= = = = = = = = = =
กว่าที่พันวังจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็เริ่มต้นเวลาบ่าย
และที่เขาตื่นไม่ใช่เพราะได้นอนพักผ่อนเพียงพอหรอกนะ เพียงเพราะกระเพาะเจ้ากรรมมันดันร้องครวญครางยังกับเมฆครึ้มลอยก่อกวน สุดท้ายก็ต้องจำใจเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมาท้าแสงตะวันจนได้
“อะ” ใครคนหนึ่งร้องขึ้น “ข้าทำให้ท่านตื่นรึขอรับ?”
ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าน้องเล็กสุดท้องของตระกูลแม่พิกุล
อ้ายกล้า ซึ่งปัจจุบันยังอายุไม่ถึงสิบขวบดี เป็นบ่าวอายุน้อยที่สุดจึงไม่ค่อยได้รับผิดชอบงานอะไรสักเท่าไหร่ แต่เพราะอ้ายกล้าเป็นคนเดียวในบ้านที่อายุน้อยกว่าเขา ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ็นดูเด็กชายคนนี้ไม่น้อยทีเดียว
แม้นรู้ว่าอีกไม่เกิน3-4ปีข้างหน้า อ้ายกล้าคงต้องเข้าพิธีถวายตัวเป็นหนึ่งในนายกำนัลของท่านจ้าวใหญ่ และเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ความคิดเกินเลยกับนายเหนือหัวอย่างเขาคงมองหน้าน้องชายคนนี้ไม่ติดไปพักใหญ่ๆเลยกระมัง
“มิใช่ดอก” พันวังว่า “ข้าหิวน่ะ”
“ให้ข้าไปเตรียมสำรับอาหารให้ไหมขอรับ?”
“เดี๋ยวข้าออกไปเองก็ได้ ช่วยส่งผ้ามาทีสิ”
อีกคนกระพริบตา “อ้ายพี่ไหวรึ? ยินว่าเมื่อคืนรับศึกหนักไม่น้อย”
“….เป็นเด็กเป็นเล็กทำเป็นสู่รู้นัก”
“เอ้า ข้าแค่ยินเขาลือกันมา”
“เขาไหน?”
“ใครเขาก็รู้กันหมด”
“ข้าได้ยินเสียงโห่ร้อง…” เด็กหนุ่มยกมือขยี้ตาเปลี่ยนเรื่อง ไอ้น้ำคำใสซื่อด้วยคนพูดไม่เข้าใจเรื่องอย่างว่าเหมือนเขาเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วแบบนี้นี่แหละที่ทำให้ยิ่งเขินอายนัก พร้อมเงี่ยหูฟังเสียงเอ็ดตะโรที่ดังแว่วจากด้านนอกหน้าต่าง..ซึ่งชวนสงสัยตั้งแต่ตอนที่เขายังหลับตาอยู่แล้ว
“มีเหตุอันใดเกิดขึ้นรึ?”
เด็กชายตัวเล็กหัวเราะคิกคัก เอ่ยตอบพร้อมอธิบายเสียเสร็จสรรพ
“ชนมวยกันสิขอรับ ครานี้จ้าวแสนตาท้าทายท่านจ้าวด้วยตัวเอง บรรดาบ่าวน้อยใหญ่ครึกครื้นกันใหญ่ ออกลงเบี้ยกันเสียสนุก….อ้ายพี่พันวังสนใจบ้างรึไม่เล่าขอรับ”
คนฟังกระพริบตาปริบๆ “จ้าวพี่โคจรกับอ้ายพี่แสนตาน่ะนะ?”
“ขอรับ”
“ไม่ต้องเสียเวลาตรึกตรอง” พันวังหัวเราะร่วนจนปวดท้อง รีบคว้าเศษเบี้ยบนโต๊ะข้างเตียงโยนส่งให้อีกคนรับไว้โดนพลัน “นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน..จ้าวพี่เคยเอาชนะอ้ายพี่แสนตาได้เสียที่ไหน ข้าลงข้างจ้าวต่างแดน ฝากบอกอ้ายพี่อินทรเดี๋ยวข้าจักตามลงไป”
“ขอรับ ว่าแต่…”
“ว่ากระไรรึ?”
“อ้ายพี่พันวังไหวแน่รึขอรับ?”
คนฟังลูบหน้าทันที “เจ้าคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่รึ? ไป เอาความไปแจ้งเสีย ข้าจะแต่งตัวแล้ว”
“ขอร้าบบ”
เด็กชายหัวเราะร่วนทิ้งท้ายอีกครั้ง เล่นเอาคนเป็นพี่อยากจะหยิบอะไรมาปาหัวมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียงฮึดฮัดอยู่บนเตียง แล้วใช้เวลาร่วมชั่วโมงเพื่อลากสังขารลงมาแต่งเนื้อแต่งตัวเสียเรียบร้อยมิดชิด อย่าได้หวังให้ใครต่อใครได้เห็นรอยรักที่ฝากฝังไว้นี่เลย
ที่จริงแล้วเขาก็ใช่ว่าจะชอบใจกับสถานภาพที่เป็นเช่นนี้..
…การเป็นของเล่นของใครไม่ใช่เรื่องสนุกเลย แม้นว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นถึง ‘จ้าวชีวิต’ ของตนเองก็ตาม
เหตุเพราผิวกายที่ยังตึงแน่นสมวัย ดวงหน้าหวานด้วยยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีนัก กับช่วงอายุที่เพิ่งผ่านพ้นคำว่าเด็กชายมาได้ไม่นานนั่นเองจ้าวพี่โคจรของเขาถึงได้หลงใหลกว่าบ่าวอื่น หากผ่านไปอีกสักยี่สิบสามสิบปี..เค้าความเยาว์วัยนี้คงจะเริ่มจางลงไป หรืออย่างน้อยร่างกายก็อาจจะสูงใหญ่ขึ้น ผิวกร้านคล้ำขึ้น หนวดเคราขึ้นเป็นตอชวนจั๊กจี้ ทั้งขาเนียนละเอียดที่จ้าวพี่ชอบประทับจูบนี้ก็อาจจะเต็มไปด้วย..หรือขนหน้าแข็งดกครึ้มก็ได้…….
…..แค่คิดก็สยองแล้ว พวกบ่าวทั้งหลายพออายุขึ้นเลขสามหลักก็ถูกไล่ออกไปทำงานจิปาถะแล้ว แม้ที่ผ่านมาจ้าวพี่จะไม่เคยเฉดหัวใครเพราะยังหนุ่มยังแน่น แต่ก็ไม่เคยจะเห็นแลตามองพวกกล้ามบึกๆถึกถึนพวกนั้นสักนิด
พันวังยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่
แล้วถอนหายใจ ก่อนจะเดินลากขาออกจากเรือนใหญ่เป็นก้าวแรกของวัน
เสียงผู้คนโห่ร้องเอ็ดตะโรกันสนั่นจากชานด้านล่าง เปี่ยมไปด้วยความเมามันระคนหวาดเสียว ดังยิ่งกว่ายามหมัดลุ่นๆกระแทกผิวกายเสียอีก
นี่เป็นกิจกรรมของเพศผู้…ในอดีตคือการประลองเพื่อชิงว่าใครเป็นหัวหมู่ แต่ปัจจุบันเป็นเพียงความสนุกสนานและการพนัน แน่นอนว่ากิจกรรมป่าเถื่อนที่ว่าไม่ได้แวะเวียนผ่านมาให้ชมบ่อยครั้งนัก ด้วยไม่มีจ้าวใดอยากให้คนในปกครองสู้รบกันเอง ซ้ำยังรู้กันเป็นปกติว่าเลือดจ้าวที่เข้มข้นเท่านั้นที่ไม่มีสิ่งใดฟันแทงหรือทำร้ายได้
แต่การสู้กันระหว่างจระเข้ธรรมดานั้นแตกต่างออกไป ด้วยกายทิพย์ที่สามารถเรียนรู้วิชาของมนุษย์จริงๆได้ทำให้การชกมวยนี้เมามันนัก ผิวกายแข็งแกร่งของจระเข้ที่ซัดกันเองแทบไม่สะเทือน การต่อสู้จึงดุเดือดและยาวนานกว่านัก
…เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่เด็กหนุ่มจะตื่นเต้นกับความบันเทิงเหล่านั้น
“อ้ายสหัส อย่าให้แพ้เขา อย่าให้เสียเกียรติเชียวนะ!”
“ลุยมัน สู้มัน”
“เอิ้วว!”
“เอิ้ววว!!”
เสียงโห่ร่างตะโกนดังไปทั่วทั้งลานสลับกับยามเนื้อกระทบเนื้อดังปั๊กพลั่กผลัวะ เจ้าของร่างผอมบางตรงไปเกาะราวระเบียงชะโงกหน้ามองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากที่ยืนดูระดับพิเศษ ยืนมองสถานการณ์เหล่านั้นด้วยความตื่นเต้นนัก
หนึ่งคืออ้ายพี่สหัส
อีกหนึ่งคืออ้ายพี่รดิน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามวยคู่นี้น่าลุ้นมากแค่ไหน เพียงแต่ละคนต่างเป็นมือขวาของท่านจ้าวทั้งสองด้วยกันทั้งสิ้น และถึงแม้จะเป็นการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะวัดเอาแพ้เอาชนะหรือกระไร เพื่อความบันเทิงกันเป็นเสียส่วนใหญ่จนอดที่จะส่งเสียงโหวกเหวกตามไปด้วยมิได้
นั่นประไร…อ้ายพี่แสนตากับจ้าวพี่โคจรนั่งอยู่ใต้คุ้มศาลา ปรบมือโห่ร้องแสดงอาการไม่ต่างอะไรกับจระเข้ตนอื่นๆสักนิด
“เอามัน ลุยมัน”
“อ้ายรดิน ฝีมือเจ้าหดไปขนาดไหนรึ อย่ายอมสิวะ”
พันวังรอบยิ้มที่มุมปาก ขยับขาวิ่งทั่กๆลงจากบันไดตรงไปหา ไม่ลืมที่จะแอบย่องไปออกบทวิเคราะห์จากด้านหลัง
“ฝ่ายเราช่างเพลี่ยงพล้ำนัก จะอ้างเหตุอ้ายพี่รดินเพิ่งบาดเจ็บจากไล่ควายคราวก่อนคงไม่ได้ ยินดีด้วยอ้ายพี่แสนตา มื้อนี้ท่าทางจะกินจุใจ กลับไปคงซื้อที่นาได้อีกหลายไร่ทีเดียว”
คำทักนั้นทำให้จระเข้หนุ่มทั้งสองหันควับไปมอง หนึ่งหัวเราะร่วน ส่วนอีกหนึ่งปั่นปึ่งหน้างอเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่มีผิด
“บ๊ะ”
ท้าวโคจรขมวดคิ้ว รีบรั้งคนปากมากเข้ามานั่งเกยตัก
“เจ้าสิอยู่ข้างผู้ใดกันแน่?”
“ถ้าเลือกได้ข้าก็อยากอยู่ข้างผู้ชนะนะขอรับ” คนฟังหัวเราะคิกคัก “เสียแต่เลือกมิได้เนี่ยสิ”
นายเหนือหัวขมวดคิ้วหมุ่น “ดูสิ มิทันไรออกอาการเสียแล้ว…คงคิดว่าข้าน้อยใจไม่เป็นกระมัง”
“โถจ้าวพี่ ท่านจักรู้ว่าข้าเพียงเย้าแหย่..คิดจริงจังเสียที่ไหน”
อ้ายแสนตาหยุดหัวเราะ พลันแทรกขึ้น
“แต่ข้าจริงจังนะ” บุรุษผิวขาวแยกเขี้ยวใส่ “ข้าไม่ให้ว้อย”
“งั้นข้าจะขโมยไป”
“อ้ายแสนตา…นี่เอ็งชักปากดีเกินไปแล้ว กลับไปหาแม่หญิงของเอ็งไป ชิ้วชิ้ว”
“จริงสิ”
เด็กหนุ่มประมือเข้าหากันราวเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนมองไปรอบๆ
“ข้าสิยังมิเห็นอ้ายพี่หญิง…นางไปอยู่ไหนเสียล่ะ?”
“ประเดี๋ยวก็มา” ชายหนุ่มร่างใหญ่หรี่ตามอง อดที่จะหยิกแก้มหมั่นเขี้ยวไม่ได้ “ให้อ้ายแม่พิกุลไปเตรียมมาลัย เปิดศึกสุดท้ายข้ากับจ้าวพี่โคจรของเจ้า น้องพันวัง…เจ้าสิเลือกข้างใด?”
“ไม่เห็นต้องถาม ข้างอ้ายพี่แน่นอนอยู่แล้ว”
“พันวัง!”
“ฮะๆๆ”
“ดูสิ ได้ทีแกล้งข้ายกใหญ่” ไรฟันขาวขบลงมากัดไหล่มน
“โอ๊ย! เจ็บนะ”
“เจ็บสิดี เจ็บจะได้จำ”
คนถูกกระทำขมวดคิ้วหน้าบึ้ง “งั้นข้าไปอยู่กับอ้ายพี่แสนตาเสียดีกว่า ใจกว้างกว่ากันเยอะ”
“ดี หากเลือกทางนั้นจะได้ปล้ำเสียตรงนี้…ให้มันรู้ไปเลยว่าเจ้าเป็นของผู้ใด”
“จ้าวพี่!!”
“ถ้าดื้ออีกข้าจักมิแค่ขู่ ภาคปฏิบัติน่าจะเห็นผลกว่า”
“จ้าวพี่โคจร!!”
“ว่ากระไร? หากจะเรียกชื่อข้าเสียเต็มยศเช่นนั้นมิลองครางเรียกดูเล่า”
“จ้าวพี่โคจร!!”
เจ้าของนามยกมือแคะหู ส่งรอยยิ้มทะเล้น “รู้แล้วว่ารักข้า ไม่เห็นต้องเรียกเสียงลั่นขนาดนั้นก็ได้”
คู่สนทนาหน้าเหวอโดยพลัน ผิวกายขาวก็ขึ้นสีแดงจนไม่รู้ว่าจะแดงไปถึงไหนต่อไหน แถมไอ้คนข้างๆที่ควรจะพึ่งพาได้กลับระเบิดหัวเราะเสียลั่น นี่แหละมิตรภาพลูกผู้ชาย ต่อหน้ากัดกันแค่ไหน..สุดท้ายมันก็ให้ท้ายกันอยู่ดี
“พอเลยขอรับ!” เด็กหนุ่มดันตัวออกจนสุดแขน “ดูสิ อ้ายพี่รดินจักตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้ว ยังจะมามัวหยอกล้อข้าอยู่ได้ ถ้าคิดว่าโผล่มาหาจะรุมหัวรังแกข้าเช่นนี้..รู้งี้บึ่งไปช่วยงานครัวเสียจะดีกว่า”
“เอ้า จะรีบไปไหนเล่า ยกหน้าถึงทีข้ากับอ้ายแสนตาแล้วนะ”
“เรื่องของจ้าวพี่สิขอรับ”
“ถ้าเจ้าไม่อยู่ แล้วมาลัยของข้าใครจะเป็นคนโยนกันเล่า” พันวังชะงักกับคำพูดนั้น เบือนนัยน์ตากลมโตหันไปสบ
อีกคนยักคิ้วให้ รีบอธิบายต่อ “ดูสิ อ้ายแสนตาก็มีอ้ายแม่หญิงบุหลันอะไรนั่นโยนมาลัยให้แล้ว ข้านึกอิจฉานัก..เลยบอกอ้ายแม่พิกุลร้อยมาลัยเพิ่มอีกสักพวง เพียงจะรอเจ้าหนุ่มน้ำใจงามคนไหนจะมาโยนให้ข้า หรือจะให้พวงมะลิเป็นหม้ายก็ตามใจเจ้า”
…ดูสิ…ทั้งคำพูดคำจา น้ำเสียงท่าทางเช่นนั้น
…มันยากเหลือเกินที่จะไม่ให้ตนคิดเป็นอื่น คนตัวเล็กกว่าเม้มปาก รู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งขึ้นมาผะผ่าวบนใบหน้า ด้วยรู้ว่าอีกคนก็เอาใจเขามาเช่นนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ก็รู้อีกว่าที่พูดจาหวานละไมเช่นนั้นมันเรียกว่า ‘สันดานคนเจ้าชู้’ ...หาใช่ความรู้สึกที่แท้จริงไม่
…กระนั้นก็อดจะตื่นเต้นตามมิได้
“ท่านจ้าวขอรับ” พลันเสียงทักก็ดังขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง เรียกให้คนทั้งสามหันไปมอง
อ้ายอินทรเกาแก้มเก้อเขิน ท่าทางจะยืนรอจังหวะรายงานมาสักพักแล้ว
“มาลัยเตรียมพร้อมแล้วขอรับ หากมิรีบตีระฆังหยุดมวยคู่นั้น ไม่อ้ายรดินก็อ้ายสหัสนี่แหละจะหมดแรงกันไปเสียก่อน จะเริ่มคู่เอกเลยรึไม่ขอรับ?”
“เอาสิ” จ้าวโคจรหัวเราะในลำคอ “จักรอช้าอยู่ใยล่ะ”
สิ้นสุรเสียงรับสั่ง จ้าวแสนตาจึ่งได้หยิบท่อนไม้มาตีระฆังเล็กข้างตัวเหง่งหง่าง เป็นอันยุติยกมวยคู่นั้น เสียงโห่ร้องอย่างเสียดายดังขึ้นจากทั่วทั้งวง แต่ก็ด้วยรู้กันว่าความสนุกต่อไปสิกำลังจะเริ่ม
“เอ้า น้องพันวัง..จะนั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เล่า”
อ้ายแสนตาหัวเราะลั่น พยักเพยิดขึ้นไปบนชานเรือน
“มิรีบไปเตรียมตัวโยนมาลัย สิได้เห็นจ้าวโคจรแหกปากร้อง ‘อุแว๊’ เป็นแน่ เอ้า! รีบไป!”
คนถูกสั่งอดจะยิ้มไม่ได้ เลยรีบดันตัวลุกขึ้น
ส่วนคนถูกด่าถึงกลับอ้าปากพะงาบๆ “ปากคอเจ้านี่ช่างน่าเอาตีนยันเสียจริง อ้ายแสนตา…ให้ตายเถอะ”
“จ้าวพี่โคจร”
“หืม?”
เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม เอ่ยเสียงเบา “…ขอบคุณ…นะขอรับ”
และคนฟังได้ยินเต็มหู ชายหนุ่มระบายยิ้มกว้าง ยีเรือนผมสีขนกาของอีกคนอย่างเอ็นดู แล้วลุกขึ้นยืนตามหยิบผ้ามาพันที่มือเตรียมมวย ระหว่างที่ใจกลางของลานกำลังเก็บกวาดศึกในคราที่แล้ว
ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นระรัวยิ่งนัก…เพียงแค่อีกคนสัมผัสกายเขาอย่างอ่อนโยนเช่นนั้นก็ทำให้ข้างในร้อนผะผ่าว บางทีอาจจะมากกว่าความตื่นเต้นที่ได้เชียร์มวยพวกนั้นก็เป็นได้ และถึงแม้จะรู้ดีว่าควรจะระงับหักห้ามใจ ก็ใช่จะทำได้ในทันที
พันวังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมตัวจะขึ้นเรือนไปรับมาลัยจากอ้ายแม่พิกุลที่ว่า
…แต่กลับต้องชะงักเสียก่อน เมื่อจระเข้แทบทุกตนในนั้น…เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนเฉกเช่นกัน ที่ปลายของจุดรวมสายตา…มีใครบางคนยืนค้ำอยู่บนหัวกระไดขึ้นแรกเคียงคู่กับอ้ายแม่พิกุลที่พวกเขาเห็นกันจนชินชานั่นเอง
..เธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างอรชรในชุดกระโจงอกสีเลือดนกและผ้าถุงสีน้ำตาลรับกับเรือนร่างเต็มอิ่มในรูปแบบของสตรีเพศโตเต็มวัยที่พวกเขาไม่ได้เห็นกันเสียนาน เรือนผมสีขนกายาวกล่อมสะโพกตรงเกลี่ยลงมาที่ข้างแก้มกลมทั้งสองข้างดูน่ารักน่าทะนุถนอม แม้ผิวกายจะไม่ได้ขาวสว่างแต่ก็เป็นสีน้ำผึ้งที่ต้องแสงตะวันอ่อนๆกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ ทั้งกลีบปากอวบอิ่มสีกุหลาบก็ดูเย้ายวน…จนลืมหายใจไปชั่วขณะ
และเมื่อนางช้อนดวงตาหวานล้ำคู่นั้นมองมา….
“แม่หญิงของข้า”
คำนั้นอ้ายแสนตาทักขึ้นมาก่อน เรียกสติให้คนตัวเล็กหลุดจากภวังค์มนต์สะกด
เด็กหนุ่มคิดว่าตัวเองหน้าแดง อาจเป็นเพราะสัญชาติญาณเพศผู้ที่ยังอยู่ข้างในลึกๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าคำชมเต็มหัว เขาไม่รู้ว่าคำว่า ‘สวย’ นี่หมายถึงสิ่งใด ด้วยเติบโตท่ามกลางหมู่ผู้ชายมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่านางช่างเปี่ยมไปด้วยสเน่ห์เหลือเกิน
จนอดไม่ได้ที่จะหันไปสะกิดอย่างใคร่รู้
“จ้าวพี่ๆ นั่นน่ะรึอ้ายพี่หญิงของอ้ายพี่แสน----“
ไม่มีเสียงตอบรับ
..หรือพูดให้ถูกก็คือ…อีกคนแทบไม่รู้สึกตัวเลยเสียมากกว่า
เมื่อเงยหน้ามองถึงได้รู้ว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆตนนั้นแทบจะแข็งเป็นหิน ดวงตาคู่คมทอดมองออกไปยังด้านบนของชานอย่างไม่วางตา ทั้งรอยยิ้มจางๆที่ฉาบอยู่บนใบหน้ารูปสลักคล้ายกับว่า…เวลา…ได้หยุดอยู่ตรงนั้น
มันทำให้พันวังชะงัก
มือที่เหนี่ยวแขนอีกคนถึงค่อยปล่อยลงอย่างช้าๆ
…ดั่งดอกไม้แรกแย้ม…ที่ผุดขึ้นมากลางดวงตาสีอำพันคู่นั้น
…และหนามแหลมคม…ที่บาดลึกอยู่ในดวงใจดวงนี้TBC======================