ฤๅมนุษย์ฤๅกุมภาหาความต่าง
ตรอกสองทางแยกสองคู่รู้มิเหมือน
รูปกายร่างจิตใจคอยย้ำเตือน
มิลบเลือนแม้ ‘รัก’ เลื่อน..ร้างสัมพันธ์
-๑๕-
‘….อันตราย….’ ‘..ไล่มันกลับไปซะ’
‘มันสายเกินไปแล้วที่จะให้เขาถอนตัวออกมา’
‘….มือของท่าน…เปื้อนเลือดชั่วๆพรรค์นั้นมากเกินไปแล้ว’ ‘อันตราย…’ ‘..มนุษย์..’
‘ท่านจ้าวจะติดใจอะไรกับมนุษย์นักหนา’
‘เขาคือคนที่เคยช่วยชีวิตมาลา’
‘ให้มันกลับไป’
‘…ข้าจะปกป้องเขาเอง…’
‘แต่ท่านจ้าว…’ ‘ยิ่งนับวัน..ท่านจ้าวยิ่งทำตัวเหมือนมนุษย์ขึ้นไปทุกที…’ ‘…นี่มัน…อันตราย…’ ..อันตราย…! ผมเบิกตาโพลงขึ้นมา รู้สึกสมองปวดจนต้องหลับตาลงมาใหม่..แสงแรกที่เห็นมันแสบตาเกินกว่าจะทนมองมันได้ แล้วจึงกระพริบตาถี่ๆ..ไม่นาน ที่จริงก็แค่แปปเดียวที่ตาจะชินกับแสงแดดที่สาดเข้ามาภายในห้อง และที่มันแรงขนาดนี้เพราะหน้าต่างทุกบานเปิดอยู่อย่างที่ไม่เคยเปิดมาก่อน
ที่ไหน? ..จำได้แม่น ห้องนอนไอ้พี่วัน
มาได้ยังไง?
..ถามแปลก ถ้ารู้จะทำหน้าควายแบบนี้มั้ยล่ะ? ผมอ้าปากตักตวงอากาศหายใจ..ราวกับว่าตัวเองเพิ่งจะได้หายใจแบบนี้เป็นครั้งแรก ความทรงจำสุดท้ายมันเลือนลางเกินกว่าจะปั้นขึ้นมาในสมองได้ แต่ผมรู้สึกเหมือนก่อนหน้านี้ผมจมอยู่ในน้ำ..
ดำดิ่ง..ลึกลงไป..ทั้งอากาศหายใจทั้งการเคลื่อนไหว..ช่างน่าอึดอัดไปเสียหมด และเมื่อศีรษะเราโผล่พ้นน้ำ…การเร่งหายใจยิ่งทรมานมากกว่าตอนจมอยู่เสียอีก
หลับตาลงอีกครั้ง นับหนึ่งถึงยี่สิบ..เพื่อบอกให้ตัวเองควบคุมลมหายใจ ใช่ กำหนดลมหายใจที่ปลายจมูก ความรู้ในวิชาพระพุทธศาสนากลับมาก็ตอนนี้เอง…
และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผมก็แทบหยุดหายใจไปเลย
..ดวงตาสีทองคู่หนึ่งจ้องมองผมอยู่ มันคือความตกใจมากกว่าความกลัว ผมเลยตะลึงค้างอยู่แบบนั้นตอนที่มาลาโบกมือน้อยๆนั่นผ่านหน้าเพื่อเช็คสติของผม ผมอ้าปากจะทัก..แต่ไม่มีเสียงออกมา
เขาไม่ได้พูดอะไร แล้ววิ่งทั่กๆออกจากห้องไป
“เดี๋ยว…แค่ก”
ผมพลิกตัวตะแคงข้าง ไอเบาๆ..ความรู้สึกในคอเหมือนกลืนทรายหยาบๆลงไป แต่ก็เท่านั้นครับ..ไม่ได้มีอะไรออกมา มันก็แค่การเปรียบเทียบน่ะนะ
ไม่นานเสียงประตูในห้องถัดไปก็เปิดออก แล้วไอ้พี่วันก็พรวดพราดเข้ามาหาผม
“ไกร” เขาเรียก ใช้สองมือจับหน้าผมให้หมุนหันไปสบตากับเขา
“ไกร ได้ยินที่พี่พูดไหม?” ผมกระพริบตา “ได้ยิน”
“เราชื่ออะไร?”
“…เกรียงไกร”
“แล้วพี่ล่ะเป็นใคร?”
ผมขมวดคิ้ว ชักไม่เข้าใจ
“….บ้าป่ะ ความจำเสื่อมรึไง?” อีกฝ่ายยิ้ม แล้วจูบหน้าผากผมหนักๆโดยไม่ได้มีสัญญาณบอกให้ตั้งตัว รู้สึกตัวอีกทีเขาก็ผละออกไป ทิ้งสัมผัสอ่อนโยนที่ยังคงคาไว้บนหน้าผาก..กับแก้มสองข้างที่ร้อนกว่าปกติของผม
แต่เดี๋ยวก่อน..
.
.นี่เหมือนจะไม่ใช่เวลามามุ้งมิ้งงุ้งงิ้งนะ.. “พี่วัน..เอ่อ…ไกร…” ผมกรอกตา จะเริ่มถามจากตรงไหนก่อนดีวะคับ.. “ไกร…แบบ….”
เขาทิ้งตัวนั่งบนเตียงข้างๆผม “ปวดหัวอยู่รึเปล่า?”
“อะไรนะ?”
อีกฝ่ายยิ้ม “ปวดหัวมั้ยครับ?”
“นิดหน่อย…ครับ” ผมส่ายหน้า ยกมือแตะหน้าผากตัวเองอย่างลืมตัว “ทำไม….”
“หิวมั้ย?”
ผมอยากจะปฏิเสธครับ แต่ท้องร้องโครกครากจนต้องพยักหน้ารับ..และนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ตัวเองมีอะไรตกถึงท้องไม่ได้
“งั้นเดี๋ยวพี่ให้คนยกสำรับมานะ”
เขาบอกผมเช่นนั้นแล้วตั้งท่าจะลุกออกไป แต่ผมคว้าแขนเอาไว้ได้ก่อน
“เดี๋ยวพี่วัน”
“ครับ?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
..เออ คำถามนี้แหละ..คิดอยู่ตั้งนานนะกู.. “ทำไมไกรมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? แล้ว..สวนสัตว์ล่ะ? นี่มันอะไรกัน?”
เขากลับลงมานั่งใหม่อีกครั้ง ใช้นิ้วสวยๆนั่นเกลี่ยแก้มผม..ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากอีกครั้ง..และอีกครั้ง..รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้นโดนไปราวๆ5ครั้งได้(แหม ได้ทีมันก็เอาครับ พ่อคุณ!) ก่อนที่ผมจะสิ้นสติไปกับไอ้สัมผัสละมุนๆนั่น..เขาถึงได้เอ่ยออกมา
“เดี๋ยวกินข้าว กินยา..พักผ่อนให้หายดี..แล้วพี่จะเล่าให้ฟังนะ”
ผมไม่เถียงครับ เพราะสังขารตอนนั้นมันไม่ไหวเช่นกัน
เขาเดินจากไป แต่ก็เพียงไม่นานครับ..แล้วเดินกลับเข้ามานั่งข้างๆผมใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นผมยังไม่หลับ..ทั้งๆที่รู้สึกเพลียและปวดเมื่อยไปหมดแต่ก็ไม่หลับ มันหลับไม่ลงหรอกครับ ความสงสัยที่มีมันเต็มแน่นอยู่ในอก
แล้วก็ต้องใช้สมองน้อยๆนึกทวนความทรงจำก่อนผมจะหมดสติไปอีกครั้ง..
…ผมจำได้…
…แม้จะเพียงเล็กน้อย ที่อยู่ลึกที่สุดของสมอง…แต่ก็พอจะจำได้… และเมื่ออาหารมาถึง..เป็นข้าวต้มง่ายๆกับผักกาดดองกับกุ้งสับ เขาป้อนผม..และครั้งนี้ผมไม่ปฏิเสธ มันเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรน่ารำคาญแบบนั้น ขนาดลุกขึ้นมานั่งดีๆผมยังทำไม่ได้เลยครับ ทำได้แค่นอนอ้าปากพะงาบๆเท่านั้น..เด็กดีอย่าเลียนแบบนะครับ มีสิทธิสำลักได้
เขายื่นยาหนึ่งเม็ดกับน้ำให้ผม ผมไม่ถามว่ายาอะไร..ถ้าไอ้หมอนี่จะช่วยผมมาเพื่อยัดยาพิษใส่มันก็คงพิลึกน่าดู
“วันนี้..” ผมเกริ่น เขาหันมามอง “…วันอะไร…?”
อีกฝ่ายหลุบตาลง เอื้อมมือมาจับมือผมเล่น “วันจันทร์ครับ”
“มหา’ลัย….”
“ไว้ไกรหายดีค่อยไปนะ ไม่ต้องห่วง”
“ไกร…โดนอาคมเหรอ?”
เขายิ้มอ่อน “ครับ”
“อ้อ” ผมหลับตาลง
“ตอนโดนอาคมมันเป็นอย่างงี้นี่เอง…” “อืม…”
“ไกรได้ยินบทสวด…ได้กลิ่นแปลกๆ…จำได้ลางๆ…” ผมขมวดคิ้ว พยายามนึกถึงภาพสุดท้าย “นี่เค้าทำอะไรไกร..? ทำให้สลบเหรอ?...แล้วใครกัน? ทำไปทำไม? แล้วพี่วันมาช่วยเหรอ? ยังไง?...”
“…ไว้พี่จะเล่าให้ฟังนะ…”
“ได้โปรด..” ผมบีบมือเขาแน่นขึ้น
“ไกร…ไม่เข้าใจเลย….ทำไม…ต้องเป็นไกรด้วยล่ะ?” เขาเงียบไป ทำให้ผมต้องลืมตามอง
ดวงตาสีทองของอีกฝ่ายวูบไหวอย่างประหลาด..มันทำให้ใจผมสั่น ผมคงจะรัวคำถามมากไป..ยิ่งกว่านั้น…คำพูดแบบไม่ทันคิดแบบนั้น…..
“เพราะพี่ไง” พี่วันกระซิบเสียงแหบ ราวกับกำลังสะกดให้มันหยุดสั่น..ผมจับได้..เพราะมือที่เขากุมมือผมอยู่นั้นมันสั่นน้อยๆ และเขากำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมมันอยู่
ผมดันตัวเองลุกขึ้น
มันยาก และผมรู้สึกเหมือนจะล้มลงไปเสียให้ได้เพราะอะไรบางอย่าง..รู้สึกถึงของแปลกปลอมบางอย่างขึ้นมาถึงที่คอ มันคลื่นเหียนจนต้องไอ แต่ไม่มีอะไรออกมา
แต่เขาก็ประคองผมไว้ ดึงให้ผมเข้ามาซบที่ไหล่…
แล้วกอดผม
“…..พี่ขอโทษ…..” กับคำพูด..ที่ผมเข้าใจความหมาย..แต่ไม่เข้าใจในความรู้สึก
“พี่วัน….”
“พี่จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับไกรอีก..พี่สัญญา” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้..อย่างไม่มีเหตุผล
และแผ่นหลังที่ผมโอบไว้ครั้งแรกนั้นทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของคนตรงหน้า…ที่ในใจกำลังสั่นสะท้าน มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าพี่วันคิดยังไง เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงมันออกมาอย่างชัดเจน..ไม่ใช่แค่คำพูดม่อๆลอยลมไปวันๆเหมือนที่เคย…
…ก่อนจะชะงัก… …ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าที่กลางหลัง..มันไม่ใช่ผิวหนัง..และก็ไม่ใช่เกล็ดแข็งๆด้วย มันเป็นสัมผัสนุ่มๆคล้ายผ้าอีกชั้น……และผมว่าผมพอจะจำได้นะ…….
“เฮ้”
ผมดันตัวออก ขมวดคิ้วมองเขา..พร้อมทั้งลูบบริเวณที่จับสังเกตได้เมื่อครู่ไปมา
“….นี่…
ผ้าพันแผล…ใช่มั้ย?”
เขาหลบตาผม “อื้อ”
“พี่วัน!”
“…อะไร…ครับ…?”
“เจ็บตรงไหนทำไมไม่บอก!!” ผมร้องใส่เขา “โดนอะไรมา!? ตอนไปช่วยไกรใช่มั้ย?”
“ป-เปล่า..ไอ้นี่มัน…..”
ผมหรี่ตา “…ขอไกรดูหน่อย”
เขาดูลนลาน “ไม่เป็นไรหรอก”
“ไอ้พี่วัน”
“..น้องไกรอยากถอดเสื้อพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ผมตาโต หยิกแขนเขาทันที “ไอ้บ้า!”
“ฮะๆ ล้อเล่นน่ะ” เขาจับมือผม พร้อมรอยยิ้มหวานๆ “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงนะ..”
“…เจ็บมั้ย?”
“ไม่เลย”
“โกหก”
“เปล่านะ”
“ไกรขอโทษ..”
“…ไม่ใช่ความผิดน้องหรอกครับ” เขายกมือแตะที่ข้างแก้มผม โน้มตัวเอาหน้าผากชนกันอีกครั้ง “…พี่ผิดเอง”
ผมบอกแล้วใช่มั้ยครับ..ว่าระยะห่างแบบนี้มัน ‘ใกล้’ จนเกินไป…เพราะผมละสายตาจองดวงตาคู่นั้นไม่ได้ เขาเองก็มองผมอยู่..ก่อนจะค่อยๆปรือตาลงเพื่อเคลื่อนเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนจมูกของเราชนกัน วินาทีนั้นเหมือนผมจะโดนอาคมอีกครั้งกระมังครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะดำดิ่งลงไปจนต้องปิดเปลือกตาลง..
มือของเราที่จับกันอยู่บีบกันแน่นขึ้นอย่างรู้ความหมาย ชั่วเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับว่ามันนานเป็นชาติ ผมรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายประสานกับเสียงหัวใจโครมครามของตัวเอง…ก่อนที่สัมผัสจะแตะต้องลงมาที่ริมฝีปาก……..
ผลัวะ!! เสียงที่ทำให้ทั้งพี่วันและผมต่างสะดุ้งด้วยกันทั้งคู่
เราสองคนหันไปหาที่มาของต้นเสียง มันคือเสียงเปิดประตูอย่างแรง..แบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากประตูบานนั้น พี่วันถอนหายใจ เขาลุกขึ้นยืน ส่วนผมกลับทำได้แค่นั่งอยู่เฉยๆเพราะยังไม่มีแรงมากพอจะทำอะไรมากเกินกว่านั้น
ไม่นาน ‘แขก’ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูเชื่อม ร่างสูงใหญ่สาวเท้าเข้ามามากกว่าหนึ่งก้าว แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้นราวกับต้องการจะให้ผมสำรวจเขาให้ถ้วนถี่
ซึ่งผมทำ..ผมสามารถเดาอายุเขาได้จากริ้วรอยจางๆบนใบหน้าที่ไม่ได้มีการปิดบัง..แต่กลับไม่ได้ดูน่าเกลียดสักนิด อีกฝ่ายดูองอาจ..ดูดีในแบบช่วงอายุของเขา..ซึ่งอาจจะเป็นวัยกลาง..บวกลบนิดหน่อย เรือนผมทุกเส้นถูกเก็บเรียบไปด้านหลังมีสีเทาเข้มแซมประปราย ทั้งคิ้วที่เข้มจัดประกอบกับไรหนวดเคราบางๆรอบดวงหน้าสร้างสรรค์ให้ดูคมเข้ม แบบที่ไม่ใช่สไตล์เดียวกับพี่วัน..
ดวงตาสีอำพันที่ไม่มีการปิดบังนั่นฉายแววประหลาด..ประหลาดแบบที่ผมไม่เคยเห็นจากมาลา วรรณนา หรือแม้กระทั่งพี่ทิวัน…มันทำให้ผมต้องนั่งหลังตรง…
ไม่ใช่แค่เพราะเขาดูน่ากลัว
…แต่เพราะคนที่เขามองด้วยสายตาดุดันอยู่นั้นไม่ใช่พี่วัน…
แต่เป็นผม ชั่วขณะที่ผมเผลอกำผ้าปูที่นอนจนยับโดยไม่รู้ตัวนั้น ไอ้พี่วันก็ขยับตัวมาบังสายตาผม
“มีอะไรรึเปล่าครับ? ท่านอา” คำทักทายนั้นทำให้ผมรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร และการกระทำของเขาก็ทำให้ผมอุ่นใจที่ได้แอบอยู่เบื้องหลังเงาร่างสูงของอีกฝ่าย(ทั้งๆที่รู้ว่าทำแบบนี้มันโคตรตุ๊ดอ่ะนะ)
“เปล่า” น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยขึ้นบ้าง…
มันดูเรียบเฉย..จนแทบไม่รู้สึกอะไร “อาแค่อยากจะมาดูอาการท่านจ้าว”
เหมือนพี่วันจะหันมามองผมน้อยๆ แล้วตอบกลับไปเร็วๆ “ผมสบายดี”
“แล้วมนุษย์นั่นล่ะ?”
“ผมดูแลไกรได้”
“ออกอาคมรึยัง?”
พี่วันตอบชัดถ้อยชัดคำ “เรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี” น้ำเสียงนั้นยะเยือกขึ้น
“ถ้าเช่นนั้น..จะให้คนไปส่งไปหน้าบ้าน” พี่วันขยับตัว ผมไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นเบื้องหน้า…แต่รู้สึกได้เลยว่าตัวเอง ‘กลัว’ กว่าที่คิดว่าจะกลัว
“ท่านอา…” ร่างสูงเอ่ยขึ้นบ้าง “…ผมอยากให้ไกรอยู่ที่นี่สักพัก…”
“ไม่ได้”
“…เราคุยเรื่องนี้กันจบไปแล้วนะครับ”
“มนุษย์อยู่ที่นี่ไม่ได้” อีกฝ่ายย้ำ “ยังไงก็ต้องให้ออกไป ที่ผ่านมามันมากพอแล้ว”
“แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกจะว่ายังไง? ถ้าไกรเป็นอะไรไปล่ะครับ”
“ไม่เกี่ยวกับเรา…มิใช่หรือ?”
“ท่านอา!”
“..โปรดแยกแยะด้วย หลานคือ ‘จ้าว’ นะ..” คำย้ำสถานะทำให้คนฟังสะอึก
“…จะให้เกิดอันตรายอย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้อีก” สิ้นประโยคนั้นอะไรบางอย่างก็วิ่งมาปักที่กลางใจ ผมก้มหน้าลง..เผลอบีบมือตัวเองแน่นขึ้นจนเจ็บ และเข้าใจได้โดยง่ายว่าไอ้สิ่งที่อีกฝ่ายหมายถึงนั้นคืออะไร คือที่มาของผ้าพันแผล..คือชีวิตของพี่วัน..คือความหมายของคำที่ว่าจระเข้และมนุษย์..อยู่ร่วมกันไม่ได้
แต่จู่ๆ..ผมก็รู้สึกว่าอุณหภูมิห้องนี้ลดลงอย่างกะทันหัน
จึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง พอดีกับประโยคที่ว่า
“ผมรู้ดี…ผมคือ ‘จ้าว’ …..” เสียงของไอ้พี่วัน…แตกต่างออกไปจากเดิม
“….ที่ไม่ว่าใคร..ก็สั่งผมไม่ได้”+++++++++++++++++++
“อาพี่…”
“หืม?”
“…ให้ไกรเรียกว่ายังไงดี..?”
เขายิ้ม ลูบหัวผม “พันวัง..ท่านชื่อ ‘พันวัง’”
“แล้ว..”
“ครับ?”
ผมกลืนน้ำลาย “…พูดกับอาพี่แบบนั้น…จะดีเหรอ?”
เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเหมือนที่เคยทำด้วยเช่นกัน..จะอธิบายให้ง่ายๆก็คือเขาเงียบไปเลย ถึงได้รู้ว่าพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไป…
“ขอโทษครับ” ผมบอก ก้มหน้าลง “แล้วไกรจะทำยังไงต่อไปดี…?”
“อยู่บ้านพี่ไปก่อน”
“แล้วมหา’ลัย....”
“ก็ไปสิ” เขาบอก “แต่ต้องไปพร้อมพี่ กลับพร้อมพี่ เข้าใจนะ?”
“อื้อ” ผมพยักหน้า..พยายามทำตัวให้ว่าง่าย “เข้าใจ”
เขายิ้ม “ถ้าปวดหัวอีกเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ”
“พี่วัน”
“ครับ?”
“….เรื่องนี้…เกี่ยวกับอาจารย์คงรึเปล่า?” มันเป็นเรื่องที่ผมสงสัย..สงสัยมาสักพักแล้วด้วยครับแต่เพิ่งเรียบเรียงออกมาเป็นคำถามได้ เพราะเท่าที่ดูจากหลักฐานทั้งหมดทั้งปวงแล้ว..ผู้ต้องสงสัยก็เห็นจะมีแค่คนเดียวนี่ล่ะ ถึงเกือบครึ่งของสมองจะไม่เชื่อเลยสักนิดก็ตาม
..อย่างอาจารย์คงเนี่ยนะ? พี่วันกลับยิ้ม แล้วจับมือผมเล่น “ไม่ใช่หรอก อย่ากังวลไปเลย”
“พี่ไปช่วยไกรมาได้ยังไง…”
“เอ่อ…” เขากรอกตา “มันซับซ้อนน่ะ”
“ยังไงล่ะ?”
“….บอกแล้วจะโกรธพี่มั้ย?”
ผมขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”
“สัญญามาก่อน ว่าจะไม่กลัวพี่”
“ยังจะมายียวน…..”
“ไม่ได้ยียวนสักหน่อย สัญญาสิ”
“สรุปว่าใคร?”
“ไม่ใช่อาจารย์คงหรอก”
“งั้นใครล่ะ? พวกหมอปราบจระเข้เหรอ?”
คนตรงข้ามดูอึกอัก..เขาทิ้งช่วงไปนาน..นานมากพอที่จะทำให้ความสงสัยทั้งหมดแม่งมากองอยู่ตรงลิ้นไก่ผม พร้อมจะสั่นเสียงระเบิดออกไปได้ถ้าเขาไม่ตอบออกมาเสียก่อน
“…ไม่ใช่หมอปราบจระเข้หรอก”
“แล้ว…”
“หมออาคมธรรมดาเนี่ยแหละ ไม่ได้มีวิชาด้านการปราบจระเข้โดยตรง เพราะงั้นตอนที่พี่ไปถึงเรื่องราวมันเลยไม่ได้ยากขนาดนั้น…เพราะว่า ‘คนพวกนั้น’ ไม่รู้เกี่ยวกับการทำลายจระเข้…”
เขาก้มหน้าลง ตอบเหมือนไม่ยากจะตอบด้วยซ้ำ
“…….แต่เชี่ยวชาญเรื่องการใช้อาคม….กับ…มนุษย์” มันเป็นช่วงจังหวะที่นานเหลือเกิน..ก่อนที่ผมจะรู้สึกเสียววาบทั้งหลังจนต้องยกแขนกอดตัวเองไว้
และใช้เวลาเกือบๆนาทีเพื่อตีความหมายของประโยคเมื่อครู่
“ม-หมายความว่า……”
“ใช่” เขาพยักหน้า “พี่คิดว่าไม่ใช่พวกเดียวกับอาจารย์คงหรอก”
“แล้วไกร..จะเป็นอะไรมั้ย?”
“ไกรครับ…พี่ต้องพูดตามตรงนะ”
เขาผ่อนลมหายใจ ขยับตัวเข้ามาใกล้ผม
“ไกรยังไม่หลุดจากอาคมนี้..มันแข็งแกร่งเกินไป และอาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่เมื่อกี้พี่ต้องบอกท่านอาว่าไกรหลุดอาคมแล้ว…ไม่งั้น…มันจะอันตรายมาก…และเขาจะส่งไกรออกไปในที่ๆพี่จะ
ปกป้องไกรไม่ได้…”
ผมบีบมือเขาแน่น คำพูดเมื่อครู่มันทำให้ผมใจสั่น..ไม่ใชเพราะความกลัว..แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าความหวั่นไหว
“ไกรโดนอะไรกันแน่?”
“…อาคมส่งผลกระทบโดยตรงกับสมอง ไกรคงยังจำอะไรไม่ได้”
“ไกรทำอะไรลงไป?”
“...ควบคุม” “อะไรนะ?”
“ไกรโดนควบคุม” เขาย้ำ ขยับตัวเล็กน้อย “ไม่ใช่แค่หลับหรือหมดสติ..แต่ ‘ควบคุม’ ครอบงำไกรด้วยอาคมได้เกือบสมบูรณ์แบบ จากนี้อาจมีบ้างที่ไกรลืมตัว หรือฝันอะไรแปลกๆ…ตอนนั้นพี่ขอให้พยายามทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองตื่น ยังไงก็ได้…”
“แล้ว..แล้ว…ถ้าถึงตอนนั้นพี่วันปลุกไกรไม่ได้เหรอ? ถ้าหากว่าไกร….”
“พี่ปลุกไกรไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“…เพราะพี่ทำร้ายไกรไม่ได้…”
“…พี่วัน?”
เขายิ้มอ่อน ยกมือเรียวสวยขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมอย่างแผ่วเบา..สัมผัสของผิวกายที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ทำให้ผมร้อนที่ขอบตา
“…มนุษย์คนสุดท้ายในโลกที่พี่จะฆ่า…ก็คือไกร” ผมไม่คิดว่านั่นคือคำพูดที่โรแมนติกลึกซึ้ง หรือสวยหรูอะไรนักหรอกครับ ถ้าฟังผ่านๆความหมายของมันก็ติดจะรุนแรงเกินไปเสียหน่อยด้วยซ้ำ การทำลายชีวิตใครไม่ว่าใครก็ตามเป็นสิ่งที่ผู้มีจิตสำนึกในการเป็นมนุษย์ทุกคนไม่ควรทำทั้งนั้น…
…แต่ที่อยู่ตรงหน้าผมคือ ‘จระเข้’ …เพราะงั้นคำพูดแค่นั้น…มันก็มากพอจะทำให้ผมตกหลุมรักเขาอีกรอบได้ง่ายๆเลยล่ะ…
TBC=============================
เราเชื่อว่าอ่านตอนนี้แล้วมีคนพอเดาเรื่องได้ลางๆแล้วกระมังคะ ._.''
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า
ozakaoxygenz*