ตอนที่ 21
ผมไม่ชอบให้ใครมาสงสาร ไม่ชอบให้ใครมาเห็นใจ เพราะผมไม่ได้อ่อนแออะไรขนาดนั้น ผมมายืนอยู่ที่นี่ ที่ร้านนั่งชิวร้านประจำที่ผมกับเพื่อนมากันบ่อยๆ เมื่อเสนอโปรเจ็คผ่าน ผมแค่จะมาดูให้เห็นกับตาตามที่เด็กส้มบอก ไม่ได้มาเพื่อพูดร่ำลาอารัมภบทกับใคร เพราะผมตัดสินใจแล้วว่า คงถึงเวลาที่ผมควรจะไปเสียที...ผมเสียเวลากับผู้ชายคนนี้มามากพอแล้วเสียใจเพราะเขามามากเกินไปแล้ว
บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยบรรยากาศของการสังสรรค์ ผมดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกแยกจากสถานที่แห่งนี้ด้วยเสื้อกันหนาวที่สวมทับเสื้อนอนและกางเกงขายาวผ้าเนื้อบางพร้อมรองเท้าผ้าใบเน่าๆ บนไหล่มีย่ามสีเขียวสดที่ตุงไปด้วยเสื้อผ้าสะพายอยู่ ผมกวาดตามองไม่นานก็เจอโต๊ะเป้าหมาย มองหาได้ไม่ยากเพราะแค่ไล่ตามสายตาของพวกผู้หญิงไป
ก้าวแต่ละก้าวของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่จุกแน่นไปทั้งอก หัวใจเต้นแรงและเร็วจนเหมือนบางครั้งก็กลัวว่ามันจะหยุดเต้นไปเสียดื้อๆ
พี่โปรดนั่งอยู่ตรงนั้น...พร้อมกับโอบไหล่ของใครอีกคนไว้ ที่ที่ผมเคยนั่งตอนนี้กลับไม่ใช่ที่ของผม ทั้งๆ ที่สมาชิกร่วมโต๊ะไม่เปลี่ยนแม้แต่คนเดียว คุณติ๊กนั่งโอบเอวกับเด็กของเขาอยู่ไม่ห่าง คุณกิมก็ยังนั่งข้างคุณเปรมเหมือนเดิม พี่ซอลกับพี่อาร์มก็อยู่บนโซฟาอีกตัวเหมือนอย่างทุกที
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย...นอกจากที่นั่งข้างๆ พี่โปรด
“ผมไปห้องน้ำนะพี่แล้วเดี๋ยว....เดี๋ยว...ฮะ..เฮ้ยยยย!” คุณติ๊กที่หันหน้ามาเจอผมร้องเสียงดังทันที ผมแค่มองเขานิ่งๆ ไม่ได้ใส่ใจกับอาการตกใจของเขาแม้แต่น้อย
ผมสังเกตเห็นว่าหลายคนที่นั่งร่วมโต๊ะลอบมองหน้ากันอย่างอึดอัดใจ ผมคงไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากต้อนรับสินะครับ
“ขอโทษครับ...ผมแค่มีเรื่องจะพูดกับพี่โปรด ไม่รบกวนนานหรอกครับ” ผมบอกขอโทษที่ทำให้เวลาสังสรรค์ของพวกเขากร่อยไป ก่อนจะหันไปมองหน้าพี่โปรดที่ตอนนี้ไม่ได้มองผมเลยแม้แต่น้อย “ผมขอคุยได้มั้ยครับ รบกวนไม่นานจริงๆ”
“ปลื้ม ทำไมแต่งตัวอย่างนี้วะ ไปเถอะ กลับห้องก่อน กูไปส่ง” คุณเปรมลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับผมมือหนึ่งของเขายึดแขนผมไว้ แต่ผมไม่ได้สนใจ คนที่ผมอยากคุยด้วยตอนนี้คือพี่โปรดเท่านั้น
“พี่โปรดครับ...”
“ถอยไปไอ้เปรม”
คุณเปรมปล่อยมือออกจากแขนผม เขากับพี่โปรดจ้องหน้ากันอยู่สักพักก่อนพี่โปรดจะเดินนำผมออกมาที่หน้าร้าน
“พี่บอกให้รออยู่ที่ห้อง มาที่นี่ทำไม” พี่โปรดถามขึ้น เขายืนหันหลังให้ผม สายตาทอดมองไปยังท้องถนนที่ตอนนี้มีรถวิ่งอยู่แค่ไม่กี่คัน
“ทำไมทำกับผมแบบนี้ครับพี่...” คำถามที่ผมเฝ้าถามตัวเองวันละหลายร้อยครั้ง ในที่สุดก็ได้ถามกับคนที่อยากถามเสียที ผมไม่หวังได้คำตอบจากเขา เพราะผมก็แค่...อยากถามออกไปเท่านั้น
“....” ไม่ว่าเมื่อไหร่ผมก็เกลียดความนิ่งเงียบของพี่โปรด แต่ความเงียบครั้งนี้กลับสร้างความเจ็บปวดให้ผมมากกว่าทุกครั้ง
“ขอบคุณครับ...สำหรับทุกอย่าง” ผมพูดเพียงแค่นั้นก็หันหลังเดินจากมาอีกทาง
ผมไม่รู้หรอกว่าทางนี้มันจะไปทางไหน ไม่รู้ปลายทางของมันด้วยซ้ำ แต่ขอแค่...ไม่ใช่ทางเดียวกับพี่โปรด ผมก็พร้อมจะไปทั้งนั้น
“ปลื้ม! จะไปไหน!” เสียงของพี่โปรดดังมาจากข้างหลัง ผมไม่ได้หยุดหรือหันกลับไปมอง แต่รู้สึกได้ว่าเขาเดินตามมา
“มีที่ไปหรือไง!! หอบเสื้อผ้ามาขนาดนี้ บ้านก็ไม่มีให้กลับ! คิดจะทำอะไร!”
ผมมันน่าสมเพชมากใช่ไหม เพราะพี่คิดว่าผมไม่มีที่ไป แค่เพราะผมไม่มีที่ให้กลับ พี่จะทำร้ายผมยังไงผมก็ยังไม่ไปไหน...เพราะพี่คิดอย่างนั้น ผมถึงได้ไม่มีความสำคัญอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
“พี่ถามว่าจะไปไหน!”
แรงกระชากที่แขนทำให้ผมหันตัวกลับไปฟาดมือลงบนแก้มพี่โปรดเต็มแรง ก่อนจะพยายามดึงแขนออกจากมือของเขาที่จับแน่นจนผมรู้สึกเจ็บ ผมไม่เข้าใจว่าเขายังต้องการอะไรอีก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ผมถีบเข้าที่หน้าแข้งของพี่โปรดก่อนจะกัดแขนของเขาเต็มแรงจนพี่โปรดเหวี่ยงผมออกมา แต่เพราะแรงที่มากกว่าแรงของผมหลายเท่า ทำให้ผมล้มลงกับพื้นเต็มแรงพร้อมกับเสียง เพล้ง! ของกระถางดอกไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าร้าน
ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาตามฝ่ามือที่ถูกเศษของกระถางบาด แขนที่ฟาดโดนกระถางอย่างแรงเหมือนจะใช้การไม่ได้อีกเพราะแม้แต่จะยกแผลที่มือขึ้นมาดู ผมก็ยกแทบไม่ขึ้น พี่โปรดดูตกใจมากที่เห็นเลือดไหลออกจากมือผมไม่หยุด ทำท่าจะเข้ามาใกล้แต่ผมไม่อยากให้เขาเข้ามาใกล้ผมอีกแล้ว
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม!”
“ปลื้ม...พี่ขอโทษ...”
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่ง ถอยไปนะ!”
“ปลื้ม..ให้พี่ดูแผล...”
“ผมบอกให้ถอยไป!”
ผมเจ็บ...เจ็บมาก...เจ็บจนไม่รู้จะทำยังไง...แต่ถึงจะเจ็บมากขนาดนี้...ผมก็ยังไม่มีใครให้ยืมไหล่เพื่อซบหน้าร้องไห้ได้อยู่ดี
พี่โปรดยืนอยู่ห่างจากผม ผมมองไม่เห็นว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะน้ำตาที่เริ่มไหลมันบังใบหน้าที่ผมหลงใหลไว้จนเห็นเป็นแค่ภาพรางเลือน
“ผมไม่รู้เลยว่าผมทำผิดอะไร พี่ถึงได้ทำกับผมแบบนี้... ผมไม่เคยคิดจะรั้งพี่ไว้เลย แค่บอกว่าไม่รักผม แค่นั้นผมก็เข้าใจ พี่ไม่ต้องลำบากทำอะไรอ้อมค้อมแบบนี้ก็ได้”
“ไม่ใช่...”
อะไรที่พี่จะบอกว่าไม่ใช่...คำพูดดีๆ พวกนั้นอย่าพูดออกมาเลยครับ...
“ผมขอโทษครับ...ที่อดทนมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
“ไม่นะ...ปลื้ม ฟังพี่...”
ผมรอวันที่พี่จะพูดมานานพอแล้ว... ผมรอให้พี่บอกเหตุผลกับผมวันแล้ววันเล่า...แต่พี่ก็ไม่เคยพูดมันออกมา ถ้าตอนที่พี่จะพูด...ผมขอไม่ฟังได้มั้ยครับ
“พอแล้วครับ” แผลที่มือไม่ได้ทำให้ผมเจ็บไปมากกว่าที่ใจกำลังเจ็บเลย ถ้าผมจะหายใจไม่ออกตอนนี้ก็คงไม่แปลกอะไร “ผมไปนะ ขอบคุณอีกครั้งครับพี่”
เพราะผมรู้ว่าหากเรายังฝืนกันต่อไป...ก็มีแต่จะทำร้ายกัน ความห่างทำให้เรากลายเป็นแค่คนแปลกหน้า ความหวงทำให้ความเชื่อใจลดน้อยลงจนอยู่ในระดับหวาดระแวง แต่เอาเข้าจริงแล้วผมก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง แต่ที่ผมเลือกจะไปตอนนี้ก็มีเหตุผลแค่เพียงเพราะ...พี่โปรดไม่ได้รักผมแล้ว
.
.
.
ผมเดินสะพายย่ามมาตามทางเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง สลัดพี่โปรดให้หลุดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะผมต้องอาศัยจังหวะหนีจากเขาแล้วขึ้นแท็กซี่มาลงแถวนี้ตามแต่จำนวนเงินที่ผมพอจะมาได้ อย่างที่คิดไว้ว่าเขาคงไม่ปล่อยผมเดินจากเขาไปง่ายๆ แน่ แต่ผมจะไม่ทนกับคนอย่างเขาอีกแล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย...มันมีแต่จะเจ็บมากกว่าเดิม
ลมกำลังพัดเย็นสบาย ช่วงเวลาใกล้เช้าแบบนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านมากนัก ถัดจากที่ผมยืนไปไม่กี่เมตรก็มีคนมายืนชมความงามของบรรยากาศที่นี่เช่นกัน
แขนขวาปวดไปหมด และแผลที่มือก็ยังคงมีเลือดไหล ผมรู้ว่าถ้าผมไม่รีบไปโรงพยาบาล เลือดคงได้ออกจนหมดตัวแน่...
“นี่...”
“....”
“โดดให้ดูหน่อยสิ...”
เขาคุยกับผมรึเปล่า? ผมหันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครสักคน เอ่อ...เขาคุยกับผมใช่มั้ย? แล้วไอ้ที่บอกว่า โดดให้ดูหน่อยสิ นี่คืออะไร? -_-
“ทำหน้าเอ๋ออยู่ได้ มึงนั่นแหละ”
“หา? O_O! ผมน่ะเหรอ”
“ก็เออสิวะ ที่นี่ยังมีใครอีกมั้ย ในเมื่อโลกมนุษย์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีวิญญาณอยู่จริง อีกทั้งวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถหาอะไรมายืนยันได้ว่ามันไม่มีอยู่ เพราะฉะนั้น กูพูดกับมึงนั่นแหละ”
เขา...พูดเรื่องอะไร ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด -O-
ชายประหลาดเดินเข้ามาใกล้ในระยะสายตา ร่างผอมบางที่สูงโปร่งยิ่งกว่าผม ใบหน้าหวานที่ล้อมกรอบไปด้วยผมยาวเคลียต้นคอ ดวงตาสีดำดูฉลาดเจ้าเล่ห์กำลังจับจ้องมาที่ผมไม่วางตา
“แต่งตัวแนวดี กูชื่อเท็น มึงล่ะ”
“เอ่อ...ปลื้มครับ”
“อะฮะ ทีนี้ก็รู้จักกันแล้วนะ เพราะฉะนั้นมึงช่วยโดดสะพานนี่ให้กูดูหน่อย ตอนนี้กูกำลังทำสารคดีบันทึกลับชีวิตรันทดของมนุษย์วัยรุ่นตอนปลายอยู่”
“เอ่อ....”
“นี่อย่าบอกนะว่ามึงจะปฏิเสธคำขอของคนที่รู้จักกันแล้ว”
อะ...อะไรนะ O_O อะไรอ่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มาบังคับให้ผมโดดสะพานที่ความสูงเกือบเท่ากับตึกสิบห้าชั้นอย่างนี้ล่ะ นี่ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งอกหักมาหรอกเหรอ? ไม่ใช่ว่าผมควรจะยืนดราม่ากับตัวเองคิดทบทวนอะไรสักพักเหรอครับ
“หนีออกจากบ้านมาล่ะสิ เด็กใจแตก -_-“เขาพูดแล้วมองผมนิ่งๆ “อายุเท่าไหร่ล่ะ”
“19 ครับ”
“เด็กกว่ากู เรียกกูว่าพี่ เก็ทมั้ย”
“เอ่อ...ครับ”
“เอาย่ามมาสิ จะถือให้ แล้วก่อนมึงจะกระโดดช่วยหันมามองกล้องแล้วพูดว่า ผมมันตัวซวย ด้วยนะ”
ผมควรจะอยู่ห่างจากคนๆ นี้ก่อนจะบ้าจี้ทำตามเขาไปจริงๆ สินะครับ
“เฮ้! มึงจะไปไหน” เขาเดินตามมาทันแล้วขวางหน้าผมไว้ ตอนนี้ผมรู้สึกกลัวเขาขึ้นมานิดๆ ผู้ชายคนนี้เขาบ้าหรือป่วยทางจิตรึเปล่าครับ ทำไมเป็นคนแบบนี้อ่ะ -O-;
ผมรู้สึกมึนหัวขึ้นมาหน่อยๆ ยาที่กินเข้าไปคงหมดฤทธิ์แล้ว แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะไปนอนพักที่ไหน หอพักของผมเลิกเช่าไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน เงินติดตัวเพียงแค่ร้อยบาทไม่พอสำหรับค่าโรงแรมแม้แต่คืนเดียว...
“หน้าซีดๆ นะมึง เป็นอะไร เฮ้ยยยยยยย เฮ้ยยยยยยยย อย่ามาเป็นลมแถวนี้นะมึง กูไม่รับผิดชอบนะ!!” เสียงที่กำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่ใกล้ๆ กลับเหมือนค่อยๆ ไกลออกไปทุกที ผมรู้สึกเหมือนโลกเอียงและหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม จากนั้น...ก็เหมือนมีใครมากดปิดไฟถนนที่รายล้อมอยู่รอบข้าง...
.
.
.
ผมตื่นขึ้นมาในห้องที่ไม่คุ้นตา ไม่ใช่ห้องที่โรงพยาบาลหรอกครับ ถ้าเป็นที่นั่นผมรู้จักดีอย่างไม่ต้องถามใคร แต่ที่นี่ต่างออกไป มันเหมือนห้องนอนใหญ่ของบ้านสักหลังหรืออาจจะเรียกว่าคฤหาสน์เพราะดูจากขนาดห้องที่ผมนอนแล้ว ความกว้างมีมากหลายตารางเมตรแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่กล้าฟันธงอะไรเท่าไหร่เพราะอุปกรณ์การแพทย์ที่จัดเรียงอยู่รอบๆ ทำให้ความมั่นใจว่าที่นี่เป็นแค่ห้องนอนมีอันต้องตกไป
เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามาทำให้ผมหันไปมอง ผู้ชายที่เจอที่สะพานเมื่อคืนกำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ ที่ตามหลังเขามาด้วยคือแม่บ้านที่กำลังยกถ้วยที่มีไอร้อนลอยกรุ่นขึ้นมา
“ตามธรรมดานี่ต้องถามใช่ป่ะว่าที่นี่ที่ไหน เพราะงั้นกูเลยเตรียมสคริปไว้ให้มึงอ่านเพื่อทำความเข้าใจแล้ว วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง” เขาบอกเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินไปยืนข้างหน้าต่าง
แม่บ้านวางถ้วยที่ผมเพิ่งเห็นว่ามีโจ๊กร้อนๆ บรรจุอยู่ลงบนโต๊ะแล้วหยิบกระดาษ A4 ที่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์มายื่นให้ผม
“ทานข้าวด้วยนะคะ คำไหนตกหล่นต้องขออภัยด้วยนะคะ ดิฉันไม่ถนัดใช้คอมพิวเตอร์เท่าไหร่ค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากนะครับ”
ผมยิ้มให้แม่บ้านที่ขอตัวออกจากห้องไป ก่อนจะก้มลงอ่านกระดาษในมือที่มีเนื้อหาคร่าวๆ อธิบายว่าผมเป็นลมหมดสติไป ด้วยเพราะไข้ขึ้น รายละเอียดบอกว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม่ได้เป็นหมอแต่เขามีใบประกอบโรคศิลป์จึงไม่จำเป็นต้องนำคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างผมส่งโรงพยาบาล เขาบอกว่ามันยุ่งยากและเขาทำการรักษาผมเอง แขนผมหักเขาเลยเข้าเฝือกให้ และแผลที่มือก็เย็บไป 19 เข็มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขายังบอกอีกว่าโชคดีแค่ไหนที่ผมไม่ตายไปซะก่อน โชคดีที่ที่บ้านเขามีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อม เขาเลยไม่จำเป็นต้องวุ่นวายพาผมไปส่งโรงพยาบาล แต่ข้อความก็มีบอกไว้ว่าเขาวุ่นวายมากเหมือนกันที่ต้องหาเลือดกรุ๊ป AB negative มาให้ผม โชคดีที่แฟนเขาก็เลือดกรุ๊ปนี้ด้วย ผมเลยหมดโอกาสได้ไปเฝ้ายมบาล
แต่ผมก็ไม่รู้ว่านั่นเรียกว่า...โชคดีได้รึเปล่า
“ขอบคุณมากนะครับ”
“มึงขอบคุณกูจริงๆ หรือแค่คิดว่ากูเสือกมากเกินไป หน้าตามึงไม่ได้บอกเลยว่าดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงไม่รู้ว่าตัวเองมีโรคประจำตัวอะไร”
“....”
“ฮีโมฟีเลียในระดับที่มึงเป็นอาจจะไม่อันตรายมาก แต่มันทำให้ถึงตายได้ถ้ามึงมีแผล มึงก็รู้ว่าเลือดจะไม่หยุดไหล มีแผลแล้วไม่รีบไปรักษา กล้าดียังไงจะมาตายต่อหน้าคนอย่างกู”
“ไม่ใช่นะ...ผมแค่ลืมไป...” ใช่ ผมก็แค่ลืม ลืมที่จะคิดถึงตัวเอง
ผมมีโรคนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ฮีโมฟีเลียที่ผมเป็นได้รับการถ่ายทอดมาจากทางพันธุกรรม พี่ยินดีรอดตัวไปเพราะมีโครโมโซม x ของเพศหญิงที่ปกติข่มไว้ แต่มันกลับมาแสดงอาการที่เพศชาย แม่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นพาหะของโรคนี้ตอนที่คลอดผมแต่ผมก็ไม่ได้เป็นในระดับที่รุนแรง ผมจะระวังตัวเองเสมอไม่ให้มีแผล แต่เพราะหลังๆ มานี้ผมใส่ใจตัวเองน้อยเกินไป ครั้งแรกที่ผมมีอะไรกับพี่โปรดก็ต้องนอนซมไปถึงสี่วันเต็มๆ แล้วแค่หัวแตกเล็กน้อยเลือดก็โชกไปทั้งเสื้อผมแล้ว ผมยังจำได้ถึงสีหน้าตกใจของพี่โปรดตอนที่ผมโดนรถชน...
ผมจำได้...ถึงสีหน้าที่อยากจะเจ็บแทนผม...แต่ตอนนี้...มันคงไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว
“ร้องไห้ทำไมวะ -_- มาดราม่าอะไรใส่กูเนี่ย”
ผมก้มหน้าเงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาช้าๆ ความจริงที่เข้าจู่โจมมาทุกขณะทำให้ผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกต่อไป
“แล้วมึงไปขึ้นทะเบียนแจ้งกรุ๊ปเลือดตัวเองรึยัง เลือดหายากยังเสือกเป็นโรคเลือดไหลไม่หยุดอีก อาภัพนักนะมึง”
“ครับ แจ้งไว้ตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
“ก็ดี เกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกจะได้ตายช้าลงหน่อย เอาเถอะ กูฉีดฮอร์โมนให้แล้ว หายห่วงได้ แล้วก็กินข้าวซะ”
“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
เขาปัดมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ให้เลือดถุงนี้หมดมึงก็คงจะดีขึ้น รีบๆ กินสิวะ -_- ทำหน้าเอ๋อมองหน้ากูอยู่ได้”
เขาเป็นคนน่ากลัวนิดๆ ให้ความรู้สึกที่ยากจะเข้าใกล้และไม่น่าไว้ใจเลย แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าเขาเป็นคนช่วยชีวิตผมไว้ ผู้ชายประหลาดที่จู่ๆ ก็เจอโดยบังเอิญ แถมยังให้ความช่วยเหลือผมขนาดนี้...ผมควรจะตอบแทนเขายังไงดี
แอ๊ดดดดดดด...
เสียงประตูถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับที่ผู้ชายอีกคนก้าวเข้ามาในห้อง ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูจะคุ้นอยู่ไม่น้อยเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มใจดี
“ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง” เขาถามผม เดินเข้าไปผลักหัวผู้ชายที่ยืนข้างหน้าต่าง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ เตียง
“พี่ตกใจหมดเลย นึกว่าเท็นเท็นไปก่อเรื่องอีกแล้ว”
“หัดมองกูในแง่ดีซะบ้างเถอะ กูแค่ซวยที่เลือกโลเคชั่นถ่ายทำสารคดีผิด -*- กินข้าวสิ มองหน้าอยู่ได้”
ผมเลยรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวตามที่เขาบอก
“เท็น อย่าขู่น้องสิวะ เออนี่ พี่ชื่อเมลนะ ลูกคุณน้าเหมือน” งั้นพี่ก็คงเป็นแฟนของพี่เท็นที่ให้เลือดผมสินะครับ แต่ผมไม่เข้าใจ พี่เมลบอกชื่อแม่ของพี่เขากับผมทำไม?
“ครับ?”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเขางงๆ
“ไม่รู้จักก็ไม่แปลก เมื่อกี้พี่โทรไปถามคุณแม่มาแล้ว พอดีว่าเท็นเขาเจอกระเป๋าตังค์ของน้องอ่ะ พี่เลยถือวิสาสะเปิดดู”
ผมทำได้แค่กระพริบตาปริบๆ มองหน้าพี่เมลที่กำลังพูดในเรื่องที่ผมค่อนข้างจะไม่เข้าใจ พี่เมลบอกว่าแม่พี่เมลกับแม่ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ก็ขาดการติดต่อกันไปด้วยเรื่องบางอย่างที่พี่เมลไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร พี่เมลเขาแค่เอะใจที่เห็นนามสกุลเดิมของแม่ผมและแม่เขาเหมือนกันเท่านั้น ถึงได้โทรไปถาม คงดูได้จากสูติบัตรของผมที่พับเก็บเอาไว้ในกระเป๋าตังค์นั่นแหละครับ
“ปลื้มตามสบายเลยนะ ไว้หายดีเมื่อไหร่พี่จะพาไปส่งที่บ้าน”
ผมแค่พยักหน้าและบอกขอบคุณเบาๆ แต่ในใจคิดแล้วว่าถ้าผมหายดีคงต้องไปหาที่อยู่ที่ไหนสักที่ ซึ่งคงไม่ใช่ที่บ้านแน่นอน
“มึงจะพาไปส่งทำไม ไอ้เด็กนี่มันหนีออกจากบ้าน จะพาไปส่งทั้งๆ ที่เขาหนีมานี่นะ มึงบ้าป่ะวะเมล” พี่เท็นพูดขึ้นมาเหมือนเข้ามานั่งอยู่กลางใจผม ดูๆ ไปแล้วเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนะครับ ออกจะเป็นคนที่เข้าใจความคิดคนอื่นได้ดีทีเดียว ถึงจะแสดงออกมาเหมือนไม่แคร์อะไรเลยก็เถอะ -_-
“เอ้า จริงดิ? กูไม่รู้อ่ะ จริงเหรอปลื้ม” พี่เมลหันมาถามผมที่ได้แต่หัวเราะแหะๆ กลับไป
“กูตัดสินใจแล้วว่าจะให้มันมาเป็นตัวเอกในสารคดีของกู เพราะฉะนั้นมึงไม่ต้องมายุ่ง เก็ทป่ะ”
“ตัวเอกสารคดีไร้สาระของมึงนี่นะ กูเห็นถ่ายทำมาเป็นเดือนละ ตกลงมึงทำเรื่องอะไรอยู่กันแน่วะเท็น กูแม่งไม่เข้าใจจริงๆ อยู่เฉยๆ บ้างเป็นมั้ย”
“ไม่เป็น ชัดป่ะ” พี่เท็นลอยหน้าลอยตาตอบ ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยคำพูดที่ฟังแล้วแทบสำลักโจ๊ก “ไอ้ปลื้ม หายดีเมื่อไหร่ให้เตรียมตัว กูจะพาขึ้นเหนือ ไปใช้ชีวิตแบบชาวชนบทกัน ฤดูนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวด้วย กูได้พล็อตละ เตรียมตัวไว้”
นี่มันฮิตเลอร์อวตารมารึเปล่าครับ...พี่เท็นเคยหยุดคิดสักนิดมั้ยว่ามันแปลกที่มาออกคำสั่งกับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างผม -*-
“น้องมันต้องเรียนหนังสือ ใครมันจะมีเวลาว่างไปไร้สาระแบบมึง แล้วมึงน่ะ ปีสามแล้วนะ จริงจังกับการเรียนซะบ้าง อย่าให้กูต้องพูดต้องบ่นบ่อยๆ ได้มั้ย”
“เออนะ บ่นจนตีนกาขึ้นแล้วมึงเนี่ย เป็นผัวหรือเป็นพ่อวะ แม่ง กูจะดร็อปเรียนก็ไม่ให้กูดร็อป กูบอกจะลาออกก็โกรธ พอกูไม่ไปเรียนก็บ่นนั่นบ่นนี่ เยอะละมึงชักเยอะละ”
ผมปล่อยให้พี่สองคนเขาเถียงกันไป ไม่ได้รู้สึกว่าน่ารำคาญเลยครับ ผมกลับรู้สึกว่าเป็นคู่ที่น่ารักดี ให้ความรู้สึกอบอุ่นยามที่ได้มอง ถึงปากจะบ่นนั่นด่านี่ แต่สายตาของคนทั้งคู่...บอกให้ผมรู้เลยว่า พวกเขามองกันด้วยความรักมากแค่ไหน
...แล้วผมกับพี่โปรดเคยมีช่วงเวลาแบบนี้บ้างรึเปล่านะ...
.................................................To be continue............................................
น้องยังเด็ก ความคิดในบางแง่บางมุมของน้องอาจจะไม่กระจ่างนัก ยังไงก็เป็นกำลังใจให้น้องด้วยนะคะ
ผู้ชายสองคนนี้โผล่มา... เราถึงได้บอกว่าหลายๆ ตอนที่ผ่านๆ มาให้เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ใครไม่ได้อ่านเรื่อง so what ก็จะไม่งงหรอกค่ะ เพราะมันก็เบ็ดเสร็จลงตัวนะ (คิดว่างั้น)
ขอโทษที่มาช้ามากๆ นะคะ พอดีวันนี้มีการเทสระบบวิดีโอคอนเฟอเร้นเพราะวันที่ 13 กรุงเทพจะ shutdown -_-
รักทุกคนที่รักน้องปลื้ม และตบไหล่ทุกคนๆ เบาๆ ที่อยากกระทืบเสี่ยโปรด รวมไปถึง จูบหน้าผากหลายๆ ทีให้กับคนที่พยายายามคิดหาเหตุผลให้เสี่ย ขอบคุณค่ะ 
ไว้หาเพลงโดนๆ ของตอนนี้ได้ จะมาโพสให้นะคะ