ร้ายซ่อนรัก บทที่ 22
โมกข์เดินตรงลิ่วมาหาพัทธ์ที่กำลังคุมนักศึกษาทำงานอยู่ที่ไซโลเมล็ดพันธุ์พืชอย่างขมักเขม้น เมื่อเห็นหน้า
พัทธ์แล้วเจ้าของไร่ก็ถอนหายใจเฮือก จนพัทธ์เลิกคิ้วมองอย่างงงๆ
“เป็นอะไรของคุณอีกล่ะคุณโมกข์”
“ผมกลัวว่าคุณจะทิ้งผมไปแล้ว ก็ตื่นมาไม่เจอคุณนี่”
โมกข์ยิ้มเจื่อนเมื่อตอบ เขากังวลใจว่าพัทธ์อาจจะเบื่อหรือกลัวที่ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเขา
“ไร้สาระ”
พัทธ์ว่า
“งานของผมยังไม่เสร็จผมจะไปไหนได้”
“งั้นก็หมายความว่าถ้างานของคุณเสร็จคุณจะหนีผมไปล่ะสิ”
โมกข์โวยวายจนนักศึกษาหันมามองแล้วหันกลับไปหัวเราะกันคิกคัก พัทธ์หน้าร้อนซู่ เขาลากแขนโมกข์ให้
เดินไกลออกมาจากจุดนั้น
“คุณจะตะโกนให้มันดังข้ามเขาเลยหรือไง ผมบอกคุณแล้วว่าผมจะให้โอกาสคุณ ผมก็ทำตามคำพูด มันอยู่
ที่ความประพฤติของคุณแล้วว่าจะทำตัวยังไง”
“จริงนะ รับรองว่าผมจะทำตัวให้ดี สมกับที่มีคุณคอยคุมความประพฤติ เริ่มจากคืนนี้เลยดีกว่า ผมต้องไป
งานเลี้ยงหอการค้าจังหวัด คุณช่วยไปคุมความประพฤติของผมหน่อยได้ไหม”
แล้วพัทธ์ก็ถูกโมกข์ลากมาด้วยจนได้ แม้ว่าเขาจะพยายามปฏิเสธ แต่โมกข์ก็ใช้ลูกตื้อจนพัทธ์ต้องมายืนอยู่
ในงานเลี้ยงโต๊ะจีนที่มีนักธุรกิจในจังหวัดรวมตัวอยู่มากมาย ซึ่งรวมถึงนายอาทิตย์บิดาของโอบกิจด้วย
เมื่อเห็นหน้าโมกข์นายอาทิตย์ก็ยืนกำหมัดแน่น นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นงานเลี้ยงระดับจังหวัดเขาคงปรี่เข้าไปชก
หน้าโมกข์ให้หายแค้น ที่ทำให้ลูกชายของเขาเสียใจจนคิดสั้น แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือยืนทนมองโมกข์ที่ก้าว
เข้ามาหาด้วยสีหน้าสลด
“ผมขอโทษ”
นั่นคือคำแรกที่หลุดออกมาจากปากผู้ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าเขา อาทิตย์กัดริมฝีปาก
“แค่น้ำลายของคุณที่พ่นออกมา มันไม่เพียงพอกับเลือดและความรู้สึกของโอบกิจที่เสียไปหรอกนะ”
ความแค้นเคืองพุ่งปรี๊ดจนอยากจะกระโจนไปกระชากคอเสื้อของโมกข์มาแล้วทำร้ายให้สาสม แต่อีกใจหนึ่ง
อาทิตย์ก็อดแปลกใจไม่ได้กับท่าทีอ่อนข้อไร้แววยะโสอย่างที่โมกข์มีมาตลอด
“ผมทราบว่ามันเทียบกันไม่ได้หากโอบกิจเป็นอะไรที่ร้ายแรงมากกว่านี้ แต่ที่ผมบอกคุณได้คือ ผมสำนึกผิด
แล้วจริงๆ”
โมกข์สบตาและพูดอย่างจริงใจ
“ผมยอมรับว่าที่ผ่านมามันเป็นเพราะความโอหังโง่ๆ”
“งั้นคุณก็ยอมรับรักของโอบกิจสิ ลูกชายของผมจะได้ไม่เสียใจไปมากกว่านี้”
อาทิตย์หยั่งเชิงด้วยข้อเสนอที่ตัวเขาเองก็ไม่ต้องการ โมกข์ถอนหายใจเมื่อได้ฟัง
“โอบกิจจะเสียใจมากกว่านี้ในภายหลังถ้ารู้ว่าเขาถูกหลอก ผมไม่อยากโกหก ขอให้โอบกิจได้รู้ความจริง
และเจ็บครั้งเดียวดีกว่า”
อาทิตย์มองเลยไปทางด้านหลัง เขาเห็นพัทธ์ที่ยืนสงบนิ่งห่างออกไปจากการสนทนาระหว่างเขาและโมกข์
ผู้ชายคนนี้เองหรือที่มัดใจพ่อเลี้ยงโมกข์และปราบจนสิ้นพยศ แทบไม่เหลือเค้าความหยิ่งผยองให้เห็น
เหมือนก่อน อาทิตย์นึกถึงภาพของโมกข์ที่เคยมองเขาอย่างไม่มีตัวตน แต่วันนี้โมกข์กลับมายืนพูดกับเขา
ด้วยแววตาที่อาทิตย์ต้องถอนหายใจ
บางทีมันอาจจะเป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่ง ที่เลี้ยงลูกมาอย่างทะนุถนอมเอาอกเอาใจเมื่อเห็นว่าขาด
มารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าอะไรที่บุตรชายต้องการเขาจะหามาให้ทุกอย่าง จนโอบกิจไม่เคยรู้จักความ
ผิดหวังและความพ่ายแพ้ นี่เป็นประสบการณ์แรกในชีวิตของโอบกิจ
แววตาขึ้งเครียดของอาทิตย์อ่อนแสงลง
“เอาเถอะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว โอบกิจก็ปลอดภัย หวังว่าเหตุการณ์คราวนี้จะเป็นครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในชีวิต
ของลูกชายผม”
ดวงตาคมของพ่อเลี้ยงโมกข์บอกถึงความขอบคุณที่อาทิตย์ยอมให้อภัย รอยยิ้มถูกจุดขึ้นอย่างจริงใจเป็น
ครั้งแรกที่เขามีให้นายอาทิตย์
“คำปันเป็นคนของคุณรึ”
อาทิตย์เป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง โมกข์รีบรับคำ
“ใช่ครับ คำปันเป็นคนหนุ่มที่ตั้งใจทำงาน เขาดูแลเรื่องการเกษตรและช่วยชาวไร่แถบนั้นได้มาก และถ้าคุณ
อาทิตย์จะกรุณา …คำปันเพิ่งมาบอกว่าเขารักโอบกิจ”
อาทิตย์โบกมือเบาๆ
“คุณไม่ต้องมาโฆษณาให้เด็กคุณมากนักหรอก ผมพอจะมองคนออก นี่ผมก็กรุณาเท่าที่จะกรุณาได้แล้ว
อยู่ที่คนของคุณนั่นแหละว่าจะเอาชนะใจของโอบกิจได้แค่ไหน”
การสนทนาถูกขัดจังหวะให้จบลงเมื่ออาทิตย์ถูกดึงให้ไปนั่งร่วมกลุ่มกับผู้ที่ประกอบการด้านการค้าส่ง
ด้วยกัน โมกข์จึงได้เดินกลับมาหาพัทธ์พร้อมกับยิ้มอย่างปลดปล่อย
“ไอ้คำโบราณที่เขาบอกว่ายกภูเขาออกจากอกนี่มันโล่งอย่างนี้เองเนอะ”
พัทธ์เผลอตัวยิ้มตอบเมื่อเห็นโมกข์มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังไม่ทันได้คุยอะไรมากกว่านั้นเมื่อโมกข์ถูก
เรียกด้วยคนที่เขาไม่รู้จัก จะว่าไปพัทธ์ก็ไม่รู้จักใครสักคนในงานนี้
“อ้าว พ่อเลี้ยงโมกข์ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
โมกข์หันไปมองร่างท้วมที่ตามติดมาด้วยหญิงสาวที่แต่งตัวเปรี้ยวจนเข็ดฟัน
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยงสุชัย”
พัทธ์เดินคอแข็งหน้าบึ้งเมื่อกลับถึงบ้าน ความจริงก็คือเขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ในงานเลี้ยงแล้ว
หงุดหงิดอะไรพัทธ์ก็ไม่รู้ รู้แต่มันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อพ่อเลี้ยงสุชัยอะไรนั่นแนะนำบุตรีให้โมกข์รู้จัก
“ลูกสาวครับ เพิ่งเรียนจบจากอเมริกา ชื่อสลิลลาแต่ผมเรียกว่าลิลลี่ อ้าว ลิลลี่มารู้จักพี่เขาสิลูก”
ท่าทียิ้มเยื้อนกับมือที่ส่งให้โมกข์จับทักทายอย่างมีชั้นเชิง ทำให้หัวใจของพัทธ์เต้นในอัตราที่ผิดปกตินับ
จากนั้น และตลอดเวลาในงานเลี้ยงที่สุชัยชักชวนให้โมกข์และพัทธ์นั่งกินเลี้ยงที่โต๊ะเดียวกัน สลิลลาก็ครอง
บทสนทนากับโมกข์ โดยไม่มีใครสนใจเขาที่โมกข์แนะนำว่าเป็นอาจารย์ที่มาทำโปรเจ็คพิเศษเลยแม้แต่น้อย
เขาจะไม่หงุดหงิด ถ้าไม่เห็นโมกข์หันไปยิ้มให้หญิงสาวอยู่บ่อยครั้ง
“คุณเป็นอะไร ทำไมไม่คุยกับผม นั่งคอแข็งมาตลอดทางเลยนะ”
นั่นสิ เขาควรจะหันไปตอบโมกข์ที่เดินตามหลังเข้าบ้านมาติดๆ ว่าอย่างไร
“ผมง่วงนอน”
พัทธ์ตอบอย่างขอไปที แถมยังไม่ยอมหันไปมองหน้าอีกด้วย ยิ่งทำให้โมกข์สงสัยว่าเขาทำอะไรผิดอีกหรือ
เปล่า เขาเลยคว้าแขนพัทธ์ให้หยุดเดินและหันกลับมามองเขา
“คุณทำตัวผิดปกติ ต้องมีเรื่องอะไรที่คุณไม่พอใจ ผมไม่รู้หรอกนะถ้าคุณไม่บอก”
จะบอกได้อย่างไรเล่า ว่าเรื่องที่ไม่พอใจก็คือเรื่องที่คนตรงหน้าหันไปอี๋อ๋อกับสาวที่มาหว่านเสน่ห์ ที่ทำได้
ตอนนี้คือเงียบไว้จะดีที่สุด
“ตามใจ ไม่บอกก็ไม่บอก แต่ก่อนคุณไปนอนผมขอกู๊ดไนท์คิสหน่อยได้ไหม”
โมกข์ยิ้มพร้อมดวงตาพราว เขาดึงแขนเข้าหาตัวแล้วโอบร่างพัทธ์ไว้ในอ้อมแขน พัทธ์ได้แต่ฝืนตัวไว้เอียง
หน้าหนี ยกมือผลักหน้าของโมกข์ที่โน้มมาจนเกือบสัมผัสกัน
“ไม่เอา คุณจะมาจูบผมทำไม อยากจูบก็ไปจูบคนที่เขาแหงนหน้ารอโน่นสิ”
พัทธ์เผลอหลุดคำพูดที่วนเวียนอยู่ในใจ โมกข์ชะงักเขามองเสี้ยวด้านข้างของคนที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ในอ้อมกอด
พลางคิดตามคำพูดของพัทธ์ รอยยิ้มจึงยิ่งกว้างเข้าไปอีก เขาเอียงหน้าเข้าไปจนชิดติ่งหูของพัทธ์
“ถ้าคุณไม่บอกว่าเป็นอะไร ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าคุณกำลังหึงผมนะพัทธ์”
หึง!
พัทธ์ทวนคำในใจ ก่อนที่เลือดจะวิ่งพล่านไปมาจนหน้าแดงลามไปถึงใบหู
“จะบ้าหรือไง คนอย่างผมนี่นะจะไปหึงคุณ อุ๊บ…”
เสียงโวยวายของพัทธ์ที่เกิดจากอาการ “หลุด” เงียบลงสนิทเมื่อโมกข์ยื้อร่างเข้ามาจนชิดและประกบปากลง
ไปทันทีที่พัทธ์หันมาโวย คำพูดต่อว่าเลยกลายเป็นแค่อึกอักอยู่ในลำคอเมื่อโมกข์ดูดกลืนเสียงไปจนหมด
สิ้น
พัทธ์แทบหยุดหายใจเมื่อจุมพิตนั้นหวานกว่าที่เคย โมกข์หยอกเย้า ล้อเล่น ก่อนเริ่มกลายเป็นร้อนแรง และ
เรียกร้องมากขึ้นเป็นลำดับ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปพัทธ์เกรงว่าเขาเองก็อาจจะห้ามใจไม่ได้
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดมากไปกว่านั้นโมกข์ก็ค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกช้าๆ จนกลายเป็นพัทธ์ที่ใช้เรียวปาก
ตามติดอย่างเผลอไผล
“ถ้าคุณยังไม่หยุด ก็เกรงว่าผมจะฉุดไม่อยู่แล้วนะพัทธ์”
โมกข์พึมพำเสียงสั่น เรียกสติกลับคืน พัทธ์ยืนงงทำตาปริบๆ ก่อนจะเม้มปากหน้าแดงซ่าน
เขากระชากแขนออกจากการเกาะกุมแล้วหันตัวกลับก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดตรงไปห้องตัวเองโดยไม่ยอมหัน
กลับมามองโมกข์ที่หัวเราะแล้วตะโกนไล่หลังอย่างชอบใจ
“กู๊ดไนท์ครับพัทธ์ อย่าลืมฝันถึงผมด้วยล่ะ”
โอบกิจรู้สึกหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของคำปันมาหลายวัน ตั้งแต่ที่มีปากเสียงกันที่โรงพยาบาล
จนกระทั่งเขาหายดีแล้วและกลับมาอยู่บ้าน หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มาราวีก็ไม่มีเข้ามาให้ได้ยิน
“เขายุ่งอยู่มั้งเลยไม่ได้มาหา”
บิดาก็มักจะเข้าข้างฝ่ายนั้นจนเกินเหตุ อะไรคือยุ่ง ในเมื่อช่วงก่อนหน้ายังมาได้อยู่ทุกวี่ทุกวัน
โอบกิจคิดอย่างน้อยใจ เขาไม่อยากยอมรับใจตัวเองว่าเขาคิดถึงคนที่ชอบมาตอแยให้เขาอารมณ์เสีย
แต่ความอดทนอันน้อยนิดก็หมดลง โอบกิจห้ามใจตัวเองไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปหาคน
ปากเสีย
การรอคอยให้อีกฝ่ายรับสายแม้จะไม่กี่วินาทีแต่ก็แทบขาดใจ โอบกิจใจชื้นเมื่อได้ยินเสียงคำปันตอบกลับ
“ว่าไงครับคุณโอบกิจ”
“โทรมาถามดูว่าตายหรือยัง”
พูดออกไปแล้วโอบกิจก็อยากจะกัดลิ้นตัวเอง แทนที่จะถามด้วยคำพูดดีๆ เหมือนความรู้สึกที่มีให้ เขาก็ดัน
พูดกวนส้นเท้าปิดบังความอับอายของตัวเอง
ใจหายเมื่ออีกฝ่ายเงียบไป หัวใจยิ่งว้าวุ่นเมื่อได้ยินเสียงคล้ายถอนหายใจของอีกฝั่งแว่วมา
“พ่อเลี้ยงโมกข์ไม่อยู่ ถ้าจะโทรหาผมจะให้เบอร์....”
“ฉันโทรหานายนั่นแหละ”
คราวนี้เลยเงียบกันทั้งสองฝ่าย โอบกิจไม่รู้ว่าเขาควรจะทำตัวอย่างไรให้คำปันกลับมาเป็นคนเดิม
“ผมควรจะดีใจใช่ไหมที่คุณโอบลดตัวลงมาโทรหาผม”
น้ำเสียงตัดพ้อกึ่งเย้ยหยันตัวเองของคำปัน ยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้ทวีคูณไปอีก ถ้าคำปันอยู่ใกล้ๆแถวนี้
โอบกิจจะเข้าไปดึงตัวมาถามว่าอะไรทำให้คำปันคิดอย่างนั้น คำปันจะรู้หรือเปล่าว่าเพราะความเอาใจใส่
ของเขานั่นแหละที่ทำให้โอบกิจมองตัวเองอย่างมีค่าอีกครั้ง
“ทำไมต้องลดตัว นายเองก็มีค่าพอที่ฉันจะโทรหา หรือว่านายมองไม่เห็นคุณค่าของตัวนายเอง”
“ผมอาจมีคุณค่า แต่คุณค่าของผมอาจไม่คู่ควรกับคุณ”
โอย...โอบกิจอยากจะบ้าที่อยู่ๆ คำปันก็เพิ่งจะมาคิดตั้งแง่เรื่องนี้ เขาหยุดตัวเองไม่อยู่จนต้องโวยวาย
กลับไป
“ฉันไม่ใช่วัตถุมงคลที่นายตั้งไว้บนหิ้งบูชา แล้วมัวแต่คิดว่าตัวเองไม่อาจเอื้อม หรือว่านายจะรอให้ฉันมี
อิทธิฤทธิ์ลอยจากหิ้งลงมายัดใส่มือนายวะ คำปัน”
จบคำพูดอันเดือดพล่านของเขาปลายทางก็เงียบไปอีก โอบกิจไม่รู้ว่าคำปันคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งสายถูก
วางไปอย่างง่ายๆ จนเขางง และเมื่อโทรกลับไปอีกครั้งก็กลายเป็นคำปันปิดเครื่องไปแล้ว
เกิดจะมาพระเอกทำตัวแง่งอนอะไรตอนนี้วะ โอบกิจยิ่งทวีความหงุดหงิดจนอยู่เฉยไม่ได้ เขาลุกขึ้นตรงรี่ไป
ที่รถสปอร์ตของเขาแล้วขับเคลื่อนไปตามทางที่คุ้นเคย หากแต่คราวนี้จุดมุ่งหมายที่ต้องการนั้นเปลี่ยนไป
แล้ว
โมกข์ขับรถกระบะพร้อมกับพัทธ์มาถึงบ้านก่อนหน้าที่โอบกิจจะมาถึงไม่นานนัก โอบกิจถอนหายใจเมื่อเห็น
ทั้งคู่ยืนเคียงข้างกัน ถ้าตัดอคติออกไปก็ดูเหมาะสมกันไม่น้อย โอบกิจนึกยินดีที่เขาไม่ได้รู้สึกร้อนรุ่มเมื่อเห็น
ภาพนั้นอีกแล้ว เขายิ้มกับตัวเองก่อนที่จะเดินเข้าไปหาทั้งคู่
โมกข์ยิ้มให้กับโอบกิจ มันเป็นรอยยิ้มแรกที่เปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ใจ เมื่อโอบกิจเดินเข้ามาใกล้ถึงพัทธ์
เตรียมเดินหลบไปอีกทาง
“เดี๋ยวครับ ก่อนคุณจะไปผมขอพูดกับคุณก่อน”
โอบกิจรั้งไว้
“หากคุณจะรักพี่โมกข์แล้วรู้สึกผิดเพราะผม ขอให้คุณเลิกคิดอย่างนั้น ถ้าจะผิดก็ผิดที่ผมเองที่คิดอะไรไม่
เข้าท่า แต่เรื่องนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว”
โอบกิจยิ้มให้พัทธ์
“ขอให้คุณรักกับพี่โมกข์ตามสบายอย่างที่ไม่มีผมเกี่ยวข้อง”
พูดจบโอบกิจก็ลากแขนโมกข์ให้เดินตามมาที่สวนหน้าบ้านเพื่อพูดกันตามลำพัง
“พี่ขอโทษอีกทีนะ”
โมกข์เอ่ยเมื่อยืนอยู่กันสองคน โอบกิจยิ้มรับคำขอโทษนั้น ขนตายาวกระพริบไล่ความชื้นเมื่อรู้สึกถึงเยื่อใย
บางๆ ที่เขายังหลงเหลือกับโมกข์ แต่โอบกิจต้องตัดใจ
“โอบก็ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่า แต่ตอนนี้โอบฉลาดขึ้นแล้วล่ะ โอบจะตั้งต้นใหม่กับเอ่อ...พี่โมกข์รู้ใช่ไหม”
“พี่ยินดีด้วย คำปันเป็นคนดี เขากล้าพอที่จะเดินมาหาพี่แล้วบอกว่าเขาขอดูแลโอบไปตลอดชีวิต”
เฮอะ...กล้าพูดกับเจ้านายแต่กลับไม่กล้าพูดกับเขา โอบกิจนึกค่อนอยู่ในใจ
“เราเป็นแฟนกันไม่ได้ แต่เรายังเป็นพี่น้องกันได้อยู่ใช่ไหม”
โอบกิจถาม โมกข์คลี่ยิ้มตอบ
“งั้นขอโอบกอดพี่โมกข์เป็นครั้งสุดท้ายนะ”
โมกข์กางแขนให้โอบกิจโผเข้าหา และซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดนั้น โอบกิจอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาแม้ว่าจะ
ตัดใจได้แล้ว โมกข์ได้แต่ลูบหลังปลอบใจ
คนที่เดินขึ้นเนินมาด้วยใบหน้าเหมือนคนอกหักแล้วเห็นภาพนั้นเต็มสองตาจึงได้แต่ยืนอึ้ง ใบหน้ายิ่งเหี่ยว
แห้งลงจนต้องหันหลังกลับ
“คำปัน จะรีบไปไหน”
เขาชะงักเมื่อเจ้านายเรียกไว้ แต่ก็ไม่ยอมหันกลับมามองภาพบาดใจ
โอบกิจสะดุ้งเมื่อได้ยินโมกข์เรียกชื่อคำปัน เขารีบปล่อยแขนที่กอดโมกข์ไว้แล้วหันขวับไปมองก็ได้เห็นแต่
แผ่นหลังเท่านั้น
“ผมจะมาคุยกับพ่อเลี้ยงเรื่องปุ๋ยชีวภาพ แต่ถ้าพ่อเลี้ยงไม่ว่างผมจะมาคุยทีหลัง”
แล้วคำปันก็เดินลิ่วลงเนินไป จนโอบกิจตาเหลือก เขาละล้าละลังจนโมกข์ต้องเตือน
“โอบกิจ ตามคำปันไปสิ”
โอบกิจได้สติ เขาเลยวิ่งตามร่างนั้นจนทัน ก่อนที่เขาจะเดินตามคำปันโดยทิ้งระยะห่างไว้ช่วงหนึ่ง
///////////////////////////////////////////////////
เหอๆ โอบกิจจะง้อคำปันด้วยวิธีไหนดีน้า...