็มเสียงนัก ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรลับหลังรัก แต่...ใช่ ผมก็ทำไปแล้ว
“แล้วมึงคิดแบบไหน?! พวกมึงคิดอะไรกันอยู่? ห๊ะ ปากบอกเพื่อนๆๆๆ แต่เพื่อนเหี้ยอะไรวิ่งโร่มาหากันทันทีที่รู้ว่าเจ็บ? เพื่อนเหี้ยอะไรชวนกันออกไปกินข้าวดูหนังลับหลังแฟน? เพื่อนเหี้ยอะไรบอกให้ทิ้งแฟนแล้วไปหามัน? ไหนบอกกูหน่อยว่ามีเพื่อนโลกไหนเขาทำกันแบบนี้บ้าง!?”
รักหยุดหอบหายใจ ใบหน้าแดงก่ำกับเส้นเลือดปูดเกร็งตรงขมับบ่งบอกภาวะทางอารมณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี
“กูเกลียดคำว่า
‘เพื่อน’ ของมึงมาก”
“.........”
“พูดอะไรสักอย่างสิวะ!!” รักกระชากคอเสื้อผมแล้วเขย่าๆ
“.........”
“จะปฏิเสธหรือแก้ตัวอะไรก็ว่ามา! พูดเซ่! กูบอกให้พูด!”
“เราขอโทษ”คำพูดแผ่วๆ ที่เกิดจากความรู้สึกผิดของผมทำให้รักนิ่งไปชั่วขณะ เขาเบิกตากว้างเหมือนช็อคกับสิ่งที่ได้ยิน มือที่กำคอเสื้อผมปล่อยตกข้างตัว รักถอยห่างจากผม เขามองผมเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“รัก?” ผมขยับเข้าไปหาด้วยใจที่เริ่มเสีย พยายามจับตัวเขา ดึงเขาเข้ามากอด แต่เขาก็ยังถอยห่างจากผม ให้เขาตะคอก ทุบผม ชกผม ยังดีซะกว่าเป็นแบบนี้
“รัก!” ผมคว้าตัวเขาไว้ได้ตอนที่เขาหันหลังจะเดินหนีไป รักดิ้นรนสะบัดผมออก แรงดิ้นของเขากระเทือนสีข้างที่บอบช้ำของผมแทบทุกครั้ง แต่ผมก็กัดฟันกอดเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้มันจะทำเอาเจ็บจนน้ำตาแทบร่วงก็ตาม
เพราะผมแน่ใจว่าหากปล่อยรักไปตอนนี้ ผมคงไม่มีโอกาสได้เขากลับคืนมาอีกแน่ ..ไม่ ผมไม่อยากจะเสียเขาไป
“โอ๊ยยยย!” แต่เผลอแค่เสี้ยววินาที ผมก็ถูกศอกของรักซัดเข้าให้เต็มแผล เจ็บจนหน้ามืด หายใจไม่ออก ผมยังพยายามจะคว้ารักเอาไว้จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายร่างลงไปกองกับพื้น
สติที่เลือนลางลงทุกขณะของผมมองเห็นเพียงเท้าของรักที่เดินห่างออกไป.. โดยไม่คิดหันกลับมา
‘รัก’“รัก!”ผมผวาลืมตาตื่น คนในความฝันเลือนหายไปชั่วพริบตา และสองมือของผมที่หมายจะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ก็ไขว่คว้าได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า.. ผมถอนหายใจ ก่อนค่อยๆ ลดมือลง กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องนั่งเล่น นอนอยู่บนโซฟา ทั้งบ้านมีแค่ผมคนเดียว..
แผ่นหลังที่มองเห็นเมื่อครู่อาจเป็นเพียงภาพความฝัน แต่ความเจ็บที่สีข้างกับสะโพกผมเป็นของจริง และเรื่องที่ผมสูญเสียรักไปแล้วก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
มันก็สมควร.. ผมยิ้มเยาะตัวเอง ก่อนยกแขนขึ้นพาดปิดตาที่รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งสองข้าง บ้านที่เงียบเชียบสะท้อนเสียงสะอื้นของผมเบาๆ
“มันเจ็บมากขนาดนั้นเลยหรือไง?” เสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอีกเรียกให้ผมหันไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา
รักเพิ่งเดินเข้าบ้านมาพร้อมกับถุงกับข้าว 2-3 อย่างในมือ ผมแอบหยิกตัวเองเพราะไม่มั่นใจว่าภาพที่เห็นเป็นฝันหรือเรื่องจริง แต่ความเจ็บที่รู้สึกได้ก็ถือว่าเป็นข่าวดี ...แต่ทำไมล่ะ? ก็รักไปแล้วนี่นา
หรือว่าจริงๆ แล้วเรื่องราวก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นความฝัน?
“กูเห็นโพสต์อิทที่แม่มึงแปะไว้ในครัวบอกว่าวันนี้จะกลับดึกน่ะ ..ก็เลยออกไปหามื้อเย็น” รักคงเห็นความสงสัยในดวงตาผม เขาเลยชูถุงกับข้าวให้ดู “แล้ววันนี้น้องมึงก็มีเรียนพิเศษถึง 2 ทุ่มด้วยใช่ไหม? ถ้ากูจำไม่ผิด”
ผมถึงกับน้ำตาร่วงอีกรอบ ผมไม่สนแล้วว่าจะเรื่องจริงหรือความฝัน จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่มีรักอยู่ด้วยก็พอ
“มึงเจ็บจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?” รักวางถุงกับข้าวแล้วรีบเข้ามาดูอาการผมด้วยแววตาเป็นกังวล เขาคงจะเห็นแผลใต้เสื้อผมแล้ว “ไปหาหมอไหม? ..กูก็ซัดไปซะเต็มเหนี่ยวด้วยดิ โทษทีว่ะ ไม่รู้ว่าช้ำมากขนาดนี้”
ผมถือโอกาศที่เขานั่งลงบนโซฟากอดลำตัวเขาเอาไว้แน่น จะเจ็บสะโพกหรือว่าสีข้างก็ไม่เป็นไร แต่ผมจะไม่ยอมปล่อยเขาหลุดมือไปอีกแล้ว
“ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้า พูดอู้อี้ “จะซัดอีกหลายๆ ทีก็ได้ เราสมควรโดนแล้ว เราทรยศรัก..”
อาจไม่ใช่ทางกาย แต่หัวใจที่หวั่นไหวของผม จิตใจที่โลเลของผม มันได้ทรยศความรักที่รักมีให้ไปแล้ว
“มึงอย่าพูดอีกเลยว่ะ กูไม่อยากฟัง” รักแกะมือผมออก แต่ผมไม่ปล่อย
“เรารู้ว่าเราไม่ดีพอกับความรักของรัก แต่เราก็ยังอยากจะได้มันอยู่ดี เรารู้ว่าเรามันเห็นแก่ตัว แต่ได้โปรด.. ได้โปรดให้โอกาสเราอีกครั้งเถอะนะ?”
“.........” รักเงียบ
“จะให้เราทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น.. ได้โปรดเถอะ รัก” ผมขอร้องอย่างจนตรอก
“อะไรก็ได้...ทั้งนั้น?” รักพูดทวน แววตาของเขาอ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมก็พยักหน้าตอบไป
“อื้อ ถ้ามันเป็นสิ่งที่รักต้องการ...และเราสามารถทำได้” ผมตบเมื่อเมื่อนึกกลัวว่าเขาอาจจะขอเดือนขอดาวหรือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพื่อจะปฏิเสธผม
“งั้นทำให้กูแน่ใจว่ามึงจะเป็นของกูทั้งหมดได้ไหมล่ะ?”ผมคิดตามสิ่งที่เขาพูด
“อ้าขาให้กูได้ไหมล่ะ? ..เหมือนที่กูเคยทำให้มึง”TBC.ลุ้นตอนต่อไป
--------------------------------------
ไอนี่ออกแนวน้ำนิ่งไหลลึกเนาะ
ส่วนรักก็เป็นน้ำเชี่ยว
ส่วนเมโล่ก็.... แมวน้ำจากทะเลเหนือละมั้ง อุ๋งๆๆๆ อร๊ายยยย
แล้วคุณชอบสไตล์ น้องน้ำนิ่ง, น้องน้ำเชี่ยว(ที่เชี่ยวทั้งรุกทั้งรับ?? กร๊ากกก), หรือน้องแมวน้ำมากกว่ากันคะ? อิอิ